รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 22
ขณะที่โจกับวนิษายังหลับอยู่คากองข้อมูล เสียงมือถือของวนิษาก็ดังขึ้น วนิษางัวเงียตื่นขึ้นมารับสาย โจลืมตาตื่นตาม
“สวัสดีค่ะคุณปฐม อะไรนะ ค่ะ ค่ะ”
วนิษาวางสาย หน้าตาไม่สู้ดี
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เสี่ยเพ้งเสียแล้วค่ะ”
โจถอนหายใจ
“กลุ้มใจเรื่องฉายาโจตัวซวยเหรอ”
“เปล่าครับ กลุ้มใจเรื่องลูกเสี่ยเพ้งมากกว่า น่าสงสาร”
วนิษาเงียบไป สีหน้าหมองลง เพราะเธอเองก็เห็นด้วยกับโจ
“ตอนแรกก็สงสัยว่าแม่เลี้ยงชั้นหายไปไหน ที่แท้ก็ไปช่วยพี่โจสืบคดีตัวเอง ว่าแต่พี่โจมีอะไรให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ”
ปลายฝนหันมาถามป๋อง ขณะที่ทั้งคู่เดินเล่นอยู่ในย่านการค้าของวัยรุ่น
“ถ้ามีคงบอกเธอแล้วล่ะ ตอนนี้เขาสองคนคงอยากมีสมาธิ หาร่องรอยหรือเบาะแสให้เจอก่อน”
ตี๋อ้วนที่นั่งอยู่แถวนั้น เห็นปลายฝนกับป๋องเดินมา ก็เดินมาหา
“หวัดดีปลายฝน หวัดดีป๋อง”
“นี่ แกจะปีนเกลียวปลายฝนน่ะฉันเข้าใจ แต่แกไม่ได้พิศวาสฉัน เพราะฉะนั้นแกควรจะเรียกฉันว่าพี่นะ”
ตี๋อ้วนหน้าหมอง “ผมไม่มีอารมณ์มาเถียงกับคุณเรื่องไร้สาระหรอกนะ”
“มีอะไรเหรอตี๋อ้วน”
“ป๊าผมเพิ่งเสีย”
ปลายฝนกับป๋องอึ้ง
“ผมมาบอกลาคุณ จากนี้ไปผมจะไปฝึกฝีมือ ผมจะล้างแค้นให้ป๊า”
“ล้างแค้นเนี่ยนะ ป๊าแกโดนคนอื่นฆ่าเหรอ”
“ป๊าผมโดนฟ้าผ่าตาย แต่เพราะมีคนอื่นเป็นตัวต้นเหตุ ถ้าไม่มีมันป๊าก็คงไม่ตาย”
ป๋องชักเอะใจ “ใครฆ่าป๊าแก”
“มันชื่อโจ เป็นนักสืบอิสระ ฉายาโจตัวซวย”
ปลายฝนยิ่งอึ้งหนัก “เธอเป็นลูกเสี่ยเพ้งเหรอ”
จากนั้นทั้งป๋อง ปลายฝน และตี๋อ้วน ก็มานั่งคุยกันในร้านไอศกรีม
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ คุณปลายฝนเป็นลูกของเสี่ยป๊อก ส่วนผมเป็นลูกเสี่ยเพ้ง เราสองครอบครัวเป็นศัตรูกันมาตั้งนาน เราสองคนนี่เหมือนโรมิโอกับจูเลียตเลยนะครับ”
ป๋องมองตี๋อ้วนอย่างหมั่นไส้
“มากไป ปลายฝนเป็นจูเลียตน่ะใช่ แต่แกน่ะทั้งเตี้ยทั้งอ้วน เหมือนโรมิโอตรงไหน ถ้าบอกโรตีโอ่งน่ะจะไม่เถียงเลย”
“นี่ป๋อง คนเพิ่งเสียพ่อไป เห็นใจเขาหน่อยได้ไหม”
“ขอบคุณมากครับปลายฝน มีเพียงคุณเท่านั้นที่เข้าใจผม” พลางหันมาทางป๋อง “งานนี้คุณเป็นแค่คนนอก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องด้วย อย่ายุ่งครับ”
“ถึงพ่อเธอกับพ่อฉันจะเคยเป็นศัตรูกัน แต่ฉันก็เสียใจด้วยนะ เสียใจจริงๆ แต่ฉันไม่เห็นด้วยนะเรื่องแก้แค้นเนี่ย”
“ผมต้องแก้แค้นให้ป๊าครับ”
“ตัวแค่เนี้ย แกจะทำอะไรได้วะ วิดพื้นได้ถึงสิบทีรึเปล่ายังไม่รู้เลย โธ่ จะแก้แค้น”
ตี๋อ้วนจ้องหน้าป๋อง “คนจะแก้แค้นต้องมีกล้ามด้วยเหรอ ผมว่าคุณเงียบไว้ดีกว่า ไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าโง่”
“ฉันว่าเธอเงียบๆเหอะป๋อง”
ปลายฝนหันมาดุ จนป๋องยอมเงียบ
“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ เราเดินไปคุยกันไปดีกว่า” พลางหันมาอกกับป๋อง “นายรออยู่ตรงนี้แหละ”
ปลายฝนกับตี๋อ้วนเดินไปคุยไปตามทาง
“เธอก็รู้ใช่มั้ยว่าพ่อฉันก็เพิ่งตายเมื่อไม่นานมานี้ และฉันก็เพิ่งรู้ว่าพ่อเธอก็มีส่วนที่ทำให้พ่อฉันตาย”
“จริงเหรอ ป๊าเนี่ยนะ” ตี๋อ้วนตกใจแว่บหนึ่ง “แต่จริงๆก็ไม่แปลก พ่อผมน่ะโหดมาก เอ่อคุณปลายฝนจะฆ่าผมล้างแค้นให้พ่อคุณรึเปล่า”
“ไม่ถึงจะฆ่าล้างแค้นหรอก แต่ฉันอยากทำให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เจ็บเหมือนที่ฉันเจ็บ”
“ผมเข้าใจครับ ป๊าผมสอนว่าใครทำเราเจ็บเราต้องทำให้มันเจ็บกว่า”
“แต่ตอนนี้ฉันเลิกคิดอย่างนั้นแล้วล่ะ” สีหน้าปลายฝนจริงจัง
“ทำไมล่ะครับ”
“เธอต้องมองเรื่องนี้จากมุมมองของพ่อเธอ เขารักเธอเขาจึงไม่ต้องการให้เธอแก้แค้น เพราะเขารู้จักความแค้นดีที่สุด เขารู้ว่าถ้าเธอแค้น ความแค้นจะทำร้ายเธอ”
“แต่ว่าจะให้ผมอยู่เฉยๆเหรอครับ”
