รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 21
เมื่อกลับมาที่ดาดฟ้าของบ่อน โจก็รีบทำแผลให้ปฐม
“คุณรู้ได้ไงว่าจะมีฟ้าผ่าลงมา”
โจหัวเราะเบาๆ “ผมจะไปรู้ได้ไง”
“แปลว่าถ้าไม่มีฟ้าผ่า คุณจะยอมเป็นลูกน้องเสี่ยเพ้งจริงๆเหรอ”
“ไม่มีทาง แต่ผมไม่มีอาวุธอะไรอีก นอกจากลองวัดดวงตัวเองดู อยากรู้ว่าไอ้ฉายาห่วยๆแบบโจตัวซวยเนี่ย ถึงเวลามันจะศักดิ์สิทธิ์จริงรึเปล่า”
“มันเฮี้ยนจนผมขนลุกเลย ทันทีที่มันรับคุณเป็นลูกน้องเท่านั้น ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงเลย”
โจหัวเราะขื่นๆ
“ผมพยายามปฏิเสธเรื่องนี้มาตลอดชีวิต แต่ยิ่งนานวันมันก็ยิ่งเป็นเรื่องจริงมากขึ้นเรื่อยๆ”
“ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ ไม่รู้จะปลอบใจคุณยังไง แต่ยังไงก็ตาม ผมต้องขอบคุณคุณที่ย้อนกลับไปช่วยผม”
“ไม่ต้องขอบคุณ คุณตกอยู่ในอันตรายเพราะช่วยผม ยังไงผมก็ต้องช่วยคุณ”
ปฐมส่ายหน้า “เปล่าหรอก ที่ผมตามคุณไปไม่ได้จะช่วยคุณหรอก”
โจมองปฐมอย่างแปลกใจ
“ผมตามไปเพื่อปกป้องความลับ ผมเกือบจะฆ่าคุณในบ้านเสี่ยเพ้งแล้วด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องการให้คุณรู้ความจริง”
“ความจริง” ยิ่งฟัง โจก็ยิ่งงงหนัก
“จริงๆแล้ว ผมไม่คิดจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ผมอยากให้มันตายไปพร้อมกับตัวผม”
“ดูคุณลำบากใจ ถ้ามันไม่เกี่ยวกับผม ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ”
“เกี่ยวสิ คุณอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าตั่วเฮียตายยังไง”
โจพยักหน้า “ครับ”
“ผมเป็นคนฆ่าตั่วเฮียเอง”
โจอึ้ง และช็อกในคราเดียว
จากนั้นปฐมก็เริ่มต้นเล่าย้อนเหตุการณ์ในวันแต่งงาน เสี่ยสมชายในชุดเจ้าบ่าวยืนถ่ายรูปกับแขกเหรื่อที่มาอวยพรงานแต่งงานที่บริเวณด้านหน้างาน ปฐมเดินเข้ามาหา
“เสี่ยเพ้งมาครับ”
เสี่ยสมชายแค่นยิ้ม หน้าเหี้ยม
“ให้มันเข้ามา ในเมื่อมันกล้ามา ก็ต้อนรับมันให้ดี”
ปฐมรับคำ พลางเดินออกไป ครู่หนึ่งก็กลับมาเข้ามาพร้อมเสี่ยเพ้ง และลูกน้องสองคน เสี่ยเพ้งรีบเดินเข้ามาหา
“ยินดีด้วยครับเสี่ยป๊อกขอให้มีความสุขมากๆนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ เสี่ยเพ้งมาด้วยตัวเอง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
เสี่ยเพ้งรับกล่องมาจากลูกน้อง พลางยื่นส่งให้ปฐม
ปฐมยื่นกล่องของขวัญต่อให้พนักงานอีกคน ก่อนจะหันมาบอกเสี่ยเพ้ง
“เสี่ยเพ้ง เชิญทางนี้ครับ”
ปฐมนำเสี่ยเพ้งไปยังบริเวณต้อนรับ
“เสี่ยเพ้งเอาอะไรมาให้ตั่วเฮียเหรอครับ”
เสี่ยเพ้งยิ้มแบบมีเลศนัย พลางกระซิบบอกปฐม แล้วหัวเราะชอบใจ
ระหว่างที่งานเลี้ยงดำเนินไป เสี่ยสมชายก็ปลีกตัวเดินเข้ามาหาปฐม
“เหนื่อยจังว่ะแต่ก็มีความสุขดี ไม่คิดเลยอายุขนาดนี้แล้วจะยังมีโชควาสนาได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆแบบหว่าหวา”
