รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 18
ปลายฝนกับป๋องมองวนิษา ที่ขับรถหน้านิ่งด้วยความเป็นห่วง
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ ไม่พูดอะไรซักคำเลย คุณ คุณ”
ปลายฝนมองป๋อง เหมือนพยายามขอความช่วยเหลือ
“คุณวนิษาครับ ไม่สบายรึเปล่าครับ ไปโรงพยาบาลไหมครับ เดี๋ยวพวกเราไปเป็นเพื่อนครับ”
วนิษาไม่พูดอะไร พลางจอดรถหน้าบ้านโจ แล้วปลดล็อก
“แล้วคุณจะไปไหนคะ”
ปลายฝนกับป๋องลงจากรถ พลางมองวนิษาที่ขับรถออกไปด้วยความเป็นห่วง
วนิษาเดินเหม่อๆ เหมือนคนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เข้ามาในบ่อน ปฐมเดินเข้ามาหา เหมือนจะพูดอะไรด้วย
“ตั่วเจ๊ครับ”
แต่วนิษาเดินผ่านปฐมไปเฉยๆ โจนั่งอยู่ เห็นวนิษา ก็ลุกขึ้นมา
“จะไปแบ็งค์รึยังครับ ผมรอจนหิวแล้วนะครับเนี่ย”
วนิษาเดินเหม่อผ่านโจไป โจเอะใจ
“คุณวนิ”
วนิษาหยุดชะงัก หันกลับมา มองโจ แล้วเดินมาหาสีหน้าเจ็บปวด
“คุณหลอกฉันทำไม”
“อะไรนะครับ”
วนิษาตบโจฉาดใหญ่ ฝ่ายถูกตกถึงกับหน้าสะบัด และเซไป
“คุณโกหกฉัน”
“พูดเรื่องอะไรครับ”
สีหน้าของวนิษาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
“ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไป”
วนิษากรีดร้องลั่นบ่อน ทุกคนตกใจ โจเองก็งง ปฐมที่ตั้งสติได้ก่อน รีบล็อกตัวโจพาออกมา
“เฮ้ย ปล่อยผม ผมไม่ได้ทำอะไร”
วนิษาเดินเข้าไปในห้องของเธอ พลางปิดล็อก และปล่อยโฮอกมาอย่างเต็มกลั้น
โจโดนปฐมกับลูกน้องล็อกตัว ลากออกมาหน้าบ่อน
“ผมทำอะไรผิดเหรอครับ”
ปฐมถอนหายใจ
“ผมก็ไม่รู้ แต่ผมไม่เคยเห็นตั่วเจ๊เป็นอย่างนี้มาก่อน ทางที่ดี คุณไปสืบตัวเองก่อนดีกว่า ว่าคุณทำอะไรลงไป รู้คำตอบแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ปฐมพาลูกน้องเดินกลับเข้าไป
“ผมว่าผมถามเขาตรงๆ น่าจะรู้เรื่องเร็วกว่า”
โจขยับตัวจะเข้าไปในบ่อน ปฐมหันมาชี้หน้า
“อย่าดีกว่าโจ”
“ไม่ได้ครับ ผมต้องคุยกับคุณวนิให้รู้เรื่อง”
โจเดินต่อไป ปฐมซัดหมัดใส่ โจหลบ พร้อมลงมือโต้ตอบ ทั้งสองซัดกันอย่างดุเดือด ในที่สุดปฐมก็สยบโจได้
“กลับไปซะ เชื่อผม”
โจลุกขึ้นยืน พยักหน้า ปฐมเดินกลับเข้าไป ป๋องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดพอดี
“พี่โจ”
“มีอะไรวะ หน้าตื่นมาเชียว”
“เมื่อกี้คุณวนิษาไปหาที่บ้าน”
โจตกใจ “อะไรนะ”
แล้วป๋องก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้โจฟังอย่างละเอียด
“ไอ้คอปบร้า ที่แท้ก็ฝีมือแกเหรอเนี่ย”
“ผมว่าไอ้คอปบร้ามันบ้าจริงๆนะครับ”
โจลุกขึ้น “ไม่ว่ามันจะบ้าหรือไม่บ้า มันก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของมัน”
“พี่จะทำอะไรมันเหรอครับ”
สีหน้าของโจเหี้ยมเกรียม จนป๋องรู้สึกกลัว
โจขับรถไปตามถนนด้วยความเร่งรีบ ใบหน้าเคร่งเครียด พลางคิดถึงวนิษาที่เจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา จนทุกอย่างคลี่คลายในงานวันบวช วนิษาถึงยิ้มออกมาได้ แต่แล้วก็ต้องมาเจ็บปวดซ้ำ เมื่อเธอรู้ความจริง
สีหน้าของโจในเวลานี้เหี้ยมเกรียม ด้วยความแค้น
“ ไอ้คอปบร้า”
โจเปิดประตูเข้าไปในร้านกาแฟ คอปบร้าหันมาเห็นก็ยิ้มกริ่ม
“ว่าไงเพื่อนรัก กำลังรออยู่เลย”
คอปบร้ายังพูดไม่จบประโยคดี ก็ถูกโจถีบล้มโครมทั้งโต๊ะทั้งคน คนในร้านร้องวี้ดว้าย แตกฮือ
คอปบร้ารีบตะกายลุกขึ้น โจไม่หยุด ตามไปถีบอีกโครม คอปบร้ากระเด็นชนโต๊ะล้มไปอีกตัว พลางรีบชักปืนออกมา
“อย่าเข้ามานะโว้ย ฉันยิง”
โจคว้าถ้วยกาแฟของลูกค้าที่วิ่งหนีออกไปที่อยู่ใกล้มือเขวี้ยงทันทีด้วยความรวดเร็ว โดนปืนในมือ
คอปบร้าหลุดกระเด็นทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบประโยค
คอปบร้าตะกายไปจะเก็บปืน โจถึงตัวก่อนเตะคอปบร้าเข้ากลางลำตัวจนกลิ้งไปอีกทาง จากนั้นก็หยิบปืนขึ้นมา แล้วจ่อมาทางคอปบร้า ที่ตกใจกลัว แล้วก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะ
“เอาเลย ฆ่าฉันเลยไอ้โจ เอาซิวะ ฆ่าฉัน”.
