รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 6
โจขับรถมาที่จุดรับส่ง วนิษากับกริชขึ้นมาบนรถ โจมองกริชอย่างตะลึง
“โอ๊ะโอว”
กริชยิ้ม แบบลำพองนิดๆ
“ตกใจเหรอครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ คิดซะว่าผมเป็นแค่คนคนหนึ่งไม่ใช่พระเอกดังที่ไหน”
“ผมไม่รู้หรอกครับคุณเป็นพระเอกหรือตัวประกอบ ตกใจเรื่องอื่นน่ะครับ”
กริชชักสีหน้า ไม่พอใจ
“เรื่องอะไร”
“พูดไปมันจะไม่ค่อยเหมาะครับ เอาเป็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณสองคนก็แล้วกัน ถ้าสื่อมาถามผมจะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไร”
วนิษาผลักเบาะกระแทกท้ายทอยโจเต็มแรง
“ไม่มีอะไรส่วนตัวย่ะ แค่ไปส่งคุณกริชที่บ้านของเขา รถของเขามีปัญหา คราวหลังถามก่อนนะ ก่อนที่จะคิดอะไรสกปรกน่ะ”
“ก็เพื่อนคุณถาม ผมก็ต้องตอบ แล้วผมก็ไม่ได้พูดอะไรสกปรกซักนิด”
วนิษา ส่ายหน้า
“พอ เลิกพูด ขับออกไปได้แล้ว ฉันจ้างนายมาขับรถ ไม่ได้จ้างมากวนประสาท”
โจไม่พูดอะไรอีก พลางรีบขับรถออกไป
ระริน เพ็ญแข อยู่ในรถที่จอดอยู่ข้างทาง มองตามรถของวนิษาไป
“เห็นมั้ย เพราะแกเตือนฉันช้า พวกมันเลยได้ไปด้วยกันเลย”
“ผมทำดีที่สุดแล้วนะครับ”
“ระริน อย่าเครียดไปเลยลูก มีคนขับรถอยู่ด้วย มันคงไม่มีอะไรกันง่ายๆ หรอก”
“ค่ะ หนูก็ว่างั้น ไม่ได้เครียดอะไร”
“แล้วทำไมเงียบๆไปล่ะ” เพ็ญแขไม่วายสงสัย
“เมื่อกี้หนูเห็นคนขับรถของยัยวนิษาแว้บหนึ่ง มันคุ้นๆตายังไงไม่รู้ค่ะ”
“อ๋อ เหรอ”
ระรินพยายามนึก แต่นึกไม่ออก
“คุณวนิครับ ผมอยากบอกว่าคืนนี้ผมรู้สึกเหมือนฝันไป ที่ได้เต้นรำคู่กับคุณ ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนผมก็คงไม่ลืมวันนี้เลยครับ”
กริชหันมาบอกกบวนิษา ที่นั่งคู่กันที่เบาะด้านหลัง
“คุณกริชก็ออกงานบ่อย น่าจะชาชินกับเรื่องทำนองนี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่ผมไม่เคยเต้นรำกับนางฟ้านี่ครับ”
โจแกล้งไอเสียงดัง วนิษาปรายตามองอย่างไม่พอใจ แต่โจทำไม่รู้เรื่องขับรถต่อไป
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“จริงๆครับ ผมถามตัวเองว่านางฟ้าลงมาจากสวรรค์ชั้นไหนกันนะ ถึงได้สวยเหลือเกิน”
โจหันมองหน้าวนิษาทางกระจกหลังแว่บหนึ่ง แล้วกลั้นหัวเราะ วนิษาหันมาเจอพอดี เตรียมขยับจะเอาเรื่อง แต่ห้ามตัวเองทัน หันมายิ้มให้กริช
“ผมน่ะดีใจจริงๆนะครับที่ได้มีโอกาสรู้จักกับคุณวนิ ดีใจจนเสียใจ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เสียใจที่ปล่อยให้เวลาในชีวิตผ่านมาจะสามสิบปีอยู่แล้ว ถึงได้รู้จักคุณ”
โจใช้มือข้างหนึ่งไปถูแขนอีกข้างแรงๆ เหมือนขนลุก วนิษาพยายามไม่สนใจ
“ที่ผ่านมา มันมีบทพูดเพราะๆมากมายที่พระเอกพูดกับนางเอก ฟังแล้วกินใจ แต่ถึงตอนนี้ผมกับนึกคำพูดแบบนั้นไม่ออกสักคำ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะมันไม่ใช่คำพูดของผม เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้เป็นคำพูดในใจของผม คุณวนิษาครับ ถ้าคุณเป็นไฟ ผมจะยอมเป็นไม้ ถ้าคุณเป็นดอกทานตะวัน ผมจะยอมไม้ขีดไฟ ถ้าคุณเป็นพริกขี้หนู ผมขอเป็นหมูแฮม”
โจทำท่าขย้อนจะอ้วก วนิษาทำตาดุใส่โจ
“คุณวนิครับ”
วนิษาได้สติ หันมาทางกริช
“คะ ว่าไงเหรอคะ”
“ขอโทษนะครับที่ความในใจของผมทำให้คุณตกอยู่ในภวังค์ขนาดนี้”
“อ๋อ เอ่อ ค่ะ”
กริชยิ้มภูมิใจ ในขณะที่โจจอดรถเอี๊ยด
“เฮ้อ ถึงซะที เอ๊ย ถึงแล้วครับ”
“แล้วเจอกันนะคะคุณกริช”
กริชมองวนิษาแบบมีความหวัง
“คุณวนิจะขึ้นไปเข้าห้องน้ำหรือแวะจิบชาสมุนไพรซักหน่อยไหมครับ”
วนิษา ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“เอ่อ ครับ สวัสดีครับ ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
ยังไม่ทันที่วนิษาจะตอบ โจก็ชิงตอบแทน
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็ก ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก”
จากนั้นโจก็ขับรถออกไป วนิษานั่งเงียบ รอจนโจเลี้ยวออกจากซอย เข้าสู่ถนนใหญ่
“หยุดรถ”
โจเบรครถทันที
“ลงจากรถ”
วนิษาลงจากรถก่อน โจงง แต่ก็ลงตาม
วนิษาเดินมาหาโจ หยิบกุญแจรถไป
“ฉันไล่คุณออก อ้ะ เงินชดเชย”
วนิษาหยิบเงินปึกหนึ่งส่งให้โดยไม่ดูจำนวน
“คุณไล่ผมออกด้วยเรื่องอะไรครับ”
“นายห่ามเกินไปแล้วนะ เสียมารยาทที่สุด ทำท่าหัวเราะเยาะมั่ง ทำท่าขนลุกมั่ง แล้วที่ร้ายที่สุด
ทำท่าจะอ้วกด้วย ถ้าคุณกริชเขาเห็นเข้า เขาจะรู้สึกยังไง”
“มันอดไม่ได้นี่ครับ มันตลกจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้ที่ผมทำท่าจะอ้วกน่ะ อดไม่ไหวจริงๆ
เขาบอกคิดเองมาจากหัวใจ แต่ขอโทษ ฟังดูก็รู้ว่าต้องก๊อปใครมาแน่ๆ”
“เขาจะคิดเองหรือลอกใครมาก็เป็นเรื่องของฉันกับเขา นายไม่มีสิทธิ์ดูถูกเขา”
โจยักไหล่ “ผมเกลียดคนหน้าด้าน ชอบลอกงานคนอื่นไม่ได้หรือไง”
“คิดในใจได้ แต่ห้ามแสดงออก เขาอยากพูดอะไรก็ปล่อยเขาพูดไปสิ”