“ก็จริงครับ เพราะคุณวนิษา เอ๊ย หว่าหวาน่ะเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งฉลาด เรื่องนี้ใครๆก็อิจฉาตั่วเฮีย”
เสี่ยสมชายยิ้มอย่างภูมิใจ
“ไอ้เสี่ยเพ้งคงยิ่งอิจฉา เออ จริงสิ มันเอาของขวัญอะไรมาให้อั๊ววะ”
ปฐมเบ้ปาก
“เฮอะ คนอย่างมันมีเหรอจะหวังดี มันเอายาโด๊ปมาให้ตั่วเฮีย มันบอกเป็นของดีจากเมืองจีน กินเข้าไปแล้วจะคึกคักตลอดคืน ลามกจกเปรตจริงๆไอ้นี่”
เสี่ยสมชายเงียบไปครู่หนึ่ง
“ปฐม งั้นลื้อช่วยเอายาของมันไปไว้ในห้องให้อั๊วหน่อย”
“ตั่วเฮีย”
“ปฐม อั๊วอยากให้หว่าหวามีความสุขในคืนพิเศษคืนนี้”
ปฐมมองหน้าเสี่ยสมชาย อย่างเข้าใจความคิด ก่อนจะพยักหน้ารับคำ
ปฐมเข้ามาในห้องหอของคู่บ่าว-สาว พลางแกะกล่องของเสี่ยเพ้งออกมา หยิบขวดยาภายในออกมาอ่านฉลากข้างขวดที่เป็นภาษาจีน เสี่ยสมชายเปิดประตูเข้ามาในห้องท่าทางตื่นเต้นราวกับเด็กหนุ่ม
“เป็นไงบ้างปฐม มันให้กินกี่เม็ด”
“สามเม็ดครับ”
เสี่ยสมชายบ่นอุบ
“ทำไมน้อยจัง อ่านดีหรือเปล่า อั๊วว่าสามสิบสามเม็ดดีกว่ามั้ง จะได้ปึ๋งปั๋งๆทั้งคืน”
“นั่นน่ะสิครับ ยิ่งคุณหว่าหวาดูเป็นผู้หญิงสุขภาพดี แข็งแรงแบบนั้น ถ้าตั่วเฮียกินน้อยไป อาจจะกลายเป็นไม่พอ ยาลูกกลอนแบบนี้เป็นสมุนไพรผมว่าคงไม่มีอันตรายอะไรหรอก เกินดีกว่าขาด”
“ใช่ๆๆ ลื้อพูดถูก ถ้าบ่มิไก๊ขึ้นมา อายหว่าหวาตายชัก”
พูดจบ เสี่ยสมชาย ก็คว้าขวดยามาเทใสมือ
“ว่าแต่เยอะไปรึเปล่าครับ ตั่วเฮีย”
“ก็ลื้อบอกเองเกินดีกว่าขาด เอ้า ลื้อเอาไปวางไว้มุมห้องนั่นแหละ เผื่อต้องกินเพิ่มกลางดึก”
ปฐมนำขวดยาเก็บใส่กล่อง แล้วนำไปวางไว้ที่มุมห้อง
วนิษาอยู่ในชุดเจ้าสาวจีนสีแดง นั่งอยู่บนเตียง เสี่ยสมชายเข้ามานั่งข้างๆ
“หว่าหวา ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป หว่าหวาจะเป็นคนในครอบครัวของเฮีย เฮียจะดูแลหว่าหวาอย่างดีที่สุด เฮียจะเป็นสามีที่ดีของหว่าหวา ขอเฮียจูบหว่าหวาให้ชื่นใจหน่อยนะ”
วนิษาพยักหน้า เสี่ยสมชายถอดผ้าคลุมหน้าออก ท่าทางตื่นเต้นมาก
“หว่าหวาของเฮียสวยเหลือเกิน”
เสี่ยสมชายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าวนิษา พลันก็ทำหน้าเหยเก ยกมือกุมหน้าอก
“เฮีย”
เสี่ยสมชายล้มลงพื้น วนิษาร้องกรี๊ด ปฐมพังประตูเข้ามาทันที รีบวิ่งเข้าไปหาเสี่ยสมชาย
“ตั่วเฮียๆ”
เสี่ยสมชายพูดเสียงแผ่วเบาข้างหูปฐม
“เรื่องนี้ลื้อห้ามบอกใครนะ”
แล้วเสี่ยสมชายก็สิ้นใจตาย
ปฐมถอนหายใจ พลางทำหน้าเศร้า
“ถ้าวันนั้นผมไม่พูดอย่างนั้น ถ้าผมบอกให้ตั่วเฮียกินแค่สามเม็ด ตั่วเฮียคงไม่ตาย คุณเคยถามผมว่าทำไมผมจงรักภักดีต่อตั่วเจ๊ คำตอบคือผมรู้สึกผิดที่ฆ่าตั่วเฮีย ผมต้องชดใช้ความผิดของผมด้วยการจงรักภักดีต่อเมียของตั่วเฮีย”
“ตั่วเจ๊ไม่รู้เรื่องนี้?”