คอปบร้าพูดไม่จบ โจก็ใช้เท้ายันเก้าอี้ตรึงคอปบร้ากับผนัง พลางมองหน้าด้วยแววตาดุดันเอาจริง
คอปบร้าหน้าซีด พยายามดิ้น แต่สู้แรงโจไม่ได้ ถูกตรึงอยู่กับที่
ในขณะที่ป๋องกำลังโทรศัพท์เล่าเหตุการณ์ให้หลวงพ่อสีสุกฟัง
“ผมไม่เคยเห็นสีหน้าพี่โจเป็นแบบนี้มาก่อนเลยครับ ผมเลยกลัวว่าเขาทำอะไรวู่วามอ่ะครับ”
“รู้แล้ว”
“แล้วหลวงพ่อจะให้ผมทำยังไงดีครับ” ป๋องถามหลวงพ่ออย่างเป็นกังวล
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้นะ”
จากนั้นหลวงพ่อก็วางสาย พลางถอนหายใจ แล้วเดินมาที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา กราบพระพุทธรูป และนั่งสมาธิ
โจมองหน้าคอปบร้า สายตาเย็นเยียบ คอปบร้ากลัวจนตัวลาน
“ไอ้โจ แกฆ่าฉันไม่ได้นะ แกทำฉันก่อน แกแย่งแฟนฉัน แกฆ่าพ่อฉัน ฉันแค่เอาคืนแค่นี้ แกโกรธอะไรนักหนาวะ”
“ฝากขอโทษพ่อแกด้วย”
“ขอโทษเรื่องอะไร” คอปบร้าย้อนถาม
“ขอโทษที่ฉันฆ่าลูกของท่าน”
คอปบร้าตัวสั่น หน้าซีดเผือด “อย่าโจ อย่าฆ่าฉันเลยโจ เราเป็นเพื่อนกันมาก่อนนะเว้ย”
โจไม่สนใจยกปืนขึ้น กำลังจะยิง พลันก็มีประกายอะไรบางอย่างสะท้อนเข้าตา โจหันขวับ เห็นในห้องหลังประตูที่พนักงานเพิ่งเปิดออก มีหิ้งพระอยู่บนผนัง พระพุทธรูปทองเหลืองแวววาวส่องประกายเข้าตา โจชะงัก
พลางแว่วได้ยินเสียงสวดมนต์เบาๆ
โจหลับตาลง หายใจช้าลง ค่อยๆกำหนดลมหายใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลืมตาขึ้น มองไป พระพุทธรูปยังอยู่ที่เดิม แต่ประกายที่เรืองรองที่ดูผิดปกตินั้นหายไป เสียงสวดมนต์ก็เงียบไปด้วย
โจพึมพำเบาๆ
“ขอบคุณครับหลวงพ่อ”
ในขณะที่หลวงพ่อสีสุกที่นั่งสมาธิอยู่ ลืมตาขึ้น เปลี่ยนท่านั่งคุกเข่า กราบพระ แล้วเดินออกไป
โจปลดแม็ก ถอดลูกกระสุนออกมาจนหมด เก็บลูกไว้ แล้วโยนปืนคืนให้คอปบร้าที่ยังหลับตาปี๋ตัวสั่นอยู่ ปืนตกใส่ตัก คอปบร้าลืมตาขึ้น หยิบปืนขึ้นมา พลางมองไป เห็นโจเดินไปเก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ที่กระจัดกระจาย
“เฮ้ย ตกลงแกไม่ฆ่าฉันแล้วเหรอ”
“เออ”
“ทำไมจู่ๆ” คอปบร้ายังงงไม่หาย
“แกอย่าเพิ่งพูดมากได้มั้ย มาช่วยกันเก็บโต๊ะก่อน เร็วสิวะ”
ทั้งคู่ช่วยกันเก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ จนร้านกลับสู่สภาพเดิม โจนั่งคุยกับคอปบร้าที่มุมหนึ่งของร้าน พนักงานเอากาแฟมาเสิร์ฟโจ ท่าทางหวาดๆ โจฝืนยิ้มแหยๆให้
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ทั้งคู่ช่วยกันเก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ จนร้านกลับสู่สภาพเดิม โจนั่งคุยกับคอปบร้าที่มุมหนึ่งของร้าน พนักงานเอากาแฟมาเสิร์ฟโจ ท่าทางหวาดๆ โจฝืนยิ้มแหยๆให้
“ขอบคุณมากครับ ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
พลางหันขวับมาทางคอปบร้า “คอปบร้า แกทำสิ่งที่เลวมากๆ รู้ตัวบ้างไหม”
“ทำไม แล้วทีแกล่ะ”
“แกแค้นฉัน ทำไมไม่เล่นงานฉัน วนิษาไม่เกี่ยว แกทำลายชีวิตเขาทำไม”
คอปบร้าแสยะยิ้ม
“ทำให้แกเจ็บได้ ฉันก็พอใจแล้ว ท่าทางแกจะเจ็บมากซะด้วย รักเขามากใช่มั้ยล่ะ”
“คอปบร้า ฉันขอโทษ”
“สายไปแล้วโว้ย แกแย่งริน แกฆ่าพ่อฉัน มันผ่านไปตั้งนานแล้ว เพิ่งจะคิดมาขอโทษเนี่ยนะ”
โจส่ายหน้า “เปล่า ฉันไม่ได้ขอโทษเรื่องนั้น”
“แล้วแกขอโทษเรื่องอะไร”
