เรือนริษยา ตอนที่ 11
ภายในห้องโถงใหญ่ของเรือนรัตนะ เวลากลางวัน ฤทัย กนกกร รณฤทธิ์ สมุทรชัย พ.ต.ต.สันต์ หมวดเมธ และตำรวจที่ทำคดีใหม่อีก2นายมานั่งรอกันอยู่พร้อม กนกกรออกอาการหงุดหงิดที่รอนาน
"โฮ้ย...นี่แม่คนนั้นเค้าไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยหรือไง ปล่อยให้คนแก่ หัวหงอก หัวดำ มานั่งรอได้เป็นนานสองนาน"
คำพูดพล่อยๆที่ออกจากปากโดยไม่ผ่านหัวสมองของกนกกร ทำเอาคนแก่ในห้องสะดุ้งไปตามๆกัน รณฤทธิ์แอบหัวเราะขำ สะใจ ฤทัยยิ้มเรี่ยราด ด้วยความอายในกิริยาของลูกสาว
ไกรภัทรไม่อยากติดอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน เลยตัดสินใจลุกออกไป
"งั้นเดี๋ยวผมไปโทรตามคุณนันก่อนนะครับ"
สมุทรชัยมองตามหลังลูกชาย
รถของกฤตพนธ์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าเรือนรัตนะ ไกรภัทรเดินกดโทรศัพท์ออกมาที่หน้าบ้านพอดี เขาจำรถได้ ไม่ค่อยชอบใจที่กฤตพนธ์เข้ามาวุ่นวายกับเรื่องภายในของเรือนรัตนะมากเกินไป นันทนัชเปิดประตูลงมา ยืนรอ กฤตพนธ์เดินลงมาสมทบ และเดินคุยกันมา
ไกรภัทรแปลกใจ
"ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์แวะไปรับนันที่วัด"
"ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงผมก็ต้องมาที่เรือนรัตนะ ตามคำเชิญของคุณอยู่แล้ว....อ้อ ส่วนเรื่องรถของคุณเดี๋ยวผมให้คนมาจัดการให้นะครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
ไกรภัทรเดินมาถึงทั้งคู่พอดี
"คุณนันครับ ได้เวลาแล้วครับ รีบเข้าบ้านเถอะครับ”
เธอพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับเข้าไป สายตาของไกรภัทรไม่ค่อยพอใจกฤตพนธ์ เขางง ไม่รู้ว่า ไกรภัทรไม่พอใจเรื่องอะไร
กนกกรแผลงฤทธิ์ทันที พอเห็นนันทนัชกับไกรภัทรเข้ามาก็วีนใส่อย่างไม่ไว้หน้า
"แหมกว่าจะเด็จเข้ามาได้ ต้องไปเชิญ เห็นไม๊ว่าผู้ใหญ่ต้องมารอกันน่ะเอ่อ..."
กนกกรต้องตกใจพูดค้าง เมื่อกฤตพนธ์เดินตามหลังนันทนัชเข้ามาด้วย
"คุณกฤต!"
ฤทัยก็มองตกใจค้าง แต่รณฤทธิ์ลุกขึ้นโวย
"อ้าวคุณ! มาทำไมห่ะ เค้าจะคุยเรื่องในครอบครัวกัน คนนอกไม่เกี่ยว"
"ไม่มีมารยาท! มาไล่แขกของฉันได้ยังไง ฉันเชิญคุณกฤตมาช่วยเป็นพยานในคดีการตายของพ่อฉัน"
“มีมารยาทมากเลยนะเธอ! เชิญคนนอกมาไม่บอกใคร แล้วทำไมต้องเชิญนายคนนี้มาเป็นพยานด้วย ทำยังกับว่าเป็นอะไรกันแล้วงั้นแหละ”
รณฤทธิ์มองกวนโอ๊ยไปที่ทั้ง2...ทำเอาเอาทั้งนันทนัชและกนกกรไม่พอใจ แต่ต่างเหตุผล และโวยออกมา
"หยุดดูถูกฉันเดี๋ยวนี้นะนายรณ"
"พูดบ้าอะไรของแกห่ะ คุณกฤตไม่ได้เป็นอะไรกับยัยนันซะหน่อย"
"พี่ตาบอดหรือไงห่ะ เดินตามตูดกันต้อยๆแบบนี้ ไม่เป็นอะไรกันได้ไงมันติดอกติดใจกันแล้วแบบนี้"
สมุทรชัยหันไปมองฤทัย หวังว่าฤทัยจะห้ามลูกชาย แต่กลับเห็นฤทัยนั่งพัดหน้าตาเฉยภายในใจ เธอสะใจ ปล่อยให้รณฤทธิ์ประจาน โต้เถียงอย่างดุเดือด
กฤตพนธ์ปรี่เข้ามาเผชิญหน้ากับรณฤทธิ์ทันที
"ถ้าคุณไม่อยากไว้หน้าผมก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยให้เกียรติผู้หญิงบ้างนะครับคุณรณ โดยเฉพาะต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่และคุณแม่คุณที่นั่งอยู่ตรงนี้"
ทำเอาฤทัยสะอึก
"คลื่นไส้ว่ะ...ทำมาเป็นสุภาพบุรุษ"
ฤทัยรีบตะปบแขนดึงรณฤทธิ์ไว้
"พอแล้วตารณ! นั่งลง แม่บอกให้นั่ง"
ฤทัยใช้สายตาบังคับ ทำให้รณฤทธิ์นั่งลง ฤทัยหันไปมองกนกกรที่ยังคงยืนมองหน้านันทนัชราวกับจะฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ
"เราด้วยยัยกิ๊บ...กลับมานั่งที่"
กนกกรจำต้องกลับมานั่งลงไขว้ห้างอย่างไม่สบอารมณ์
"คุณนันคุณกฤตครับ เชิญนั่งเถอะครับ ผู้ใหญ่มารอนานแล้ว" ไกรภัทรว่า
ทั้งคู่เดินไปนั่งลงเคียงข้างกัน กนกกรกัดปากเจ็บใจ
"ต้องขอโทษผู้หลักผู้ใหญ่ทุกท่านด้วยนะคะ ที่ลูกทั้ง2คนของดิฉันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ทั้ง 2 คนยังเด็กอยู่น่ะค่ะ พอเห็นแม่ตัวเองถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นฆาตกรฆ่าคุณลิตรก็เลย...เหลืออด!"
"ใช่ แม่ผมถูกใส่ร้าย แม่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย"
"หึ พูดออกมา ไม่ได้ทำอะไรผิด"
"เฮ้ย...พูดงี้..."
การโต้เถียงดูเหมือนจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง สมุทรชัยต้องรีบเบรก
"เอาล่ะครับ! ใครจะทำผิดหรือไม่ทำ อย่ามามัวเถียงกล่าวหากันอยู่เลยผลพิสูจน์การตายของคุณลิตรอยู่ในมือตำรวจแล้ว พร้อมที่จะฟังกันหรือยังครับ!"
นันทนัชกับฤทัยเงียบ ตามองไปยังแฟ้มเอกสารในมือของตำรวจ2นายที่มากับพ.ต.ต.สันต์
ทิพย์ยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน แต่ใจไปลุ้นอยู่ที่เรือนรัตนะ
"คุณลิตรถูกฆ่าตาย! ผลมันต้องออกมาแบบนี้"
ทิพย์ยิ้มแค้น นายชิดยืนมองอยู่ข้างๆสีหน้ากังวล
"แล้วใครเป็นคนฆ่า ตำรวจจะมีหลักฐานไหม"
ทิพย์สีหน้าเย็นชา
"หึ หลักฐานมันก็โทนโท่อยู่ในบ้านนั่นไง ใครเป็นคนอยู่กับคุณลิตรเป็นคนสุดท้ายในคืนนั้น และใครที่เข้าไปพบศพคุณลิตรเป็นคนแรก ก็นังฤทัยทั้งนั้น หึๆตำรวจจะฟันธงว่าใครเป็นฆาตรกรไปไม่ได้นอกจากมัน"
"เฮ่อ ขอให้วันนี้ เป็นวันที่นังฤทัยกับลูกๆและขี้ข้าของมันชูคออยู่ในเรือนรัตนะเป็นวันสุดท้ายเถอะ เรือนรัตนะของคุณเรไรจะได้สูงขึ้นเสียทีหลังจากที่ถูกคนต่ำๆอย่างนังฤทัยครอบครองให้แปดเปื้อนมานาน เรือนรัตนะควรกลับมาเป็นของทายาทที่แท้จริงอย่างคุณหนูนัน"
ทิพย์ยิ้ม
"แล้วเรา2คนก็จะได้กลับไปมีชีวิตอยู่ในเรือนรัตนะเหมือนเดิม"
ชิดหันไปมองทิพย์ อย่างลังเลที่จะกลับไป
"จะกลับไปอยู่ที่นั่นจริงเหรอทิพย์"
"กลับซิ! ฉันต้องกลับไป เรือนรัตนะที่อีทิพย์เคยได้แต่มอง และไม่นึกไม่ฝันว่า วันนึงจะมีวาสนาได้เข้าไปอยู่"
ทิพย์นึกย้อนไปในอดีต
เช้าวันใหม่ ในห้องครัวเรือนรัตนะ ทิพย์วัยสาวหน้าใสในชุดชาวบ้านแสนธรรมดา กำลังนั่งหั่นผักกะละมังใหญ่อยู่ในครัวเรือนรัตนะ สายตาก็คอยชะเง้อมองออกไปที่เรือนใหญ่
ป้านวลกับหญิงสาวหลายคนกำลังช่วยกัน ทำอาหารหลากหลายชนิด แก้ววิ่งหน้าเริ่ดเข้ามา ประกาศเสียงดัง
"ป้านวล ป้านวล คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายคนใหม่ กลับมาจากจดทะเบียนสมรสแล้ว"
ทั้งคำว่าคุณผู้ชายคนใหม่และทะเบียนสมรส เหมือนเป็นเข็มรนไฟที่ทิ่มแทงเข้าไปใจของทิพย์ มันทั้งเจ็บปวด และร้อนรน จนทนไม่ได้ เธอทิ้งงานทำอยู่แล้วรีบวิ่งออกไป
นวลตะโกนเรียก ด้วยความสงสัย
"นังทิพย์ นังทิพย์ จะไปไหนน่ะ"
ทิพย์เดินจ้ำอ้าวออกไป ไม่สนใจใคร
ประตูรั้วขนาดใหญ่เปิดออก รถเก๋งคันหรูของเรไรแล่นเข้าไปในเขตรั้วบ้าน ที่มีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 100 ไร่ เรือนรัตนะ อาคารหลังใหญ่แสนสง่างาม ตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงามสำหรับงานแต่งงานของเรไรกับลิตร มีเรือนเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่รอบด้าน รถจอดที่หน้าเรือนรัตนะ ชิดรีบวิ่งมาจากรถมาเปิดประตู เรไรก้าวลงจากรถมาก่อน แล้วหันไปบอกคนที่นั่งคู่มากับเธอในรถ
"ลงมาสิจ๊ะ"
ลิตรในชุดภูมิฐาน มีราคา ก้าวลงจากรถ ลักษณะของลิตรเปลี่ยนไปดูเป็นผู้ดีมีสกุล ผิดจากเดิมเป็นคนละคน ลิตรมองไปที่เรือนรัตนะอย่างสมใจ
"เป็นอะไรไปจ๊ะ ทำไมจ้องเรือนรัตนะแบบนั้นล่ะ มีอะไรหรือเปล่า"
"เปล่าครับ ผมแค่ดีใจมาก ที่พี่เรไรเมตตาคนเร่ร่อนแบบผมขนาดนี้"
ลิตรพูดพลางจับมือเรไรขึ้นมาหอม มองด้วยสายตาเยิ้ม เรไรแทบจะละลายอยู่ตรงนั้น
ชิดยืนสงบนิ่งอยู่ด้านหลัง แอบเหลือบตาขึ้นมองท่าทีของลิตร ที่พยายามมัดใจเรไร
เรไรยกมืออีกข้างขึ้นจับหน้าลิตรอย่างหลงใหล
"ต่อไปนี้ เธอไม่ต้องเร่ร่อนไปไหนอีกแล้ว เธอต้องอยู่กับพี่ที่นี่ เราจะเป็นเจ้าของเรือนรัตนะร่วมกัน"
ลิตรดึงเรไรมากอดไว้
"เราสองคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข นะครับพี่"
เรไรพยักหน้า สุดแสนจะมีความสุขเหมือนดั่งขึ้นสวรรค์ ลิตรแอบยิ้มสมใจ ที่กลายเป็นคนรวยได้ดั่งใจหวัง
"ไปจ๊ะ เราเข้าบ้านกันเถอะ ป่านนี้แขกที่มาร่วมงานคงจะรอเราแย่แล้วล่ะ พี่อยากเอาทะเบียนสมรสไปอวดแขกที่มางานจะแย่แล้ว"
เรไรจูงมือลิตรเข้าบ้าน ด้วยความสุขใจ
รำเพยยืนรอรับเรไรอยู่ที่หน้าโถงทางเข้า ลิตรมองรำเพยที่สวยเป็นพิเศษในวันนี้ ด้วยฐานะน้องเจ้าสาว
"อ้าวรำเพย งานข้างในเป็นยังไงบ้างล่ะ เรียบร้อยมั้ย"