ปฐมส่ายหน้า
“คุณใจดำมาก คุณปล่อยให้ตั่วเจ๊เป็นทุกข์ รู้สึกผิดมาตลอดเวลา ว่าตัวเธอเป็นต้นเหตุการตายของตั่วเฮีย จนเกือบจะไปบวชอยู่แล้ว”
“ผมก็พยายามทำลายงานบวชนั่นเหมือนกัน เพียงแต่ทำไม่สำเร็จ ผมรับปากตั่วเฮียแล้วว่าจะไม่บอกใคร ตั่วเฮียคงละอายใจที่ตายเพราะยาโด๊ปนั่น เขาต้องการปกป้องศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเขา”
“ทำไมคุณก็เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง” โจถามอย่างแปลกใจ
“เพราะคุณช่วยชีวิตผม”
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 21 (ต่อ)
วนิษา โจ และปฐม เดินเข้ามาในโรงพยาบาล วนิษาดูเคร่งเครียดมาก
“พวกคุณเห็นฉันเป็นตัวอะไร บุกบ้านเสี่ยเพ้งโดยไม่บอกกล่าวฉันซักคำ”
โจรีบอธิบาย
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องแย่งเขตปกครองนี่ครับ ผมทำไปเพื่อหาหลักฐานการตายของตั่วเฮีย”
“จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่คุณกับคุณปฐมเป็นคนของฉัน เป็นความรับผิดชอบของฉัน หวังว่าเสี่ยเพ้งจะเข้าใจเรื่องนี้ และคุยกันดีๆได้ ไม่อย่างนั้นสองแก๊งได้ตีกันเละแน่”
จากนั้นทั้งสามคน ก็เข้ามาในห้องพักของเสี่ยเพ้ง ที่นอนมีผ้าพันแผลเต็มตัว มีน้ำเกลือ มีหน้ากากเครื่องช่วยหายใจครอบหน้าอยู่ พร้อมสายวัดชีพจรนู่นนี่นั่น เมียเสี่ยเพ้งกับตี๋อ้วน ก็อยู่ในห้องด้วย
เสี่ยเพ้งที่ขยับได้แค่ลูกตา เพ่งมองวนิษา ที่ยกมือไหว้เมียของตัวเอง ในชณะที่โจรีบหลบตา แล้ววางกระเช้าไว้ที่โต๊ะเยี่ยมแล้วเลี่ยงๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปนอกห้อง
“สวัสดีค่ะ ฉันวนิษาค่ะ”
“ฉันรู้จักเธอดี สวัสดี”
“เสี่ยเพ้งเป็นไงบ้างคะ”
“หมอบอกว่ายังบอกอะไรไม่ได้”
วนิษารับดอกไม้จากปฐมส่งให้เมียเสี่ยเพ้ง
“เรื่องที่เกิดขึ้น ฉันไม่รู้ก็จริงแต่คนของฉันมีส่วนผิด ถือเป็นความรับผิดชอบของฉัน คุณต้องการให้ฉันรับผิดชอบยังไงก็บอกมาได้ค่ะ”
เมียเสี่ยเพ้งส่ายหัว “ไม่จำเป็น คนของเธอไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดฟ้าผ่า”
“แต่ว่าเขา”
“เฮียเพ้งบอกฉันกับลูกก่อนจะหมดสติว่าไม่ต้องโทษใคร ไม่ต้องแก้แค้น นี่เป็นเรื่องธรรมดาของวงการนี้ ทำใจรับให้ได้”
วนิษายิ้มให้เมียเสี่ยเพ้ง แล้วพูดอย่างจริงใจ
“ถึงเราจะมีเรื่องขัดแย้งกัน แต่ฉันก็ไม่อยากให้เสี่ยเพ้งเป็นแบบนี้ ขอให้หายดีเร็วๆนะคะ ด้วยความจริงใจค่ะ”
โจนั่งรอวนิษาอยู่หน้าห้อง จู่ๆก็รู้สึกขนลุกซู๋ พอหันกลับไป ก็เห็นตี๋อ้วนยืนอยู่กลางทาง พลางเดินจ้องหน้าเขาด้วยความอาฆาตแค้น โจถอนใจ คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ให้อยู่ระดับเดียวกันกับตี๋อ้วน
“ผมขอโทษด้วยนะครับ”
“ผมไม่รับคำขอโทษ คุณจำไว้ ผมโตขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะแก้แค้น”
โจฝืนยิ้ม พูดอะไรไม่ออก วนิษากับปฐมเดินออกมาพอดี
“ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
ตี๋อ้วนเดินเข้าไปในห้อง โจหลับตานิ่ง ปฐมรีบพูดเชิงปลอบใจ
“ไม่ต้องกลัวหรอก ยังอีกนานกว่าเขาจะโตมาแก้แค้นคุณ”
“ไม่ได้กลัวเขาครับ แต่สงสาร หวังว่าจะมีใครสักคนเปลี่ยนความคิดเขาได้นะ”
“หวังว่าคุณคงไม่โกรธคุณปฐม ที่เขาปิดเรื่องการตายของตั่วเฮียเป็นความลับ”
โจบอกกับวนิษา เมื่อทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของวนิษา
“ไม่โกรธหรอก ฉันเข้าใจดี ฉันยกย่องเขาด้วยซ้ำที่ปิดเรื่องนี้ไว้ และฉันก็จะปิดเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้มีผลกระทบต่อคนอื่น”
โจเข้าใจความหมายดี ว่าวนิษาว่าหมายถึงปลายฝน
“ผมเข้าใจครับ ผมจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเช่นกัน”
วนิษายิ้มขอบคุณ “แต่ฉันก็ยังมีเรื่องคาใจอยู่นะโจ”
“คุณพิสูจน์ได้แล้วว่าที่ตั่วเฮียตายไม่ใช่เพราะดวงกินผัวของฉัน แต่คุณพิสูจน์ได้ด้วยการใช้ดวง