“ขอโทษที่ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเตือนสติแกจริงๆจังๆ ปล่อยให้แกฟุ้งซ่านจนหลงทาง เมื่อก่อนแกแค่โง่ แต่ตอนนี้แกทั้งโง่และเลว”
คอปบร้าโมโห ลุกพรวด ชี้หน้า “ไอ้โจ”
“นั่งลงเหอะ คุยกันก่อน แกลองถามตัวเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อน มีคนบอกให้แกไปทำร้ายคนบริสุทธิ์คนนึง
เพื่อแก้แค้นคนอื่น แกจะทำลงมั้ย”
คอปบร้าอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่ทำแบบนี้”
“แกหมกมุ่นที่จะแก้แค้นฉันมากเกินไป ฉันเองก็ผิดที่ปล่อยให้แกแค้นฉัน โดยไม่คิดจะเตือนสติแก”
“เตือนสติฉันเรื่องอะไร”
“คอปบร้า จริงๆแล้วแกแค้นตัวเอง”
คอปบร้าหัวเราะเสียงดัง “ไร้สาระน่ะไอ้โจ ฉันจะแค้นตัวเองทำไมวะ”
“พ่อแกตายก็เพราะความสะเพร่าของแกเอง”
“ไม่จริงโว้ย” คอปบร้าโวยวายเสียงดัง “ฉันเปิดแก๊สทิ้งไว้ตั้งกี่สิบครั้ง มันไม่เคยระเบิด จนกระทั่งพ่อฉันรับแกเข้าทำงาน”
“ระรินไม่เคยเป็นแฟนแก ไม่เคยรู้จักแกด้วยซ้ำ เพราะแกขี้ขลาด ไม่กล้าคุยกับเขา”
“ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันรู้สึกได้ว่าดวงของเราสองคนสมพงษ์กัน”
โจจ้องหน้าคอปบร้า
“ยอมรับความจริงได้แล้วคอปบร้า วันนี้แกทำเริ่มเรื่องเลวร้ายแบบที่แกไม่เคยทำมาก่อน แกอาจจะทำอะไรที่เลวไปกว่านี้อีก แกอยากเป็นคนแบบนั้นเหรอ”
คอปบร้าเงียบไป โจพูดต่อ
“ฉันดูออกว่าแกอยากเป็นคนดี พ่อแกก็อยากให้แกเป็นคนดี ตอนนี้ยังไม่สายไปนะ”
“มันยากที่จะ”
คอปบร้าพูดต่อไม่ออก
“มันยากที่จะยอมรับความจริง แต่แกหนีมันมานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องตั้งสติ ยอมรับความจริงแล้ว”
คอปบร้าร้องไห้โฮ “ผมขอโทษครับพ่อ ผมขอโทษครับ ผมผิดเอง”
โจมองคอปบร้าด้วยความสงสารและเห็นใจ
จากนั้นโจก็พาคอปบร้ามานั่งคุยกับหลวงพ่อสีสุกที่ศาลาวัด
“นึกว่าเมตตาช่วยคอปบร้าด้วยเถอะครับหลวงพ่อ คอปบร้ามันไม่มีใครแล้ว ผมกลัวมันจะคุมสติไม่อยู่”
หลวงพ่อหันมาพุดกับคอปบร้า ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา
“ให้ฉันช่วยน่ะ ฉันไม่มีปัญหา เธอล่ะ พร้อมจะให้ช่วยหรือเปล่า”
“ครับ โจพูดถูกครับ ผมหลอกตัวเองมาตลอด แต่ปัญหาคือ ถ้าผมไม่หลอกตัวเอง ผมคงต้องเป็นบ้าแน่ๆ นี่ผมว่าผมก็ใกล้แล้ว”
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก” พลางหันกลับมาทางโจ “เอาเถอะ ฉันจะดูแลเขาเอง”
โจก้มกราบหลวงพ่อ
หลวงพ่อเดินนำคอปบร้าเข้ามาในบริเวณวัด มีเด็กๆเล่นเตะบอลกันอยู่ หลวงพ่อยืนมองสักพัก เด็กคนหนึ่งก็เห็นหลวงพ่อ ก็หยุดเตะบอล พลางวิ่งเข้ามาหา
“หลวงพ่อมีอะไรรึเปล่าครับ”
“ฉันพาเด็กใหม่มาอยู่ เธอดูแลเขาด้วย ขาดเหลืออะไรก็หาให้เขาหน่อย เขามาแต่ตัว”
“ได้สิครับ ไหนล่ะครับเด็กใหม่ที่ว่า”
“ฉันเองแหละ”
คอปบร้าแนะนำตัวเอง เด็กมองคอปบร้าหัวจรดเท้า
“เนี่ยนะเด็กใหม่ ถ้าหน้าอย่างแกยังบอกว่าเด็ก งั้นฉันก็เป็นวุ้นสิวะ”
คอปบร้าชี้หน้าเด็ก “เดี๋ยวโดน”
หลวงพ่อรีบปราม “คอปบร้า อย่าลืมว่าเธอมาที่นี่ทำไม”
“แต่ว่าไอ้เด็กนี่มันสามหาว ทำไมผมต้องทนมันด้วยล่ะครับ”
“ไม่ต้องทนเด็ก แต่ทนตัวเอง เอาชนะความโอหังถือดีในตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าเธอไม่ถือดี เด็กพูดอะไรเธอก็จะไม่โกรธ”
คอปบร้าเงียบ พลางคิดตาม
“ถ้าเธออยากมีปัญญา เธอต้องมีสมาธิ ถ้าอยากมีสมาธิ ต้องรักษาศีล ถ้าจะรักษาศีล ต้องมีสติ จะมีสติก็ต้องฝึก เริ่มจากวันนี้ ท่องไว้ทุกลมหายใจ ไม่โกรธ ไม่ถือดี ทำให้ได้ เมื่อมีสติก็จะรักษาศีลได้ ก็จะเกิดสมาธิ เกิดปัญญาได้ในที่สุด”