"เรียบร้อยทุกอย่างค่ะ ตอนนี้ช่างแต่งหน้า ทำผมรอพี่เรไรอยู่ในห้องแล้วค่ะ"
เรไรพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ รำเพยจัดการทุกอย่างได้ดี และไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับลิตร เลยขยับตัวจะออกไป เรไรเรียกไว้
"เดี๋ยวก่อนรำเพย อย่าเพิ่งไป รำเพยยังไม่ได้อวยพรให้พี่เลยนะ วันนี้เป็นสำคัญของพี่กับลิตร พี่ชายคนใหม่ของรำเพย ไหนมาซิ มาอวยพรให้พี่หน่อย"
รำเพยอึ้ง ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ ด้วยความรู้สึกที่ยังสับสน ตัดใจไม่ขาด เรไรยิ้มหวานฉ่ำ หน้าตาอิ่มสุข เบิกบาน
ลิตรส่งสายตาแสนรักไปให้รำเพย อย่างไม่ปิดบัง รำเพยประคองสติ อวยพรให้คู่บ่าวสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ขอให้พี่ทั้ง2รักกันให้มากๆนะคะ"
"อะไรกัน! อวยพรแค่นี้เองเหรอห่ะ"
"เอ่อ....ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ อยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่า จนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กัน"
เรไรหัวเราะ
"ฮิๆ พอให้พูดก็จ้อเหมือนคนแก่เลย ขอบใจมากนะรำเพย ต่อไปเราคงไม่ต้องมาดูแลพี่มากแล้วล่ะ เพราะพี่มีลิตรมาช่วยดูแลอีกคน ใช่ไหมจ๊ะลิตร"
ลิตรฝืนยิ้ม
"ครับพี่"
"งั้น...รำเพยฝากพี่ลิตรดูแลพี่สาวของรำเพยให้ดีๆนะคะ รักพี่เรไรให้มากๆ อย่าทำให้พี่เรไรเสียใจ"
"อ่ะๆพอแล้วล่ะ พูดมากไปแล้ว เสียจงเสียใจอะไร พูดออกมาได้งานมงคลแท้ๆ"
รำเพยหน้าเสีย รีบเดินผละไป เรไรดึงลิตรเข้าไปในบ้าน เพื่อไปแต่งตัว สำหรับเข้าพิธี
มุมครัวอีกมุมหนึ่ง ชิดถอนใจเสียงดัง ด้วยความไม่สบายใจ ป้านวลนั่งจัดอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมอง ชิดยิ้มเจื่อน
"ขอโทษนะป้า วันนี้วันมงคลของเจ้านายแท้ๆ แต่ชั้นไม่สบายใจเลย มันกังวลยังไงก็ไม่รู้สิ"
นวลพยักหน้ารับ เพราะตัวเองก็กังวล และเป็นห่วงเจ้านายไม่ต่างจากชิด
"ป้าเข้าใจเอ็งนะชิด ป้าว่าอะไรต่ออะไร มันรวดเร็ว รวบรัดไปหมด แล้วนายเอ้ยคุณลิตรน่ะ เค้าจะ..."
ป้านวลอยากพูดว่า จริงใจกับคุณเรไรหรือเปล่า แต่ก็นิ่งพูดต่อไม่ได้ เพราะตัวเองก็ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับลิตรมากมาย แต่น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก
"ชั้นก็ไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีของคนที่ได้ชื่อว่ามาเป็นเจ้านายนะป้า แต่ว่าเค้าจะจริงใจกับเจ้านายของเราจริงๆ หรือเปล่า ...แค่เร่งแต่งงานยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่ถึงกับหอบหิ้วไปปลุกนายอำเภอให้มาจดทะเบียนแต่ไก่โห่....เฮ้อ"
ชิดอึดอัดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ถอนใจ
รำเพยรินน้ำมนตร์จากขวดแก้วในห้องพระ ใส่ในขันเงินที่ใช้สำหรับถ่ายลงในสังข์ รดน้ำ
อวยพรบ่าวสาว พานวางสังข์ประดับดอกไม้สวยงาม วางอยู่ข้างกัน รำเพยหม่นหมอง น้ำตาเม็ดโตๆคลออยู่ที่ขอบตา
รำเพยพยายามกลั้นสะอื้น ด้วยการก้มลงกราบพระบนแท่น
"ขอให้พี่เรไรแม่พระที่แสนดีของรำเพย มีความสุข สมหวังในชีวิตคู่ตลอดไปนะคะ"
พระพุทธรูปบนแท่นที่มีควันธูปที่จุดไว้ลอยบดบังอยู่ ทำให้พระพุทธรูปดูหม่นหมอง
ไม่สดใส
ทิพย์ยืนเกาะขอบประตูหลังมองเข้าไปในบ้านที่กำลังมีงานแต่งงาน กำลังรดน้ำสังข์กันอยู่ ญาติผู้ใหญ่สวมมงคลให้คู่บ่าวสาว เจิมหน้าผาก รดน้ำสังข์ อวยพร
รำเพยกับชิดมาคอยช่วยทำหน้าที่รับแขกอยู่ด้วย ทิพย์มองไปที่ลิตรแล้วพึมพำ
"พี่ลิตรโชคดีอะไรอย่างงี้ ได้เศรษฐีนีมาเป็นเมีย"
ทิพย์ทั้งอิจฉาและผิดหวัง
เรไรดูจะมีความสุขมาก หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ลิตร
"เหนื่อยไหมจ๊ะลิตร"
"เหนื่อยซีครับพี่ แต่มีความสุขมากกว่า"
"วันนี้พี่ก็มีความสุขที่สุดที่ในโลกเลยจ้ะ"
เรไรกอดแขนซบไหล่ลิตรหวานฉ่ำ เสี่ยวิชัย เดินเข้ามารดน้ำอวยพร ด้วยหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
"ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณเรไร มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองนะครับ"
เรไรหันไปรับพร หน้าตาแช่มชื่น เบิกบาน หัวเราะฮิฮะ ถูกใจ ลิตรยิ้มเจื่อนๆ แบบขอไปที
เรือนริษยา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ทิพย์ยังยืนแอบมองอยู่ ป้านวลเข้ามาเรียก
"อ้าวนังทิพย์ มายืนชะเง้อคอยาวแอบดูอะไรอยู่ตรงนี้ ฉันจ้างแกมาช่วยทำกับข้าวนะ อีนี่จะอู้หรือไง"
"ปล่าวซะหน่อยป้า ไม่ได้อู้"
" งั้นก็ไปซี เดี๋ยวรดน้ำเสร็จแขกเค้าจะกินกันแล้ว"
"รู้แล้วน่า"
ทิพย์รีบเดินผละไปที่ครัว หน้าตาบูดบึ้ง
โต๊ะบุฟเฟ่อาหารไทย ถูกจัดอยู่กลางห้องโถง สวยงามทั้งอาหารคาว หวาน มีป้านวล แก้ว ทิพย์ และหญิงสาวอีก 2 คน ในชุดเสื้อขาว ผ้าถุงลายไทยสวยงาม คอยผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาเติม และตกแต่งอาหารให้สวยงามน่ารับประทาน
แขกผู้ใหญ่ ท่าทางภูมิฐานหลายคนเดินวนเวียน ตักอาหาร ไปทางตามจุดต่างๆ บ้างก็ยืนจิบเครื่องดื่มคุยกัน เป็นกลุ่มๆ
เรไรกับลิตรเดินพูดคุย ทักทายแขกเหรื่อในงานท่าทางมีความสุข ทิพย์แอบเหลือบมอง เป็นระยะ ด้วยความอิจฉาปนเสียใจ ลิตรยังทักทายทิพย์ไม่ได้ เพราะเรไรคอยดึงไปแนะนำกับแขกในงาน
อีกมุมของงาน รำเพยเดินซ่อมแซมดอกไม้และของแตกแต่งในงาน ด้วยหน้าตาเคร่งขรึม พยายามไม่มองคู่บ่าวสาว
วันชัย ลูกชายเสี่ยวิชัยเดินถือแก้วน้ำสีสวยกับจานเล็กใส่ของว่างน่าตาดูดีเข้ามาหา
"รำเพยครับ ดื่มน้ำหน่อยนะครับ ผมเห็นรำเพยยุ่งตั้งแต่เช้าเลย นี่ทานข้าวหรือยังครับ"
น้ำเสียงอ่อนโยน จริงใจของวันชัย เรียกรอยยิ้ม ขอบคุณจากรำเพยได้อย่างไม่ยาก
"ขอบคุณค่ะคุณวันชัย"
รำเพยน้ำมาดื่ม และพูดคุยกับวันชัยด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
ลิตรกวาดตาองหารำเพยไปทั่วงาน แล้วเห็นรอยยิ้มที่รำเพยให้กับวันชัย ความอิจฉาและความไม่พอใจ ก็ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนบนหน้า เรไรจะดึงลิตรไปที่แขกกลุ่มต่อไป แต่เขายืนนิ่ง จนเรไรสงสัย
"ลิตรยืนมองอะไรจ้ะ ไปไหว้ท่านผู้กำกับตรงโน้นเถอะ"
ลิตรไม่ขยับตัว จ้องเขม็ง เรไรเห็นรำเพยกับวันชัย ยืนคุยกันด้วยท่าทางสนิทสนมก็ชื่นใจ
"นั่นวันชัยลูกชายของเสี่ยวิชัยกับยายรำเพยนี่"
เรไรแปลกใจที่เห็นลิตร มองอย่างไม่สบอารมณ์ เรไรเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง อารมณ์ของเรไรเริ่มเปลี่ยน เขารู้สึกถึงอารมณ์ของเธอที่เปลี่ยนไป ทำให้ลิตรได้สติ กลับมาสนใจเรไรเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้เธอระแคระคาย
"พี่เรไรครับ อย่าไปสนใจเลยครับ พอดีผมแค่ไม่คุ้นหน้าน่ะครับ เราไปไหว้ใครนะครับ ท่านผู้กำกับใช่มั้ยครับ"
ลิตรโอบเอวเรไร อย่างเอาใจ พร้อมกับพูดประจบ
"ยิ้มหน่อยนะครับเจ้าสาวคนสวยของผม นะครับ นะครับ"
เรไรหลงคารมลิตร จนกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม
มุมหนึ่งภายในเรือนรัตนะ ทิพย์หลังจากที่ทำงานเสร็จได้รับค่าจ้าง เดินนับเงินมา
"ทำกับข้าวหลังขดหลังแข็ง แถมยังต้องช่วยเดินเติมอาหารด้วย แต่ได้ค่าเหนื่อยเท่าเนี่ยะ อีป้าหน้าเลือด กดค่าแรงทุกที ถ้าฉันหางานแม่ครัวเองได้ ฉันจะไม่ง้อแกเลย"
ทิพย์ต้องชะงักเมื่อเห็นลิตรในชุดเจ้าบ่าวเดินตรงเข้ามาหา ทิพย์มองสภาพตัวเองแล้ว ช่างแตกต่างจากลิตรราวเศรษฐีกับยาจก เลยไม่อยากอยู่สู้หน้า
"เดี๋ยวทิพย์ อย่าเพิ่งไป"
ทิพย์เลยจำต้องชะงักยืนอยู่กับที่ ลิตรเดินเข้ามาใกล้
"ทิพย์มาช่วยงานแต่งฉันเหรอ"
ทิพย์พยักหน้า
"อื้อ...แม่ครัวเค้าขาดน่ะ เลยจ้างฉันมาช่วย"
"ขอบใจมากนะทิพย์"
"เอ่อ...ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก! เดี๋ยวนี้พี่ลิตรรวยแล้ว มีฐานะเป็นคุณผู้ชายของเรือนรัตนะ ฉันต่างหากที่ต้องเกรงใจพี่ลิตร"
ลิตรได้ยินทิพย์พูดอย่างนั้น คนทะเยอทะยานอย่างเขาสุดแสนจะภูมิใจ
"งั้นเปลี่ยนคำขอบใจของฉัน เป็นทิพย์มีอะไรจะให้ฉันช่วยก็บอกแล้วกันฉันเต็มใจจะช่วย ในฐานะที่เราเคยรู้จักกัน เกือบจะได้เป็นแฟนกัน"
ลิตรส่งยิ้มเจ้าชู้ให้แล้วเดินผละไปทางประตูด้านข้างทะลุไปสวน ทิพย์อ้าปากค้างมองตาม
"เกือบจะได้เป็นแฟนกัน หึ ใช่ซี อีทิพย์มันไม่มีจะกินนี่ จะไปสู้คุณนายเรไรได้ยังไง"
รำเพยแอบมานั่งอยู่คนเดียวในมุมสวน การที่ลิตรเข้ามาอยู่ร่วมบ้าน ทำให้เธอหนักใจไม่น้อย ลิตรเดินมองหามา...
