xs
xsm
sm
md
lg

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 5

กริชกับวนิษา เดินคุยกันออกมาหน้าร้านอาหาร

“ขอบคุณมากนะคะสำหรับมื้อค่ำ อาหารอร่อยมากค่ะ”
กริชยิ้มหวาน ตาเยิ้ม
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุณวนิษาให้ความรู้ผมแล้วกัน”
“ยินดีค่ะ แต่วนิรู้แค่พื้นๆ ถ้าคุณกริชอยากรู้ลึก รู้จริงเดี๋ยววนิจะแนะนำกูรูให้แล้วกันค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุยกับวนิดีกว่า คุณเป็นคนคุยสนุก ผมคุยด้วยแล้วสบายใจ ถ้าเจอกูรูเดี๋ยวผมจะเครียดซะเปล่าๆ”
“แล้วแต่คุณกริชค่ะ ยังไงวนิก็ยินดีช่วยเสมอค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้า”.
กริชยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงปีบแตรรถเสียงดัง กริชกับวนิษาหันมาดู เห็นโจรออยู่ในรถที่จอดอยู่หน้าร้าน เป็นคนกดแตรเรียก
“อ้าวคุณวนิเรียกคนรถมารับเหรอครับ”
“ค่ะ ไม่อยากรบกวนคุณกริชมากเกินไป ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
กริชถึงกับพูดไม่ออก “เอ่อ”
“สวัสดีค่ะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
กริชยังไม่ทันได้ตั้งตัว วนิษาก็รีบเดินไปขึ้นรถ โจกุลีกุจอขับรถออกไปทันที
“คนขับรถบีบแตรเรียกเจ้านายเนี่ยนะ...คุณวนิรับคนแบบนี้มาทำงานได้ไงเนี่ย”
กริชถอนหายใจ กำลังจะเดินไปที่รถตัวเอง รถเก๋งคันหนึ่งก็วิ่งมาจอดเอี๊ยดตรงหน้า กริชชะงัก ระรินกับเพ็ญแขลงมาจากตอนหลังรถ โดยมีสุดใจเป็นคนขับ
ระรินยิ้มระรื่นให้กริช พลางมองซ้ายมองขวาไปด้วย
“อ้าว ระริน คุณแม่ สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะคุณกริช”
“มาไงครับระริน”
ระรินยิ้มหวาน
“ระรินขับรถผ่านมาน่ะค่ะ เห็นคุณกริชยืนอยู่ก็เลยรีบหยุดรถลงมาทักทาย มากับเพื่อนรึเปล่าคะ”
“ครับ” กริชพยักหน้า “เพิ่งแยกกันเมื่อกี้เอง"
“เสียดาย แม่อยากทำความรู้จักกับเพื่อนคุณกริชมาก เอ คุณกริชคะ ร้านนี้อาหารอร่อยไหมคะ พอดีแม่กับระรินยังไม่ได้ทานข้าวเลย”
เพ๊ญแขจงใจพูดเปิดทาง
“อร่อยครับ”
ระรินเอียงหน้ายิ้ม “เหรอคะ คุณกริชช่วยแนะนำเมนูให้ระรินกับคุณแม่ด้วยนะคะ”
“ระรินก็สั่งตามที่เค้าแนะนำในเมนูรับรองอร่อยทุกรายการ ผมต้องไปก่อนนะครับ”
“อ้าว แล้วคุณกริชไม่”
ระรินยังพูดไม่ทันจบประโบต กริชก็ชิงตัดบท
“สวัสดีครับ แล้วเจอกันนะครับ”
กริชรีบเดินผละไปที่รถ ระรินอ้าปากค้าง
“ยังไม่ทันไรเลย แกโดนเชี๊ยะแล้วเหรอเนี่ย”
ระรินโกรธจนตัวสั่น

“นี่ ใครสั่งใครสอนให้บีบแตรเรียกฉันแบบนี้”
วนิษาหันมาทำเสียงดุโจ เมื่ออยู่ในรถด้วยกัน
“ก็คุณบอกเองว่า ถ้าผมเห็นผู้ชายจีบคุณก็ให้ช่วยขัดขวาง”
“ก็ใช่ แต่ให้มันมีมารยาทบ้าง อย่าให้มันน่าเกลียด”
“ก็ผมไม่รู้มารยาทนี่นา ผมความจำเสื่อม” โจแกล้งตีหน้าซื่อ
“ที่ผ่านมาคุณรู้จักหยุดรถให้คนข้ามถนน รู้ว่าขับช้าต้องอยู่เลนซ้าย แล้วทำไมอยู่ดีๆ ต่อมมารยาทมันต้องมาเสื่อมเอาเมื่อกี้นี้ด้วย”
“เอ นั่นน่ะสิครับ สงสัยต้องไปถามหมอ”
วนิษามองโจด้วยความหมั่นไส้

วนิษาอยู่ในชุดนอน กำลังจะนอน พลันก็มีเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า วนิษารีบหยิบมือถือมากดอ่าน
ข้อความของกริชปราฏอยู่ที่หน้าจอ
“คุณวนินอนรึยังครับ”
วนิษากดส่งข้อความจะกลับ แต่ก็เปลี่ยนใจ เมื่อเห็นรูป มรว. จันทร์กระจ่าง กับเสียสมชาย ที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
กริชส่งข้อความซ้ำมาอีก
“ถ้านอนหลับแล้วอย่าอ่านข้อความต่อไปนะครับ”
วนิษาสงสัย ไม่นานข้อความก็ถูกส่งมาอีก
“บอกว่าอย่าอ่าน ดื้อจังเลย แต่ดื้อๆ นิดๆแบบนี้ก็น่ารักดีนะครับ”
วนิษาอดยิ้มไม่ได้ จะกดตอบแต่ก็รีรอ จนมีข้อความตามมาอีก
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ มีเรื่องรบกวนขออนุญาต”
วนิษา ตัดสินใจส่งข้อความกลับไป
“เรื่องอะไรคะ”
“ขออนุญาตฝันถึงคุณวนิครับ จะได้ฝันดีได้ไงครับ”
วนิษาถอนใจ พลางพูดกับมือถือเบาๆ
“คุณกริช คุณอย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเลยค่ะ”
กริชส่งข้อความมาอีก
“ขออนุญาตนะครับ”
วนิษาส่ายหน้า“ขอโทษนะคะ คุณดูเป็นผู้ชายที่ดี อยู่ห่างๆฉันเถอะค่ะ”
วนิษาปิดเสียงมือถือไม่กดตอบ กริชนั่งรออยู่ชั่วครู่ ก็ไม่มีข้อความกลับมา
“ใจแข็งจริงนะคุณวนิ รู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ยว่ายิ่งเล่นตัวแบบนี้มันยิ่งเร้าใจ”
กริชหยิบมือถือมาจุ๊บๆ แล้วก็ดูรูปวนิษาในนิตยสารแล้วจูบรูปในนิตยสารหลายฟอด
“อยากจูบตัวจริงจังเลยโว้ย คุณวนิ คุณฮอทมาก ถ้าผมได้คุณเป็นเมียนะ ฮึ่ม”

กริชมองรูปวนิษาครู่หนึ่งก็หยิบนิตยสารเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ปลายฝนกับเพื่อนๆอีก 3 คน เดินเข้ามาสั่งอาหารที่ร้านฟาสต์ฟู้ด พนักงานรับเงินเสร็จ ก็ให้บัตรคิว