คอปบร้าเงียบไปนาน ในที่สุดก็พยักหน้ารับคำ
จากนั้นหลวงพ่อก็เดินกลับมมาคุยกับโจ ที่ยืนรออยู่ที่หน้าวัด
“จะไหวไหมครับหลวงพ่อ ไม่รู้ว่าจะแก่เกินดัดหรือเปล่า”
“เดี๋ยวก็รู้ โจ เธอเองก็น่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้นะ”
“อะไรเหรอครับ” โจย้อนถาม
“เหตุการณ์วันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอไปโกหกโยมวนิษาใช่ไหม”
“แต่ผมทำไปเพื่อช่วยเขานะครับ”
หลวงพ่อยิ้มให้โจ “ช่วยน่ะถูก แต่โกหกน่ะผิด คราวหลังอย่าโกหก”
“มันยากเกินไปครับหลวงพ่อ”
“คนที่พูดว่ายากเกินไป แปลว่าเป็นคนมักง่าย ผลของการมักง่ายก็เป็นอย่างนี้แหละ”
โจคิดตาม พลางไหว้หลวงพ่อ
“หลวงพ่อพูดถูกครับ ผมน่าจะหาทางช่วยเขาโดยไม่ต้องโกหก แต่ตอนนี้เขาคงเกลียดขี้หน้าผมแล้ว แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะครับ”
“เรื่องทางโลกมาถามฉันไม่ได้หรอก ตัวใครตัวมันนะโจ”
หลวงพ่อหัวเราะ
วนิษาจอดรถหน้าบ้านคุณยายวรางค์ แล้วเดินเข้าบ้านไปแบบเหม่อๆ ด้วยความเจ็บปวดใจ โดยไม่ได้สังเกตว่ามีมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบ๊ค์จอดอยู่
คุณยายวรางค์เห็นวนิษาเดินเข้ามา ก็ออกมาทักทาย
“จะมา ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะ แต่ก็ดีนะ วันนี้น่ะบังเอิญว่า”
วนิษาโผเข้ากอดคุณยายวรางค์ แล้วร้องไห้โฮ
“เกิดอะไรขึ้นวนิ”
“เขาโกหกหนูค่ะ เขาโกหกหนู”
คุณยายวรางค์ตกใจ “ใคร ใครโกหกเธอ โกหกเธอเรื่องอะไร”
“เขาไม่เคยรู้จักคุณชายแจ้ ไม่เคยรู้จะเสี่ยป๊อก หนูเป็นผู้หญิงกินผัว ระรินพูดถูก หนูเป็นตัวกาลกิณี ดวงของหนูมันกำหนดชีวิตหนู หนูจะดิ้นรนไปทำไม”
ภาคย์เดินออกมาจากข้างในบ้านพอดี วนิษาได้ยินเสียงเงยหน้าขึ้นเห็น ก็ตกใจ
“เมื่อกี้ยายกำลังจะบอกว่ายายเชิญคุณภาคย์มาทานข้าวเย็นที่บ้านน่ะ”
“ผมขอโทษนะครับที่ขัดจังหวะ ว่าจะเดินออกไปเงียบๆ คุณยายกับคุณวนิษาคงมีเรื่องต้องคุยกัน งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอโทษด้วยนะคะ” คุณยายวรางค์หันมาบอกภาคย์
“ไม่เป็นไรครับ”
ภาคย์กำลังจะเดินออกไป แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ หันมาพูดกับวนิษา
“คุณวนิษาครับ ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ขอให้บอกเลยนะครับ อ้อ แล้วอีกอย่าง ผมเห็นด้วยกับคุณครับ”
ภาคย์จะเดินออกไป วนิษาอดเรียกไว้ไม่ได้
“คุณเห็นด้วยเรื่องอะไรคะ”
“ดวงกำหนดชีวิตเราไว้แล้วครับ”
“ทำไมคุณพูดอย่างนั้นล่ะคะ”
ภาคย์ดูลังเลนิดนึง “เรื่องมันยาวน่ะครับ”
“ฉันอยากฟังค่ะ”
ภาคย์แอบยิ้มสมใจ
“ปลายฝนบอกว่าคุณวนิษาไม่อยู่ที่บ้านครับ โทรเข้ามือถือก็ไม่มีสัญญาณ”
ป๋องวางสาย พลางหันมาบอกโจ ที่นั่งหน้าเครียดอยู่
“คงปิดมือถืออยู่ ฉันเป็นห่วงเขาว่ะ”
“ลองโทรไปที่บ้านคุณยายเขารึยังครับ”
“โทรไปแล้ว แต่สายไม่ว่างซักที”
โจถอนหายใจ สีหน้ากังวล
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ในชณะที่วนิษากำลังนั่งคุยอยู่กับภาคย์
“มันเริ่มตั้งแต่ตอนผมเป็นเด็กๆ ที่โรงเรียนพานักเรียนไปทัศนศึกษา เกิดรถคว่ำ มีทั้งคนตาย
และบาดเจ็บ ปรากฏว่ามีผมเพียงคนเดียวที่ไม่เป็นอะไรเลย แล้วก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกสองสามครั้ง แม่ผมเลยเอะใจพาผมไปหาหมอดูคนหนึ่ง เขาบอกว่าผมมีดวงปรมะ”