"รำเพย!"
ลิตรเดินยิ้มเข้ามาหา เธอลุกขึ้นยืนทำอะไรไม่ถูก
"วันนี้รำเพยสวยมาก รู้ไหมจ๊ะ ใครได้รำเพยมาแต่งงานด้วย ต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก ฉันอยากเป็นผู้ชายที่โชคดีคนนั้นแต่ถึงหมดโอกาส ฉันขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆรำเพย แค่อยู่ร่วมชายคาได้เห็นหน้ารำเพยทุกวัน ฉันก็มีความสุขมากแล้ว นางฟ้าของฉัน"
รำเพยอึ้งมองลิตร
ทิพย์แอบยืนมองอยู่ ได้ยินลิตรจีบรำเพยทุกคำพูด ทั้งตกตะลึงทั้งเจ็บแปลบ จนต้องยืนหลังพิงฝามือทาบอก แต่พอหันมาต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นเรไรเดินเข้ามา มองด้วยท่าทางไว้ตัว
"เธอเป็นใครเนี่ยะ เข้ามาทำอะไรในเรือนของฉัน"
"เอ่อ...ฉันเข้ามาช่วยทำกับข้าวในงานน่ะจ้ะคุณนายเรไร"
ทิพย์แกล้งพูดให้เสียงดังเพื่อเตือนลิตรกับรำเพย
"ถามแค่นี้ ต้องพูดเสียงดังโหวกเหวก ไม่มีใครอบรมสั่งสอนหรือไงอ้าว...ไปซี มาทำกับข้าวก็ไปอยู่ในครัว ยังจะมายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนี้อีก"
ทิพย์ก้มหน้าทำเดินไป แต่แอบหันมามองเรไรเดินออกไปเจอลิตรยืนอยู่
"โธ่ลิตร...ออกมาทำไมตรงนี้ พี่ตามหาแทบแย่ ถึงเวลาส่งตัวเข้าหอแล้ว เดี๋ยวเสียฤกษ์หมด อ้าวนั่น..."
เรไรเพิ่งมองเห็นรำเพยยืนอยู่ข้างหลัง
"แม่รำเพย! เธอก็อยู่ตรงนี้ด้วยเหรอเนี่ยะ คุยอะไรกันอยู่เหรอ"
"เอ่อ..."
ลิตรรีบพูดขึ้นก่อนที่เรไรจะสงสัยมากไปกว่านี้
"โธ่เอ้ย พี่เรไรมาเห็นจนได้ หมดกัน ผมอุตส่าห์แอบมาถามความลับจากน้องรำเพย ว่าพี่เรไรชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ต่อไปอยู่ด้วยกัน ผมจะได้เอาใจพี่ได้ถูก"
ได้ผล...เรไรหัวเราะถูกใจ เดินเข้ามาโอบรอบคอลิตร
"แหมลิตรอ่ะ ไปถามคนอื่นทำไม ถามพี่ซี พี่จะบอกลิตรทุกอย่าง เราไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังกันอีกแล้ว เพราะนับแต่วันนี้เป็นต้นไป เราเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามประเพณีและกฎหมายแล้ว ต่อไปชีวิตพี่และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตพี่ก็จะเป็นของลิตรคนเดียว"
เรไรโอบแขนรอบคอลิตรยิ้มอย่างผู้หญิงที่มีความสุขมากที่สุดในโลก…ต่อหน้าสายตาของทั้งรำเพย และทิพย์ที่แอบมองอยู่
-เวลาต่อมา ลิตรอุ้มเรไรก้าวข้ามธรณีเข้าห้องหอ โดยมีรำเพย นายชิด และแขกผู้ใหญ่2-3คนมาส่งอยู่หน้าห้อง ทิพย์แอบขึ้นบันไดตามมาดูการส่งตัวห่างๆ
เรไรยิ้มมองหน้าลิตรที่อุ้มเธออยู่อย่างมีความสุข รำเพยที่ทำหน้าที่ปิดประตูให้ สายตาทั้งของลิตรและรำเพยมองสบตากัน ก่อนประตูจะปิดลงสนิท
ทิพย์กำลังเดินออกมาที่ถนนสายยาวหน้าเรือนรัตนะ มองเรือนด้วยแววตาใฝ่ฝัน
"สักวันนึง ชีวิตฉัน...อาจจะเป็นคุณนายกับเค้าบ้าง"
ภายในเรือนรัตนะ ปัจจุบัน ทุกคนกำลังตั้งตารอฟัง พ.ต.ต.สันต์รับผลการชันสูตรศพ
มาจากนายตำรวจ ...เปิด...ลุกขึ้นยืนอ่าน
“การสอบสวนหาสาเหตุการตายของนายลิตรครั้งที่2 ผลการชันสูตรศพระบุว่า...”
พ.ต.ต.สันต์เงยหน้ามองไปทั้งนันทนัชและฤทัย นันทนัชลุ้นมากจนบีบมือตัวเองแน่น
ขณะที่ฤทัยเองก็ลุ้นจนแทบลืมหายใจ กนกกรยื่นมือไปเกาะแขนแม่อย่างลุ้น
“คุณลิตรเสียชีวิตเนื่องจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน”
“หา...”
นันทนัชตะลึงค้าง หน้าซีดเผือด ส่ายหน้าน้อยๆไม่เชื่อหูตัวเอง ขณะที่ฤทัยยิ้มออกมาอย่างดีใจ กนกกรบีบแขนฤทัยดีใจจนเนื้อเต้น รณฤทธิ์ตบเข่าเผี๊ยะอย่างสะใจ สมุทรชัยกับไกรภัทรหันมาสบตากัน...แอบผิดหวัง
“ความดันโลหิตลดลงต่ำอย่างกะทันหัน แต่ไม่พบสารพิษใดๆในร่างกาย รวมทั้งไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือแผลใดๆภายนอกร่างกาย ดังนั้น...”
“พอเถอะค่ะ! ไม่ต้องอ่านอีกแล้ว”
นันทนัชโพล่งออกมา ทำเอาสันต์หยุดชะงัก หมวดเมธในฐานะตำรวจทำคดีครั้งแรกเลยพูดขึ้น
“ผมรู้ว่าคุณนันรู้สึกยังไง แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องฟัง ตราบใดที่มันเป็นความจริง และคุณก็ควรจะยอมรับมันให้ได้นะครับ”
“ใช่ หมวดเมธพูดถูก หนูนันต้องยอมรับความจริงให้ได้” ฤทัยบอก
“จะให้ยอมรับอะไร ในเมื่อผลชันสูตรฉบับนี้มันไม่เห็นจะมีอะไรเลย นอกจากย้ำผลซ้ำๆผลชันสูตรคราวที่แล้ว ไม่ได้มีอะไรใหม่เพิ่มขึ้นมา”
“ก็แหง๋ล่ะ เห็นได้ชัดว่าผลการผ่าพิสูจน์ศพครั้งแรกน่ะถูกต้องแม่นยำขนาดไหน ไม่ว่าหนูจะพยายามใส่ร้ายฉัน ร้องขอให้มีการดำเนินการใหม่อีกสักกี่รอบ ผลมันก็จะต้องออกมาเหมือนเดิม คือคุณลิตรหัวใจวายตายเอง ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่า”
“ไม่จริง...คุณนั่นแหละฆ่าพ่อฉัน!”
กนกกร รณฤทธิ์ลุกเถียงแทน
“แม่ฉันไม่ได้ฆ่า”
“แม่เธอนั่นแหละฆ่า!”
