รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 8
ป๋องเริ่มเล่าจากตอนที่โจ เป็นผู้รักษาประตูฟุตซอลสุดเท่ ในการแข่งฟุตซอลระดับมหาวิทยาลัย ที่สะดุดลูกฟุตบอลหัวทิ่ม ลูกฟุตบอลไหลกลับเข้าประตูฝ่ายตัวเอง จนทีมแพ้ ท่ามกลางความตกตะลึงของป๋อง และคนทั้งสนาม
“ซุ่มซ่ามเองมากกว่ามั้ง” ปลายฝนวิเคราะห์
“ งั้นข้ามไปตอนปีสี่เลย ตอนนั้นพี่โจทำงานไปเรียนไปด้วย”
ป๋องเล่าเหตุการณ์ตอนโจทำงานขายประกันระหว่างเรียนไปด้วย และเพิ่งมีนักธุรกิจเซ็นสัญญาซื้อกรมธรรม์ แต่พอนักธุรกิจเดินกลับไปขึ้นรถ เสียงรถชนกันดังสนั่นหวั่นไหว ตามด้วยเสียงระเบิดยิบย่อยดังตามมา
“แค่เลี้ยวออกไปเท่านั้นเอง เสยเข้ากับรถพ่วงสิบแปดล้อ แถมยังโดนกิ่งไม้หล่นใส่หัวตอนพยายามมุดออกมากจากรถอีกต่างหาก แต่ถ้าเธอยังไม่สาแก่ใจ เราไปตอนพี่เค้าเป็นนักสืบใหม่ๆกันก่อนก็ได้”
ป๋องเล่าเหตุการณ์ตอนที่สารวัตรหัวหน้าชุดตำรวจกำลังคุยกับโจ โดยมีป๋องถ่ายรูปคนร้ายอยู่
คนร้ายก็สะบัดตำรวจที่คุมตัวออก แล้วแย่งปืนมาจะยิงใส่สารวัตร โจกระโดดรวบตัวสารวัตรให้ล้มลงกับพื้น แต่จังหวะล้มนั่นเอง ที่โจกดหัวสารวัตรจนโขกกับพื้น คนร้ายจะยิง แต่ยิงไม่ออกเพราะปืนไม่มีลูก ตำรวจที่เหลือเลยรีบจับคนร้ายเอาไว้ได้
โจหันไปมองสารวัตร ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อสารวัตรเลือดไหลโกรกจากหัว สลบเหมือดไปแล้ว สารวัตรไม่ได้ถูกยิง แต่บาดเจ็บเพราะการช่วยเหลือจากโจนี่เอง
ปลายฝน ยิ่งฟังก๋ยิ่งอึ้ง
“โห ของพี่เขาแรงจริง เออ แล้วนายอยู่ใกล้พี่เขาขนาดเนี้ย นายรอดมาได้ไงจนป่านนี้เนี่ย”
“เป็นคำถามที่ดีมาก”
ป๋องพูดพลาง จะแก้กางเกง ปลายฝนกรี๊ดลั่น พลางรีบปิดตา
“ ไอ้โรคจิต จะทำอะไรน่ะ”
“อย่าบ้าน่ะ นี่มันริมถนน ใครจะไปทำอะไรเธอ”
ป๋องปลดเชือกที่คาดเอวออกมาให้ปลายฝนดู ปรากฏว่าเป็นเชือกที่ร้อยของขลังเอาไว้เต็มไปหมด ทั้งม้วนผ้ายันต์ ตะกรุด เบี้ยแก้ และอีกสารพัด ปลายฝนมองอย่างตะลึง
“โห ฝุดๆ อ่ะ”
“นี่ยันต์เจ้าพ่อม้าศึก นี่เบี้ยแก้อาจารย์คง แล้วที่เด็ดสุด นี่ ตะกรุดอาจารย์เจี๊ยบ ยังไม่รวมของขลังอย่างอื่นอีกนะ ไม่อย่างงั้น ฉันไม่รอดมาจนป่านนี้ได้หรอก”
ป๋องเอาของขลังขึ้นไหว้จบหัว
“ชีวิตนายดูผ่านอะไรมาเยอะนะ ไม่น่าเป็นคนโง่นี่นา”
ป๋อง ทำหน้างง “อ้าว โง่ยังไงไม่ทราบ”
“ก็อย่างตอนกลางวันที่พี่โจให้นายมาหลอกถามฉันน่ะ ทำไมนายถึงมีพิรุธ”
“ก็ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนนี่ ฉันเลยไม่กล้าหลอกเธอ มันรู้สึกไม่ดี ฉันก็เลยลังเล พี่โจเขาก็ด่าฉันเหมือนกันนะ เขาบอกต้องรู้จักหลอกใช้คน”
ปลายฝนส่งยิ้มให้ป๋อง
“ดีแล้วล่ะ ฉันว่านายไม่ต้องเชื่อพี่โจหมดหรอก นายเป็นแบบนี้น่ะดีแล้วล่ะ”
“แต่ถ้าทำไมได้ ก็คงเป็นนักสืบแบบพี่โจไม่ได้”
“ก็เป็นอย่างอื่นสิ จะเป็นนักสืบทำไม ถ้านายต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ”
ป๋องถอนหายใจ “คนอย่างฉันไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะเป็นครูแนะแนวให้นายเอง”
“ขอบใจ แต่เธอเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะยัยเบื๊อก แค่ขับรถชนเสาไฟฟ้ายังทำอะไรไม่ถูกเลย”
“ไอ้บ้า”
ปลายฝนกลับเข้ามาในคอนโด กำลังจะเดินไปที่ห้องนอน วนิษที่นั่งดูทีวีอยู่ รีบกดรีโมทปิด
“เดี๋ยวก่อนปลายฝน”
“มีอะไรคุยพรุ่งนี้ได้ไหมคะ หนูง่วงแล้ว” ปลายฝนทำท่าหาว
“ไปไหนมา ทำไมถึงได้กลับดึกขนาดนี้”
“เวลาคุณกลับดึก หนูเคยถามคุณมั้ยว่าคุณไปไหนมา”
“อย่ามาย้อนฉันนะปลายฝน เธอยังเป็นเด็ก ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของฉัน เราไม่ได้เท่าเทียมกันนะ”
“หนูไปกับเพื่อนมา”
วนิษามองหน้าปลายฝน “ไม่ได้ยุ่งอะไรกับยาเสพติดใช่มั้ย”
“หนูยังไม่โง่ขนาดนั้น”
“เซ็กส์?”