ตัวซวยของคุณจัดการกับเสี่ยเพ้ง มันขัดแย้งกันในตัวเองนะโจ ตกลงดวงอาถรรพ์มันมีจริงหรือไม่มี”
โจถอนหายใจ
“ผมก็สับสนมาก แต่ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้เพราะมันยังไม่จบ ยังเหลือเรื่องของคุณชายแจ้
กับคุณกริชอีก ไว้เคลียร์สองคดีนี้ให้เสร็จก่อน ผมถึงจะมาคิดเรื่องที่คุณพูดอย่างจริงจัง”
“ขอบคุณคุณมากนะ”
โจมองหน้าวนิษา ด้วยสายตาลึกซึ้ง “คุณก็รู้ว่าผมทำเพื่ออะไร”
“ฉันรู้ ฉันถึงขอบคุณ ขอบคุณจากหัวใจของฉัน”
โจจับมือวนิษาบีบเบาๆ
เมื่อโจกลับมาบ้าน ก็เห็นป๋องนั่งอยู่
“เป็นไงบ้างพี่ ไม่ฟกช้ำเขียวเท่าไหร่นี่หว่า”
โจพยักหน้า “เออ รอดตายแบบฉิวเฉียดเลย”
“แล้วได้เรื่องไหมครับ”
“คุ้ม ฉันรู้แล้วว่าใครฆ่าเสี่ยป๊อก”
ป๋องพยายามจะบอก แต่ไม่ทัน
“ใครฆ่าพ่อหนูคะ”
ปลายฝนโผล่หน้าออกมาถาม โจตกใจ ร้องลั่น แต่ปลายฝนไม่สนใจ จ้องหน้าโจเขม็ง
“พี่รู้ว่าใครฆ่าพ่อหนู บอกมา”
โจพยายามทำใจดีสู้เสือ
“ทำไมเธออยู่นี่ ไม่ได้ไปเกาะเสม็ดเหรอ”
“ปลายฝนเปลี่ยนใจ ไม่ไปแล้ว” ป๋องรีบอธิบาย
“อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะแก”
“ก็ ทำนองนั้นแหละครับ”
“งั้นแกก็ไปส่งเขาที่คอนโดแล้วกัน ขับรถดีๆนะ ไปอาบน้ำดีกว่าเหนียวตัวจัง”
โจทำเนียนเดินออกไปเฉยๆ แต่ปลายฝนไม่หลงกล วิ่งมาขวางหน้า
“ใครฆ่าพ่อหนู”
จากนั้นโจก็ออกมานั่งคุยกับปลายฝนที่หน้าบ้าน
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ความจริงฉันก็ไม่อยากให้เธอรู้หรอกนะ แต่ในเมื่อเธอได้ยินแล้ว
ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไง”
“ขอบคุณนะค่ะ ที่บอกความจริงให้รู้ ว่าพ่อหนูตายเพราะบ้ากาม เลยโด๊ปยาเข้าไปจนหัวใจวาย”
“ปลายฝน เธอต้องเข้าใจซะใหม่นะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบ้ากงบ้ากามอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของคน ฉันคิดว่าเธอน่าจะโตพอที่จะเข้าใจแล้วนะ”
ปลายฝน ส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ คุณไม่ต้องเบี่ยงประเด็น ความจริงคือ พ่อหนูบ้ากาม แล้วคนที่ทำให้พ่อหนูเป็นแบบนี้
ก็คือวนิษา”
“ปลายฝน อย่าแรงตอนนี้ได้ไหม ใจเย็นๆก่อน”
“คุณกลัวหนูแค้นวนิษาใช่ไหม” ปลายฝนย้อนถาม
“ไม่ใช่ แต่ฉันกลัวว่าเธอด่วนจะสรุปอะไรผิดๆ”
ปลายฝนจ้องหน้าโจ
“ขอบคุณค่ะที่เล่าเรื่องให้ฟัง แต่การสรุปเป็นเรื่องของหนู หนูสรุปของหนูเป็นค่ะ”
ปลายฝนเดินหน้าง้ำออกมาจากบ้าน โจรีบวิ่งตามมาทั้งเท้าเปล่า
“ปลายฝน”
ปลายฝนหันกลับมา เห็นโจเดินโหย่งๆ พลางมองไปที่เท้า จึงเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่รองเท้า
“คุณกลับไปเถอะ”
ปลายฝนวิ่งหนี โจได้แต่กัดฟันวิ่งตาม ปลายฝนเห็นโจวิ่งมา ก็ตัดสินใจเลี้ยววิ่งตัดเข้าไปในบริเวณก่อสร้าง ที่กำลังทุบตึก มีแต่เศษอิฐเศษกระเบื้อง โจรีบเบรกเอี๊ยดด้วยความโมโห
“นึกว่า แค่นี้หยุดฉันได้เหรอไง”
ปลายฝนวิ่งมาสักพัก พลางมองกลับไป เห็นโจยังกัดฟันวิ่งตามมาแต่ไกล
“รอด้วย ปลายฝน อย่าเพิ่งไปไหนนะ”
ปลายฝนมองไปในอาคารร้าง มีเศษวัสดุตกเกลื่อนพื้น ก็รีบวิ่งเข้าไป โจวิ่งตามมาเห็นเศษวัสดุแล้วหยุดกึก ปลายฝนขึ้นบันได รอตรงชานพัก ตะโกนมา
“ถ้าคุณตามขึ้นมาได้ ฉันจะฟังคุณ”
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 21 (ต่อ)
ปลายฝนขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึกร้าง พลางรอดูทีท่าของโจ พอได้ยินเสียงเหยียบกระเบื้อง ก็หันไป เห็นโจเดินตามขึ้นมา ปลายฝนมองที่เท้า เห็นเลือดซึม
“ฉันขึ้นมาได้แล้ว ทำตามสัญญาด้วยนะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งคุยกัน
“คุณจะบ้าเหรอ ทำไมต้องทำขนาดนี้ กลัวฉันแค้นวนิษามากหรือไง”
โจส่ายหน้า “เปล่า ไม่เกี่ยวกับคุณวนิ แต่เกี่ยวกับเธอและพ่อของเธอ”
“หนูกับพ่อของหนูเกี่ยวอะไรกับคุณ ถึงต้องทำซะขนาดนี้”