นันทนัชลุกขึ้นโวยอย่างสติแตก
“เอ๊ะหนูนัน! หลักฐานก็คามือตำรวจอยู่แล้ว ยังจะมากล่าวหาน้าอยู่อีกนี่หนูเมายารึปล่าวห่ะ หนูใช้ยาใช่ไหม ติดมาจากเมืองนอกเหรอ”
“หยุดใส่ร้ายฉันนะ! คุณนั่นแหละใส่ยาอะไรให้พ่อฉันกิน สารภาพมาเดี๋ยวนี้”
“อุ้ยต๊ายตาย ดูเด็กคนนี้ซีคะ พูดจาไม่รู้เรื่อง”
กฤตพนธ์คว้าแขนห้าม
“หยุดเถอะครับคุณนัน! มีสติหน่อย”
เธอหันมามองเชาเหมือนขอความเห็นใจ
“พ่อฉันถูกฆ่าได้ยินไหมคุณกฤต ฉันไม่ยอมรับผลนี่ ฉันจะให้ชันสูตรศพใหม่อีกรอบ ฉันจะเอาฆาตกรเข้าคุกให้ได้”
เขาได้แต่เงียบ ทำอะไรไม่ได้ นันทนัชเลยหันไปทางพ.ต.ต.สันต์
“ลุงสันต์คะช่วยนันอีกครั้งนะ ลุงต้องช่วยนัน”
“ใจเย็นๆก่อนหนูนัน ตำรวจชุดนี้ก็ทำงานเต็มที่แล้วนะ”
“ถ้าลุงไม่ช่วย นันจะหาตำรวจชุดใหม่มาทำคดีนี้เอง”
“คุณนัน! คุณคุมตัวเองหน่อย นั่งลงฟังตำรวจแถลงต่อให้จบเถอะครับ”
กฤตพนธ์ดึงนันทนัชให้นั่ง แต่เธอสติแตก ใจคอร้อนรนคุมตัวเองไม่อยู่ ปัดมือเขา
“ฉันไม่ฟัง ปล่อยฉัน! ฉันจะหาตำรวจชุดใหม่มาทำคดีนี้”
“ผมว่าพาหนูนันออกไปสงบสติข้างนอกก่อนดีกว่าครับ”
สันต์บอกกับกฤตพนธ์เมื่อเห็นเขาคุมเธอไม่อยู่ เขาเลยคว้าแขนดึงเธอออกไป
“มากับผมคุณนัน!”
“ฉันไม่ไป ปล่อยฉันนะ ฉันจะเอาฆาตกรเข้าคุก พ่อฉันถูกฆ่า พ่อฉันถูกฆ่า”
พ.ต.ต.สันต์ส่งเอกสารให้สมุทรชัย
“คุณทนายช่วยอ่านต่อแทนผมที ผมขอไปดูหนูนันหน่อย”
พ.ต.ต.สันต์เดินออกไป ฤทัย รณฤทธิ์มองตามอย่างสะใจ กนกกรลุกจะตามไป แต่ฤทัยรั้งไว้
“แกไม่ต้องตามไป”
“แต่คุณกฤต...เอ่อ...”
“ก็ช่างเค้าซี เรื่องคดีสำคัญกับเรามากกว่า นั่งลงฟัง!”
กนกกรจำใจต้องนั่งลง
“เชิญคุณทนาย แถลงผลต่อเลยค่ะ จะได้จบๆไปซะที”
“ครับ”
ภายนอกเรือนรัตนะ บริเวณมุมสวน กฤตพนธ์ดึงแขนนันทนัชเดินออกมา
“ปล่อยฉันนะ...บอกให้ปล่อย ฉันจะไปเอาเรื่องไอ้พวกฆาตกร”
“คุณหยุดเอะอะโวยวายเหมือนคนบ้าซะทีได้ไหม”
“คุณนั่นแหละบ้าๆๆๆ...ฮือๆๆ”
เธอตีเขาเพื่อระบายอารมณ์ แล้วก็หยุด....ยืนก้มหน้าสะอื้นไห้
“ไม่มีใครเข้าใจเลย ว่าฉันรู้สึกยังไง ฮือๆๆ”
“มีซิ ผมเข้าใจคุณ”
เขาโอบปลอบเธออย่างสงสาร
“ฉันยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องรื้อฟื้นคดีนี้ใหม่อีกสักกี่ครั้ง ฉันก็จะทำ”
“ถ้าหนูทำอย่างงั้น ศพของคุณลิตรก็จะต้องถูกผ่าพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า”
ทั้งคู่ชะงัก สันต์เดินหน้าเครียดเข้ามาหา
“จนพรุนไปหมดทั้งร่าง!!” สันต์พูดต่อ
นันทนัชได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
“คิดถึงวิญญาณคุณลิตรที่ตายไปแล้วบ้างซีหนู ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน ถ้าศพยังไม่ถูกฌาปนกิจตามพิธีทางศาสนา พ่อหนูก็ยังไปเกิดไม่ได้ แล้วหนูไม่สงสารคุณพ่อเหรอ”
นันทนัชได้แต่สะอื้นพูดอะไรไม่ออก
“เรื่องคดี ลุงได้พยายามช่วยหนูเต็มที่แล้ว แต่ก็ในเมื่อผลชันสูตรศพมันออกมาแบบนี้ ลุงจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ลุงทำไม่ได้หรอก”
“ยอมรับความจริงเถอะครับคุณนัน อย่าให้วิญญาณพ่อคุณต้องทรมานอีกต่อไปเลยครับ ถ้าคุณลิตรไม่ได้เสียชีวิตเพราะหัวใจวาย แต่ถูกฆาตกรรมจริงๆอย่างที่คุณสงสัย ผมเชื่อ...ว่าต่อให้ไม่มีศพคุณลิตรก็ต้องมีหลักฐานอย่างอื่นหลงเหลืออยู่ สักวันนึง ความจริงอาจจะเปิดเผยออกมา”
นันทนัชพยักหน้า
“นันยอมแล้วค่ะ...นันยอมแล้ว”
สันต์กับกฤตพนธ์มองหน้ากัน โล่งอก สันต์หันเดินกลับเข้าบ้านไป นันทนัชทรุดนั่ง ปล่อยให้น้ำตาร่วงเพื่อระบายความเสียใจ ความคับแค้นใจทั้งหมดที่เกิดขึ้น กฤตพนธ์นั่งมอง ด้วยความห่วงใย
ภายในห้องครัว ร้านอาหารของแฟนต้า ทิพย์เดินไป เดินมาอย่างกระวนกระวายใจ จนเด็กในร้านมองด้วยความแปลกใจ แต่ไม่กล้าถาม สุดท้าย เธอทนไม่ไหว รีบเดินออกไปทางหน้าร้าน เด็กในร้านมองตาม แล้วหันมองหน้ากัน
เด็ก1ถาม
“น้าทิพย์ เค้าเป็นไรอ่ะ”
เด็ก2ส่ายหน้า
“ไม่รู้ดิ แต่หน้าตาน่ากลัวเป็นบ้าเลยอ่ะ”
เด็ก1 พยักหน้ารับ เห็นด้วย แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม ได้แต่ก้มหน้า ก้มตา ทำงานกันต่อ
เสียงมือถือขดังขึ้น นันทนัชสะดุ้ง ยกมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์ 02 เลยวางไว้ ตั้งใจจะไม่รับ แต่โทรศัพท์ ยังดังไม่หยุด เธอเหมือนนึกได้ รับสาย
“ฮัลโหลคุณนัน! ผลออกมาเป็นไง คุณลิตรถูกนังฤทัยฆ่าใช่ไหมคะ”
ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ ทิพย์ถามด้วยสีหน้าเชื่อว่าผลต้องเป็นอย่างงั้น
“ยัยแม่เลี้ยงรอดค่ะน้าทิพย์ เค้ารอด”
ทิพย์ฝันสลาย หมดโอกาสกลับไปเรือนรัตนะ
“รอดได้ยังไงกัน คุณลิตรไม่ได้ตายเอง คุณลิตรถูกฆ่านะคะ”
“หลักฐานล่ะคะน้าทิพย์ เราไม่มีหลักฐานเอาผิดเค้า”
“หลักฐานก็อยู่ในตัวคุณลิตรไงล่ะคะ”
“ไม่มีค่ะ ตำรวจไม่พบหลักฐานอะไรเลย นอกจากหัวใจวาย”
ทิพย์แทบทรุด ต้องเกาะตู้เพื่อพยุงตัวเองไว้
“ไม่มีทาง...ไม่มีทาง คนถูกฆ่ามันต้องมีหลักฐานหลงเหลืออยู่ในศพซี นอกเสียจากว่าตำรวจจะถูกยัดเงิน”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะน้าทิพย์ ตำรวจชุดนี้นันหามาช่วยคดีเองไม่มีใครมาซื้อตัวได้หรอกค่ะ”
“คุณนันแน่ใจได้ยังไงคะ นังฤทัยมันทำได้ทุกอย่างแหละ มันอาจจะเอาเงินฟาดหัว เพื่อปิดคดีซะ เหมือนคดีของคุณเรไรที่โดนมาแล้ว”
ทิพย์ตกใจ ตบปากตัวเอง ที่หลุดปากออกไปอย่างงั้น
เรือนริษยา ตอนที่ 11 (ต่อ)
แฟนต้าเดินเข้ามาในครัว ชะเง้อมองหาทิพย์ แต่ไม่เห็น เลยถามเด็กในร้าน
“เอ๋...น้าทิพย์ไปไหนล่ะ”
“เมื่อกี้เห็นเค้าเดินออกไปหน้าร้านน่ะค่ะ หน้าตาน่ากลั๊ว น่ากลัว”
แฟนต้ามองไปทางหน้าร้าน แปลกใจกับคำพูดของเด็กในร้าน
นันทนัชตกใจ กฤตพนธ์มองอย่างสงสัย
“คะ? อะไรนะ คดีอะไรของคุณป้าเรไรนะน้าทิพย์”
“อ่า...ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณหนู น้าโมโหก็พูดไปเรื่อยเจื้อย น้าต้องรีบไปทำงานแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะคะ”
เธองงที่ทิพย์ตัดการสนทนาไปเลย กฤตพนธ์สงสัย มีคำถามมากมาย
ทิพย์โมโห ปาหูโทรศัพท์ใส่ข้างตู้อย่างเดือดดาล แฟนต้าเดินออกมาเห็นอาการ ที่น่ากลัวของทิพย์พอดี
“ฉันสังหรณ์ใจอยู่แล้ว นังนันทนัช ว่าคนอ่อนแอแบบแก ทำอะไรนังฤทัยไม่ได้ หรอก ถึงแกจะรอดคุกไปได้นะอีสารเลวฤทัย แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ไม่อย่างงั้นแกจะฮุบทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด ไม่เหลือแม้แต่...เรือนรัตนะบ้านที่ฉันเคยอยู่เคยกิน...เคยมีความรักความสุข..และความทุกข์ที่สุดที่นั่น”
ทิพย์ฟาดหูโทรศัพท์กับข้างตู้ จนแหลกละเอียด ด้วยโทสะแรงกล้า ที่ยังจมอยู่กับอดีตที่ไม่เคยลืม แฟนต้า สยอง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เธอนึกถึงคำพูดของธีร์
“ช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วย อย่างเรื่องน้าทิพย์ มันน่าสงสัย”
“พี่จะมาสงสัยอะไรน้าทิพย์? อย่าลืมนะ น้าทิพย์เป็นคนที่เลี้ยงนันมา ท่าทางเค้ารักนันมาก”
“แต่พี่ติดใจ มันบังเอิญเกินไป ที่อยู่ๆ น้าทิพย์เข้ามาทำงานในร้านต้า โดยไม่รู้ว่าต้ากับนันเป็นเพื่อนสนิทกัน ต้าต้องจับตาดูน้าทิพย์เอาไว้”
“เฮ้ย! จะดีเหรอพี่ธีร์”
แฟนต้า คิดหาทางทำอะไรสักอย่าง เพื่อหาคำตอบให้กับความสงสัยของธีร์และตัวเอง
เวลาต่อมา ฤทัยยืนส่งทุกคนที่กำลังแยกย้ายกลับ
“ขอบคุณมากนะคะหมวดเมธ เฮ่อ...ปิดคดีได้ซะทีนะคะ ขอบคุณมากนะคะคุณตำรวจทุกๆท่าน ขอบคุณที่เสียเวลามาทำคดีซ้ำๆ ให้เหนื่อยฟรีๆซะเปล่าๆ แทนที่จะเอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่น ดิฉันส่งแค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ”
ตำรวจออกไปหมดแล้วก็เหลือแต่สมุทรชัยกับไกรภัทรที่เก็บเอกสารกำลังจะออกไป
“ผมกลับก่อนนะครับคุณฤทัย” สมุทรชัยบอก
“อ่ะเดี๋ยวๆๆค่ะ จะกลับได้ยังไง เรายังไม่ได้คุยเรื่องพินัยกรรมกันเลย”
“เรื่องคดีก็หมดเรื่องหมดราวไปแล้ว เอาพินัยกรรมมาเปิดได้แล้วล่ะค่ะ จะได้แบ่งๆสมบัติกันให้จบซะที” กนกกรบอก
“นั่นดิ เบื่อหน้านังนนเต็มที แบ่งสมบัติให้มันไปซะ จะได้ไม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกันอีกต่อไป” รณฤทธิ์ว่า
“หึ ก็จริงน่ะครับ แบ่งมรดกกันแล้วก็แยกกันไป ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมาทะเลาะกันอีก แต่ก็ไม่รู้นะครับ ว่าใครจะเป็นฝ่ายได้อยู่ที่เรือนรัตนะนี่ ใครจะเป็นฝ่ายที่ต้องไป” ไกรภัทรว่า
“อืม...มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณลิตรยกบ้านหลังนี้ให้กับใคร” สมุทรชัยบอก
“อ้าว ก็ต้องยกให้เมียซี แม่ฉันเป็นเมีย ดูแลรับใช้พ่อลิตรมาเหนื่อยขนาดไหนรู้ป่ะ ถ้าไปยกให้นังนันลูกนอกคอกก็เกินไปแล้ว”
ฤทัยยิ้มเห็นดีเห็นงามกับลูกชาย
“รออีกนิดนะครับ รอให้เสร็จสิ้นพิธีศพคุณลิตรเสียก่อน ผมจะกำหนดวันเปิดพินัยกรรมทันที”
หลังจากทุกคนกลับไปหมดแล้ว ฤทัยเดินนำลูกๆเข้ามาสุมหัวกันในห้องทำงาน โดยมีไม้เดินตามหลังเข้ามาด้วย กนกกรบ่นปอดแปด
“โฮ่ย...ยังต้องรอให้เผาศพเสร็จซะก่อนอีก จะได้สมบัติทั้งที ทำไมมันถึงเรื่องเยอะเรื่องแยะขนาดนี้นะ กิ๊บเหนื่อย...เหนื่อยๆ”
“นี่!แกอย่าบ่นนักเลยน่ายัยกิ๊บ ถ้าได้สมบัติมา มันคุ้มค่ากับที่แกเหนื่อยหลายเท่าก็แล้วกันน่า”
“เออ...บ่นอยู่นั่นแหละ บ่นมากก็ไม่ต้องให้สักแดงเลยแม่ ปล่อยให้ไปหาผัวรวยๆเอาเอง”
กนกกรคว้าหมอนอิงใกล้มือปาใส่น้องชาย
“แกก็หยุดเห่าบ้างได้ไหมไอ้รณ ห่ะ”
แล้วกนกกรก็นึกขึ้นได้
“เออ! ลืมไปเลยอ่ะ คุณกฤต ป่านนี้นังนันออเซาะไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
กนกกรลุกจะวิ่งไปที่ประตู
“หยุดเลยนะ...หยุดยัยกิ๊บ ไม้!”