ปลายฝน ส่ายหน้า
“ไม่มีหรอกค่ะ เรื่องพวกนี้คุณไม่ต้องห่วงหนูหรอก หนูดูแลตัวเองเป็น มีอะไรอีกมั้ย”
วนิษาอ่อนลง พลางพูดด้วยความเป็นห่วง
“อย่าประมาทแล้วกัน ปลายฝน”
“คุณก็เตือนตัวเองด้วยแล้วกัน อย่าประมาทนะคะ”
ปลายฝนจ้องวนิษา ก่อนจะเดินเข้าห้องไป
กริชยืนอยู่กับวนิษา ที่จุดจอดรถรับส่งหน้าห้างสรรพสินค้า ครู่หนึ่งโจก็ขับรถมารับ
“ขอบคุณนะคะที่พามาเลี้ยงร้านอร่อยๆแบบนี้ มื้อหน้าต้องให้ฉันเลี้ยงบ้างนะ”
“เย็นนี้ดีไหมครับ”
วนิษายิ้มขำ “เร็วไปมั้งคะ”
“คุณวนิษาครับ ผมเพิ่งนึกได้ เราไปทานกาแฟกันต่อไหมครับ ผมรู้จักร้านกาแฟน่ารักๆอยู่ร้านนึง” พลางหันมาทางโจ “เดี๋ยวนายขับตามฉันไปละกัน”
โจหันมาทางวนิษา
“คุณอยากจะไปกินกาแฟกับเขาไหม”
กริชหันขวับมามอง เพราะไม่คิดว่าโจจะกล้าถามแบบนี้ วนิษาหันมาพูดกับกริช
“ติดไว้เป็นวันหลังนะคะ วันนี้ฉันมีธุระ”
“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น เอ่อ”
กริชยังพูดไม่ทันจบ โจก็ทำท่าเป็นปัดยุง แล้วรีบบอกวนิษา
“ขึ้นรถเถอะครับ ยุงเข้า เดี๋ยวเป็นไข้เลือดออกนะครับ”
กริชแอบเคืองที่โดนโจขัดจังหวะ ขณะที่วนิษาขึ้นรถไป
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณกริช”
โจขึ้นรถ ปิดประตู
“ไปไหนต่อครับ”
“วังวาสุวงศ์”
โจขับรถออกไป กริชแอบบ่นกับตัวเอง
“ไอ้ตัวเผือก กวนโอ๊ยขึ้นทุกวันนะแก คนอย่างแกจัดการไม่ยากหรอก หึ”
กริชเดินกลับเข้าห้าง อีกมุมหนึ่งมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งยืนอยู่ห่างๆ มองไปที่รถของวนิษา พลางยกมือถือขึ้นมากดออก
“ออกไปแล้ว เตรียมตัว”
โจเลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กๆเส้นหนึ่ง รถตู้คันหนึ่งวิ่งตามมาห่างๆ คนในรถตู้คุยโทรศัพท์อยู่
“เป้าหมายเข้ามาแล้ว ลงมือได้”
โจขับรถไปเรื่อยๆ เห็นอาอึ้มแก่ๆ หลังโก่ง เดินตัดหน้ารถ โจหยุดรถ พร้อมๆ กับรถตู้ขับตามมาประกบหลัง โจเอะใจ มองรถตู้ ที่เข้ามาจ่อใกล้มากๆ
โจหันขวับกลับมามองที่อาอึ้ม ที่หน้าดูแก่ ผมยาวหงอก แต่ไม่เห็นไรผม อาอึ้มใส่ขายาว แต่โจเห็นกล้ามขาโป่งแน่น โจดูที่มือ อาอึ้มใส่เสื้อแขนยาว แต่แขนใหญ่ เห็นกล้ามเป็นมัด ตรงมือนิ้วอวบ ใหญ่
โจมองกระจกหลัง เห็นประตูรถตู้เปิดออก ก็เข้าเกียร์ เร่งครื่องพุ่งเข้าใส่อาอึ้มทันที
“นี่นาย ทำอะไรน่ะ” วนิษาตกใจ
“เราโดนเล่นงานแล้วครับ”
โจพุ่งรถเข้าใส่ อาอึ้มหันมาร้อง พลางรีบกระโดดหลบ
“โจ อย่า”
วนิษาร้องห้าม โจไม่สนใจขับรถพุ่งออกไป อาอึ้มชักปืนออกมายิงใส่ล้อหลังของรถวนิษา พร้อมๆกับกุ๊ย 3 คน ในรถตู้วิ่งออกมา
โจขับรถหนีต่อไป กุ๊ยรีบวิ่งกลับขึ้นรถตู้ขับตามไป
รถตู้วิ่งเลี้ยวโค้งมาในถนนเส้นเล็กๆ เห็นรถวนิษาจอดคากลางถนน ยางล้อหลังแบนแต๋ทั้งสองข้าง รถตู้จอดประกบหลัง กุ๊ยในรถออกมาเกือบสิบคนพร้อมอาวุธครบมือ เดินตรงมาที่รถวนิษา แต่ไม่เจอใคร
“มันหนีไปแล้ว”
ทุกคนช่วยกันมองหา สองข้างทาง มีซอยหลายซอย
“แล้วจะไปหาที่ไหนวะ”
หนึ่งในนั้นหัวเราะ แล้วพูดเสียงดัง
“ฉันรู้นะว่าพวกแกหลบอยู่ที่ไหน นึกว่าพวกฉันโง่หรือไงวะ”