“ยอมให้คนเลวทำความเลว ถือเป็นความเลวชนิดหนึ่ง”
วนิษาถอนหายใจ “แค่นี้นะ”
วนิษาขึ้นรถ ขับออกไป โจมองตามไป หัวเราะแบบรู้ทัน
“อะโด่ ทำเป็นขู่ เฮ้ย อย่าไปไกลสิ ผมขี้เกียจวิ่งตาม ล้อเล่นใช่มั้ย จอดได้แล้ว เฮ้ย เฮ้ย”
โจเริ่มวิ่งตาม จนรถวิ่งไปไกลจนลับตา
“ไปจริงหรือเนี่ย หาทิ้งกันอย่างงี้ได้ไง ยัยตัวแสบ”
วนิษาเดินเข้ามาในคอนโด ในขณะที่ปลายฝนกำลังซ้อมเปียโนอยู่
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดี”
วนิษาตอบห้วนๆ แต่ปลายฝนไม่ทันเอะใจ หันมาเล่นเปียโนต่อ
“เล่นเพลงอะไร ไม่เห็นเพราะเลย”
ปลายฝนชักฉุน พลางตอบเสียงแข็ง
“ก็เล่นเพลงเดิม ทุกทีคุณยังชมว่าเพราะ”
“ก็วันนี้มันไม่เพราะ ทำไม ไม่เพราะได้มั้ย มีปัญหาเหรอ เล่นทุกวันแล้วต้องเพราะทุกวันเหรอไง
ก็วันนี้มันไม่เพราะก็บอกไม่เพราะ เข้าใจรึเปล่า ว่าวันนี้ไม่เพราะ”
“เอ่อ เข้าใจค่ะ”
ปลายฝนหน้าเหวอ ไม่ทันตั้งตัว วนิษาเดินเข้าห้องนอน ปลายฝนแอบมองตามไป
“น่ากลัวชะมัด”
โจกลับมาถึงบ้านในสภาพหัวกระเซิง เหงื่อชุ่มตัว พลางเล่าเรื่องให้ป๋องฟัง
“สมน้ำหน้า”
“แกสมน้ำหน้าใคร”
“สมน้ำหน้าพี่อ่ะดิครับ” ป๋องยิ้มขำ
“แกคิดว่าฉันผิดเหรอไงวะ ฉันพูดความจริงนะเว้ย”
“มันธุระอะไรของพี่ล่ะ เขาขอให้พี่แสดงความเห็นเหรอ”
“นี่แกกำลังหาว่าฉันเผือกใช่มั้ย”
“เป๊ะ”
โจเงียบไป “หรือฉันเผือกจริงๆ วะเนี่ย”
“รู้ตัวแล้วก็ขอโทษเขาเถอะครับ จะได้ขอเขารับกลับเข้าทำงานต่อ”
“ไม่ ทำไมต้องขอโทษ ฉันพูดเรื่องจริง ขณะที่ไอ้กริชน่ะมันโกหกชัดๆ”
ป๋องมองโจอย่างแปลกใจ “ปกติพี่ไม่ใช่คนอีโก้จัดแบบนี้นี่ มีอะไรผิดปกติรึเปล่า”
“ไม่มี”
“อิจฉานายกริชเหรอ”
“พูดบ้าอะไร ฉันจะอิจฉาไอ้พระเอกละครลิงหน้าตาเหมือนกะจั๊วแบบนั้นทำไมวะ”
“แล้วทำไมต้องไปด่าเขาซะขนาดนั้น”
โจสวนกลับทันที “ก็บอกแล้วไงว่ามันตอแหล”
“แต่เขาไม่ได้ตอแหลกับพี่ เขาตอแหลกับคุณวนิษา พี่จะเดือดร้อนแทนทำไม”
โจเงียบไป
“พี่โจ ผมสงสัยว่าพี่จะชอบคุณวนิษาแล้วล่ะ”
โจถึงกับสะดุ้ง “ไร้สาระมากไปไอ้ป๋อง แกก็รู้ฉันเจอผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่กว่าวนิษาตั้งร้อยเท่าฉันยังเฉยๆ ทำไมฉันต้องมาอะไรกับยัยตั่วเจ๊นี่ด้วย”
“ถ้าไม่มีเรื่องรัก เรื่องงอน แล้วพี่จะทิ้งหน้าที่ทำไม”
โจพูดอะไรไม่ออก
“ได้ ถ้าแกไม่สบายใจ ฉันจะกลับไปขอโทษเขา จะได้ขับรถให้เขาต่อ”
“หน้าที่พี่ไม่ใช่ขับรถให้เขานะ ผมหมายถึงสืบเรื่องของเขาต่างหาก”
โจเริ่มหงุดหงิด “มันก็เหมือนกันแหละน่า”
“พี่เป็นอะไรกันแน่เนี่ย”
ป๋องมองโจด้วยความคลางแคลงใจ โจหลบตา แล้วลุกเดินออกไป
“แกต่างหากที่เพี้ยน ฉันไปฉี่ดีกว่า”
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้น”
“รู้โว้ย แต่หิวน้ำ จะกินน้ำก่อน”
โจเสหยิบแก้วน้ำกินแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ ป๋องมองตามอย่างจับสังเกต
โจวักน้ำล้างหน้าตัวเอง พลางมองตัวเองในกระจกเงา
“จริงของไอ้ป๋อง เราเป็นอะไรไปเนี่ย ตั้งสติหน่อยโว้ยโจ”
พูดพลางใช้มือตบหน้าตัวเองเบาๆ
วนิษาขับรถออกมาจากตึกจอดรถของคอนโด โจที่ยืนรออยู่ รีบเดินออกมากลางถนน ในขณะที่มือถือ
ของวนิษาดังพอดี วนิษาควานหา แต่ไม่เจอ
“เอ๊ะ อยู่ไหนนะ”
โจยังยืนซึมๆ จนรถพุ่งตรงมาหาอย่างเร็ว
“เฮ้ย”
วนิษาเงยหน้าเห็นโจระยะประชิด ก็ร้องเสียงหลง แล้วรีบเหยียบเบรกกระทันหันจนหัวทิ่ม แต่เงยหน้ามองไป ก็ไม่เห็นโจแล้ว วนิษารีบลงจากรถมาดู
“นายดาว”
“อยู่นี่ครับ”
วนิษามองไป เห็นโจหลบอยู่ข้างทาง ก็ถอนใจโล่งอก
“นายมายืนทำอะไร จะให้รถชนให้หายความจำเสื่อมหรือไง”
“ผมจะมาขอโทษคุณ”
“ขอโทษฉัน ขอโทษเรื่องเมื่อคืนน่ะเหรอ”
โจพยักหน้า “ครับ”
“ก็ขอโทษมาสิ ฉันรอฟังอยู่”
โจทำใจครู่หนึ่ง “ผมขอโทษที่แสดงกริยาไม่ดีกับคุณแล้วก็คุณกริชด้วย”
“แล้วทำไมถึงทำแบบนั้น”
“ผมอิจฉาคุณกริชครับ เขาเป็นคนดี รูปหล่อ นิสัยก็ดี เทียบกันแล้ว ผมมันเหมือนแมลงวันหัวเขียวใน
ก้อนขี้หมา พยายามจะทาบรัศมีนกอินทรีทะยานฟ้า แต่ตอนนี้ผมตาสว่างแล้ว รู้ดีว่าคนอย่างผมเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย”
วนิษามองโจค้อนๆ “นี่ประชดหรือเปล่าเนี่ย”
“พูดจริงๆครับ”
“ในเมื่อนายสำนึกผิด ฉันก็จะให้โอกาสอีกครั้ง”
“ขอบคุณครับ”
วนิษาขึ้นไปนั่งรถ โจมองตาม สายตาเหี้ยมเกรียม
“ฮึ่ม บังคับให้ฉันต้องพูดอะไรทุเรศๆ แบบนี้ ฉันจะต้องหาหลักฐานจับเธอเข้าคุกให้ได้ ยัยตั่วเจ๊”
โจขึ้นไปนั่งที่คนขับ กำลังจะออกรถ
“เดี๋ยว”
“อะไรครับ” โจทำหน้างงๆ
“ที่นายพูดเมื่อกี้น่ะ ฉันไม่เห็นด้วยนะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องที่นายเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น นายไม่ควรดูแคลนตัวเองขนาดนั้น ในสายตาฉัน นายก็เป็นอินทรีได้เช่นกัน”
โจชะงัก นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้ วนิษาไม่พูดอะไรอีก มองไปทางอื่น สีหน้าเรียบเฉย แต่แอบจิกเบาะข้างตัว โจกระแอมเล็กน้อย ขับรถออกไป แต่แอบยิ้มแป้น
