สุสานคนเป็น ตอนที่ 11
อุษาเดินตามจรัลมา อุษารีบบอก
“คุณอาคะษาขอโทษที่น้าชีพพูดจาดูหมิ่นคุณอา”
“ ไม่เป็นไรผมไม่ถือ ถ้าเขายังไม่ฟังใครเขาก็ต้องรับทุกข์ทรมานอยู่แบบนั้น วิญญาณคุณนายลั่นทมไม่มีทางปล่อยเขาแน่ และใครก็ช่วยไม่ได้”
จรัลยิ้มให้อุษาก่อนจะเดินไป อุษาอึ้งและมีสีหน้ากังวลมาก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก
ชาวบ้านคนหนึ่งอึกอักอ้ำอึ้งเหลียวซ้ายแลขวา
“คือ...หมวดครับถ้าผมพูดผมก็อยู่ไม่ได้”
“ถ้าไม่พูดวันหนึ่งคุณเองจะโดนพวกนี้ทุบหัวชิงของ แถมลูกหลานคุณอาจจะโดนด้วย...ผมรับรองจะไม่บอกใครว่ารู้จากคุณ” ธารินทร์บอก
ชาวบ้านคนเดิมอ้ำอึ้ง เสียงโทรศัพท์มือถือธารินทร์ดัง ธารินทร์หันไปพยักหน้าให้ลูกน้องสอบสวนต่อ ส่วนตัวเองเดินเลี่ยงมาพูดโทรศัพท์
“ว่าไงครับษา” ธารินทร์ฟัง “ผมคิดอยู่แล้วว่าน้าชีพจะไม่ฟัง อย่ากังวลไปเลยคุณได้ช่วยเขาเต็มที่แล้ว อ๋อตอนนี้ผมสอบปากคำชาวบ้านอยู่คิดว่าน่าจะได้ของของน้าชีพกับรสคืนแล้วผมจะโทรหานะครับ”
ธารินทร์เดินกลับมาที่ชาวบ้าน ตำรวจรีบบอก
“ยอมบอกแล้วครับหมวด”
“ดี..งั้นพาไปเลย”
ชาวบ้านสามคนเดินลับๆล่อๆ ลัดเลาะเข้าไปในป่า ชาวบ้านคนหนึ่ง ธารินทร์ และตำรวจในเครื่องแบบ
2 นายแอบอยู่ในดงไม้เงียบกริบเพื่อเฝ้าดู ชาวบ้านกระซิบ
“ไอ้สองคนนี่แหละครับ แต่คนอื่นๆผมไม่แน่ใจ”
ธารินทร์พูดเบาๆ “กลับไปได้แล้ว”
ชาวบ้านไหว้ธารินทร์แล้วรีบกลับออกไป ธารินทร์มองชาวบ้านแล้วก็เตรียมพร้อม ชาวบ้านสามคนถือเสื้อชีพที่ม้วนเพราะห่อของมีค่าพากันไปที่พงหญ้ารกๆ ชาวบ้านสามคนหยิบของมีค่าออกมาดูกันอย่างมีความสุข โดยที่ธารินทร์กับตำรวจก็เห็นด้วย
“ซ่อนไว้แถวนี้ก่อนล่ะวะไว้เรื่องเงียบแล้วค่อยมาขุดไปขาย” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก
“เออ..ดีเหมือนกัน รีบช่วยกันขุดเร็ว”
ชาวบ้านรีบขุดกันจนเป็นหลุมแล้วห่อเสื้อเหมือนเดิมก่อนจะวางในหลุมแล้วเอาดินกลบ ธารินทร์หันไปพยักหน้ากับตำรวจ ทั้งหมดพากันออกมา
“ทุกคนเอามือไว้บนหัว ค่อยๆหันหน้ามา”
ชาวบ้านสามคนตกใจแล้วทำตามคำสั่ง พอเห็นว่าเป็นตำรวจก็ขาอ่อน
“อย่าจับผมเลยครับ ผมจะคืนของให้หมดเลยผมไม่เอาแล้ว”
“ผมก็เหมือนกัน ของมีค่าของสองผัวเมียนั่นอยู่ในหลุม คุณตำรวจเอาไปเลย ทีหลังผมไม่ทำแล้ว
ธารินทร์พยักหน้ากับตำรวจสองคน ตำรวจรีบไปที่หลุมขุด”
ในหลุมมีเสื้อชีพที่ห่อของไว้ ตำรวจหันมาบอก
“เจอของกลางแล้วครับหมวด”
ธารินทร์พยักหน้ารับ ตำรวจอีกคนเปิดห่อเสื้อออกแล้วก็ตกใจที่ในห่อเสื้อว่างเปล่า “เอ๊ะไม่มีอะไรเลยครับหมวด มีแต่เสื้อเปล่าๆ”
“นายสองคนเล่นตลกอะไร” ธารินทร์ถาม
พวกชาวบ้านเองก็งง พวกเขาวิ่งมาชะโงกดูแล้วก็ทำหน้าตกใจมาก
“เฮ้ย...ไปไหนหมด เมื่อกี้ยังอยู่เลย”
“จริงๆครับ พวกผมจะเอาเสื้อเปล่าๆมาซ่อนทำไมกัน”
ธารินทร์เองก็งง ชาวบ้านลงมือคุ้ยหาเองจนทั่วบริเวณแต่ก็ไม่เจออะไร ธารินทร์กับตำรวจก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก พวกชาวบ้านที่เอาของมาซ่อนต่างก็งงงันที่ของที่ตัวเองซ่อนไว้กับมือหายไปในพริบตา ทั้งหมดสบตากันด้วยความประหลาดใจมาก
ธารินทร์เดินเข้ามาในบ้านพร้อมอุษา
“ก็เห็นกันหมด ไม่น่าเป็นไปได้เลย ของมีค่าหายไปในชั่วพริบตา งงกันไปหมด”
อุษามองหน้าธารินทร์ “ษาว่าคุณน้าทำให้เป็นอย่างนั้นค่ะ...”
“ผมไม่อยากเชื่อ”
“ษาก็ไม่อยากเชื่อ แต่รินทร์เห็นมั้ยคะ อะไรที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เป็นไปแล้ว วิญญาณของคุณน้าคงแค้นมาก ท่านบันดาลได้ทุกอย่าง”
นฤมลเดินออกมาจากมุมหนี่งแล้วแอบฟัง หวานก็ออกมาจากอีกมุมหนึ่ง
“อาหารพร้อมแล้วค่ะคุณษา...จะให้ตั้งโต๊ะเลยมั้ยคะ”
อุษาหันมายิ้มให้ธารินทร์ “ทานข้าวด้วยกันนะคะรินทร์”
ธารินทร์ยิ้ม “ด้วยความยินดีครับ”
นฤมลเบ้ปากแล้วเดินไป
ยาใจหันมาแล้วพูดด้วยความดีใจ
“จริงเหรอน้าหวาน คุณรินทร์ทานข้าวกับคุณษาด้วย”
“จริงสิ...”
“ดีแล้ว คุณอุษาจะได้มีความสุข อย่างน้อยก็มีเพื่อนทานข้าวไม่ต้องนั่งกินกับแม่นฤมลเหมือนวันก่อน นั่งจ้องหน้ากันไม่พูดไม่จากันสักคำ...” จิ้มลิ้มว่า
“โอ๊ย จะพูดได้ไงล่ะวะ เนื้อตัวมีแต่ผลประโยชน์ยังงั้น ญาติๆ นังรสนี่เขาช่างอบรมกันมาดีจริ๊ง เหมือนกันไม่ผิดไม่เพี้ยน”
ยาใจกระแอม สวาทนึกขึ้นได้ก็มองหวานแล้วยิ้มแหยๆ
“อุ๊ย ฉันก็พูดแรงไป ลืมไปว่าน้าหวานก็เป็นญาติแม่รสด้วย”
“มันจริงของเอ็ง นังหวาด ข้าไม่เถียงหรอก..” หวานหน้าเศร้า “ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด...ดีชั่วก็รู้อยู่แก่ใจแหละ...เอ้า รีบยกไปตั้งเถอะ คุณๆ จะได้ทานกัน...”
ฉ่ำ สมพร และวิเวกเดินเข้ามาแล้วก็ต่างยิ้มระรื่น“มีอะไรกินบ้างจ๊ะ” สมพรถาม
“หิวไส้จะขาดแล้วจ้า...” วิเวกบอก
“ถ้ามีอะไรแกล้มเหล้าได้ด้วยก็แจ๋ว...จริงมั้ยวะสมพร วิเวก..” ฉ่ำบอก
วิเวกกับสมพรส่งเสียงขานรับ
“นายยังไม่ได้กิน ขี้ข้าอย่าสะเออะ..” หวานว่า
ฉ่ำ วิเวก และสมพรจ๋อยไป สวาทด่าซ้ำ
“จำใส่กะโหลกไว้ซะทั้งสามคนนั่นแหละ...หนอย คุณผู้หญิงไม่อยู่นี่ บ้านไม่มีระเบียบ หรือว่าอยากจะให้แม่รสกลับมาตวาดแว้ดๆๆ หา...” สวาทว่า
รสสุคนธ์นั่งพิงหัวเตียงอยู่ เธอตวาดใส่พยาบาลที่จะมาวัดปรอท
“จะวัดอะไรกันนักหนา ไข้ก็ไม่มีแล้ว ฉันแค่เดินไม่สะดวกเท่านั้นเอง...ไปๆๆ รำคาญ ฉันไม่วัด”
“แต่เราต้องจดบันทึกอาการคนไข้ตลอดนะคะ”
รสสุคนธ์ถมึงตาใส่ คนไข้เตียงอื่น ๆหันมามอง รสสุคนธ์หันไปแล้วกวาดตามองดูคนไข้เตียงอื่นๆ อย่างไม่พอใจก่อนจะพูดลอยๆ
“จะมองอะไร ไม่เคยเห็นคนเหรอ..”
คนไข้พากันเมิน พยาบาลยังคงยืนยันที่จะวัดปรอทอยู่
รสสุคนธ์เหวี่ยง “เอ๊ะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ”
“ขอโทษนะคะ ดิฉันทำตามหน้าที่ พูดอย่างนี้หวังว่าคุณคงเข้าใจคำว่าหน้าที่ดีนะคะ”
รสสุคนธ์อึ้งไป คราวนี้คนไข้เตียงต่าง ๆ หันมองเป็นตาเดียว
“ก็ได้ แต่ว่าถ้าฉันยอมให้วัดแล้ว คุณต้องทำอะไรให้ฉันอย่างหนึ่งนะ.รับปากก่อนสิ”
“ไม่ค่ะ ดิฉันต้องวัดไข้อีกกี่เตียง คุณดูสิคะ ไม่ได้มีหน้าที่บริการใครคนใดคนหนึ่งหรอกค่ะ...เชิญค่ะ”
รสสุคนธ์ยอมอมปรอทแต่มองพยาบาลตาขวาง
นฤมลนั่งกินข้าวเงียบๆ อุษากับธารินทร์ทานข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม หวานคอยดูแลรับใช้อยู่“ถ้าหาของกลางไม่เจอ แบบนี้รินทร์จะทำยังไงล่ะคะ” อุษาถาม
“ต้องเจอสิครับ ถ้าไม่เจอ คดีชิงทรัพย์ก็ปิดไม่ลง” ธารินทร์บอก
นฤมลรวบช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม“คุณมลอิ่มไวจัง”
“ยังไม่อิ่มหรอก แต่ไม่อยากฟัง”
“ทำไมคะ มีปัญหาอะไรคะคุณมล”
“จะแน่ใจได้ยังไงว่าหาของกลางไม่เจอ...มีใครมุบมิบไว้หรือเปล่า”
ธารินทร์มองหน้าแล้วก็ไม่พอใจ“เรื่องที่ผมเล่าเป็นความจริงทุกอย่างครับ คุณนฤมล มีพยานรู้เห็นทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้าน กรุณาอย่างปรักปรำเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างนี้ มันผิดทั้งกฎหมายและจริยธรรม”
“เหรอคะ...” นฤมลถาม
นฤมลเดินไป หวานเดินตาม อุษาส่ายหน้าแล้วก็ถอนใจ
นฤมลเดินเข้ามาหนุ่ยกับโหน่งนั่งกินข้าวกันอยู่ที่มุมหนึ่ง คนใช้รวมกลุ่มกินข้าวกัน
“อะไรกัน หนุ่ยกับโหน่งลูกฉันนี่ ต้องกินข้าวที่พื้นอย่างนี้เหรอส่วนพวกแกนั่งกินกันที่โต๊ะ เสวยสุขกันเพลิน ไว้น้องรสกลับมาก่อนเถอะ ฉันจะรายงานทุกเรื่องเลย..หนุ่ย โหน่ง กินข้าวกับอะไรลูก” นฤมลว่า
“ไข่ทอดครับ” หนุ่ยตอบ
โหน่งพูดต่อ “แล้วก็ผัดผัก”
นฤมลหันขวับมาเล่นงานสวาท“ให้ลูกฉันกินแค่นี้เหรอ..”
สวาทเท้าเอวเอาเรื่อง ทุกคนวางช้อนพร้อมจะตอบโต้
“จำใส่หัวไว้นะคุณนฤมล...พวกฉันทุกคนรับเงินเดือนจากคุณอุษาที่ทำกับข้าวให้ลูกหล่อนกินนี่ก็บุญคุ้มหัวหล่อนแล้ว...”
“ถ้าอยากให้ลูกกินดีๆ ก็เข้ามาทำเองสิ” ยาใจบอก
“ไม่ใช่ทำตัวเป็นคุณนาย...ที่แท้ก็แค่คนอาศัย”
นฤมลไม่พอใจ “นัง...นัง...”
นฤมลคว้าของที่อยู่ใกล้ตัวเตรียมเป็นอาวุธ สมพรพับแขนเสื้อลุกขึ้นเช่นเดียวกับวิเวก
“ถ้านังหวาดของข้าเป็นอะไรไป เอ็งตาย...”
“คิดจะรุมฉันเหรอ”
หวานยืนมองอยู่แล้วก็ตวาดใส่หน้า
“พอ นังมล...แกก็แค่มันคนอาศัยอย่างที่เขาพูดจริงๆ น่ะแหละรู้จักเจียมตัวซะบ้าง แล้วก็จำไว้นะ แกไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าคุณอุษากับคุณรินทร์ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น...แกกับเขามันคนละชั้นกัน”
“ก็เดินดินเหมือนกันแหละวะ...” สวาทถลาเข้ามาตรงหน้าพร้อมเงื้อมือเตรียมตบ
“เอาสักฉาดดีมั้ย...”
“พอๆ แม่หวาด ฉันขอละ” หวานว่า
“น้าหวานรู้ไว้เลยนะ นังนี่จะว่าอะไรพวกฉันยังอดยังทนได้ แต่ถ้ารู้ว่ามันล่วงเกินคุณอุษาเมื่อไหร่ ฉันไม่ไว้มันแน่...” สวาทบอก
“ไปได้แล้วนังมล...”
นฤมลมองอย่างแค้นๆ เธอคว้าตัวหนุ่ยกับโหน่งขึ้นมา
“ไปลูก...อย่าอยู่กับไอ้อีพวกนี้เลย”
นฤมลพาลูกออกไป ยาใจถามทันที “มันว่าอะไรคุณอุษาเล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ”
“เก็บโต๊ะ เก็บบ้าน ล้างครัวก่อน แล้วคืนนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง”
นฤมลนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้อง
“แม่ ทำไมเราไม่ไปอยู่ที่อื่น” โหน่งถาม
“อย่าพูดอย่างนี้อีกนะโหน่ง เราเสียพ่อไปคนหนึ่งแล้ว จะให้แม่ยอมแพ้พวกมัน ออกไปจากบ้านนี้โดยไม่ได้อะไรติดตัวไปเลยเหรอ แม่ไม่ยอมหรอก ไปๆๆ ไปห้องของเราได้แล้วไปสิ...”
หนุ่ยกับโหน่งหน้ามุ่ยเดินออกไป นฤมลหน้าเครียดและไม่พอใจ
ทั้งหมดแต่งตัวใหม่ เตรียมนอน สวาทปะแป้งขาวโอเว่อร์ แต่ทุกคนแต่งตัวกันตามสบาย
“คุณรินทร์เล่าว่าของมีค่าเห็นอยู่กับตา ก็หายไปต่อหน้าต่อตาเลย” สวาทบอก
“คนทำไม่ได้หรอก ต้องผีเท่านั้นแหละ” ฉ่ำว่า
ทุกคนมองหน้ากันหวาดๆ “ก็...ก็...หมายความว่าคุณผู้หญิงเหรอ”
“จะมีใครซะอีกล่ะน้าหวาด”
“เจ้าประคู้น อย่าได้มาหากันเลยนะ..ยังไงนังลิ้มก็ขอไม่รู้ไม่เห็นอะไรสักอย่าง” จิ้มลิ้มว่า
เสียงหมาหอนดังมาแต่ไกล ทุกคนมองหน้ากัน
“ข้า...ข้าว่า...ไป...ไปนอนกันเถอะว่ะ...” สวาทบอก
“คะ ใคร...ใคร ไม่...ไม่ไป ข้าไป...”
วิเวกลุกขึ้นเป็นคนแรกแล้วก็วิ่งออกไป ทุกคนวิ่งตามไป เหลือหวานที่นั่งอยู่คนเดียว
“คุณผู้หญิง ยังไงก็คุ้มครองคุณอุษาด้วยนะเจ้าคะ”
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นมุมหนึ่ง “ไม่ต้องห่วงหรอกแม่หวาน ใครที่มันทำอุษา มันต้องตาย..”
หวานเหลียวมองไปรอบๆ “คุณผู้หญิง คุณผู้หญิงใช่มั้ยคะ”
หวานมองไปรอบๆ แล้วก็น้ำตาคลอ
อุษาปักธูปที่กระถางธูปหน้าโลงศพลั่นทม โดยมีหวานนั่งอยู่ข้างๆ ถาดเครื่องเซ่นวางอยู่ตรงหน้า“วันนี้มีประชุมที่บริษัททั้งวันเลย ษาฝากน้าหวานไปดูน้าชีพกับรสสุคนธ์ด้วยนะจ๊ะ ซื้อของไปให้พวกเขาด้วย ซื้อไปเยอะๆ จะได้เผื่อคนไข้อื่นๆ ด้วย” อุษาบอก
“น้ำใจคุณอุษาช่างงามจริงๆ อิฉันอยากให้นังรสมันมาได้ยินกับหูมันจะได้รู้สำนึกเสียบ้าง” หวานบอก
“ช่างเถอะค่ะน้าหวาน...ไปเถอะ ษาต้องรีบไปทำงาน”
“ค่ะคุณษา...”
อุษาแตะโลงศพของลั่นทมแล้วพูดเสียงเครือ
“คุณน้าขา...ษาคิดถึงคุณน้าค่ะ”
อุษากับหวานเดินออกไป ลั่นทมปรากฏตัวขึ้นแล้วมองตามไปด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ขอบใจษา...ขอบใจ แต่น้ายังมีงานที่ต้องทำอยู่ งานของน้ายังไม่เสร็จ”
ชีพลืมตาขึ้นแล้วกวาดตาไปทั่วห้องแต่ไม่เห็นลั่นทมก็ยิ้ม
“ไปแล้วเหรอนังผีลั่นทม...อย่าให้ฉันออกไปจากที่นี่ได้นะ ฉันเอาหมอผีจัดการแกแน่...”
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นนั่งเคียงข้างชีพ เธอยื่นหน้าเข้ามาตัดพ้อ
“ทำไมชีพใจร้ายกับทมนักล่ะคะ” ลั่นทมบอก
“เฮ้ย...นังผีบ้า ออกไป...ออกไป...”
ชีพหลับตาสวดมนต์ “นะโม...ตัสสะ ภควะโต...”
ชีพสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ ลั่นทมมองชีพแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะวูบหายไป
ธารินทร์จอดรถที่หน้าบ้าน อุษาเดินออกมาจากในบ้านจะขึ้นรถธารินทร์ หวานยืนอยู่ อุษาหันมาสั่ง
“รีบไปนะน้าหวานจะได้กลับไม่เย็น ให้ลุงฉ่ำขับรถให้นะ ษากับคุณรินทร์จะตามไปช่วงบ่าย” อุษาบอก
“ค่ะคุณษา”
ธารินทร์ขับรถออกไป หวานมองหาฉ่ำ “ฉ่ำ...ไอ้ฉ่ำ”
ฉ่ำเดินมาหา “มีอะไรเหรอจ๊ะน้าหวาน”
“คุณษาให้เอ็งพาข้าไปโรงพยาบาล นังหวาดมันทำกับข้าวกับปลาเสร็จหรือยัง...”