ไม้เลยขวางกนกรไว้ทันที ฤทัยพูดต่อ
“ยังจะวิ่งไปหามันอีกเห็นชัดๆ แล้วนายกฤตมันไม่เอาแก มันจะเอานังนัน”
“ไม่จริง! คุณกฤตแค่เห็นใจมัน เค้าไม่จริงจังกับมันหรอก หลีกไปนะนายไม้ ฉันจะออกไป”
ฤทัยลุกมากระชากกนกกร
“หยุดโง่ซะทีเถอะน่า! แล้วฟังแม่ ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก ไว้แกรวยมีเงินมีทองสูงท่วมหัวเมื่อไหร่ จะมีผู้ชายวิ่งเข้ามาให้แกเลือกเองแหละ”
“แต่กิ๊บรักคุณกฤต...แม่ไม่เข้าใจหรือไง”
กนกกรเถียงน้ำตาคลอ
“ฉันไม่เข้าใจเว้ย ความรักมันกินไม่ได้หรอกแก อย่าน้ำเน่าไปหน่อยเลย”
“งั้นในชีวิตแม่ก็คงไม่เคยรักผู้ชายคนไหนซินะ แม้แต่พ่อลิตร”
ฤทัยไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะราวกับขำเสียเต็มประดา ตามองไปที่ไม้ เหมือนบอกว่าสำหรับฉันตอนนี้...มีแต่ไม้นะ
“หึๆ ฉันไม่อยากจะคุยเรื่องไร้สาระกับแก มีเรื่องสำคัญกว่าที่ฉันต้องคิดจัดการ...รออยู่ข้างหน้า ไม้! ไปช่วยจัดการจองเมรุเฝ้าศพที่วัดให้ฉันที"
"ได้ครับคุณผู้หญิง เอาวันไหนครับ"
"เอาเร็วที่สุด ฉันต้องการจะเผาศพคุณลิตรไปให้พ้นเร็วๆ อีนันมันจะได้เลิกเอาศพพ่อมันมาข่มขู่ฉันซะที ไม่มีร่างนายลิตรอยู่บนโลกนี้วันไหนวันนั้นจะเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ของฉัน หึ!"
แฟนต้าเดินกลับเข้ามาในร้านอย่างครุ่นคิด มองซ้าย มองขวา ก่อนจะตัดสินใจเดินหลบไปหลังร้าน แอบไขประตูเข้ามาในห้องพักของทิพย์ที่อยู่ด้านหลังของร้าน
เธอมองเข้าไปในห้อง พลางยกมือไหว้ขอโทษ
"ขอโทษนะคะน้าทิพย์ ต้าแค่อยากรู้ว่า จริงแล้วน้าทิพย์เป็นใครกันแน่ หวังดีกับเพื่อนรักของจริงหรือเปล่า เท่านั้นเองนะคะ ขออนุญาตค้นห้องหน่อยนะคะ"
เธอรีบปิดประตูค้นหาตามตู้เสื้อผ้า
ทิพย์เดินกลับเข้าในร้าน หน้าตายังมีร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวอยู่ พนักงานเสิร์ฟที่กำลังจัดโต๊ะ เตรียมเปิดร้านอยู่ หันมาเห็นทิพย์ รีบตะโกนบอก
"น้าทิพย์ เจอคุณต้าหรือยัง เห็นเธอตามหาตั้งนานแล้ว"
ทิพย์ ส่ายหน้ายังไม่อยากพูดกับใคร
"อ้าวเหรอ งั้นไปหาเธอหน่อยสิ เห็นเธอเดินไปที่เรือนด้านหลังน่ะ"
ทิพย์หน้าเครียดด้วยความระแวง รีบเดิน จ้ำอ้าวเข้าไปที่หลังร้าน พนักงานมองตาม อย่างแปลกใจ
"เป็นไรป่าวเนี่ย หน้าตาเหมือนน่ากลัวเกิ๊น"
แฟนต้ายังคงพยายามหาหลักฐานอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังไม่พบ
"ทะเบียนบ้าน...บัตรประชาชน...ไม่มีเลยหรือไง อุ้ย!"
แฟนต้าทำกองนิตยสารอ่านเล่นที่วางกองอยู่ร่วง แฟนต้ารีบเก็บ พลางหันมองไปที่ประตูห้อง กลัวทิพย์จะกลับมา
ทิพย์เดินอ้อมข้างร้านมา พยายามหลบเลี่ยง ไม่คุยกับพนักงานที่เริ่มมาเตรียมตัวเปิดร้านแล้ว
แฟนต้ารีบเก็บหนังสือ…และแล้วก็เจอกระดาษแผ่นหนึ่งพับตกอยู่ แฟนต้ารีบหยิบขึ้นมาคลี่ดู เห็นเป็นสำเนาบัตรประชาชนเก่าๆของทิพย์
"Yes!"
แฟนต้าดีใจ รีบล้วงมือออกมาจะถ่ายรูปไว้ แต่ในห้องแสงมืดมาก ประกอบกับได้ยินเสียงคนเดินมา แฟนต้าหันมองไปที่ประตูอย่างตกใจ!
ทิพย์ตรงมายังบ้านพักคนงานที่ปลูกเป็นห้องแถวอยู่ และเดินมามาหยุดที่หน้าห้องตัวเอง…ล้วงกุญแจห้อง...หันมองไปรอบๆ พยายามมองว่าหาแฟนต้าอยู่หรือเปล่า ในใจรู้สึกหวาดระแวงยังไงบอกไม่ถูก ทิพย์มองที่ประตู...คิด...หรือว่ามีคนแอบเข้าไปในห้อง...ทิพย์ไขกุญแจเปิดผัวะเข้าไป เปิดไฟสว่างขึ้น
ในห้อง...ว่างเปล่า...ไม่มีใครอยู่...ทิพย์เดินเข้าห้องไปปิดประตู หันไปคว้าผ้ากันเปื้อนมาแต่งตัวชุดแม่ครัว พลางหันมองสำรวจไปทั่วห้องว่ามีอะไรผิดปรกติไหม
แฟนต้าหนีออกมาทันยืน แอบอยู่ที่ข้างห้องน้ำรวม ตาโผล่ออกไปมองที่ห้องทิพย์อย่างโล่งอกก่อนจะรีบย่องกลับเข้าร้านไป
ทิพย์สวมหมวกแม่ครัวมองหน้าตัวเองในกระจก สีหน้าดูเหี้ยมเกรียม น่ากลัว ไม่เหลือเค้าของน้าทิพย์ใจดีแม้สักนิด แล้วตาก็พลันไปเห็นบางสิ่งทางด้านหลังตัวเองจากกระจก ...นิตยสารเล่มหนึ่งตกอยู่ เธอเดินมาหยิบนิตยสารขึ้นและมองไปที่กองหนังสือ คิดสงสัยไม่มีทางที่หนังสือจะร่วงลงมาเองจากกองได้ ถ้าไม่มีใครมาโดน
แฟนต้าเดินมองสำเนาบัตรประชาชนของทิพย์ และพกดมือถือหาธีร์
"ฮัลโหลพี่ธีร์ ต้าเอ่อ..."
"ไว้ค่อยคุยกันนะต้า พี่จะมาดีใจกับนันน่ะ กำลังจะถึงบ้านแล้ว"
"แหม...ไปไม่ชวนกันเลยนะพี่ธีร์"
"ฮ่ะๆๆชวนมาเป็นก้างขวางคอทำไม แค่นี้นะ แล้วพี่จะโทร.กลับ บาย!"