“เชิญรอที่โต๊ะค่ะ เดี๋ยวเอาไปเสิร์ฟ์ให้ค่ะ”
ปลายฝนกับเพื่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ในขณะที่ป๋อง ที่อยู่ในชุดพนักงาน กำลังทำงานในครัว พนักงานจัดอาหารเสร็จ ก็หันมาบอกป๋อง
“ป๋อง ยกไปเสิร์ฟที”
“ครับพี่”
ป๋องเดินมารับถาดอาหารไป ดูเลขคิว แล้วเดินหาจนเจอโต๊ะของปลายฝนกับเพื่อน
“ได้แล้วครับ ขอโทษนะครับที่ให้รอ”
ป๋องยกถาดอาหารวางลง ปลายฝนหันหน้ากลับมาพอดี ต่างฝ่ายต่างแปลกใจ
“ทำงานที่นี่เหรอ”
ป๋องพยักหน้า “อื้อ”
“ไม่บอกก่อน ถ้ารู้จะได้ให้เลี้ยงซะเลย”
“สบาย กินหมดแล้ว เดี๋ยวเลี้ยงไอติม”
ปลายฝน ยิ้มกว้าง “จริงนะ 4 คนเลยนะ”
“แน่นอน จัดให้ ไอติม 1 ช้อน 4 กินกันตามสบายเลย”
ปลายฝนมองป๋องค้อนๆ“น่าเกลียด”
เพื่อนคนหนึ่งสะกิดปลายฝน แล้วพูดเบาๆ แต่ป๋องยังได้ยิน
“นี่ ฝน อย่าคุยนานดิ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น”
“เห็นแล้วทำไมเหรอ”
“เดี๋ยวเขานึกว่าเราเป็นเพื่อนกับเด็กเสิร์ฟพวกนี้”
ป๋องหน้าเจื่อน ปลายฝนมองเพื่อนอย่างโมโห
“ทำไมล่ะ นี่เพื่อนเรานะมิ้น ที่เราได้ตั๋วไปดูคอนเสิร์ต ก็เพราะเขาช่วยซื้อให้ ทำไม จะคบเพื่อนต้องแคร์สายตาคนอื่นด้วยเหรอ”
จากนั้นก็หันมาพูดกับป๋อง
“อย่าโกรธนะ เพื่อนเรามันพูดไม่ทันคิดน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ถือ พวกติ่งก็งี้แหละ”
ปลายฝนชะงัก พวกเพื่อนๆปลายฝนก็หน้าบึ้งกันทันที ป๋องขยับตัวจะเดินออกไป แต่ปลายฝนรีบเรียกไว้
“เดี๋ยว”
“อะไร”
“บอกแล้วใช่มั้ย อย่าเรียกฉันว่าติ่ง”
“ก็จริงนี่นา ไปยืนเข้าคิวกันทั้งวันซื้อตั๋วคอนเสิร์ตแบบนั้น ไม่เรียกติ่งแล้วเรียกอะไร”
ปลายฝนลุกขึ้นยืน หน้าบึ้งตึง
“ขอโทษฉันกับเพื่อนเดี๋ยวนี้”
“ทีงี้ต้องให้ขอโทษ ทีเมื่อกี้ที่เพื่อนเธอพูดอะไรแย่ๆออกมา ไม่เห็นขอโทษฉันเลย”
“เพื่อนฉันพูดโดยไม่ตั้งใจ ไม่เหมือนกัน”
ป๋องเบะปาก “แถชัดๆ”
“ได้ เจอกัน”
ปลายฝนมองหน้าป๋องด้วยความเจ็บใจ แต่ป๋องไม่ใส่ใจ

ป๋องเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย ก็สะพายเป้ เตรียมออกมาจากหลังร้านกำลังจะกลับ ปลายฝนมาขวางหน้า
“มีอะไรอีกล่ะ”
ป๋องพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนมารัดตัวแล้วยกขึ้นจนตัวลอย ป๋องตกใจ พลางหันกลับมามอง ก็เห็นวัยรุ่นหญิงตัวอ้วนใหญ่ ป๋องตกใจ พยายามดิ้นแต่ดิ้นไม่หลุด
“ปล่อยนะ ปล่อย”
ปลายฝนกับเพื่อนๆที่นั่งในร้านเมื่อครู่ออกมารายล้อมป๋อง
“ไอ้นี่ใช่มั้ยที่เรียกพวกเราว่าติ่งน่ะ”
สาวอ้วนถามเสียงดุ ปลายฝนพยักหน้าหงึก
“ใช่ คนนี้แหละ” พลางหันมาพูดกับป๋อง “ในเมื่อนายไม่ยอมขอโทษ งั้นนายก็ต้องถูกทำโทษ”
“จะทำอะไรฉันน่ะ”
เพื่อนๆ ปลายฝน ล้อมวงเดินเข้าหาป๋อง ด้วยหน้าตาเอาเรื่อง

ปลายฝนคว้าเป้ของป๋องมารื้อค้น
“โห ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่าเรียนเภสัชน่ะ เก่งเหมือนกันนี่นา”
เพื่อนๆ ปลายฝนกำลังรุมล้อมป๋องจนมองไม่เห็นตัว แล้วพากันหัวเราะคิกคัก
“เสร็จแล้วจ้ะพ่อรูปหล่อ”
กลุ่มสาวๆ เเปิดวงล้อมออก เห็นป๋องโดนแต่งตัวเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี ปลายฝนเห็นแล้วหัวเราะก๊าก
“แต่งเป็นติ่งให้แล้ว ปล่อยฉันไปได้รึยัง”
“ยัง แค่นี้ยังไม่ติ่งหรอก นายต้องติ่งกว่านี้อีก ถ้าไม่ทำตามที่ฉันบอกล่ะก็ ฉันจะเอาของในกระเป๋านายไปโยนทิ้ง ทั้งตำราเรียน เล็คเชอร์ อะไรก็ตามเนี่ย”
ป๋องมองปลายฝนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

ที่ลานกิจกรรม วัยรุ่นหนุ่ม-สาวเดินกันพลุกพล่าน จู่ๆ ก็มีเพลงป๊อบดังขึ้น พร้อมๆกับที่ป๋องในชุดเกิร์ล กรุ๊ปโดนผลักออกไปให้ไปยืนเด่นอยู่กลางลาน ป๋องยืนเก้ๆกังๆ มองมาที่ปลายฝนที่หลบอยู่ ปลายฝนเอาไฟแช็คจ่อกระเป๋าแล้วจ้องหน้า ป๋องรีบเต้นท่าเกิร์ลกรุ๊ปทันที ปลายฝนกับเพื่อนหัวเราะลั่น คนผ่านไปมาหยุดมองป๋องหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ป๋องก้มหน้าก้มตาเต้นอับอายสุดๆ

ป๋องนั่งดูคลิปตัวเองเต้นท่าเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีในแท็ปเล็ต หน้าตาบึ้งตึง
“ยัยปลายฝนตัวแสบ แอบถ่ายคลิปไม่พอ ยังบังอาจโพสต์ลงเน็ตอีก งานนี้ฉันต้องหาทางเอาคืน
ให้สาสมแน่ๆ ฮึ่ย แล้วดูแต่ละเม้นต์ซิ ลิงโดนไฟคลอก กะเทยเมายาคุมเต้นประชดผัว เชิญเจ้าผิดองค์”
ป๋องยิ่งอ่านก็ยิ่งโกรธ โจเดินเข้ามาในห้อง ป๋องรีบปิดคลิป
“ทำอะไรวะ ดูคลิปโป๊เหรอ”
“เปล่าครับพี่ อย่าสนใจเลย ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ประวัตินายกริชที่ให้สืบเป็นไงมั่ง”
ป๋องหยิบแฟ้มที่เตรียมไว้ ยื่นส่งให้โจ พลางอธิบายภาพประกอบไปด้วย โจฟังไปเปิดแฟ้มดูไปด้วย
“เป็นดารา เป็นพระเอกละคร ฐานะทางบ้านดี”
“อะไรจะดีไปหมดขนาดนั้น” โจแอบเขม่น
“นิสัยก็ดีอีกด้วย ครอบครัวเขาเป็นผู้ดีเก่าทั้งทางพ่อและแม่ รวยจริงไม่ใช่เพิ่งรวย เลยเลี้ยงลูกเป็น
มีเวลาอบรมลูก เขาก็เลยโตมาเป็นคนดี ไม่เหมือนพวกกุ๊ยมีเงิน สักแต่ว่ามีลูก โตมาเก่งแต่สร้างปัญหาให้สังคม ไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเอง ทำผิดก็ใช้เส้นสายเอาตัวรอดตลอด”
ป๋องพล่ามไปเรื่อย จนโจชักรำคาญ
“แกจะนอกเรื่องไปไหนวะ”
“ขอโทษครับ เข้าเรื่องต่อนะครับ อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว ก็เขาเป็นคนดีเลยไม่มีเบื้องหลังอะไรมาก เรื่องคาวๆ กับผู้หญิงคนนู้นคนนี้ ส่วนใหญ่ก็ผู้หญิงปล่อยข่าวเอง ความจริงนายกริชเป็นสุภาพบุรุษคนนึง”
“ดีไปหมด ว่างั้น”
“ถ้าถามผม ผมว่าเขาเป็นคนดี”
“งั้นเราคงต้องรีบกระชากหน้ากากคุณวนิษาให้เร็วที่สุด”
“ทำไมล่ะครับ” ป๋องแปลกใจ
“เพราะตอนนี้คุณกริชคนดีของแกทำท่าจะปิ๊งคุณวนิษาน่ะสิ ถ้าเราลงมือช้าไป ทั้งสองอาจจะ
ถึงขั้นแต่งงานกัน แล้วคุณกริชคนดีของแกก็คงไม่รอด”
“เจออาถรรพ์ดวงกินผัวใช่ไหมครับ”
โจปิดแฟ้ม หยิบเป้สะพายมาใส่ข้าวของอุปกรณ์ลงไป

“ป๋อง ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ว อาถรรพ์ไม่มีจริง ทุกอย่างเกิดจากเจตนาของคน”
 
อ่านต่อหน้า 2

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)

จากนั้นโจก็พาป๋องมาที่ร้านส้มตำสถาพร เห็นประตูร้านปิดอยู่ ป๋องยืนดูต้นทาง ในขณะที่โจรอจังหวะปลอดคน ก็ลงมือจัดการกับแม่กุญแจที่ล็อกประตูอยู่ เพียงครู่เดียวก็ปลดล็อกได้
 