พูดพลางเอานิ้วทาบปาก บอกให้เงียบ แล้วชี้ลงไปใต้พื้นรถ คนอื่นๆพยักหน้าเข้าใจ ค่อยๆเดินมาล้อมรถไว้
“เอ๊ พวกมันหายไปไหนกันน้า”
จากนั้นพวกมันก็ล้อมรถไว้หมดแล้ว หนึง่ในนั้นทำท่าให้สัญญาณ 1 2 3 ก่อที่ทุกคนจะทิ้งตัวลงหมอบกับพื้น ดูใต้พื้นรถ ใต้พื้นรถว่างเปล่า ไม่มีคน
“มันฉลาดกว่าที่ฉันคิด”
อีกคนถีบโครมเข้าให้
“ไอ้ควาย แทนที่จะโง่คนเดียว ดันทำคนอื่นเสียหมาไปด้วย เฮ้ย พวกเรา กระจายกันหาตามซอย มันหนีไปได้ไม่ไกลหรอก เร็ว”
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
โจกับวนิษาหลบอยู่ในตรอกแคบๆ พลางมองออกไป เห็นพวกกุ๊ยกำลังกระจายกำลังหากัน
“รู้ไหม ใครส่งพวกมันมาล่าคุณ”
“ไม่รู้ ศัตรูฉันก็มีแต่เสี่ยเพ้ง”
“แน่ใจนะ” โจถามย้ำ “เรื่องชู้สาวล่ะ มีขัดแย้งกับใครรึเปล่า”
“หมายความว่ายังไง จะถามว่าฉันแย่งผัวใครมาใช่มั้ย”
“ก็ทำนองนั้น”
วนิษาโกรธจัด ตบหน้าโจเอย่างแรง
“เห็นฉันเป็นผู้หญิงยังไง”
กุ๊ยสองคนเดินถือดาบผ่านมา ได้ยินเสียงวนิษาโวยวายก็หันขวับ พลางเดินเข้ามาในตรอกที่โจกับวนิษาซ่อนตัวอยู่
“หลบเร็ว”
โจจับมือวนิษากระชากหนี จนมาเจอทางตัน
“มา เดี๋ยวฉันเจรจากับมันเอง”
“เจรจา?” โจมองหน้าวนิษา “หน้าตาพวกมันเหมือนผู้บริหารหรือไง มานี่”
โจดึงวนิษาหลบเข้าไปในหน้าต่างบ้านไม้หลังหนึ่งที่เปิดทิ้งไว้
ในบ้านไม้ ที่เก่าๆ ทึมๆ มีหนังสือโป๊ ปฏิทินโป๊ แผ่นหนังโป๊ วางเกลื่อนกลาด รวมทั้งตุ๊กตายาง ที่สวมชุดวาบหวิว วนิษาหน้าแดงอาย
“เปลี่ยนบ้านได้มั้ย”
“ไม่ทันแล้ว คุณจะเปลี่ยนทำไม”
“ก็ดูซิ มีแต่ของลามกเต็มบ้าน จะให้ฉันหลบอยู่ได้ยังไง”
โจส่ายหน้า “เอาน่า อย่าเยอะนักเลย”
“นายก็พูดได้สิ นายเป็นผู้ชาย อยู่ได้เพลินเลยสิท่า”
“เห็นผมเป็นวัยรุ่นเห่อขนหน้าแข้งเหรอไงครับ ระดับผมแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งของพวกนี้หรอก”
วนิษาฟังแล้วรีบกระเถิบหนี
“อย่ามองฉันแบบนี้นะ ออกไปห่างๆ”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ผมหมายถึงผมเลิกพึ่งของพวกนี้เพราะผมยึดหลักธรรม
มีสติรู้ตัวเอง เวลาหื่นก็บอกตัวเองว่าหื่นหนอ หื่นหนอ”
“แล้วก็หายหื่น”
โจส่ายหน้า
“เปล่าครับ ยังไงก็ไม่หาย ล้อเล่น พอรู้ตัวว่าหื่นมันก็มีสติว่าเราหื่นเพราะรูปรสกลิ่นเสียง แรกๆ ก็ยังไม่หาย แต่พอเตือนสติตัวเองบ่อยๆ มันก็เริ่มตามทันอารมณ์ตัวเอง ก็เริ่มคุมตัวเองได้”
“พูดจริงน่ะ”
“ครับ”
“แล้วนายตายด้านไปเลยรึเปล่า” วนิษายังไม่หายข้องใจ
“ผมว่าคุณถามลึกเกินไปแล้วนะ”
วนิษายิ้มเขินๆ “ก็แค่ชวนคุยเฉยๆ”
“อยากรู้จริงรึเปล่าล่ะ”
โจยิ้มมุมปาก พลางแกล้งมองวนิษาแบบลามกๆ
“เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ”
โจหัวเราะ “ก็ได้ คุยเรื่องคุณก็แล้วกัน ความจำผมเสื่อมอยู่ ไม่มีเรื่องอะไรจะคุย”
“เรื่องของฉันเหรอ แม่บอกว่าตอนเด็กๆ มีหมอดูมาดูดวงฉัน บอกว่าโตขึ้นจะเป็นผู้หญิงกินผัว พ่อของฉันเลยต่อยปากหมอดูคนนั้นแตกไปเลย”
โจส่ายหน้า
“คุยเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ดีกว่า ชีวิตคุณต้องมีด้านอื่นมั่งสิ เช่น ขนมที่ชอบ ดาราคนโปรด