“ฉันกับไอ้ป๋องน่ะโตมาแบบเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อที่ทำหน้าที่พ่อ ดังนั้นฉันทนดูไม่ได้หรอก ที่จะเห็นผู้ชายคนนึงที่ทำหน้าที่พ่อจนถึงที่สุด แต่กลับล้มเหลวในช่วงสุดท้าย”
“ล้มเหลวยังไง” ปลายฝนย้อนถาม
“คุณปฐมเข้าใจพ่อเธอผิด ที่ตั่วเฮียให้ปกปิดเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะห่วงศักดิ์ศรีลูกผู้ชายหรอก เขาแคร์เธอ ไม่อยากให้ความผิดพลาดเขาทำให้เธออาย หรือดูถูกเขา และที่สำคัญที่สุด ทำให้เธอแค้นคนอื่น ไม่ว่าเธอจะแค้นเสี่ยเพ้ง แค้นคุณปฐม หรือแค้นคุณวนิก็ตาม”
“เป็นคุณ คุณไม่แค้นเหรอไง”
“เธอต้องมองเรื่องนี้จากมุมมองของพ่อเธอ พ่อเธออยู่ในวงการนักเลง ไม่มีใครรู้จักความแค้นดีเท่าเขา เขารู้ว่าถ้าเธอแบกรับความแค้นที่ยิ่งใหญ่ ความแค้นนั้นจะทำร้ายเธอเอง ฉันกับคุณวนิเข้าใจเจตนาของพ่อเธอ
วินาทีที่ฉันคิดจะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง ฉันก็ตั้งใจว่าต้องพูดเรื่องนี้ให้เธอเข้าใจด้วย”
ปลายฝนได้ฟังก็อึ้งไปครู่หนึ่ง “ป๊าคิดอย่างนี้จริงๆเหรอ”
“เธอน่าจะรู้จักเขาดีกว่าฉัน เธอคิดว่าเขาอายไหม ถ้าคนจะรู้ว่าเขาตายเพราะกินยาโด๊ป”
ปลายฝนนิ่งคิด แล้วสั่นหัว
“ไม่ค่ะ ป๊าเป็นลูกผู้ชายมากกว่านั้น”
“ฉันก็ว่างั้น”
ปลายฝนถอนหายใจ
“แล้วคุณจะให้หนูทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ”
“ปลายฝน เรื่องสำคัญที่เธอรู้ในวันนี้ ไม่ใช่พ่อเธอตายยังไง แต่คือเธอรู้ว่าพ่อเธอแคร์เธอแค่ไหน”
ปลายฝนเงียบไป แล้วก็ร้องไห้โฮ
โจใช้ไม้ค้ำเดินเขยกๆเดินออกมาหน้าโรงพยาบาล ที่เท้ามีผ้าพันแผลพันอยู่ทั้งสองข้าง
“ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ด้วยครับ”
โจบอกกับเจ้าหน้าที่ พร้อมๆ กับที่วนิษาขับรถมาจอดเทียบ พลางเอื้อมมือมาเปิดประตูให้
“คุณวนิ มาได้ไงเนี่ย”
“ปลายฝนเล่าให้ฉันฟังหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ขอบคุณนะ”
โจยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”
“ขึ้นมาสิ วันนี้ฉันเป็นคนขับรถให้คุณเอง”
โจวางไม้เท้าที่เบาะหลัง แล้วเดินขโยกเขยกขึ้นรถ
เมื่อมาถึงบ้าน วนิษาก็รีบปราดเข้ามาประคองโจ
“ขอบคุณครับคุณวนิ แต่ผมพอเดินเองไหวครับ”
โจปล่อยมือจากวนิษา พลางจะเดินไปที่เก้าอี้ บังเอิญเหยียบปากกาที่อยู่บนพื้น ถึงกับร้องลั่น เสียหลักหงายหลัง วนิษารีบมารับไว้ ใบหน้าใกล้ชิดกัน ตาของทั้งคู่สบกัน แต่วนิษารับน้ำหนักโจไม่ได้ โจล้มนอนหงายลงบนโซฟา วนิษาพยายามฝืนตัวไว้แต่ก็ล้มตาม แต่ก็ฝืนไม่ไหว ล้มก้นจำเบ้านั่งทับหน้าโจเต็มเปา วนิษาหัวเราะก๊าก ทั้งเขินทั้งขำ
“ขอโทษค่ะ”
“หายใจไม่ออกเลย ก้นใหญ่ชะมัด”
วนิษามองค้อนโจ “เดี๋ยว โดน”
“ทำไมคุณไม่ล้มเหมือนในละคร”
“ฝันไปเถอะย่ะ”
โจหัวเราะ “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวฝันว่าเจอก้นคุณอีกจะกลายเป็นฝันร้ายซะเปล่าๆ”
วนิษามองหน้าโจแล้วผลุนผลันเดินออกไป โจตกใจรีบขโยกเขยกเดินตามไปที่ประตู แล้ววนิษาก็เดินกลับเข้ามาพร้อมถุงพลาสติกในมือ 2-3 ถุง
“โล่งอก นึกว่าคุณโกรธผมซะอีก แล้วนี่ถุงอะไรครับเนี่ย”
“ข้าวปลาอาหารค่ะ เอามาเผื่อหลายมื้อ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรื่องของกิน”
โจตาโต “หู เยอะจัง ผมกินคนเดียวไม่หมดแน่ๆ”
“ใครบอกให้คุณกินคนเดียว ฉันจะมาอยู่ด้วย จะมาช่วยคุณไขปริศนาคดีของคุณชายแจ้กับคุณกริช”
โจอึ้งไปครู่หนึ่ง
“สองหัวดีกว่าหัวเดียวไม่ใช่เหรอ”
โจยิ้ม “ด้วยความยินดีครับ”
จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันหาเบาะแสจากข้อมูลต่างๆ สลับกับกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข
ขณะที่ป๋องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้าน กำลังจะเปิดประตู แต่แว่วได้ยินเสียงคนคุยกันข้างใน
ก็ถึงกับชะงัก
“เสียงพี่โจกับเสียงผู้หญิง?”