“พ่อเธอพูดเรื่องนี้ก่อนตาย แสดงว่าเขาเห็นว่ามันสำคัญมาก ถ้าเธอแก้แค้นแปลว่าเธอไม่ฟังเขา และจะทำให้เขาเสียใจด้วย”
ตี๋อ้วนเงียบไป ท่าทางสับสนและขัดแย้งในตัวเองอย่างหนัก
“ผมเชื่อคุณ”
“หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่มีความสุขนะ” ปลายฝนหันมารำพึงกับป๋อง หลังจากที่ตี๋อ้วนเดินแยกไปแล้ว
“ยังไงเขาก็ยังมีแม่อีกคนน่ะ”
เมียเสี่ยเพ้งในชุดดำยืนกระวนกระวายอยู่หน้าบ้านด้วยความเป็นห่วง จนเห็นตี๋อ้วนเดินมา ก็รีบวิ่งไปหา
“อาตี๋ ไปไหนมาเนี่ย หา”
“ม้า อั๊วจะไม่แก้แค้นแล้ว”
“อะไรทำให้อาตี๋ของม้าเปลี่ยนใจ”
“ป๊าไง ป๊าบอกไม่ให้อั๊วคิดแก้แค้น”
เมียเสี่ยเพ้งอึ้งไป ก่อนที่น้ำจะตาทะลัก พลางโผผเข้ากอดตี๋อ้วน แล้วยิ้มทั้งน้ำตา
“ต่อไปนี้อั๊วจะตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นคนดี อั๊วจะไม่เป็นแบบป๊า”
“ดีแล้ว ถูกแล้ว ดีแล้ว”
ตี๋อ้วนกอดแม่แน่น
ป๋องมองปลายฝนด้วยท่าทางปลาบปลื้ม
“ผมต้องขอบคุณปลายฝนด้วยนะเรื่องตี๋อ้วน ถ้าไม่ได้เธอช่วยพูดล่ะก็ ไอ้ตี๋อ้วนมันอาจจะไปจ้างมือปืนมายิงพี่โจก็ได้ เธอเก่งมาก จิตวิทยาเยี่ยม ขอคารวะ”
ปลายฝนหันมายิ้มหวานให้ป๋อง
“ข้อแรกนะป๋อง ฉันไม่ได้เก่งอะไร สิ่งที่ฉันพูดกับตี๋อ้วนน่ะ ฉันพูดตามพี่โจ”
“อ้าว งั้นเหรอ”
“ใช่ วันที่เขาอุตส่าห์วิ่งเท้าเปล่าตามฉันไปน่ะ เขามาเพื่อพูดเรื่องนี้กับฉัน”
ปลายฝนหยุดไปนิดหนึ่ง ท่าทางจริงจังมากขึ้น
“แล้วก็เรื่องที่สอง ฉันไม่ใช่แฟนนาย”
ป๋องตกใจ “อะไรนะ”
“ใครบอกว่าฉันเป็นแฟนนาย”
“ก็วันก่อน เธอไม่ไปเสม็ดกับพี่เอ็ม แล้วก็มากินบะหมี่ที่บ้านฉัน แล้วไปดูหนังกัน แล้วก็นู่นนี่ นั่นอีก”
“ฉันเคยจูบเธอรึเปล่า”
ป๋องส่ายหน้า
“เคยบอกว่ารักเธอมั้ย”
ป๋องส่ายหน้าอีก
“แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นแฟนเธอได้ไง”
“แล้วเราเป็นอะไรกันล่ะ”
ปลายฝนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “เพื่อนสนิท”
ป๋องหน้าจ๋อย
โจนั่งเพ่งดูข้อมูลซ้ำไปซ้ำมา ด้วยท่าทางเคร่งเครียด วนิษามองด้วยความเป็นห่วง
“จะพักหน่อยมั้ย”
“ไม่ครับ”
“คุณอยู่ท่านี้มาตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
“อีกนิดเดียว เรากำลังจะได้อะไรบางอย่างแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น”
วนิษาเงียบไปครู่หนึ่ง “โจ ฉันหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“หาอะไรกิน กินนอกบ้านเหรอ ในเวลาอย่างนี้เนี่ยนะ”
โจมองวนิษาอย่างแปลกใจ
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 22 (ต่อ)
จากนั้นทั้งคู่ก็มานั่งทานอาหารในร้านหรู บรรยากาศดี
“ทำไมเราไม่กินอะไรง่ายๆที่บ้านผม ของกินคุณก็ซื้อมาเพียบ ถึงเวลาดันชวนผมมานั่งร้านแบบนี้
ผมเสียดายเวลาครับ”
วนิษามองหน้าโจ
“ตอนแรกฉันก็ตั้งใจแบบนั้น แต่เห็นคุณเครียดมาตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดอะไรไม่ออก เลยอยากพามาเปลี่ยนบรรยากาศจะได้รู้สึกผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง คิดอะไรได้เข้าเป้ามากขึ้นไง”
โจถอนหายใจ“ผมเหลือเวลาอีกแค่สองวัน”
“แล้วอีกอย่าง” วนิษาหน้าเศร้า “ถ้าสุดท้ายแล้ว คุณยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ฉันกับคุณคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีก ฉันก็อยากใช้เวลาดีๆกับคุณให้มากที่สุด”
“คิดแบบนั้นก็เหมือนกับจะยอมแพ้”
“ฉันไม่คิดถึงเรื่องแพ้ ชนะ แต่ฉันอยากมีความทรงจำดีๆ ขอแค่หนึ่งชั่วโมงก็พอ ลืมเรื่องงานซะ ลืมเรื่องคดีฆาตกรรม ลืมเรื่องหลักฐาน ปล่อยมันไปสักหนึ่งชัวโมง หนึ่งชั่วโมงที่มีแค่คุณกับฉัน ได้ไหม”
“แต่ถ้าเรายอมเสียเวลาตอนนี้ เราอาจจะมีเวลามากกว่านั้นอีกหลายเท่าในอนาคตข้างหน้า”
วนิษามองหน้าโจ “ฉันไม่เอาเวลามาเล่นพนันหรอกนะ”
“ผมก็ไม่เอาเวลามาผลาญทิ้งแบบไร้ค่าแบบนี้เหมือนกัน”
“คุณคิดว่าเวลาดีๆอย่างนี้มันไร้ค่าเหรอ”