“ยังไงเหรอคะ” วนิษาถามด้วยความสนใจ
“พูดง่ายๆว่ามันเป็นดวงแกร่งครับ อุบัติเหตุ โชคร้าย หรือความซวยอะไรก็ตาม จะไม่สามารถทำอันตรายกับผมได้เลย”
“มีดวงแบบนี้ด้วยเหรอคะเนี่ย”
“ครับ แต่หมอดูบอกว่ามันมีเงื่อนไขด้วย ผมต้องทำตัวอยู่ในศีลในธรรม ถ้าไปก่อกรรมทำเข็ญหรือทำความเลว ดวงแกร่งนี้ก็จะหายไปในที่สุด”
“แล้วตอนนี้ดวงแกร่งยังแกร่งอยู่ไหมคะ”
ภาคย์หัวเราะเบาๆ
“คงเจือจางบ้างแล้วมั้งครับ วันก่อนที่สู้กับโจรที่ตลาด ผมยังได้แผลติดตัวมาเลยจริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้หรอกครับ อยากลองของดูซะด้วยซ้ำ แต่โดยพื้นฐานผมก็เป็นคนปฏิบัติธรรม เข้าวัดเข้าวา เลยไม่มีโอกาสก่อกรรมทำเข็ญอะไรมาก แล้วอีกอย่าง พอผมใช้ชีวิตแบบมีสติอยู่ตลอด โอกาสจะเกิดอุบัติเหตุ หรือโชคร้ายมันก็ไม่ค่อยมี สรุปว่าไม่รู้เหมือนกันว่าดวงปรมะที่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“แต่ฉันเชื่อค่ะ” วนิษาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ทำไมล่ะครับ”
“ถ้าโลกนี้มีคนที่มีดวงโชคร้าย สร้างความวิบัติให้กับคนใกล้ชิด ก็คงจะมีคนที่มีดวงแข็งแกร่ง ที่โชคร้ายนั้นทำอะไรไม่ได้ เพื่อรักษาความสมดุลไงคะ”
“ก็คงเป็นอย่างนั้นมั้งครับ”
ภาคย์แอบยิ้มเจ้าเล่ห์
จากนั้นวนิษาก็ออกมาส่งภาคย์ที่หน้าบ้าน ท่าทางมีความสุข จนภาคย์ขับรถออกไป ในขณะที่ โจจอดรถซุ่มดูอยู่
“ก็ดูมีความสุขดีนี่นา หึ มีความสุขมากซะด้วย ไอ้โจเอ๊ย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
โจหัวเราะเยาะตัวเอง ก่อนที่จะขับรถออกไป
โจมารอวนิษาที่ล็อบบี้คอนโด วนิษาออกมาจากลิฟต์เดินมาหา โจฝืนยิ้มให้
“สวัสดีครับ”
“รู้แล้วใช่ไหมว่าเมื่อวานฉันตบคุณเรื่องอะไร”
โจหน้าจ๋อย “ครับ ผมต้องขอโทษคุณด้วยที่โกหกคุณ”
“เอาเถอะ ฉันรู้ว่าคุณหวังดี ถือว่าให้แล้วกันไป แต่ครั้งหน้าอย่าโกหกฉันอีก”
โจรับคำ วนิษายื่นกุญแจรถให้
“ไปเอารถมาได้แล้ว”
โจรับกุญแจมา เดินออกไปที่ประตูด้านหลัง แต่แล้วก็หมุนตัวเดินกลับมาสีหน้าคับข้องใจ
ไคุณวนิ ผมมีเรื่องข้องใจอยากจะถาม ทำไมคุณหายโกรธผมง่ายจัง เมื่อวานตบผมซะหัวแทบหลุด วันนี้ดูลั้นลา เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
วนิษายิ้มอย่างอารมณ์ดี “ใช่ ฉันอารมณ์ดี เพราะฉันได้เจอใครบางคน”
“ใครกันน้อ มีอิทธิพลกับคุณได้ขนาดนี้”
“คุณไม่รู้จักเขาหรอก”
“พอจะบอกผมได้ไหมครับว่าเขามีอะไรดีที่ทำให้คุณเปลี่ยนไป”
วนิษาไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “คุณรู้จักดวงปรมะไหม”
โจส่ายหน้า
“ดวงแกร่งที่คนโชคร้ายอย่างคุณหรือฉันทำอะไรเขาไม่ได้ เขาทำให้ฉันรู้ว่าโลกนี้มีดวงแบบนี้อยู่ ถ้าโชคดี ฉันอาจได้เจออีกหลายคน เรื่องนี้แหละที่ทำให้ฉันหายโกรธคุณ การที่คุณโกหกว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงกินผัวน่ะ
ทำให้ฉันดีใจได้แค่ชั่วคราว แต่ดวงปรมะนี่สิ คือคำตอบที่แท้จริงของชีวิตฉัน”
“คนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตคุณ? อีกแล้วนะคุณวนิ”
“อะไรอีกแล้ว” วนิษาย้อนถาม
“คุณพูดเรื่องคู่โดยไม่พูดเรื่องความรักอีกแล้ว”
