รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 24 อวสาน
โจสวมแจ็คเก็ต มีกระเป๋าเดินทางวางเตรียมพร้อมอยู่ข้างตัว ขณะที่ป๋องที่แต่งตัวหล่อกว่าผิดปกติ ยังทำท่ายึกยักไม่อยากให้โจไป พลันมือถือโจที่อยู่ในแจ็คเก็ตก็ดังขึ้น
“หวัดดีครับริน มาถึงแล้วเหรอครับ โอเค.”
โจเก็บมือเข้ากระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต หันมาบอกป๋อง
“ไปกันได้แล้ว รินมาแล้ว”
ป๋องทำหน้าเหรอหรา “จะไปไหนครับ”
“ก็แกจะไปส่งฉันที่สนามบินไง”
ป๋อง ส่ายหน้า “เปล่าครับ ไม่ได้ไป”
“อ้าว แล้วจะแต่งหล่อทำไม”
“ผมจะไปงานแต่งงานคุณวนิษาครับ นัดปลายฝนไว้แล้ว”
โจฝืนยิ้ม
“ อย่าโกรธนะพี่ ผมไม่ได้เห็นคุณวนิษาสำคัญกว่าพี่หรอก แต่เห็นพี่สำคัญน้อยกว่าปลายฝนแค่นั้นเอง”
“ตามใจแกโว้ย จีบให้ติดก็แล้วกัน”
“โชคดีครับพี่โจ”
โจยกมือลา กำลังจะออกจากบ้าน แต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองป๋อง
“จะไปงานแต่งงานก็แต่งตัวให้ดูดีหน่อยดิ”
“แจ็คเก็ตผมหมกจนลืม เอามาดูอีกทียับยังกะกระดาษ ไม่ใส่ดีกว่า”
โจถอดแจ็คเก็ตส่งให้ป๋อง “งั้นเอานี่ไป ไหนลองใส่เด๊ะ”
ป๋องคว้าแจ็คเก็ตของโจมาใส่
“ขอบคุณครับ”
โจเดินออกไปขึ้นรถระริน ป๋องเดินออกมามองตาม
“โชคดีนะครับพี่โจ”
พลันมือถือก็ดังขึ้น ป๋องหยิบมือถือออกมา
“ตัวเองถึงไหนแล้ว อ๊ะ จริงดิ”
ป๋องชะโงกมอง เห็นแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งมาจอด ปลายฝนแต่งตัวสวยงามลงมาจากแท็กซี่เดินมาที่บ้าน “โอ้ว นางฟ้าชัดๆ”
“เวอร์ไปย่ะ แต่ก็ขอบใจนะที่ชม ฮิๆ พี่โจล่ะ”
“เพิ่งออกไปสนามบินเมื่อกี้นี่เอง”
ปลายฝนถอนใจเบาๆ พลางหยุดมองป๋อง
“ มีอะไรเหรอ”
“วันนี้นายดูหล่อกว่าทุกวันเลยนะ”
ป๋องยิ้มเขิน.
“แม่เลี้ยงเธอเขาไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่จู่ๆก็แต่งงานกระทันหันแบบนี้”
ป๋องเอ่ยถามปลายฝน เมื่อทั้งคู่เข้ามานั่งคุยกันภายในบ้าน
“ฉันก็ดูเขาไม่ออกเหมือนกัน พี่โจล่ะเป็นไงบ้าง”
“ก็แปลกๆไป ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง”
พลันทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงประตูด้านหลังเปิด
“ใครอ่ะ มีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอ”
ป๋องส่ายหน้า “ไม่มี”
พูดพลางหันซ้ายขวา ก่อนที่จะหยิบไม้เบสบอลมา
“เธอรออยู่นี่ เห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไปก่อนเลยนะ”
ป๋องย่องไปทางหลังบ้าน เมื่อเห็นเงาคนตะคุ่มๆ ก็เงื้อไม้จะฟาด
“ใครน่ะ หยุดนะเว้ย คุณ”
ป๋องชะงัก ปล่อยไม้หลุดจากมือหล่นใส่หัวตัวเอง เมื่อเห็น ม.ร.ว. จันทร์ธิดา ปลายฝนรีบวิ่งเข้ามาดู
“ใครเหรอ”
“คุณหญิงจุ๋ม เป็นพี่สามีของคุณวนิษา ที่ตายไปสองสามวันก่อน”
ปลายฝนร้องว้าย
“เกือบตายย่ะ”
คุณหญิงจุ๋ม รีบอธิบาย พลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งคู่ฟัง
“ฉันไปหาคุณพจน์ ทุกอย่างเป็นไปตามที่โจบอก คุณพจน์คือคนที่ฆ่าน้องชายฉัน เขาพิสูจน์มันด้วยการให้คนมาฆ่าฉัน มันหน้าตัวเมียจริงๆ ขนาดฉันเป็นผู้หญิง มันยังให้คนย่องเข้ามารัดคอฉันข้างหลัง ฉันรู้ตัวว่าไม่รอดแน่ๆเลยแกล้งทำเป็นตาย แต่มันก็ยังรัดคอฉันจนฉันหมดสติไปจริงๆ ฉันมารู้ตัวอีกทีตอนที่รถจอด ฉันแอบหยิบมือถือจะโทรบอกให้โจไปช่วย แต่ไม่ทัน มันกลับมาก่อน มันแบกฉันใส่รถ แล้วก็เข็นรถตกน้ำ”
คุณหญิงจุ๋ม ย้อนนึกถึงตอนที่ธงธงขับรถของเธอมาที่ริมบึงแห่งหนึ่ง พอถึงที่หมาย ธงธงก็จอดรถ ลากเธอมลงมาจากรถวางไว้แถวๆนั้น เธอได้สติ แต่พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็นิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว แล้วธงธงก็เดินเข้าพง ไปหากิ่งไม้กับก้อนหินมาท่อนหนึ่งเอาไปไว้ข้างๆ รถ ระหว่างนั้นเธอก็แอบหยิบมือถือออกมา กดโทรออก แต่หน้าจอสว่างขึ้นมา ธงธงหันกลับมามอง เธอก็รีบคว่ำหน้าจอกดลงไปในดินๆแถวนั้น ธงธงมาถึง ไม่ทันสังเกต จากนั้นก็ลากเธอกลับไปนั่งตำแหน่งคนขับ แล้วสตาร์ทเครื่อง เข้าเกียร์ แล้วเอากิ่งไม้กับก้อนหินยันคันเร่งไว้ แล้วรีบปิดประตู ดูรถที่ค่อยๆ พุ่งลงน้ำไป
ธงธงยิ้ม แล้วเดินจากไป โดยไม่เห็นมือถือของคุณหญิงจุ๋มที่ตกอยู่
“พอรถลงน้ำ ฉันกะจะเปิดประตูออกมาแต่มันเปิดไม่ออก ต้องรอจนน้ำเข้ามาเต็มรถนั่น
แหละ ถึงจะเปิดได้ กว่าจะออกมาได้ก็เกือบหมดลมแล้ว กว่าฉันจะว่ายถึงฝั่งฉันก็เป็นลมพอดี มีคนมาช่วยฉันไว้บอกว่าฉันเป็นไข้ สลบไปวันหนึ่งเต็มๆถึงรู้ตัว คนที่มาช่วยฉันเป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย เขาไม่กล้าบอกใครกลัวฉันตาย แล้วเขาจะเดือดร้อน เลยช่วยฉันแค่ตามมีตามเกิด พอฉันได้สติ ก็รีบมาหาโจนี่แหละ”
ป๋องถอนหายใจ
“พี่โจนึกว่าคุณหญิงจุ๋มตายแล้ว เขาเสียใจมากที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณหญิงตาย เขาเลยถอนตัววางมือจากคดีเพื่อจะไปแก้เคล็ดที่เมืองจีนครับ”
ม.ร.ว. จันทร์ธิดา หน้าเศร้า “ฉันผิดเองที่ไม่เชื่อเขา”
“งั้นก็รีบโทรบอกพี่โจสิป๋อง ถ้าพี่โจรู้ว่าคุณหญิงจุ๋มยังไม่ตาย อาจจะเปลี่ยนใจนะ”
ป๋องรีบหยิบมือถือออกมา กดโทรหาโจ ครู่หนึ่งมือถือโจในแจ็กเก็ตที่ป๋องสวมอยู่ก็ดังขึ้น
“พี่โจลืมเอามือถือไป”
“งั้นเรารีบตามไปที่สนามบินกัน”
“โอเค”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ป๋องเดินมาเปิดประตู เห็นธงธงยืนยิ้มอยู่
“สวัสดีครับ คุณโจอยู่ไหมครับ”
“พี่โจไม่อยู่ครับ เอ ผมคุ้นๆหน้าคุณนะ เราเคยเจอกันที่ไหนรึเปล่าครับ”
“คงไม่มั้ง แล้วคุณโจจะกลับมาเมื่อไหร่”
“คงอีกหลายอาทิตย์ เขาไปต่างประเทศแล้วครับ เดี๋ยวเครื่องก็จะออกแล้วครับ คุณมีอะไรด่วนไหมครับ”
ธงธงยิ้มโล่งใจ
“ไม่มี ไปต่างประเทศก็ดีแล้ว ดีด้วยกันทุกฝ่าย งั้นผมรบกวนแค่นี้นะครับ ขอบคุณมากครับ”
ธงธงหันหลังเดินออกไป ปลายฝนกับคุณหญิงจุ๋ม ก็เดินตามออกมา
“รีบไปสนามบินเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน”.