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ในร้านฟาสต์ฟู้ด ที่ป๋องทำงานอยู่ วันนี้ลูกค้าบางตา ปลายฝนนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง สักพักป๋องก็เดินมานั่ง ด้วยหน้าตาบูดๆ พลางพูดห้วนๆ
“มาทำไม มีอะไรก็รีบๆพูดมา เดี๋ยวผู้จัดการเขาหาว่าฉันอู้งาน”
“โหย ดุจัง ทำไม โกรธที่ฉันเอาคลิปนายไปลงเน็ตเหรอ”
ป๋องหน้าบึ้ง “ก็ใช่น่ะสิ”
“ผู้ชายอะไรใจแคบชะมัด แค่นี้ก็โกรธ”
“เออ ใจแคบ แล้วไง”
“แล้วนายรู้มั่งรึเปล่า สาวๆ เขาชอบกันนะ”
ป๋อง แบะปาก “อย่ามา ฉันเห็นมีแต่คนเข้ามาเม้นต์ด่า”
ป“ไอ้นั่นมันเม้นต์แรกๆ ดูหลังๆดิ สาวๆเข้ามาเม้นต์ชมเพียบเลย บอกน่ารัก บอกโดนใจ ขนาดเพื่อนฉันเองยังอยากรู้จักนายเลย”
“จริงง่ะ”
“จริงๆ”
ป๋องเผลอยิ้มแฉ่ง “แหม เอ่อ ว่าแต่เธอมาหาฉันทำไมเหรอ”
“มีเรื่องให้ช่วยน่ะ”
ป๋องมองปลายฝน อย่างระวังตัว “มีอะไรเหรอ”
“คือเรากำลังโดนตามผู้ชายตื๊อน่ะ มันจะมาจีบเรา แต่เราไม่ชอบหน้ามันเลย มันก็ตื๊ออยู่ได้ ขู่จะ
แจ้งความมันก็ไม่กลัว ฉันก็เลยอยากให้นายช่วย”
“จะให้ไปอัดมันเหรอ”
ปลายฝนส่ายหน้า
“ถ้าจะทำแบบนั้นได้ล่ะก็ ฉันให้สมุนของพ่อฉันอัดมันไปแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรมันน่ะสิ”
“ถ้ามันห้าวเป้งขนาดนั้น แล้วฉันจะไหวเหรอ”
“ฉันไม่ได้ให้นายไปสู้กับมัน แค่อยากให้นายทำตัวเป็นแฟนเราให้มันเห็นแค่นั้นเอง”
ป๋อง หน้าเหวอ “เป็นแฟนเธอเนี่ยนะ”
“จะตื่นเต้นทำไม ก็แค่เล่นละคร งานนี้เราจ้างนาย มีค่าเหนื่อยให้ด้วย”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วย”
“ก็เพื่อนผู้ชายคนอื่นของฉัน มันเคยเห็นหน้าหมดแล้ว เล่นเป็นแฟนฉันมันก็ไม่เชื่อ แล้วอีกอย่าง
คนคนนี้ต้องดูหล่อ ดูดีมีชาติตระกูล เท่ ฉลาด มันถึงจะเชื่อว่าเป็นแฟนฉัน ซึ่งนายเนี่ยเป๊ะเลย”
ป๋องก้มมองตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ”
“นะๆ ช่วยหน่อยนะป๋อง”
“ก็ได้” ป๋องตอบพลางก้มหน้าเขิน
“ขอบใจมากเลยนะ”
ปลายฝนเดินคู่มากับป๋องในใส่ชุดหล่อ
“นู่นๆๆ มาแล้ว”
ป๋องมองหาแต่ยังไม่เจอ “ไหนอ่ะ”
ปลายฝนกระโดดมาเกาะแขน แล้วซบไหล่ ทำเอาป๋องอึ้งหัวใจเต้นโครมคราม พลางก้มหน้าลงมองปลายฝน ได้กลิ่นหอมจากเรือนผม ป๋องถึงกับเคลิ้ม หัวใจฟู
“ป๋อง ป๋อง นายป๋อง”
ปลายฝนเรียกป๋องซ้ำอยู่หลายครั้ง ป๋องจึงตื่นจากภวังค์
“ว่าไง”
“นู่น มันมานู่นแล้ว”
ป๋องมองตาม แล้วก็อึ้ง เพราะคนที่ตามตื๊อปลายฝนเป็นตี๋อ้วนวัยสิบขวบ หน้าตาจ้ำม่ำน่ารัก ตัวเตี้ย แต่งตัวดูดีกว่าป๋องเยอะ หน้าผมเซ็ตเนี้ยบ ถือไอติมเดินกินมาด้วย
“ไอ้นี่เนี่ยนะ”
ปลายฝน พยักหน้า “ใช่”
“นี่มันเด็ก”
“ก็ใช่น่ะสิ ก็เลยไม่มีใครกล้าทำอะไรมันไง มาตื๊อฉันทำไมก็ไม่รู้”
ตี๋อ้วนเดินหน้าบึ้งเข้ามาทัก “หวัดดีครับปลายฝน”
“หวัดดีอ้วน”
“วันนี้ว่างไปเที่ยวบ้านผมรึยังครับ”
“น้อยๆหน่อยอ้วน ดูซะ วันนี้ฉันไม่ได้มาคนเดียวนะ ขอแนะนำป๋อง แฟนฉันเอง ฉันชอบคบคนตัวสูง เข้าใจมั้ยไอ้เตี้ย”
ตี๋อ้วน เงยหน้ามามงป๋อง “คุณสูงเท่าไหร่บอกมา ผมจ่ายค่าส่วนต่างให้คุณเซนติเมตรละ 1 หมื่นบาท
แต่คุณต้องเลิกยุ่งกับปลายฝนของผม ตกลงมั้ย”
“รวยมากหรือไงไอ้หมูกระป๋อง พูดจาแบบนี้ได้ไงวะ พ่อแม่ตามใจจนเคยตัวล่ะสิท่า”
“กล้าด่าพ่อแม่ผมเหรอ”
ป๋องฮึดฮัด “แล้วจะทำไมวะ”
ป๋องหัวเราะเยาะ ตี๋อ้วนตั้งท่ามวย เลี้ยงพลังคลื่น แล้วยิงขึ้นฟ้า
“ย้าก”
ตี๋อ้วนมองขึ้นฟ้า ป๋องเผลอมองตาม ตี๋อ้วนต่อยตู้มเข้าเป้า จนป๋องลงไปนอนตัวงอ ตี๋อ้วนไม่รอช้าตามเข้ามาเตะต่อย
“นี่แน่ะๆ”
ป๋องทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นมา ตั้งใจจะเตะเบาๆ แต่ดันโดนก้นตี๋อ้วน ล้มกลิ้งไป ป๋องเดินมาหา ตี๋อ้วนลุกขึ้นพอดี
“ไอ้ลูกหมา”
ป๋องดีดจมูกตี๋อ้วนดังเพียะ
“ว้าว เท่ฝุดๆ”
ปลายฝนออกอาการปลื้ม ป๋องยิ่งได้ใจ กระชากใบหูตี๋อ้วนอย่างแรงอีกข้างละที ตี๋อ้วนตะลึง จ้องหน้าป๋อง
“สุดยอดเลยป๋อง ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้เลย พอเห็นเป็นเด็กก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร
รุนแรงกัน ขนาดฉันยังไม่กล้าเลย”
“สบาย ตบเด็กเกรียนน่ะผมถนัด นี่ๆ”
ป๋องดีดจมูกดีดหูตี๋อ้วนพัลวัน จนตี๋อ้วนโกรธจัด จะร้องไห้
“คราวหลังอย่ามายุ่งกับปลายฝนอีกเข้าใจไหม เขามีแฟนแล้ว รู้เรื่องมั้ย”
“ปล่อยผมนะ บอกให้ปล่อย”
ป๋องปล่อยมือ ตี๋อ้วนหันขวับกลับมาจะเข้ามาต่อย ป๋องเอามือจับหัวเยันเอาไว้ ตี๋อ้วนวิ่งเข้ามาไม่ถึง
“ไอ้เตี้ยเอ๊ย จะเล่นของสูงเหรอไง ฮ่าๆ”
ตี๋อ้วนโมโหมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยพ่นน้ำลายเข้าหน้า ป๋องหลับตาปี๋
“โอ๊ย แหวะ ไอ้อ้วน เล่นสกปรกใช่ไหม ได้”
ป๋องจับตี๋อ้วนล็อกไว้ พลางขากเสมหะเสียงดังคร่อกๆ ตี๋อ้วนหน้าเหย ป๋องยื่นหน้ามาเหนือหัวตี๋อ้วน พลางสูดลมหายใจเข้า เรียกกระดมเสมหะทั้งหมดในคอออกมา
“ขาก”.