โจไม่ตอบ พลางลุกเดินออกไป วนิษามองตาม แล้วก็ถอนใจ นั่งหลับตาเหมือนพยายามทำใจ สักพักก็มีเสียงไวโอลินดังขึ้น วนิษาตกใจ ลืมตา เห็นนักไวโอลินกำลังบรรเลงอยู่ข้างๆ ในขณะที่โจยืนอยู่ตรงหน้า พลางโค้งให้ แล้วยื่นมือมา วนิษามองโจ แล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนที่จะจับมือโจ ลุกออกไปเต้นรำกัน
“ผมอยากบอกคุณว่า นี่เป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม”
“ฉันนึกว่าคุณจะหนีกลับไปทำงานต่อซะอีก”
โจสบตาวนิษา “สมองสั่งให้ผมทำแบบนั้น แต่หัวใจสั่งให้ผมทำแบบนี้”
“ขอบคุณที่ยอมฟังหัวใจมากกว่าสมอง”
“ที่หัวใจของผมเป็นแบบนี้ก็เพราะมันทำตามความต้องการของหัวใจคุณ”
“งั้นถ้าหัวใจของฉันสั่งอย่างอื่นด้วยล่ะ”
“สั่งอะไรเหรอครับ”
วนิษากระซิบข้างๆหูโจ โจยิ้มเล็กน้อย พลางโอบกอดเธอแน่นขึ้น แล้วก้มลงจูบ วนิษาจูบตอบ
หลังจากนั้นโจก็ขับรถขึ้นมาจอดบนลานจอดดาดฟ้า แล้วนั่งมองดวงดาวบนท้องฟ้าคู่กับวนิษา
“ทุกครั้งที่ผมมองดาวบนฟ้า ผมอดคิดไม่ได้ว่า”
โจยังพูดไม่ทันจบ วนิษาก็พูดแทรกขึ้นมา
“ดาวดวงไหนกันนะ ที่ทำให้ชีวิตฉันต้องเป็นแบบนี้”
ทั้งสองหันมองหน้ากัน ด้วยความแปลกใจ
“คุณก็คิดเหมือนที่ผมคิดเหรอ”
“ไหนคุณบอกคุณไม่เชื่อเรื่องดวงไง”
“ผมพูดผิด ถ้าจะให้ถูก ต้องบอกว่าพยายามจะไม่เชื่อ ผมพยายามหักล้างมัน”
วนิษาหน้าสลด
“ผิดกับฉันเลย ฉันเชื่อ ทั้งเชื่อแล้วก็กลัว ฉันเล่นไปตามเกมส์ของดวงชะตา มีคนบอกว่าทำบุญแล้วแก้ดวงอาถรรพ์ได้ ฉันถึงชอบทำบุญไงล่ะ”
“หลวงพ่อพูดบ่อยๆว่าทำบุญอย่าหวังผล”
“แต่ฉันหวัง หวังว่าจะดิ้นหลุดจากดวงร้ายๆไปได้ ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันคงไม่ลังเลเลยที่จะไปเมืองจีน
กับระริน ไปให้ซินแสแก้ดวงให้”
“ล่าสุดเขาบอกว่าแค่เปลี่ยนชื่อก็ได้แล้ว”
วนิษามองหน้าโจ พลางย้อนถาม “แล้วทำไมคุณไม่เปลี่ยนชื่อล่ะ”
“เพราะผมไม่ยอมรับว่าผมเป็นตัวซวย”
“ทำไมล่ะโจ ตอนนั้นคุณก็รักระรินมากไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นระรินฉันก็คงน้อยใจ แค่นี้ก็ทำเพื่อผู้หญิงที่รักไม่ได้”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง
“ผมไม่เคยพูดกับใครเรื่องนี้ แต่คืนนี้ผมจะบอกคุณ ถ้าโลกนี้มีเรื่องดวงชะตาจริงๆ
ถ้าผมเป็นโจตัวซวยจริงๆ แปลว่าผมคือคนที่ทำให้พ่อหมดตัวแล้วก็ติดคุก ทำให้แม่ต้องหนีคดีไปมีสามีใหม่
ที่เมืองนอก ยังไม่พอ ยังทำให้ญาติๆที่เมตตารับผมไปเลี้ยงต้องเคราะห์ร้าย บางคนไฟไหม้บ้าน บางคนประสบอุบัติเหตุ ถ้าผมเป็นตัวซวยแบบนั้นจริงๆ สู้ไม่เกิดมาเลยยังจะดีกว่า แต่ผมเกิดมาแล้ว ผมย้ำบอกตัวเองทุกวัน
ว่าเรื่องดวงไม่ใช่เรื่องจริง ผมไม่ใช่ลูกทรพีที่ทำให้ชีวิตพ่อแม่ต้องพังพินาศ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผม ไม่ใช่โจตัวซวย”
โจพูดไป น้ำตาก็คลอหน่วย วนิษาดึงโจเข้ามากอดปลอบโยนจนโจรู้สึกดีขึ้น
“จนถึงวันนี้ ผมก็ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ว่ามันไม่จริง ผมได้แต่ยึดคำสอนของหลวงพ่อว่าพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องนี้ พอผมถามลึกลงไป ท่านก็ไม่ตอบ บอกผมต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง”
“ฉันอยากเจอหลวงพ่อท่านบ้าง ว่างๆพาฉันไปกราบท่านบ้างนะ”
โจมองวนิษาที่กอดเขาอยู่ วนิษาเขินจะปล่อยแต่โจกอดวนิษาไว้
“เกินชั่วโมงมาตั้งนานแล้ว เรากลับเถอะ”
โจอิดออด แต่ที่สุดก็ยอมปล่อยวนิษา
โจขับรถมาจอดหน้าบ้าน วนิษาเปิดประตูเดินลงมา โจเดินมากุมมือเธอไว้ พลางมองจนวนิษาเขิน
“ปล่อยได้แล้ว”
แต่โจเหมือนอยู่ในภวังค์ จนวนิษาต้องเรียกซ้ำ ถึงรู้สึกตัว
“คุณพูดถูก คุณพาผมออกมาข้างนอก บอกว่าให้ผ่อนคลายเผื่อจะคิดออก ผมคิดออกแล้ว”
“เรื่องคดีน่ะเหรอ คุณคิดอะไรออก”
“มือ”
วนิษามองหน้าโจงงๆ
โจเดินหารูปถ่ายบางอย่าง ปากก็พูดไปด้วย ขณะที่วนิษาถือรูปถ่ายงานแต่งของเธอกับ ม.ร.ว.