ธงธงข้ามถนนเดินกลับมาที่รถของเขาที่จอดอีกฝั่ง กำลังจะขับออกไป ก็ชะงัก เหยียบเบรคหน้าทิ่ม เมื่อมองไปเห็นป๋อง ปลายฝน และ ม.ร. ว. จันทร์ธิดา เดินออกมาด้วยกัน
“คุณหญิงจุ๋ม แกยังไม่ตายเหรอเนี่ย”
ป๋องขับออกไป ธงธงรีบขับตามป๋องไปทันที
ขณะที่ระรินกับโจนั่งอยู่ตอนหลังของรถตู้โดยมีสุดใจเป็นคนขับ ทั้งคู่นั่งกันเงียบๆ พลันมือถือของระรินก็ดัง ระรินรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
“อยู่ไหนแล้วลูก”
“กำลังไปที่แอร์พอร์ตค่ะ”
“แม่เพิ่งได้ข่าวด่วนมา ยัยวนิษาจะแต่งงานวันนี้”
ระรินอึ้งไป พลางเหลือบมองโจ ที่นั่งมองวิวนอกหน้าต่างอยู่ ไม่ได้สนใจ
“ค่ะ แต่ไม่มีเกี่ยวอะไรกับหนูแล้วนี่คะ”
“แม่ก็โทรมาบอกให้รู้ไว้ แค่นี้แหละนะ”
“ขอบคุณมากค่ะแม่ สวัสดีค่ะ”
ระรินเก็บมือถือ พลางกุมมือ และซบที่ไหล่ของโจ
ที่ดาดฟ้าบ่อนของวนิษาถูกดัดแปลงเป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน ลูกน้องในบ่อนช่วยกันเอากระดาษ
สีแดงที่มีคำมงคลภาษาจีนแปะตามผนัง มีโคมภาษาจีนแขวนเรียงราย รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆในบ่อนถูกยกขึ้นมาตั้งตระหง่านในบริเวณนั้น
ปฐมนำวนิษาเดินดูความเรียบร้อยของการจัดงาน
“เป็นไงบ้างครับ ตั่วเจ๊อยากได้อะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว แขกที่เชิญมาก็มีไม่กี่คน ทำพิธีง่ายๆแหละดีแล้ว”
ปฐมเงียบไปครู่หนึ่ง “ได้ข่าวว่าโจจะไปเมืองจีนเหรอครับ ตั่วเจ๊จะปล่อยให้เขาไปง่ายๆอย่างนี้
เหรอครับ”
พูดจบปฐมก็เดินจากไป วนิษาหยิบมือถือออกมาจะกดหาโจ แต่โทร. ไม่ติด
ทางด้านป๋อง ปลายฝน และ มรว. จันทร์ธิดา อยู่ในรถ ท่ามกลางการจราจรติดขัดมาก ป๋องหน้าเครียด ปลายฝนพลิกข้อมือดูนาฬิกา
“ฉันว่าไม่ทันพี่โจแล้วล่ะ เผลอๆขึ้นไปติดบนทางด่วนอีก ไม่ต้องไปไหนกันพอดี”
“แล้วเอาไงดี”
“งั้นเราไปหาแม่เลี้ยงฉันก่อน อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับพวกคนเลวนั่น”
ป๋องดูนาฬิกา แล้วมองไปข้างหน้า
“โอเค.”
ธงธงหยิบมือถือออกมากดโทร. ออกหาพจน์ ระหว่างนั้น ก็เหลือบเห็นรถของป๋องกลับรถ ขับสวนไปพอดี ธงธงรีบกลับรถตาม ขณะที่พจน์ ที่เพิ่งลงมาจากคอนโด พร้อมกับภาคย์ รับสายพอดี
“เรื่องใหญ่ครับคุณพจน์ ผมไปหาไอ้โจที่บ้าน ลูกน้องมันบอกมันไปเมืองจีนแล้ว แล้วผมเจอใครรู้มั้ยครับ ผมเจอคุณหญิงจุ๋มที่นั่นด้วย มันรอดตายมาได้ยังไงก็ไม่รู้ ตอนนี้ผมกำลังขับรถตามพวกมันอยู่”
“เก็บมันให้ได้ ไม่งั้นพวกเราจะซวยกันหมด”
พจน์วางสาย หงุดหงิดมาก ภาคย์ที่เดินมาด้วยกัน รีบหันมาถาม
“มีอะไรเหรอครับพี่”
พจน์ หน้าเครียด “เมียฉันน่ะสิ ดวงมันแข็ง มันยังไม่ตาย”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อดี”
พจน์เปิดประตูจะขึ้นรถ ภาคย์อยู่อีกฝั่งแอบสวมถุงมือ ก่อนที่จะชักมีดสปาต้าออกมาแล้วค่อยขึ้นรถ
“ฉันสั่งธงธงให้มันจัดการแล้ว”
“แล้วแผนคืนนี้”
พจน์หน้าเหี้ยม “ก็ทำตามแผนเดิม”
“ผมว่ามันเสี่ยงไปนะครับ”
“ทำงานใหญ่อย่าแหย ฉันเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว คืนนี้แกต้องฆ่าวนิษา”
“แล้วอาวุธที่พี่บอกผมล่ะครับ”
“อยู่นี่”
พจน์หยิบกล่องสีดำ แล้วหยิบปากกาที่อยู่ข้างในออกมา ก่อนที่จะหมุนปากกา แต่แทนที่จะเป็นไส้ปากกากลับเป็นเข็มแหลม พจน์ยิ้มร้าย
“ทันทีที่แกสองคนเซ็นทะเบียนสมรสเสร็จ แกก็หาโอกาสเอาปากกายาพิษนี่จิ้มตรงง่ามนิ้ววนิษา”
พจน์ชี้ตรงง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
“ยาพิษที่อยู่ในปากกาก็จะวิ่งเข้าสู่เส้นเลือดวนิษาตายทันที แผนการณ์ก็เสร็จสมบูรณ์ โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย”
ภาคย์รับมาดูทดลองบิดไปมา แต่แอบมองดูพจน์ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“พี่ไปหาของแบบนี้มาจากไหนเหรอครับเนี่ย”
พจน์แอบชำเลืองมองภาคย์ท่าทางไม่ไว้ใจ
“แกไม่ต้องรู้หรอก ไม่ใช่เรื่องของแก”
ภาคย์เก็บปากกาลงกระเป๋า
“ยังไงเราก็ต้องฆ่าวนิษาใช่มั้ยพี่”
“ก็เออสิวะ ถามอะไรแปลกๆ”
พจน์จ้องหน้าภาคย์ ภาคย์ยิ้มให้ แล้วก็รอจนพจน์เอี้ยวตัวหันไปจะคาดเข็มขัด จากนั้นก็รีบชักมีดออกมาแทง พจน์รู้ทันหลบแล้วจับข้อมือภาคย์ไว้ได้ พลางแค่นหัวเราะ
“ฉันว่าแล้ว คนอย่างแกมันเลี้ยงไม่เชื่อง”
ภาคย์ตกใจจะดึงมือกลับ พจน์จับมือภาคย์แน่น แล้วใช้มืออีกข้างชักปืนออกมา
“อยู่เฉยๆ”
ภาคย์ปล่อยมีด นั่งตัวแข็ง พจน์แค่นหัวเราะ
“เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆแกนี่ แกเตรียมจะฆ่าฉันแต่แรกแล้วใช่มั้ย”
ภาคย์ส่ายหน้า “ไม่จริงครับ”
“แกสวมหมวก ใส่แว่น เพื่อจะได้รอดจากกล้องวงจรปิด แล้วๆไอ้มีดบ้านี่พกติดตัวมาทุกวันเลยเหรอไง หา”
ภาคย์หน้าเจื่อน
“ แกจะฆ่าฉันเพราะอะไร หรือว่า อย่าบอกนะว่าแกรักวนิษา”
บังเอิญมีคนเดินผ่านหน้ารถ พจน์หันไปมอง จังหวะนั้นภาคย์ก็แย่งปืนมา แต่พจน์แข็งแรงกว่าแย่งปืนกลับมาได้ พลางใข้ปืนตบหัวภาคย์ เปรี้ยง ปืนลั่นปัง ภาคย์หูอื้อ พอลืมตามาอีกที ก็เห็นที่กลางหน้าอกของพจน์ มีเลือดทะลักออกมา ภาคย์งงไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
“นี่ละโว้ยดวงปรมะของผมล่ะ เชื่อรึยัง”
“ดวงปรมะ มีจริงเหรอนี่”
“ลาก่อนไอ้พจน์ แต่ไม่ต้องกลัวเหงา เพราะเดี๋ยวฉันจะส่งลูกน้องนักฆ่าของแกไปลงนรกอีกคน จะบอกให้รู้ไว้ ที่ฉันคิดจะฆ่าแกน่ะเพราะฉันรักวนิษาน่ะส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญเพราะฉันรู้ว่าพอวนิษาตายแกต้องฆ่าฉันแน่ๆ ใช่มั้ยล่ะ ในเมื่อแกมันชั่วอย่างงี้แล้วฉันจะช่วยแกทำไมวะ”
ภาคย์พูดไม่ทันจบประโยคดี พจน์ก็ขาดใจตาย ภาคย์ดึงกุญแจรถออกมา ลงจากรถ พลางปิดประตูแล้วก็ล็อกรถเรียบร้อย ก่อนที่จะโยนกุญแจรถลงถังขยะ แล้วเดินออกไป
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 24 อวสาน (ต่อ)
“ตั่วเจ๊ เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ปฐมเห็นวนิษานั่งเหม่ออยู่คนเดียว ก็อดที่จะเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“ฉัน ไม่รู้เหมือนกันคุณปฐม ฉันควรจะแต่งงานดีมั้ย”
“ทำไมตั่วเจ๊เกิดลังเลล่ะครับ”
“ฉันคิดว่าฉันควรจะแต่ง แต่ฉันรู้สึกว่าไม่ควรแต่ง”
ปฐมพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ความคิดมันขัดแย้งกับความรู้สึก ความคิดคือเหตุผล ความรู้สึกคืออารมณ์”
“คุณกำลังจะบอกว่าฉันควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ใช่ไหม หรือว่าฉันควรจะยกเลิกงานนี้”
“ถ้าตั่วเจ๊จะยกเลิกก็สั่งมาเลยครับ ผมจะเลิกงานทันที”
วนิษามองหน้าปฐม กำลังจะสั่งเลิกงาน อ. เม้งก็เดินขึ้นมาพอดี
“สวัสดีครับ คุณวนิษา”
วนิษามอง อ. เม้งอย่างงงๆ
“อาจารย์เม้งรู้เรื่องงานแต่งของฉันได้ยังไงคะ ฉันไม่ได้บอกอาจารย์นี่”
อ. เม้งกำลังจะตอบ ภาคย์ก็เดินเข้ามา
“ผมเชิญอาจารย์มาเองครับ คงไม่เป็นไรนะครับ”
ภาคย์เข้ามายืนข้างๆวนิษา อ. เม้งมองทั้งสอง แล้วส่ายหน้า
“ไม่มีที่ติ เหมาะสมกันแบบสมบูรณ์แบบจริงๆ”
ภาคย์ ยิ้มดีใจ
“จริงเหรอครับ อาจารย์เม้งพูดให้ชัดๆนะครับ ไม่อย่างนั้นคนอื่นเขาจะนึกว่าผมจ้างอาจารย์
มาเชียร์ผม”
“คนอย่างผมไม่มีใครจ้างให้โกหกได้หรอกครับ ผมพูดตามหลักวิชาของผม ดวงและโหงวเฮ้ง
ของคุณสองคนเหมือนจิ๊กซอว์สองชิ้นที่ต่อกันลงตัวพอดิบพอดี เป็นครึ่งหนึ่งของกันและกัน”
“จริงเหรอคะ ครั้งนี้จะเป็นงานแต่งงานที่ดีใช่ไหมคะ”
อ. เม้ง มองหน้าวนิษา
“คุณวนิษา ผมไม่อยากพูดเรื่องอดีต แต่ครั้งที่แล้วผมเคยเตือนคุณกริชไปแล้ว คุณก็อยู่ด้วย แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เตือนคุณภาคย์ ถ้าจะให้เตือนอะไรสักอย่าง ก็เตือนว่าระวังเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกละกัน เลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้มันยาก พ่อแม่ต้องมีเวลาให้ อย่าสักแต่เอาเงินเลี้ยง แล้วท่าทางคุณสองคนนี่จะลูกเยอะซะด้วยนะ”
วนิษาเขินจนหน้าแดง ขณะที่ภาคย์ยิ้มปลื้ม ระหว่างนั้นวลัยเดินเข้ามาในงานพอดี
“วนิ แกคิดอะไรของแก ทำไมแต่งปุบปับอะไรแบบนี้ หา นี่เจ้าบ่าวเหรอเนี่ย อุ๊ยต๊าย หล่อเลิศ”
ปฐมเดินจากมา หันมองกลับไป เห็นวนิษาแนะนำภาคย์ให้วลัยรู้จัก ท่าทางวลัยปลื้มใจมาก
“เสียใจด้วยนะโจ”
รถป๋องวิ่งมาตามถนน ทันใดนั้นรถของธงธงก็แซงมาปาดหน้าจนป๋องต้องรีบจอดรถ ธงธง และป๋อง
กับปลายฝน ลงจากรถของตัวเองมาพร้อมๆ กัน ขณะที่ ม.ร. ว. จันทร์ธิดา นั่งอยู่บนรถเกร็งๆ
“ขับรถยังไงของคุณเนี่ย”
ธงธงเดินเข้ามาใกล้ คุณหญิงจุ๋ม เอะใจ มองธงธง แล้วก้มมองที่เท้า เห็นรอยสักที่ข้อเท้า พลันก็จำได้ว่าคือคนเดียวกับที่ตามฆ่าเธอ
ธงธงเดินมาข้างรถ พลางยกปืนขู่
“ลงจากรถมาเดี๋ยวนี้”
คุณหญิงจุ๋ม ตัดสินใจเปิดประตูรถออกอย่างแรง กระแทกธงธงล้ม จนปืนกระเด็นไถลออกไป ป๋องรีบวิ่งไปเอาเท้าเขี่ยปืน ไปไกลๆ ปลายฝนรีบเอาสเปย์พริกไทยวิ่งเข้าไปฉีดใส่ คุณหญิงจุ๋มตรงเข้าตบตีธงธงไม่ยั้ง