โจกับป๋องเข้ามาในร้านที่มืดมาก ทั้งคู่ต้องเปิดไฟฉายส่องไปมา
ป๋องเดินไปเปิดสวิทช์ไฟ แต่ไม่ติด โจรีบปิดประตู
“พี่โจ เปิดทิ้งไว้ไม่ได้เหรอพี่”
“เปิดไว้ให้ตำรวจมาถามหาเหรอ”
“ก็แบบว่า เอ่อ เผื่อเราเจอ”
“ผีนายสถาพรน่ะเหรอ”
ป๋องขนลุกซู๋ “เฮ้ย อย่าเรียกชื่อสิพี่ เดี๋ยวเขาก็นึกว่าเชิญเขาหรอก”
ป๋องส่องไฟไปรอบๆ ขณะที่โจไม่พูดอะไร เดินหายไปทางหลังร้าน ป๋องหันมาอีกที ไม่เห็นโจ ก็ใจเสีย
“พี่โจ พี่โจ”
แต่ไม่มีเสียงตอบ ป๋องหวาดกลัวมากขึ้น พลางหันรีหันขวาง เดินสะเปะสะปะ จนถอยไปชนอะไรบางอย่าง ป๋องหันขวับเอาไฟฉายส่อง เจอคนหน้าตาน่ากลัว ป๋องร้องกรี๊ด ไฟฉายหลุดจากมือ
“อย่าทำอะไรผมเลยครับ”
สิ้นประโยคของป๋อง ไฟในร้านก็สว่างพรึ่บ โจเดินออกมา เห็นป๋องนั่งยองๆ ยกไหว้ท่วมหัวตรงหน้าแสตนด์รูปซูซี่ขนาดเท่าตัวจริงใส่ชุดพื้นบ้านอีสาน มีตัวหนังสือพาดว่า แชมป์ส้มตำสากทองคำ
“ไอ้ป๋อง เป็นอะไร”
ป๋องลืมตาขึ้น พอเห็นหน้าซูซี่ก็ร้องโวยวายอีกครั้ง พลางวิ่งมาหาโจ
“ช่วยด้วย ผีหลอก”
ป๋องไม่กล้าหันไปมอง ได้แต่ชี้กลับหลังไปที่แสตนด์ซูซี่
“ผีบ้าอะไรเล่า นี่คุณซูซี่ลูกค้าเราต่างหาก”
ป๋องชะงัก รีบหันกลับไปมอง
“เฮ้อ แสตนด์หรอกเหรอเนี่ย ผมนึกว่าผีซะอีก คนนี้น่ะเหรอที่เป็นเพื่อนกับพ่อพี่ พ่อพี่คบคนไม่เลือกเลยนะเนี่ย”
“ลามปามละ ไอ้ป๋อง”
โจหันมาทำเสียงดุ ป๋องเข้ามายืนดูใกล้ๆ ยังรู้สึกสยองกับหน้าตาของซูซี่
“แล้วเมื่อกี้พี่โจหายไปไหนมา ผมนึกว่าพี่โดนผีอุ้มไปแล้วซะอีก”
“ไปเปิดคัทเอ๊าท์ว้อย”
โจกับป๋อง ช่วยกันเดินสำรวจภายในร้าน
“เจออะไรที่ผิดสังเกตก็บอกด้วยนะ”
ป๋องเข้ามาในครัว กวาดตามองไปรอบๆ จนมาหยุดที่ครกส้มตำขนาดใหญ่
“พี่โจ ผมเจอเรื่องผิดปกติแล้ว”
โจเดินเข้ามา หน้าตาจริงจัง “อะไร”
“มันมีแต่ครกไม่มีสาก”
“นี่เหรอวะเรื่องผิดปกติของแก ตรงนี้ไม่มีก็ไปดูที่อื่นดิ”
“ไม่ต้องหรอก ช่างมันเหอะครับ”
“ไม่ได้โว้ย คนฉลาดจะขี้สงสัย แต่สงสัยแล้วไม่หาคำตอบคือคนโง่”
ป๋องมองหน้าโจ รู้สึกเหมือนโดนด่า แล้วก็เดินออกไป โจมองรอบๆ สักพักป๋องก็เดินเข้ามา
“เจอเรื่องผิดปกติอีกแล้วพี่”
“อะไรวะ”
“ไอ้สากนี่ไง”
“ทำไม”
ป๋องโยนสากให้ โจรับแต่กะน้ำหนักผิด สากหล่นโดนเท้าจังๆ โจร้องจ๊าก
“สากอะไร ทำไมมันหนักจังวะ”
“ใช่มั้ย หนักมาก มันซุกอยู่มุมห้อง เหมือนจะซ่อนไว้”
โจมองสากในมืองงๆ
“เพิ่งเคยเห็นสากทำด้วยทองเหลืองนี่แหละ อาจจะเป็นเคล็ดลับความอร่อยก็ได้ เดี๋ยวเรามาจำลองสถานการณ์กัน ว่าคำบอกเล่าของซูซี่มีพิรุธตรงไหนบ้าง ฉันเป็นสถาพร แกเป็นซูซี่”
ป๋องพยักหน้า แอ็คท่าเป็นกะเทย
“ซูซี่บอกว่าทั้งสองคนนั่งอยู่ในนี้ ถึงไม่มีลูกค้าแต่ร้านยังไม่ปิด ทำไมมานั่งอยู่ข้างหลังร้านกันวะ เอาล่ะ เราลองมาจำลองสถานการณ์กัน ดูซิว่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ป๋องพนักหน้า “อ๋อ วิธีนี้ผมเคยเห็นในหนังอยู่บ่อยๆ”
“ซูซี่บอกสถาพรเดินไปเปิดเพลง”
โจทำท่าเป็นสถาพร เดินไปเปิดเพลงหวาน ขณะที่ป๋องนั่งอ่านหนังสืออยู่ โจเดินมาหาป๋อง
“ซูซี่”
“ขา”
ป๋องขานรับเสียงหวาน พลางกระพริบตาปิ๊งๆ อย่างมีจริต จนโจชะงักไปครู่หนึ่ง มองป๋องแปลกๆ ก่อนจะจำลองสถานการณ์ต่อ
“สอนผมตำส้มตำบ้างสิ”
“พูดจริงพูดเล่นคะเนี่ย”
“พูดจริงสิครับ”
“ได้สิคะ”
ป๋องลุกเดินมาที่ครก กำลังจะตำ โจก็เข้ามาโอบป๋องจากด้านหลัง เหมือนที่สถาพรโอบซูซี่
“เฮ้ย ทำอะไรอ่ะพี่”
“ก็ซูซี่เขาเล่ามาว่าสถาพรทำอย่างนี้”
ป๋องทำท่าสยิว โจเล่นบทต่อ
“สอนผมสิ ตำยังไง”
“เอ่อ ค่ะ”
โจเอื้อมมือมาจับสากไว้ ท่าทางอินมาก
“จับมือฉันด้วยสิ”
ป๋องตัวสั่น เสียงสั่น
“พะ พะ พะพี่โจ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้งครับ”
“ไม่ได้ ทำให้เหมือน เร็ว”
ป๋องกุมมือโจ ตำครกช้าๆ มือสั่นระริก
“กุมมือฉันแน่นๆ สิ”
ป๋องหน้าเหยเก พลางกลั้นใจกุมมือโจ โจแนบชิด คลอเคลีย พลางเลื่อนมือขึ้นมาทาบท้องป๋อง ทำเอาป๋องถึงกับทนไม่ไหว รีบเผ่นหนีออกมา แต่สะดุดขาโจล้มตึงคว่ำลงกับพื้น ป๋องตกใจ ยกมือข้างหนึ่งปิดก้นตัวเอง แล้วรีบคลานหนีไปตั้งหลัก โจหัวเสียมาก
“พี่โจ พี่จิ้นอะไรกับผมรึเปล่าเนี่ย”
“ไอ้เบื๊อก ฉันจะไปจิ้นอะไรกับแก ดูเด๊ะ ทำเสียเรื่องเสียสมาธิหมดเลย”
โจถือสากจะฟาดป๋อง ป๋องปิดป้อง แต่ยังไม่ทันทำอะไร ก็มีเสียงตึงๆมาจากประตูหน้าบ้านเหมือนมีคนมาทุบประตู ทั้งสองมองตากัน โจรีบสับคัทเอ๊าท์ ทั้งบ้านตกอยู่ในความมืด ในขณะที่เสียงยังดังตึงๆ ต่อ
โจกับป๋องย่องมาที่ประตู มองลอดช่องออกไปเห็นเป็นคนเมา เดินโซเซ ชนประตูร้านแล้วลุกเดินต่อไป
โจมองรอบๆอีกครั้งให้แน่ใจ
“ไม่มีอะไร แค่คนเมา ไปเหอะ”