ตี๋อ้วน หนาแหย “อย่า”
แล้วก็ร้องไห้ลั่นวิ่งหนีไป ป๋องหัวเราะไล่หลัง ปลายฝนปรบมือเปาะ
“เก่งมากป๋อง จัดการซะอยู่หมัดเลย”
“แค่นี้ยังไม่เท่าไหร่หรอก ถ้ามันมาตื๊ออีก ครั้งหน้าจะจับแก้ผ้าแขวนประจานกลางสี่แยกเลย”
“เขาคงไม่กล้ามาแล้วล่ะ นายนี่ใจถึง พึ่งได้จริงๆ ไป ฉันเลี้ยงข้าว เต็มที่เลย”
“ว้าว”
ปลายฝนกับป๋องเดินคู่กันออกไป
ตี๋อ้วน ที่หลบมุมอยู่ หยิบผ้าเช็ดหน้าหรูมาถูๆใบหน้าที่เปื้อนเสมหะเหนียวๆออก ยังสะอึกสะอื้นไม่หาย พลางจ้องไปที่ป๋องด้วยสายตาเคียดแค้น
“ไอ้ป๋อง ฉันต้องแก้แค้นแกให้ได้”
ปลายฝนพาป๋องมานั่งที่ร้านหรู ป๋องนั่งตัวเกร็ง ปลายฝนหยิบผ้ากันเปื้อนที่ยังตั้งเป็นรูปกระทงตรงหน้าป๋องคลี่ออกมา พลางวางบนตักให้
“อันนี้วางไว้บนตัก เผื่อเช็ดปากด้วย”
“แล้วทำไมต้องให้ช้อนกับส้อมมาเยอะแยะขนาดนี้อ่ะ”
“อันนี้ไว้กินกับซุป อันนี้ไว้กินกับสลัด อันนี้ไว้กินกับสเต็ก อันนี้ไว้กินกับขนม”
ป๋องถอนหายใจ
“อึดอัดรึเปล่า ถ้าไม่ชอบเปลี่ยนร้านก็ได้นะ”
ป๋องส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก ผมแค่ไม่เคยกินอะไรแบบนี้น่ะ แต่มีเธอคอยสอนก็ดี”
“เหนื่อยนิดนึง แต่รับรองคุ้ม เพราะร้านนี้อร่อยมากนะ”
ป๋องยิ้มให้ พลางดูปลายฝนจัดนู่นจัดนี่อธิบายนู่นนี่ อย่างมีความสุข
โจขับรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าส่งวนิษาที่หน้าคอนโด
“ ถึงแล้วครับ คุณ”
โจหันกลับไปมอง ปรากฏว่าวนิษานั่งหลับอยู่ที่เบาะหลัง
“อ้าว หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
โจลังเลว่าจะปลุกดีมั้ย “เอาไงดีว๊า”
จังหวะนั้นเอง วนิษาก็ละเมอขึ้นเบาๆ
“นายดาว นายดาว”
โจยิ้มเขิน “ละเมอถึงเราด้วย บ้า”
โจทนไม่ไหว เลยรีบลงจากรถ ไปนั่งคู่ที่เบาะหลังกับวนิษา เพราะอยากได้ยินชัดๆว่าวนิษาจะละเมอถึงตนว่าไง
“นายดาว”
โจเอียงหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“ไอ้บ้า ปากเสีย ไปตายซะไป”
โจทำหน้าเซ็ง “อะไรวะ ขนาดหลับยังด่าได้อีก”
โจจะลงจากรถ แต่ขณะนั้นเอง วนิษาก็ละเมอขึ้นมาอีก
“คุณชาย เฮีย”
โจอึ้งไป พลางหันกลับมามองวนิษา
“วนิขอโทษ ขอโทษ”
วนิษาน้ำตาซึม ก่อนที่จะค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม โจมองด้วยความสงสารจับใจ เลยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
วนิษารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอเห็นหน้าโจก็ตกใจ โจก็อึ้งไปนิดนึง ก่อนจะสบตาวนิษา ต่างฝ่ายต่างสบตากันนิ่ง เหมือนอยู่ในภวังค์ โจค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใบหน้าวนิษา จนริมฝีปากแทบจะสัมผัสกัน
ทันใดนั้น วนิษาก็เบือนหน้าออกมา อย่างยับยั้งชั่งใจ โจอึ้งไป ก่อนรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ ผม ผมเห็นคุณร้องไห้ ก็เลยเช็ดน้ำตาให้”
วนิษารับผ้าเช็ดหน้าจากโจ ในขณะที่ยังซึมๆอยู่ “ขอบใจนะ”
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก”
วนิษาหันกลับมามองหน้าโจ
“ไม่ว่าเมื่อกี๊คุณจะฝันเรื่องอะไร หรือฝันถึงใคร แต่ผมอยากจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ไม่มีใครที่อยากเห็นเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนที่ตัวเองรักหรอก”
วนิษาหน้าเศร้าลงอีก “นายไม่เข้าใจหรอก นายไม่ได้เป็นอย่างฉัน”
“เป็นผู้หญิงกินสามีน่ะเหรอ”
วนิษาอึ้งไปครู่ ก่อนจะตบหน้าโจด้วยความโมโหที่มากรีดย้ำแผลของตน แล้วรีบลงจากรถไป โจรีบลงจากรถตามมา แล้วพูดตามหลัง
“ถ้าคุณอยากเอาชนะคำๆนี้ คุณก็ต้องเริ่มต้นใหม่ แล้วให้โอกาสตัวเอง การขังตัวเองอยู่กับสิ่งเก่าๆ มันไม่ทำให้คุณดีขึ้นมาได้หรอก”
วนิษาพูดตอบมาโดยไม่หันหน้ากลับมา
“แต่การขังตัวเอง มันก็ทำให้ไม่มีใครต้องมาโชคร้ายเพราะฉันอีกไม่ใช่เหรอ”
โจมองวนิษาด้วยความสงสาร และเห็นใจ
“ผมอยากไปสืบเรื่องของเมียสถาพร คุณรู้มั้ยว่าเมียเขาอยู่ที่ไหน”
โจเอ่ยกับซูซี่ ขณะที่นั่งคุยกันอยู่ที่เชียงกง
“รู้สิ สถาพรเขาเคยให้ฉันดูรูปถ่ายบ้านเขา ฉันยังจำรูปบ้านเขาได้”
“ยังมีรูปถ่ายอยู่ไหม”
“ไม่มีแล้ว แต่ถ้าเราขับรถไปวนมาแถวๆนั้น ฉันมั่นใจพอเห็นบ้านเขาแล้วฉันต้องจำได้แน่ๆ”
“ตอนแรกผมคิดว่าจะไปคนเดียว”
ซูซี่มองค้อนโจ
“ทำไม ไม่กล้าไปไหนมาไหนกับกะเทยรึไง”
“ไม่ใช่จ้ะคุณเจ๊ ไปคนเดียวมันคล่องตัวกว่า”
“รู้น่ะ แค่แซวเล่น ฉันขอไปด้วย รับรองไม่เกะกะ ขวางมือขวางเท้าอะไรหรอก”
โจพยักหน้า
“ได้ แต่ว่าเพื่อความปลอดภัย ผมคงต้องปลอมตัวให้ก่อน เผื่อว่าเมียเขาเคยเห็นคุณแล้วจำได้”
“ไม่มีปัญหา ปลอมให้สวยๆแล้วกันนะ ถ้าไม่สวยฉันไม่ไปจริงๆด้วย”
โจมองหน้าซูซี่อย่างลำบากใจ
โจขับรถวนไปมา เข้าซอยนั้น ออกซอยนี้ ซูซี่ที่ปลอมตัวนั่งข้างๆ คอยมองหาบ้านของเมียสถาพร
“นู่นๆ หลังนี้แหละฉันจำได้”
โจจอดรถหน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่ง
“แน่ใจนะว่าหลังนี้”
“แน่ใจค่ะ”
โจกับซูซี่นั่งดูลาดเลาแถวนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณรออยู่ในรถนี่นะ เดี๋ยวผมมา”
“เดี๋ยว จะไปไหน”
“เข้าไปในบ้านน่ะสิ”
ซูซี่ตกใจ “เข้าไปดื้อๆเนี่ยนะ”
“ไม่มีใครอยู่บ้านหรอก”
“รู้ได้ไงว่าไม่มีใครอยู่บ้าน”