“ก็ไปดูสิ ฉันจะเอารถมาเทียบคุณนายหวานที่หน้าบ้านเลยนะจ๊ะ”
หวานเดินเข้าไป ฉ่ำเดินไปทางหนึ่ง นฤมลยืนกอดอกแล้วมองไปข้างหน้า
ชีพนอนหลับตาปี๋ปากพึมพำสวดมนต์เบาๆ
“นะโมตัสสะ..ภะคะวะโต”
รสสุคนธ์ยื่นมือเข้ามาแตะที่ตัวชีพ ชีพแหกปากร้องสุดเสียงทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา “โอ๊ย โว้ย ไม่เอา อย่า..ไป”
“ชีพ..ชีพคะรสเอง”
ชีพชะงักลืมตามองให้แน่ใจ เขาเห็นรสสุคนธ์นั่งรถเข็นโดยมีนฤมลเข็นรถให้ หวานยืนอยู่ข้างๆ ชีพดีใจ “รส..รสเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะคุณล่ะเห็นว่าต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน” รสสุคนธ์บอก
“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ นังลั่นทมมันตามรังควานฉัน”
หวานอึ้งไปและเหลือบมองไปรอบๆ ห้อง ธารินทร์เปิดประตูห้องเข้ามา ชีพรีบถาม
“ไงหมวดจับคนร้ายได้หรือยัง ฉันอยากได้เงินของฉันคืน” ชีพบอก
“ได้แล้วครับ แล้วก็รู้ที่ซ่อนทรัพย์สินที่ชิงไปจากคุณด้วย แต่พอไปเอาของทั้งหมดกลับหายไปอย่างน่ามหัศจรรย์ ผู้ต้องหาเองก็ตกใจ”
ชีพตาค้างเพราะพอจะรู้สาเหตุ นฤมลหัวเราะเบาๆ หวานหยิกนฤมลให้นฤมลรู้สึกตัว
“นังลั่นทมเป็นมันแน่ๆ มันจะไม่ให้ฉันเหลืออะไรเลย นังผีบ้าจะตามจองล้างจองผลาญไปถึงไหนวะ”
ชีพแค้น เขาหันไปเห็นพวกรสสุคนธ์ ชีพใจชื้นจึงรีบละล่ำละลัก
“รส น้าหวาน พี่มล ช่วยไปรวบรวมทรัพย์สินจากบรรดาญาติๆ ให้หน่อย...บอกว่าไม่เกินหกเดือนฉันจะใช้คืนให้หลายเท่า”
รสสุคนธ์ หวานนิ่งอึ้ง นฤมลไม่พอใจ “ญาติที่ไหนล่ะคะ..ทั้งเนื้อทั้งตัวมีพี่เรวัตอยู่คนเดียวก็ตายไปแล้วก็เพราะทำงานให้คุณแหละ”
ธารินทร์จ้องนฤมล นฤมลรีบปิดปาก ชีพตวาด
“อย่ามาพูดมั่วๆนะ ผัวเธอทำตัวเองตายเองฉันไม่เกี่ยว”
นฤมลฮึดฮัดจะพูด รสสุคนธ์เสียงดัง “หยุดได้แล้วพี่มล ชีพคะตอนนี้เราไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวเราจะไปไหนได้”
“ก็กลับไปอยู่ที่บ้านสิ จะได้เป็นเพื่อนกัน”
รสสุคนธ์หน้าเสีย “เราจะต้องกลับไปอีกหรือคะชีพ”
ชีพทั้งโกรธแค้นทั้งหวาดกลัวจึงโวยวาย “ไม่กลับ..ฉันไม่กลับ ฉันไม่ยอมไปเป็นเหยื่ออีผีบ้าอีก”
ชีพพยายามจะดิ้น วัฒนาวิ่งเข้ามากับพยาบาลพอเห็นก็ตกใจรีบเข้าไปยึด
“คุณชีพครับ..ใจเย็นๆ”
ชีพไม่ยอม วัฒนาหันไปพยักหน้ากับพยาบาล พยาบาลจึงรีบออกไป ครู่เดียวพยาบาลก็เข้ามาพร้อมเข็มฉีดยา
“ปล่อย กูไม่ฉีด”
ธารินทร์เข้ามาช่วยยึด พยาบาลฉีดยานอนหลับให้ ครู่เดียวชีพก็ตาปรือพึมพำแล้วค่อยๆหลับ ทุกคนมองชีพอย่างเหนื่อยใจ รสสุคนธ์อึ้งและมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแค้นก่อนจะหันมาหาเรื่องธารินทร์
“จับคนร้ายไม่ได้ ก็สร้างเรื่องว่าผีทำ คุณนี่เจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยนะ”
“พี่ก็ว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้น้องฟังอยู่พอดี” นฤมลว่า
“ถ้าขืนพูดอีก ผมจะจับคุณในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน...”
นฤมลถอยห่างออก หวานตวาดเบาๆ “นังมล ถ้าขืนแกยังไม่ยอมจบเรื่องนี้ ข้าจะไม่ให้แกอยู่ที่บ้าน”
“น้าหวานมีสิทธิ์อะไร”
“ข้าน่ะไม่มีสิทธิ์หรอกโว้ย แต่คนที่มีสิทธิ์ก็คือคุณผู้หญิง ข้าพูดยังงี้ หวังว่าแกสองคนจะเข้าใจ อย่าล้อเล่นกับคุณผู้หญิง”
“ขอโทษครับ กรุณาอย่ารบกวนคนไข้ ถึงคุณชีพจะหลับไปแล้ว แต่ก็อาจรบกวนคนไข้ห้องอื่นได้”
วัฒนาเดินออกไป รสสุคนธ์มองตามตาขวางแล้วก็มองมาที่ธารินทร์
“หวังว่าคดีนี้จะไม่ล้มนะคะคุณเจ้าพนักงาน...”
อุษาเดินเข้ามาพอดี “พี่มล น้าหวาน พาฉันกลับไปที่ห้องเถอะ ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
นฤมลเข็นรถของรสสุคนธ์ผ่านหน้าอุษาไป หวานละล้าละลัง
“น้าหวานไปกับคุณมลเถอะจ้ะ จะได้กลับบ้านพร้อมกัน”
“ค่ะคุณษา”
หวานเดินตามนฤมลกับรสสุคนธ์ออกไป วัฒนากับพยาบาลยืนมองทุกอย่างอย่างงงๆ
“คุณชีพหลับน่ะครับ เพิ่งฉีดยาให้หลับตะกี้นี้เอง”
อุษา ธารินทร์ และวัฒนาพากันเดินมาตามทาง
“ทำไมคุณชีพถึงได้ดูโกรธแค้นแล้วก็หวาดกลัววิญญาณคุณลั่นทมมากขนาดนี้ก็ไม่รู้” วัฒนาบอก
ทั้งสามคนหยุดเดิน อุษากับธารินทร์สบตากัน วัฒนามองอย่างต้องการความจริง
“มีอะไรที่ผมควรรู้มั้ยครับเนี่ย”
“พูดไปคุณหมออาจไม่เชื่อก็ได้ค่ะ”
วัฒนานิ่งคิดแล้วก็ถามด้วยความตกใจ
“อย่าบอกนะครับว่าคุณชีพโดนคุณลั่นทมหลอกเอา” วัฒนาถาม
อุษาพยักหน้า วัฒนาตกใจ ธารินทร์รีบบอก “แต่เราก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะทุกครั้งที่เกิดเรื่องน้าชีพจะอยู่ในอาการเมาขาดสติ เราก็เลยไม่แน่ใจ”
“อันที่จริงผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องวิญญาณสักเท่าไร แต่ก็ไม่ใช่ไม่เชื่อเลยทีเดียว แต่กรณีของคุณชีพผมดูท่าทางแกกลัวเอามากๆ อาการแบบนี้ค่อนข้างอันตรายนะครับ”
“อันตรายยังไงคะหมอ”
“จากกลัวมากอาจจะกลายเป็นกล้าบ้าบิ่น ทำอะไรแบบไม่ยั้งคิดนะครับ”
อุษากับธารินทร์มองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ วัฒนารีบพูดต่อ
“ผมแค่พูดตามทฤษฎีนะครับอย่าเพิ่งวิตกไปเลย ลองให้ยาระงับประสาทดูก่อน บางทีสองสามวันนี่คุณชีพอาจจะดีขึ้นก็ได้”
วัฒนาเดินแยกไป อุษายังยืนนิ่งคิดตามคำพูดของวัฒนา
หวานกับนฤมลช่วยกันประคองรสสุคนธ์ขึ้นเตียง รสสุคนธ์ขึ้นไปนั่งหน้าตาบูดบึ้ง
“เจ็บใจนังลั่นทมจริงๆ นี่มันจะต้อนให้ฉันกับคุณชีพจนตรอกเลยใช่มั้ย”
หวานถอนใจมองหน้ารสสุคนธ์แล้วพูดด้วยดีๆ
“รสเอ๊ย ของๆใครใครเขาก็ต้องหวง แกก็ยังสาวยังแส่ เลิกกับคุณผู้ชายเสียเถอะ อะไรๆมันจะได้จบเสียที”
รสสุคนธ์หันมามองหวานตาขวาง
“น้าเนี่ยน่าจะเกิดเป็นน้านังลั่นทมมากกว่านะ เข้าข้างมันอยู่ได้แหกหูแหกตาดูซะบ้างสิว่ามันทำกับหลานน้ายังไง ฉันเกือบตายคราวนี้ก็เพราะมัน ทำไมน้าไม่ไปสาปแช่งมัน แทนที่จะมาพูดเข้าข้างมันอยู่ได้”
“ที่จริงน้าหวานก็พูดถูกนะน้องรส พี่เองก็ชักกลัวๆจนไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว”
รสสุคนธ์หันขวับมาพูดเสียงดัง “ใครจะไปไหนก็ไปเลย ใครจะกลัวนังลั่นทมก็กลัวไป แต่ฉันไม่คอยดูฉันจะปักหลักสู้กับมัน ตอนเป็นคนมันยังแพ้ฉันแล้วตายเป็นผีไปแล้ว มันจะชนะฉันได้ยังไง ฉันไม่เชื่อหรอก ถ้าฉันได้สมบัติวันไหน ใครที่ไม่อยู่ข้างฉันอย่าหวังจะได้สักแดง”
นฤมลอึ้งแล้วก็รีบประจบ “พี่ไม่ใช่ไม่อยู่ข้างน้องรสนะจ๊ะ พี่แค่เป็นห่วง ถ้าน้องรสไม่กลัวพี่ก็ไม่กลัวจ๊ะ พี่นี่แหละจะต่อสู้เคียงข้างน้องรสเลยเชียวละ”
หวานมองนฤมลอย่างเอือมระอาเต็มที สีหน้ารสสุคนธ์เต็มไปด้วยความแค้นและชิงชังไม่ยอมง่ายๆ
ธารินทร์กับอุษาเดินมาถึงรถ อุษาเดินคิดมาตลอดจนขึ้นรถ ธารินทร์ตามขึ้นมามองอย่างเห็นใจ “คิดมากอีกแล้วษา” ธารินทร์ว่า
“ษาอดสงสารน้าชีพไม่ได้ค่ะ เห็นภาพที่เขาหวาดกลัวจนเสียสติเมื่อครู่นี้แล้วรู้สึกสลดใจจริงๆ เราจะทำยังไงกันดีคะรินทร์ ที่จะยุติเรื่องพวกนี้เสียที”
“ทุกอย่างมันยุติได้ง่ายๆแค่น้าชีพกับรสสองคนหยุดความโลภแต่ษาก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเหมือนกันที่จะให้สองคนนั่นคิดได้”
“น้าชีพจะหยุดแน่ค่ะถ้ารสสุคนธ์ไม่คอยยุ ตอนนี้ษารู้สึกว่าน้าชีพกลัวจนแทบถอดใจแล้ว ยังเหลือแต่รสสุคนธ์ที่ไม่ยอม”
“ก็นั่นนะสิ แล้วใครละที่จะทำให้รสสุคนธ์คิดได้เสียที”
อุษานิ่งอึ้งเพราะตอบไม่ได้ เธอมีสีหน้าหนักใจ
จรัลขับรถมาตามถนน จรัลครุ่นคิดและพึมพำอยู่คนเดียว
“ความโลภนี่มันน่ากลัวจริงๆ”
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นข้างๆจรัล
“ใช่แล้วค่ะ”
จรัลสะดุ้งเฮือกแล้วหันมามอง ลั่นทมยิ้มให้ จรัลอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณคงไม่กลัวฉันใช่มั้ยคะ”
“ผมไม่ได้กลัว แต่คุณควรจะมีสัญญาณอะไรซักอย่างก่อนปรากฏตัว”
“ฉันก็ไม่ทราบ..พอนึกอยากให้คุณเห็นก็เห็นเลย”
“กับคนอื่นล่ะ”
“จริงๆ แล้วมันยากและเหนื่อยมาก แต่คุณคงเป็นสื่อที่คนอื่นๆ เป็นไม่ได้กระมัง ฉันก็เลยมาพบคุณได้ง่ายมาก คุณต้องการพบฉันไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่...ขอบคุณที่มา” จรัลบอก
“ฉันรู้ว่าคุณจะทำพิธีเรียกฉันอีก ฉันก็เลยมาเสียก่อนจะได้ไม่ถูกบังคับ”
“ผมแค่ต้องการช่วยคุณ ที่คุณต้องตายไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ คุณจะบอกได้มั้ยว่าใครฆ่าคุณ”
“ถึงบอกไปคุณก็เอาฉันไปเป็นหลักฐานไม่ได้ พยานผีคงไม่มีใคร เชื่อหรอกค่ะ”
จรัลอึ้ง “ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ขอให้บอก”
“ขอบคุณค่ะ”
พูดจบลั่นทมก็หายไป จรัลมองนิ่งๆ แล้วถอนใจ
หนุ่ย โหน่งวิ่งเล่นไล่จับทั่วบ้าน ทั้งสองรื้อของกระจาย สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ โมโห
“โอ๊ยเป็นลูกลิงมาเกิดหรือยังไงวะซนบรรลัย”
“จริงๆด้วย ฉันเพิ่งเก็บตรงนั้นดูพวกมันรื้ออีกแล้ว” จิ้มลิ้มว่า
หนุ่ยกับโหน่งแลบลิ้นหลอกพวกสวาท ยาใจถือไม้ปัดขนไก่เดินเข้าไปหา
“แก่นนักใช่มั้ย มานี่จะตีให้ก้นลายเลย”
หนุ่ยกับโหน่งไม่กลัว ทั้งสองวิ่งล่อหลอกยาใจจนไปชนกับนฤมลกับหวานที่เดินเข้ามา
“เย้แม่มาแล้ว”
“ไอ้พวกขี้ข้านี่มันจะตีหนุ่ยกับโหน่ง”
“ต๊ายแล้ว..นี่นังมนแกสอนลูกยังไง ก้าวร้าวเกินเด็กจริงๆ ไป
“เรียกน้าๆว่าขี้ข้าได้ยังไง”
“เอ๊ะน้าหวานนี่มาว่าลูกฉันทำไม เด็กๆมันก็พูดถูกแล้ว พวกนี้มันก็เป็นขี้ข้าจริงๆ ไปลูกไป ขึ้นข้างบนกันแม่เหนื่อยจะนอนพักสักหน่อย”
นฤมลโอบลูกๆขึ้นข้างบน พวกสวาทมองงงๆ
“นังนี่มันผีเข้าเหรอ วันก่อนยังดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่เลย แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง มันก็ทำตัวเป็นตัวแทนของนังรส”
“นั่นสิ ไม่เหมือนตอนมาใหม่ๆ ไม่ทำเชิดเหมือนเดี๋ยวนี้”
หวานมองตามแล้วส่ายหน้า
“ก็พรรคพวกมันจะกลับมาแล้วนี่ ไอ้พวกไม่มีสำนึก”
“พรรคพวกอะไร” ยาใจนึกได้ “อย่าบอกนะน้าหวานว่านังรสจะกลับมาอยู่ที่นี่อีก”
“มันก็ยังไม่อยากมานักหรอก แต่ไม่มีที่ไปแล้วนะเงินทองก็ไม่มี”
“แล้วนังรสกับคุณผู้ชายไม่กลัวคุณผู้หญิงแล้วเหรอ”
“ทำไมจะไม่กลัว คุณผู้ชายนะหนักเลยแก พอรู้ว่าหมดทางต้องกลับมาบ้านนะดิ้นพราดๆร้องโวยวาย จนหมอต้องฉีดยาระงับประสาทให้”
หวานพูดแล้วก็ถอนใจกลุ้มๆ “ถ้าสองคนนั่นกลับเข้ามาบ้านต้องลุกเป็นไฟอีกแน่ๆ”
ทั้งหมดฟังแล้วก็ใจคอไม่ดีและมีสีหน้าที่ออกอาการหวาดหวั่น
ท้องฟ้ายามค่ำ มีเสียงจิ้งหรีดร้องกันระงม ตา ยายถือไฟฉายในมือส่องไฟกราดไปมา ตากับยายพากันมาส่องกบและหาเขียด ยายมึนหัวทำท่าจะล้ม ตารีบหันมาประคอง
“ยายเป็นอะไรไป”
“มันหวิวๆเหมือนจะเป็นลม”
ตาประคองยายให้นั่งลง “ยายคงหิวนะสิ รอเดี๋ยวนะตาจะหากบไปผัดเผ็ดให้กินเฮ้อ เดี๋ยวนี้ก็ช่างหายากจริงๆ เรามันก็แก่แล้วด้วย..”
ยายพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ตารีบลุกขึ้นส่องไฟไปเรื่อยๆ ลั่นทมมองดูตากับยายด้วยสีหน้าสงสารจับใจ
ตาส่องไฟมาจนถึงที่ซ่อนของแล้วก็เขม้นดู
“อะไรวะ...หลุมอะไร...ใครมาขุดไว้”
ตาเดินไปนั่งยองๆ มองแล้วก็ตกใจ “หลุมใหม่ๆ หรือว่าใครจะเอาอะไรมาฝังไว้ที่นี่”
ตามองออกไปรอบๆ ยายนั่งทำท่าจะเป็นลม “รอเดี๋ยวนะยาย อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ”
ตาคุ้ยดินดูก็เห็นของมีค่าของชีพและรสสุคนธ์อยู่ครบทั้งแหวน นาฬิกา และสร้อย ตาตะโกนโวยวาย“ยายๆๆมาดูอะไรนี่เร็ว”
ยายค่อยๆเดินมาแล้วก็ตกใจ “หา...นี่มันของมีราคาทั้งนั้นนี่ตา”
“นั่นสิ..ใครเอามาทิ้งไว้ในป่านี่ล่ะ โอโห หรือว่า เทวดาอารักษ์ท่านเมตตเรา...เราไม่อดตายแล้วนะยาย”
ตากับยายดีใจแต่แล้วชะงักมองหน้ากัน
“จะดีเหรอตา..ยังไงของพวกนี้ก็ต้องมีเจ้าของนะ” ยายบอก
“นั่นสิ เจ้าของเขายังไม่อนุญาตเราเอาไปก็เท่ากับเป็นขโมยนะอย่าไปเอาของเขาเลยนะยาย” ตาบอก
“อืม เก็บไว้อย่างเดิมเถอะตา”
ตาวางของลงที่เดิมอย่างตัดใจ
ลั่นทมยืนมองอยู่ด้วยความสงสาร โดยที่ตายายมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียง
“เอาไปเถอะจ้ะฉันอนุญาต...เอาไปเถอะ..”