โจเปิดประตูออกไปกับป๋อง พอล็อกแม่กุญแจเสร็จ ก็นึกได้ว่าถือสากติดตัวออกมาด้วย โจลังเล แต่ก็ไม่อยากเสียเวลากลับเข้าไปอีก ก็เลยถือสากติดมือไปขึ้นรถด้วย

เข้าวันรุ่งขึ้นโจเดินเข้ามาในตรอก ที่ทั้งแคบ ทั้งมืด มีกองเข่ง กองลังกระดาษสุมอยู่เต็มไปหมด

“ถามจริงๆเหอะ เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย ถึงต้องนัดผมมาเจอที่นี่”
โจยืนหน้าเครียด ครู่หนึ่งซูซี่ก็ค่อยๆโผล่หัวออกมาจากกองเข่งที่วางสุมอยู่
“ฉันหลบพวกเจ้าหนี้นอกระบบอยู่ ถ้านัดไปที่เชียงกง ก็กลัวคนอื่นเขาเดือดร้อนไปด้วยน่ะสิ”
ซูซี่พูดพลางมองไปรอบๆ ตัวด้วยความหวาดระแวง โจทำหน้าเซ็ง
“หนีตำรวจยังไม่พอ ยังไปกู้พวกดอกโหดมาอีกเหรอ”
“ก็ตอนหนีมันไม่ได้พกเงินมา เลยต้องไปกู้มาอ่ะดิ”
โจถอนใจเฮือกใหญ่ “เรื่องของคุณผมเพิ่งเริ่มสืบ ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรหรอกนะ”
“ฉันรู้แล้ว ที่ตามมาเนี่ย จะให้ช่วยเรื่องอื่นต่างหาก”
“เรื่องอะไร” โจเริ่มระแวง “บอกก่อนนะ ถ้าจะยืมเงิน เลิกพูดไปได้เลย”
“ไม่ยืมหรอกน่ะแค่อยากจะรู้ว่านาย เป็นตัวซวย อภิมหาซวย ซวยล้นฟ้าจริงรึเปล่าเท่านั้นเอง”
โจหน้าหงิก พลางมองซูซี่อย่างไม่พอใจ

ซูซี่ กับโจ ที่ปลอมตัวติดหนวด ยืนอยู่หน้าโต๊ะไฮโล ในบ่อนของเสี่ยเพ้ง
“แค่ให้มาบ่อนแค่เนี้ย ต้องปลอมตัวด้วยเหรอยะ”
โจหน้าหงิก “ผมช่วยคุณก็ดีแล้ว อย่าเรื่องมากน่ะ ใครรู้ว่าโจแอ๊พพันหน้ามาเข้าบ่อน จะเอาหน้าไปไว้ ที่ไหน หัดคิดบ้างดิ”
“ย่ะ ศักดิ์ศรีเยอะเหลือเกิน อ้ะ ทำตามที่ฉันบอกนะ นายแทงต่ำ ฉันแทงสูง”
“แค่เนี้ย”
ซูซี่ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้านายเป็นตัวซวย เข้าแก็งไหนหัวหน้าตายหมด ญาติพี่น้องบรรลัยวายวอด เรือหายวายป่วง อย่างที่พ่อนายบอก แค่เนี้ย ก็รวยเละแล้ว”

เสี่ยเพ้ง ที่นั่งอยู่ในห้องทำงาน ถึงกับสำลักชานมไข่มุก
“ออกสูงสี่สิบแปดตาติด มันจะทำลายสถิติกินเนสบุ๊กรึไงวะ”
ลูกน้องหน้าซีด ตกใจ
“ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันครับเสี่ย แต่ตอนนี้ เราเจ๊งยับไปยี่สิบกว่าล้านแล้วครับ”
เสี่ยเพ้งโมโห จนตัวสั่น
“โกง มันโกงอั๊วแหงๆ ไปลากคอมันมา”

โจยืนหน้าหงิก พลางมองซูซี่ ที่นับเงินไปหัวเราะร่วนไป
“อันนี้สำหรับชาแนล ส่วนนี่หลุยส์วิตตอง อันนี้ต้องเบอร์เบอรรี่ ส่วนนี่เอาไว้อัพหน้าที่เกาหลี อันนี้เอาไว้ทำนม ส่วนปึกนี้สำหรับเฉาะจู้ฮูกกรูโดยเฉพาะ” จากนั้นก็หยิบปึกเล็กที่สุดออกมายื่นให้โจ “อ้ะ ทิป”
โจดึงเงินมา ในขณะที่หน้ายังงออยู่
“คิดได้นะ เอามาเล่นการพนันเนี่ย”
“น่า อย่างอนสิจ๊ะ เห็นมะ ว่าความซวยของนายก็มีประโยชน์นะ เอาไว้คราวหน้า เรามากันอีกนะ”
โจสะบัดหัวพรึ่บ “ไม่ ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ผมไม่บ้ากับคุณแล้ว”
ขณะนั้นเอง ลูกน้องเสี่ยเพ้งจำนวนหนึ่ง ก็เดินเข้ามา ซูซี่เห็นท่าไม่ดีรีบเก็บเงินทันที โจจะเดินหนี แต่ลูกน้องอีกกลุ่ม ก็เข้ามาขวางไว้ พร้อมกับล้อมโจ กับซูซี่ ไว้
“พวกเขามาทำไมอ้ะ ตัวเอง”
:ซูซี่กลัวจนลนลาน
“ถามได้ คุณได้มาซะขนาดนี้ เขาก็มาเอาคืนน่ะดิ”
ลูกน้องเสี่ยเพ้งกรูกันเข้ามาเล่นงานทั้งคู่ โจกับซูซี่สู้ตาย โดยเฉพาะซูซี่โชว์ลีลาแม่ไม้มวยไทยอย่างโหด
แต่ก็สู้ไม่ไหว โจพยายามจะแหวกวงล้อมหนี แต่ก็หนีไม่ได้ เลยหยิบไม้ที่ตกอยู่ขึ้นมาใช้แทนกระบอง ไล่ฟาดพวกลูกน้องเสี่ยเพ้งจนแตกกระเจิง
โจขว้างไม้ใส่ลูกน้องเสี่ยเพ้ง ลูกน้องหลบได้ แต่ไม้พุ่งเข้าหาตำรวจที่เดินถือถุงโอเลี้ยงผ่านมาเต็มๆ จนน็อกคาที่ ตำรวจอีกคนที่ตามมาตกใจ ก่อนจะหันไปมองโจกับพวกลูกน้องเสี่ยเพ้ง
“เฮ้ย ลอบสังหารเจ้าพนักงานเหรอ”
โจ ซูซี่ และพวกลูกน้องเสี่ยเพ้งวิ่งหนีกระเจิงกันทันที ตำรวจรีบเป่านกหวีดวิ่งตามหลัง
ลูกน้องเสี่ยเพ้งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ในขณะที่เสี่ยเพ้งกำลังเก็บของหนีอยู่
“ เสี่ยครับ ตำรวจมาล้อมพื้นที่ไว้เต็มเลยครับ”
“ยันไว้สิโว้ย อย่าเพิ่งให้เข้ามา อั๊วยังเก็บของไม่เสร็จ เดี๋ยวเจอหลักฐาน”
“ครับๆ” ลูกน้องรับคำ แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป
“มันเป็นอย่างงี้ได้ไงวะเนี่ย เก๊าเจ้ง”
เสี่ยเพ้งบ่นอย่างหงุดหงิด พร้อมๆ กับที่ลูกน้องอีกคนหอบแฟ้มเอกสารเข้ามาหา
“เสี่ยครับ ผมสงสัยว่าไอ้คนที่มันถล่มบ่อนเรา แล้วพาตำรวจมาจับ อาจจะเกี่ยวข้องกับแก็งของไอ้เสี่ยป๊อกก็ได้นะครับ”
“ถ้าใช่ล่ะก็ อั๊วไม่เอามันไว้แน่ ยัยตั่วเจ๊”
เสี่ยเพ้งขบกรามแน่นด้วยความแค้น

วนิษากินร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับหม่อมจันจิรา ในวังวาสุวงศ์ บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหาร ที่ประดิษฐ์ ประดอยสวยงาม
“วันพุธที่จะถึงนี้ เธอพอมีเวลาบ้างไหมจ๊ะวนิ”
“ไม่ได้ติดอะไรค่ะ หม่อมแม่จะให้วนิไปทำธุระอะไรเหรอคะ”
“จะชวนไปออกงานเป็นเพื่อนฉันหน่อยน่ะ”
“งานอะไรเหรอคะ” วนิษาถามต่อ
“งานรินน้ำใจสู้ภัยแล้ง เป็นงานการกุศลน่ะ คนที่ได้รับเชิญ ก็หาของไปประมูล รายได้ก็เอาไปช่วยคนที่เดือดร้อนจากภัยแล้ง มีกิจกรรมสนุกๆด้วยนะ”
วนิษา ยิ้มรับ
“ได้ค่ะ วนิชวนคนอื่นไปด้วยได้ไหมคะ”
“เธอจะชวนใครไปเหรอ”
“คุณยายของวนิเองค่ะ ท่านอยู่เหงาๆ เลยอยากชวนท่านมาออกงานแก้เบื่อ แล้วท่านก็ชอบเรื่องทำบุญช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว”
“ก็ดีนะ จะได้เป็นเพื่อนคุยฉันด้วย”
วนิษายกมือไหว้หม่อมจันจิรา “ขอบพระคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก จะชวนแม่เธอมาด้วยไหมล่ะ”
วนิษา ส่ายหน้า