“ตอนที่คุณหลอกฉันสำเร็จว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงกินผัว คุณรู้อะไรมั้ย มันทำให้ฉันคิดเรื่องความรักขึ้นมา แต่พอความจริงเปิดเผยทั้งหมดมันคือเรื่องโกหก ฉันก็เลยเลิกคิด ฉันมีความรักไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากให้ผู้ชายที่ฉันรักต้องมาตายเพราะฉันอีก”
วนิษามองหน้าโจ เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างจากก้นบึ้งหัวใจ โจอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก
โจจอดรถ ที่หน้าร้านอาหาร พลางลงมาเปิดประตูให้วนิษา ในขณะที่ภาคย์ขี่บิ๊กไบ๊ท์มาถึงพอดี
“สวัสดีครับคุณวนิษา”
“สวัสดีค่ะคุณภาคย์”
โจแอบจับลังเกตมองมองภาคย์ไม่วางตา
“คุณภาคย์มาเร็วจังเลยนะคะ อีกตั้งครึ่งชั่วโมง”
“ที่ผมมาเร็วเพราะตื่นเต้นน่ะครับ ที่จะได้ทานข้าวกลางวันกับคุณวนิษา”
โจแค่นหัวเราะ แอบพูดคนเดียว “เน่าว่ะ”
ภาคย์พูดต่อ “แต่ผมก็ดีใจนะครับ ที่คุณวนิษาก็มาเร็วเหมือนกัน”
วนิษาหัวเราะเขินๆ ขณะที่โจอึ้งไป
“โห มุกสองชั้นนี่หว่า”
ภาคย์ยิ้มให้ พลางผายมือเชิญวนิษาให้เดินเข้าร้านไป โจมองตามไป
“ไม่ธรรมดา แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่เชื่อไอ้ดวงปรมะของแกหรอก”
“ไปสืบมาให้ละเอียดเลยนะ ไอ้คนชื่อภาคย์ มันเป็นใคร มาจากไหน ดูประวัติอาชญากรรม
ดูการเข้าออกของเงินในบัญชีย้อนหลังไปสามปี ดูว่ามันมีชื่อมันในแบล็กลิสต์อะไรบ้างไหม”
โจสั่งการกับป๋อง ท่าทางเครียด
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับคดีที่เรากำลังทำนะครับ พี่โจ พี่อย่าเอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปน
กันสิ”
“ไอ้ป๋อง บังอาจมากนะ”
โจลุกขึ้นเดินมาหาป๋อง พลันประตูบ้านก็เปิดผลัวะ โจกับป๋องหันไป ก็เห็นซูซี่แต่งหญิงแบบจัดเต็ม ปากแดงแจ๊ด ยิ้มปากกว้าง พลางชูสองแขนเข้ามา
“หวัดดีหนุ่มๆ”
โจกับป๋องร้องด้วยความตกใจ
“ฉันเอง”
โจถอนหายใจ “ซูซี่ ขอโทษ คือผมยังไม่ชินหน้าคุณซักทีน่ะ”
“เดี๋ยวก็มานอนกอดทั้งเช้าทั้งเย็นซะเลย จะได้คุ้นหน้าไม่มีลืมเลยดีมั้ย”
โจฝืนหัวเราะ “แล้วเป็นไงบ้าง มีอะไรให้ช่วยครับ”
“ไม่มีจ้ะ แค่จะมาขอบคุณพวกเธอ ฉันเอาคลิปนั่นให้ตำรวจดูแล้ว ฉันรอดแล้ว ฉันจะได้กลับไปใช้ชีวิตได้แบบคนปกติได้แล้ว ขอบคุณมากนะโจ”
ซูซี่กางแขนเหมือนตอนเข้ามาแล้วเข้ามากอดโจแน่น โจยิ้มรับไม่ว่าอะไร ป๋องหัวเราะ ซูซี่ปล่อยมือจากโจหันมามองป๋อง
“ขอบคุณเธอด้วยนะป๋อง”
ซูซี่ผละจากโจเข้ามากอดป๋อง
“ไม่ต้องครับ บอกว่าไม่ต้อง”
ป๋องพยายามผลักแต่ผลักไม่ออก ซูซี่กอดจนหนำใจค่อยปล่อยมือ หยิบซองบัตรเชิญออกมาทั้งคู่
“ในฐานะที่เธอสองคนเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ก็เลยจะมาเชิญเธอสองคนไปงานเปิดร้านใหม่ด้วย”
“ร้านใหม่?” โจแปลกใจ
“ก็ร้านเดิมนั่นแหละ แต่ตอนนี้ร้านเป็นของฉันแล้ว สถาพรเขาทำมรดกยกร้านนี้ให้ฉัน”
“อ้อ ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ แล้วอย่าเบี้ยวนะ ต้องไปให้ได้นะจะได้กินฝีมือส้มตำเหรียญทองของฉันไง”
โจยิ้มอย่างจริงใจ “ไม่พลาดแน่ๆครับ”
จากนั้นโจกับป๋อง ก็มาส่งซูซี่ขึ้นแท็กซี่
“พี่โจ”
“ว่าไงวะ”
“ทำไมคุณสถาพรยกร้านให้ซูซี่”
ป๋องถามด้วยความช้องใจ โจเงียบไปครู่หนึ่ง
“นั่นสิ คงไม่รู้จะยกให้ใคร คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