“แกจะฆ่าฉันทำไม ฉันทำอะไรให้แก แกฆ่าชายแจ้ด้วยใช่มั้ย หา ไอ้นรก”
ธงธงตั้งหลักได้ ก็ถีบคุณหญิงจุ่ฒกระเด็น
“เขาเป็นใคร” ป๋องหันมาถาม
“มันเป็นคนที่จะฆ่าฉัน”
ธงธงลืมตาได้ ก็รีบมองหาปืน ปลายฝนวิ่งเข้าไปถึงปืนก่อน แต่ไม่ทันทำอะไร ธงธงก็พุ่งมาแย่ง
ปลายฝนสู้แรงไม่ได้ โยนปืนทิ้งไปอีกทาง ธงธงรีบวิ่งตามปืนไป ป๋องเข้ามาฉุดปลายฝนวิ่งหนี
ธงธงวิ่งตามมาเก็บปืน พอหันกลับไป ป๋อง ปลายฝน และ มรว. จันทร์ธิดา ก็วิ่งหนีข้ามถนนหนีไปได้ไกลแล้ว
ธงธงรีบวิ่งตามไป
จากนั้นทั้ง 3 คน ก็วิ่งมาหลบเข้ามาอยู่ในซอกเล็กๆ พลางหอบแฮ่ก
“ปลายฝน เธอรีบพาคุณหญิงจุ๋มไปหาคุณวนิษาก่อน อย่างน้อยถ้าคุณวนิษารู้เรื่องทั้งหมด
จะได้ถอนตัวจากงานแต่งงานทัน”
“แล้วเธอล่ะ” ปลายฝนอดเป็นห่วงไม่ได้
“ฉันจะล่อมันไปอีกทาง”
“ไม่เอา มันอันตรายเกินไป”
“ปลายฝน ฉันรู้ว่าฉันไม่เอาไหน แต่ขอให้ฉันได้ปกป้องเธอเถอะนะ”
“เขาพูดซะขนาดนี้แล้ว ยังจะอ้อยอิ่งอะไรอีก ไปเร็ว”
คุณหญิงจุ๋ม รีบดึงปลายฝนออกมา ป๋องยิ้มให้ จนปลายฝนลับตา
“ตายแน่ๆกู”
ป๋องแอบซ่อนตัว พลางมองซ้ายมองขวา เจอไม้ถูพื้นแถวนั้น ก็เอามาถือไว้ เตรียมลุย ธงธงตามมา ถือปืนเตรียมยิง ป๋องหลบในซอก กลั้นใจ กะว่าธงธงเดินมาถึงแล้ว ก็ฟาดไม้ถูพื้นออกไปเต็มแรง ปรากฏว่าธงธงหยุดลังเลอยู่ ไม้ถูพื้นฟาดไปห่างเป็นเมตร ธงธงกับป๋องมองหน้ากัน ป๋องจะวิ่งหนี ธงธงตะครุบไว้ทัน พร้อมกับต่อยท้องเปรี้ยง จนป๋องตัวงอ
“อีคุณหญิงจุ๋มมันอยู่ไหน”
“ไม่บอก”
“ไม่บอกก็ตายซะ”
ธงธงถีบป๋องกระเด็น ยกปืนจะยิง ทันใดนั้นหนุงหนิง ที่โผล่มาทางเดียวกับที่ปลายฝนหนีไป ก็เขวี้ยงสมาร์ทโฟนใส่หน้าธงธงจังๆ
ปลายฝนที่เดินตามมาด้านหลัง รีบหยิบสมาร์ทโฟนเขวี้ยงบ้าง มุมเครื่องกระแทกกลางหน้าธงธงอีกดอก ธงธงล้มก้นกระแทก ป๋องรีบหยิบสมาร์ทโฟนของเขาเขวี้ยงใส่เต็มแรง แล้วตามด้วยเครื่องของโจ เข้ากลางหน้า
ธงธงจนคิ้วแตกเลือดไหล ก่อนที่จะเตะปืนในมือธงธงกระเด็นไป ธงธงนอนมึนนิ่ง มีสมาร์ทโฟนสี่เครื่องตกอยู่รอบๆ
ปลายฝนวิ่งมาหาป๋อง
“ป๋อง เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่เป็นไร เกือบไป ถ้าไม่ได้พี่คนนี้มาช่วย ขอบคุณมากนะครับ”
“พี่เขาชื่อหนุงหนิง เป็นเด็กของคุณยายวรางค์ คุณยายของแม่เลี้ยงฉันเอง พอดีคุณยายนั่งแท็กซี่
ผ่านมาเห็นฉันเข้า ก็เลยมาช่วยเธอกันนี่แหละ”
หนุงหนิงยิ้มแป้น “พอดีไม่มีอะไรติดมือมา เลยเอามือถือเขวี้ยงซะเลย”
“รีบโทรเรียกตำรวจก่อนเหอะ เดี๋ยวมันจะฟื้นซะ”มรว. จันทร์ธิดา รีบบอก
“เอ่อ มือถือเจ๊งกันหมดแล้วอ่ะ”
ปลายฝนพูดเสียงอ่อยๆ หนุงหนิงมาดูสภาพเครื่อง แล้วบ่นเบาๆ
“เป็นการหยุดคนร้ายที่แพงมาก แต่ละเครื่องนี่แพงๆทั้งนั้น อาจจะถึงแสนได้นะเนี่ย”
คุณยายวรางค์เดินแกมวิ่งตามมา
“เอาเครื่องฉันโทรก็แล้วกัน”
จากนั้นก็หยิบมือถือออกมา แต่เห็นธงธงลืมตาขึ้นมา
“ระวัง”
คุณยายวรางค์เขวี้ยงมือถือใส่ทันที เข้ากลางหน้าผากธงธงสลบไปอีกครั้ง คราวนี้แน่นิ่งหมดสภาพ
“เอ่อ โทรตู้สาธารณะแล้วกัน”
ภายในงานแต่งงานของวนิษา และภาคย์ แทบจะไม่มีแขกคนอื่นเลย นอกจากคนของบ่อน อ. เม้ง และวลัย
ภาคย์อยู่ในชุดเจ้าบ่าว ดูภูมิฐาน สง่างาม ขณะที่ปฐมเดินนำเจ้าหน้าที่เขตขึ้นมา
“เชิญทางนี้เลยครับ เราเตรียมโต๊ะจดทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้วครับ”
เจ้าหน้าที่ เดินมาที่โต๊ะจดทะเบียนที่ตั้งเด่นกลางงาน พลางเปิดกระเป๋า แล้วเตรียมเอกสารที่จำเป็นออกมา
ครู่หนึ่งวนิษาเดินเข้ามาในงาน ในชุดเจ้าสาวสวยงามโดดเด่น ทุกคนที่เห็นมองกันตาค้าง
“อุ๊ย ลูกสาวฉัน สวยจริงๆ”
เจ้าหน้าที่มองหน้าวนิษา ก่อนจะหันมาทางปฐม
“เอ๊ะ คนนี้ผมเพิ่งรับจดทะเบียนไปเมื่อไม่นานมานี้นี่นา ที่แต่งกับดาราใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“ที่ดาราตายในงาน จำได้ละ เหมือนเดิมเลยนะ แต่งปุบปับเรียกผมมากระทันหันเหมือนเดิม
แถมคราวนี้ล่อซะดึกเชียว”
ภาคย์เดินไปหาวนิษา
“คุณวนิษาสวยมากครับ สวยจนผมแทบหยุดหายใจเลย”
วนิษาหันมาทางปฐม
“แขกคงมาแค่นี้แหละค่ะ เริ่มงานได้เลยค่ะ”
ปฐมเดินมาที่กลางงาน ประกาศเสียงดัง
“คืนนี้ พวกเราทุกคนมากันที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยานการแต่งงานของชายหญิงคู่นี้ เจ้าบ่าวคือคุณภาคย์ วัทยาเรือง เจ้าสาวคือ คุณวนิษา สุขจิตใจ ขออัญเชิญเทพเจ้าและฟ้าดิน เป็นประธานในงานมงคลนี้ด้วย เพื่อดลบันดาลความโชคดีทั้งปวงให้แก่คู่บ่าวสาวคู่นี้ และ ณ บัดนี้ขอเชิญคุณภาคย์กับคุณวนิษาจดทะเบียนสมรสด้วยครับ”