“ไม่ดีกว่าค่ะ พักนี้แม่วนิดูแปลกๆ พยายามจะหาคู่ให้อีกแล้ว เลี่ยงๆได้เลี่ยงดีกว่า”
 
อ่านต่อหน้า 3

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)

วลัยกับเพื่อนอยู่ในร้านเสริมสวย กำลังนั่งให้ช่างแต่เล็บเท้าอยู่

“อุ๊ย ดูนี่สิเธอ มีทัวร์ตามรอยละครเรื่องเสน่หาป่าเถื่อนด้วยนะ อยากไปมั้ยเธอ”
วลัยที่นั่งเล่นแท็บเล็ตไปด้วย หันมาถามเพื่อน
“ไปไหนมั่งอ่ะ”
“นี่ไง ตั้งแต่คฤหาสถ์ที่ใช้ถ่ายเป็นบ้านนางเอก ไปเที่ยวป่าที่นางเอกโดนพระเอกจับขังแล้วก็ได้กัน แล้วก็ไปที่ศาลที่พระเอกโดนตัดสินจำคุกข้อหาข่มขืนด้วยล่ มีน้องอู๋ เป็นไกด์เองด้วย”
“จะไปก็เพราะน้องอู๋นี่แหละ เด็กอะไรไม่รู้ หล่อจู้ฮุกกรู ดูแล้วน่าฟัดชะมัด”
วลัยหัวเราะคิก “ยังงี้ถ้าไปถึงป่าต้องให้น้องอู๋ จับเราขังแบบในละครด้วยนะว่ามั้ย”
“อุ๊ย วลัย ลูกสาวเธอจะออกงานอีกแล้วล่ะ” เพื่อนของวลัย ที่เล่นแท็บเล็ตอยู่อีกเครื่อง หันมาบอก
“งานอะไรเหรอ”
“งานรินน้ำใจสู้ภัยแล้ง มีหม่อมจันไปด้วย คงชวนลูกสาวเธอไปด้วยมั้ง มีดาราไปเพียบเลยนะ”
“อืม เอ๊ะ แล้วมีคุณกริชไปด้วยมั้ยเนี่ย”
“เห็นมีชื่อนะ”
วลัยรีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกทันที
“แม่เองค่ะคุณกริช ไม่ทราบว่าคุณกริชจะไปร่วมงานรินน้ำใจสู้ภัยแล้งไหมคะ”

โจนั่งรอวนิษา ที่เตรียมไปงานการกุศลอยู่ที่ล็อบบี้คอนโด พลางพลิกแม็กกาซีนไปมาด้วยความเซ็ง
“โอ๊ย เมื่อไหร่จะมาเนี่ย ผู้หญิงนี่อืดอาดยืดยาดเหมือนกันทุกคนรึเปล่าวะ”
พลันเสียงวนิษาดังขึ้น
“ รอนานมั้ย นายดาว”
โจทำหน้าเซ็ง
“ไม่นานเลยครับ แค่เอาเวลารอคุณ ขับรถไปเชียงใหม่ได้หลาย”..
โจหันกลับมา เห็นวนิษาในชุดราตรีสวยหวาน ก็ตะลึง พูดต่อไม่ถูก
“ถามคำเดียว ประชดซะสิบคำเลยนะ นี่ฉันก็รีบสุดๆแล้ว แต่ฉันต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อน”.
วนิษาชะงักไป เมื่อเห็นโจหน้าเหม่อลอย
“นายดาว”
โจ สะดุ้งรู้สึกตัว “เอ่อ ครับๆ”
“เป็นอะไรของนายน่ะ”
“ไม่ได้เป็นครับ แค่ตะลึง เอ่อ วันนี้คุณสวยมากเลยนะครับ”
วนิษายิ้มเขิน ก่อนจะรีบปั้นหน้าดุ
“ก็เหมือนทุกวันน่ะแหละ แค่วันนี้เปลี่ยนมาใส่ชุดออกงานเท่านั้นเอง จะไปรึยังล่ะ”
โจ ผายมือ พร้อมส่งยิ้มบางๆให้ “เชิญครับ เจ้านาย”

โจขับรถไปพลางมองกระจกหลัง เห็นวนิษานั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางนิ่งๆ รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มองวนิษาแบบนี้ ก่อนจะหันกลับไปมองทาง แล้วขับรถต่อไป วนิษาเป็นฝ่ายชำเลืองมองโจบ้าง นานวัน ก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับคนขับรถคนนี้มากขึ้นทุกที
“ฟังเพลงมั้ยครับคุณวนิ”
วนิษารีบเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางเฉยเมย “อยากฟังอะไรก็เปิดเอาสิ”
“ผมจำชื่อเพลงไม่ได้ จำได้แต่เนื้อร้องอ่ะครับ”
“เหรอ เขาร้องว่าไงล่ะ”
โจเริ่มร้องเพลง
“แอบรักเธอ อยู่ในใจ เก็บหัวใจ ไว้ให้เธอ วันทั้งวัน ฉันมองเหม่อ”
วนิษา แกล้งทำหน้าบึ้งตึง “เพลงนี้ฉันก็จำชื่อไม่ได้ แต่จำเนื้อร้องอีกเพลงได้”
“ร้องว่าไงครับ”
“ไปๆ ไปลงนรกเสียเถอะที่รัก ฉันจะลงโทษเธอ เวลา ของเธอหมดแล้ว”
โจถึงกับสะดุ้งเฮือก “อุ้ย งั้นฟังวิทยุแล้วกันครับ จบ”

โจขับมาส่งวนิษาที่หน้าโรงแรมหรู
“ระหว่างที่ฉันอยู่ในงาน คุณจะไปหาอะไรนั่งกินในโรงแรมหรือไปสปาก็ได้นะ บอกชื่อฉันไปละกัน”
“ผมขอเปิดห้องสวีท นอนซักงีบได้มั้ยครับ”
วนิษา มองค้อน
“นอนซักงีบแล้วตื่นมาค่อยไปนอนยาวๆต่อที่โรงพักแล้วกัน เพราะฉันไม่จ่ายให้แน่ๆ”
“ว้า นึกว่าจะใจดี”
“ถ้าพูดอย่างงี้งั้นสปงสปาอะไรก็ไม่ต้องแล้ว ฉันไม่อนุญาต เชิญนายไปพักในห้องคนขับรถแล้วกัน”
“อดเลย ปากหนอปาก”
โจตีปากตัวเอง วนิษาหัวเราะ แล้วลงจากรถ

ที่ห้องจัดเลี้ยงโรงแรม ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานรินน้ำใจ แขกเหรื่อในงาน ที่เป็นทั้งไฮโซ และเซเล็บ เดินไปมาเต็มงาน วนิษาอยู่กับหม่อมจันจิรา กำลังคุยกับคุณหญิงคนหนึ่ง
“แหม ดิฉันได้เห็นเครื่องสังคโลกที่หม่อมเอามาบริจาคแล้ว ช่างงามเหลือเกิน เดี๋ยวคงมีคนประมูลกันไฟลุกแน่ๆค่ะ”
หม่อมจันจิรา ยิ้มหน้าบาน
“สมพรปากเถอะค่ะ อยากให้คนบริจาคกันเยอะๆ จะได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนได้มากๆ”
“ส่วนไวน์ของคุณวนิษา ดิฉันไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ แต่สามีดิฉันน่ะสิคะ เห็นปุ๊บ ประกาศเลยว่าต้องเอาให้ได้”
วนิษารีบออกตัว
“อันที่จริงวนิก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกันค่ะ เป็นของสะสมของตั่วเฮียน่ะค่ะ มีทั้งโรมาเน่ก็องติ ลาฟิต ร็อธไชด์ บลูเลเบิ้ล เหมาไถ สาเก”
“แหม คล่องเชียวนะคะ แล้วบอกไม่รู้เรื่อง”

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง คุณยายวรางค์เดินเข้ามากับหนุงหนิง ที่แต่งตัวสีสันฉูดฉาดมาก
“คุณยายคะ นี่งานไฮโซแน่หรือคะ”
“ทำไมถามแบบนั้น เธอสงสัยอะไรเหรอ”
หนุงหนิงมองไปรอบๆ
“ไม่มีใครใส่ชุดราตรีสวยเท่าหนูซักคน ดูเรียบๆจืดๆ ไม่สวยเลย สู้ของหนูไม่ได้ กัดฟันซื้อเลยนะคะ
ชุดเนี้ย ตั้งหกร้อยกว่าบาท แต่คุ้มค่ะ หนูเด่นที่สุดในงานเลย”