เรื่องประทับใจตอนเด็กๆอะไรเงี้ย”
วนิษาเงียบไปพักหนึ่ง
“ตอนฉันเด็กๆ ฉันชอบตอนไปอยู่กับยาย ยายเป็นคนธรรมมะ ธรรมโม แล้วก็รักฉันมาก เวลาสอนอะไรฉันก็จะใช้เหตุผล ใจเย็นแต่ก็เด็ดขาด มีอยู่วันหนึ่ง ฉันทำจานใบโปรดของท่านแตกแต่ไม่กล้าบอก เอากาวสารพัดชนิดมาทาเพื่อซ่อมจาน”
โจฟังไป ยิ้มไป วนิษาเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ
“ตั้งแต่นั้นมาฉันก็เลยเกลียดปลาหมึก ไม่เคยกินอีกเลยจนวันนี้จะยี่สิบปีแล้ว ก็ยังไม่อยากกินอยู่ดี เฮ้อ”
“เป็นอะไรรึเปล่า” โจถามด้วยความเป็นห่วง
“เหนื่อย ฉันไม่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังมากมายเท่านี้มาก่อนเลยนะ”
“ผมก็ไม่เคยฟังเรื่องของใครยืดยาวเท่านี้มาก่อนเหมือนกัน”
ทั้งคู่สบตากัน รู้สึกอบอุ่นในใจ แต่พอรู้ตัว ต่างคนต่างก็รีบดึงตัวเองออกมา
“ไม่รู้ป่านนี้พวกนั้น พวกมันไปกันรึยัง”
“จริงสิ”
โจค่อยๆเปิดหน้าต่างโผล่หน้าออกไปดู เห็นกุ๊ยทั้งสองยังยืนเฝ้าอยู่หน้าตรอก ขณะที่คนอื่นๆ ยังเดินวนเวียน ขณะเดียวกันมีกลุ่มหนุ่มสาวโรงงานเดินเข้ามา พวกกุ๊ยจ้องหน้าทุกคน
“พวกมันยังไม่ไปไหน แต่คนเริ่มกลับจากทำงานแล้ว เดี๋ยวไอ้เจ้าของห้องนี้ก็ต้องกลับมาเหมือนกัน เราต้องรีบออกไปแล้วล่ะ”
“แล้วจะออกไปยังไง”
โจขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมองไปรอบๆห้อง
โจเอาก้อนทิชชูก้อนเท่าปลายนิ้วก้อยแปะสก็อตเทปตรงคอวนิษา พลางรื้อตู้เสื้อผ้าเจ้าของห้อง หยิบหน้ากากไอ้โม่งไหมพรม แล้วใช้ผ้ายัดใส่หมวกไหมพรมจนพองกลมสี่ใบ จากนั้นก็ถอดยกทรงจากตุ๊กตายางมาให้วนิษา เอาหมวกไหมพรมยัดลงไปด้วย
โจฉีกผ้าปูเตียงเป็นแถบยาว เอามาพันคอให้วนิษา จากนั้นก็ถอดหมึกปรินเตอร์ออกมา เทใส่จาน เอาหวีพลาสติกจิ้มหมึก แล้วแต้มๆบนหน้าวนิษา และตรงหน้าแข้ง
วนิษาโยนเงินปึกหนึ่งลงบนเตียง แล้วปิดไฟ ห้องอยู่ในความมืด
กุ๊ย 2 คน ยังคงเฝ้าที่หน้าปากซอย ครู่หนึ่งก็เหลือบเห็นเงาดำสองร่างเดินออกมาจากซอย 2 กุ๊ย
กำดาบแน่น เตรียมลุย
เงาดำสองร่างนั้นเดินออกมาที่ปากซอย แสงสว่างส่องให้เห็นโจกับวนิษา ที่ปลอมตัว สวมชุดวาบหวิว
หน้าอกหน้าใจมโหฬารกันทั้งคู่
“โอ้ว แม่เจ้า บะละเฮ่มเลยโว้ย อูย อุดมด้วยแคลเซียม วิตามินและเกลือแร่”
อีกคนตบหัวคนพูดจนหัวทิ่ม
“ดูดีๆดิ กะเทยทั้งคู่เลย นั่นหนวดก็มี ลูกกระเดือกก็แหลมซะขนาดนั้น”
จากนั้นก็ชี้ที่หน้าโจกับวนิษา ที่มีหนวดหร็อมแหร็ม ลูกกระเดือกโจกับที่คอวนิษาที่มีผ้าพันคอมาปิด แต่ก็ยังเห็นอะไรแหลมๆยื่นออกมา โจกับวนิษาทำค้อน
“ที่สำคัญ ผู้หญิงจริงน่ะเวลาเขาไปทำอก เขาก็ทำกันพอดีๆ ส่วนไอ้นมไดโนเสาร์แบบนี้น่ะ มีแต่กะเทยเก็บกดเขาทำกัน”
วนิษากับโจ แกล้งทำเป็นสะดุ้ง โจถึงกับตะโดกนด่า
“แม่แกสิเก็บกด ไอ้วรนุชสกู๊ตเตอร์”
“แน่ะปากดีเดี๋ยวบั๊ดจิ้มนมแตกหรอก”
โจจะเดินหนี แต่วนิษาชักมัน
“ลองดูสิยะ ไอ้หน้าลิงกังถังส้วมซึม”
โจดึงวนิษาออกมา แต่วนิษายังด่าติดพัน
“ไอ้หมูหมากาไก่ไข่พะโล้เน่า”
“นี่ๆ ไปได้แล้วเธอ”
โจดึงวนิษาจากไป วนิษายังด่าต่อ
“ไอ้กากเดนอาจม เศษสวะสังคมไม่รีไซเคิ่ล”.