ภาคย์กับวนิษาเดินมาที่โต๊ะรับจดทะเบียน วนิษาแอบลังเล
“หยุดก่อนครับ”
วนิษาได้ยินเสียงโจก็ชะงัก เงยหน้าขึ้นช้าๆ เห็นโจยืนอยู่
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 24 อวสาน (ต่อ)
โจนึกถึงตอนที่เขาบอกให้นายสุดใจขับรถตู้ขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารจอดรถ ที่สนามบิน ก่อนที่จะตัดสินใจบอกกับระริน
“ริน ผมไปเมืองจีนไม่ได้”
“ทำไมล่ะ”
“ผมอยากไป ผมอยากมีชีวิตใหม่ ผมไม่อยากเป็นตัวซวยอีกแล้ว แต่พอถึงเวลา ผมกลับทำไม่ได้จริงๆ”
“เพราะวนิษาเหรอ” ระรินย้อนถาม
“ผมรักเขามากเกินกว่าจะยอมแพ้แบบนี้”
“โจ คุณดื้อมาตลอด ในที่สุดคุณก็ยอมรับว่าคุณแพ้ ทำไมคุณไม่ยอมรับความจริงล่ะว่าคุณเอาชนะดวงดาวไม่ได้หรอก คุณยังเจ็บไม่พออีกเหรอ”
“ผมรู้ ผมยอมเป็นคนแพ้ แต่ผมจะไม่ยอมแพ้ ผมขอโทษนะริน”
“ไม่ คุณบอกฉันแล้วว่าคุณจะไป คุณต้องไป”
ระรินตบหน้าโจฉาด ใหญ่
“แล้วคุณมาหลอกให้ฉันดีใจทำไม คุณไม่รู้หรือไงว่าฉันยังรักคุณ”
“ผมรู้ ผมขอโทษ”
ระรินร้องไห้ เข้ามากอดโจ
“ใกล้เวลาแล้ว เราไปกันเถอะนะ ฉันขอเตือน คุณจะต้องเสียใจแน่ๆ คุณไม่มีทางเอาชนะดวงดาวได้หรอก มันติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิด ยิ่งคุณท้าทายมัน คุณก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมรู้“
คนทั้งงานหันมามองที่โจเป็นตาเดียว ขณะที่โจมองที่วนิษา
“คุณวนิ อย่าแต่งกับเขาเลยนะครับ”
“ทำไม”
“เพราะผมรักคุณ”
วนิษาได้ฟังก็ถึงกับอึ้ง ภาคย์รีบพูดแทรกทันที
“ผมก็รักคุณวนิษาเหมือนกัน แต่คุณกับผมต่างกันตรงไหนรู้มั้ย ดวงไง ผมคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงได้ แต่คุณทำไม่ได้ถ้าคุณแต่งงานกับเธอ คุณก็ต้องตายเหมือนๆกับคนอื่น ผมมีดวงปรมะแต่คุณไม่มี คุณโจตัวซวย”
“คุณวนิ ผมขอโทษที่ยอมแพ้ง่ายเกินไป แต่ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว ผมจะสู้กับมันอีกครั้ง”
ภาคย์มองโจด้วยสายตาเย้ยหยัน
“คุณก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง คุณจะสู้กับอำนาจของเทพเจ้าได้เหรอ”
“ผมไม่ได้สู้กับเทพเจ้า แต่ผมสู้กับชะตากรรมของตัวเอง ให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับคุณวนิ”
“จะให้โอกาสกี่ครั้งแกก็ไม่มีทางชนะหรอก คุณวนิษาอย่าไปเชื่อมัน”
“คุณวนิ คุณไม่ต้องเชื่อผม ขอแค่คุณศรัทธาในตัวผม”
วนิษามองโจอย่างตื้นตันใจมาก ภาคย์ถอยไปยืนข้างหลังวนิษา ที่ยืนนิ่ง ขณะที่ทุกคนในงานรอฟังคำตอบ
“คุณกลับไปเถอะค่ะโจ ฉันจะแต่งงานกับคุณภาคย์”
โจทรุดฮวบ แต่วนิษาไม่สนใจ พลางหันมาเซ็นชื่อในเอกสาร ภาคย์ยิ้ม แล้วก็เซ็นชื่อตาม โจมองอย่างคนหัวใจสลาย ภาคย์ทนดูไม่ไหว เดินไปจับมือโจฉุดให้ลุกขึ้น
“ความรักก็เหมือนกีฬา มีแพ้มีชนะ คุณมีน้ำใจนักกีฬาหน่อยสิ ถึงแพ้ก็แพ้อย่างสง่างาม”
“ผมขอให้คุณมีความสุขนะครับ”
โจจับมือกับภาคย์แล้วสวมกอด ภาคย์งงๆแต่ก็กอดตอบก่อนเดินกลับมาหาวนิษา
“เราไปไหว้ขอบคุณผู้หลักผู้ใหญ่ก่อนดีกว่านะครับ ที่รัก”
ทันใดวนิษาสะบัดตัวจะวิ่งหนี ภาคย์จับข้อมือไว้แน่น พลางกระซิบเบาๆ
“อย่าคิดทำอะไรนะครับคุณวนิษา”
วนิษายืนนิ่ง คำพูดขู่ของภาคย์ ตอนที่เดินหลบออกมายืนข้างหลังเธอ ยังก้องอยู่ในหู
“ถ้าคุณเลือกโจ ผมจะฆ่าโจด้วยปากกายาพิษที่คุณพจน์เตรียมไว้ให้ฆ่าคุณ”
ภาคย์ทำเป็นกอดวนิษาไว้ คนในงานมองงงๆ ภาคย์หยิบปากกาออกมา
“ในเมื่อคุณเซ็นใบสมรสแล้ว คุณก็ตายตามแผนเดิมนั่นแหละดีแล้ว”
วนิษานิ่งสงบ ภาคย์ถือปากกาขู่จะแทงวนิษา
“ในนี้มียาพิษเข้มข้น คุณตายภายในไม่กี่วินาทีแน่”
โจรู้ว่าวนิษากำลังตกอยู่ในอันตราย ก็มองอย่างหาทางหนีทีไล่ ขณะที่ภาคย์ยิ้มกริ่ม
“ ทุกคนจะนึกว่าคุณตายเพราะสู้ดวงปรมะของผมไม่ได้”
วนิษาเอาศอกกระทุ้งภาคย์ ภาคย์จุกแต่ก็เอาปากกาแทงวนิษา ที่รีบวิ่งไปทางโจ พลางตะโกนสั่งปฐม
“จับมันไว้”
ปฐมโบกมือสั่งลูกน้อง ภาคย์มองปากกาในมืออย่างงงงวย เพราะไม่ใช่ปากกายาพิษ
“เฮ้ย แล้วปากกาของฉันล่ะ”
“ด้ามนี้ใช่มั้ย”
โจหยิบปากกายาพิษของภาคย์ขึ้นมา ภาคย์ตะลึง
“แกทำได้ไง”
วนิษาก็เพิ่งนึกออก “คุณอ่านปากคนออก”
ที่แท้โจอาศัยช่วงที่กอดกับภาคย์สลับปากกา
“คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าผมเป็นนักมายากล ไม่น่าประมาทขนาดนี้เลยนี่นา”