“จ้ะ แม่คุณ”

ทางด้าน มรว. จันทร์ธิดา ก็ยืนคุยกับพจน์อยู่อีกมุมหนึ่ง

“ยังดีนะที่ยัยวนิษาไม่เอาสมบัติของชายแจ้มาประมูล ไม่อย่างนั้นฉันจะวีนเหวี่ยงให้งานล่มเลย”
“ดูให้แน่ใจนะ ว่าไม่มีพวกเครื่องเพชรเครื่องทองอะไรพวกนั้น”
“ฉันรู้จักกับคนจัดงาน ไปขอดูมาแล้ว ไม่มีในรายการ ของวนิษาเป็นไวน์ ซึ่งไม่ใช่ของชายแจ้แน่ๆ”
“โชคดีไป ของเก่าของคุณชายแจ้น่ะแต่ละอย่างเป็นของหายากราคาแพงๆทั้งนั้น เอามาประมูลการกุศลแบบนี้เสียดายแย่ เป็นผมๆเอาไปขายให้เศรษฐีเมืองนอกดีกว่า”
คุณหญิงจุ๋ม เบ้หน้า “จะยังไงก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ สมบัติของตระกูลฉัน ยัยนั่นไม่มีสิทธิ์”

ระรินกับเพ็ญแข เดินเข้ามาในงานด้วยเช่นกัน
“คุณหญิงอยู่ที่นั่นแน่ะ กำลังอยู่คนเดียวซะด้วย รีบไปหาท่านเถอะ เดี๋ยวโดนคนอื่นตัดหน้าซะก่อน”
เพ็ญแขหันมาบอกลูกสาว แต่ระรินกลับยืนเฉย เพ็ญแขแปลกใจ มองตามไป เห็นวนิษากับหม่อมจันจิรา
“ยัยวนิษา”
ระรินรำพึงชื่อวนิษาเบาๆ ในขณะที่เพ๊ญแขแสยะยิ้ม
“เจอกันจนได้ ดีเลย อยากเจอมานานแล้ว”

ในขณะที่วลัยยืนโทรศัพท์อยู่ที่อีกมุมหนึ่งของงาน
“คุณกริชตอนนี้ถึงไหนแล้วคะ จอดรถอยู่เหรอคะ ค่ะ ฉันรอคุณกริชอยู่ที่งานแล้วนะคะ”
วลัยวางสาย พลางมองไปทั่วๆงาน จนเห็นวนิษากับหม่อมจันจิรา กำลังจะเดินไปหา แต่แล้วก็ต้องชะงัก เพราะรู้สึกเขม่นตาข้างซ้าย
“เอ๊ะ เป็นอะไร จู่ๆเขม่นตา ข้างซ้ายซะด้วย ขวาสหายซ้ายศัตรู หรือว่ามีศัตรูที่ไหนจะลอบกัด”

วนิษาเดินแยกวงออกมาเดินดูนิทรรศการตามลำพัง
“สวัสดีค่ะคุณวนิษา”
ระรินทักเสียงดังจนคนอื่นข้างๆหันมามองด้วย วนิษาหันมาดู ก็เห็นระรินกับเพ็ญแขยืนอยู่
“คุณระริน คุณเพ็ญแข สวัสดีค่ะ”
“แหม งานนี้ไม่ธรรมดานะคะเนี่ย ได้เศรษฐีนีหม้ายหม้ายคนดังมาร่วมงานด้วย”
ระรินทำเสียงเยาะ เพ็ญแขพลอยผสมโรง
“เอ๊ะ ระริน เศรษฐีนีหม้ายก็พอแล้วนี่จ๊ะ ทำไมต้องเศรษฐีนีหม้ายหม้ายด้วยล่ะ”
“ก็เขาเป็นหม้ายถึงสองครั้งไงคะแม่”
วนิษาหน้าตึง
“ต๊าย ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ หรือว่าไม่พอใจที่ฉันเรียกคุณว่าหม้ายหม้าย”
“ค่ะ”
“ขอโทษนะคะที่ใช้คำไม่เหมาะสม”
วนิษาเริ่มโกรธ เพ็ญแขพูดต่อ
“ระริน ไม่รู้เรื่องเลยเธอนี่ เปลี่ยนคำพูดเถอะ เราต้องเรียกคุณวนิษาว่าเศรษฐีนีหม้ายหม้าย
และกำลังจะหม้ายอีกครั้ง”
ระรินหัวเราะคิกคัก
“ขอร้องเถอะนะวนิษา ไหนๆเธอก็เป็นคนใจบุญสุนทาน อย่าแต่งงานกับผู้ชายคนไหนอีกเลย ไม่อย่างนั้นจะมีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดับสูญก่อนวัยอันควร”
คนรอบข้างเริ่มหันมามอง วนิษาหน้าชา
“เอ หรือที่จริงแล้วเธอควรไปแต่งงานกับพวกโกงกินชาติก็ดีนะ ถ้ามันเจ้าเล่ห์มากนัก เธอก็แต่งงานกับมันซะเลย ถือว่าแต่งเพื่อชาติ แต่งปุ๊บวายร้ายตายปั๊บ ประเทศไทยเจริญทันตาเลยนะเธอ”
ระรินพูดเยาะๆ วนิษาอายมาก พลางจะเดินฝ่าวงล้อมออกไป แต่ระรินขวางทางไว้
“จะรีบไปไหนเหรอคะ ฉันยังพูดไม่จบเลย”
พลันวลัยก็รีบแทรกตัวเข้ามา
“วนิษาคงรีบไปหาหมอน่ะค่ะ”
ระรินชะงัก มองวลัย
“สงสัยจะเป็นหูอักเสบเพราะได้ยินคำพูดเหม็นเน่าเข้าหูมากเกินไป เฮ้อ วนิเอ๊ย แม่เลี้ยงเธอมาดีเกินไป
ให้อยู่แต่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ พอมาเจอคำพูดเลวๆสกปรกๆเข้าไป หูจะอักเสบติดเชื้อโรคได้นะ”
ระริน เบ้ปาก
“อ้อ ที่แท้ก็คุณแม่ของวนิษานี่เอง เอ๊ ไอ้เรื่องแต่งงานแล้วผัวตายนี่ไม่ทราบว่าวนิษาได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณแม่หรือเปล่าคะเนี่ย โรคตัวซวยนี่มันเป็นโรคกรรมพันธุ์รึเปล่าคะ”
“ผิดแล้วจ้ะหนู ฉันแต่งงานครั้งเดียว ผัวฉันก็ยังอยู่ดี แล้ววนิษาก็ไม่ใช่ตัวซวย ส่วนโรคตัวซวย จะถ่ายทอดได้มั้ยฉันไม่รู้ แต่ว่าหนูอย่าเพิ่งสนใจเรื่องตัวซวยเลย เอาเรื่องโรคปากสุนัขอุจจาระเรื้อนของหนูก่อนดีกว่า อาจจะเป็นกรรมพันธุ์ก็ได้นะคะ เช็คดีๆนะคะ”
วลัยโต้กลับแบบไม่ยอมแพ้ ระรินอึ้งจนพูดใม่ออก เพ็ญแขต้องออกมาช่วย
“ไม่ต้องเช็คหรอกค่ะ ฉันเป็นแม่เขาเอง ไม่ได้เป็นโรคปากสุนัขอะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้เป็นโรคผิวหนังค่ะ
คันไม้คันมือ อยากตบคน”
วลัยเชิดหน้ามองเพ็ญแข
“อุ๊ยตาย ชอบใช้กำลัง อยากตบคนเชิญที่ตลาดสดดีมั้ยคะ น่าจะเหมาะกับคนอย่างคุณมากกว่า
อย่ามาเป็นเนื้อร้ายในสถานที่แบบนี้เลยค่ะ”
“คำว่าเนื้อร้ายน่าจะหมายถึงเธอสองคนมากกว่ามั้ง ถึงจะโชคดีได้มรดกจากผัวตั้งสองคน จนมาเสนอ
หน้าในที่แบบนี้ได้ แต่ความจริงกำพืดก็คือเซลล์มะเร็งจากสลัมน้ำครำดีๆนี่เอง”
วลัยยักไหล่
“ทำไงได้ คนมันสวย มีผัวสองคนก็ไม่แปลก แต่พวกหน้าปลากะโห้น่ะหาไม่ได้ซักคน”
“เข้าใจผิดมังคะ ที่ผัวสองน่ะคงไม่ใช่เพราะสวยอะไรหรอก เพราะด้านแล้วก็ร่าน ใจถึงเลยหาผัวได้มาก แล้วก็เร็วกว่าคนอื่น”
เพ็ญแขไม่ยอมแพ้
“ทำมาเหน็บ จริงๆแล้วอิจฉาใช่มั้ยคะเนี่ย โถ ท่าเรือร้างไม่มีเรือเข้ามาจอด ไม่รู้มีปัญหาอะไรรึเปล่า
กี่ลำๆเข้าไปใกล้ก็ชิ่งหนีกันหมด น่าสงสารจริงจริ๊ง”
“อีนี่”
เพ็ญแขโกรธจนตัวสั่น พลางทำท่าจะกรากเข้ามาหาวลัย ระรินดึงเพ็ญแขไว้
“ใจเย็นค่ะแม่ แบบนี้เราเสียเปรียบเขานะคะ”
เพ็ญแขจ้องวลัยราวจะกินเลือดกินเนื้อ วลัยแกล้งยิ้มยั่วโทสะ
“จำไว้นะ ถ้าเจอกันอีก ฉันไม่ปล่อยแกแน่ๆ”
“อุ๊ย กลัวจังเลยค่ะ”
จากนั้นระรินก็ลากเพ็ญแขออกไป
“ฮี่โธ่”