จันทร์กระจ่าง เห็นพจน์ยืนข้างพี่ชายซูซี่
“สิ่งที่เราต้องหาคือจุดเชื่อมโยงของคดีคุณชายแจ้กับคดีสถาพรเจ้านายซูซี่ ถ้าเราหาเจอ มันจะบอกเราว่าพี่ชายของซูซี่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ นี่ไงครับ จุดเชื่อมโยง”
โจหยิบรูปสองรูปให้วนิษาดู เป็นรูปคุณชายแจ้ ขณะถูกเจ้าหน้าที่เข็นขึ้นเตียงพาไปโรงพยาบาล กับรูปศพของสถาพรในสถานที่เกิดเหตุ
“ดูที่มือของทั้งสองคนสิครับ”
วนิษาเพ่งมอง ที่มือขวาของทั้งสอง มีรอยดำๆที่ฝ่ามือ
“มีรอยดำเหมือนเปื้อนอะไรสักอย่าง แต่มันไม่ค่อยชัด”
“ครับ ถ้าเรามองเผินๆมันอาจเป็นรอยเปื้อนอะไรก็ได้ แต่ในกรณีนี้ ไม่ธรรมดาแน่ๆ มันผิดปกติเกินไปที่คนสองคนที่ตายแบบเดียวกันจะมีรอยลักษณะนี้เหมือนๆกัน”
“มันคือรอยอะไรคะ” วนิษาย้อนถาม
“ถ้าถามผม ผมคงต้องเดา ผมว่าไปถามคนที่เขารู้จริงดีกว่า”
“ใครคะ”
“พี่ชายซูซี่ไงครับ”
โจขับรถมาตามทาง โดยมีวนิษานั่งข้างๆ ทั้งคู่นั่งคุยกันมาตลอดทาง
“คุณพอรู้มั้ยว่าคุณพจน์แฟนคุณหญิงจุ๋มเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไง”
“คุณหญิงจุ๋มเป็นแม่งานเรื่องนี้ เขาเป็นคนติดต่อกับทางโรงแรม”
“ผมคิดว่า พี่ชายซูซี่ต้องรู้เห็นเรื่องการตายของคุณชายแจ้แน่ๆ แปลว่า”
วนิษาพูดต่อทันที
“คุณหญิงจุ๋มต้องรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย แต่คุณหญิงจุ๋มรักคุณชายแจ้มากนะคะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะมีส่วนในการตายของน้องชายตัวเอง”
โจถอนหายใจ
“อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าหม่อมจันน่ะมอบกิจการทรัพย์สินส่วนใหญ่ของครอบครัวให้คุณชายแจ้ดูแล คุณหญิงจุ๋มอาจจะไม่พอใจเรื่องนี้ก็ได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเขาจะจ้างคุณสืบคดีนี้ทำไม”
โจนิ่งไป แล้วก็เห็นจริงตามที่วนิษาพูด
“หรือว่าคุณหญิงจุ๋มไม่รู้เรื่องนี้ ทั้งหมดเป็นฝีมือของคุณพจน์”
“เขาจะฆ่าคุณชายแจ้ทำไม ในเมื่อเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการตาย มรดกทั้งหมดตกอยู่กับฉัน”
“บางที”
โจหันมามองวนิษา ด้วยสายตาแปลกๆ จนวนิษาสงสัย
“อะไรเหรอ”
“ผมไม่อยากพูด รอให้เรื่องราวมันชัดเจนกว่านี้ก่อนดีกว่า”
จากนั้นทั้งคู่ก็มาที่ร้านส้มตำ ซูซี่เห็นก็วิ่งอ้าแขนมาแต่ไกล
“อร๊ายโจ สุดเลิฟ”
ซูซี่จะเข้ามากอดโจ พอเห็นวนิษาก็เบรกเอี๊ยด
“อุ๊ย พาชะนีมาด้วยเหรอคะ”
วนิษาหุบยิ้มทันที
“ซูซี่เขาล้อเล่นน่ะครับ”
ซูซี่ยิ้มรับ “ขำๆค่า ไม่โกรธกันนะตะเอง ทีฉันน่ะอยากให้คนเรียกชะนีมั่ง ไม่เห็นมีใครเรียก
เรียกแต่คิงคองมั่ง กอริลล่ามั่ง”
“ไม่โกรธหรอกค่ะ”
ซูซี่ยิ้มให้วนิษา “คุณเป็นเพื่อนโจก็เหมือนเป็นเพื่อนฉันนั่นแหละ”
จากนั้นโจก็แนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน ขณะที่ซูซี่ได้ยินชื่อวนิษาก็ตกใจ แต่พยายามรีบเก็บอาการ
“กินอะไรกันมารึยังคะ ส้มตำมั้ย เอาตำไทยหรือตำปูหรือตำปลาร้าดี”
“ยังไงก็ได้”
ซูซี่เดินหายเข้าไปหลังร้าน
“เขาบอกมานานแล้วว่าเขาเคยประกวดส้มตำได้เหรียญทอง แต่ผมยังไม่เคยได้กินฝีมือเขา
จริงๆซักที”
“ฉันเอาตำไทยแล้วกันค่ะ ระดับเหรียญทองนี่จะแค่ไหนนะ”
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 22 (ต่อ)
ซูซี่เข้ามาหลังร้าน ขณะที่ธงธรง พี่ชายกำลังนั่งสับมะละกออยู่สวมหูฟัง ฟังวิทยุไปด้วย ซูซี่เข้ามาดึงหูฟังออกทันที
“โจมา จำคนชื่อโจได้ใช่มั้ย”
“จำได้ คนที่ช่วยแกหาหลักฐานว่าสถาพรกินยานอนหลับ”
ซูซี่พยักหน้า “ตอนนี้เขาอยู่หน้าร้าน พาผู้หญิงมาด้วยคนนึง บอกว่าชื่อวนิษา”
“วนิษา เมียคุณชายแจ้น่ะเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเห็นชื่อเดียวกันฉันก็ตกใจ รีบมาบอกพี่นี่แหละ”
ธงธงแอบมองออกไปหน้าร้าน เห็นวนิษาอยู่กับโจ ก็ตกใจ
“ใช่ วนิษาคนนี้แหละ”
“แล้วเอาไงดีล่ะ”