ธีร์กดวางสายไป ทิ้งให้แฟนต้ายืนเศร้า
"ชอบพูดทำลายจิตใจกันแบบนี้ทุกที หึ"
แฟนต้ามองกระดาษสำเนาในมือ แล้วพับเก็บไว้ พลางหันไป ก็ต้องตกใจเฮือกเมื่อเห็นทิพย์ยืนอยู่
"ทำไมเห็นน้าต้องตกใจขนาดนั้นด้วยคะคุณต้า"
ทิพย์ถามยิ้มๆ แฟนต้ารีบกำกระดาษไว้แน่น
"โธ่น้า...คนประสาทแข็งยังไง น้าเล่นโผล่มายืนข้างหลังแบบนี้ก็ช็อกทั้งงั้นแหละ เอ่อ...น้ามีอะไรคะ"
"อ้าว ก็เห็นเด็กบอกว่าคุณต้า ตามหาน้าอยู่ วันนี้จะให้น้าเพิ่มเมนูพิเศษหรือเปล่าค่ะ"
"เอ่อ...เห็นน้าสั่งให้ซื้อรากบัวมาไม่ใช่เหรอ"
"ค่ะ น้าจะเอามาตุ๋นรากบัวกระดูกอ่อน"
"งั้นเอามาทำเป็นของหวานอีกสักอย่างได้ไหม"
"ได้ซีคะ รากบัวต้มน้ำตาล แก้ร้อนในบำรุงหัวใจ"
"ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย ตกลงเอาตามนี้นะ"
"ค่ะ"
แฟนต้าเดินผละมาแอบทำหน้าเป่าปากโล่งใจ ขณะที่ทิพย์หันมองตาม เริ่มสงสัยแฟนต้ามากขึ้น
ธีร์ขับรถเข้ามาจอดหน้าเรือนรัตนะ คว้าช่อดอกไม้ลงจากรถ หวัง จะมามอบดอกไม้แสดงความยินดีกับนันทนัชเรื่องคดีของพ่อ ระหว่างเดินเข้าบ้าน เจอเดือนเดินออกมาเสียก่อน เดือนจำได้
"มีธุระอะไรไม่ทราบคะ"
"ผมมาหาคุณนันครับ"
เดือนยิ้มทันที มองเห็นช่อดอกไม้ก็รู้ว่ามาแนวเกินเพื่อน
"อยากหาก็เชิญที่สวนทางด้านโน้นเลยค่ะ คนที่คุณมาหาอยู่ทางโน้น"
ธีร์มองท่าทีลอยหน้าลอยตาของเดือน แต่ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลยหันจะเดิน
"อ่ะๆ แต่ไม่รู้นะ ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับใคร"
ธีร์หยุดมองหน้าเดือน ก่อนจะหันเดินต่อไป
"สนุกล่ะมึง ฮิๆๆ"
เมื่อนันทนัชทำใจรับเรื่องผลชันสูตรได้แล้ว...ท่าทางสงบลง
"คุณโอเคแล้วนะ ผมจะได้กลับ"
"หน้าที่เป็นประจักษ์พยานความพ่ายแพ้ของฉันมันจบแล้วนี่"
"คุณจะประชดผมทำไม คุณไม่ใช่คนที่แพ้คนแรกหรอกที่ผมเคยเห็น ผมกลับนะ"
"เดี๋ยวค่ะ"
กฤตพนธ์อ่อนใจ
"อะไรอีกครับ"
"ฉันมีอะไรจะให้คุณดู"
เธอลุกขึ้นยืนกดๆรูปที่ไอโฟน เขาแปลกใจเลยขยับเข้ามายืนดูข้างๆ … เป็นรูปเสี่ยเตี้ยยืนคุยกับฤทัยที่โกดังเก็บข้าววันที่นันทนัชไปเห็นเข้าและแอบถ่ายรูปไว้
“ฉันสงสัยว่าตาเสี่ยนี่จะสมรู้ร่วมคิดกับแม่เลี้ยงฉัน แอบเข้ามาซื้อข้าวในโกดังไป โดยที่เงินไม่เข้าบริษัท”
กฤตพนธ์อ่อนใจ
“คุณนัน! เอาอีกแล้วนะครับ คุณคิดเองเออเองไปกล่าวหาเค้าทั้งๆที่ยังไม่มีหลักฐาน”
“ก็นี่ไงคะ ฉันกำลังหาหลักฐาน ฉันจะส่งรูปพวกนี้ทั้งหมดเข้าเครื่องคุณนะ”
กฤตพนธ์อ้าปากค้าง
“นี่คุณจะใช้ให้ผมช่วยสืบประวัติเสี่ยคนนี้เหรอ”
“เค้าชื่อเสี่ยเตี้ยนะ คุณจะสืบหรือไม่สืบก็แล้วแต่ ฉันส่งล่ะ”
เธอทำโป่งแก้มไม่รู้ไม่สน ก้มหน้าก้มตากดๆๆส่งเข้าเครื่อง เขาได้แต่ยืนยิ้มมองท่าทางดื้อๆน่าตีของผู้หญิงคนนี้
“คุณนี่มันน่าจริงๆ”
กฤตพนธ์พูดพลางยื่นมือไปหยิกแก้มใสๆของนันทนัชอย่างหมั่นไส้
“อุ้ย หยิกฉันทำไม เค้าเจ็บนะ”
กฤตพนธ์หัวเราะมองเธอที่ยืนหน้ามุ่ยลูบแก้มตัวเอง...
ธีร์ยืนถือช่อดอกไม้มองอยู่...ทุกอย่างอยู่ในสายตาเขา มือกำช่อดอกไม้แน่น
“นัน!”
นันทนัชกับกฤตพนธ์หันมามอง
“อ้าว พี่ธีร์”
เดือนแอบตามมาซุ่มดูอยู่ที่ดงไม้
“เข้าไปเลย...กระทืบกันเลย”
แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น...กฤตพนธ์ส่งยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับคุณธีร์ ผมกำลังจะกลับอยู่พอดี ขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณนะคะ”
นันทนัชหันไปร่ำลา มองกฤตพนธ์เดินผละไป หันกลับมาธีร์ก็เดินหงุดหงิดไปอีกทางแล้ว
“อ้าว...พี่ธีร์”
นันทนัชเดินตามไป เดือนโผล่ออกมาอย่างเสียดาย
“โธ่เว้ย...ไอ้ผู้ดีพวกนี้ ทำไมมึงไม่ซัดกันเลยวะ ไม่แน่จริงนี่หว่า เป็นคุณรณหน่อยไม่ได้ เข้าไปฟัดเป็นหมาบ้าแล้ว”
เรือนริษยา ตอนที่ 11 (ต่อ)
มุมหนึ่งในสวน ธีร์ยืนหันหลังถือช่อดอกไม้อยู่ นันทนัชเดินเข้ามาหา
“พี่ธีร์...เป็นอะไรไปรึปล่าว”
ธีร์หันมา
“นันยังจะถามอีกเหรอว่าพี่เป็นอะไร นายกฤตมาทำอะไรที่นี่ห่ะ”
“เค้ามาร่วมเป็นพยานแถลงผลชันสูตรศพของคุณพ่อ พี่โมโหอะไร”
“พี่ไม่ได้ตาบอดนะ พี่เห็นนะว่านันกับนายกฤตหยอกล้อสนิทสนมกัน เกินคนรู้จักกันธรรมดา”
“พี่หึงนัน”
นันทนัชถามราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกเซ็งๆ
“ใช่พี่หึง นันก็รู้ว่าพี่ว่าพี่รู้สึกยังไงกับนัน”
“แล้วพี่รู้ไหมคะว่าตอนนี้นันรู้สึกยังไง”
ธีร์อึ้งๆไปเมื่อเห็นหน้าซีเรียสปนเศร้าๆของเธอ
“เอ่อ...ทำไมนันทำหน้าอย่างงั้น หรือว่า...ผลพิสูจน์ศพ”
“ค่ะ มันจบแล้ว ผลออกมาว่าพ่อหัวใจวายตาย ยัยแม่เลี้ยงฤทัยลอยนวล นันเหมือนหมดแล้วทุกอย่าง”
“ไม่ นันยังมีพี่” ธีร์ยื่นช่อดอกไม้ให้ “ต่อให้นันเหลือตัวคนเดียวในโลก พี่จะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับนัน”
นันทนัชรับดอกไม้มา
“ขอบคุณค่ะพี่ธีร์”
เดือนเดินเข้ามาในครัว เจอศรี
“ไงยะนังศรี รู้ข่าวดีหรือยัง”
“ข่าวดีอะไร”
“ก็ข่าวดีที่คุณนันของแกกำลังจะถูกเฉดหัวออกจากบ้านนี้ไงยะ”
ศรีหน้าตกใจ
“แบบว่าๆ...อุตส่าห์บินกลับมาจากเมืองนอก มาใส่ร้ายเค้าว่าฆ่าพ่อตัวเองตาย แต่ว่าๆ ทำไรเค้าไม่ได้ ทีนี้แหละได้เจอคุณนายฤทัยเอาคืน ไม่รู้จักนางมารร้ายตัวจริงซะแล้ว ฮิๆๆ”
ไม้เดินเข้ามาพอดี เดือนเปลี่ยนมาดี๊ด๊าใส่
“อุ้ยไม้...หิวเหรอจ๊ะ...เดี๋ยวเดือนทำอะไรให้กินนะ”
“ไม่หิวอ่ะ ร้อน”
ไม้พูดพลางคว้าแก้วมากดน้ำเย็นกิน
“แหมๆ กินน้ำแล้วมันจะหายร้อนเหรอ เดือนช่วยพัดให้นะ”
เดือนคว้าพัดใบกะพ้อบนโต๊ะมาพัดๆให้ แต่ไม้กินน้ำเสร็จก็ปัดมือ
“ไม่ต้องอ่ะ ฉันจะไปอาบน้ำ”
ไม้เดินออกทางประตูหลังไปที่บ้านพักที่อยู่ทางด้านหลัง เดือนชะเง้อมองตาม ตาเป็นมัน ตาเหลือบมองศรีแกล้งทำเป็นพัดๆ
“ร้อนจริงๆด้วย เนื้อตัวเหนียวเหม็นเปรี้ยวไปหมด ฉันไปอาบน้ำดีกว่า”
เดือนรีบเดินพัดๆตามไม้ไป ศรีมองตาม สีหน้ารังเกียจ
“อาบไปก็ล้างคราบสกปรกของแกออกไม่ได้หรอกนังเดือน สักวัน แกนั่นแหละจะถูกเฉดหัวออกจากบ้าน ดันไปยุ่งชู้ของคุณนาย”
ไม่กี่วันจากนั้น … ภายในศาลาหน้าเมรุเผาศพ มีคนมารอเผาศพมากมาย ต่างถือดอกไม้จันทน์ไว้ในมือรอเผาหลอก ฤทัยทำเป็นนั่งบีบน้ำตา มีกนกกรกับรณฤทธิ์ประกบซ้ายขวาทำปลอบใจ ไม้นั่งอยู่ด้านหลังไม่ห่าง สมุทรชัยกับไกรภัทรเพิ่งจะมา...เดินหยิบดอกไม้จันทน์จากถาดเข้ามา นั่งลงใกล้ๆฤทัย เห็นท่าฤทัยบีบน้ำตาแล้วทั้ง2มองหน้ากัน
กฤตพนธ์เพิ่งมาถึง เดินเข้ามารับดอกไม้จันทน์แล้วมองหาที่นั่ง ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่รวมทั้ง สมุทรชัย ไกรภัทร กนกกรหันมาเห็นกฤตพนธ์ ดีใจ
“อุ้ย! คุณกฤตมาแล้ว คุณกฤตคะ ทางนี้ค่ะ”
กนกกรโบกมือเรียก รณฤทธิ์ทำหน้าเซ็ง ฤทัยตีเผี๊ยะ