ตากับยายชะงักเพราะโดนสะกด “หยิบไปสิ...ฉันให้...หยิบไปสิจ๊ะ”
ตากับยายหยิบของขึ้นมาใส่ในห่อผ้า ก่อนจะลุกเดินหายไปในความมืด ลั่นทมพึมพำ
“คนที่เขาลำบากขนาดไม่มีจะกินยังมีสำนึก แล้วคุณล่ะชีพฉันให้คุณอยู่สุขสบายทุกอย่าง แต่จิตใจคุณกลับมีแต่ความละโมบไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอ ฉันคงปล่อยคุณไว้ไม่ได้อีกแล้ว”
สีหน้าท่าทางของลั่นทมดูน่ากลัวก่อนที่จะหายไป
อ่านต่อหน้าที่ 2
สุสานคนเป็น ตอนที่ 11 (ต่อ)
ชีพนอนหลับสนิท ฉ่ำ สมพร และวิเวกนอนขดตัวหลับอยู่อย่างยากลำบากที่โซฟา ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นมองสามคนแล้วหันมามองชีพด้วยความสมเพช
“กลัวฉันขนาดนี้เลยหรือชีพ ต่อให้คุณตามคนมาอยู่เต็มห้องคุณก็หนีฉันไม่พ้นหรอก” ลั่นทมว่า
ชีพยังหลับสนิทอยู่ เสียงกริ่งจากสุสานดัง ชีพสะดุ้งแล้วก็ลืมตาขึ้น เสียงกริ่งดังอีก ชีพตาเหลือก และพยายามจะลุกขึ้น เมื่อไม่ไหวชีพก็หันไปตะโกนเรียกพวกฉ่ำ
“ไอ้ฉ่ำ..ไอ้พร ไอ้วิเวก”
ทุกคนเงียบและไม่มีทีท่าจะตื่น ชีพตะโกนดังขึ้นอีก“ไอ้ฉ่ำ ไอพร ไอ้เวก ตื่นสิโว้ย”
ทุกคนเงียบ ลั่นทมเดินเข้ามาด้านข้างแล้วแตะแขนชีพ
“มีอะไรคะชีพ”
ชีพหันไปมองแล้วก็ตกใจแหกปากร้อง “ไป..ไปให้พ้น ไอ้ฉ่ำ ไอ้ฉ่ำ”
ฉ่ำสะดุ้งตื่นแล้วก็เดินงัวเงียเข้าไปหา “เอาอะไรคุณชีพ”
ชีพดีใจหันกลับมาแล้วก็แทบตกเตียงที่ฉ่ำกลายร่างเป็นลั่นทม ชีพโวยวาย
“ไป ไปให้พ้นไม่เอาไม่เอา ไอ้พรไอ้พร”
ฉ่ำถอยมาอย่างงงๆ พรลุกงัวเงียเข้าไปถาม “จะใช้อะไรผมครับ”
ชีพมองแล้วก็สะดุ้งที่เห็นเป็นลั่นทมอีก ชีพลนลาน
“กูไม่ใช้มึงไปนังบ้า ไอ้เวกช่วยด้วย ช่วยกูด้วย”
สมพรเดินไปสมทบฉ่ำด้วยความรำคาญ
วิเวกลุกเข้าไปหา “เป็นอะไรไปครับคุณชีพ”
ชีพหันมาเห็นเป็นวิเวก ชีพดีใจ “เร็วไอ้เวกมานอนบนเตียงนี่มานอนกับฉันเร็ว”
วิเวกชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ
“ให้ผมไปนอนบนเตียงกับคุณชีพ”
ชีพตะคอก “เออสิวะ บอกให้ขึ้นมาก็ขึ้นมา”
วิเวกพยักหน้าแล้วขึ้นไปนอนกับชีพอย่างสบายอารมณ์
“ดีเหมือนกันครับไม่ต้องคุดคู้อยู่โน่น”
วิเวกหลับตา ชีพถอนใจโล่งอก เขาหันไปมองที่ลั่นทมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็หายไปแล้ว ชีพโล่งใจ เขาหันมามองวิเวก ชีพตาเหลือกอ้าปากค้างที่วิเวกกลายเป็นลั่นทมกำลังนอนหลับสบาย ชีพทั้งกลัวทั้งแค้น
ชีพรวบรวมแรงผลักลั่นทม “ไปให้พ้น”
วิเวกจุกอยู่ที่พื้นค่อยๆ ลุกขึ้นมาโวย “โอ๊ยคุณชีพผลักผมทำไม อู๊ย เจ็บ..”
ฉ่ำกับสมพรหัวเราะลั่น
พยาบาลเข้ามาดุ “เสียงดังอะไรกันคะ ที่นี่โรงพยาบาลนะ”
ทั้งหมดเงียบ พยาบาลตำหนิต่อ “ที่จริงเราให้เฝ้าได้คนเดียว คุณก็ไม่ยอมจะขอให้มาอยู่เป็นเพื่อนกันคุณหมอก็อนุโลมแล้ว ยังมาส่งเสียงรบกวนคนอื่นอีก ถ้าเป็นแบบนี้จะไม่ให้อยู่แล้วนะคะ”
ชีพโวยวาย “เออ เอาพวกมันไปให้หมด ไม่ต้องมาอยู่แล้วออกไปออกไป ออกไปสิโว้ย”
พยาบาลมองชีพอย่างรำคาญๆ พวกฉ่ำพากันเดินออกไปอย่างงงๆ
“อะไรของแก ไม่มาก็บังคับให้มา พอมาก็ไล่เหมือนหมู เหมือนหมา”
เหลือชีพอยู่คนเดียว ชีพปิดหน้าร้องคร่ำครวญ “โอ๊ย อยากตาย อยากตายจริงๆ”
“ฉันยังไม่ให้คุณตายง่ายๆหรอกชีพ”
ชีพกลัวมากแต่ก็หนีไม่ได้จึงตะโกนลั่น “ช่วยด้วย ใครก็ได้เข้ามาหน่อย ได้ยินมั้ย”
พยาบาลคนเดิมเข้ามาด้วยความโมโหมาก “นี่คุณจะโวยวายอะไรอีก”
“ขอยานอนหลับให้ผมหน่อย”
พยาบาลออกไปอย่างรำคาญสุดๆ ชีพยิ้มเยาะเหมือนคนไม่ปกติ
“ฉันจะกินยานอนหลับ นังผีบ้าแค่นี้แกก็ทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว”
ชีพหัวเราะสะใจด้วยท่าทางคล้ายคนบ้าเข้าไปทุกที
รสสุคนธ์นอนกระสับกระส่ายครุ่นคิดหาทางรับมือกับลั่นทม รสสุคนธ์มีสีหน้าสะใจและเคียดแค้น
ในห้องมืดสลัวมีไฟหน้าประตูเปิดอยู่ดวงเดียว ส่วนคนไข้คนอื่นๆหลับหมด รสสุคนธ์พึมพำด้วยความเคียดแค้น
“รอหน่อยเถอะให้ฉันหายดีก่อน ฉันจะไปหาหมอผีมาเล่นงานแกนังลั่นทม”
พยาบาลเดินเข้ามา รสสุคนธ์มองพยาบาลผ่านฉากกั้นซึ่งเป็นเพียงเงามาจนเกือบถึงปลายเตียง แล้วก็ค่อยๆเห็นหน้าชัดขึ้น รสสุคนธ์พูดห้วนๆ โดยยังไม่เห็นหน้า
“มาก็ดีแล้วขอน้ำฉันกินหน่อย คอแห้งจะตายอยู่แล้ว”
พยาบาลยื่นมือยาวไปที่โต๊ะมุมห้องแล้วหยิบแก้วน้ำมาส่งให้ รสสุคนธ์ตาเหลือกจ้องพยาบาลเขม็ง
รสสุคนธ์เห็นพยาบาลคือลั่นทมกำลังแสยะยิ้มให้แล้วถามเยือกเย็น
“ทำร้ายฉันตอนเป็นคนยังไม่พออีกเหรอรสสุคนธ์ คิดจะหาหมอผีมาทำร้ายฉันตอนตายอีกเหรอ”
รสสุคนธ์นั่งนิ่งขึง มือลั่นทมราดน้ำใส่รดหัวรสสุคนธ์ รสสุคนธ์แหกปากร้องอย่างตกใจก้มหน้าก้มตาร้องเสียงดัง
“ ว้าย...ช่วยด้วย..ช่วยด้วย”
คนไข้เตียงอื่นๆ พากันตื่นขึ้นมองมาที่รสสุคนธ์ด้วยความรำคาญ พยาบาลยื่นมือมาจับรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ปัดป้องร้องเสียงหลง
“ออกไป ออกไป๊...ๆๆ”
พยาบาลดุ “กินน้ำยังไงหกเลอะเทอะ แล้วทำไมต้องร้องเสียคนอื่นๆเขาแตกตื่นกันหมด มานี่ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”
รสสุคนธ์ค่อยๆเงยหน้ามอง พยาบาลทำหน้าดุๆ และกำลังเช็ดน้ำตามตัว คนไข้อื่นๆมองรสสุคนธ์ด้วยความรำคาญๆ รสสุคนธ์มีอึ้งสีหน้าหวาดๆ แล้วก็มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีลั่นทมแล้ว รสสุคนธ์หวาดกลัวแต่ไม่กล้าบอกใคร
ชีพวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตในสภาพเหงื่อแตกเต็มตัว พลางหันไปมองข้างหลัง ชีพหยุดหอบแล้วหายใจแรงเพราะวิ่งต่อไปไม่ไหว ลั่นทมปรากฏตัวขึ้นมาโอบข้างหลังชีพ ชีพอึ้งไป
เสียงรสสุคนธ์ดังขึ้น “จะหนีรสไปไหนคะชีพ รสวิ่งตามคุณเหนื่อยจะแย่แล้ว”
ชีพหันกลับมา “รส...รสจริงๆ ด้วย คิดถึงรสจัง”
ชีพกอดและจูบรสสุคนธ์ให้หายคิดถึง ทันใดนั้นใบหน้าของรสสุคนธ์กลายเป็นลั่นทมที่กำลังโอบกอดชีพไว้ “ทมก็คิดถึงชีพค่ะ”
ชีพได้สติ พอมองเห็นเป็นลั่นทมเขาก็ผลักออก
“ไป ไป นังผีบ้า ฉันเกลียดแก เหม็น ทุเรศ...ไป...”
แขนของลั่นทมที่โอบกอดรอบลำคอชีพโอบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของชีพถูกโน้มเข้ามาใกล้ ลั่นทมมองชีพสายตาดุๆ
“ทมไม่ไป ทมจะอยู่กับชีพ เราจะอยู่ด้วยกันจนวันตาย”
ชีพเบือนหน้าหนีลั่นทม แต่ลั่นทมจ้องหน้าแล้วใบหน้าของลั่นทมก็เริ่มเน่าเฟะ ใบหน้าลั่นทมปริแตก เลือดและหนองทะลัก
“แหวะ...อย่า ออกไป”
ชีพเบือนหน้าหนีก่อนจะพยายามผลักลั่นทมออกห่างแล้วหลับตาปี๋ ลั่นทมปล่อยแล้วระเบิดเสียงหัวเราะก้องดังแล้วค่อยๆ วูบหายไป ชีพทรุดนั่งลงหอบเหนื่อยอย่างหมดแรง
รสสุคนธ์ปรากฏตรงหน้า “ชีพ...”
ชีพเงยหน้าขึ้นเห็นรสสุคนธ์แต่เขาไม่ไว้ใจอีกแล้ว “แกอย่ามาหลอกฉันลั่นทม ฉันไม่เชื่อแกแล้ว...ออกไป...”
“ชีพ นี่รสเมียคุณนะคะ...ลืมรสแล้วเหรอคะ”
ชีพตวาดใส่หน้า “ไม่หลงกลหรอกโว้ย...”
ชีพเหลียวหาไม้หรือสิ่งของที่จะทำร้ายรสสุคนธ์ เขาคว้าได้ไม้ขนาดเหมาะมือแล้วฟาดอย่างแรงไปที่รสสุคนธ์ “โอ๊ย...”
ชีพฟาดไม้ไม่นับด้วยหน้าตาดุดัน เสียงหัวเราะก้องของลั่นทมดังมา
รสสุคนธ์ดิ้นรนหวีดร้องอยู่บนเตียง เธอดิ้นพราดเหมือนปลาถูกทุบหัวปลา
“โอ๊ย ๆๆ อย่า...โอ๊ย...กลัวแล้ว...กลัวแล้ว”
พยาบาลวิ่งมาที่เตียงของรสสุคนธ์แล้วเขย่าร่างรสสุคนธ์ให้รู้สึกตัว คนไข้เผยอตัวมองอย่างรำคาญ
“คุณๆๆ ฝันร้ายเหรอ ใจเย็นๆ” พยาบาลบอก
รสสุคนธ์ได้สติ พอเห็นเป็นพยาบาล เธอก็กอดพยาบาลไว้แน่นแล้วละล่ำละลัก
“อย่า...อย่าทิ้งฉันไปไหนนะ ฉันกลัว...”
“นอนซะ...อย่ารบกวนคนอื่น ทุกคนต้องการพักผ่อน”
พยาบาลเดินออกไป รสสุคนธ์ด่าตามหลัง
“คนอะไรไม่มีน้ำใจ”
พยาบาลหันกลับมาแล้วยิ้มมุมปากดุๆ ดวงตากร้าว ทันใดนั้นใบหน้าพยาบาลก็กลายเป็นลั่นทม“ฉันให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เธอ เธอยังว่าฉันไม่มีน้ำใจอีกเหรอรสสุคนธ์...”
รสสุคนธ์ผงะแล้วก็อึ้งไป เธอกระถดร่างไปพิงหัวเตียง ดวงตาเหลือกโพลง ใบหน้าลั่นทมหายไป กลายเป็นพยาบาลคนเดิม แล้วพยาบาลคนนั้นก็เดินไปดูคนไข้เตียงอื่นๆ รสสุคนธ์กลัวจนตัวสั่นไปหมด เธอหอบหายใจแรงอยู่ในความมืดสลัว
ชีพนอนหลับตากระสับกระส่าย ลั่นทมปรากฏร่างขึ้น
“อย่าคิดหนีทมเลยค่ะ ต่อให้คุณกินยานอนหลับ ทมก็เข้าไปหาชีพได้ ก็ทมรักชีพนี่คะ รักยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น...”
ลั่นทมก้มลงไปหอมแก้มชีพแล้วมองชีพอย่างแสนรัก แล้วร่างของลั่นทมก็วูบหายไป ชีพยังนอนหลับ
อุษานั่งเหม่ออยู่คนเดียว เธอครุ่นคิดว่าจะจัดการยังไงให้ดีที่สุดเกี่ยวกับทรัพย์สินของลั่นทม ใครสักคนเคลื่อนเข้ามาใกล้จนถึงตัวแล้วโอบอุษาไว้
อุษาสะดุ้งแล้วหันมา “อุ๊ย..”
ธารินทร์นั่งเคียงข้าง “คิดอะไรเพลินอยู่เรอะษา..ผมตามหาแทบแย่”
ธารินทร์มองไปรอบๆ “มานั่งแถวนี้ไม่กลัวเหรอครับ”
“กลัวอะไรคะ ใครที่คิดจะรังแกษาก็มีอันเป็นไปทุกคน”
ธารินทร์แอบจูบข้างหูอุษา อุษาหลบ “เดี๋ยวก็โดนดีอีกคนหรอก”
ธารินทร์โอบอุษาไว้ “ผมไม่กลัว”
อุษาแกล้งเรียก “คุณน้าคะ..รินทร์รังแกษา..”
ธารินทร์หัวเราะ “คุณน้าไม่ทำอะไรผมหรอก เพราะรู้ว่าผมจริงใจ ว่าแต่ษาเถอะ มานั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว”
“กำลังคิดว่าทำยังไงน้าชีพกับรสสุคนธ์ถึงจะสำนึกได้”
“คงยากนะ นี่ละที่เขาเปรียบเทียบเหมือนพวกบัวใต้น้ำ”
อุษาถอนใจเพราะกลุ้มมาก “ถ้ายังเป็นแบบนี้ษากลัวว่าจุดจบของพวกเขาจะไม่ต่างอะไรกับฉลองหรือเรวัต และคุณน้าก็จะบาปมากขึ้น”
“ที่ษาพูดมันก็ถูก แต่เราจะทำอะไรได้”
“ษาคิดว่าจะลองพูดกับน้าชีพและรสสุคนธ์อีกที”
ธารินทร์มองอุษาอย่างเข้าใจและเห็นใจแต่ก็หนักใจว่าชีพจะยอมหรือเปล่า
ชีพดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังมีผ้าพันแผลและต้องใช้ไม้เท้าอยู่
ชีพหันมาถามเสียงดังมากเพราะไม่พอใจ“ว่าไงนะ”
“น้าชีพได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ษาจะให้เงินรสสุคนธ์แสนนึงให้ไปจากคุณน้า แล้วคุณน้าก็ต้องเลิกยุ่งกับรสสุคนธ์ด้วย คุณน้าจะว่ายังไงคะ”
ชีพมองอุษาแล้วยิ้มเยาะ “ตกลง”
อุษาหันไปมองธารินทร์ด้วยความดีใจแล้วก็หันกลับมา ชีพพูดต่อหน้าตาเฉย
“แต่เธอต้องมาเป็นเมียน้าแทนรสสุคนธ์นะ”
อุษาตะลึง พอได้สติก็ตบหน้าชีพเต็มแรง ชีพผงะ อุษาเงื้อมืออีก ธารินทร์รีบเข้ามาจับมืออุษา “ใจเย็นๆ ษา”
อุษามองชีพอย่างเจ็บใจ ธารินทร์ข่มใจอธิบาย
“อุษาทำแบบนี้เพราะหวังดีกับน้าชีพ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรสสุคนธ์ ถ้ารสสุคนธ์ไปจากน้าชีพ ไปจากที่นี่วิญญาณคุณน้าลั่นทมคงจะสงบ”
“เสียใจ ฉันรักรสสุคนธ์เราจะไม่ยอมพรากจากรสสุคนธ์”
“แม้ว่า..น้าจะถูกทำร้ายจากวิญญาณคุณน้าลั่นทมหรือครับน้าชีพไม่กลัวแล้วเหรอ”
“ฉันไม่กลัวมัน อีผีนรก ฉันไม่กลัวมันอีกแล้ว ฉันจะสู้กับมัน”
ลั่นทมยืนอยู่เสียงกร้าว
“คนไม่สำนึกทำยังไงก็ไม่มีวันสำนึก ปล่อยให้น้าจัดการด้วยวิธีของน้าเถอะอุษา”
ธารินทร์กับอุษาเดินกลับมาที่จอดรถ
“ผมว่าถ้าเราเสนอรสสุคนธ์อาจได้ผลกว่า”
“ษาก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ว่ารสสุคนธ์ไม่ชอบเรา ษาว่าลองให้คนอื่นไปพูดอาจง่ายกว่ามั้ยคะ”
“ษาคิดว่าจะให้ใครพูดดีล่ะ”
จรัลยกมือรับไหว้อุษากับธารินทร์ก่อนจะนั่งลงตรงข้าม
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วย”
“ค่ะษาขอไม่อ้อมค้อมนะคะคุณอา คือษากับรินทร์ปรึกษากันว่า จะยอมให้เงินรสสุคนธ์ก้อนหนึ่งเพื่อแลกกับการไปจากน้าชีพ คุณอาคิดว่ายังไงคะ”
“ก็ไม่เลว แต่เขาจะเข้าใจความปรารถนาดีของพวกคุณหรือเปล่าเท่านั้น”
“นี่ละครับคือปัญหา เราสองคนถึงต้องมารบกวนคุณอาจรัลมองหน้าอุษา ธารินทร์แล้วเข้าใจได้ทันที พยักหน้ายิ้มๆ”
“เข้าใจล่ะ จะให้ผมเป็นตัวกลางใช่มั้ย ได้สิได้ ผมก็อยากให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี วิธีนี้ก็ไม่เลว เมื่อไรดีล่ะ”
อุษาดีใจจึงพนมมือไหว้จรัล “ขอบพระคุณค่ะคุณอา ขอบพระคุณจริงๆ”
อุษาหันไปมองหน้าธารินทร์อย่างมีความหวัง
จรัลเดินเข้ามาในห้องรสสุคนธ์ รสสุคนธ์อาการดีขึ้นมากแล้ว เธอนั่งพักผ่อนอยู่บนเตียงพยาบาล รสสุคนธ์แปลกใจที่เห็นจรัล
“คุณจรัล”
“ครับผมเอง”
“คุณรู้ได้ยังไงว่ารสอยู่ที่นี่”
“เอาเป็นว่าผมรู้ทุกอย่างที่คุณทำก็แล้วกัน ที่ผมมานี่ก็เพื่อจะมายื่นข้อเสนอบางอย่าง”
“ข้อเสนออะไรคะ”
รสสุคนธ์หัวเราะเยาะ “คุณมาช้าไปแล้วละคะ ตอนนี้รสมีสามีแล้วและสามีรสก็รวยมากด้วย”
“คุณเข้าใจไปคนล่ะเรื่องแล้วล่ะรส เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้ว ตอนนี้ผมมีแค่ความปรารถนาดีให้กับคุณ”
“คุณพูดอะไรรสไม่เข้าใจ”
“พอดีผมติดต่อวิญญาณลั่นทมได้....ผมจึงเป็นห่วงคุณรสสุคนธ์..ผมอยากให้คุณไปจากคุณชีพ”
รสสุคนธ์นิ่งอึ้ง “จะจ้างให้รสเลิกกับคุณชีพ..เพื่ออะไรคะ”
“ผมไม่ต้องการให้คุณมีอันเป็นไป..และไม่ต้องการให้คุณนายลั่นทมสร้างบาปให้ตัวเอง..ถึงตายแล้ววิญญาณที่ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ...”