วลัยหันมา แต่วนิษาหายไปแล้ว
 
อ่านต่อหน้า 4

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 5 (ต่อ)

วนิษาเดินก้มหน้างุดๆออกมาหน้าโรงแรม พลางหยิบมือถือมาโทร. ออก

“นายดาว มารับฉันด้วย ฉันจะกลับแล้ว”
วนิษาวางสาย พลางเดินไปยืนหลบมุมรอตรงจุดรับส่ง พจน์กับมรว. จันทร์ธิดา ตามออกมา
“วนิษาจะกลับแล้ว”
“ทำไงดีล่ะคุณพจน์ คุณหาทางถ่วงเวลาวนิษาให้หน่อยสิ ฉันจะไปตามระรินกับยัยแม่มาเล่นงานต่อ
ยังไม่สะใจเลย”
พจน์ส่ายหน้า
“ไม่เอา ผมไม่ใช่พวกซาดิสม์แบบคุณ แล้วอีกอย่าง ดูหน้าวนิษาสิ ใครมาห้ามก็คงไม่ฟังแล้วล่ะ”

หนุงหนิงเดินนำคุณยายวรางค์มา
“หนูเห็นคุณวนิมาทางนี้แว้บๆค่ะ”
หนุงหนิงเดินมาหยุด พลางเหลียวซ้ายแลขวา มองหาวนิษา แต่ไม่เจอ
“เธอตาฝาดรึเปล่าเนี่ย งานยังไม่เริ่ม เขาจะออกมาทำไม”
“แต่หนูเห็นจริงจริ๊งค่ะคุณยาย”
หนุงหนิงพูดพลาง ก็ตะโกนลั่นบริเวณ
“คุณวนิขา คุณวนิ คุณอยู่ไหนคะ เมื่อกี๊หนูเห็นคุณอยู่แถวนี้นะ”
คนในงานหันมามองเป็นตาเดียว หนุงหนิงไม่แคร์สายตาใคร แต่คุณยายวรางค์อายแทน วนิษาหันมาเห็น ก็นึกได้ว่านัดคุณยายวรางค์ไว้ รีบเดินมาหา แต่หนุงหนิงไม่ทันเห็นวนิษา ตะโกนลั่นอีกครั้ง
“คุณวนิ”
“หยุดได้แล้วหนุงหนิง”
หนุงหนิงหันมาเห็นวนิษา “ว้ายอยู่ข้างๆ ก็ไม่บอก”
“สวัสดีค่ะคุณยาย”
คุณยายวรางค์รับไหว้ “หวัดดีจ้ะ นี่จะไปไหนเนี่ย”
“จะกลับแล้วค่ะ”
วลัยเดินลุกลี้ลุกลนออกมา เห็นวนิษาก็จะตรงเข้ามาหา คุณยายวรางค์ หันไปยกมือเป็นเชิงห้าม พลางยิ้ม ให้วนิษา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“วนิษา เธอกำลังจะหนีปัญหาอีกแล้วนะ”
“หนูเบื่อ แล้วก็อายคนอื่นด้วย”
“ฉันเข้าใจ แต่เธอจะหนีไปตลอดเลยเหรอ เธอหนีไปถึงขั้วโลก แล้วถ้าพวกเขาตามไปอีกล่ะ”
วนิษาเงียบไป คุณยายวรางค์พูดต่อ
“ลองหันหน้ากลับไปซักครั้งมั้ย ดูซิว่าจะเป็นยังไง”
คุณยายวรางค์โอบไหล่วนิษา ให้หมุนตัวกลับเข้างาน วนิษาเงียบไปครู่หนึ่ง
“แต่ว่า”
วนิษายังพูดไม่จบ พลันเสียงแตรรถก็ดังลั่น จนทุกคนในบริเวณนั้นหันไปมอง วนิษาหันไปเห็นโจขับรถมา รออยู่ห่างออกไป โจลดกระจกลง พลางยื่นมือออกชี้ที่วนิษา แล้วกวักมือเรียกขึ้นรถ คนทั้งงานหันมามอง วนิษาหน้าตึง พลางมองซ้ายมองขวา จะหาของเขวี้ยงโจ แต่หาอะไรไม่เจอ เลยรีบกดมือถือเข้าหาโจ
“ฉันเคยสั่งว่าไง ห้ามบีบแตรเรียกใช่มั้ย”
“อ้าว ก็คุณเรียกให้ผมมารับ พอผมมา คุณดันมัวยืนเม้าท์มอยกัน แถมทำท่าจะกลับเข้าไปใน
งานอีก เห็นผมเป็นตัวอะไรครับ”
“ตัวอะไรก็ช่าง ฉันเป็นเจ้านาย นายเป็นคนขับรถ ฉันจะเปลี่ยนใจยังไงก็ได้”
“เปลี่ยนใจก็บอกผมหน่อยสิ ปล่อยผมเก้อแบบนี้ ถือว่าคุณไม่ให้เกียรติคนทำงาน”
วนิษาวางสาย พลางเขม่นมองโจ ที่ยิ้มกวนให้ ก่อนที่จะสะบัดหน้าเดินเข้างาน เจอวลัยพอดี
“ไปค่ะแม่ เข้างานก็เข้างาน”
โจมองตามไปอย่างหงุดหงิดมาก พลางขับรถวนกลับไปที่จอด
มรว. จันทร์ธิดา กับพจน์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ด้วย
“ที่แท้นายโจก็ปลอมตัวเป็นคนขับรถให้วนิษานี่เอง มีฝีมือเหมือนกันนะนี่”
“ผู้หญิงแก่คนเมื่อกี้คือใครน่ะ” พจน์หันมาถามภรรยา
“ยายของวนิษา ชื่อวรางค์ ที่โจเคยเล่าให้เราฟังเมื่อวันก่อนไง จำได้ไหม ที่บอกว่าสนิทกับวนิษามากน่ะ”
“ดูท่าทางวนิษาจะรักและเชื่อฟังมากเลยนะ บอกให้กลับก็กลับ”
คุณหญิงจุ๋ม พยักหน้า “ท่าทางจะเชื่อมากกว่าแม่ซะอีก”
“ท่าทางยัยคุณยายอะไรนี่จะใช้ได้” พจน์ ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ใช้อะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”