“ไปเรียกเค้าทำไม แกมาดูคอนเสิร์ตหรือไง เห็นผู้ชายก็ตะโกนโหวกเหวกไม่ไว้หน้าฉันเลย”
กนกกรเหวี่ยง
“โอ๊ย!ฉันไม่ใช่นักแสดงนะแม่ จะได้ตีบทแตกได้ทุกเม็ด”
ฤทัยอ้าปากค้าง
“ต๊าย...นังนี่ เห็นผู้ชายแล้วเหวี่ยงแม่ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย”
กฤตพนธ์เดินผ่านมา ยกมือไหว้
“สวัสดีครับ คุณลุงผมฝากมาแสดงความเสียใจ ท่านมาไม่ได้ ไปต่างประเทศอีกแล้วครับ”
“ออจ้ะ ไม่เป็นไร”
“นั่งด้วยกันซีคะคุณกฤต”
รณฤทธิ์แกล้งขยับตัวนั่งเต็มโซฟาไม่ให้นั่ง
“ไม่เป็นไรครับ ที่นั่งเยอะแยะ”
กฤตพนธ์เดินไป
“เอ่อ...คุณกฤต!” กนกกรหันมาทำฉุนใส่รณฤทธิ์ “แก...ไม่มีมารยาท”
“กับคนแบบนั้น ทำไมต้องมีมารยาทด้วย”
ฤทัยพูดรอดไรฟัน
“หุบปากน่า ทั้ง2คน ฉันให้มาเผานายลิตร ไม่ใช่มาเผากันเอง”
กฤตพนธ์นั่งลงข้างหมวดเมธที่มาร่วมงานอีกครั้ง ทั้ง2จับมือทักทายกัน นันทนัชสวมชุดดำยืนอยู่หน้าเมรุ ตามองจ้องไปที่เมรุตลอดเวลาอย่างโศกเศร้าเสียใจ โดยมีธีร์ในชุดสูทยืนปลอบอยู่ข้างๆตลอดเวลา แล้วกฤตพนธ์ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อกนกกรลุกพรวดมาทำบีบน้ำตานั่งลงข้างๆเขา
“คุณกฤตค่ะ พ่อลิตรกำลังจะถูกเผาแล้วค่ะ ในที่สุดก็ต้องถึงวันนี้เหรอคะเนี่ย ฮือๆ”
“อ้าว นี่คุณกิ๊บยังอยากให้เก็บศพคุณลิตรไว้เหรอครับเนี่ยะ นี่ถ้าคุณนันรู้เข้า คงจะดีใจตายเลย”
กนกกรสะอึกอึ้งไปเลย หมวดเมธแอบเหล่มอง
กนกกรเซ็ง มองไปที่นันทนัชอย่างขุ่นเคือง
“ที่ยัยนันอยากให้เก็บศพไว้ ไม่ใช่ว่ารักพ่ออะไรหรอกค่ะ อยากเก็บไว้แก้แค้นพวกเรา แล้วก็ต่อรองมรดกก็เท่านั้นแหละ หึ คุณกฤตดูโน่นซิ ถ้ายัยนันได้สมบัติของพ่อลิตรไปเมื่อไหร่ ก็คงจะไปเสวยสุขกับ ไอ้นายแบบคนนั้นเปรมเลยล่ะ ตามต้อยๆกันมาจากเมืองนอกเลยนี่ ตอนอยู่ที่เมืองนอกก็คงจะร่วมหอลงโลงกันมาแล้วล่ะ ฮิ”
กฤตพนธ์ถึงกับอึ้ง...ร้อนใจ ที่ได้ยินกนกกรพูดแบบนี้
นันทนัชยืนมองไปที่เมรุ ที่มีโลงศพลิตรอยู่บนนั้น น้ำตาไหลร้องไห้เงียบๆ ธีร์คอยยืนมองอย่างห่วงตลอดเวลา
“ไหวไหมนัน ไปนั่งก่อนดีกว่า”
นันทนัชส่ายหน้า
“พ่อนอนอยู่บนนั้น นันอยากจะอยู่ใกล้พ่อให้นานที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย”
เธอน้ำตาร่วง ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับ
“ผ้าเช็ดหน้าเปียกโชกหมดแล้ว อ่ะ...เอาของพี่ไป”
ธีร์ส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้ เปลี่ยนเอาของนันทนัชมาเก็บไว้แทน
“คุณหนู”
แฟนต้าพาทิพย์เดินเข้ามาหา ทิพย์เข้ามาสวมกอดนันทนัชร้องไห้แทบขาดใจ
“คุณผู้ชายไม่น่าตายเลย...เพราะนังคนชั่วแท้ๆ มันทำกับคุณผู้ชายได้ ทั้งๆที่คุณผู้ชายรักมัน หลงมัน ให้มันกับลูกสุขสบายทุกอย่าง มันยังคิดฆ่าได้ลงคอ น่าสงสารคุณผู้ชายจริงๆ ต้องมาตายเพราะ นังแม่ม้ายใจชั่ว เอิ้ก”
ทิพย์ทำเข่าอ่อนเหมือนหน้ามืดจะเป็นตาย
“โอ๊ะ...น้าทิพย์! เป็นอะไรไปคะ”
“ท่าทางจะเป็นลมอ่ะ ใครมียาดมบ้าง” แฟนต้าบอก
“พาเข้าไปนั่งที่ศาลาก่อนดีกว่า” ธีร์ว่า
“ไม่ต้อง...น้าไม่เป็นไร”
ทิพย์กลับมายืน อาการดีขึ้น
“ไม่เป็นไรแน่นะคะน้า”
ทิพย์พยักหน้า
“พอรู้สึกว่าศพคุณผู้ชายอยู่บนนั้น ใจจะขาดให้ได้ มันเสียใจบอกไม่ถูกที่น้าไม่มีโอกาสได้ดูแลใกล้ชิดเหมือนเมื่อก่อน จนทำให้คุณผู้ชายต้องมีอันเป็นไปแบบนี้”
“โธ่น้า นันก็เป็นลูกไม่ดีเหมือนกัน ที่ทิ้งพ่อไป ปล่อยให้พ่ออยู่กับคนชั่วพวกนี้”
ทั้ง2กอดกันร้องไห้ แฟนต้ามองแล้วถอนใจ
“เอาๆ ยิ่งร้องกันเข้าไปใหญ่ เดี๋ยวได้เป็นลมไปทั้งคู่หรอก ตัดใจซะบ้างเถอะ คิดซีว่าพ่อเค้าไปสบายแล้ว ไอ้คนที่อยู่นี่ซิ โคตรทุกข์เลย”
ธีร์เลยต้องเตือนแฟนต้าเบาๆ
"ต้า! ทำไมพูดแบบนั้น"
"ก็มันจริง มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้"
เสียงออดสัญญาณให้ขึ้นวางดอกไม้จันทน์บนเมรุก็ดังขึ้น คนในศาลาต่างลุกขึ้นถือดอกไม้จันทน์ออกมาขึ้นบันไดเมรุ
ไฟเผาจริง...ไฟที่เตาเผาลุก...มีแต่คนใกล้ชิดเข้าไปวางดอกไม้จันทน์ ฤทัยวางแล้วร้องห่มร้องไห้ เข่าอ่อน ไม้ต้องเข้าประคอง นันทนัชเดินเข้าไปวางดอกไม้จันทน์พร้อมทิพย์แล้วร้องไห้ จนแฟนต้ากับธีร์ต้องพาเดินถอยออกมา
กฤตพนธ์ที่ยืนสงบกุมมืออยู่ตรงนั้น อยากจะเข้าไปปลอบใจเธอ แต่ธีร์คอยปลอบอยู่ไม่ห่าง เขาเลยได้แต่ยืนมอง
ระหว่างที่ยืนรอเผา...บรรยากาศรอบๆดูเครียด...เมื่อฝ่ายฤทัย กนกกร รณฤทธิ์ ไม้มองมาที่ฝ่ายนันทนัช ที่มีทิพย์อยู่ด้วยด้วยสายตาเกลียดชังพร้อมจะมีเรื่องกัน
สมุทรชัยกับไกรภัทรต้องมายืนกั้นระหว่างทั้ง 2 คุมเชิงด้วยสีหน้าขอร้องอย่าให้มีเรื่องกัน นันทนัชเดินช้าๆไปที่รูปถ่ายหน้าศพของลิตรที่วางอยู่บนขาตั้ง ยกมือไหว้แล้วหยิบรูปมากอดร้องไห้ กนกกรกับรณฤทธิ์มองแล้วแอบหมั่นไส้
เธออุ้มรูปถ่ายลิตรลงบันไดนำทุกคนลงมาจากเมรุ ขณะที่ควันจากการเผาลอยออกมาจากปล่อง
สมุทรชัยเรียกทั้ง2ฝ่ายคุยพร้อมคนนอกอันได้แก่ กฤตพนธ์และหมวดเมธ ที่จะมาเป็นพยานเรื่องพินัยกรรม
"ในเมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว คุณพ่อของผมในฐานะทนายก็จะแจ้งเรื่องเปิดพินัยกรรมให้ทราบนะครับ"
"ก็ไหนคุณบอกว่าพินัยกรรมของคุณลิตรเก็บไว้ที่ตู้เซฟธนาคารไงคะ" ฤทัยว่า
"ผมคาดว่าน่าจะอยู่ที่นั่นครับ" สมุทรชัยบอก
"อ้าว คาดว่าๆ หมายความว่ายังไง" รณฤทธิ์ถาม
"ผมเคยเห็นคุณลิตรทำพินัยกรรมขึ้นมาฉบับหนึ่ง แต่ก่อนเสียชีวิต คุณลิตรไม่ได้เอามาฝากไว้กับผม ก็คงเอาไปเก็บรวมไว้กับโฉนด ที่ดินและทรัพย์สินมีค่าอื่นที่เซฟธนาคารน่ะครับ"
"หึ คุณพ่อก็คงคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะต้องมาตายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้"
นันทนัชไม่วายแอบเหน็บ
"จะเอายังไงก็รีบพูดมาคุณทนาย ฉันไม่อยากต้องมานั่งทนฟังใครเหน็บแนมฉันอีก เสียเวลาอันมีค่าของฉัน"
นันทนัชมองจ้องหน้าฤทัยอย่างไม่กลัวเกรง กฤตพนธ์มองแล้วอึดอัดแทน เลยต้องช่วยพูดเบรก
"ถ้าเก็บไว้ที่ธนาคาร ก็คงต้องไปทำเรื่องขอหมายศาลพร้อมจัดพยาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปขอเปิดตู้เซฟนำพินัยกรรมออกมา"
"ถูกต้องครับ ผมเลยเชิญผู้พันกฤตกับผู้หมวดเมธมาเป็นพยาน ไปเปิดตู้เซฟนำพินัยกรรมของคุณลิตรออกมา ต้องรบกวนเวลาของทั้ง 2ท่านหน่อยนะครับ"
"ยินดีครับ เดี๋ยวเรานัดวันไปธนาคารกันอีกที"
"ยินดีเช่นเดียวกันครับ" หมวดเมธบอก
"นี่...อะไร หมายความว่าต้องยังต้องเสียเวลาไปเปิดตู้เซฟที่ธนาคาร อีกกว่าจะนัดวันมาอ่านพินัยกรรมอีก โอ๊ย ชาตินี้จะได้เปิดรึปล่าวเนี่ยะ" กนกกรโวยวาย
"ยัยกิ๊บ!"
ฤทัยต้องรีบเตือนกนกกรให้หยุดพูด
"หึ ลุงทนายจัดการเถอะค่ะ ได้พินัยกรรมออกมาจากธนาคารเมื่อไหร่ค่อยมานัดนัน ถ้างานยุ่งมาก ค่อยๆทำช้าๆก็ได้ค่ะ นันไม่รีบต้องใช้สมบัติพ่อ!"