รสสุคนธ์เงียบ จรัลรีบพูดต่อ “ถ้าคุณยอมคุณจะมีเงินไปตั้งตัวก้อนหนึ่ง”
รสสุคนธ์มองจรัลนิ่งชนิดที่ดูไม่ออกว่าคิดยังไง “เท่าไร”
“หนึ่งแสนบาท”
จรัลมองรสสุคนธ์ลุ้นๆ รสสุคนธ์ครุ่นคิดก่อนจะตอบราบเรียบมาก
“ตกลง...แต่ขอเป็นเงินสดนะคะ”
จรัลโล่งอก “ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้...”
จรัลรีบเดินออกไป รสสุคนธ์เหยียดยิ้มและมีสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์ คนไข้เตียงข้างๆ หันมามองรสสุคนธ์“มองอะไร”
คนไข้เบือนหน้าไปทางอื่น รสสุคนธ์พลิกตัวหันหลังให้
อุษากับธารินทร์นั่งรอยู่ที่ล็อบบี้ อุษากระวนกระวาย
ธารินทร์แซว “ดูษาตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนผมขอแต่งงานอีกนะ”
“รินทร์นี่..มันไม่เหมือนกันซะหน่อย อุ๊ยคุณอามาโน่นแล้วค่ะ”
ทั้งสองคนดีใจที่เห็นจรัลเดินมา อุษารีบลุกขึ้นยืนรอ ธารินทร์ลุกตาม จรัลเดินมาถึง อุษารีบถาม “เป็นยังไงบ้างคะคุณอา รสสุคนธ์เขายอมมั้ย”
จรัลพยักหน้าช้าๆ อุษาตื่นเต้นสุดๆ ก่อนจะหันไปจับมือธารินทร์แล้วหันกลับมาไหว้จรัล
“ษาต้องขอบพระคุณคุณอามากจริงๆค่ะ ถ้าไม่ได้คุณอาออกหน้าช่วยครั้งนี้ คงไม่สำเร็จแน่”
“ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณอะไรหรอก ผมเต็มใจช่วย ถ้ารสสุคนธ์เขายอมง่ายๆแบบนี้ ทุกอย่างก็คงลงเอยด้วยดี”
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างรสจะยอมทิ้งสมบัติมหาศาลมาเลือกเงินแค่แสนเดียว เขาจะมีลูกเล่นอะไรหรือเปล่าครับ”
“คงไม่นะ ผมว่าเขาคงกลัวคุณนายลั่นทมมาก เขายังสาวยังสวยยังเริ่มต้นใหม่ได้ ดีกว่ามานั่งนอนรอความตาย แต่ที่ยังดันทุรังก็เพราะเขาไม่มีเงินเลย พอมีคนมาเสนอเงินให้เขาก็ต้องรีบคว้าโอกาสนั่นไว้”
สีหน้าธารินทร์ยังคงสงสัย อุษาแตะแขนจรัล
“คุณอาคงหิวข้าวแล้ว ษาว่าเราไปทานข้าวกันก่อนดีกว่ามั้ยคะทานไปคุยไป”
“ก็ดีเหมือนกันนะเพราะเมื่อเช้าผมรีบออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย ขนาดพี่ศรียังสงสัยว่าผมจะรีบร้อนไปไหน”
ธารินทร์ผายมือเชิญ จรัลเดินนำ อุษากับธารินทร์เดินตามไป ศรีนั่งเอาหนังสือพิมพ์บังหน้าแล้วทำท่าอ่านอยู่ ก่อนจะค่อยๆลดหนังสือพิมพ์ลงมองตามหลังจรัลด้วยสีหน้าไม่พอใจมาก
รสสุคนธ์อยู่บนเตียงด้วยหน้าตาแจ่มใส หวานมองด้วยความหมั่นไส้แต่นฤมลตื่นเต้นตาโต “ตั้งแสนเชียวเหรอ”
รสสุคนธ์พยักหน้าภูมิใจ
หวานสงสัย “อยู่ๆคุณจรัลเขามาเสนอเงินให้แกทำไม แกไปอ่อยให้ความหวังอะไรเขาอีกล่ะนังรส”
รสสุคนธ์ค้อน “น้านี่ไม่เคยมองฉันดีบ้างเลยนะ”
“ก็แกมันไม่มีอะไรดีให้ข้ามองเลยนี่หว่า”
“อย่าเพิ่งเถียงกันน่า..รสเล่ามาสิพี่อยากรู้” นฤมลบอก
“ก็ไม่มีอะไร คุณจรัลเขาคงยังตัดใจจากฉันไม่ได้ นี่ขนาดเขารู้ว่าฉันมีคุณชีพอยู่ทั้งคนเขายังไม่รังเกียจ กลับมาเสนอเงินให้ฉันเลิกกับคุณชีพ”
“หมายความว่า เขาจะเลี้ยงดูแกเหรอ”
รสสุคนธ์ยักไหล่ “ก็คงงั้นแหละมั้ง เห็นหรือยังข้อดีของฉันก็คือเสน่ห์ที่ร้อนแรง จนทั้งหนุ่มทั้งแก่ไม่อาจห้ามใจได้ น้าหวานน่าจะดีใจที่มีฉันเป็นหลาน”
“พี่อิจฉาเธอจริงๆ ทำไมไม่มีใครมาเสนอเงินให้พี่บ้างนะไม่ต้องเป็นแสนหรอกแค่หมื่นเดียวพี่ก็ดีใจตายแล้ว แล้วน้องรสจะเลิกกับคุณชีพจริงๆเหรอ”
รสสุคนธ์กำลังจะตอบ เสียงศรีดังขึ้นจากทางด้านหลังหวานกับนฤมล
“แม่รสสุคนธ์”
หวานกับนฤมลหันมาเปิดทางให้ ศรียืนจ้องรสสุคนธ์นิ่ง หวานตกใจรีบไหว้ คนไข้ในห้องนั้นพากันหันมาดู “อุ๊ย สวัสดีค่ะ คุณศรีมาเยี่ยมนังรสเหรอคะ”
ศรีก้าวเข้ามาใกล้รสสุคนธ์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“ไม่ได้มาเยี่ยมแต่จะมาเหยียบหล่อน แม่รสสุคนธ์อย่ามาอ่อย เหยื่อให้ท่าน้องฉันอีก..”
รสสุคนธ์ไม่พอใจ “ใครทำแบบนั้นกับน้องคุณไม่ทราบ”
“แล้วเงินหนึ่งแสนใครเป็นคนต้องการ เธอไม่ใช่เหรอ”
“เขามาเสนอเองน่ะฉันนอนอยู่ดีๆ”
“ถ้าเธอนอนอยู่ดีๆเฉยๆน้องฉันคงไม่มายุ่งกับเธอหรอก แต่เธอคงนอนเชิญชวนให้ท่าเขานะสิ หึถึงจะเป็นของมือสอง เอ๋ หรืออาจจะมือสามมือสี่ ลองเสนอผู้ชายมันก็อยากสนองทั้งนั้นแหละ”
รสสุคนธ์โมโหแล้วกลับยิ้มเยาะ “ถึงฉันจะผ่านมาหลายมือแต่ก็ยังมีคนอยากสัมผัส ผิดกับคุณยังอยู่เป็นสาวแก่ทึนทึกขึ้นคานลงไม่ได้สักที มันเก็บกดมากหรือคะถึงได้มาเที่ยวไล่ด่าระรานคนอื่นอย่างนี้”
ศรีโกรธ “แก..ฉันมาเตือนนะถ้าแกยังไม่เลิกให้ท่าน้องฉันแกเจอดีแน่” ศรีสะบัดเดินออกไป หวานตกใจจนพูดไม่ออก นฤมลมีท่าทางเสียดายแทน
“แบบนี้แสนหนึ่งก็อดนะสิน้องรส”
รสสุคนธ์มองตามหลังศรีไปด้วยความเจ็บใจ
จรัลทานอาหารเสร็จในเวลาไล่ๆกันกับธารินทร์และอุษา
“ตกลงเรื่องเงินหนูอุษาจะจัดการให้อาได้เมื่อไร” จรัลถาม
“วันสองวันนี่แหละค่ะ นี่เป็นเงินส่วนตัวของษา ษาคงต้องรวบรวมนิดหน่อย”
“ถ้าพร้อมแล้วก็โทรหาอาได้เลยนะ”
“ค่ะ”
ธารินทร์รีบถามเอาใจ “รับกาแฟหน่อยดีมั้ยครับคุณอา”
“ดีเหมือนกัน”
ธารินทร์ลุกขึ้น “ผมไปจัดการให้เองครับ”
ธารินทร์ลุกไปอย่างว่องไว จรัลมองตามก่อนจะพูด “หมวดดูเป็นคนดีนะหนู ผมเป็นผู้ชายพอจะดูผู้ชายด้วยกันออก”
“ค่ะถ้าษาไม่ได้รินทร์คอยช่วยคอยเป็นกำลังใจให้ษาคงแย่ไปแล้ว”
จรัลพยักหน้าช้าๆ พลางมองตามธารินทร์ไปอย่างชื่นชม
“คนเราจะเห็นใจกันจริงๆก็ตอนลำบากนี่ล่ะ”
ตกกลางดึก จรัลตกใจจึงต่อว่าศรี
“โธ่ๆ พังหมด พี่ศรีทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ทำไมจะทำไม่ได้ ฉันไม่ตบนังรสสุคนธ์เข้าให้ก็ถือว่ามันยังโชคดีนะ ทำลอยหน้าลอยตาเถียงฉอดๆ แกนะมันโง่นายจรัล ผู้หญิงอย่างนั้นเอาลงตะกร้าล้างสักสิบน้ำก็ยังไม่หมดคาว” ศรีว่า
จรัลเกาหัวเพราะหงุดหงิดมาก “พี่เข้าใจผิดไปใหญ่โตแล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรกับรสผมแค่ต้องการให้เขาไปให้พ้นๆคุณชีพ”
“แล้วแกคิดหรือว่ามันจะไป...พอได้เงินมันก็ทำเป็นหายซักพักแล้วกลับมาอ้อนแกอีกเห็นแกใจดี..แกจะเสียเงินเปล่าๆ”
“เงินนั่นไม่ใช่ของผม”
“อะไรนะ”
“เงินของหนูอุษา แกแค่มาขอให้ผมไปช่วยพูดออกหน้าให้เพราะรสกับอุษาไม่ถูกกันอยู่ อุษาเป็นห่วงคุณนายลั่นทมไม่อยากให้ไปทำร้ายรสหรือคุณชีพอีกเพราะเท่ากับสร้างบาปให้ตัวเอง เรื่องมันเป็นอย่างนี้พี่ศรีทำเสียเรื่องหมดแล้ว”
ศรีอึ้งแต่ไม่ยอมแพ้ “ถ้างั้นก็ถือว่าฉันช่วยหนูอุษาไม่ให้เสียเงินเปล่า น้ำหน้าอย่างนังรสมันไม่รักษาคำพูดหรอก เพราะคนอย่างมันไม่รู้จักกลัวบาปกลัวกรรมหรอก ถ้ากลัวมันจะทำเหรอ”
เสียงลั่นทมดังขึ้น “จริงค่ะพี่ศรี”
ศรีสะดุ้ง จรัลหน้าเสีย ศรีหันไปมองรอบๆ “เสียงใคร...”
วิญญาณลั่นทมปรากฏตัวเลือนรางแล้วยิ้มให้ศรี ศรีตาค้างและร้องไม่ออก
“พี่ศรีคิดถูกแล้วค่ะคุณจรัล”
ศรีตาค้างและผงะจนหน้าซีดเผือดแข้งขาสั่น เธอเซไปปะทะผนังแล้วก็ตะกายหนีพร้อมแผดร้อง “ว้ายย...”
ศรีออกวิ่ง จรัลรีบคว้าตัวไว้ทัน ศรีทรุดนั่งกับพื้นปิดหน้าแล้วหลับตาปี๋ตัวสั่นเหมือนคนจับไข้ “พี่ศรีใจเย็นๆ ไม่มีอะไรผมอยู่นี่” จรัลพูดกับลั่นทม “ผมบอกแล้วอย่ามาแบบนี้...พี่ศรีไม่ต้องกลัว คุณลั่นทมไม่ทำอะไรพี่หรอกครับ”
ลั่นทมนิ่งสงบเพราะรู้สึกตัวจึงรีบยกมือไหว้
“ขอโทษค่ะพี่ศรี อย่ากลัวฉันเลยค่ะ ฉันขอโทษจริงๆ มันลืมตัวงั้นฉันไปก่อนนะคะ”
วิญญาณลั่นทมค่อยๆเลือนหายไป “คุณลั่นทมไปแล้วพี่ศรี”
ศรีค่อยๆ ลืมตาแอบมองอย่างหวาดๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีแน่ศรีก็นั่งแปะลงไปอย่างหมดแรงพร้อมกับลูบผมตัวเองที่ชี้โด่ขึ้นมา
จิ้มลิ้มยกถาดใส่กาแฟและน้ำส้มเข้ามาวางบนโต๊ะ
“กาแฟของหมวดค่ะ แล้วก็น้ำส้มสดๆของคุณษา” จิ้มลิ้มบอก
“ขอบใจนะจ๊ะ เอ้อไม่เห็นน้าหวานเลย”
“ไปเยี่ยมแม่รสเห็นว่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
อุษาพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อุษาหยิบมาดูชื่อแล้วก็ยิ้มกับธารินทร์
“คุณอาจรัลค่ะ คงจะถามว่าเราพร้อมวันไหน”
อุษากดรับสาย “สวัสดีค่ะคุณอา” อุษาฟังแล้วก็มีสีหน้าไม่ดี “ค่ะไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
อุษากดตัดสาย ธารินทร์รีบถาม “มีปัญหาเหรอษา”
อุษาพยักหน้าแล้วถอนหายใจกลุ้มๆ
รสสุคนธ์แข็งแรงดีจนพร้อมจะกลับบ้านได้ เธอนั่งบนเตียงมองนฤมลกำลังเก็บข้าวของเล็กๆน้อยๆให้อยู่ หวานมองหน้านิ่งๆ รสสุคนธ์หันมาเห็นก็ถามด้วยความรำคาญ
“จ้องหน้าฉันทำไมน้า เตรียมจะด่าอะไรอีกล่ะ”
“ตกลงจะเอายังไง..อยู่หรือไป” หวานถาม
“ไม่มีเงินติดตัวสักบาท จะไปไหนได้”
“ถ้าแกอยากจะไปจริงๆ ต่อให้ไม่มีแกก็ไปได้”
“จะให้ฉันไปอยู่ไหน”
“ไปหาไอ้จงไง มันรักแกจริง ไปตั้งต้นใหม่เถอะรส แกไม่ตายคราวนี้ก็เป็นบุญแล้ว อย่าหาเรื่องตายโหงเลย”
“ฉันสู้มาขนาดนี้แล้วน้าจะให้ฉันถอยง่ายๆเหรอ”
“จริงด้วย ถ้าคิดจะไปจริงๆก็ต้องไม่ไปมือเปล่า”
หวานหันมาแว้ดใส่นฤมล “เลิกยุมันที ตัวแกเองก็ไม่เข็ดหรือไงผัวตายไปทั้งคนแล้ว”
“ก็เพราะผัวฉันตายแล้วนะสิ น้องรสพูดกันตรงๆ ถ้าเธอได้สมบัติเธอก็ต้องแบ่งพี่บ้างนะ อย่างน้อยก็ถือว่าชดเชยให้พี่เรวัต”
“พวกแกนี่มันยังไง เห็นแก่ได้เห็นแก่เงินจนไม่กลัวตายเลยเหรอถามจริงๆถ้าแกตายสมบัติที่อยากได้เอาไปได้หรือเปล่า”
“ฉันว่าคุณนายลั่นทมน่ะไม่คิดจะฆ่าน้องรสหรอก”
“เฮอะคุณผู้หญิงจะเอามันไว้บูชาหรือไง”
“คิดให้ดีๆสิถ้าคิดจะฆ่าคงฆ่าไปนานแล้ว แต่นี่ฉันว่าก็แค่หลอกให้กลัว กลัวแล้วจะได้ไปพ้นๆไง”
“ที่พี่มลพูดก็มีเหตุผล ฉันก็เคยคิดว่าทำไมมันไม่หักคอฉันให้รู้แล้ว รู้รอดไปเลย”
“อาจเป็นเพราะแกยังไม่ถึงฆาตนะสินังรส”
รสสุคนธ์ลุกขึ้น นฤมลรีบถาม “น้องรสจะไปไหน”
“ไปปรึกษาคุณชีพ เขาว่าไงฉันก็ว่ายังงั้น”
รสสุคนธ์เดินออกไป หวานมองตาม “คุณผู้ชายก็คงต้องกลับบ้านอยู่แล้วจะมีปัญญาไปไหนได้ เฮ้อ..บ้านเพิ่งสงบได้ไม่กี่วัน จะวุ่นวายโกลาหลกันอีกแน่”
รถอุษากับธารินทร์แล่นเข้ามาจอด ในรถอุษามีหวาน รสสุคนธ์และนฤมลนั่ง ส่วนในรถธารินทร์มีหมอผัน ชีพและไกรนั่งมาด้วย ฉ่ำ วิเวก สมพร สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ หนุ่ย และโหน่งรอรับอยู่ที่หน้าบ้าน
รสสุคนธ์แข็งแรงแล้วแต่ยังมีพลาสเตอร์ ปิดตามคอและขา ส่วนที่แขนข้างหนึ่งยังพันผ้าพันแผลใส่เฝือกอ่อนอยู่ ชีพเดินได้แต่ต้องมีไม้เท้าช่วยค้ำยัน นฤมลกับหวานช่วยกันประคองรสสุคนธ์เดินมา ฉ่ำกับวิเวกเข้าประคองชีพ
ผันพูดกับฉ่ำ “ดอกไม้ธูปเทียนพร้อมหรือยังฉ่ำ”
“พร้อมครับ”
“เดี๋ยวให้คุณชีพกับแม่รสสุคนธ์ไหว้กราบขอขมาคุณนายลั่นทมก่อนเข้าบ้านนะ”
ชีพชะงักแล้วทำสีหน้าบึ้งตึง เขามองเข้าไปในบ้านแล้วกัดฟันกรอด ฉ่ำเอาดอกไม้ธูปเทียนยื่นมาให้ ชีพปัดดอกไม้กระเด็น
“ฉันไม่ไหว้!มันเป็นแค่เมีย อดีตเมียด้วย มันไม่ใช่แม่”
ทุกคนตกใจ ชีพพูดจบแล้วก็หันมาโอบรสสุคนธ์เดินเข้าบ้านเหมือนจะเยาะเย้ยลั่นทม รสสุคนธ์กลัวๆ ทุกคนเดินตามเข้าบ้านด้วยสีหน้าไม่ดีไปตามๆกัน
ผันส่ายหน้า “หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วคุณชีพ”
ลั่นทมที่นอนอยู่ในโลงศพลืมตาโพลงแสยะยิ้มหน้าตาดุร้าย
“มากันแล้วเหรอ ชีพคุณยังปากเก่งเหมือนเดิม คงลืมรสชาติการมาอยู่ในโลงศพนี้ไปแล้วละสิ”
วิญญาณลั่นทมลอยขึ้นจากโลงศพด้วยสายตาดุดันขณะมองไปทางบ้าน
ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามาในบ้าน ชีพสีหน้าบึ้งตึง ส่วนรสสุคนธ์กวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเกรงๆ ลั่นทม คนอื่นๆ ไม่สบายใจไปตามๆ กัน ผันพยักหน้ากับไกรให้ช่วยพูด ไกรเดินเข้าไปหาชีพแล้วพูดกับเขา ผมขอร้อง ผมไม่อยากให้คุณยั่วยุวิญญาณคุณลั่นทมอีก”
“ฉันเกลียดมัน! ตายแล้วยังคอยรังควาน คงนึกว่าฉันจะกลัวใช่มั้ย
“บอกให้รู้เลยว่าที่กลับมานี่เพราะไม่กลัวแล้ว ฉันจะลองสู้กับผีดูสักตั้ง”
ชีพมองไปรอบๆ แล้วยิ้มเยาะก่อนจะตะโกนบอก
“ฉันขอเตือนไว้เลยนะลั่นทม ถ้ายังไม่เลิกรังควานฉัน ฉันจะไปหาหมอผีที่เก่งที่สุดมาจับแกลงหม้อ ถ่วงน้ำซะเลย”
อ่านต่อหน้าที่ 3
สุสานคนเป็น ตอนที่ 11 (ต่อ)
ทุกคนมองชีพอย่างหวาดหวั่น ธารินทร์เอ่ยออกมา “ทำไมน้าชีพชอบท้าทายคุณน้า ครั้งก่อนที่ต้องเข้าไปอยู่ในโลงศพน้าชีพไม่เข็ดบ้างเหรอ ถ้าน้าชีพพูดกับคุณน้าดีๆขอโทษคุณน้าแล้วอยู่อย่างสงบ คุณน้าอาจจะให้อภัยน้าชีพก็ได้”
“ให้อภัยฉันเหรอ คนที่ควรเป็นฝ่ายให้อภัยคือฉัน ดูมันทำกับฉันสิ ฉันต้องมีสภาพแบบนี้ก็เพราะมัน มันต้องเป็นฝ่ายมาขอโทษฉัน”
ธารินทร์โมโห อุษาข่มใจเข้าไปแตะแขนชีพพูดอ่อนโยน
“น้าชีพคะ..เห็นแก่ษาได้มั้ย ษาจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้ใหม่ไปไหว้ที่สุสานเลย นะคะษาขอร้องล่ะ”
อุษาหันไปทางรสสุคนธ์แล้วพูดด้วยดีๆ “ช่วยขอร้องน้าชีพให้หน่อยเถอะนะ จะได้อยู่กันอย่างสงบสุข..ที่ทำนี่ก็เพื่อตัวเธอกับน้าชีพเองนะจ๊ะ”
หวานช่วยคะยั้นคะยอ “วิญญาณคุณผู้หญิงจะได้ไม่มาอีกไงรส..”