“ดูที่กล่องรับจดหมายโน่นสิครับ”
พูดจบโจก็ลงจากรถ ซูซี่มองไปที่กล่องรับจดหมายหน้าบ้าน เห็นจดหมายอัดเต็มแน่นกล่อง
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 6 (ต่อ)
โจเดินเข้ามาที่ตัวบ้าน ดึงจดหมายจากตู้ที่รั้วทั้งหมดมาด้วย ซูซี่ตามเข้ามาติดๆ
“นี่ แน่ใจเหรอว่าไม่มีคนอยู่น่ะ”
ซูซี่ถามย้ำ โจชี้ให้ดูบริเวณหน้าบ้าน เศษใบไม้เพียบ
“คุณดูสิ ต่อให้ขี้เกียจทำความสะอาด แต่ถ้ามีคนเดินผ่านทุกวันมันก็ไม่รกยังงี้หรอก”
โจเอานิ้วปาดฝุ่นที่จับตรงประตูบ้านให้ซูซี่ดู
“ไม่อยู่มาเป็นเดือนแล้วล่ะ ผมว่า”
ซูซี่มองโจอย่างชื่นชม โจเดินไปรอบๆบ้าน แล้วงัดมุ้งลวดหน้าต่างห้องน้ำเข้าไปในบ้าน
โจมองไปรอบๆ บ้าน เห็นข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างเป็นระเบียบ พลางเปิดตู้เย็นดู ในตู้เย็นว่างเปล่า มีขวดน้ำเปล่ากับของนิดหน่อย ซูซี่เดินตามมาติดๆ
“เขารู้ตัวว่าจะไม่อยู่บ้าน ก็เลยไม่ซื้อของเก็บไว้ในตู้เย็น”
โจเอาปึ๊งจดหมายที่ถือมาออกมาวางบนโต๊ะ
“คุณสถาพรตายเมื่อไหร่นะครับ”
“สิบวันที่แล้ว”
โจเริ่มวิเคราะห์
“ดูจากวันที่บนหน้าซอง เขาไม่อยู่บ้านนี้มาสามอาทิตย์แล้ว เขาไปก่อนที่สถาพรจะตาย”
โจเดินเข้าไปดูในห้องนอน แต่ไม่เจออะไรมากนัก ที่โต๊ะเครื่องแป้งเห็นโบรชัวร์สถานที่แห่งหนึ่ง โจหยิบมาดู แล้วพับเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนที่ซูซี่จะเข้ามา
“ได้อะไรบ้างไหม”
“ไม่มีอะไรครับ เรากลับกันเถอะครับ อยู่นานไปไม่ดีเดี๋ยวเพื่อนบ้านจะเห็นเข้า”
ซูซี่พยักหน้าหงึกๆ “เห็นด้วยจ้ะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็กลับเข้ามาในรถ
“ซูซี่ ถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่าไงคะ”
“คุณคิดยังไงกับคุณสถาพร”
ซูซี่ชะงักไปนิดนึง ก่อนตอบ “ไม่มีอะไรค่ะ นายจ้างกับลูกจ้างแค่นั้นเอง”
“ถ้าแค่นั้นคนเราคงไม่สอนตำส้มตำกันแบบที่คุณเล่าให้ผมฟังหรอกนะ มันคลอเคลียกันเกินไป
ถ้าไม่ชอบพอกันไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้หรอก”
ซูซี่อึ้งไป
“ใช่ ฉันชอบเขา แต่ฉันก็ไม่เคยแสดงออกอะไรเลยนะ เรื่องวันนั้นก็ทำเอาฉันตกใจเหมือนกัน”
“คุณคิดว่าทำไมเขาทำแบบนั้นล่ะ”
“ฉันไม่รู้ แต่คิดว่าเขาไม่ได้ชอบฉันหรอก เขาอาจจะแค่แหย่ฉันเล่นๆหรือไม่ก็กลัวฉันจะลาออก
เลยแกล้งเอาใจฉัน ให้ฉันทำงานให้เขานานๆก็ได้”
โจพยักหน้า “แปลว่าถ้าไม่มีคุณ กิจการเขาจะแย่ลง”
“แน่นอนที่สุด ร้านเค้าลูกค้าเยอะเพราะฉัน จะว่าไปเดี๋ยวจะหาว่าโม้ แต่รางวัลครกทองคำของฉัน
รับประกันฝีมืออยู่แล้ว”
โจจับตามองซูซี่ “งั้นว่างๆตำให้ผมกินหน่อยสิครับ”
“ได้สิ วันไหนว่างๆฉันไปตำให้เธอกินที่บ้าน ถ้าไม่อร่อยให้เหยียบเลย”
โจกลับมาถึงบ้าน ก็รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ป๋องฟัง
“เท่าที่ฉันเล่าให้แกฟังเนี่ย ไหนแกลองบอกมาซิว่าเจอพิรุธอะไรตรงไหนบ้าง”
ป๋องนั่งขบคิด “เอ่อ ฟังดูก็ไม่มีอะไรผิดสังเกตนี่ครับ”
“แกจำได้ไหมว่าวันที่เราเข้าไปในร้านส้มตำ เราสะดุดใจกับอะไรที่สุด”
“เอ่อ ผมสะดุดขาพี่หกล้ม ตอนที่พี่ลวนลามผม”
“เดี๋ยวโดนเตะ ใครลวนลามแก ฉันแค่จำลองเหตุการณ์โว้ย จำไอ้นี่ได้มั้ย”
โจโยนสากไปให้ ป๋องรับไว้แต่ด้วยความหนัก ทำให้เกือบหลุดมือ
“อ๋อ ใช่ มันหนักจนงงว่าเอามาตำส้มตำได้ไง”
โจทำหน้าจริงจัง
“ตอนนั้นเราคาดว่าอาจเป็นเคล็ดลับทำให้ซูซี่ตำส้มตำได้อร่อย แต่วันนี้ตอนที่ฉันถามเขาเรื่องส้มตำ
เขาไม่พูดถึงไอ้สากนี่ซักกะแอะ แม้กระทั่งตอนที่บอกว่าจะตำให้ฉันกิน เขาก็บอกว่าได้เลย ให้มาตำที่บ้านก็ได้ ถ้าไม่อร่อยให้เหยียบ หมายความว่าสากหนักๆ อันนี้ไม่เกี่ยวกับเคล็ดลับความอร่อยเลย”
“แล้วมันเอาไว้ทำอะไรอ่ะครับ” ป๋องเริ่มงง
“นั่นสินะ คำถามนี้เก็บไว้ในใจ ตอนนี้เรามีงานใหม่ต้องทำ”
“อะไรครับ”
โจส่งโบรชัวร์ที่เก็บมาจากบ้านเมียสถาพร
“ฉันเอามาจากบ้านเมียสถาพร มันอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง”
ป๋องหยิบมาดู “สถาบันลดความอ้วน ด๊อกเตอร์แพรว มันคืออะไรเหรอครับ”
“อะไรก็ไม่รู้ แต่ฉันเดาว่าเมียสถาพรอาจจะอยู่ที่นี่”
“เดี๋ยวนะ ผัวตายทั้งที ยังมีแก่ใจไปลดความอ้วนอยู่อีกเหรอ” ป๋องตั้งข้อสังเกต
“เราต้องไปสืบดูว่าเขาอยู่ที่นี่จริงมั้ย ถ้าจริง เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ออกมา”
ที่หน้าโรงภาพยนตร์ ที่มีการจัดรอบกาล่า เพื่อหารายได้เข้าการกุศล ระรินกำลังถูกสื่อรุมถ่ายรูปอยู่ ก่อนที่จะถูกยื่นไมค์มาจ่อสัมภาษณ์
“ทำไมวันนี้ระรินฉายเดี่ยวล่ะคะ พระเอกหนุ่มหายไปไหนล่ะคะ”
“อุ๊ย แหม ตัวไม่ได้ติดกันนี่คะ ต้องมีห่างๆกันบ้าง” ระรินตอบแบบมีจริต
“นึกว่าวันนี้จะได้ถ่ายภาพคู่กันซะอีก”
“ระรินก็ชวนคุณกริชเขาแล้วนะ แต่เขาไม่ว่าง ติดธุระจริงๆน่ะค่ะ”
ระรินพูดจบ ก็มีเสียงฮือฮามาจากอีกทาง นักข่าวคนหนึ่งวิ่งมาซุบซิบๆ แล้วกลุ่มนักข่าวก็ตาโต วิ่งกรูกันออกไป ทิ้งระรินให้ยืนงง ก่อนจะรีบเดินไปชะเง้อไปดู แล้วก็อึ้ง เมื่อเห็นกริชเดินเข้างานมากับวนิษา
“ไหนคุณกริชบอกงานนี้ไม่มีสื่อไงคะ“ วนิษาก็สีหน้าไม่ดี