ป๋องอยู่ในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย กำลังจะไปหาโต๊ะนั่งที่ บังเอิญมีรุ่นพี่ ที่แต่งตัวเป็นหนุ่มออฟฟิศคนหนึ่งเดินมาทัก
“เฮ้ย ป๋อง”
“อ้าว พี่ย้ง หายไปไหนมาเนี่ย”
“ไปดูงาน ได้ข่าวว่าเราตามหาพี่เหรอ”
ป๋องพยักหน้า “ว่าจะถามเรื่องยาตัวนึงเป็นของบริษัทพี่ แต่ว่าช่างมันเหอะ เรื่องมันจบไปแล้ว”
“เฮ้ย ไม่ได้สิวะ ต้องถามสิ ไม่ถามโกรธนะเว้ย”
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ร้านส้มตำกลับมาเปิดบริการใหม่อีกครั้ง ป้ายชื่อร้านเปลี่ยนจากร้านสถาพรเป็นชื่อซูซี่ ตกแต่งด้วยสีสันสดใส
โจเดินเข้าไปในร้าน เห็นซูซี่กำลังถ่ายรูปเฮฮากับเพื่อนๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นกะเทย ยกเว้นธงธง ที่เป็นชายแก่หน้าตาคงแก่เรียนดูผ่านโลกมาเยอะ นั่งเงียบๆอยู่คนเดียว
ซูซี่หันมาเห็นโจก็วิ่งมาหา
“มาแล้วเหรอจ๊ะ”
โจควักปืนออกมาจ่อหน้า ซูซี่ตะลึง คนอื่นๆ ตกใจ ธงธงที่นั่งเงียบๆ ชะงัก พลางล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อ
แต่ไม่ทัน โจลั่นไก พลันดอกไม้สดใสช่อเบ้อเริ่มอยู่ในมือ โจยื่นให้ซูซี่
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”
“อุ๊ย ขอบคุณมากค่ะ”
ซูซี่รับช่อดอกไม้ สวมกอดโจทั้งน้ำตา
“ฉันไม่มีวันนี้หรอกถ้าไม่มีเธอ ขอบคุณมากนะโจ”
“ด้วยความยินดีครับ”
จากนั้นซูซี่แนะนำโจให้เพื่อนๆ ทุกคนรู้จัก จนมาถึงธงธง
“นี่พี่ชายแท้ๆของฉันชื่อธงธง นี่คุณโจ ที่ฉันเล่าให้ฟัง”
โจยกมือไหว้ ธงธงรับไหว้ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“รอแป๊บนึงนะโจ เดี๋ยวฉันจะทำส้มตำมาให้ชิม”
“ขอบคุณครับ จะได้กินส้มตำเหรียญทองซะที”
ซูซี่รีบเดินไปตำส้มตำ ที่เคาน์เตอร์ ระหว่างนั้นป๋องก็เดินเข้ามาหาโจ สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
“ทำไมมาช้าจัง ป๋อง”
“มีเรื่องนิดหน่อยครับพี่”
“เรื่องอะไร”
“ผมเจอรุ่นพี่ที่เขาขายยานอนหลับตัวที่สถาพรกับซูซี่ใช้อยู่”
โจสังเกตเห็นธงธงมองมา ก็รีบพูด
“ไปคุยที่อื่นดีกว่า ป๋อง”
ซูซี่ยกจานส้มตำออกมาเสิร์ฟ ก็ไม่เห็นทั้งคู่แล้ว
“ยานอนหลับตัวนั้นน่ะ ต่อให้กินเป็นกระป๋องมันก็ไม่ทำให้หัวใจวายตาย เพราะฉะนั้นการตายของสถาพรน่ะไม่เกี่ยวกับการใช้ยาตัวนั้น”
ป๋องบอกกับโจตามที่ได้รับข้อมูลมา
“คนแรกที่พูดเรื่องยาก็คือเมียสถาพร ทำให้ตำรวจคิดว่าซูซี่เป็นคนวางยา จนเมื่อเราหาหลักฐานได้ว่าสถาพรกินยาตัวนี้ด้วยตัวเอง จนช่วยให้ซูซี่หลุดจากคดีได้ ตอนนี้กลายเป็นว่าจริงๆแล้ว ยานี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย
นี่มันหมายความว่ายังไง”
“แปลว่าเมียสถาพรเป็นคนฆ่าผัวตัวเองแล้วใส่ร้ายซูซี่”
“ตอนนั้นเมียสถาพรอยู่ศูนย์ลดความอ้วน จะลงมือยังไง”
“เอ่อ” ป๋องพูดไม่ออก
“มีอีกเรื่อง วันนี้ที่ร้านซูซี่ฉันเห็นพี่ชายของซูซี่ ฉันว่าฉันเคยเห็นแกที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้ ฉันสังหรณ์ว่าคนคนนี้อาจจะเกี่ยวพันอะไรกับคดีนี้”
โจพยายามครุ่นคิด
ป๋องนั่งรอที่ร้านฟาสต์ฟู้ด ครู่หนึ่งปลายฝนก็เดินเข้ามา ป๋องยิ้มดีใจ รีบลุกขึ้นยืน
“ปลายฝน ทางนี้ เป็นไง นัดมามีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไร จะชวนไปเที่ยว ไปมั้ย”
“ชวนฉันเนี่ยนะ” ป๋องทั้งแปลกใจ ทั้งแอบดีใจ
“อื้อ ไปเที่ยวต่างจังหวัดซัก 2-3 วัน”
ป๋องอ้าปากค้าง จนปลายฝนต้องถามย้ำ
“ว่าไง จะไปรึเปล่า”
“ปะ...”