ป๋องค่อยๆ ย่องมาที่หน้าต่าง มองเข้าไป เห็นโจกับวนิษากำลังกินข้าวด้วยกัน
“อื้อหือ มิน่า วันนี้ไม่โทรมาเลย ทุกทีโทรจิกใช้งานทั้งวัน เอาเฮอะ มีความสุขก็ดีแล้ว”
ป๋องค่อยๆ ย่องออกมา พร้อมๆ กับที่รถคันหนึ่งแล่นเข้ามามาจอดหน้าบ้านพอดี ป๋องมองไป เห็น ม.ร.ว.จันทร์ธิดา กับพจน์ลงมาจากรถ
“ ถ้าให้เห็นว่าสองคนอยู่ด้วยกันล่ะก็ ซวยแน่ๆ”
ป๋องคิดหาทางออก ขณะที่ทั้งคู่เดินใกล้เข้ามา ป๋องมองเห็นกระป๋องดีดีที ก็รีบหยิบขึ้นมา พลางเดินทำทีเป็นไม่เห็น แล้วก็พ่นยาเกือบเข้าหน้า จนคุณหญิงจุ๋มร้องโวยวาย
“อุ้ย ขอโทษครับคุณหญิงจุ๋ม มองไม่เห็นครับ สวัสดีครับ”
“ทำอะไรอยู่”
“ฉีดยุงครับ ช่วงนี้ยุงเยอะมาก กลัวเป็นไข้เลือดออกอ่ะครับ เลยฉีดมันทั้งบ้านเลย”
คุณหญิงจุ๋ม กับพจน์ปิดจมูก
“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่าครับ ผมก็เหม็นเหมือนกัน”
จากนั้นป๋องก็พาทั้งคู่เดินออกไป แล้วมานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“ลูกพี่เธอไปไหน ทำไมติดต่อไม่ได้เลย ยังจะทำงานให้ฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย”
คุณหญิงจุ๋มถามเสียงเข้ม
“ทำสิครับ ตอนนี้ทุ่มเทสมาธิเต็มที่เลยครับ เวลาเขาเป็นแบบนี้เขาจะปิดมือถือไม่ให้ใครรบกวน
น่ะครับ”
พจน์มองป๋องอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูด
“ทุ่มเทเต็มที่เหรอ งั้นต้องมีอะไรคืบหน้ามามั่งสิ”
“พวกผมคงไม่ต้องมานั่งรายงานทุกวันมั้งครับ รอได้ผลสรุปที่ชัดเจนก่อนสิครับ”
ป๋องย้อนเข้าให้ เล่นเอาพจน์ของขึ้น
“พูดแถๆแบบนี้ใครก็พูดได้วะ” พลางหันมาทางภรรยา “ผมว่าพวกมันหลอกกินตังค์ไปวันๆมากกว่า”
ป๋องรีบแย้งทันที “เราทำงานกันจริงๆนะครับ พี่โจจะเร่งเคลียร์คดีให้เสร็จให้ได้ภายในสามวัน”
พจน์หัวเราะร่วม
”ใครจะไปเชื่อแกวะ ทำมาตั้งนานไม่เห็นรู้อะไรเพิ่มเลย อยู่ดีๆจะมาปิดจ๊อบในสามวัน”
“ก็เขารับปากคุณวนิษาไว้แล้ว ถ้าเคลียร์ไม่ได้ คุณวนิษาก็จะแต่งงานใหม่”
คุณหญิงจุ๋มตกใจ “ยัยนั่นจะมีผัวอีกแล้วเหรอ”
ป๋องพยักหน้า ขณะที่พจน์รีบพูดแทรก
“หมายความว่าถ้าเคลียร์ได้ วนิษาจะไม่แต่งงาน”
“ใช่ครับ”
พจน์เงียบไป พลางคิดอะไรในใจ แต่ป๋องไม่ทันสังเกต
“แล้วตอนนี้เราก็ไขคดีของเสี่ยป๊อกได้แล้วด้วย”
คุณหญิงจุ๋มรีบถามทันที “ว่าไง”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวให้พี่โจสรุปให้ฟังคุณหญิงฟังดีกว่าครับ”
“งั้นที่บอกว่าตอนนี้กำลังทุ่มเทสมาธิ ก็เหลือแต่คดีคุณชายแจ้กับนายกริชใช่ไหม”
“ครับ”
“สืบถึงไหนแล้ว” พจน์ร้อนใจ
“ยังบอกไม่ได้ครับ แต่คืบหน้ามากแล้วครับ ใกล้จะรู้สาเหตุแล้วครับ”
ม.ร. ว.จันทร์ธิดา พยักหน้า “ได้ งั้นฉันรออีกสามวัน ไปบอกลูกพี่เธอด้วย”
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 21 (ต่อ)
จากนั้นพจน์ก็มานั่งคุยกับภาคย์ที่เลาจน์หรูแห่งหนึ่ง
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมเคลียร์คดีได้แล้ววนิษาจะไม่แต่งงานกับผม”
พจน์รีบอธิบาย
“ไม่เห็นมีอะไรยาก ถ้าเคลียร์ได้ ก็หมายความว่าวนิษาไม่ใช่ผู้หญิงดวงกินผัว เพราะฉะนั้นเขาจะ