“น้าหวานรับประกันได้มั้ยล่ะว่า ลั่นทมจะไม่มารังควานฉันกับคุณชีพอีกจริงๆ”
“เออน่า..ไปกราบท่านซะ ข้ารับรอง คุณผู้หญิงท่านมีเมตตาถ้าแกสำนึกผิดท่านต้องให้อภัยแน่”
รสสุคนธ์มองชีพเหมือนกำลังตัดสินใจ
รสสุคนธ์ลากชีพมาที่มุมหนึ่งซึ่งไม่มีใคร ทั้งสองคนปรึกษาหารือกันโดยไม่เห็นว่าลั่นทมยืนฟังอยู่ใกล้ๆ
“เอาไงดีคะชีพ”
“บอกตรงๆนะฉันไม่อยากฝืนใจไหว้มัน ฉันอยากจะเข้าไปทำลายไปเผาศพ เผาสุสานมันให้วอดวายมากกว่า”
“ถ้าไม่ติดว่าเราจะอดสมบัติทุกอย่าง รสก็อยากให้คุณทำเหมือนกัน รสทั้งแค้นทั้งเกลียดมัน”
“งั้นเราก็ไม่ต้องไหว้ นี่ก็บ้านฉันเหมือนกัน ฉันจะเข้าบ้านตัวเองต้องไปกราบกรานขอนังผีบ้าด้วยเหรอ”
ลั่นทมมองทั้งชีพกับรสสุคนธ์อย่างเจ็บแค้น
“จิตใจของคุณและรสสุคนธ์ทำด้วยอะไรนะถึงไม่เคยคิดสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำแม้นแต่นิดเดียว แล้วแบบนี้จะให้ฉันวางมือจากคนใจบาปได้อย่างไร”
ชีพกับรสสุคนธ์คิดหนักก่อนพูดอย่างตัดสินใจ “เอาเถอะชีพ..เราไปไหว้ๆมันพอเป็นพิธีก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยหาทางเล่นงานมันทีหลัง รสพอจะมีแผนอยู่ในใจแล้วล่ะ”
ชีพฮึดฮัดเพราะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายก็โดนรสสุคนธ์ลากตัวไป
ดอกไม้ธูปเทียนได้รับการจัดเตรียมไว้อย่างสวยงามสำหรับทุกคน ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามา ทุกคนเดินตามมา ชีพทั้งแค้นทั้งกลัวลั่นทมจึงกล้าๆ กลัวๆ
ชีพพูดลอยๆ “ไหว้กันสองคน ทำไมต้องมีดอกไม้ธูปเทียนมากมายขนาดนี้”
“พวกเราทุกคนอยากไหว้ด้วยครับ..คุณสองคนขอขมาที่ทำไม่ดีกับคุณนาย..มาแต่งงานกันในบ้านทั้งๆที่ศพท่านยังอยู่ แล้วก็..”
ชีพตวาด “ไม่ต้องมาสอนฉันไอ้ฉ่ำ เป็นขี้ข้าอย่ามาสะเออะ”
ฉ่ำหัวหด ผันรีบเข้าไปพูดดีๆ “ทุกคนจะช่วยกันกราบวิงวอนขอคุณนายให้อภัยคุณทั้งสองด้วยน่ะครับ ที่หนูอุษาทำทั้งหมดก็เพื่อคุณทั้งสอง”
รสสุคนธ์จ้องอุษาอย่างไม่ค่อยไว้ใจ “แม่อุษาไม่เคยชอบหน้าฉัน เรื่องอะไรจะต้องมาทำเพื่อฉันด้วย”
“ษาเขาไม่อยากให้มือคุณลั่นทมเปื้อนบาปเพราะถ้าท่านโกรธท่านอาจอาละวาดฆ่าใครอีก แล้วคราวนี้คงไม่พ้นน้าชีพหรือคุณ”
รสสุคนธ์สะดุ้ง หวานยื่นดอกไม้ให้ชีพและรสสุคนธ์
“เพื่อความสงบสุขของพวกเราค่ะ”
ชีพกับรสสุคนธ์นิ่งอึ้งอย่างไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็จำต้องหยิบดอกไม้ธูปเทียน คนอื่นๆทยอยกันเข้าไป ทุกคนพนมมือมีดอกไม้ธูปเทียนควันโขมง ทุกคนหันมามองชีพ ชีพตัดสินใจพูดเสียงกร้าว
“ลั่นทม..ฉันขอโทษ ถ้าเธอได้ยินก็ยกโทษให้ฉันกับรสด้วยก็แล้วกัน”
ชีพมองโลงศพด้วยดวงตากร้าวอย่างไม่สำนึกผิด ทุกอย่างเงียบกริบ มุมห้องที่มีกระถางต้นไม้ตั้งอยู่
จู่ๆ กระถางก็ล้มโครมเสียงดังสนั่นในความเงียบ ทุกคนสะดุ้งเฮือกหันไปมองทางที่มาของเสียง
หวานรีบกระซิบรสสุคนธ์ “แกละนังรส ทำไมไม่รีบขอโทษคุณผู้หญิง”
รสสุคนธ์หวาดกลัว “ฉันก็ขอโทษ ถ้าฉันทำไม่ดีก็ยกโทษให้ฉันด้วยแล้วกัน”
กระถางอีกมุมล้มโครมลงมาอีก คราวนี้สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจผวาเข้าหากันพร้อมกับครางฮือ ฉ่ำกระโดดเข้าหาสมพรกับวิเวก ชีพกับรสสุคนธ์เกร็ง
อุษากับธารินทร์นิ่งอึ้ง ผันได้สติก็พูด “คุณนายครับ ผมขอเถอะ” ผันหันไปทางทุกคน “เอ้าพวกเราตั้งจิตแผ่ส่วนบุญไปให้คุณนายพร้อมๆ กัน”
ทุกคนยกมือพนมแล้วพยายามพึมพำขอให้วิญญาณลั่นทมไปสู่สุขคติ
ชีพพึมพำ “จะเอายังไงอีกวะก็ขอโทษแล้วไง”
ประตูหน้าต่างปิดเปิดปึงปังโครมครามไล่ไปบานนั้นบานนี้ก่อนจะปิดหมดทุกบานจนห้องมืดสนิท
ในที่สุดสวาทก็ทนไม่ไหวจึงกรีดร้อง “ว้ายย..ผีหลอก..ฮือ..”
สวาทวิ้งแจ้นออกไปก่อนตามด้วยจิ้มลิ้มกับยาใจ นฤมล หนุ่ย และโหน่งวิ่งตามออกไป ฉ่ำ สมพร วิเวกตามออกไปด้วย แต่ฉ่ำก้าวขาไม่ออกต้องดึงขาตัวเอง อุษา ธารินทร์ และไกรตกตะลึง ผันหลับตาสวดมนต์พึมพำ ชีพกับรสสุคนธ์เกร็งเขม็ง มือสั่นรัว และเหงื่อแตกเต็มหน้า
สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ ฉ่ำ วิเวก สมพร นฤมล หนุ่ย และโหน่งพากันมารวมตัวอยู่กลางบ้าน สวาท จิ้มลิ้ม
และยาใจร้องไห้ด้วยความกลัว
“ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันขอลาออกผีคุณผู้หญิงต้องอาละวาดอีกแน่” จิ้มลิ้มร้องไห้
ผันตามเข้ามาพูดปลอบแต่เสียงสั่น “ผีที่ไหนเล่า ฝนกำลังจะตกลมก็เลยแรงไม่เห็นหรือ”
ฉ่ำเสียงสั่น “แล้ว..แล้วทำไมเสียงคุณลุงหมอสั่นยังงั้น”
“เอ็งนั่นแหละสั่น” ผันว่า
นอกหน้าต่างลมพัดแรง กิ่งไม้ไหว ระเนระนาด
ผันฝืนพูด “ก็..นั่นไงๆ เห็นมั้ยพายุมาจริงๆ”
ทุกคนกึ่งกลัวกึ่งกล้าเพราะไม่ค่อยเชื่อที่ผันพูดนักแต่ก็ไม่กล้าเอะอะ ธารินทร์ อุษา ชีพ รสสุคนธ์ ไกร และหวานพากันเข้ามา
“หมอผันเป็นแบบนี้แสดงว่าคุณผู้หญิงไม่ยกโทษให้..” หวานบอก
อุษาเตือน “น้าหวานจ๊ะ..”
หวานสงบปากคำ ชีพกับรสสุคนธ์เดินเงียบๆ ไปนั่งที่ชุดรับแขกไม่พูดไม่จา ชั่วครู่ไกรก็ถอนใจเฮือก ตั้งสติแล้วเปิดกระเป๋าเอกสารหยิบซองใส่เงินส่งให้ชีพ
“ค่าใช้จ่ายประจำเดือนครับ”
ชีพรีบรับซองเงิน หวานก็รีบหยิบกระดาษจดค่าใช้จ่ายในบ้านออกมา
“นี่ค่ะ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เงินเดือนคนในบ้านค่ากับข้าว ค่าของใช้ในบ้าน..”
ชีพหยิบรายงานค่าใช้จ่ายจากหวานมาดูแล้วพลิกซองดูจำนวนเงินหน้าซองแล้วโยนซองโครม ชีพพูดกับไกร “หมดเลยนี่คุณไกร..เหลือไม่กี่ร้อยเอง แล้วผมจะเหลืออะไร”
“ก็นี่มันค่าใช้จ่ายในบ้าน ของคุณชีพก็มีเงินเดือนผู้จัดการโรงงานอยู่แล้วนี่ครับ”
ชีพอึ้งเพราะพูดไม่ออก รสสุคนธ์รีบแทรกขึ้น
“ก็ตัดคนออกสิคะ คนใช้บ้านนี้มากเกินความจำเป็น”
จิ้มลิ้มยกมือ “ฉันลาออกค่ะ ฉันยังไม่อยากหัวโกร๋น”
“ฉันก็ออก..”
“ฉันด้วย”
“ดี..ประหยัดไปตั้งสามแล้ว พวกนายฉ่ำนายเวกนายพรอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ออกๆไปเสียให้หมดเลยไป”
ทั้งสามคนลุกขึ้นพร้อมกัน “ได้..ไม่มีปัญหา..แต่ขอเงินเดือนด้วย”
“เดี๋ยวก่อนทั้งหมดแหละใจเย็นๆก่อน ไปกันหมดแล้วใครจะทำงานล่ะ”
“ก็น้าหวานไง พี่มลก็ช่วยได้ ทุกวันนี้งานในบ้านก็ไม่มีอะไรเท่าไร เจ้านายก็มีแค่ฉันกับคุณชีพ แม่อุษาเธอก็ทำเองก็ได้มั้ง”
“พูดบ้าๆนะนังรส”
“นั่นสิพี่ก็ไม่ใช่คนใช้นะ ตอนชวนมาไม่ได้พูดอย่างนี้นี่ไหนว่าจะให้อยู่อย่างสุขสบายไง”
“ก็ช่วยๆกันไปก่อนไม่ได้หรือไง”
นฤมลส่ายหัวไม่เอาด้วย อุษารำคาญลุกขึ้นเดินมาพูดกับพวกสวาท
“ถ้าษาขอร้องให้อยู่ช่วยกันก่อน ษาจะเป็นคนจ้างเอง จะอยู่มั้ยจ๊ะ”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจพูดพร้อมกัน “อยู่ค่ะ”
อุษาหันไปทางพวกฉ่ำ “แล้วลุงฉ่ำ ลุงพร นายเวกละจ๊ะ”
“อยู่ครับ”
รสสุคนธ์หมั่นไส้อุษา “มันไม่ใช่แค่เงินเดือนเท่านั้นนะ แล้วค่ากินอยู่ค่าน้ำค่าไฟที่พวกนี้ต้องใช้อีกล่ะเธอจะออกเองหรือไงอุษา”
“ในพินัยกรรมระบุว่า..” ไกรพูด
ชีพตวาด “เลิกพูดถึงพินัยกรรมเสียที”
“ต้องพูดครับ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะใช้ยุติทุกข้อขัดแย้งครับ”
“ก็เชิญพูดไป ผมไม่อยากฟัง ไปรส”
ชีพกับรสสุคนธ์ฮึดฮัดไม่ยอมฟังไกรอธิบาย ทั้งสองพากันลุกขึ้นต่างคนต่างประคองกันไปขึ้นชั้นบน ทุกคนมองตามอย่างเบื่อๆ
ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามาในห้องนอน ชีพหงุดหงิดในขณะที่เดินเขยกมาพิงตู้เก็บเครื่องเพชรอย่างไม่ตั้งใจ
“นี่เรากำลังรออะไรกันแน่รส..สมบัติของลั่นทมหรือ?”
ชีพเปิดตู้เก็บเครื่องเพชรแล้วกระแทกปิดด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน เมื่อพูดจบประโยคแล้วชีพก็ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าขณะเปิดตู้แล้วปิดนั้นเขาเห็นกล่องใส่เครื่องเพชรแว่บหนึ่ง ชีพกระชากประตูตู้เปิดออก กล่องเครื่องเพชรวางอยู่ที่เดิมคู่กับกล่องทอง ชีพตะลึง “เฮ้ย..”
รสสุคนธ์หันมามอง “อะไรคะ”
ชีพหยิบกล่องเครื่องเพชรมาเปิดในกล่องมีเครื่องเพชรครบทุกชิ้น
“เพชร..เพชรยังอยู่ มันอยู่ครบ..แล้ววันนั้นทำไมไม่เห็น”
ชีพหยิบกล่องทองมาเปิดมีทองเหลืองอร่าม “ทองก็ยังอยู่”
“หรือว่า..เพราะเราขอขมา ลั่นทมถึงหายโกรธ..โอชีพ”
รสสุคนธ์กับชีพโผเข้ากอดกันอย่างดีใจมาก
“ดี...งั้นพรุ่งนี้ไปรับเงินเดือนฉันจะเอาไปขายให้หมด มาช่วยกันห่อเร็ว เอาไปทั้งกล่องเดี๋ยวใครเห็น”
ชีพกับรสสุคนธ์ช่วยกันห่อเครื่องเพชร เครื่องทอง แยกทีละชิ้นโดยนำกระดาษทิชชูมาห่อด้วยท่าทางมีความสุข
ศรีในชุดอยู่บ้านกำลังนั่งทึ้งผมตัวเอง ผมในมือศรีเป็นกระจุก
“อู๊ย..โกร๋นแน่”
จรัลถือแก้วกาแฟเข้ามานั่ง เขาเห็นผมวางเป็นกระจุกบนโต๊ะก็ถาม
“ขนไอ้ปุยหรือพี่”
“ผมฉันไม่ใช่ขนหมา..นี่จรัลขอร้องได้มั้ย อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกกรรมใดใครก่อคนนั้นก็รับไป เธออย่าไปวุ่นวายกับผีนักเลย”
“การที่เราสามารถช่วยไม่ว่าคนหรือผีให้เขาไม่ทำในสิ่งที่ผิดมันก็เป็นกุศลอย่างหนึ่งเหมือนกันนะพี่ศรี โลกมันวุ่นวายแบบนี้เพราะทุกคนดีแต่เห็นแก่ตัว หรือชอบคิดว่าธุระไม่ใช่”
“แล้วเธอคิดว่าทั้งผีทั้งคนจะเชื่อเธอเหรอ”
จรัลไม่ตอบแต่ครุ่นคิดเงียบๆ
อุษากับธารินทร์เดินมาถึงรถธารินทร์ อุษาแตะแขนธารินทร์
“รินทร์คะ คุณน้าไม่ยอมยกโทษให้น้าชีพกับรสสุคนธ์ใช่มั้ยคะ”
“ผมเองก็ตอบไม่ได้ แต่ผมเชื่อนะว่าถ้าสองคนนั่นไปกราบไหว้ขออภัยคุณน้าด้วยใจบริสุทธิ์ พวกเขาจะต้องปลอดภัย”
อุษามีสีหน้าตกใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าถ้าสองคนนั่นใจไม่คิดขออภัยจริงๆ พวกเขา...”
ธารินทร์พยักหน้า อุษามีสีหน้าหวาดหวั่นขณะพึมพำ “คุณน้าขาอย่านะคะอย่าทำอีกเลย แค่นี้ก็บาปมากพอแล้ว คุณน้าต้องเชื่อษานะคะ”
ศพลั่นทมลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ฝาโลงเปิดออก ศพลั่นทมลุกขึ้นนั่งแล้วหันมามองด้วยตาแดงก่ำ สีหน้าท่าทางน่ากลัว
ชีพกับรสสุคนธ์ในชุดนอนกอดประคองกันในขณะดูโทรทัศน์อย่างมีความสุข
“ถ้ากราบไหว้แล้วมีโชคแบบนี้รสยอมกราบทุกวันเลยค่ะ”
“นั่นสิ.. พรุ่งนี้เราเข้าสุสานแต่เช้าพร้อมอุษา..หาดอกไม้สวยๆ ช่อใหญ่ๆไปไหว้มัน” ชีพยิ้มเยาะ “ที่จริงก็น่าสงสารนะเป็นคนก็โง่ตายแล้วยังโง่อีก”
ทั้งสองคนหัวเราะชอบใจ
เวลาผ่านไป รสสุคนธ์นอนหลับบนเตียง ชีพค่อยๆเอนตัวลงนอนเนื่องจากยังไม่แข็งแรงนัก เมื่อนอน
ได้ที่ชีพก็หลับตาอย่างหมดห่วงเป็นครั้งแรก ชีพหลับสนิท เสียงกริ่งจากสุสานดังถี่ๆ ชีพนอนนิ่งเพราะยังไม่รู้สึกตัว ครู่หนึ่งชีพก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมานิ่งฟังพอรู้ว่าเป็นเสียงกริ่งเขาก็ตะลึงจนตาค้างแล้วก็พึมพำ
“อะไรอีกวะ ก็มันหายโกรธแล้วไม่ใช่เหรอ”
ชีพหันมาทางด้านข้างเตียงก็ต้องผวา เมื่อเห็นลั่นทมนั่งจ้องอยู่ใกล้ๆด้วยแววตาดุร้าย
“ลั่น..ทม”
ชีพพยายามจะขยับตัวแต่ก็ทำไม่ได้ ลั่นทมค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือชีพแล้วยึดข้อมือเขาไว้แน่น
“ชีพ..คุณคงไม่มีทางสำนึกจากใจจริงๆได้แล้วใช่มั้ย ทมรักชีพมากถึงอยากให้ชีพเป็นคนดี แต่ชีพไม่ยอมเข้าใจ ทมตัดสินใจแล้ว ทมจะเอาตัวชีพไปอยู่กับทม ชีพจะได้ไม่มีโอกาสทำบาปอีก ไปเถอะ”
ชีพยื้อยุดพยายามดึงมือออกจากลั่นทม
“ไม่..อย่านะ ฉันไม่ไป บอกว่าไม่”
เสียงลั่นทมน่ากลัว “ต้องไป”
ลั่นทมเดินนำ ชีพดิ้นรนแต่ไม่สามารถหลุดพ้นจากอำนาจของลั่นทมได้ ชีพร้องไม่ออกจำต้องลุกเดินตามลั่นทมไป ในขณะที่รสสุคนธ์ยังหลับสนิท
ชีพเดินเกร็งๆ ในขณะที่เข้ามาในสุสาน ปากก็พร่ำพูด
“ไม่..อย่าทำกับฉันแบบนี้ ไม่”
ชีพก้าวตามลั่นทมจนเข้ามาอยู่ภายในสุสาน
“อยู่ในสุสานนี่ล่ะค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวหรอกชีพ..คุณยังไม่ตาย”
ประตูหน้าต่างในสุสานปิดไล่เรียงกันโครมครามจนครบทุกบาน ชีพขัดขืน
“ฉันยังไม่ตาย ฉันไม่อยากอยู่ในสุสาน”
“โธ่..ที่รัก ดูให้ดีสิ ทุกอย่างสะดวกสบายออก..”