“นั่นน่ะสิครับ เอ่อ ถ้าคุณวนิษาไม่สบายใจ หลบไปก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“งั้นวนิขอตัวก่อนนะคะ”
วนิษากำลังจะเดินชิ่งออกมา ก็เจอสื่อพวกที่เพิ่งมาจากการสัมภาษณ์ระริน ดักไว้ จนเธอต้องกลับมายืนข้างๆกริช
“อุ๊ย คุณกริชวันนี้ทำไมมากับคุณวนิษาล่ะคะ”
“อ๋อ บังเอิญเจอกันที่ที่จอดรถน่ะครับ มางานเดียวกัน ก็เลยเดินเข้ามาพร้อมกัน”
“จะบังเอิญเกินไปมั้ยคะ” นักข่าวมองอย่างจับผิด
“โลกนี้มีความบังเอิญมากมายครับ”
นักข่าวหันมาทางวนิษา
“วันก่อนมีคนเห็นคุณกริชขึ้นรถคุณวนิษากลับบ้าน อันนั้นบังเอิญด้วยรึเปล่าคะ”
“ค่ะ บังเอิญเหมือนกันค่ะ” วนิษาตอบยิ้มๆ
“บังเอิญบ่อยๆเนี่ย เขาเรียกพรหมลิขิตนะคะ”
“ไม่ทราบไปเอามาจากพจนานุกรมฉบับไหนเหรอคะ บังเอิญแปลว่าบังเอิญค่ะ”
“แปลว่าไม่มีกุ๊งกิ๊งกันเหรอคะ”
วนิษากับกริชตอบพร้อมกัน “ไม่มีค่ะ/ครับ”
จู่ๆ ระรินก็เดินมาประกบกริช แล้วเบียดวนิษาจนเซออกไป
“คุณกริชไหนบอกจะไม่มาไงคะ จะมาเซอร์ไพร้ซ์ใช่มั้ย”
“อ้าว ระรินมาด้วยเหรอครับเนี่ย”
ระรินหน้าชา แต่พยายามกลบเกลื่อน “ตลกอีกละ”
วนิษาฉวยจังหวะเดินออกไป กริชรีบหันมาบอกนักข่าว
“ขอตัวก่อนนะครับ”
กริชขยับจะเดินออกไป แต่ระรินรีบคว้าต้นแขนกริชไว้เหมือนควงแต่แอบเกาะแน่นไม่ปล่อย
“ระรินรออยู่ตั้งนาน น้องๆเขาบอกอยากได้รูปคู่น่ะค่ะ”
กริชต้องหันมาฝืนยิ้มกับกล้อง ระรินถือโอกาสคลอเคลีย ในขณะที่กริชแอบมองไป เห็นวนิษาเดินออกจากงานไปคนเดียว
วนิษารออยู่ตรงทางออกลานจอดรถ ครู่หนึ่งโจก็ขับรถมาจอดเทียบ วนิษาขึ้นรถ กริชวิ่งพรวดมา
“รอด้วยครับคุณวนิ”
“คุณกริช มีอะไรเหรอคะ”
“เอ่อ ผมขอกลับด้วยคนสิครับ รถผมยังซ่อมไม่เสร็จครับ”
“เชิญค่ะ”
กริชขึ้นรถวนิษาไป โจขับรถออกไป นักข่าววิ่งตามมา พลางหันไปช่างภาพ ให้ยกกล้องถ่ายตามไป
ระรินยืนเก้ๆกังๆ อยู่หน้าโรงคนเดียว นักข่าวเดินมาเจอ
“หนังจะเข้าแล้วคุณระริน คุณระรินไม่เข้าไปดูหนังเหรอคะ”
“เอ่อ” ระรินอึกอัก
“อย่าบอกนะคะว่ารอคุณกริช นี่คุณระรินไม่รู้จริงๆเหรอคะเนี่ย”
“ไม่รู้เรื่องอะไรคะ”
“ก็คุณกริชกลับไปกับคุณวนิษาแล้วค่ะ เห็นขึ้นรถคุณวนิษาไปค่ะ”
ระรินอึ้ง นักข่าวรีบสะกิดช่างภาพให้ถ่ายสีหน้าของระรินไว้
“ผมขอโทษคุณวนิษาด้วยนะครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าวันนี้จะมีสื่อมากันเยอะขนาดนี้”
กริชที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังคู่กับวนิษา หันมาบอก
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรด้วย”
“ผมกลัวคุณวนิษาคิดมาก ที่สื่อจ้องจะเล่นข่าวระหว่างคุณวนิษากับผม”
วนิษายิ้มแห้งๆ “ฉันก็เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ เรื่องไหนไม่มีมูล เดี๋ยวก็เงียบไปเองล่ะค่ะ”
“เอ่อ แล้วถ้ามันมีมูลล่ะครับ”
“คุณกริชหมายความว่ายังไงคะ”
“คุณวนิษาครับ ที่ผมเคยบอกว่าคุณเหมือนนางฟ้าน่ะ ผมไม่ได้พูดเล่นเสียทั้งหมดหรอกนะครับ คุณคือนางฟ้าของผมจริงๆ”
วนิษาชำเลืองมองโจ เห็นโจทำหน้านิ่ง
“คุณกริชคะ เราเพิ่งรู้จักกันจริงๆไม่กี่วันเองนะคะ ฉันอาจจะไม่ใช่คนอย่างที่คุณคิดว่าใช่ก็ได้”
“คุณวนิษาครับ เมื่อเราเห็นเพชรแท้ แค่กระพริบตาเดียวเราก็เห็นประกายเจิดจ้าของเพชร นั่นคือความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณวนิครับ”
วนิษามองโจ ที่ยังคงทำหน้านิ่ง
“แต่ฉันก็อาจจะเป็นเพชรปลอมก็ได้นะคะ”
“คุณคือเพชรแท้ เป็นอัญมณีจากสวรรค์ที่ร่วงลงมาบนโลกใบนี้ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ใช่พระเอกชื่อดัง ไม่ใช่ทายาทพันล้าน แต่เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่กำลังตะลึงลานต่อความงามของเพชรเม็ดนี้ และปรารถนาจะได้อยู่ใกล้ๆ เชยชมความงามของมัน”
“ไอ้ตะกอนน้ำเอ๊ย”
โจทนไม่ไหวสบถออกมาเบาๆ วนิษาปรายมอง โจทำทีเหมือนบ่นด่ารถคันข้างๆ วนิษามองไปข้างๆ ก็เห็นรถคันข้างๆขับปกติ
“คุณกริชคะ อย่ารีบร้อนนักเลยค่ะ ให้อะไรๆมันมีเวลาของมันบ้างดีกว่า”
กริชยิ้มเล็กน้อย “ผมยินดีรอครับ รอจนกว่าสวรรค์จะให้รางวัลกับผม”
“ได้ จัดให้”
วนิษากับกริชมองโจเป็นตาเดียว โจมองรถข้างๆ แล้วกระชากพวงมาลัยเบียด มีเสียงแตรบีบด่าลั่น โจบีบแตรด่าตอบ
“นี่ ขับดีๆได้มั้ย ไม่ต้องมีเรื่องกับคนอื่นหรอก”
“ขอโทษครับ”
โจขับรถต่อตามปกติ วนิษามองโจแบบไม่ไว้ใจ
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ระรินกับเพ็ญแขเดินเข้ามาในสปา พนักงานต้อนรับกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่โดยไม่ทันเห็นสองแม่ลูก เพ็ญแขทำหน้าเอือม พลางหันมาบ่นกับระริน
“สงสัยแม่คงต้องบอกผู้จัดการให้จัดการซะที ไม่เอาใจใส่ลูกค้าเลย”
“เอาเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูไปเตือนเขาก่อนดีกว่า”
ระรินเดินเข้าไปหา ได้ยินพวกพนักงานกำลังพาดพิงถึงเธอพอดี
“พวกนักข่าวลงข่าวอย่างงี้ คุณระรินไม่หน้าแหกยับเลยเหรอ”
“แหกไม่แหกไม่รู้ แต่คงผิดหวังบ้างล่ะ ฉันดูออกนะว่าคุณระรินเขาชอบคุณกริชจริงๆ ไม่ใช่รักโปรโมทหรอกนะ”
ระรินทนไม่ไหว พรวดเข้ามากลางวง เห็นพนักงานกำลังดูข่าวบันเทิงในแท็บเล็ต กลุ่มพนักงานตกใจ หน้าซีด ระรินไม่สนใจ หยิบแท็บเล็ตไปดู เห็นข่าวบันเทิง มีสองรูปคู่กัน รูปแรกเป็นรูประรินยืนรอกริชหน้าโรง อีกรูปคือตอนกริชวิ่งขึ้นรถของวนิษา