“มันอาจจะแค่แวะมาเยี่ยมแกหรือแวะมากินสิ้มตำก็ได้ แกออกไปคุยกับมัน ทำตัวปกติ ฉันจะแอบฟัง ถ้ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล ฉันจะหนีออกไปทางหลังร้าน”
ซูซี่พยักหน้า “ตกลง เอางั้นนะ”
ซูซี่เดินออกมา ยืนรอจดออเดอร์
“ว่าไงจ๊ะ จะหม่ำอะไรกันมั่ง”
โจยิ้มขำ “บอกว่าไม่ใช่ลูกค้า ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ มานั่งลงคุยกันก่อนสิ”
โจจับซูซี่นั่งลงข้างๆ
“วันนี้ผมมีเรื่องอยากมาคุยกับคุณ”
“เรื่องอะไรเหรอ”
วนิษายื่นรูปถ่ายงานแต่งของเธอกับคุณชายแจ้ให้ซูซี่ดู ในภาพเห็นพจน์ยืนอยู่กับพี่ชายซูซี่
“นี่พี่ชายคุณรึเปล่าคะ”
ซูซี่หน้าซีด ตกใจ
ธงธงแอบดูอยู่ มองออกไป พอเห็นรูปในมือวนิษาก็ตกใจเช่นกัน
“มันมาถูกทางจนได้”
ธงธงสบถเบาๆ แล้วรีบพรวดออกมาทางหลังร้าน จะออกประตูหลัง แต่มีลังน้ำอัดลมกองตั้งสูงเกะกะ เมื่อเปิดประตูได้ ก็พยายามเบียดตัวออกไป ลังน้ำอัดลมเริ่มโงนเงน
ขณะที่ซูซี่พยายามแถอยู่
“อุ๊ยต๊าย หน้าเหมือนพี่ชายฉันจริงๆด้วยนะคะเนี่ย แต่ เอ งานดูมันหรูไปรึเปล่าคะ พี่ชายฉันคงไม่มีโอกาสไปเสนอหน้าในงานหรูๆแบบนี้หรอกค่ะ”
โจมองซูซี่ยิ้มๆ เริ่มจะจับได้แล้วว่าซูซี่ดูผิดปกติ
“ทำไมล่ะครับ ปกติเขาทำงานอะไรเหรอ”
“เป็นช่างไฟฟ้าน่ะค่ะ เอ๊ย ช่าง เอ่อ ช่างประปาน่ะค่ะ ฉันจำผิดน่ะค่ะ”
“สรุปว่าใช่พี่ชายคุณรึเปล่าคะ” วนิษาถามย้ำ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่คนหน้าเหมือน”
“แล้วเราจะติดต่อพี่ชายคุณได้ยังไงคะ”
“พวกคุณมีอะไรกับเขาเหรอ”
โจยังไม่ทันตอบ ก็มีเสียงกองลังล้มโครม ซูซี่หน้าซีดหนัก แล้วก็รีบแก้ตัว
“แมวมันเล่นกันน่ะค่ะ”
โจลุกพรวดเข้าไปหลังร้านทันที เห็นประตูหลังเปิดอ้า ธงธงวิ่งหน้าตั้งหนีไป
“เฮ้ย รอเดี๋ยว อย่าหนีครับ ผมไม่ทำอะไร แค่จะคุยด้วย”
โจจะรีบตามไป พลางพยายามเบียดแทรกพยายามผ่านประตูหลังออกไป ซูซี่รีบเข้ามาจับแขน พยายามดึงกลับเข้ามา
“โจ จะรีบไปไหน กินส้มตำก่อนสิ ครั้งที่แล้วก็ไม่ได้กินนะ จะเบี้ยวอีกแล้วเหรอ”
“ซูซี่ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ”
โจสู้แรงซูซี่ไม่ได้ ดิ้นไม่หลุด “โอ๊ย ไอ้กระเทยควาย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“หา ด่าฉันกระเทยควายเหรอ ดี งั้นฉันจะดึงเข้ามากอดจูบให้หนำใจเลย”
ซูซี่ออกแรงกระชากแขนโจเต็มเหนี่ยว โจร้องลั่น วนิษาวิ่งเข้ามาแกะมือซูซี่ให้ปล่อย แต่ก็สู้แรงซูซี่ไม่ได้ ก็เลยหันไปหยิบขวดน้ำยาล้างจานบีบใส่มือซูซี่ โจดิ้นจนหลุด มุดออกไปจนได้
โจวิ่งตามพี่ชายซูซี่ไป ซูซี่หันมาหาวนิษา
“ทีนี้ก็เหลือแค่ฉันกับคุณสองคนแล้วสินะที่รัก”
ซูซี่ยิ้มเหี้ยม เดินเข้าหาวนิษาช้าๆ
โจวิ่งเข้ามาตามตรอกแล็กๆ เห็นธงธงวิ่งอยู่ข้างหน้า ก็รีบวิ่งไล่ตามไป พลางตะโกนให้หยุด แต่ธงธงไม่ฟังเสียง
“ผมเป็นตำรวจ ช่วยจับคนร้ายด้วยครับ”
โจร้องตะโกนให้คนช่วย แต่ชาวบ้านยังยืนเฉย
“คนร้ายมีค่าหัว 1 ล้านบาทนะครับ จับก่อนได้ก่อน”
ชาวบ้านพากันวิ่งไล่จับ ธงธงหันมาเห็นชาวบ้านไล่กวดก็ตกใจ รีบวิ่งสุดชีวิต โจกัดฟันวิ่งไล่ตามไปขณะที่เริ่มเจ็บแผลที่เท้า
พวกชาวบ้านไล่กวดจะจับธงธงได้แล้ว แต่ธงธงโบกมือเรียกแท็กซี่ ขึ้นหนีไปได้อย่างฉิวเฉียด
โจเดินกลับมาที่ร้านส้มตำ กำลังเบียดประตูเข้ามาทางเดิม ได้ยินเสียงทุบประตูดังลั่น สลับกับเสียง
วนิษากรีดร้อง
“ว้าย ช่วยด้วย อย่านะ ช่วยด้วย อย่านะ อย่า”
โจตกใจ รีบเบียดผ่านช่องประตูเข้าไป
“คุณวนิ ผมมาแล้ว ซูซี่ อย่าทำอะไรคุณวนินะ ซูซี่ อย่าทำอะไรเขา เขาเป็นเมียฉัน ถ้าแกแตะเขาล่ะก็ ฉันสาบาน จะฆ่าแกให้ตายอย่างทรมานที่สุด อย่าทำอะไรเขานะ”
โจแทรกช่องประตูหลุดเข้ามาในบ้านจนได้ รีบพรวดขึ้นบันไดไปชั้นสอง แล้วก็งงๆ เมื่อเห็นวนิษายืนทุบประตูห้องอยู่
“เกิดอะไรขึ้น”
วนิษาหน้าซีด