เธอพูดกระแทกแดกดันใส่พวกฤทัย ทำเอาทั้ง3โกรธ รณฤทธิ์จะแผลงฤทธิ์ แต่ฤทัยแขนหยุดลูกทั้ง2คนไว้
"ลุงจะบอกให้ทราบเพียงแค่นี้ใช่ไหมคะ งั้นนันขอตัว ลาล่ะค่ะ"
เธอยกมือไหว้ทุกคน แล้วมาหยุดที่กฤตพนธ์…ไม่มีคำพูดใดจากปากเธอ แต่สายตาเต็มไปด้วยคำขอบคุณ เขารับรู้ได้ เธอลุกเดินออกไป ฤทัยมองตามอย่างแค้น
ธีร์กับแฟนต้าแยกมารอนันทนัชที่ใต้ต้นไม้ร่มรื่นมุมหนึ่งของวัด ทั้ง 2แอบมองไปที่ทิพย์
ซึ่งนั่งนิ่งไม่พูดไม่จากับใคร แต่แววตาดูร้อนใจ พอเห็นนันทนัชเดินกลับมาก็รีบลุกไปหา
"เรื่องพินัยกรรมว่ายังไงคะคุณหนู แบ่งกันเสร็จแล้วเหรอ"
"ยังหรอกน้า รอเอาพินัยกรรมออกมาจากเซพของธนาคารก่อน"
"ถ้าพินัยกรรมฉบับนั้นระบุว่ายกเรือนรัตนะยกสมบัติทั้งหมดให้กับพวกนังฤทัย คุณหนูต้องไม่ยอมรับนะ มันต้องเป็นพินัยกรรมปลอมแน่ๆ"
นันทนัชนิ่งฟังอย่างลังเล
"น้าไม่คิดบ้างเหรอคะ บางทีพ่ออาจจะ...อยากยกทุกสิ่งทุกอย่างให้ยัยแม่เลี้ยงฤทัยก็ได้"
"อยากยกให้รึปล่าวน้าไม่สน แต่คุณหนูต้องไม่ยอมรับมัน เข้าใจมั้ย!"
ทิพย์โวยใส่นันทนัชอย่างลืมตัว ทำเอาธีร์ แฟนต้าตกใจไปด้วย
"น้า!"
"อย่าโง่ไปหน่อยเลย สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างคุณนายเรไรป้าของคุณหนูเก็บหอมรอมริบสร้างมันมากับมือ แม้แต่คุณรำเพย คุณแม่คุณหนูน้องสาวแท้ๆ ยังไม่เคยได้เสวยสุขกับมัน แต่ในเมื่อมันตกมาอยู่ในมือคุณพ่อคุณแล้ว เรื่องอะไร คุณหนูจะยอมให้มันหลุดมือไปอยู่กับ นังไพร่ฤทัยให้มันผลาญสนุกมือ ถ้าคุณหนูรักพ่อลิตร คุณหนูต้องเอาชีวิตปกป้องสมบัติของคุณพ่อไว้ให้ได้ซี"
ธีร์เห็นทิพย์จับไหล่คาดคั้นนันทนัชอย่างนั้น ชักไม่ชอบ
"เฮๆๆ....น้าครับ นั่นจะทำอะไร ให้นันเป็นคนตัดสินใจเองซีครับ น้าจะมาบังคับให้นันทำตามที่น้าคิดได้ยังไง"
ทิพย์หันขวับมามองธีร์ด้วยสายตาดุคมกริบทันที
"เพื่อนอย่างคุณ จะไปรู้อะไร อย่ามายุ่งจะดีกว่า"
ธีร์ถึงกับอึ้ง แฟนต้าต้องรีบพูดแก้
"อย่างยัยนันน่ะเหรอคะ จะยอมยัยแม่เลี้ยงง่ายๆ โอ๊ย...ไม่มีทาง น้าทิพย์ไม่ต้องห่วงหรอก หน้าอย่างงี้ไม่ยอมอยู่แล้ว"
ทิพย์เลยค่อยเย็นลง
"เอ่อ...คุณหนูเข้าใจน้านะคะ น้าเป็นห่วงอนาคตของคุณหนู ตอนนี้ คุณหนูไม่มีใครแล้ว พ่อแม่ก็ตายไปหมด ถ้ายังต้องมาหมดตัว แม้แต่บ้านก็ถูกฮุบไป ชีวิตข้างหน้าของคุณหนูลำบากแน่ๆ ลำพังน้า...จะมีปัญญาไปช่วยอะไรคุณหนูได้ คุณหนูต้องสู้นะคะ"
ทิพย์บีบน้ำตาร้องไห้ นันทนัชกอดทิพย์
"อย่าร้องไห้ค่ะน้า นันจะสู้ต่อค่ะ ถึงนันจะไม่มีพ่อแม่แล้ว แต่นันจะสู้เพื่อน้ากับนัน...เพื่อเรา2คน"
ทิพย์ดีใจมาก
"คุณหนู! น้าดีใจที่สุดเลย ที่ได้ยินคุณหนูพูดว่าจะสู้เพื่อน้า น้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากคำๆนี้"
นันทนัชยิ้ม กอดทิพย์ ธีร์กับแฟนต้ายืนมอง นึกไม่ไว้ใจทิพย์มากขึ้น
เย็นวันต่อมา หลังจากไปลอยอังคารที่แม่น้ำแล้ว นันทนัชถือโกศใส่กระดูกเข้ามาในห้องวางโกศไว้บนหลังตู้เตี้ยต่อหน้ารูปของลิตรที่ใส่กรอบวางอยู่
"ถึงบ้านเราแล้วนะคะพ่อ 5 ปีที่เราจากกันไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่วันนี้นันกับพ่อได้มาอยู่ใกล้ๆกันแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้นันอยากให้พ่อกับลูกมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกันอีก"
นันทนัชนึกย้อนไป
ลิตรเดินโกรธตะโกนเข้ามาในบ้าน
"ยัยนัน! ยัยนันอยู่ที่ไหน"
บันไดด้านบน นันทนัชในชุดนักเรียนมัธยมต้นกำลังจะเดินลงมา...ตกใจ ต้องรีบนั่งกอดบันไดหลบ ขณะที่ทิพย์วิ่งออกมาจากครัว
"อะไรคะคุณผู้ชาย ตะโกนซะลั่นบ้านเลย"
"แม่ตัวดีของเธออยู่ไหนห่ะ"
"ทำไมคะ คุณนันไปทำอะไรให้คุณผู้ชายโกรธเหรอ"
"มันหนีโรงเรียนน่ะซิ"
"หา! ก็ไหนคุณหนูบอกว่าที่โรงเรียนปล่อยให้กลับบ้านมาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ"
"ปล่อยบ้าบออะไร ครูโทร.มาฟ้องว่ายัยนันกระโดดกำแพงโรงเรียนหนีออกมา แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนห่ะ"
ทิพย์มองขึ้นบันไดไป เห็นนันทนัชกำลังลุกย่องจะเดินหลบขึ้นชั้นบนไปพอดี
"หยุดนะยัยนัน"
"ห่ะ! ซวยแล้ว"
เธอหันซ้ายหันขวาหาที่หนี
"พ่อบอกให้แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ จับได้พ่อจะเฆี่ยนให้อายเค้าเลย"
ลิตรวิ่งขึ้นบันไดไปจะคว้าตัว แต่นันทนัชหลบได้อย่างหวุดหวิด
"อย่าพ่อ...นันกลัวแล้ว"
นันทนัชวิ่งลงบันไดมาหลบอยู่หลังทิพย์
"คิดว่าจะหนีพ่อพ้นเหรอห่ะ มานี่ซะดีๆ เป็นอะไรนะ ให้เรียนดีๆไม่ชอบ ชอบหนีโรงเรียนอยู่เรื่อย"
"น้าทิพย์ช่วยนันด้วย...ช่วยด้วย"
"คุณผู้ชาย...อย่าค่ะ ทิพย์ไหว้ล่ะคะ อย่าตีคุณหนูเลย แค่พูดคุณหนูก็เข้าใจแล้ว"
"ถ้าพูดแล้วมันเข้าใจ มันจะหนีโรงเรียนอยู่บ่อยๆเหรอ มานี่เลย พ่อบอกมา"
ลิตรคว้าแขนนันทนัชได้
"อ๊าย...พ่อๆ นันยอมแล้ว อย่าตีนันนะ นันโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ"
"แล้วหนีโรงเรียนกลับบ้านมาทำไมห่ะ"
"วันนี้วันเกิดนัน"
ลิตรอึ้งไปเลย
"กลัวว่าโรงเรียนเลิกกลับมาบ้านแล้วจะไม่เจอพ่อ ก็พ่อชอบออกไปทุกเย็น นันก็เลย...กลับบ้านมารอฉลองวันเกิดกับพ่อ"
ลิตรปล่อยมือนันทนัช
"ทีหลังบอกพ่อตรงๆก็ได้ ไม่เห็นต้องทำตัวแบบนี้เลย ยังจะยืนอยู่อีก ไปซี...ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า"
"แล้วเราจะมาฉลองวันเกิดกันใช่ไหมพ่อ"
ลิตรพยักหน้า
"ฮื้อ!"
"ไชโย! นันรักพ่อที่สุดเลย"
นันทนัชกอดลิตรแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไป
"อ้าว...ระวังคะ เดี๋ยวก็ตกบันไดลงมาหรอก"
นันทนัชเป่าเค้ก ปรบมือให้ตัวเอง ทิพย์ยืนมองอยู่ข้างหลังปล่อยพ่อลูกอยู่ด้วยกัน
"พ่อขอโทษนะ ที่มัวแต่ทำงานจนเกือบลืมวันเกิดของลูกไป พ่อก็เลยไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้ให้ลูกเลย แต่พ่อมีของอย่างหนึ่งจะให้ลูก เป็นของที่พ่อรักมาก และเก็บเอาไว้ไม่เคยให้ใครเห็นเลย แม้แต่ลูก"
"อะไรคะพ่อ ต้องเป็นของที่มีความหมายกับพ่อมากเลย"
"ลูกต้องสัญญาณก่อน ว่าจะเก็บรักษาไว้ให้ดี"
"นันสัญญาค่ะ"
ลิตรหยิบรูปใบหนึ่งออกมา ยื่นให้นันทนัช เป็นรูปรำเพยใบที่นันทนัชพกติดตัวไว้ในปัจจุบัน
"นี่รูป"
"แม่รำเพยของลูกไง"
ตั้งแต่เกิดมานันทนัชไม่เคยได้เห็นหน้าแม่ ไม่เคยเห็นแม้แต่รูปถ่ายเพราะลิตรสั่งเก็บไปหมดทั้งบ้าน ทำเอาเธอน้ำตาร่วงเผาะ
"แม่...แม่รำเพยของนันสวยขนาดนี้เลยเหรอคะพ่อ"
ลิตรพยักหน้า น้ำตาซึม
"ขอบคุณมากค่ะพ่อ นันสัญญาค่ะว่าจะเก็บรักษารูปของแม่ไว้ให้ดีที่สุด ขอบคุณค่ะพ่อ"
นันทนัชกราบที่อกลิตร ลิตรกอดลูกสาวไว้
ปัจจุบัน รูปใบนั้นถูกรณฤทธิ์ฉีกเป็นชิ้น และเธอได้เอาชิ้นส่วนของรูปนั้นแปะติดกาวไว้ด้วยกันแล้ว แต่ขาดชิ้นมุมขวาด้านบนที่หายไป
"ขอบคุณที่มอบของขวัญที่มีค่าที่สุดให้กับนันค่ะพ่อ"
เธอทาบรูปไว้กับอก
จบตอนที่ 11