“ภาพเหตุการณ์ขณะระรินรอกริช แต่กริชแอบแว้บขึ้นรถวนิษาออกจากงาน งานนี้ต้องบอกว่า จ๋อย ลื่น เสียบ ส่วนใครจะจ๋อย จะลื่น จะเสียบ วิเคราะห์กันเองนะค้า”
เพ็ญแข ที่เข้ามาเข้ามายืนอ่านอยู่ด้วย โกรธแทนลูกสาว
“ยัยวนิษา ยัยหน้าด้าน มันอยู่ไหน แม่จะไปเล่นงานมันเดี๋ยวนี้แหละ จะตบมันให้หน้าแหกไปถึงท้ายทอยเลย”
“ใจเย็นค่ะแม่ ตบมันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”
“แล้วจะให้แม่ตบใคร ว่ามา เดี๋ยวแม่ไปตบให้”
“ใจเย็นค่ะ เก็บมือไว้ก่อน นี่เรามาสปานะคะ ไม่ใช่สนามวอลเล่ย์ ให้เขานวดก่อนเถอะค่ะ”
เพ็ญแขหน้าตูม “ยังจะนวดอีกเหรอ เธอไม่คิดจะตอบโต้อะไรมันเลยรึไง”
“ใครบอกล่ะคะ นอนนวดให้สบายๆ จะได้มีสติคิดว่าต้องตอบโต้มันยังถึงจะสาสม กับความแสบของมัน.ยัยวนิษา”
ปฐมเดินขึ้นมาบนดาดฟ้ากับลูกน้องคนหนึ่ง ลูกน้องดูต้นทางตรงประตู ปฐมล้วงกุญแจไขล็อก กำลังจะเข้าไปในห้องของโจ พลางเหลือบเห็นไม้จิ้มฟันเสียบคาไว้ที่แถวล่างๆ ของร่องระหว่างบานประตูกับวงกบ ปฐมมองไม้จิ้มฟันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบออกมา
ปฐมรื้อค้นห้องอย่างมีระเบียบ ก่อนที่จะวางเก็บที่เดิมเรียบร้อย เมื่อไม่เจออะไรผิดสังเกตุ ก็เดินออกมา พร้อมกับล็อกห้อง แล้วเสียบไม้จิ้มฟันกลับไปที่เดิม เจอลูกน้องที่ดูต้นทางอยู่
“เจออะไรผิดปกติไหมครับ”
ปฐมส่ายหน้า “ไม่เจอ”
“เอ หรือว่าพวกเราจะระแวงมันมากเกินไปครับ”
“หรือไม่ก็มันอาจจะระวังตัวมากพอ”
โจขับรถมาส่งวนิษาที่หน้าคอนโด
“ทำไมหมู่นี้ดูเงียบๆไป ไม่สบายรึเปล่า”
“ผมว่าผมสงบปากสงบคำดีกว่าครับ ไม่อยากโดนไล่ออกอีก”
วนิษามองโจค้อนๆ “ประชดฉันเหรอ”
“เปล่าครับ ผมแค่เจียมเนื้อเจียมตัว”
“รู้ตัวก็ดี เป็นใบ้ก็ดีแล้ว สบายหูดี”
พูดจบ วนิษาก็ลงจากรถ
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
วนิษาปิดประตูปัง แล้วเดินเข้าไปในอาคาร โจรีบหยิบมือถือออกมา โทร. หาป๋อง
“แกอยู่ที่ไหน เออ กำลังจะเข้าไป”
โจวางสาย แล้วรีบขับรถออกจากคอนโดวนิษา ปฐมที่สวมหมวกกันน็อกซุ่มรออยู่ในเงามืด รีบขี่มอเตอร์ไซค์ตามไป
โจลงจากรถกำลังเดินตรงไปที่บ้าน ผ่านร้านแว่นตา ที่มีกระจกเงา พลางเหลือบเห็นเงาของมอเตอร์ไซค์ปฐมจอดซุ่มอยู่ คนขับสวมหมวกกันน็อกเดินลงมาจากรถ โจย้อนนึกถึงตอนที่ขับรถเข้าไปส่งวนิษา เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งซุ่มอยู่ในเงามืด ลักษณะเหมือนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ด้านหลังเขาตอนนี้ จึงพยายามทำตัวปกติ
โจเดินตรงไปที่บ้าน ปฐมสะกดรอยตามมาห่างๆ โจเดินผ่านบ้านตัวเองไปเฉยๆ ปฐมยังตามมา
จนมาถึงทางแยก โจมองเห็นร้านสะดวกซื้อห่างออกไปพอสมควร ก็รีบเดินตรงไป แต่บังเอิญเห็นป๋องเดินถือถุงขนมออกมาพอดี กำลังจะเดินกลับบ้าน โจรีบเลี้ยวเข้าซอกข้างทาง ทำเป็นยืนฉี่ ปฐมหยุดรอ แกล้งผูกเชือกรองเท้า
โจทำท่าฉี่ แต่แอบกดมือถือรัวยิก ส่งข้อความออกไป ป๋องเดินเข้ามาใกล้ๆ ทำท่าจะเข้าไปทัก แต่เสียงสัญญาณข้อความมือถือเตือนเข้ามาก่อน ป๋องหยุดเดิน พลางหยิบมือถือกดอ่าน
“ห้ามทัก”
ป๋องแกล้งทำฉุน ด่ามือถือ
“ส่งมาอยู่ได้ ไม่สมัครโว้ย รำคาญจริงๆ โหลดบ้าโหลดบออะไรวะ น่ารำคาญสุดๆ”
ป๋องเดินไปบ่นไป เดินผ่านโจ ล้วก็ผ่านปฐมไป
โจทำท่าฉี่เสร็จ พลางระบายลมหายใจแบบสบายตัว เหมือนอั้นมานาน
“กว่าจะหาที่ฉี่เจอ”
โจเดินย้อนผ่านปฐมกลับไปที่รถ แล้วขับออกไป ปฐมมองตามไป
โจจะเดินเข้าห้องที่อยู่บนดาดฟ้าของบ่อน พลางมองที่ไม้จิ้มฟันยังเสียบอยู่ที่เดิม โจก้มลงมองที่ไม้จิ้มฟันที่เสียบระหว่างบานประตูกับวงกบ บริเวณวงกบตรงนั้น มีรอยคมมีดขูดวงกบเบาๆ ซึ่งโจจงใจเอามีดขูดไม้เบาๆ ทีหนึ่งพอให้เห็นเป็นรอยเส้น แล้วเสียบไม้จิ้มฟันให้ตรงรอยเส้น
โจยิ้มเล็กน้อย เพราะไม้จิ้มฟันที่ปฐมเสียบ ไม่อยู่ในตำแหน่งเดิม
โจกำลังนั่งคิดแผนการณ์อยู่ที่บ้านป๋อง
“แล้วพี่จะใช้บ้านผมเป็นที่ทำงานอีกนานมั้ยเนี่ย”
“ไม่นานหรอก แค่ 2-3 วันเอง ให้มือขวาตั่วเจ๊เขาตายใจก่อน”
ป๋องหยิบโบรชัวร์มาดู
“ที่พี่ให้ผมไปสังเกตการณ์ ที่นี่เป็นสถาบันลดความอ้วนเอกชนที่รับเฉพาะผู้หญิง เข้มงวดพอสมควร อยู่ดีๆเขาคงไม่ให้เราเดินไปหาเมียสถาพรง่ายๆหรอก”
“งั้นแกช่วยพูดกับป้าแกให้หน่อยสิ”
“ป้าผมเกี่ยวอะไรด้วย”
ป้าป๋องอยู่แถวนั้น โผล่หน้าเข้ามา “ใครเรียกฉันรึเปล่า”
ที่ประตูทางเข้าของสถานลดความอ้วน มี รปภ.ผู้หญิงคอยตรวจตราคนเข้าออก ท่าทางเข้มงวด ป้าป๋องกับโจเดินเข้ามาในสถาบัน ป้าป๋องแต่งตัวดูเป็นคุณนายถมทองเต็มที่ ขณะที่โจดูเป็นแมงดา ใส่เสื้อกล้ามโชว์กล้าม ใส่กางเกงฟิต
“เอาจริงเหรอโจ ฉันกลัวจะทำแผนคุณพังน่ะสิ” ป้าป๋องดูตื่นๆ
“ไม่พังหรอกครับ ผมดูคนไม่ผิดหรอกครับ คุณป้าทำได้แน่ๆ”
“เอ้อ เอาก็เอา”
โจกับป้าป๋องเดินมา รปภ.มองป้าป๋องแล้วยิ้มให้ พร้อมตะเบ๊ะ
“ยินดีต้อนรับค่ะ”
โจกับป้าป๋องเดินไปเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พีอาร์เห็นก็ยกมือไหว้นอบน้อม
“มีอะไรให้รับใช้คะ”
“ว่าที่ภรรยาผมจะลดความอ้วนน่ะครับ ไม่ทราบมีคอร์สอะไรบ้างครับ”
“ว่าที่ภรรยา?”