รักใคร แต่งงานกับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแก แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเคลียร์ไม่ได้ ก็แสดงว่าสามีเขาตายเพราะอาถรรพ์ดวงกินผัวจริงๆ เขาก็จะแต่งงานกับใครไม่ได้ทั้งนั้นนอกจากแก ที่มีดวงปรมะ”
ภาคย์พยักหน้า
“เข้าใจแล้วครับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้โจมันสืบคดีนี้มาตั้งนานยังคลี่คลายไม่ได้สักที เหลืออีก
สองสามวัน ผมว่ามันทำอะไรไม่ได้หรอก”
“ก็จริง แต่ฉันไม่อยากประมาท”
“ว่าแต่พี่รู้ไหมล่ะครับว่า ผัวสองคนแรกตายเพราะอะไร”
พจน์ยิ้มเหี้ยม “ฉันรู้ แต่แกไม่ต้องรู้หรอก”
“ถึงไม่บอกผมก็เดาออก ระดับพี่น่ะเซียนเหยียบเมฆชัดๆ”
พจน์อดถอนใจไม่ได้
“ถ้าฉันเป็นเซียนจริง ยัยวนิษาคงตายไปพร้อมๆกับไอ้ชายแจ้แล้วล่ะ”
“เอาเถอะครับ อย่างน้อยที่สุดไอ้โจมันก็ไม่มีทางทันพี่หรอก ให้ตายยังไงมันก็เคลียร์ไม่ได้”
พจน์เริ่มยิ้มออก “ฉันก็ว่างั้นแหละ เอาเวลามาวางแผนฆ่าวนิษา หลังจากที่ยัยนั่นแต่งงานกับแกดีกว่า ถ้าจะให้ดีต้องลงมือในงานแต่ง”
ภาคย์ตกใจ “หา ในงานแต่งเลยเหรอครับ”
“ใช่สิ คนมันจะได้คิดกันไปว่าเป็นเพราะดวงเขาสู้ดวงแกไม่ได้ ความซวยเลยสะท้อนกลับ
เข้าตัว”
พจน์ยิ้มร้ายกับแผนการของตัวเอง ขณะที่ภาคย์เงียบไป พลางแอบมองพจน์ด้วยสายตา
เย็นชา
นาฬิกาบอกเวลาตีสามกว่า ขณะที่โจกับวนิษายังนั่งทำงานอยู่ด้วยกัน ช่วยกันพิจารณาข้อมูลทุกอย่างอย่างละเอียดละออ
โจดูข้อมูลไปเรื่อยๆ หันมาอีกทีเห็นวนิษานั่งสัปหงก
“คุณวนิครับ คุณวนิ”
วนิษาสะดุ้ง”คะ”
“คุณวนิไปนอนพักก่อนก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้นก็พอ อย่าลืมสิเรามีเวลาแค่สามวัน ไม่ใช่สิสองวันครึ่ง”
โจยิ้มกริ่ม จนวนิษางง “มีอะไรเหรอ”
“ผมชอบจังที่คุณใช้คำว่าเรา”
วนิษายิ้มเขิน “อย่านอกเรื่องน่ะ”
พลางหยิบแฟ้มใกล้มือ ทำเป็นมาดูด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณวนิครับ คุณดูกลับหัวทำไมครับ”
วนิษา ยิ่งเขินหนักเข้าไปใหญ่ รีบกลับหัวแฟ้มขึ้นมา พลางปรายตาเห็นโจจ้องมาที่เธอตาเขม็ง
“นี่ มองอะไร ไม่เคยเห็นอะไร คนบ้า”
แท้จริงแล้ว โจกำลังดูรูปในแฟ้ม
“ขอแฟ้มผมหน่อย”
โจดึงแฟ้มมาดู วนิษาชะเง้อหน้ามามอง
“รูปงานแต่งงานของฉันกับคุณชายแจ้”
โจชี้ไปที่มุมด้านหนึ่งของรูป เห็นพจน์ยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง
“ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างคุณพจน์ ผมเคยเห็นคนคนนี้ เดี๋ยวนะ ผมนึกก่อน เจอเมื่อเร็วๆนี้เอง ตอนนั้นผมเห็นเขาผมก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนเหมือนตอนนี้ นึกออกแล้ว”
“ใครเหรอ” วนิษารีบถาม
“เขาเป็นพี่ชายของซูซี่”
“ใครคือซูซี่”
โจหันไปที่โต๊ะ พลางหยิบแฟ้ม แล้วเปิดหน้าที่มีรูปซูซี่ยื่นให้วนิษา
“นี่เหรอซูซี่”
“ใช่แน่ๆ พี่ชายของซูซี่แน่ๆ”
“แล้วไงล่ะ อาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ที่เขาอยู่ในงานด้วย” วนิษาย้อนถาม
“มันต้องมีจุดเชื่อมโยงระหว่างพจน์กับซูซี่”
“อะไรคะ” วนิษาไม่วายข้องใจ
“ทั้งสองเกี่ยวข้องกับการตายที่เป็นปริศนา น้องเมียของพจน์คือคุณชายแจ้ กับนายจ้างของซูซี่คือสถาพร สองคนนี้มีการตายที่เหมือนกัน คือตายด้วยอาการของโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทั้งๆที่เป็นคนมีสุขภาพดีด้วยกันทั้งคู่”