ป๋องกำลังจะตอบ แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นเอ็มเดินเข้ามา ปลายฝนหันมาเห็นก็ยิ้มหวาน เขยิบที่ให้
เอ็มมานั่งข้างๆเธอ ป๋องหน้าเจื่อน
“คุยกันถึงไหนแล้วล่ะ”
“ฝนเพิ่งบอกว่าจะไปเที่ยวกันน่ะค่ะ”
เอ็มหันมาทางป๋อง
“ไปด้วยกันนะป๋อง ไปสามคนนี่แหละสนุกดี รถพี่เครื่องมันแรง ถ้านั่งคนน้อยรถมันเหิน ต้องนั่งกันหลายๆคนหน่อยจะได้เกาะถนน ว่าไง”
“เมื่อกี้นายก็บอกว่าจะไปไม่ใช่เหรอ”
ป๋องทำหน้าจ๋อยๆ “เปล่า เรากำลังจะบอกว่าไปไม่ได้”
ปลายฝนดูผิดหวังมาก “อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็ ต้องช่วยงานพี่โจ คดีมันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ต้องอยู่ช่วยเขาคิด อยากไปแหละ แต่มันไปไม่ได้จริงๆ”
ปลายฝนหน้าง้ำ
“ว่าแต่จะไปไหนกันเหรอ”
เอ็มรีบตอบทันที “ไปเสม็ด”
ป๋องหน้าเหี่ยวทันที แต่ก็รีบฝืนยิ้ม
“เสม็ดก็ดีเนอะ ใกล้ๆ ทะเลก็สวย เที่ยวให้สนุกนะ”
จากนั้นป๋องก็กลับมานั่งร้องไห้ที่บ้าน
“ไปเสม็ด เสร็จทุกราย”
โจนั่งเครียดอยู่ รีบอุดหู
“เป็นบ้าอะไรของแกวะ”
วนิษากับภาคย์มาถวายสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลาที่วัด โจเดินตามหลังมาห่างๆ พยายามจับสังเกตตลอดเวลา
“ทำไมคุณภาคย์ชวนมาทำบุญที่วัดนี้ล่ะคะ”
“เมื่อคืนผมลองกางแผนที่ แล้วหลับตาจิ้มมั่วๆว่าใกล้วัดไหน ปรากฎว่าใกล้วัดนี้”
“ทำไมต้องสุ่มด้วยล่ะคะ” วนิษาย้อนถาม
“เขาว่าการถวายสังฆทานเราควรทำโดยไม่เจาะจงวัดหรือพระครับ ผมก็เลยสุ่มเอา ไม่เคยมาวัดนี้เหมือนกัน”
“แบบนี้ก็สนุกดีนะคะ”
จู่ๆภาคย์ก็หยุดมองวนิษา
“มีอะไรคะ”
“ตรงนี้วิวสวยมากเลยครับ ผมขอถ่ายรูปคุณวนิษาหน่อยนะครับ”
วนิษาดูเขินๆ “ค่ะ”
ภาคย์เดินหามุม แล้วก็เดินเข้าไปในบริเวณที่มีการก่อสร้าง กำลังจะกดถ่าย
“เอานะครับ”
“เฮ้ย ระวัง”
คนงานตะโกนเสียงดัง เมื่อเหล็กค้ำยันที่วางไม่แน่นเกิดหลุดออกมา นั่งร้านเหล็กเอียงและล้มโครมลงมาใกล้ๆ กับที่ภาคย์ยืนอยู่ เสียงดังสนั่น ฝุ่นตลบ วนิษากรีดร้องตกใจ
“คุณภาคย์”
เมื่อฝุ่นจางลง ภาคย์ก็ยืนขึ้น พลางเดินมาหา วนิษายิ้มแต่แล้วก็ร้องลั่นเมื่อเห็นนั่งร้านอีกชุดล้มตามลงมา
“ระวังค่ะ”
นั่งร้านอีกชุดล้มโครม ตกลงที่ที่ภาคย์ยืนอยู่เมื่อครู่พอดี ภาคย์หันกลับไปมอง พวกคนงานเข้ามาเคลียร์พื้นที่ พลางยกไม้ยกมือขอโทษ ภาคย์ยกมือตอบเชิงไม่เป็นไร แล้วเดินตรงมาหาวนิษา ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางกดรูปในกล้องในวนิษาดู
“รูปสวยถูกใจไหมครับ”
“นี่ คุณยังห่วงรูปอยู่อีกเหรอ เมื่อกี้คุณเกือบตายแล้วนะคะ ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“ก็อย่างที่บอกแหละครับ ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ”
“ดวงปรมะ ฉันเพิ่งได้เห็นกับตาวันนี้เอง”
ภาคย์ยิ้มอย่างภูมิใจ วนิษามองภาคย์ ทั้งทึ่งทั้งชื่นชม
โจเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงกับขนลุกซุ่
“ขนลุกว่ะ ดวงปรมะ”
อ่านต่อตอนที่ 19