“นังผีร้าย ฉันขอสาปแช่งให้แกตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด ขอให้วิญญาณแกจงได้รับแต่ทุกข์ทรมานทุกชาติๆ”
ลั่นทมเสียงเข้มขึ้น “งั้นลงไปอยู่ในโลง..ลงไป”
ฝาโลงเลื่อนออกเอง ชีพตาเหลือก “ไม่..ไม่..แกจะทำกับฉันยังงี้ไม่ได้ ฉันไม่ลง”
ลั่นทมตวาด “ลงไป”
ชีพจำใจต้องนอนเคียงข้างศพลั่นทมที่เน่าเฟะ ชีพสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความแค้นและความกลัว ฝาโลงเลื่อนปิด ชีพแผดร้องสุดเสียง
“ปล่อยฉันออกไป..ปล่อยฉันนังผีร้าย ปล่อย..ฉันยังไม่อยากตาย”
ศพลั่นทมจ้องมองฝาโลงนิ่ง
เสียงลั่นทมดังขึ้น “ฉันยังไม่ให้คุณตายหรอก..”
ฝาโลงแง้มนิดหนึ่งพอให้มีอากาศหายใจ
เช้าวันใหม่ รสสุคนธ์ตื่นขึ้นมาก็มองหาชีพแต่ไม่เห็น รสสุคนธ์มีท่าทางสดชื่นมาก
“ชีพตื่นแต่เช้าเลยคงดีใจที่จะได้เงิน”
รสสุคนธ์เดินไปดูห่อเครื่องเพชรที่เตรียมไว้ เธอฮัมเพลงแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวตรงไปเข้าห้องอาบน้ำ รสสุคนธ์อาบน้ำจากฝักบัวอย่างสดชื่น จู่ๆน้ำในฝักบัวก็กลายเป็นสีแดงสด รสสุคนธ์อาบไปเรื่อยๆ แล้วก็สะดุ้งตกใจสุดขีด“ว้าย..เลือด”
รสสุคนธ์มองอีกครั้ง น้ำกลับเป็นปกติ รสสุคนธ์ถอนใจ “กว่าจะได้สมบัติฉันคงเป็นโรคประสาทหลอนแน่ๆ”
รสสุคนธ์อาบน้ำต่อโดยรีบอาบเร็วๆ
ชีพนอนเคียงคู่ศพลั่นทมโดยไม่สามารถขยับเขยื้อนเนื้อตัวได้ ลั่นทมชะโงกหน้าทะลุโลงเข้ามา
“ปล่อย..ปล่อย ฉันขยับตัวไม่ได้เลย”
“ก็เหมือนทมไงคะ ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่ฉันหิว ปล่อยฉันไปเถอะลั่นทม”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคะ เดี๋ยวพออุษาเอาเครื่องเซ่นมาให้ทม คุณก็จะได้กิน น้าหวานทำกับข้าวอร่อยๆทั้งนั้น”
ชีพโกรธจัดจึงดิ้นรนสุดแรงแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ดังใจ
“นังผีบ้านี่แกจะให้ฉันกินเครื่องเซ่นผีเหรอ”
ลั่นทมดุ “คุณโกรธเหรอ”
ชีพเสียงอ่อน “ปละเปล่า...ลั่นทม..ยกโทษให้ผมด้วย ปล่อยผมไปเถอะต่อแต่นี้ถ้าคุณสั่งอะไรผมจะทำตามทุกอย่างเลย”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ..จริงๆผมสาบานก็ได้”
“ทมไม่เชื่อค่ะ”
ลั่นทมถอยกลับออกไป ชีพสุดแค้นจึงแผดร้องลั่น
“โว้ย..อีผีนรก”
รสสุคนธ์อยู่ในชุดสดใสหน้าตาอิ่มเอิบมีทองและเครื่องเพชรของลั่นทมอยู่ในกระเป๋า รสสุคนธ์เดินลงมาจากชั้นบน เธอกระชับกระเป๋าเดินนวยนาดเข้ามาในห้องโถง สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจดูแลทำความสะอาดบ้าน
รสสุคนธ์ลืมเหตุการณ์เมื่อคืนเรื่องสวาท จิ้มลิ้ม และยาใจที่ย้าย ไปอยู่ในความดูแลของอุษาแล้วจึงสั่ง
“กาแฟถ้วยซิจ๊ะสวาท”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจสบตากันแว่บหนึ่งแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ สวาทเบะปากแล้วทำงานเฉย รสสุคนธ์ยังไม่รู้ตัวจึงหันมาคุยกับยาใจที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง
“เห็นคุณชีพมั้ยยาใจ”
ยาใจตอบห้วนๆ “ไม่เห็น”
นฤมลในชุดไว้ทุกข์เรวัตเดินลงจากชั้นบนตามด้วยหนุ่ยกับโหน่ง
“มีอะไรกินบ้าง”
รสสุคนธ์หันไปทางสวาท “ขอกาแฟเป็นสองถ้วยนะสวาท” สวาทเฉย “สวาท..ไม่ได้ยินเหรอ”
“เห็นท่าจะต้องเดินไปชงเองแล้วล่ะจ้ะแม่รส” สวาทว่า
“อะไรนะ นี่ฉันกำลังอารมณ์ดีๆ อุตส่าห์พูดกับแกดีๆแกอย่ามาก่อกวนให้ฉันอารมณ์เสียหน่อยเลย”
“ก็เธอไล่พวกฉันออกไปหยกๆ ทำไมทำเป็นลืมง่ายๆ นักล่ะ”
รสสุคนธ์นึกได้ก็โมโห “เออใช่..ถ้าอย่างนั้นทำไมยังสะเออะมาอยู่นี่”
“พวกเราอยู่รับใช้เฉพาะคุณอุษา” ยาใจบอก
อุษาเดินเข้ามารีบพูดก่อนจะมีเรื่อง “ทำทุกอย่างตามปกติเถอะจ้ะอย่ามีเรื่องมีราวกันอีกเลย”
“ถ้าให้รับใช้คนนี้” จิ้มลิ้มชี้รสสุคนธ์ “คนนี้” จิ้มลิ้มชี้นฤมล “กับนี่ๆ” จิ้มลิ้มชี้หนุ่ยกับโหน่ง “หนูไม่เอา”
ยาใจยื่นหน้าเข้ามา “คำก็ไล่สองคำก็ไล่ ลองคุณษาไม่ช่วยรับพวกเราไว้ป่านนี้เค้าก็คงไม่ได้ใช้พวกเราแล้ว”
รสสุคนธ์โกรธจัด “งั้นก็ไสหัวไปเลยไม่ทำงานแล้วมาลอยหน้าอยู่ทำไม”
ยาใจไม่แยแส “แล้วเธอล่ะไม่ทำงานเหมือนกัน มากระแดะลอยหน้าอยู่ทำไม”
รสสุคนธ์ทำท่าจะเล่นงาน “นังยาใจ”
อุษาเข้าไปขวางไว้ “ยาใจ..ไปทำทางโน้นนะจ้ะ..สวาทกับจิ้มลิ้มด้วย”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจพากันแยกย้ายไป อุษาพูดกับรสสุคนธ์ “เธอเป็นคนไล่พวกเขา แต่ฉันจ้างเอาไว้ถ้าเธอจะใช้ก็ไม่มีปัญหาแต่เธอควรจะพูดจากับเขาดีๆ เพราะถ้าพวกเขาจะไม่ทำให้เธอก็ไม่ผิดจริงมั้ย”
อุษาพูดจบก็เดินไป รสสุคนธ์โกรธจนตัวเนื้อสั่น
หวานกำลังจัดเครื่องเซ่น รสสุคนธ์เดินเข้ามาด้วยท่าทางพยายามระงับอารมณ์
“ฝากไว้ก่อนเถอะ พวกมันคงไม่รู้ว่าผีลั่นทมยังไม่กล้าทำอะไรฉันเลย..”
หวานหันมามอง “เป็นอะไรของแกอีกล่ะ”
“น้าหวานเห็นคุณชีพมั้ย” รสสุคนธ์ถาม
“ไม่เห็นนี่”
“น้าหวานไปดูหลังบ้านให้ที คุณชีพคงไปหาดอกไม้ มาทำดีกับลั่นทมมั้ง” รสสุคนธ์เยาะ
หวานแปลกใจ “หาดอกไม้ ทำดีกับคุณผู้หญิง..หมายความว่ายังไง”
รสสุคนธ์ยิ้มเยาะ “หมายความว่าคุณผู้หญิงของน้าน่ะ ขนาดตายไปแล้ว พอคุณชีพกับฉันแกล้งพูดดี แกล้งขอขมาเท่านั้นแหละ เจอเครื่องเพชรทั้งกล่องเลย..” รสสุคนธ์หัวเราะเยาะ “สงสารจังตายไปแล้วยังโง่”
“นี่แกกับคุณผู้ชายไม่ได้สำนึกผิดจากใจเลยใช่มั้ย”
“พูดจริงๆนะน้า ฉันไม่เคยคิดว่าฉันทำอะไรผิดเลย ให้ทำก็ทำๆ ไปอย่างนั้น มันอยากโง่หายโกรธเองก็ดีถือว่าไม่เสียเปล่า”
“แก..แก”
“ไม่ต้องด่าแล้ว รีบไปตามคุณชีพเถอะ เครื่องเซ่นนี่จัดเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ บอกคุณชีพเร็วๆ ฉันรออยู่”
รสสุคนธ์พูดจบก็เดินออกไป หวานมองตามด้วยความอ่อนใจ
ฉ่ำรดน้ำต้นไม้อยู่ หวานเดินออกมาถาม
“ฉ่ำ เห็นคุณผู้ชายบ้างมั้ย”
“เอ...ไม่เห็นเลยนะ ยังไม่ตื่นมั้ง”
“แต่แม่รสบอกว่าไม่อยู่ในห้อง หรือว่าไปเดินเล่นหลังบ้านไปดูทีซิ...”
ฉ่ำบ่น “น่าจะอยู่โรงพยาบาลเหมือนเดิมนะ...ออกมาแล้วก็วุ่นวายไม่น่าเล้ย...”
หวานถมึงตาใส่ “อย่าบ่น...ไป...”
ฉ่ำเดินไป หวานมองไปรอบๆ ด้วยแววตากังวลเล็กๆ
“เมื่อเช้าไปใส่บาตรก็ไม่เห็นคุณชีพเลย หรือว่า...”
ชีพนอนตัวแข็งใช้ดวงตาเหลือบไปมาด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“นังผีร้าย ปล่อยฉันไป...ปล่อย...”
เสียงเคาะโลงศพดังอยู่รอบๆ ชีพหน้านิ่วเพราะหนวกหูและกระวนกระวายจะยกมือขึ้นปิดหูแต่ก็ทำไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ตะโกนสุดเสียง
“โว้ย หนวกหู หูฉันจะแตกแล้วนะนังลั่นทม”
ลั่นทมปรากฏขึ้นข้างๆ แล้วหันมายิ้ม
“ทำไมไม่สุภาพเลยนะชีพ...”
“สุภาพเหรอวะ แค่นี้ฉันก็สะอิดสะเอียนแกจะแย่แล้ว...ออกไป...ออกไปสิ...ออกไป”
“เกลียดทม มากนักเหรอคะ..”
ชีพกระแทกเสียงใส่ “เออ รู้ไว้ด้วย ฉันไม่ได้รักแก นังลั่นทม”
“งั้นชีพรักใคร..”
ชีพหัวเราะในลำคอแล้วเย้ยหยัน “ฉันรักรสสุคนธ์”
ลั่นทมหันมาด้วยดวงตาวาวเพราะโกรธแค้น “ดี...ถ้างั้น ทมจะให้ชีพได้อยู่กับรสสุคนธ์”
ลั่นทมหัวเราะแล้วร่างก็หายไป
ชีพสบถด้วยน้ำเสียงดุดัน “นังบ้าเอ๊ย...”
เสียงหัวเราะของลั่นทมยังดังอยู่ ตามมาด้วยเสียงเคาะฝาโลงสะเทือนเลื่อนลั่น หน้าต่างประตูปิดดังโครมคราม ชีพหลับตาปี๋แบบทั้งรังเกียจทั้งกลัว
“หนวกหูโว้ย...”
ทุกอย่างเงียบ ชีพลืมตาแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก แขนของรสสุคนธ์ยื่นมาพาดหน้าอกชีพแล้วกอดกระชับ ชีพลืมตาโพลงแล้วค่อยๆ เอียงหน้ามาดูก็พบว่ารสสุคนธ์นอนกอดกับเขาอยู่
“ชีพขา...หนีมาที่สุสานคนเดียวก็ไม่ยอมบอกรส รสจะได้มาด้วย”
“หา...รส...มาได้ยังไง...”
“ชีพไม่รู้เหรอว่ารสน่ะตายแล้ว ตายแล้วเหมือนลั่นทม...ชีพรังเกียจรสหรือเปล่า”
ชีพมองรสสุคนธ์เต็มตา สายตาไม่เชื่อแต่ก็ไม่ประมาทใบหน้ารสสุคนธ์เริ่มบวมปริ แต่ยังไม่ทันน่าเกลียด ชีพก็ร้องสุดเสียง
“ไป...ออกไป ฉันกลัว ออกไป...”
เสียงหัวเราะลั่นทมดัง ร่างของรสสุคนธ์เปลี่ยนเป็นลั่นทม
“ก็อยากอยู่กับรสสุคนธ์ไม่ใช่เหรอคะชีพ”
“โธ่โว้ย...”
ชีพหลับตาปี๋ด้วยความรังเกียจสุดๆ ร่างลั่นทมหายไป มีแต่เสียงหัวเราะดังอยู่ในสุสาน
หวานยืนอยู่ ฉ่ำเดินมาถึง
“ไม่เจอคุณชีพเลย...หลังบ้านก็ไม่มี ข้างบ้านก็ไม่เห็นหรือว่าหนีแม่รสไปแล้ว”
หวานยกมือท่วมหัว “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ เรื่องจะได้จบๆๆ กันเสียที”
อุษากอดอกยืนมองมาพอดี ฉ่ำสะดุ้งแล้วมองไปทางรสสุคนธ์
“ดูจะดีอกดีใจนักนะน้าหวาน หลานตัวเองไม่เห็นใจ ดันไปเห็นอกเห็นใจคนอื่น...คิดเหรอว่าฉันจะไปจากที่นี่ง่ายๆ ผีลั่นทมน่ะให้อภัยฉันกับคุณชีพแล้ว”
“แน่ใจ”
“ก็อย่างที่บอกแหละ มันโง่ ตายแล้วน่าจะฉลาดขึ้นก็ยังเหมือนเดิม แบบนี้นะ เสียผัวคนเดียวยังไม่พอ มันต้องเสียบ้าน เสียทุกสิ่งทุกอย่างให้คนฉลาดอย่างฉันกับคุณชีพ..”
รสสุคนธ์จะเข้าไปในบ้าน แต่อุษาเดินออกมาพอดี ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน หวานกับฉ่ำมองไป สีหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าคิดว่าคนที่เมตตาเธอ เป็นคนโง่ ฉันก็ยอมรับแล้วละ”
“เห็นจริงตามที่ฉันพูดใช่มั้ยอุษา ถ้าใช่ก็หลีกไป”
“เปล่า แต่ยอมรับแล้วว่าคนอย่างเธอทั้งชั่ว ทั้งเลวจนไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี...ต่อให้เปรียบกับสัตว์ที่ต่ำที่สุดมันก็ยังไม่คู่ควรกับเธอเลย”
“นังอุษา...”
รสสุคนธ์เงื้อมือจะตบ หวานตวาด “หยุดนะนังรส...ถ้าแกขืนทำอะไรคุณอุษา แกตายแน่”
“ฉันด้วย อย่าลืมสิว่าเวลานี้คุณอุษาเป็นเจ้านายของพวกฉันจะให้เรียกคนอื่นมาด้วยมั้ย”
สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มยืนคุมเชิงอยู่มุมหนึ่งด้วยสีหน้าท่าทางพร้อมจะช่วยอุษา รสสุคนธ์ลดมือลงด้วยความหงุดหงิด เธอหันมาตวาดใส่ทุกคน
“งั้นพวกแกก็ไปตามหาคุณชีพให้เจอ ฉันจะไปธุระกับคุณชีพไปสิ...”
ทุกคนนิ่ง รสสุคนธ์ถาม “เอ๊ะ ไม่ได้ยินเหรอ”
“ลืมอีกแล้ว ในหัวแกน่ะสมองลิงหรือสมองไก่ หา...ต้องทวนความจำหรือไงว่าเจ้านายพวกฉันมีคนเดียวเท่านั้น คือคุณอุษา”
รสสุคนธ์มีสีหน้าแค้นเคือง “ไปทำตามที่คุณรสสั่งเถอะ ษาจะไปสุสาน ป่านนี้คุณน้าคงรออาหารแย่แล้ว...”
อุษาเดินผ่านรสสุคนธ์กลับเข้าไปในบ้าน หวานเดินผ่านรสสุคนธ์ก็จ้องหน้าแล้วพูดเตือนสติ
“เจียมตัวไว้บ้างสิ นังรส...”
“พวกน้าต่างหากที่ต้องเตรียมตัว” รสสุคนธ์ตบกระเป๋า “ในกระเป๋านี้เครื่องเพชร เครื่องทองทั้งนั้น ถ้าฉันขายได้ ฉันจะแบ่งให้น้าบ้าง น้าไม่สนใจเหรอ...”
หวานเชิดหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ “อย่าลืมแบ่งไว้ซื้อโลงศพให้ตัวเองบ้างล่ะนังรส...”
หวานเดินเข้าไปในบ้าน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจหัวเราะอย่างสะใจ รสสุคนธ์หงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ แล้วรสสุคนธ์ก็เดินแยกไปทางหลังบ้าน
อ่านต่อหน้าที่ 4
สุสานคนเป็น ตอนที่ 11 (ต่อ)
หวานจัดเครื่องเซ่นในถาดให้ดูดี
“น้าชีพหายไปจริงเหรอคะน้าหวาน” อุษาถาม
“ไอ้ฉ่ำมันหาจนทั่วแล้วนะ แต่ไม่เห็นค่ะคุณษา” หวานบอก
“ษาใจคอไม่ดีเลย น้าชีพยังไม่แข็งแรง ไม่น่าจะหายไปไหนได้ไกล ขาก็ยังเดินไม่ถนัด รถก็อยู่ครบทุกคัน...บอกทุกคนให้หากันให้ทั่วสิจ๊ะ”
“เอายังงั้นเหรอคะ...”
อุษาพยักหน้าด้วยสีหน้ากังวล นฤมลเดินเข้ามา โหน่งกับหนุ่ยเดินตามมาด้วย
“นังมล เห็นคุณชีพบ้างมั้ย” หวานถาม
“ก็เห็นหากันทั่วบ้านแล้วนี่...ยังไม่เจอเหรอ...” นฤมลว่า
“ยัง...”