กุ๊ยชักเหลืออด โจรีบกระชากวนิษาหนี
โจกับวนิษา ในชุดกระเทยมานั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหาร จู่ๆวนิษาก็หัวเราะออกมา
“ขำอะไรคุณ”
“ก็ขำพวกนั้นน่ะสิ นึกว่าเราเป็นกะเทยจริงๆ”
“ผมขำคุณมากกว่า ดันติดใจ ด่ามันไม่ยอมเลิกซะนี่”
วนิษาหัวเราะร่วน “ก็มันสนุกจนตัดใจไม่ได้”
“ไม่ค่อยได้ด่าคนสินะ”
“ด่าสิ แต่ด่าแบบสะใภ้ผู้ดีมันต้องสุภาพ ด่าแบบตั่วเจ๊ก็ต้องมีหลักการ แต่เมื่อกี้มันด่าแบบกุ๊ย
ไม่ต้องคิดมาก สนุกกว่าตั้งเยอะ”
“สงสัยผมจะปลุกด้านมืดในตัวคุณขึ้นมาซะแล้ว”
วนิษาหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล จนโจทนไม่ไหว พลอยหัวเราะไปด้วย
พวกกุ๊ยกลับมารวมตัวกัน หนึ่งในนั้นรีบกดมือถือรายงาน
“ขอโทษด้วยครับหัวหน้า พวกมันหนีไปได้”
“ไม่เป็นไร” ปลายสายตอบมาอย่างใจเย็น
“แล้วจะให้พวกเราทำไงต่อครับ”
“เดี๋ยวฉันจะโอนเงินให้พวกแก ยังไงพวกแกก็รีบกลับไปต่างจังหวัดไปซะ เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ”
กุ๊ยวางสาย ในขณะที่ทางปลายสาย วางหูตาม
แท้จริงแล้ว ปลายสายก็คือปฐม ที่สั่งการอยู่ในบ่อน หน้าตาครุ่นคิด
โจขับมาส่งวนิษาที่หน้าคอนโด
“ขอบคุณนายมากนะที่ช่วยฉันไว้”
โจยิ้มหวาน
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ที่ยังไงก็ต้องพาคุณฝ่าวงล้อมนั่นออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย”
“เรื่องฝ่าวงล้อมน่ะฉันเฉยๆ เป็นตั่วเจ๊ต้องเจอเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ขอบคุณที่ทำให้ฉันสนุกมาก
ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากแล้ว ขอบคุณจริงๆนะ”
“เอ่อ ครับ”
แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
จากนั้นโจมานั่งคุยกับป๋อง ที่ร้านฟาสต์ฟู้ด
“มาช้าจังพี่ รอจนเหม็นเปรี้ยวแล้วเนี่ย”
“เออน่า ว่าไง มีอะไรคืบหน้า”
“ได้เรื่องผลชันสูตรของสถาพรมาแล้ว”
“ว่าไง” โจตื่นเต้น
“สารที่พบในเลือดสถาพรไม่ถึงกับเป็นยาพิษ เป็นแค่ยากล่อมประสาทที่อาจทำให้ตายได้ ถ้ากินเยอะเกินไป”
“สรุปว่าตายเพราะยา”
“ไม่อย่างนั้นซะทีเดียว อาจตายเพราะยา หรือไม่ก็ตายเพราะโรคหัวใจ”
โจหน้าเครียด “แต่เมียสถาพรบอก สถาพรไม่ได้เป็นโรคหัวใจ”
“โรคหัวใจมีหลายแบบนะครับ”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง “งานนี้ยากกว่าที่คิดแฮะ”
ซูซี่นอนหลับอยู่ในมุ้ง พลางรู้สึกเหมือนมีคนมานั่งข้างๆ พอลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นโจนั่งอยู่ข้างๆ
“โจ จะทำอะไรฉันน่ะ”
“จุ๊ๆ”
ซูซี่แกล้งทำท่ากลัว
“ขอร้องล่ะ ฉันแก่แล้วนะ อย่า อย่า อย่าทำแรงนะ แต่ทำนานๆได้ ไม่เป็นไร”
“ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่มีเรื่องจะมาถาม”
ซูซี่ผิดหวัง “ว่ามา จะถามอะไรยะ”
โจมองหน้าซูซี่ แล้วหยิบสากทองเหลืองออกมา
“นี่คืออะไร”
ซูซี่อึ้ง ไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วก็หัวเราะก๊าก
“เอามาทำไมเนี่ย”
“มันคืออะไร” โจถามย้ำ
“มันคือสากทองเหลือง เอาไว้ซ้อมมือ”
“ซ้อมมือ?”
“เธอห้ามบอกคนอื่นนะ เคล็ดลับการตำส้มตำของฉัน คือฉันตำไม่กี่ที แต่แต่ละทีน่ะต้องทรงพลัง
เหมือนค้อนของเทพเจ้า สากนี่ฉันเอาไว้ใช้ฝึกน้ำหนักในการตำน่ะ”
โจครุ่นคิดตาม เมื่อไม่เห็นพิรุธอะไร ก็เก็บสากไว้ ซูซี่ยังหัวเราะไม่เลิก
“อีกข้อ คุณวางยาสถาพรรึเปล่า”
คราวนี้ซูซี่ตกใจ หน้าซีดเผือด
“เธอรู้แล้วเหรอ”
“คุณวางยาเขาจริงๆเหรอเนี่ย”
ซูซี่ ส่ายหน้า “เปล่านะ”
“อธิบายมาซิ”
“ยาเป็นของฉัน มีอยู่ช่วงนึงหมอจ่ายยากล่อมประสาทให้ฉันเพราะเป็นโรคนอนไม่หลับ ตอนนั้นสถาพรเขาเครียดจนนอนไม่หลับเหมือนกัน ฉันก็เลยเอายาของฉันให้กิน”
โจนึกภาพตาม