โจมองภาคย์เย้ยๆ
“ปากกาด้ามนี้ก็จะเป็นหลักฐานส่งคุณเข้าคุกได้เลย”
“เอาปากกาคืนมา”
ภาคย์เดินมาหาโจ โจถอย ปฐมสั่งลูกน้อง
“จับมัน”
ลูกน้องปฐมลุยเข้าหาภาคย์ ภาคย์ถอยกรูด ทันใดนั้น ลมก็พัดกรรโชก เมฆฝนปกคลุม ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางงาน ปฐมกับลูกน้องโดนคลื่นความร้อนกระแทกหงายหลังไปตามกัน เหลือเพียงภาคย์ยืนเด่น ทุกคนตะลึง
วลัยร้องกรี๊ด อ. เม้งมองภาคย์อย่างศรัทธา
“นี่ไงล่ะ พลานุภาพของดวงปรมะ”
ภาคย์หัวเราะลั่น ลมพัดแรงโคมค่อยๆดับลงจนเหลือติดไม่กี่ดวง ฟ้าแลบปลาบๆ ลำแสงอาบหุ่น เทพเจ้า ที่ดูเหมือนโกรธเกรี้ยว
“เป็นไงล่ะ ใครแน่จริงก็เข้ามามาสิ” พูดพลางก็เดินเข้าหาวนิษา “คุณวนิษา ดวงดาวลิขิตไว้แล้วว่าคุณต้องเป็นเมียผมเท่านั้น”
โจกระโดดเข้ามาขวาง
“ฉันจะขอสู้กับดวงปรมะของแกเอง”
“มาเลยไอ้โง่”
โจเดินเข้ามาชก ภาคย์ยืนเฉย ฟ้าผ่าอีกเปรี้ยง โจแสบตา จนชกพลาด ขณะที่ภาคย์ชกสวนโดนโจเต็มๆ ก่อนจะกดโจลงกับโต๊ะที่เซ็นชื่อ แล้วดึงปากกายาพิษของพจน์ออกมาจากกระเป๋าโจ
“คราวนี้แกจะเล่นกลอะไรได้อีกก็โชว์มาเลย”
ภาคย์ยกปากกาจะแทงโจ วนิษารีบร้องห้าม
“คุณภาคย์อย่า”
“ตายซะไอ้โจตัวซวย”
ภาคย์ทิ่มปากกาลงมา โจสะบัดมือขึ้นมาปัดมือภาคย์ ปากกากระเด็นลอยคว้างขึ้นสูง ภาคย์ยิ้มอย่างเชื่อมั่น ปากกาหยุดกลางอากาศแล้วตกลง พุ่งลงกลางหน้าโจ ที่ขยับหนีไม่พ้นเพราะภาคย์กดคอตรึงไว้ ทันใดนั้นลมก็พัดกรรโชกแรงมาพอดี ปากกาเปลี่ยนทิศ พุ่งลงมาปักเสียบฉึกที่คอภาคย์
“ไม่”
ภาคย์หมุนคว้าง ก่อนที่จะมาหยุดตรงหน้า อ. เม้งพอดี พลางมอง อ. เม้ง ด้วยนัยน์ตา ที่เต็มไปด้วยประโยคคำถาม
“ทำไม”
ภาคย์ล้มตึงขาดใจตาย ต่อหน้า อ. เม้ง ที่ยืนงง มองภาคย์อย่างไม่เชื่อสายตา
โจวิ่งเข้ามากอดวนิษาไว้แน่น
“มันจบแล้วคุณวนิ มันจบแล้ว”
จังหวะเดียวกับที่ป๋อง ปลายฝน ม.ร.ว. จันทร์ธิดา คุณยายวรางค์ และหนุงหนิง ตามขึ้นมาบนดาดฟ้า
“อ้าว พี่โจ พี่ไม่ได้ไปเมืองจีนเหรอ โชคดีมากเลยพี่ ผมพาคนสำคัญมาพบพี่”
ป๋องร้องทักอย่างดีใจ โจหันไปเห็นคุณหญิงจุ๋มเดินขึ้นมา ก็แปลกใจ
“คุณหญิงจุ๋ม คุณหญิงยังไม่ตาย ผมก็ไม่ใช่โจตัวซวย”
วนิษานึกอะไรขึ้นมาได้
“ภาคย์เคยเป็นนายจ้างคุณรึเปล่า”
โจส่ายหน้า “ไม่เคย แต่เขาแต่งงานกับคุณแล้วนะ”
“แต่ฉันไม่เต็มใจนี่ เป็นโมฆะใช่ไหมคะ”
วนิษาหันไปถามเจ้าหน้าที่ ที่ดูเอกสารในมือ ด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
“คุณวนิษาเปลี่ยนลายเซ็นเหรอครับเนี่ย เซ็นไม่เหมือนครั้งที่แล้วนะครับ”
เจ้าหน้าที่มองทะเบียนสมรสในมือ เห็นลายเซ็นวนิษาเป็นตัวอักษรแปลกๆ แต่พออ่านลางๆ ได้ว่า โมฆะ
“โมฆะ ครับ ลายเซ็นแบบนี้ถือเป็นโมฆะครับ”
โจกับวนิษายิ้มให้กัน
“เพราะฉะนั้นภาคย์ไม่ได้ตายเพราะดวงกินผัวของคุณ”
“คุณหญิงจุ๋มก็ไม่ได้ตายเพราะดวงตัวซวยของคุณเหมือนกัน”
ทุกคนที่อยู่ในที่นั่น มองมาที่โจกับวนิษา แล้วยิ้มอย่างมีความสุข ที่ทั้งคู่หลุดพ้นจากดวงอาถรรพ์ที่สาปคนทั้งสองไว้
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 24 อวสาน (ต่อ)
ขณะที่ระรินยืนเหม่อมองดวงดาวอยู่ที่เดิม
“แล้วฉันล่ะ ดวงของฉันคือดวงอะไร ทำไมฉันไม่เคยสมหวังเลย”
พลันก็ลมพัดกรูเข้ามา ระรินห่อตัวกระชับปกเสื้อรู้สึกหนาว พร้อมๆ กับมีมือยื่นถ้วยกาแฟควันฉุยมาให้ ระรินเอะใจ หันไปดู ก็เห็นเพ็ญแข ที่ยื่นถ้วยกาแฟให้
“คุณแม่รู้ไงว่าหนูอยู่ที่นี่”
ระรินมองเลยเพ็ญแขไป เห็นสุดใจยืนอยู่ห่างออกไป ก็รู้ว่าสุดใจเป็นคนบอก
“เมื่อกี้ลูกถามว่าดวงของลูกคืออะไร ทำไมลูกถึงไม่สมหวังในความรักใช่ไหม”
“ป๊าเคยบอกว่าดวงของหนูเป็นดวงเจ้าหญิง จะสมหวังทุกสิ่ง หนูเชื่อป๊ามาตลอด ทำตามทุกอย่างที่ป๊าบอก ศัลยกรรมปรับโหงวเฮ้งก็แล้ว แก้เคล็ดปรับดวงชะตาก็แล้ว แล้วทำไมหนูยังไม่สมหวังในความรักซะทีล่ะแม่”
“เรื่องของความรักมันซับซ้อน มันคงมีอะไรมากกว่าเรื่องของดวงดาว”
ระรินน้ำตารื้น “ป๊าโกหกหนู”
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม อย่างน้อยที่สุด ป๊าก็พูดถูกเรื่องนึง หนูคือเจ้าหญิง เป็นเจ้าหญิงของแม่และป๊าเสมอมารู้มั้ย”
ระรินโผเข้ากอดเพ็ญแข แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
หม่อมจันจิราลงจากรถ ที่หน้าวังวาสุวงศ์ พลางรีบเดินเข้าตัวอาคารอย่างร้อนใจ ม.ร.ว. จันทร์ธิดา ที่นั่งรออยู่ เห็นหน้ามารดาก็ร้องไห้ พลางโผเข้ามากอดแทบเท้า หม่อมจันจิรารีบประคองบุตรสาวขึ้นมานั่งด้วยกัน