นฤมลพูดด้วยความไม่พอใจ “หนุ่ย โหน่ง หิวข้าวแย่แล้ว มัวแต่หากันอยู่นั่น ลูกฉันอดกันพอดี”
“เป็นแม่ก็รู้จักหาข้าวให้ลูกสิ มาเรียกร้องอะไรกับคนอื่นล่ะ”
หวานเดินออกไป อุษามองหน้านฤมล “คุณมลคะ นึกว่าอยู่กันอย่างพี่ๆ น้องๆ นะคะ มีอะไรก็ช่วยกันทำอะไรได้ก็ทำไป”
“อุ๊ย เห็นมาเยอะแล้ว... เริ่มต้นด้วยการช่วย พอต่อไปก็คงเห็นฉันเป็นขี้ข้า...นึกว่าฉันโง่เหรอ...ไอ้หน้าสวยๆ ดูซื่อๆ ตาใสแบบนี้น่ะเหลี่ยมจัดนัก เห็นมาเยอะแล้ว...บอกก่อนนะ ถ้าไม่ใช่ลูกสองคนนี่ละก็ ฉันไม่มีวันทำให้ใครหรอก”
อุษาถอนใจเดินออกไป นฤมลมองตามด้วยสายตาชิงชัง
รสสุคนธ์เดินเข้ามาในสวนหลังบ้านแล้วมองหาชีพ รสสุคนธ์เดินย่ำไปทางในสวนก็เห็นกลุ่มต้นไม้หลากหลายชนิด รสสุคนธ์เห็นชีพยืนหันหลังอยู่ข้างพุ่มไม้ รสสุคนธ์ยิ้มตรงไปกอดหลังชีพไว้
“แอบมาเก็บดอกไม้ไปไหว้ผีนังลั่นทมก็ไม่ยอมชวน ปล่อยให้รสเป็นห่วงอยู่คนเดียว”
ใบหน้าของรสสุคนธ์แนบอยู่กับแผ่นหลังของชีพ ชีพกลายร่างเป็นลั่นทม รสสุคนธ์เหลือบเห็นจะผละออก มือลั่นทมจับมือรสสุคนธ์ไว้แน่น รสสุคนธ์พยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่หลุด ลั่นทมหัวเราะแล้วหันมา ดวงตาดุๆ
“จะกราบไหว้ขอโทษฉันเหรอรสสุคนธ์...ไม่ได้ทำด้วยสำนึกเธอจะทำทำไม...หา...”
ลมพัดแรง ต้นไม้ถูกลมพายุพัดส่ายไหว
“ช่วยด้วย....ช่วยด้วย...”
ลั่นทมวูบหายไป รสสุคนธ์ได้สติก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตพลางร้องตะโกนไปตลอดทาง“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
ร่างของรสสุคนธ์หลุดหายไป
อุษากับหวานถือถาดเครื่องเซ่นมา รสสุคนธ์วิ่งหน้าตาตื่น
“นังรส...เป็นอะไร”
“ผะ..ผี...”
“เฮอะ เจอดีเข้าแล้วเหรอ...เก่งนักไม่ใช่เหรอยะ”
รสสุคนธ์รีบปรับท่าที “เปล่า ฉันก็แค่แกล้งน้าหวานเล่น เห็นบ้านนี้ใครๆ ก็กลัวผีลั่นทมไม่ใช่เหรอ...”
“คนที่คิดร้ายต่อคุณน้าเท่านั้นหรอกรสสุคนธ์ คุณน้าถึงเล่นงาน”
“โอ๊ย ไม่ต้องมาขู่หรอก ฉันไม่กลัว...”
“ถ้าไม่กลัวก็ไปไหว้คุณผู้หญิงด้วยกันสิ”
รสสุคนธ์เชิดหน้าเพราะไม่อยากไป “หรือไม่บางที คุณผู้ชายก็คงสารภาพผิดอยู่ที่ในสุสานแล้ว”
รสสุคนธ์ได้คิดก็มีดวงตาเห็นจริงตามหวาน
“เออ จริงสิ คุณชีพนี่ใจร้อนจัง สัญญากันว่าจะไปด้วยกันไม่ยอมรอเลย”
อุษาส่ายหน้าแล้วเดินนำไป หวานเดินตาม รสสุคนธ์มองตามไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดตัดสินใจ
รสสุคนธ์พึมพำ “ขนาดเช้า แดดแจ๋มันยังกล้าหลอก ฮึ ชีพนะชีพ อย่าให้ฉันรู้นะว่าคุณไปสารภาพรักกับมัน...ฉันเอาตายแน่”
รสสุคนธ์ตัดสินใจเดินกลับ
ฉ่ำ สมพร และวิเวกช่วยกันล้างรถอยู่หน้าบ้าน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจถูบ้านตามปกติ นฤมล หนุ่ยและโหน่งนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร สวาทบุ้ยใบ้ให้ยาใจกับจิ้มลิ้มมองดูสามคนแม่ลูก
“นังลิ้ม นังยา เคยได้ยินมั้ยวะ ที่โบราณว่าไว้...อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
นฤมล หนุ่ย โหน่งวางช้อนหันมา“มันว่าแม่เป็นวัว”
“เป็นควายด้วยแม่”
ยาใจกับจิ้มลิ้มปิดปากหัวเราะ สวาทมองอย่างท้าทาย
“ฉันไม่ได้เกิดมาเป็นขี้ข้าอย่างพวกแก จะได้ปั้นวัวปั้นควายอย่างที่พวกแกพูด...ใครเป็นขี้ข้าก็ไปทำสิ..”
สวาททิ้งไม้กวาดโครม“คำก็ขี้ข้า สองคำก็ขี้ข้า ยังไงพวกฉันก็เอาแรงงานแลกเงินมีศักดิ์ศรีมากกว่าคนอาศัยอย่างพวกแก...”
นฤมล หนุ่ย และโหน่งนั่งจ้องมาที่ทั้งสามคน
“ฉันไม่ใช่คนอาศัย แต่เป็นญาติสนิทของเจ้าของบ้าน”
“ใครเหรอเจ้าของบ้าน”
“คิดไปเองหรือเปล่า คิดผิดคิดใหม่ได้นะ”
นฤมลกระแทกเสียงใส่ “ก็คอยดูไป สมบัติตกเป็นของคุณชีพกับน้องรสเมื่อไหร่ฉันจะเฉดหัวนังอุษานายแกกับพวกแกออกไปทันที”
สวาทหันไปบอกยาใจกับจิ้มลิ้ม
“เอ้า พวกเอ็ง เจียมตัวนะโว้ย...ระวังจะอดตายกันเหมือนหมาข้างถนน”
จิ้มลิ้มกับยาใจส่งเสียงหอนเหมือนหมาดัง นฤมลหงุดหงิด โหน่งกับหนุ่ยหันมาจ้องอย่างไม่พอใจ“มันล้อแม่”
“มันว่าแม่เป็นหมา”
“เออ รู้แล้ว กินเข้าไป ไม่ต้องพูด...”
ฉ่ำ สมพร และวิเวกล้างรถอยู่ รถของธารินทร์แล่นมาจอด ผันกับธารินทร์ลงจากรถมา รสสุคนธ์เดินมาพอดี
“เจอคุณผู้ชายมั้ยล่ะแม่รส”
รสสุคนธ์หน้าซีด รสสุคนธ์นึกถึงตอนที่เธอไปกอดชีพทางด้านหลังแล้วชีพกลายเป็นลั่นทม
“ไม่เห็น...”
ผันกับธารินทร์มองหน้ากัน “หาดูทั่วหรือยัง คุณชีพยังเดินไปถนัด คงไปไหนไม่ไกลหรอก”
“นั่นสิ หรือว่าไปที่สุสาน”
“หา ไอ้หมวด เอ็งหมายความคุณนายลั่นทมมาพาคุณชีพไปเหรอวะ ใช่หรือเปล่า”
ธารินทร์มองออกไปข้างนอก “มันก็ไม่แน่นะครับ...”
รสสุคนธ์หน้าซีดเผือด “คุณชีพหายไปตั้งแต่ตอนไหน”
“ลองไปดูที่สุสานมั้ย...”
รสสุคนธ์ไม่พอใจจึงตอบเสียงตวัด
“ไร้สาระ...เขาจะไปทำไม สุสานมันที่อยู่ของผี คุณชีพยังไม่ตายซะหน่อย เขาไม่โง่ไปที่นั่นหรอก”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าไปทางหนึ่งแต่ก็มีสีหน้าที่อดหวั่นเกรงอย่างที่ผันพูดไม่ได้
อุษากับหวานปิดจมูกเดินออกมา
“ทำไมวันนี้ถึงเหม็นมากกว่าทุกวัน...หรือว่ามีใครมาเปิดโลงศพ”
“คงไม่มีใครทำอย่างนั้นหรอกค่ะ คุณอุษารีบกลับไปที่บ้านดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะรับประทานอาหารเช้าไม่ได้นะคะ คุณอุษา...”
อุษาพยักหน้าแล้วเดินตามหวานไป แต่แล้วทั้งสองก็สะดุ้งทันที หน้าต่างบานหนึ่งปิดดังปัง อุษาหันไป ส่วนหวานค่อยๆ หันไปด้วยสีหน้าหวาดๆ
“ลมแรงจังวันนี้...”
รสสุคนธ์ตรงมานั่งที่โต๊ะกินข้าว
“บ้าที่สุด...พวกมันให้รสไปตามคุณชีพที่สุสาน”
“ก็ไม่แน่นะ บางทีผีลั่นทมอาจจะเอาคุณชีพไปนอนในโลงอีกก็ได้” นฤมลบอก
รสสุคนธ์หันขวับมาทันทีแล้วพูดโอ่ๆ วางอำนาจ
“ไม่จริงหรอก มันหายโกรธรสกับคุณชีพแล้ว ถ้ามันยังโกรธอยู่ มันคงไม่ทำให้เราเห็นเครื่องเพชรเครื่องทองของมันหรอกรู้มั้ยพี่มล เต็มกระเป๋านี่เลยนะ”
รสสุคนธ์ตบกระเป๋าอวดๆ นฤมลตาโต
“จริงเหรอน้องรส...”
ชีพอึดอัดจึงนอนฮึดฮัดอยู่ในโลงศพขณะที่อยู่เคียงคู่กับลั่นทมที่ขึ้นอืด หน้าตาแตกปริ ชีพไม่สามารถขยับเขยื้อนเนื้อตัวได้ ทำได้เพียงหันซ้ายหันขวาและส่งเสียงแหบๆ
“ใครก็ได้ช่วยด้วย..จะหายใจไม่ออกแล้ว..เหม็น เหม็น”
วิญญาณลั่นทมหันมาด้วยหน้าตาแจ่มใส “ถ้ารังเกียจร่างทม ก็มองมาทางนี้ซิคะ”
ชีพพยายามดิ้นรน “เปิดโลงให้ทีทม ผมหายใจไม่ออก..เหม็น..ไม่มีแรงขยับเขยื้อนเลย ผมกำลังจะตายใช่มั้ย”
ลั่นทมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “รับรอง ทมไม่ให้คุณตายตอนนี้หรอก”
ชีพแทบคลั่งแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ “โอ๊ย..เปิดสิวะจะทรมานกันไปถึงไหน”
อุษา ธารินทร์และผันพากันเข้ามาที่หน้าสุสาน อุษาเปิดประตูไปพูดไปด้วย
“เมื่อกี้ษาเพิ่งเอาเครื่องเซ่นมาให้คุณน้าก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติค่ะ”
ธารินทร์มองไปรอบๆ “ทุกอย่างก็ดูปกติดี”
ชีพดีใจ เขาพยายามตะโกนแต่เสียงก็แหบแห้งเต็มที
“มากันแล้วเหรอ ฉันอยู่ในนี้” ชีพมีความหวัง “เข้ามาเลย เร็วๆ หน่อยช่วยเอาฉันออกไปที”
“ไม่มีใครเขาได้ยินคุณหรอก”
ศพลั่นทมยิ้มเยาะชีพ ธารินทร์เดินไปสำรวจที่ฝาโลง ฝาโลงปิดสนิทแต่อุษามองไปรอบๆห้องอีกที
“คงไม่มีอะไรมั้ง พวกเราคิดมากไปเอง คุณชีพอาจไปไหนใกล้ๆก็แถวนี้ก็ ได้”
“ษาก็คิดอย่างนั้นค่ะ เราออกไปกันเถอะ”
ชีพพยายามดิ้นรนและส่งเสียงแหบแห้งด้วยความหวาดกลัว
“อย่าเพิ่งไปอุษา น้าอยู่ในนี่ ลั่นทมมันแกล้งน้าอีกแล้ว ช่วยด้วย”
“อย่าพยายามเลยค่ะ ทมไม่ให้ใครได้ยินเสียงคุณหรอก..ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ทมจะไม่ให้โอกาสคุณอีกแล้วชีพ”
เสียงประตูสุสานปิด ชีพร้องไห้โฮ “อย่าเพิ่งไป ฮือ..เอาฉันไปด้วย..รส..รส.ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ลั่นทมยื่นหน้าทะลุโลงเข้ามา “อาหารเช้าค่ะชีพ..ลุกขึ้นมาซี”
ลั่นทมออกไปยืนแล้วฝาโลงเลื่อนเปิด ชีพดีใจ “ให้ผมออกไปได้เหรอ ขอบคุณนะผมนึกอยู่แล้วว่าทมไม่ใช่ผีใจร้าย ทมเป็นผีมีคุณธรรม”
ฝาโลงเปิดออก แขนขาชีพขยับได้ ชีพจึงลุกพรวดขึ้นอย่างปีติลิงโลด เขาลุกขึ้นแล้วตะกายลงจากโลงโดยไม่สนใจอาหาร อุษานำอาหารมาเซ่น ชีพวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปที่ประตูสุสาน แต่วิญญาณลั่นทมยืนขวางอยู่
“ทมไม่ได้ให้ชีพออกไป ทมให้ชีพทานข้าว”
ชีพวิ่งทะลุร่างลั่นทมไปที่ประตู มีแสงสว่างวาบขึ้น ชีพผงะหงายออกมามือสั่นรัวด้วยความร้อน “โอ๊ย”
ชีพลองใหม่แล้วก็ต้องกระดอนออกมาอีก เขาลนลานไปที่หน้าต่างหน้าต่างทุกบานปิดสนิท ชีพพยายามตะกายเปิด แต่ชีพสิ้นเรี่ยวแรงทรุดตัวลงร้องไห้
“โฮ..ไม่นะอย่าทำอย่างนี้ ปล่อยฉันออกไป”
ลั่นทมหยิบของกินแล้วยื่นยาวมาตรงหน้าชีพ
“ทานซีคะชีพ กับข้าวของน้าหวานอร่อย คุณก็ชมบ่อยๆ”
ชีพผงะออกจากลั่นทมแล้วสะบัดอย่างรังเกียจ “มึง..นังผีนรก..ไปให้พ้น!”
ลั่นทมมองชีพด้วยอาการเศร้าซึม “พอไม่ได้ดั่งใจคุณก็แสดงธาตุแท้ออกมาทุกครั้ง รังเกียจทมนักเหรอ”
“ทั้งรังเกียจ ทั้งเกลียด ขยะแขยง ทำไมแกไม่ไปผุดไปเกิดหรือไปลงนรกขุมไหนก็ได้..มาวุ่นวายอยู่กับฉันทำไม..”
ลั่นทมเสียงดังและดุ “เพราะทมยังไม่ถึงคราวตายนี่คะ แต่คุณมาทำให้ทมต้องตาย..ทมจึงยังไปไหนไม่ได้”
ลั่นทมมองชีพด้วยความโกรธแค้นและมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวทำให้เกิดเป็นลมพายุพัดวูบวาบในห้อง ข้าวของปลิวหน้าต่างทุกบานเปิดแล้วไล่ปิดปึงปัง ไฟเปิดๆดับๆ ชีพมองด้วยความตกใจกลัวที่เห็นลั่นทมโกรธ ชีพปิดหน้าร้องไห้ตัวสั่นเทา
อุษา ธารินทร์และผันเดินกลับมาได้ไม่นานทุกคนได้ยินเสียงหน้าต่างเปิดแล้วปิดปึงปังต่างก็ชะงักหันไปมองก็เห็นหน้าต่างปิดไล่กันไป
“หน้าต่างเปิดปิดเองได้ยังไง เมื่อกี้ก็ปิดหมดทุกบานแล้วนี่คะ” อุษาบอก
“พ่อ..เกิดอะไรขึ้น” ธารินทร์ถาม
หมอผันนิ่งอึ้งแล้วเดินกลับไปที่สุสาน อุษาสบตาธารินทร์แล้วพากันเดินตามผันกลับไป ผันเลี่ยงไปด้านข้างสุสาน ผันเข้ามาดูหน้าต่าง อุษา ธารินทร์เดินตามมา หน้าต่างทุกบานปิดหมด
ผันงง “เป็นไปได้ยังไง”
“หรือว่าคุณน้าไม่พอใจอะไร”
ผันส่ายหน้าเพราะไม่รู้สาเหตุ ทั้งสามได้แต่งุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ธารินทร์กับผันพากันเข้ามาในบ้าน
“พ่อ..คิดว่ายังไง ทั้งหมดที่เราเห็นคืออะไรกันแน่” ธารินทร์ถาม
“บอกตรงๆวะไอ้รินทร์ว่าพ่อก็ไม่รู้” ผันบอก
“อยู่ๆน้าชีพก็มาหายไปอีก หรือว่าสองคนนั่นจะมีแผนอะไร”
“แกว่ายังงั้นหรือ”
“หรือพ่อว่ามีอะไรเป็นอย่างอื่น ผมสังเกตจากรสสุคนธ์ทำไมคุณชีพหายไปแบบนี้ดูเขาไม่ห่วงเลย ทำยิ้มๆมีเลศนัยชอบกล พ่อว่ามั้ย”
“ไม่รู้จะว่ายังไง เอ็งเป็นตำรวจเอ็งยังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้มั้ยเนี่ย”
ธารินทร์เครียดคิดหนัก ผันถอนใจแล้วตบบ่าธารินทร์เบาๆ
“เอาเถอะนะอะไรมันจะเกิดเดี๋ยวมันก็ต้องเกิดเอง พวกเราทำดีที่สุดแล้ว ถ้าสองคนนั่นยังรนหาที่ก็คงไม่มีใครช่วยได้หรอก”
รสสุคนธ์เดินไปเดินมารอชีพ นฤมลที่นั่งอยู่ใกล้ๆมองหนุ่ย โหน่งเล่นกัน รสสุคนธ์เดินกลับมานั่งตรงข้ามนฤมลแล้วก็เริ่มหงุดหงิด
“ชีพเขาจะทำอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆก็หายหัวไปแต่เช้า ดูสิป่านนี้ยังไม่กลับ”
รสสุคนธ์หันไปมองกระเป๋าที่มีทองกับเครื่องเพชร นฤมลมองตามแล้วกระซิบ
“น้องรสก็เอาไปขายเองก็ได้นี่ เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน”
รสสุคนธ์คิดครู่หนึ่งพยักหน้า “นั่นสิไม่อยากรอแล้ว ไปงั้นพี่มลไปกับรส”
นฤมลกระโดดลุกขึ้นเพราะดีใจจนปิดไม่มิด “จ้ะ รอแป็บนะพี่ไปแต่งตัวก่อน”
หนุ่ยกับโหน่งกระโดดเข้ากอดนฤมล “แม่ไปไหน หนุ่ยไปด้วยนะ”
“แม่ไปเที่ยวใช่มั้ย ขอโหน่งไปคนนะแม่นะ”
รสสุคนธ์ตวาดอย่างไม่พอใจ
“เด็กๆไม่ต้องยุ่งวิ่งเล่นอยู่บ้านนี่แหละ เอ้าเร็วเข้าพี่มล รสไม่ชอบรอนานๆ”
“จ้ะๆๆๆ”
นฤมลรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน หนุ่ยกับโหน่งงอแงตามขึ้นไปด้วย
“ไปด้วยก็ไม่ได้”
“ใจร้าย...” โหน่งว่า
รสสุคนธ์มองอย่างรำคาญ เธอตรงเข้าไปหยิกเด็กทั้งสองคนแต่ไม่แรง
หนุ่ยกับโหน่งร้องลั่น “โอ๊ย..เจ็บ..”
“ไปให้พ้น...” รสสุคนธ์ไล่
หนุ่ยกับโหน่งวิ่งไป รสสุคนธ์หงุดหงิด
ทุกคนนั่งกินข้าวกันอยู่ จู่ๆ สวาทก็พูดขึ้นมา
“พวกแกว่าคุณผู้ชายหายไปไหน”
“ฉันสังหรณ์ว่าเป็นฝีมือคุณผู้หญิงอีกแน่ๆ”
“แต่คุณษาไปที่สุสานมาแล้วยืนยันว่าไม่มีนี่นา ลุงฉ่ำว่าไง”
ฉ่ำที่กำลังกินข้าวอยู่สะดุ้ง “ไม่รู้โว้ยข้าขอไม่ออกความเห็น ไอ้พรล่ะ”
“ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก แค่นี้ก็หนาวๆร้อนๆอยู่ทุกวัน ไอ้เวกแน่ะ”
“โยนมาให้ข้าจนได้ ถ้าคุณผู้ชายไม่ได้โดนคุณผู้หญิงเอาตัวไปเหมือนคราวก่อน เดี๋ยวก็กลับมา แต่ถ้าคืนนี้ยังไม่มาละก็ เชื่อขนมกินได้เลย”
วิเวกทำท่าเชือดคอตัวเอง สวาทมองในครัวอย่างกลัวๆ
“น้าหวานแบบนี้ก็แสดงว่าคุณผู้หญิงไม่ยกโทษให้คุณผู้ชายกับนังรสใช่มั้ย”
“งั้นนังรสก็ต้องเป็นคนต่อไปนะสิ”
หวานวางช้อนถอนใจ เธอไม่ตอบแต่มีสีหน้ากลุ้มสุดๆ ท่าทีของหวานทำให้ทุกคนเงียบและมองหน้ายาใจเป็นเชิงตำหนิ ยาใจหน้าแหยไป
ฉ่ำเดินกวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่ที่ลานหน้าบ้าน หวานตัดแต่งกิ่งไม้เล็กๆที่ยื่นออกมา หวานชะงักเมื่อเห็นรสสุคนธ์กับนฤมลที่พากันเดินออกมา
“แกสองคนจะไปไหนกัน”
“ฉันจะไปธุระ ฉ่ำ..”