โจเปิดแฟ้มของซูซี่ เดินมาที่ผนังที่ติดรูปกับรายละเอียดของคดี ม.ร. ว. จันทร์กระจ่าง วนิษาเดินตามมาดูด้วย
“คุณดูแฟ้มของสถาพร แล้วนึกถึงการตายของคุณชายแจ้ ว่ามีอะไรเชื่อมโยงกันไหม”
วนิษาดูรูปในแฟ้มของสถาพรที่มีทั้งรูปศพสถาพร รูปสถานที่เกิดเหต รูปซูซี่ที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆศพ
แล้วพยายามนึกถึงงานแต่งของเธอ
“งานแต่งของฉันกับคุณชายแจ้ ฉันไม่แน่ใจว่าจะจำอะไรได้แค่ไหน”
วนิษาค่อยๆ ลำดับเหตุการณ์ในวันแต่งงานของเธอกับคุณชายแจ้
“ฉันจำไม่ได้จริงๆว่าคนในรูปนั้นมาถ่ายรูปกับฉันที่หน้างานรึเปล่า แต่ที่ฉันจำได้คือระริน”
วนิษานึกถึงตอนที่มีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมเดินมาหาระหว่าง ที่เธอกับคุณชายแจ้ ยืนถ่ายรูปกับแขกที่มาร่วมงาน
“คุณชายครับ ใกล้ได้เวลาแล้วครับ”
คุณชายแจ้ หันมาพูดกับวนิษา “งั้นเราเข้าไปเตรียมตัวก่อนดีกว่าครับ”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเดินไป ระรินก็เดินถือแก้วไวน์เข้ามา
“เดี๋ยวสิคะ ระรินขอถ่ายรูปด้วยสิคะ”
“ระริน คุณเมารึเปล่าเนี่ย”
“เมาเมิวอะไรคะ ไม่มี้”
ระรินลากเสียงยาว ก่อนที่จะเซสะดุดจะทำไวน์หกใส่วนิษา โชคดีที่คุณชายแจ้ จับมือระรินไว้ได้ทัน
“ไวจังนะคะคุณชาย”
ระรินไม่ยอมแพ้ ราดไวน์ในแก้วใส่ แต่วนิษาดึงชายกระโปรงหลบได้ทัน
“ตอนนั้นเหมือนคุณชายจะอ่านเกมออกว่าระรินจะสาดไวน์ใส่ฉันเลยดึงเธอไว้ทัน เลยทำให้ไวน์เปื้อนแค่รองเท้า คุณชายโกรธคุณระรินมาก แต่ก็ต้องเก็บอาการ”
วนิษาเล่าต่อถึงตอนที่เห็น ม.ร. ว. จันทร์กระจ่าง ดันร่างระรินออกไป แล้วหันไปกระซิบกับเจ้าหน้าที่
“พาคุณผู้หญิงคนนี้ออกไปจากงาน”
“อุ๊ย ได้ยินนะคะ แหม แค่สะดุดแค่นี้ต้องไล่กันด้วยเหรอคะ ก็พรมมันไม่เรียบนี่นา”
ระรินมองวนิษาด้วยความอาฆาต วนิษาก้มมองรองเท้าส้นสูงสีขาว ตรงส้นเป็นโลหะวาววับสวยงาม
แต่ตัวรองเท้าเปื้อนไวน์แดงฉาน วนิษามองระริน ดวงตาแข็งกร้าว ระรินหัวเราะก่อนจะเดินเข้างานไป
วนิษาข่มใจ พลางหันมาฝืนยิ้มให้คุณชายแจ้
“ดีนะคะที่เปื้อนแค่รองเท้า ชายกระโปรงคลุมได้”
“แต่มันสีแดงนะครับ ผู้ใหญ่บางท่านอาจจะถือ ผมว่าหารองเท้าเปลี่ยนเถอะครับ”
“ในที่สุดฉันก็ไปเปลี่ยนรองเท้า”
โจดูรูปวนิษาในงานแต่งก่อนทำพิธี
“มิน่า ไอ้ป๋องมันเคยทักเรื่องรองเท้าของคุณ ว่าช่างไม่เข้ากับชุดเอาซะเลย”
“มันจวนตัวค่ะ หารองเท้าคู่อื่นไม่ได้จริงๆ ดีว่าชายกระโปรงมันยาวพอบังได้”
“แล้วคุณจำอะไรได้อีก”
วนิษานิ่งนึก “ตอนที่คุณชายถึงแก่กรรม”
วนิษาย้อนนึกถึงเหตุการณ์บนเวที ตอนที่คุณชายแจ้ หอมแก้มเธอตามคำเชียร์ชองพิธีกร จากนั้นก็ไปตัดเค้กด้วยกัน แต่จู่ๆ เจ้าบ่าวก็ยืนนิ่ง รอยยิ้มค้างบนใบหน้า วนิษาหันมามองด้วยความแปลกใจ จากนั้นคุณชายแจ้ ก็ล้มตึงลง นอนแน่นิ่ง ท่ามกลางความงงงวยของคนทั้งงาน วนิษาปล่อยมีดตัดเค้ก พลางคุกเข่าลงมาดูอาการ
“คุณชายแจ้ คุณชายแจ้”
โจหลับตานึกภาพตาม
“มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เรามองข้ามไป”
“ฉันจำได้แค่นี้จริงๆ”
“ผมรู้สึกว่าเราใกล้จะได้คำตอบแล้ว อีกนิดเดียว”
จากนั้นทั้งคู่ก็เอาแฟ้มทั้งหมดมาดูอีกครั้ง พลางพยายามหาพิรุธให้เจอ ก่อนที่จะหลับคาแฟ้มข้อมูลในที่สุด
อ่านต่อตอนที่ 22