“เป็นไงบ้างหญิงจุ๋ม”
“หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่อยากเจอหม่อมแม่”
“แม่รู้เรื่องก็รีบกลับมาเร็วที่สุดแล้ว ลูกของแม่ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“แม่คะ หนูอยากบวชค่ะ อุทิศส่วนกุศลให้ชายแจ้แล้วก็คุณพจน์ด้วย ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ฆ่าชายแจ้ก็ตาม”
พูดได้แค่นั้น คุณหญิงจุ๋มก็ปล่อยโฮ จนพูดอะไรต่อไม่ได้
“ดีแล้ว ดีแล้วชีวิตเธอที่ผ่านมาก็ดูฟุ้งซ่าน ไม่เคยสงบเลยสักวัน บวชซักระยะเวลาหนึ่งก็คงดี”
“แม่คะ ที่ผ่านมาหนูกราบขอโทษนะคะ”
มรว. จันทร์ธิดา ก้มกราบลงแทบเท้าผู้เป็นมารดา หม่อมจันจิราลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความรักและสงสาร
ขณะที่วลัยกับวนิษานั่งอยู่ในคอนโดวนิษา ท่าทางเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง ครู่หนึ่งมือถือ
ของวนิษาก็มีสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้า วนิษากับวลัยรีบหันมาดูราวกับนัดกัน ที่หน้าจอปรากฏข้อความเป็นภาษาอังกฤษ
“หมอเขาว่าไงบ้าง บอกมาสิ พ่อแกออกจากห้องผ่าตัดรึยัง”
วนิษาร้องไห้ วลัยหน้าเสีย
“วนิ”
พลันวนิษาก็ยิ้มทั้งน้ำตา
“หมอบอกว่าพ่อปลอดภัยแล้วค่ะ การผ่าตัดเรียบร้อยค่ะ แต่หมอบอกต้องอยู่ดูผลอีกซักระยะนะคะ
“ ดีแล้วล่ะ ให้มันอยู่นั่นแหละ กลับมาเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันเปล่าๆ”
“แม่อยากไปเยี่ยมพ่อไหมล่ะคะ”
วลัยเงียบไปครู่หนึ่ง ยังวางฟอร์มอยู่
“ไปก็ได้ ไปดูหน้ามันซักหน่อย เผื่อเชื้อมะเร็งมันรักษาไม่หาย ไปได้เร็วสุดเมื่อไหร่ล่ะ”
วนิษายิ้มขำมารดา
“เมื่อเช้าฉันขอพี่โจลาออกแล้วนะ”
ป๋องบอกกับปลายฝน ขณะที่ทั้งคู่เดินคุยกันอยู่ในย่านการค้าของวัยรุ่น
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ฉันว่าฉันไม่เหมาะเป็นนักสืบแบบพี่โจหรอก ฉันไม่พลิ้วเท่าเขา”
“ดีแล้วล่ะป๋อง เธอเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว ถ้าฉันจะมีแฟนก็อยากได้ผู้ชายแบบเธอนี่แหละ”
ปลายฝนพูดเขินๆ แต่ป๋องยังไม่รู้ตัว
“นั่นสินะ เอ๊ะเมื่อกี้เธอว่าไงนะ”
“ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว”
“เธอบอกว่าเราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม”
“เปล่า บอกว่าให้เป็นเฟรนด์”
ป๋องหน้าจ๋อย “อือ เฟรนด์ก็เฟรนด์”
“แปนเฟ็น” ปลายฝนเน้นคำ
“แปนเฟ็น แปนเฟ็นก็เป็นแฟนน่ะสิ วู้”
ป๋องกระโดดดีใจรอบๆปลายฝน จนคนรอบข้างเริ่มหันมามอง
โจกลับมามาเยี่ยมพ่อที่เรือนจำอีกครั้ง
“ซูซี่เขาบอกเขาดีใจที่แกมาเยี่ยม แต่เขายังละอายใจ ไม่กล้ามาพบแกอยู่ดี”
“เขาสบายดีใช่ไหมครับ” โจอดที่จะถามถึงไม่ได้
“นี่มันคุก ก็สบายเท่าที่จะสบายได้ในนี้น่ะนะ”
“ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไร พ่อบอกผมเลยนะครับ”
“อือ พ่อได้ยินเรื่องของแกหมดแล้ว ดีใจด้วยนะ ในที่สุดแกก็ชนะ สิ่งที่แกเอาชนะได้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แกเก่งมากโจ”
“ผมมีคำถามหนึ่ง ที่คาใจผมมาตลอดชีวิตแต่ผมไม่กล้าถาม พ่อเคยคิดเหมือนคนอื่นไหมครับว่าผมเป็นตัวซวยทำให้พ่อติดคุก”
พ่อส่ายหน้า
“พ่อไม่เคยคิดแบบนั้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว แม่แกก็ไม่เคยคิดแบบนั้น”
“ขอบคุณมากครับพ่อ”
โจไหว้พ่อ แล้วก็ยิ้มทั้งน้ำตา
กลางดึกสงัดลมก็พัดแรงจนผ้าม่านปลิว วนิษาที่นอนหลับอยู่คนเดียวในห้องพลันรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ในห้องด้วย พลางค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบเงาดำตะคุ่มๆของผู้ชายสามคน วนิษารีบลุกขึ้นมากำลังจะร้องแต่ก็เอะใจ เพ่งมองชายทั้งสาม
“คุณชายแจ้ ตั่วเฮีย คุณกริช”
“คนดี พวกเรามาลาเธอ ฉันขอให้เธอโชคดีและมีความสุขมากๆ”
“หว่าหวา ขอบคุณมากนะที่ดูแลปลายฝนเป็นอย่างดี ฉันดูเธอไม่ผิดจริงๆ”
“คุณวนิษา ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกเราอีก ที่พวกเราจากมาเพราะถึงเวลาของพวกเรา ไม่เกี่ยวกับคุณ เราสร้างบุญกันมาแค่นี้ จึงได้รู้จักกันแค่นี้ ลาก่อนครับ”
วนิษาสะดุ้งตื่น ในห้องไม่มีใคร หน้าต่างทุกบานยังปิดเรียบร้อยดี
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”
เช้าวันรุ่งขึ้น โจ วนิษา รวมถึง อ. เม้ง ก็ร่วมกันถวายสังฆทาน หลังเสร็จพิธีแล้ว ทั้งสามคน ก็มานั่งคุย กับหลวงพ่อสีสุก มีคอปบร้าอยู่ข้างๆ