“อ๋อ ตำรวจเจอยาตัวนั้นในเลือดสถาพร แล้วก็สืบจนรู้ว่าคุณก็ใช้ยาตัวนั้น ก็เลยคิดว่าคุณเป็นคนวางยาสถาพร แล้วทำไมคุณไม่บอกความจริงกับตำรวจ”
“ไม่มีใครถามนี่นา ฉันก็เพิ่งรู้จากเธอนี่แหละว่าสถาพรตายเพราะกินยานั่น”
“งั้นคุณก็ไปหาตำรวจ บอกความจริงให้เขาฟัง ก็จบ”
ซูซี่ยิ้ม แต่แว่บเดียวก็เงียบไปแล้วส่ายหน้า
“แต่ฉันไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าสถาพรเป็นคนเอายาไปกินเอง ร้อยทั้งร้อยเขาก็ต้องคิดว่าฉันเป็นคนวางยานั่นแหละ”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง
“จริงของคุณ เราต้องหาหลักฐานหรือพยานที่พิสูจน์ได้ว่าสถาพรกินยาพวกนั้นด้วยตัวเอง มีใครรู้บ้างไหมว่าเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ”
ซูซี่ส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน”
“โอเค ตอนนี้อะไรหลายๆอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว ผมรู้แล้วว่าต้องทำอะไร”
“ช่วยฉันด้วยนะโจ”
“ไม่ต้องห่วง ผมรับปากใครแล้ว ผมไม่ผิดคำพูด”
“เท่ระเบิดเลยตะเอง”
โจฝืนยิ้ม แล้วมุดมุ้งออกมา เจอพวกคนงาน 3-4 คนเดินผ่านมาพอดี ทั้งสองฝ่ายหยุดมองกัน
“คุณกับซูซี่”
โจตกใจ “เอ่อ คือว่า”
ซูซี่โผล่หน้าออกมา
“แล้วมาเยี่ยมอีกนะคะผัวขา อา แซบเว่อร์เลยอ้ะตะเอง จุ๊บๆ”
ซูซี่ส่งจูบให้ พวกคนงานมองโจแล้วหัวเราะคิกคัก
“คิดไงเนี่ย มามุดมุ้งยัยซูซี่เนี่ย คุณก็หล่อดีนี่หว่า ให้ผมแนะนำน้องๆให้ไหม”
โจตกกะไดพลอยกระโจน เดินมาใกล้ๆพวกคนงานแล้วเปรย
“พวกคุณไม่รู้อะไร ชายเหนือชายคือวีรบุรุษ ชายเหนือตุ๊ดคือวีรบุรุษไร้เทียมทาน”
โจหันมายักคิ้วเท่ๆให้คนงานแล้วเดินจากไป คนงานมองตามโจแล้วหันมามองซูซี่ ซูซี่ยิ้มหวานจ๋อยกวักมือเรียก
วนิษานัดเจอปฐมที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“ฉันกับนายดาวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ฉันอยากให้คุณปฐมช่วยสืบให้หน่อย ว่าเป็นฝีมือของใคร”
“ผมว่าต้องเป็นฝีมือไอ้เสี่ยเพ้งแน่ๆ เราต้องตอบโต้มันให้สาสม”
“เรื่องที่เรากับเสี่ยเพ้งเขม่นกันอยู่น่ะใครๆก็รู้ อาจจะมีมือที่สามฉวยประโยชน์จากเรื่องนี้ก็ได้ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ทำอะไรต้องรอบคอบนะคุณปฐม”
“ครับ เอ่อ ตั่วเจ๊ครับ ผมสงสัยอย่างนึง”
“เรื่องอะไร” วนิษาสงสัย
“นายดาว ฟังจากที่ตั่วเจ๊เล่า ทำไมมันไม่ตกใจกลัวอะไรเลย เจอคนเป็นสิบจะรุมสับ เป็นใครใครก็ต้องตื่นเต้นทั้งนั้น นอกเสียจากว่า”
“อะไร”
“มันรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้”
วนิษาตาโต “หมายถึงนายดาวทรยศเราเหรอ”
“ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกต”
วนิษานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ก็จริง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้รวดเร็วเหมือนคนมีประสบการณ์ เรื่องการปลอมตัวก็ดูเชี่ยวชาญ
แล้ววันก่อนที่ห้าง ก็สู้กับพวก รปภ. ได้คล่องแคล่วอาจจะเก่งกว่าลูกน้องคุณด้วยซ้ำ”
“ตอนที่ผมทดสอบฝีมือมัน มันไม่ได้เรื่องเลยนะครับ หรือมันจงใจปกปิดฝีมือตัวเอง”
วนิษาครุ่นคิด “งั้นเรารอดูไปก่อนแล้วกัน”
โจนั่งคุยกับป๋องในบ้าน
“คดีของซูซี่ ถึงตอนนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนแล้ว เหลือเพียงแค่หาข้อพิสูจน์ว่าสถาพรกินยาเอง ไม่ใช่ซูซี่วางยา”
“พี่แน่ใจใช่มั้ยครับว่าซูซี่ไม่ใช่คนวางยา”
“การวางยาคนจริงๆมันเป็นเรื่องยาก ยิ่งยาที่มีรสขมแบบนั้น แถมยังต้องกินไปในปริมาณที่มากถึงจะตายได้ เคสนี้ฉันเชื่อว่าสถาพรคงตั้งใจกินเข้าไปเอง”
โจวิเคราะห์อย่างผู้เชี่ยวชาญ ป๋องพยักหน้าเห็นด้วย
“แกลองไปสอบถามจากคนใกล้ตัวสถาพร ย้อนกลับไปถามเมียเขาด้วย ถามเพื่อนบ้าน ถามร้านขายยากับคลีนิกแถวนั้น ลองดูเผื่อจะโชคดีได้เบาะแสเพิ่มเติม”
“ได้ครับ”