ฉ่ำหันมามองแต่ไม่ขานรับ รสสุคนธ์ออกคำสั่ง “ไปเอารถมา ฉันจะออกข้างนอก”
ฉ่ำส่ายหัว “ไม่ไป..เธอไม่ใช่เจ้านายฉัน”
“ไอ้ฉ่ำ...แก...อีกไม่ถึงหกเดือนแกต้องไร้ที่อยู่ต้องตกงานต้องไม่มีจะกิน”
ฉ่ำทำท่าขยับไม้กวาดในมืออย่างไม่พอใจ นฤมลรีบบอก
“ไปแท็กซี่ก็ได้น้องรส”
รสสุคนธ์พยักหน้า “น้าหวานฉันขอยืมเงินห้าร้อย...เดี๋ยวกลับมาคืนให้สิบเท่าเลย”
หวานหยิบเงินออกมาส่งให้คิดว่าไปตามชีพ
“เท่าเดียวให้ได้คืนซะก่อนเถอะ..นี่จะไปตามคุณชีพใช่มั้ย ตกลงเขาอยู่ไหนล่ะ”
“เดี๋ยวก็รู้..อ๋อ..น้าหวานให้ใครเรียกรถแท็กซี่ให้ด้วย ร้อนฉันไม่อยากเดินออกไป เดี๋ยวผิวเสียหมด”
“ฉ่ำ วานหน่อยเถอะวะ”
“ไม่ไป..”
เสียงลั่นทมดังขึ้น “ฉ่ำ ไปเรียกรถให้เขาหน่อย”
ฉ่ำได้ยินเพียงเสียงในโสตประสาทเหมือนอยู่ข้างหู เขาวางไม้กวาดแล้วพยักหน้า
“ไปเรียกรถ”
ฉ่ำเดินไปโดยไม่อิดออด หวานมองงงๆ
“อะไรของมันเมื่อกี้เสียงแข็งว่าไม่ไป แล้วทำไมเดินลิ่วไปนั่น”
“มันบ้าไง คนบ้านนี้มันบ้าๆบอๆทั้งนั้น”
เงาร่างของลั่นทมยืนมองรสสุคนธ์อย่างสะใจ
แท็กซี่แล่นมาตามถนนนอกเมือง นฤมลกับรสสุคนธ์นั่งที่นั่งตอนหลัง
“คอยดูนะอีกไม่นานฉันจะซื้อรถเอง ไม่ต้องง้อไอ้พวกบ้านี่”
“ยังไงวันนี้น้องรสก็แบ่งๆเศษๆเงินมาให้พี่บ้างนะ พี่ไม่มีเงินติดตัวสักบาท”
“ได้เลย เดี๋ยวได้เงินแล้วฉันจะไปช้อปปิ้ง จะซื้อของที่อยากได้ให้มันสะใจไปเลย พี่มลอยากได้อะไรบอกมาเลยนะ ฉันจะซื้อให้ ซื้อของเล่นไปให้หนุ่ยกับโหน่งด้วย”
“อู๊ยขอบใจนะจ๊ะน้องรส ไม่เสียแรงที่พี่อยู่ข้างน้องรสมาตลอด”
ทั้งรสสุคนธ์และนฤมลมีความหวัง ทั้งสองยิ้มแย้มให้กันอย่างมีความสุข
“ตกลงจะให้ไปส่งที่ไหนล่ะครับ”
“เอาไง น้องรส พี่ว่าตลาดแถวนี้ก็ได้นะ...”
“ไม่...พวกมันจะมีเงินซื้อของฉันเหรอ...พี่มลยังไม่เห็นของ พี่มลไม่รู้หรอกว่ามันแค่ไหน..”
นฤมลตาโตและมีสีหน้ากระหายอยากเห็น
“ขอพี่ดูหน่อยไม่ได้เหรอน้องรส อยากเห็นเป็นบุญตาสักครั้ง..”
รสสุคนธ์ทำลอยหน้าออกไปข้างนอกรถชวนให้นฤมลหมั่นไส้
คนขับรถถาม “ว่าไงครับ”
“กรุงเทพฯ..” รสสุคนธ์ตอบ
รถแล่นไป
แท็กซี่แล่นมาจอดหน้าร้านทอง นฤมลกับรสสุคนธ์กระวีกระวาดจะลงจากรถ
รสสุคนธ์พูดกับคนขับ “รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะจ้างไปต่อ วันนี้คงเหมาทั้งวัน”
“ได้แต่ขอค่าโดยสารก่อนครับ”
นฤมลไม่พอใจ “กลัวไม่มีจ่ายหรือไง...รู้มั้ยฉันเป็นใคร”
“ผมเจอมาหลายครั้ง..ให้ผมรอเก้อ ค่าโดยสารก็ไม่ได้”
รสสุคนธ์รำคาญจึงส่งค่าโดยสารให้ 200 บาท “เอ้าเอาไปไม่ต้องทอนด้วย แล้วอยากรอก็รอไม่อยากรอฉันจะเรียกรถคันใหม่”
“ก็ได้ผมรอก็ได้ เร็วๆหน่อยละกัน”
รสสุคนธ์ค้อนแล้วก็รีบลงไปกับนฤมลอย่างกระฉับกระเฉง
เถ้าแก่ร้านทองต้อนรับรสสุคนธ์กับนฤมลอย่างดี
“เชิญครับเชิญ เลือกดูก่อนร้านเรามีหลายลาย แบบใหม่ๆก็เยอะ”
รสสุคนธ์หยิบทองรูปพรรณออกมามากมายหลายชิ้นวางบนตู้ทอง นฤมลมองด้วยตาโตเพราะตื่นเต้น“ของเก่ามาก เนื้อทองดีมาก..ฉันจะขาย” รสสุคนธ์บอก
เถ้าแก่หยิบทองขึ้นมาทำการพิสูจน์แล้วมองดูทองในมืออย่างลังเล แล้วเขาก็มองรสสุคนธ์กับนฤมลเหมือนเห็นตัวประหลาด
เถ้าแก่พูดห้วนๆ “ไม่ซื้อ”
รสสุคนธ์งง “ทำไม”
“นี่คิดจะหลอกกันเหรอ ถึงเอาทองชุบมาขาย”
รสสุคนธ์พูดเสียงดังมาก “ทองชุบ”
นฤมลตาค้าง “เป็นไปได้ไง เถ้าแก่มั่วหรือเปล่า”
“พวกสิบแปดมงกฏหรือเปล่าเนี่ย...เรียกตำรวจดีกว่า”
รสสุคนธ์นฤมลตกใจจึงรีบเก็บทองแล้วแจ้นออกจากร้านอย่างผิดหวังและอับอาย
“ลองไปร้านอื่นเถอะพี่..ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเป็นทองชุบนะคนอย่างลั่นทมมีเรอะจะใช้ของปลอม”
“นั่นซีพี่ก็ไม่เชื่อ...”
รถแท็กซี่แล่นมาตามถนนในกรุงเทพฯ รสสุคนธ์กับนฤมลนั่งหน้าง้ำมาในที่นั่งตอนหลังในสภาพเหงื่อตก คนขับมองกระจกส่องหลัง
“จะไปไหนต่อครับ นี่มาหลายร้านแล้วนะครับ”
“ร้านทอง ร้านไหนก็ได้ ให้มันรู้ไปสิว่าทุกร้านมันจะโง่หมด”
“ร้านทองอีกแล้วเหรอ...”
รสสุคนธ์ไม่พอใจ “ฉันจะไปไหน ฉันก็มีเงินจ่าย..มีหน้าที่ขับก็ขับไป”
นฤมลเริ่มกระวนกระวาย “แต่พี่ว่ามันชักยังไงๆแล้วนะหรือว่ามันจะปลอมจริงๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่านังลั่นทม มันใช้ของปลอม แต่อย่างว่าละนะ..พวกผู้ดี มีเงินใช้ของปลอมคน ก็คิดว่าจริง หมด”
“ไม่จริง..ฉันไม่เชื่อ”
คนขับรถมองดูทั้งสองจากกระจกมองหลัง
“เอางี้มั้ย ทองเอาไว้ก่อนเราลองไปร้านเพชรดู”
รสสุคนธ์คิด “ก็ได้ นี่คนขับไม่ไปแล้วร้านทอง ไปร้านเพชรแล้วกัน”
“เอางั้นเหรอ” คนขับถาม
“ก็ใช่สิ ร้านเพชร...ได้ยินมั้ยร้านเพชร...ร้านทองไม่ไปแล้ว”
“ไอ้ที่ตระเวนไปวันนี้ก็ค่าโดยสารเยอะแล้วนะคุณ...ว่าแต่พวกคุณมีจ่ายแน่นะ”
นฤมลมองหน้ารสสุคนธ์เพราะเริ่มไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง
“เออน่า ขับไปเถอะเดี๋ยวบวกเพิ่มให้ไม่ต้องพูดมาก”
รสสุคนธ์หงุดหงิด นฤมลมองกระเป๋าใส่เพชรแล้วก็ใจไม่ดี
เจ้าของร้านเพชรยิ้มพอใจที่เห็นทั้งสองเข้ามาในร้าน
“เชิญครับคุณผู้หญิง เชิญเลือกดูก่อนครับ”
รสสุคนธ์วางกระเป๋าลงบนตู้กระจก “ไม่เลือกหรอก ของแบบนี้ฉันมีเยอะแล้ว แต่อยากเอาของเก่ามาขายมากกว่า...”
เจ้าของมองหน้ารสสุคนธ์
ลั่นทมที่นั่งบนเตียงมีสีหน้าสะใจ ชีพซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารฟุบหลับ โดยยังไม่ได้กินอาหารในถาดเครื่องเซ่น
“เธอไม่มีวันได้เงินหรอกรสสุคนธ์ ต่อให้ไปอีกกี่ร้านก็เหอะ”
สีหน้าลั่นทมสะใจมาก
รสสุคนธ์หยิบเครื่องเพชรออกมาเปิดให้ดู นฤมลตาโตเพราะอยากได้
“สวยจังน้องรส”
“ต้องแพงด้วย...” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์ตอบอย่างมั่นใจ เถ้าแก่ร้านเพชรหยิบขึ้นดู
“ให้ราคาดีๆ หน่อยนะ ยังจะขายกันอีกหลายชิ้น..” รสสุคนธ์ว่า
เถ้าแก่วางลงแล้วดันกล่องเพชออกห่าง
นฤมลงง “ทำไมเถ้าแก่...”
“ลื้อสองคนคิดว่าอั๊วโง่เหรอ...รีบออกไปเลยนะ ก่อนที่อั๊วจะเรียกตำรวจมาที่นี่”
นฤมลกับรสสุคนธ์มองหน้ากันงงๆ
“นี่อย่ามาปรักปรำกันนะ คนอย่างน้องฉันไม่มีวันซื้อของปลอมมาใช้หรอก”
“ใช่ ของฉันราคาแพง แกไม่มีเงินจ่ายก็บอกมาเถอะ...ทุเรศ ไปกันเถอะพี่มล..”
ทั้งสองเดินออกไป เถ้าแก่ส่ายหัวแล้วมองอย่างไม่พอใจ
รสสุคนธ์กับนฤมลยืนมองร้านขายเพชรอย่างเริ่มลังเล
“เข้าไปเลยน้องรส เจ้าตะกี้มันคงไม่มีเงินซื้อแหละ แต่ทำฟอร์มด่าเรา หาว่าเราเอาของปลอมมาขาย..เข้าไปเลย...จะได้รู้ดำรู้แดงกันไป..ไปสิ”
รสสุคนธ์เชิดหน้าแล้วก้าวเข้าไป เจ้าของร้านยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับ เชิญชมก่อนครับ...”
รสสุคนธ์ไม่ตอบ แต่หยิบกล่องเครื่องเพชรออกมาวางตรงหน้า
เจ้าของร้านเปิดดู “แบบสวยจัง...”
นฤมลยิ้มให้รสสุคนธ์อย่างมีความหวัง เจ้าของร้านหยิบเพชรดูแล้วมองหน้าทั้งสอง
“เบาจัง...นี่มันของปลอมนี่คุณ...หากินกันแบบนี้เหรอ...อยากนอนคุกมั้ยน้องสาว”
“อะไรนะ ปลอมเหรอ...ไม่จริงมั้ง...” รสสุคนธ์ว่า
รสสุคนธ์รีบคว้ากล่องเครื่องเพชรมาถือไว้
“สมัยนี้เขาไม่โง่กันแล้วละคุณ.. ขืนโง่ก็โดนพวกมิจฉาชีพอย่างพวกคุณหลอกเอาแย่สิครับ” เจ้าของร้านบอก
“นี่แก...อย่าพูดอย่างนี้นะ..คิดว่าฉันโง่เหรอ โธ่เอ๊ย จะกดราคากันก็บอกมาเถอะ”
เจ้าของร้านท้าทาย “เรียกตำรวจเลยดีมั้ย”
นฤมลไม่พอใจจึงสะกิดรสสุคนธ์“ไปเหอะ น้องรส”
ทั้งสองรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
รสสุคนธ์กับนฤมลยังมีหน้าตาไม่สู้ดีนัก ทั้งสองกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“จะเอาไงดีล่ะน้องรส”
รสสุคนธ์เริ่มลังเล “พี่มลว่าไงล่ะ”
“หรือว่ามันตาไม่ถึง...มันเลยมองไม่ออกว่าของดีหรือไม่ดี”
รสสุคนธ์เริ่มคล้อยตามและสับสน “ก็เป็นไปได้...ยังไงรสก็ไม่เชื่อว่าของนังลั่นทมจะปลอม”
“แต่ทองก็ปลอมนะ อย่าลืมสิ พี่ว่าชักยังไงแล้วละ น้องรส”
“ไอ้ยังไงของพี่มลน่ะคืออะไร”
“ก็แบบว่า...ของทุกอย่างปลอมหมด แบบนี้ ไอ้ข้าวของสมบัติทั้งหลายในพินัยกรรม มันไม่ปลอมหมดเหรอ..ไม่ใช่ว่าก่อนตาย ยัยคุณนายลั่นทม ยักย้ายถ่ายเทจนหมดแล้วนะ”
รสสุคนธ์ไม่พอใจจึงกระแทกเสียงใส่นฤมล
“รสไม่โง่อย่างนั้นหรอกพี่มล ให้มันรู้ไปสิว่านังลั่นทมมันจะร้ายกาจได้ใจยังงั้น...พี่มลพูดแบบนี้ก็ดีแล้ว อีกหกเดือน สมบัติเป็นของคุณชีพทั้งหมด พี่มลก็ไม่ต้องได้อะไรเลย”
“อุ๊ย ทำไมน้องรสพูดยังงั้นล่ะจ๊ะ”
“ก็ของปลอม พี่มลจะเอาไปทำไม”
นฤมลยิ้มเจื่อนและหน้าเสียไปก่อนจะรีบแก้ตัว
“พี่ก็แค่สันนิษฐาน พูดไปก็เพราะเป็นห่วงน้องรส ใจเย็นๆ นะจ๊ะ”
“ถ้านังลั่นทมมันทำยังงั้น คุณชีพต้องพูดให้ฉันฟังบ้าง...เรื่องไม่ดีของมันทุกอย่าง คุณชีพเล่าหมด ไม่เคยปิดบังฉันเลย”
“จริงเหรอน้องรส...”
ลั่นทมเหลือบมามองด้วยดวงตากร้าว ชีพฟุบหลับอยู่ด้านหลังไม่ไกล
รสสุคนธ์กับนฤมลนั่งคุยกันอยู่ คนขับมองจากกระจกมองหลัง
“สารพัดแหละพี่มล...เขาว่านังลั่นทมขี้เหนียว หน้าเลือด แล้วก็ร้ายน่าดู ที่ชาวบ้านมองมันว่าเป็นแม่พระน่ะ มันเสแสร้งทั้งนั้น จนชาวบ้านหลงเชื่อ มากู้เงินแล้วมันก็หาทางยึดที่ดินยึดบ้าน คนอย่างมันน่ะไม่เคยปรานีใคร”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะน้องรส”
“เชื่อเถอะ ก็เพราะมันทำแบบนี้ไง โฉนดที่ดินถึงกองท่วมหัว” รสสุคนธ์ว่า
“คนเลวๆ แบบนี้น้องรสก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรแล้วละ ที่แย่งอะไรต่ออะไรมาจากมัน”
รสสุคนธ์เชิดหน้าและหัวเราะในลำคอ
“คนอย่างฉันไม่เคยรู้สึกผิดอยู่แล้วละพี่มล...ของแบบนี้ใครดีใครได้”
ลั่นทมนั่งที่เบาะหน้าแต่ไม่มีใครมองเห็น “เห็นแก่ตัว เลวสิ้นดี...”
รสสุคนธ์เหมือนได้ยินจึงเหลียวมองไปรอบๆ “พี่มลว่าอะไรนะ”
นฤมลงง “อะไรเหรอ ยังไม่ได้พูดอะไรเลยน้องรส”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
รสสุคนธ์ทำสีหน้าหวาดๆ เธอมองไปที่กระจกมองหลังที่อยู่หน้าคนขับก็เห็นลั่นทมนั่งตรงกลางระหว่างเธอกับนฤมล รสสุคนธ์ตกใจจึงกระเถิบหนีนฤมลไปชิดหน้าต่างด้วยดวงตาหวาดๆ
“น้องรสเป็นอะไร...”
นฤมลหันไปมองรสสุคนธ์ รสสุคนธ์มองมา จู่ๆ ใบหน้าของนฤมลก็กลายเป็นลั่นทม
รสสุคนธ์ตกใจ “ว้าย...นังลั่นทม”
นฤมลงงๆ แล้วก็รีบปลอบใจ “น้องรส ใจเย็นๆ ตาฝาดเห็นอะไรอีกละสิ”
รสสุคนธ์บอกคนขับด้วยเสียงร้อนรน “จอดๆๆๆ จอดเดี๋ยวนี้..จอดสิ..”
รสสุคนธ์จะเปิดประตูแต่ก็มีสีหน้ากลัวมากจึงเขย่าประตู คนขับเบรกรถเสียงดัง รถคันที่ตามมาหลังเบรกตามเกือบชนท้าย คนขับหันมาตวาดอย่างหัวเสีย
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาล่ะ...รถจะชนกันตาย เห็นมั้ย”
นฤมลตกใจจึงรีบดึงตัวรสสุคนธ์มากอด“น้องรส...กลัวอะไรเหรอ หา หรือว่า” นฤมลมองไปรอบๆ
รสสุคนธ์ได้สติ พอมองไปไม่เห็นอะไรก็รีบกลบเกลื่อน
“ไม่...ไม่มีอะไรหรอกพี่มล รสแค่เจ็บใจนังลั่นทม คิดขึ้นมาทีไรอารมณ์มันขึ้นทุกที อยากจะไปฆ่ามันให้ตายคามือ”
ลั่นทมปรากฏร่างที่เบาะหน้าคู่คนขับแล้วหันมาข้างหลัง
“ก็เธอฆ่าฉันแล้วนี่...เหลือแต่ว่าฉันจะฆ่าเธอเมื่อไหร่ต่างหากรสสุคนธ์..”
รสสุคนธ์มองไม่เห็นแต่เหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ จึงเหลียวมองไปรอบๆ รสสุคนธ์มีสีหน้าไม่สู้ดี “โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร...ยังไงมันก็ตายไปแล้วนี่” นฤมลพูดกับคนขับ “ไปสิ จะจอดทำไม เจอร้านเพชรที่ไหนก็จอดให้ด้วย”
คนขับสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างหัวเสีย
อ่านต่อตอนที่ 12