วลัยเดินนำวนิษาเข้ามาในงาน คุณหญิงเจ้าของงานอยู่บนเวที พอเห็นวลัยชูไม้ชูมือ คุณหญิงก็ยิ้ม
“แหม นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว ขอเชิญคุณวนิษา ขึ้นบนเวทีเลยค่ะ”
วนิษางง
“มีอะไรเหรอคะแม่”
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวก็รู้”
วลัยรีบรุนหลังวนิษาให้เดินไปที่เวที ไฟสปอตไล้ท์จับมาที่เธอ คนในงานหันมามองแล้วปรบมือให้ วนิษาได้แต่ยิ้มรับแล้วเดินไปบนเวที คุณหญิงเข้ามาจับมือวนิษา พลางพูดกับแขกในงาน
“เจ้าตัวดูจะยังงงๆอยู่นะคะเนี่ย เมื่อสักครู่ คุณวลัย แม่ของคุณน้อง เอาคุณน้องมาเป็นของประมูล
รู้มั้ยคะ”
วนิษาอ้าปากหวอ “ดิฉันเนี่ยนะคะเป็นของประมูล”
“ค่ะ ประมูลเพื่อเป็นคู่เต้นลีลาศน่ะค่ะ”
วนิษามองไปที่มารดา วลัยยักคิ้วให้
“เข้าใจแล้วค่ะ งั้นดิฉันคงต้องขออนุญาตประมูลตัวเองสู้ด้วยนะคะ เต้นคนเดียวดีกว่า แบบว่าไม่อยากเผลอเหยียบเท้าใครน่ะค่ะ”
“สายไปแล้วค่ะคุณน้อง การประมูลเพิ่งเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง”
“ไม่มัดมือชกไปหน่อยหรือคะคุณหญิงขา”
คุณหญิงยิ้มอย่างมีจริต
“รอคุณน้องเห็นก่อนว่าใครประมูลได้ คุณน้องอาจจะไล่ชกโดยไม่ต้องมัดก็ได้นะคะ”
“งั้นถ้าไม่หล่อขนาดที่ว่า รบกวนคุณหญิงเต้นลีลาศแทนดิฉันด้วยนะคะ”
“อุ๊ย อย่าดีกว่าเดี๋ยวคนที่เขาประมูลได้เขาจะขอเงินคืน เอาล่ะค่ะเราอย่าเสียเวลาเลย ขอเชิญเลยค่ะคุณน้อง พระเอกรออยู่แล้ว”
คุณหญิงพาวนิษาลงจากเวที ไฟดับมืดลง เหลือเพียงจุดสว่างกลางฟลอร์ กริชค่อยๆเดินเข้ามา
“คุณกริช”
กริชเดินมาหา พลางโค้งให้วนิษา
“คุณวนิษา ให้เกียรติเต้นกับผมสักเพลงนะครับ”
“คุณกริช ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่เหมาะสมหรอกค่ะ”
วนิษาหันหลังจะเดินออกมา
“คุณวนิษา”
วนิษาหันกลับมา กริชคุกเข่าลง มองมาที่วนิษา แขกในงานฮือฮา
“ผมขอแค่โอกาสที่ผมจะได้พยายามเพื่อทำให้เราสองคนได้รู้จักกันดียิ่งขึ้น แค่นั้นเองครับ คุณวนิษาจะให้ผมได้ไหม”
วนิษายืนอึ้ง ในขณะที่กริชมองมาด้วยสายตาจริงจัง มุ่งมั่น
“คุณกริช”
กริชยังคุกเข่า มองมา จนวนิษาใจอ่อน เดินมาหา กริชลุกยืน พลางยื่นมือมาให้เกาะ วนิษากุมมือกริช กริชพาวนิษาไปที่กลางฟลอร์ แขกในงานปรบมือ พลางมองด้วยสายตาชื่นชม
ดนตรีดังขึ้น กริชกับวนิษาเต้นลีลาศกัน ดูทั้งสองสง่า เหมาะสมกันมาก
“ดูคู่นี้เค้าเหมาะสมกันดีนะหนุงหนิง”
คุณยายวรางค์หันมาบอกกับหนุงหนิง
“ค่ะ จืดชืดพอกันค่ะ เต้นอะไรก็ไม่รู้ไม่แซ่บเลย หนุงหนิงไปหาอะไรกินดีกว่าค่ะ”
หนุงหนิงเดินแยกออกไป
อีกด้านหนึ่ง โจก็เดินเข้ามา เห็นวนิษากับกริชเต้นรำอยู่กลางฟลอร์ ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำหน้าหมั่นไส้

“อะโด่ นึกว่ากลับเข้ามาทำอะไร มาเต้นกับพระเอกละครเนี่ยนะ”

ในขณะที่ระรินเม้มปากแน่น ตัวสั่นริกๆ พยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธ เพ็ญแขมองไปที่กลางฟลอร์ แล้วก็ค้อน

“ร้ายจริงๆยัยสตอเบอรี่นี่ จะให้เข้าไปตบยัยวนิษาเลยไหม เดี๋ยวแม่จัดการให้ เอามันกลางงานนี่แหละ แม่ยอมติดคุก”
หนุงหนิงยืนกินก๋วยจั๊บอยู่แถวนั้นได้ยินก็สะดุ้ง หันมามองระรินกับเพ็ญแข
“อย่าเลยค่ะแม่ ไปตบมัน มันยิ่งได้ใจ”
เพ็ญแขมองไปรอบๆ พลางกระซิบบอกระริน หนุงหนิงแอบเงี่ยหูฟัง
“งั้นเดี๋ยวแม่ไปเอากระเพาะปลาไปราดมันดีมั้ย”
ระรินนิ่งคิด
“ดีค่ะ ใส่จิ๊กโฉ่วเยอะๆนะคะแม่ หัวมันจะได้เหม็นเปรี้ยว”
“เออ ใส่พริกน้ำส้มด้วย รับรองแสบตาร้องกรี๊ดแน่ๆ ฮิๆๆ”
เพ็ญแขหมุนตัวจะออกไป หนุงหนิงรอจังหวะอยู่แล้ว แกล้งเซชน เทก๋วยจั๊บราดตัวเพ็ญแขจนเปื้อนไปทั้งตัว
“ว้าย”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะคุณนาย”
“ทำอะไรของแกน่ะ ซุ่มซ่ามที่สุด”
เพ็ญแขโวยวายเสียงดัง เพราะไม่รู้ว่าหนุงหนิงเป็นคนของวนิษา
“คุณนายมาชนหนูเองนะคะ ดูสิ หนูอดซู้ดก๋วยจั๊บเลย”
“ก๋วยจั๊บอะไรของแก ทำไมกลิ่นแรงอย่างงี้”
“ก๋วยจั๊บน้ำใสราชวงศ์ถังค่ะ อัดกระเทียมเจียวมาหมดชามเลย แบบว่าชอบอ่ะค่ะ”
เพ็ญแขดมตัวเองแล้วทำหน้าพะอืดพะอม พลางหันมาหาหนุงหนิง แล้วเงื้อมือจะตบ
“แก”.
หนุงหนิงตั้งการ์ดมวย ชกหนึ่งสองขู่ ตามด้วยเตะสูงเตะตัด
“เข้ามาเดะ”
ระรินรีบเข้าไปดึงเพ็ญแขออกมา
“อย่าไปมีเรื่องกับคนแบบนี้เลยค่ะแม่ เปลืองตัวเปล่าๆ ไปเถอะค่ะ”
เพ็ญแขมองหนุงหนิงตาเขียว หนุงหนิงมองตอบไม่กลัวเกรง

ระรินกับเพ็ญแขเดินหน้างอเป็นจวักมาที่ลานจอดรถ สุดใจรออยู่แถวนั้น พอเห็นระรินมา ก็เดินตรงแหน่วมากำลังจะขึ้นรถ
“เดี๋ยว”
สุดใจหยุดชะงัก ระรินมองไปเห็นรถหรูของกริชจอดอยู่ห่างออกไปไม่มาก
“นายสุดใจ”
“ครับ”
“ไปเจาะยางรถคันนั้นซิ”
สุดใจมองหน้าระริน “แต่อยู่ดีๆเราไปแกล้งคนอื่นมันบาปนะครับ”
“โอ๊ย บาปอะไรของแก แกเป็นกุ๊ยไม่ใช่เหรอไง”
“ผมเป็นบอดี้การ์ดครับ”
ระรินหงุดหงิด พลางเปิดแจ็กเก็ตของสุดใจ ดึงมีดสปาต้าที่สุดใจเหน็บไว้ตรงเข็มขัดออกมา เพ็ญแขถึงกับสะดุ้ง
“ระรินกลับมาเดี๋ยวโดนตำรวจจับ ให้สุดใจมันทำสิลูก”
สุดใจมองหน้าเพ็ญแข ระรินไม่สนใจเดินตรงไปที่รถกริช กระชากมีดออกมา จิ้มพรวดไปที่ยางทั้งสี่เส้น
เพ็ญแขใจเต้น มองซ้ายมองขวา ระรินจิ้มเสร็จรีบวิ่งกลับมาที่รถ
“เร็วๆ สุดใจออกรถเลย เร็วๆเข้า”
ระรินวิ่งมาขึ้นรถ สุดใจออกรถวิ่งออกไปทันที

ระรินนั่งอยู่ในรถ หอบแฮ่ก ทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้น
“เก่งมากลูกแม่ ใจเด็ดจริงๆ”
“ปล่อยไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ขืนให้คุณกริชไปส่งยัยวนิษา เกิดสป๊งสป๊ากกันในรถเรื่องมันจะยุ่งกันใหญ่”
เพ็ญแข พยักหน้า “เออ จริงด้วย แม่ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย
“ก็หนูเคยมาแล้ว หนูเลยรู้”
“หา”
เพ็ญแขตกใจ หันขวับมามอง ระรินรู้ตัวว่าหลุดปาก ก็รีบกระแอมแก้เขิน เพ็ญแขรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ทำดีแล้วล่ะลูก ถือเป็นการสั่งสอนนายกริชไปด้วย ที่ดันไปยุ่งกับยัยตัวซวย”
“สะใจจริงๆ ฮ่าๆ”
สุดใจรอจนระรินหัวเราะเสร็จ
“แล้วถ้าคุณระรินไปส่งคุณกริชล่ะครับ มันก็สป๊งสป๊าร์กขึ้นมาได้เหมือนกันนะครับ”
ระรินกับเพ็ญแขนิ่งคิด ก่อนที่ระรินจะหันมาสั่ง
“กลับรถไปเดี๋ยวนี้ เร็ว”
“ไม่ทันแล้วครับ ออกมาตั้งไกลแล้ว”
ระรินหงุดหงิด

“แล้วทำไมแกเพิ่งเตือนฉัน ไอ้บ้า”
 
อ่านต่อตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น