“ทีนี้มาคดีวนิษา ของที่ปลายฝนบอกจะหามาให้น่ะ ได้รึยัง”
“ได้มาแล้วครับ”
ป๋องหยิบซองจดหมายซองหนึ่งให้ดู หยิบของข้างในออกมา เป็นพวงกุญแจกับคีย์การ์ด
“คีย์การ์ดกับกุญแจคอนโด”
โจรับมา “งานนี้คงต้องขอยืมมือนายกริชช่วยเราซักหน่อย”
ที่ลานจอดรถของร้านอาหาร โจนั่งรออยู่แถวรถวนิษา ป๋องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดใกล้ๆ พลางรีบเดินมาหา“ว่าไงลูกพี่”
“วันนี้ฉันจะลงมือ ตอนนี้คุณวนิษากับนายกริชกำลังกินข้าวกันอยู่ เดี๋ยวพอออกมา ฉันจะหลอกล่อให้เขาสองคนไปต่อกันที่อื่น ส่วนฉันจะรีบไปค้นคอนโดวนิษา แกมีหน้าที่ติดตามสองคนนั้น ถ้าเขาทำท่าจะกลับเข้าคอนโด แกต้องรีบโทรบอกฉันก่อน เข้าใจไหม”
ป๋องพยักหน้า
“เข้าใจครับ ว่าแต่พี่จะหลอกให้สองคนนั้นไปที่อื่นยังไง หลอกให้ไปออกอัลบั้มคู่กันเหรอครับ แบบ
ฟีเจอริ่งอะไรเงี้ย”
โจหน้าเสียไปวูบหนึ่งก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ
“เขาจะไปไหนกันก็เรื่องของเขา เอาเป็นว่าแกเข้าใจหน้าที่แกแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
โจเห็นกริชกำลังเดินออกมา ก็รีบผลักป๋องออกไป
“นายกริชออกมาแล้ว รีบหลบไปก่อน”
กริชเดินมาหาโจ ท่าทางมีพิรุธ
“ผมมีเรื่องคุยกับคุณ”
“มีอะไรครับคุณกริช”
“ตามผมมา”
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
กริชให้โจเข้ามานั่งในรถของเขา พลางเปิดลิ้นชักที่คอนโซล แล้วหยิบซองสีน้ำตาลเล็กๆซองหนึ่งออกมาให้โจ โจรับไปดูอย่างงงๆ เห็นข้างในมีธนบัตรปึกใหญ่
“อ่ะ ผมให้”
โจมองหน้ากริช “ค่าอะไรครับ”
“ผมรู้คุณเป็นคนฉลาด ผมอธิบายสั้นๆแล้วกัน ผมต้องการให้คุณอยู่ข้างผม”
โจแกล้งทำหน้ามึน
“ผมไม่ใช่คนฉลาดครับ คุณต้องอธิบายมากกว่านี้ครับ”
“อย่าเป็นปฏิปักษ์กับผม ผมกำลังจีบคุณวนิษาอยู่ ผมรู้คุณห่วงนายคุณ แต่ผมไม่อยากให้คุณเป็นก้างขวางคอผมแบบนี้”
โจพยักหน้าหงึก
“อืม ผมเข้าใจแล้ว เช่นเวลาคุณชวนเธอไปไหนต่อไหน ก็ให้ผมเออออไปด้วย อะไรอย่างงี้ใช่ไหมครับ”
กริชยิ้ม
“ถูกต้อง นี่แค่ก้อนแรก ผมให้คุณมากกว่านี้ถ้าคุณทำผลงานได้ดี เช่น เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ คุณอาจจะแกล้งบอกรถเสีย ต้องเอารถไปซ่อม ให้คุณวนิษาไปรถผมก่อนอะไรอย่างงี้ โอเคมั้ย”
“ได้ครับ”
“เยี่ยมมาก”
กริชตบบ่าโจ ก่อนจะลงไปรอนอกรถ แล้วถือโอกาสสั่งโจ ทำตัวเป็นเจ้านาย
“ปิดลิ้นชักให้ผมด้วย”
“ได้ครับนาย”
โจจับลิ้นชักกำลังจะปิด พลางเหลือบเห็นกล่องถุงยางอนามัยกล่องใหญ่ ข้างๆมีซองยาแค็ปซูล
โจปิดลิ้นชักให้เปิดประตูเดินออกไป กริชยิ้มพอใจก่อนจะลงจากรถเพื่อกลับไปหาวนิษาในร้าน
“พวกกากเดนอย่างแก เอาเงินฟาดหัวก็เรียบร้อย เฮอะๆ”
กริชแอบยิ้มเยาะ ในชณะที่โจก้มมองเงินในซอง
“ยังไม่ทันได้หลอกล่ออะไรเลย ก็ดันเสนอตัวซะเอง ทำให้งานผมง่ายขึ้นเยอะเลย”
กริชกับวนิษาเดินออกมาจากร้านอาหาร
“อาหารอร่อยมากเลยครับ เป็นมื้อที่ประทับใจจริงๆ”
“ฉันดีใจค่ะที่คุณกริชชอบ”
กริชกับวนิษาเดินมาที่รถของวนิษา พบว่ารถเปิดฝากระโปรงอยู่ โจหน้าเครียดดูเครื่องอยู่
“มีอะไรเหรอนายดาว”
“รถเสียครับคุณวนิ”
วนิษาหน้าเครียด “ซ่อมได้มั้ย ฉันมีธุระต้องไปที่อื่นอีกนะ”
“ไม่แน่ใจครับ”
โจทำทีดูนั่นดูนี่วุ่นวาย วนิษาดูหงุดหงิด
“คุณวนิษาครับ งั้นคุณไปรถผมก่อนก็ได้ คุณจะไปที่ไหนเดี๋ยวผมไปส่งเอง บ่ายนี้ผมว่างครับ”
วนิษาชะโงกหน้าถามโจ
“ซ่อมไม่ได้เลยเหรอ”
“ผมไม่กล้ารับปากครับ ผมว่าคุณให้คุณกริชไปส่งเถอะครับจะได้ไม่เสียเวลา”
วนิษามองหน้า โจรีบหลบตา
“ให้ผมไปส่งดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันธุระ เชิญครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ” พลางหันมาทางโจ “ถ้าซ่อมไม่ได้ก็รีบตามช่างนะ หรือถ้ามีปัญหาอะไรก็โทร.