พีอาร์มองหน้าทั้งคู่งงๆ ป้าป๋องสลัดความตื่น ทำท่าเขินๆ เอานิ้วเข้าปาก กอดแขนโจ
“ลิตเติ้ลกำลังจะแต่งงานน่ะค่ะ อยากผอมๆสวยๆ”
“อุ๊ย ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าค่ะ ซักครู่นะคะ”
พีอาร์หันไปหยิบเอกสาร โจฉวยจังหวะนั้นฉีดสเปร์ยกระป๋องเล็กๆ มีควันจางๆลอยออกมา ป้าป๋องทำหน้าแหยๆ พีอาร์ทำจมูกฟุดฟิด
“กลิ่นอะไรคะเนี่ย เหม็นจัง”
“เหม็นมากมั้ยครับที่รัก ไม่น่าเลยนะครับสถาบันสวยๆจะมีกลิ่นปลาร้าอย่างนี้”
พลางหันมาทางพีอาร์
“เมื่อกี้ผมเห็นแม่บ้านถือถุงส้มตำเข้าไปข้างใน คงเพิ่งแกะถุงละมั้ง กลิ่นมันถึงตลบอย่างนี้”
โจกับป้าป๋องทำหน้าเหม็น พีอาร์หน้าเสีย
“ขอโทษด้วยนะคะ เราห้ามหลายครั้งแล้ว เดี๋ยวจะไปดูให้นะคะ”
พีอาร์รีบลุกออกไปดูด้านหลัง สีหน้าเคร่งเครียด โจรีบชะโงกข้ามเคาน์เตอร์ หยิบแฟ้มรายชื่อลูกค้ามาดูอย่างรวดเร็ว
“ศุปราณี เจอแล้ว ห้อง 4BW
โจรีบปิดคืน พีอาร์เดินกลับมาพอดี
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่ทราบกลิ่นมาจากไหนจริงๆแม่บ้านก็ไม่ได้ทานส้มตำค่ะ”
“เหรอคะ สงสัย รปภ.คนนั้นคงผายลมมั้งคะ”
จากนั้นพีอาร์ ก็เดินนำโจกับป้าป๋องชมสถานที่
“สถานที่ของเราเป็นที่เดียวในเซ้าท์อีสต์เอเชียที่ผ่านมาตรฐานดับเบิ้ลยูเคโอของยุโรปนะคะ
โดยเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวและเรื่องความสะอาด”
โจมองซ้ายขวา เห็นถึงวอร์ดผู้เข้ารับการรักษาแล้ว ก็สะกิดป้าป๋อง
“อุ๊บส์”
พีอาร์หันมามองหน้าป้าป๋อง “เป็นอะไรคะ”
“ปะ ปะ ปวดท้องค่ะ จะ จะไม่ไหวแล้วค่ะ”
“ห้องน้ำทางนี้ค่ะ เชิญค่ะ”
“ที่รักไปทำธุระส่วนตัวให้สบายใจเถอะครับ ผมรอแถวนี้ได้”
พีอาร์รีบพาป้าป๋องที่เดินบิดออกไป โจรอจนทั้งสองเลี้ยวลับไปแล้ว ก็เดินไปบริเวณวอร์ดคนไข้ทันที ดูเลขที่ห้อง จนเจอห้อง 4B
โจเข้ามาในห้อง เห็นเมียสถาพร ที่เป็นหญิงอ้วนนั่งหน้าละเหี่ยมองดูที่จานข้างหน้า มีผักต้มกองเล็กๆอยู่
“ฉันไม่อยากกิน เก็บไปเถอะ”
เมียสถาพรหันมาเห็นโจก็แปลกใจ
“คุณไม่ใช่เจ้าหน้าที่นี่ คุณเป็นใคร มีอะไรเหรอคะ”
“สวัสดีครับคุณศุปราณี ผมเป็นนักสืบเอกชนครับ ชื่อโจ มีเรื่องอยากสอบถามคุณหน่อย”
“คุณเป็นผู้ชายเหรอ คุณเข้ามาได้ไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะ”
โจหยิบของที่ซ่อนอยู่ในพุงปลอมออกมา เป็นถุงใส่อาหาร โจหยิบของในถุงออกมาวางโชว์ที่ละอย่าง
“นี่พิซซา นี่เฟร้นช์ฟราย นี่โดนัท นี่ชีสเค้ก นี่โรตี นี่กล้วยแขก อุ๊ย มีขาหมูด้วยเนื้อหนังไส้ไข่ ยังอุ่นๆอยู่เลยครับ”
เมียสถาพรเห็นของกินแล้วพูดไม่ออก มองตาค้าง น้ำลายไหลย้อย โจเก็บทุกอย่างกลับเข้าถุง เมียสถาพรร้องลั่น
“เอามานี่ เอามา”
“มันจะเป็นของคุณ ถ้าคุณตอบคำถามผม”
“เอามานี่ เอามา เอามา เอามา”
เมียสถาพรดูเหมือนคนเสียสติไปแล้ว โจตัดใจ หยิบกล้วยแขกออกมาให้ชิ้นหนึ่ง เมียสถาพรเอาไปกิน คำเดียวหมดเกลี้ยง ทำท่าชื่นใจ
“โอเค ได้สติแล้วนะ คุณศุปราณี ผัวคุณตายทั้งคน ทำไมคุณยังมาอยู่ในสถาบันลดความอ้วน”
“ฉันเลิกรักมันไปแล้ว มันเป็นผู้ชายเลวๆคนนึง ทำไมฉันต้องเสียเวลากับเรื่องของมัน”
“ทำไมคุณบอกตำรวจว่าซูซี่คือฆาตกร” โจยิงคำถามต่อ
“ผัวฉันไม่เคยเป็นโรคหัวใจ มันแข็งแรงยังกะม้า จะหัวใจวายตายได้ไง”
“แต่ทำไมถึงคิดว่าซูซี่เป็นคนฆ่าล่ะ”
“อันนี้เป็นความลับของคดีนะ ตำรวจตรวจพบสารพิษในเลือดของสถาพร คนที่จะวางยาพิษ ก็มีแต่ยัยซูซี่เท่านั้นแหละ”
“ยาพิษอะไร” โจสงสัย
“อันนี้ฉันไม่รู้ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ย่ะ เอาของในถุงมาให้ฉันได้แล้ว”
“อีกข้อนึง คุณจำได้ไหมว่าสากที่ซูซี่ใช้ตำส้มตำน่ะ เป็นยังไง”
“ถามอะไรพิลึก ก็สากไม้ธรรมดา ครกก็ครกไม้ธรรมดา จะเอามาให้ฉันได้รึยัง”
โจเงียบไป ส่งถุงอาหารให้เมียสถาพร เมียสถาพรตะปบไปอย่างหิวโหย โจสีหน้าครุ่นคิด
อ่านต่อตอนที่ 7