“คอปบร้า อยู่กับหลวงพ่อแล้วเป็นไงมั่ง”
คอปบร้ายิ้มให้โจ “สงบขึ้นเยอะ มีศีล มีสมาธิ ก็เริ่มมีปัญญาขึ้นมาบ้าง”
“แล้วเธอล่ะ โจ คำถามที่เธอชอบถามฉัน ตอนนี้ได้คำตอบหรือยัง”
หลวงพ่อสีสุกหันมาถามโจ
“ได้แล้วครับ อย่างที่หลวงพ่อว่า บางอย่างต้องเข้าใจด้วยตัวเองครับ แต่มีคนนึงเขายังไม่เข้าใจ เขาถามผม ผมก็ตอบไม่ได้ ก็เลยอาสาพามาหาหลวงพ่อ”
“ใครล่ะ คนที่ว่าน่ะ”
อ. เม้งยิ้ม พลางแนะนำตัวเอง “ผมเองครับหลวงพ่อ ผมชื่อเม้งครับ”
อ. เม้ง เข้ามานั่งคุยกับหลวงพ่อสีสุกในอุโบสถ
“ผมสงสัยจริงๆครับหลวงพ่อว่าทำไมภาคย์ถึงตาย คนที่ตายน่าจะเป็นโจมากกว่า เพราะภาคย์เขามีดวงปรมะเป็นดวงประจำตัวเขา”
หลวงพ่อไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “ไอ้เรื่องดวงเนี่ย ดวงมันคืออะไรเหรอ”
“ดวงคือวิถีชีวิตของคนที่ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่เกิด ด้วยดวงดาวบนท้องฟ้า ณ เวลาที่เราตกฟาก ดาวจะส่งผลต่อชีวิตของคน แตกต่างกันไปตามองศาของดาวแต่ละดวงครับ อย่างโจ เกิดในฤกษ์ตัวซวย เขาก็นำความโชคร้ายไปให้คนที่อุปการะเขาตั้งแต่เล็กจนโต อย่างคุณวนิษา เกิดในฤกษ์กินผัว เขาก็ทำให้สามีของเขาตายตกตามกัน”
หลวงพ่อยิ้มอย่างเยือกเย็น
“แต่สุดท้ายคุณหญิงจุ๋มนายจ้างของโจก็ไม่ตายนี่นา ส่วนเรื่องวนิษา ฉันยิ่งงง ตำราของเธอนับเป็นผัวเมียกันตอนไหน จดทะเบียนสมรสหรือจัดพิธีหรือไง ในเมื่อเขายังไม่ร่วมหอลงโรงกัน”
อ. เม้งนิ่งคิด พลางก็เริ่มเห็นจริงตามหลวงพ่อ
“ครูของฉันสอนว่าทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ที่พ่อของโจโดนจับก็เพราะเขาทำผิดกฎหมาย ต่อให้โจไม่เกิดมา แต่ถ้าตำรวจหาหลักฐานได้ พ่อเขาก็ต้องถูกจับอยู่ดี พ่อของคอปบร้า วิ่งเข้าไปในบ้านทั้งที่รู้ว่าไฟไหม้ อันนี้เรียกว่าขาดสติ ประมาท เสี่ยเพ้งชูมีดเหล็กกล้าขึ้นฟ้าทั้งๆ ที่ฝนฟ้าคะนอง จึงโดนฟ้าผ่า อันนี้เรียกว่าการเหนี่ยวนำไฟฟ้า เรื่องภาคย์ ปากกายาพิษนั้นเขาเอามาเอง ตั้งใจจะฆ่าโจ สุดท้ายปากกายาพิษก็ถูกกระแสลมพัดมาฆ่าเขา อันนี้ถึงจะแปลกแต่ก็เป็นไปได้ และทั้งหมดทั้งมวลนี้ครูของฉันสอนว่า กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม”
อ. เม้งอดสงสัยไม่ได้
“ว่าแต่ใครเป็นครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อเหรอครับ”
“นั่งอยู่ข้างหลังฉันไง”
อ. เม้งมองไปไม่เห็นใคร แต่มองเลยไปอีก จึงเห็นพระประธานองค์ใหญ่ ที่ดูสงบ และน่าศรัทธา
โจกับวนิษาในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนดูวิวกันอยู่บนดาดฟ้าของตึกสูง ดวงดาวบนท้องฟ้า พร่างพราย ระยิบระยับ งดงามจับตา
“หรือว่าจริงๆแล้วอาจารย์เม้งไม่แม่น ดวงเราสองคนอาจเป็นดวงที่เป็นเนื้อคู่กันแต่แรกก็ได้นะคะ”
โจยิ้มให้วนิษา
“ผมไม่รู้ครับ แต่ที่คุณพูดเรื่องแม่นไม่แม่น ทำให้ผมนึกถึงคนๆหนึ่ง”
“ใครคะ”
“คุณยายคุณ ท่านเป็นคนแรกที่พูดเป็นนัยว่าผมจะได้แต่งงานกับคุณ”
วนิษาตาโต “จริงเหรอ ท่านว่ายังไงคะ”
“ตอนที่คุณจะบวช ท่านขอให้ผมหาวิธีล้มพิธีบวชของคุณ แล้วท่านก็ให้ค่าจ้างเป็นของอย่างนึง”
พูดพลาง โจก็หยิบกล่องกำมะหยี่ออกมาเปิดออก วนิษายิ้มมีความสุข โจบรรจงสวมแหวนให้วนิษา แล้วจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
“ดวงดาวทั้งหลายจงเป็นพยาน ผมจะรักและดูแลผู้หญิงคนนี้ตลอดไป”
“ดวงดาวทั้งหลายเป็นพยาน ฉันก็จะรักและดูแลผู้ชายคนนี้ตลอดไปเช่นกัน”
จากนั้นทั้งคู่ก็สบตากัน และตระกองกอดกันอย่างแนบแน่น
เช้าวันรุ่งขึ้น วนิษาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน พลางปรายตามองโจ ที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาแห่งความรัก แต่แล้วก็อดใจไม่ได้ เลยแกล้งบีบจมูกเล่น แต่โจไม่ขยับเขยื้อนเลย วนิษาเอะใจ ตบแก้มโจเบาๆ
“โจ โจ”
แต่โจยังนิ่ง จนวนิษาเริ่มใจเสีย ตกใจเขย่าตัวโจ พลางเรียกเสียงดังขึ้น
“โจ โจตื่นสิ หรือว่าดวงกินผัว มันจะออกฤทธิ์เมื่อเราเป็นผัวเมียกันจริงๆ โจ ไม่นะ โจ”
ทันใดนั้น โจก็ลืมตาขึ้น
“โจ คุณเป็นอะไรรึเปล่า ฉันตกใจหมดเลย นึกว่าคุณตายเพราะดวงกินผัวของฉันซะอีก”
โจหัวเราะ “สงสัยคงจะเหนื่อยไปหน่อย คุณคงไม่รู้หรอก เมื่อคืนผมเกือบตายในหน้าที่แล้วจะบอกให้”
“บ้า”
วนิษาทุบเปรี้ยงเข้าให้ โจตลบผ้าห่มคลุมร่างทั้งสอง เห็นผ้าห่มเคลื่อนไหวไปมา พร้อมกับเสียงหัวเราะ ที่ดังเล็ดลอดออกมา
จบบริบูรณ์...