“ซูซี่ บอกทุกอย่างจบลงแล้ว เขาฝากฉันบอกคุณว่าลาก่อนแล้วก็วิ่งเข้าไปในห้องแล้วล็อก ฉันว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตายแน่ๆเลย คุณรีบเข้าไปช่วยเขาเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน”
โจพยักหน้า ถอยไปตั้งหลัก
“คุณหลีกไป ผมจะพังประตู”
โจจะวิ่งชนประตู วนิษานึกอะไรได้ รีบยกมือห้าม
“เดี๋ยว เมื่อกี้คุณบอกฉันเป็นเมียคุณเหรอ”
“นึกว่าอะไร ผมนึกว่าซูซี่จะทำร้ายคุณ ก็พูดไปงั้นแหละ”
“เรื่องแบบนี้พูดเล่นกันได้ด้วยเหรอ”
โจหันมามองหน้าวนิษา“คุณจะอะไรกันนักกันหนา”
“ลืมแล้วเหรอไงว่าฉันเป็นผู้หญิงกินผัว คุณอาจจะเป็นอะไรไปก็ได้”
“คุณห่วงผมเหรอ”
พลันเสียงซูซี่ก็ตะโกนออกมาจากในห้อง
“เฮ้ย จะเข้ามาห้ามมั้ย หรือจะจีบกัน ฉันจะได้ฆ่าตัวตายไปซะ”
“เออ เข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”
วนิษารีบหลบออกไป โจวิ่งเอาไหล่กระแทกประตูโครม แต่ไม่เป็นผล โจทรุด พลางกุมต้นแขน ร้องโอดโอย
“อะไรเนี่ย ไม่ได้เรื่องเลย เอาใหม่เร็วเข้า เดี๋ยวไม่ทัน”
โจถอยมาใหม่ แล้วกัดฟันวิ่งกระแทกประตูอีกครั้ง ประตูหลุดออกจากบานพับ กระเด็นออกไป
โจกล้ำกลืนความเจ็บปวด รีบเข้าไปในห้องกับวนิษา เห็นซูซี่กำลังพยายามกรอกน้ำยาล้างห้องน้ำเข้าปาก
ก็วิ่งเข้าไปหา
“แย่งขวดน้ำยาออกมาเลยโจ”
โจเข้าไปเตะซูซี่ป้าบ ทั้งวนิษากับซูซี่งง ขวดน้ำยายังอยู่ในมือซูซี่
“ฉันบอกให้แย่งขวดน้ำยามา แล้วคุณไปเตะเขาทำไม”
“นั่นดิ เตะฉันทำไม”
โจมองจ้องหน้าซูซี่
“เตะสิวะ ผมอุตส่าห์ช่วยคุณ เงินทองก็ไม่คิด แล้วคุณทำอย่างงี้กับผมเหรอ รู้ไหมว่าคดีนี้มันสำคัญกับผมแค่ไหน คนที่ให้คำตอบได้คือพี่ชายคุณ แล้วคุณดันช่วยให้เขาหนีไปได้ซะงั้น ไม่เตะคุณแล้วเตะใคร”
ซูซี่หน้าเศร้า
“เออ เตะฉันน่ะถูกแล้ว เตะอีกสิ แต่ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ คุณช่วยฉันก็จริง แต่พี่ชายฉันก็ช่วยฉันเหมือนกัน ช่วยมากกว่าด้วย”
“ผมรู้แล้ว เขาช่วยคุณฆ่าสถาพรใช่มั้ย”
ซูซี่ตะลึง “ไม่ใช่นะ คือว่า”
“พอเหอะ หมดเวลาโกหกแล้ว”
ซูซี่ร้องไห้โฮ วนิษารีบแย่งขวดน้ำยามา
“ตกลงเรื่องมันเป็นไงมาไงเนี่ย”
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 22 (ต่อ)
“ตอนนี้ฉันกำลังคิดแผนฆ่าวนิษาในวันแต่งงาน แต่ยังหาวิธีเหมาะๆไม่ได้” พจน์เอ่ยกับภาคย์ที่คาราโอเกะ ที่ยังมีสภาพยังเละเทะจากเมื่อคืน เพราะพนักงานยังไม่ได้ทำความสะอาด
“ที่ผ่านมาพี่ใช้วิธีไหนล่ะครับ”
พจน์มองภาคย์ สายตาไม่ไว้ใจ
“เอาเป็นว่าฉันจะไม่ใช้วิธีเดิมก็แล้วกัน”
“พี่ไม่ไว้ใจผมใช่ไหม คุยเรื่องนี้ทีไรพี่ปิดปากเงียบทุกที”
พจน์ส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากพูด”
ทันใดนั้นประตูร้านก็เปิดออก พจน์กับภาคย์สะดุ้งหันไปมอง ธงธงโผล่เข้ามา เห็นพจน์ก็ยิ้มโล่งอก
“คุณพจน์อยู่นี่พอดี โชคดีจริงๆ”
พจน์หน้าเสีย “แกมาทำไมเนี่ย”
“เกิดเรื่องแล้วครับ”
ภาคย์จับตาดูพจน์กับธงธงตลอดเวลา
ขณะที่ซูซี่สารภาพเรื่องทั้งหมดให้โจกับวนิษาฟัง
“พี่ชายคุณช่วยคุณพจน์ฆ่าคุณชายแจ้ใช่ไหม”
“ใช่”
“แล้วเขาก็ใช้วิธีนั้นช่วยคุณฆ่าสถาพร”
“ใช่”
“เขาฆ่าคุณชายแจ้ทำไม ทำไมไม่เป็นฉัน” วนิษาอดสงสัยไม่ได้
“จริงๆ เขาจะฆ่าทั้งสองคนนั่นแหละ”
วนิษาตกใจ
“พี่ชายฉันเขาเล่าให้ฉันฟังหมดทุกอย่าง คุณพจน์วางแผนฆ่าพวกคุณสองคน ตั้งแต่เขารู้ว่าคุณสองคนจะแต่งงานกันแน่ๆ พอคิดแผนได้ เขาก็มาตามพี่ชายฉัน ตอนหนุ่มๆพวกเขาเคยอยู่แก๊งเดียวกันมาก่อน คุณพจน์เอารูปสเก็ตช์ให้พี่ฉันดู พี่ฉันทึ่งมาก มันเป็นรูปเค้กงานแต่งงานที่ซ่อนอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกไว้”
แล้วซูซี่ก็เริ่มต้นเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด
ในภาพสเก็ตช์มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งถือมีดผ่าเค้ก ภาพต่อมาเป็นภาพหนุ่มสาวตัดเค้ก คมมีดจมลงไปในเนื้อเค้กโดนอุปกรณ์อีเล็กโทรนิกส์ข้างใน มีลูกศรอธิบายการเดินทางของกระแสไฟฟ้าจากอุปกรณ์ผ่านมีดเข้าสู่ร่าง
ของหนุ่มสาวแล้วลงดิน
“ไอ้อุปกรณ์ตัวนี้พูดง่ายๆก็คือปืนช็อตไฟฟ้านั่นแหละ” พจน์อธิบายเพิ่มเติม
“อ๋อ แต่แทนที่จะปล่อยให้ไฟวิ่งระหว่างขั้ว มันจะวิ่งผ่านสื่อไปที่คน แล้วลงกราวด์”
พจน์พยักหน้าอย่างเหี้ยมเกรียม
“ใช่ ในเค้กแต่งงานจะมีช่องว่าง ลวดขึงตรงนี้ พอมีดตัดเค้กผ่านลงมาโดนลวด ไฟวิ่งผ่านมีดไปที่คนถือ ก็เรียบร้อย”
ธงธงดูรูปสเก็ตสักครู่หนึ่ง
“แต่ถ้าวิธีนี้มันอาจจะทิ้งรอยไหม้ที่ตัวคนได้นะครับ”
“ฉันรู้มาว่าคนที่โดนไฟช็อต ถ้าความต่างศักย์ต่ำ มันจะไม่มีรอยไหม้ที่ชัดเจนให้เห็น แต่จะทำให้
หัวใจเต้นริกแล้วก็ตาย ดูเผินๆก็เหมือนโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะนั่นแหละ ส่วนเรื่องกระแสไฟฟ้า”
ธงธงรีบพูดโดยไม่ต้องรอให้ถาม
“ซัก 100 มิลลิแอมป์ก็รอดยากแล้วครับ”
“งานนี้ฉันกะฆ่าสองคน ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว ตอนตัดเค้กมันถือมีดด้วยกันทั้งคู่ คิดว่าเป็นไปได้ไหม”
ธงธงไม่ตอบ ลูบคางครุ่นคิด แล้วพยักหน้าช้าๆ พจน์ยิ้มพอใจ
“มรดกจะได้ตกอยู่กับเมียฉัน แล้วค่อยหาทางฆ่ายัยเมียผู้สูงศักดิ์ของฉันอีกที แล้วเราจะรวยด้วยกัน”
ซูซี่มองวนิษา
“แต่แผนการนี้ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะวนิษาไม่เป็นอะไรเลย”
“แล้วไงต่อ พวกเขาทำลายหลักฐานยังไง” โจถามอย่างสนใจ
หลังจาก ม.ร. ว. จันทร์กระจ่าง ทรุดตัวลงไปที่พื้น วนิษารีบเข้าไปประคอง พร้อมๆ กับที่หน่วยกู้ภัยหามเปลเข้ามานำร่างไป ธงธงในชุดพนักงานโรงแรม ก็เข้ามาเข็นเค้กออกไปโดยไม่มีใครใส่ใจ
“หลังจากนั้นทั้งงานก็แตกตื่นวุ่นวาย พี่ชายฉันก็แอบเอาเค้กออกไปทำลายหลักฐานไม่เหลือให้ใครตรวจสอบ รอยไหม้ที่มือก็ไม่ชัดเจน ไม่มีใครคิดเรื่องไฟฟ้าช็อต คุณชายแจ้ดูเหมือนคนที่ตายด้วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้”
“แล้วทำไมฉันไม่ตาย” วนิษายังข้องใจ
“คุณลืมแล้วเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น คุณเป็นคนเล่าให้ผมฟังเอง”
วนิษางงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกได้
“ระริน”
วนิษานึกถึงตอนที่ระรินสาดไวน์มาเปื้อนรองเท้า จนเธอต้องเปลี่ยนรองเท้าเป็นส้นตึก
“รองเท้าที่คุณเปลี่ยนทำหน้าที่เป็นฉนวนกันไฟให้คุณ” โจอธิบาย
“กลายเป็นว่า ระรินเป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้ทางอ้อม”
“ใครเป็นคนจัดเตรียมชุดแต่งงานและรองเท้าให้คุณ”
“ฉันกับคุณชายแจ้ตัดชุดจากร้านเสื้อผ้าที่ของเพื่อนคุณหญิงจุ๋ม”
จากนั้นวนิษาก็ย้อนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านเสื้อผ้า เวลานั้น ม.ร.ว. จันทร์ธิดา ยังคงยิ้มแย้มเป็นปกติดี เข้ามาช่วยวนิษาลองเสื้อ แล้วหยิบรองเท้าส้นโลหะให้
“เธอเป็นคนสวย ใส่ชุดอะไรก็สวย”
วนิษายิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
คุณหญิงจุ๋มเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ลดเสียงลง
“วนิษา ฉันยอมรับว่าฉันไม่ถูกชะตากับเธอ แต่ถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะบอกว่าฉันรักชายแจ้มาก ถ้าเธอเป็นเมียที่ดีของเขา ฉันก็จะรักเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆของฉัน แต่ถ้าเธอทำให้เขาเสียใจ เธอจะเป็นศัตรูของฉัน เข้าใจไหม”
“ฉันว่าคุณหญิงจุ๋มอาจจะไม่ได้รู้เห็นเรื่องนี้ก็ได้”
วนิษาหันมาบอกกับโจ ขณะที่โจหันไปมองซูซี่
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ พี่ชายฉันไม่เคยพูดถึงหญิงจุ๋มหญิงจิ๋มอะไรให้ฟังเลย”
“เอาเถอะ เรื่องนี้ผมไปสืบต่อเองได้ แต่หลังจากงานแต่งงานของคุณชายแจ้กับวนิษา พี่ชายคุณก็ได้ความรู้มากพอ จนเอามาช่วยคุณฆ่าสถาพร”