บอกฉันนะ”
น้ำเสียงวนิษาดูเป็นห่วงเป็นใย จนโจรู้สึกผิด
“ครับ ได้ครับ”
วนิษาเดินไปกับกริช กริชหันมาเจอโจมองอยู่พอดี ก็แอบยกนิ้วโป้งให้ โจยิ้มตอบ แล้วรีบวิ่งไปหาป๋อง ที่หลบอยู่ใกล้ๆ
“เตรียมตัว ตามแผน”
ป๋องสตาร์ทเครื่อง ทำท่าจะบิดออกไป
“เดี๋ยว ป๋อง”
“ว่าไงครับ”
“ฟังให้ดีนะป๋อง ไม่ใช่แค่สะกดรอยตามอย่างเดียวนะ ถ้าไอ้กริชมันคิดจะลงมือจัดการกับ
คุณวนิษาเมื่อไหร่ล่ะก็ แกต้องลงมือขัดขวางให้ได้”
ป๋องตกใจ
“หา ไอ้กริชมันจะฆ่าคุณวนิษาเหรอครับ”
“ไม่ใช่จัดการอย่างงั้น แต่จัดการอย่างงี้” พลางเอามือข้างหนึ่งสับลงบนฝ่ามืออีกข้าง
ป๋องพยักหน้าหงึก
“อ๋อ เข้าใจละ แล้วจะให้ผมขัดขวางทำไมล่ะครับ ปล่อยเขาเพลิดเพลินกันไปสิ พี่จะได้ทำงานได้สะดวกขึ้นไปอีก”
“เมื่อกี้ฉันเห็นยาเสียสาวในรถมัน ฉันเกลียดวิธีแบบนี้ แกต้องขัดขวางมันให้ได้”
ป๋องมองโจแบบจับพิรุธ “ก็ได้ครับ”
“ไม่ใช่ก็ได้ แต่แกต้องขัดขวางให้ได้”
ป๋องมองโจ นึกรู้ว่าโจรู้สึกอะไรกับวนิษามากแค่ไหน
“ไม่ต้องห่วงพี่ ผมสาบาน ผมจะขัดขวางเขาให้ได้”
รถของกริชเลี้ยวออกไป ป๋องบิดเครื่องตามไปทันที โจมองตามรถของกริชไปด้วยสายตากังวล ก่อนจะปิดฝากระโปรงรถแล้วขึ้นรถขับออกไป
โจไขกุญแจเข้ามาในห้องวนิษา พลางกวาดสายตาไปรอบห้อง แล้วเริ่มลงมือค้นอย่างรวดเร็ว แต่ค้นไปค้นมา ดันไปเจอพวกชุดชั้นในของวนิษา ทำเอาโจตะลึงลาน จนเลือดกำเดาไหลออกมา หยดลงผ้าเช็ดหน้าของวนิษาที่อยู่ในลิ้นชัก
“ซวยแล้ว”
โจลนลาน มือหนึ่งปิดจมูกตัวเอง อีกมือถือผ้าเช็ดหน้าวิ่งเข้าห้องน้ำ แล้วรีบเอาสบู่มาถูๆ ขยี้ๆจนรอยเลือดหมด เอาไดร์เป่าผมมาเป่า พลางนั่งส่ายหน้า เซ็งตัวเอง
“ซุ่มซ่ามจริงๆไอ้โจเอ๊ย”
วนิษากับกริชนั่งอยู่ด้วยกันที่ร้านกาแฟ คุยกันไป พลางจิบกาแฟกันไป ป๋องจอดมอเตอร์ไซค์ซุ่มดูอยู่ฝั่งตรงข้าม ท่าทางเบื่อๆเซ็งๆ พลันก็มีเสียงสัญญาณข้อความไลน์เข้ามา ป๋องหยิบมือถือมาอ่าน เป็นข้อความของปลายฝน
“ทำไรหรา”
ป๋องยิ้ม พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์โต้ตอบกันไปมา
ในขณะที่กริชมองไปที่รูปประดับข้างฝา เห็นรูปเด็กๆน่ารัก
“ดูรูปพวกนี้แล้วผมมีความสุขจัง”
“เหรอคะ”
“คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกครับว่าผมน่ะชอบเด็กๆ ผมฝันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นครับ”
วนิษามองกริชแล้วยิ้ม
“อย่างเด็กคนนั้นน่ะ อย่างฝันเลย ยิ้มหวาน ตาแบ๊วๆ แถมผมหยิกอีกต่างหาก”
กริชชี้ไป วนิษาหันไปมองตาม
“ดูนัยน์ตาเขาสิครับ มันบอกความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบที่พวกเราไม่มีกันแล้ว โลกที่แสนวุ่นวายของเรา ในสายตาพวกเขามันคงสวยงามน่าสนุกสนานไม่รู้จบเลยนะครับ”
วนิษามองตาม พลางยิ้มอย่างชื่นชม กริชรีบฉวยโอกาสหยิบยาแค็ปซูลออกมา เปิดออก เทผงลงในแก้วของวนิษา ยาละลายไปกับกาแฟอย่างรวดเร็ว
วนิษายกแก้วกาแฟจะดื่ม แล้วก็เปลี่ยนใจ วางแก้วกาแฟลง
“กลับเถอะค่ะ”
“อ๋อ ครับๆ”
วนิษาเดินออกไป กริชมองตามไป สีหน้ามุ่งมั่น ล้วงแผงยาออกมาจากกระเป๋า ยังมียาอีกเกือบเต็มแผง
“ผมยังมีอีกเป็นแผง ให้มันรู้ไปว่าคืนนี้คุณจะรอดไปได้”
กริชเดินตามวนิษาออกไป
ในขณะที่ป๋องมัวแต่พิมพ์ข้อความโต้ตอบกับปลายฝน พอเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้าม ก็หน้าซีดเผือด
เพราะรถกริชที่จอดอยู่หน้าร้านก็หายไปแล้ว
“คุณวนิษารีบกลับไหมครับ แวะไปดื่มอะไรชิลๆต่อไหมครับ ผมมีเพื่อนเป็นเจ้าของเล้าจน์แห่งหนึ่ง บรรยากาศดีมากๆ เห็นวิวทั่วกรุงเทพเลยนะครับ”
กริชหันไปถามวนิษา เมื่อนั่งอยู่ในรถด้วยกัน
“วันหลังก็แล้วกันนะคะ วันนี้ฉันมีงานต้องมาทำต่อที่บ้านน่ะค่ะ”
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณวนิษาที่คอนโดเลยนะครับ”
“ค่ะ”
กริชฝืนยิ้มให้วนิษา แล้วขับรถต่อไป
อ่านต่อตอนที่ 9