ซูซี่ยิ้มเศร้าๆ
“ใช่ เขาดัดแปลงครก ต่อสายไฟที่ก้นครก วันนั้นฉันเปลี่ยนมาใช้สากทองเหลืองอันที่คุณเห็นนั่นแหละ แล้วทำทีเป็นจะสอนเขาตำส้มตำ ฉันใส่รองเท้าบู๊ตกันไฟดูด ส่วนเขาไม่ได้สวมรองเท้าอะไรเลย”
“ทำไมคุณต้องฆ่าเขาด้วย”
“เขาจะให้ฉันออก เพราะเขาไปได้แม่ครัวคนใหม่มา ได้เหรียญเงินแข่งประกวดส้มตำเวทีเดียวกับฉัน”
“คุณได้เหรียญทอง แล้วเขาจะเอาคนที่แพ้คุณมาทำไม” วนิษาย้อนถาม
“ใช่ ส้มตำมันแพ้ฉัน แต่ความเป็นผู้หญิงฉันแพ้มัน มันเป็นของจริง ส่วนฉันมันแค่ของเลียนแบบ”
“คุณแค้นสถาพร ก็เลยฆ่าสถาพรซะ ถึงอย่างนั้นตำรวจก็ยังมาสงสัยคุณว่าคุณวางยาเขา”
ซูซี่พยักหน้า
“ใช่ มันตลกมาก ถ้าตำรวจสืบไขคดีได้ว่าฉันเอาไฟซ็อตเขาตาย ยังจะดีซะกว่ามาหาว่าฉันวางยาเขา”
“แล้วเรื่องมรดก ทำไมสถาพรยกร้านนี้ให้คุณ” โจถามต่อทันที
“พี่ชายฉันไปให้คุณพจน์ช่วยทำมรดกปลอม งานถนัดของเขาเลย”
โจพยักหน้า “ผมเข้าใจหมดแล้ว ไม่มีอะไรคาใจ”
“ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่คุณจะกลับ ฉันมีเรื่องขอร้องคุณเรื่องนึงสิ โจ”
“ว่ามา ถ้าทำได้”
“คุณเป็นคนดี เป็นผู้มีพระคุณของฉัน ก่อนที่ฉันจะฆ่าตัวตาย ฉันอยากตำส้มตำให้คุณกิน ฉันอยากให้คุณกินส้มตำฝีมือฉัน คุณเบี้ยวฉันมาหลายครั้ง ครั้งนี้คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว อยู่กินเถอะนะ ฉันขอร้อง”
จากนั้นซูซี่ก็ยกส้มตำ ที่ตำอย่างสุดฝีมือมาให้โจกับวนิษา แล้วนั่งลงร่วมโต๊ะกับทั้งคู่
“คุณวนิษา เผ็ดหน่อยนะคะ แต่รับรองอร่อยค่ะ”
“ฉันทานเผ็ดได้ค่ะ”
ซูซี่นั่งดูโจกับวนิษาตักส้มตำเข้าปาก
“สมแล้วที่เป็นส้มตำเหรียญทอง สุดยอดจริงๆครับ”
“อร่อยมากค่ะ เรียกได้ว่าเป็นส้มตำที่อร่อยที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยกินมาเลย”
ซูซี่ยิ้มปลื้ม น้ำตาคลอ
“เอาล่ะ ฉันได้ทำสิ่งที่อยากทำแล้ว ต่อไปฉันก็จะไปตามทางของฉันล่ะนะ ถ้าพวกคุณมีน้ำใจก็
จัดงานศพให้ฉันด้วยนะ ไม่ต้องหรูหราอะไร ขอแค่มีพระสวดแค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว”
โจหุบยิ้มทันที สีหน้าดูเคร่งเครียด
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
“มันยุ่งยากเกินไปใช่มั้ย ฉันเข้าใจ”
โจส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น ผมปล่อยให้คุณฆ่าตัวตายไม่ได้ ผมก็เลย”
ซูซี่มองหน้าโจ ทันใดนั้นรถตำรวจวิ่งมาจอดหน้าร้าน ซูซี่ลุกจะวิ่งหนี แต่โจคว้ามือไว้ทัน
“ปล่อยฉันนะ”
“ไม่”
ซูซี่ใช้มืออีกข้างหยิบส้อมบนโต๊ะจะแทงเข้าที่คอตัวเอง
“อย่า”
วนิษาร้องเสียงหลง พลางเอากระเป๋าถือของเธอไปบังที่คอซูซี่ได้ทัน ส้อมปักจึ้กเข้าไปในกระเป๋า
วนิษาช่วยโจจับมือซูซี่อีกข้างไว้ ตำรวจเข้ามาพอดี
“โจ คุณเรียกตำรวจ คุณทำแบบนี้ทำไม คุณทำแบบนี้ทำไม”
ซูซี่เห็นตำรวจก็มือเท้าอ่อน หมดแรง โจกับวนิษาปล่อยซูซี่ ตำรวจรีบเข้ามาประคองไว้
“ฉันไม่อยากเข้าคุกอีกแล้ว ฉันกลัว”
ซูซี่ร้องไห้โฮ
“โจ ไปเยี่ยมฉันด้วยนะ”
“ผมจะไปเยี่ยมคุณ ผมสัญญา”
เมื่อตำรวจพาตัวซูซี่ออกไป วนิษาก็หันมาพูดกับโจ
“ท่าทางเขากลัวมากเลยนะคะ ในคุกคงมีแต่เรื่องโหดร้ายสำหรับเขา”
“ถ้ากลัวติดคุก ก็ไม่ควรฆ่าคน”
โจกับวนิษามองตามไประตำรวจที่แล่นออกไป พลางหันกลับมามองที่จานส้มตำบนโต๊ะ
“คดีคุณชายแจ้ก็เคลียร์แล้วสินะ”
วนิษาหันมาบอกกับโจ เมื่อทั้งคู่เดินมาที่รถที่จอดอยู่ริมถนน
“ยังครับ ยังมีจุดที่ผมไม่เคลียร์”
“คุณหญิงจุ๋ม? ถ้าคุณหญิงจุ๋มร่วมมือด้วยล่ะ คุณจะทำยังไง”
“ก็คงต้องแจ้งตำรวจจับ”
“ฉันหวังว่าเขาจะบริสุทธิ์นะ ฉันสงสารหม่อมแม่ ท่านเสียคุณชายแจ้ไปแล้ว”
โจยิ้มกวนๆ
“ผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าคุณหญิงจุ๋มเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ผมจะได้วางบิลงวดสุดท้ายแบบสบายใจหน่อย”
อ่านต่อตอนที่ 23