รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 17
โจกลับมามาหาซูซี่ที่เชียงกงอีกครั้ง
“เมื่อคืนเราเข้าไปในสลัมซอยกระดุม เข้าไปรื้อรถของสถาพร แล้วก็เจอไอ้นี่”
จากนั้นก็หยิบมือถือออกมาให้ซูซี่ดู
“มือถือสถาพร ปกติเขามีสองเครื่อง แต่เครื่องนี้ไม่ค่อยได้ใช้”
“แล้วผมก็เจอไอ้นี่ในเครื่อง”
โจกดคลิปให้ซูซี่ดู เป็นคลิปสถาพรกำลังโชว์การถอดประกอบปืน สถาพรหันนาฬิกาจับเวลาให้กล้อง แล้วกดปุ่ม ก่อนที่จะลงมือถอดประกอบปืนอย่างคล่องแคล่ว
“สถาพรเขาชอบเล่นปืน เอามาถอดเข้าถอดออกอยู่บ่อยๆ”
สถาพรกดหยุดเวลา ดูเวลาแล้วหน้าตาไม่ค่อยพอใจ พลางนั่งพักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปหยิบยาซองหนึ่งมากิน แล้วเดินมาเตรียมถอดประกอบปืนอีกครั้ง
โจกดหยุดภาพไว้ ซูซี่ตื่นเต้นมาก
“เมื่อกี้มันยาของฉันนี่นา ฉันเอาไว้ที่ร้าน ไม่ได้เอากลับบ้าน”
“แปลว่าก่อนหน้าคืนนั้น เขาก็คงกินยาของคุณเหมือนกัน”
“ชัดเจนที่สุด โอ้แม่เจ้า”
โจยื่นมือถือให้ซูซี่
“เอาไปให้ตำรวจเจ้าของคดีดูแล้วกัน จะได้ผ่านพ้นเรื่องแย่ๆ ในชีวิตได้ซะที”
“ขอบใจมากนะโจ ไม่รู้จะขอบคุณเธอยังไง”
พูดจบ ซูซี่ก็กระโดดหอมแก้ม โจร้องจ๊าก พยายามดิ้นแต่ดิ้นไม่หลุด เพราะสู้แรงซูซี่ไม่ได้
“โทษที รู้ว่าไม่เหมาะ แต่ฉันดีใจมาก รักเธอมาก ไม่รู้จะแสดงออกยังไง”
“ไม่เป็นไร ผมรู้แล้วว่าคุณดีใจ ผมก็ดีใจที่ได้ช่วยคุณ”
โจยื่นมือให้ ซูซี่จับมือโจแน่น แล้วยิ้มทั้งน้ำตา
โจขับรถวนิษามาจอดหน้าคอนโด วนิษาเดินมาที่รถสีหน้ามึนตึง เพราะยังงอนโจอยู่ เลยไม่ยอมขึ้นรถ พลางยืนอยู่ข้างๆที่คนขับ ทำมองไปทางอื่น โจถอนใจ พลางลงจากรถ มาเปิดประตูตอนหลังให้
“แหม ต้องให้ผมเปิดประตูให้ด้วยใช่ไหมครับ”
วนิษาปิดประตูรถ พูดโดยไม่มองหน้า
“วันนี้ฉันให้คุณพัก ไม่หักเงินเดือน”
วนิษาขึ้นที่นั่งคนขับ ขับรถออกไป โจมองตามวนิษาไปแบบงงๆ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
พลางฉุกใจคิดถึงคำพูดของปลายฝน
“พี่ทำแบบนี้นะ เขาจะต้องเสียใจมาก หนูจะบอกอะไรให้ พี่พลาดแล้ว”
โจชักกังวล แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเอง
“คงไม่มีอะไรมั้ง”
วนิษาขับรถมาจอดที่วัด พอเดินลงมา ก็เจอคุณยายวรางค์ยืนอยู่กับหนุงหนิง แล้วก็ภาคย์
“สวัสดีค่ะคุณยาย”
“หวัดดีจ้ะ นี่คุณภาคย์เพื่อนยายจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
ภาคย์ดูเขินๆ “สวัสดีครับคุณวนิษา”
“วันนี้โจไม่ขับรถให้เหรอ”
วนิษายิ้มให้คุณยายวรางค์ “วันนี้หนูอยากขับเองค่ะ เลยให้เขาพัก”
“ว้า ไม่สนุก นึกว่าจะได้ดูดราม่าสนุกๆซักหน่อย” หนุงหนิงพูดแทรกขึ้นมา
“ดราม่าอะไรยะ หนุงหนิง”
“เปล๊า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พูดไปงั้นแหละ”
คุณยายวรางค์โบกมือเป็นพัลวัน
“อย่าไปสนใจมันเลย ไปถวายสังฆทานกันเถอะ ยายเตรียมของไว้ด้านนู้นแล้ว”
เสร็จจากถวายสังฆทาน คุณยายวรางค์ วนิษา ภาคย์ ก็มานั่งทานข้าวด้วยกันที่บ้าน โดยมีหนุงหนิงคอยอำนวยความสะดวกอยู่ข้างๆ
“ขอบคุณคุณภาคย์ด้วยนะคะที่ช่วยคุณยายไว้ได้”
ภาคย์ยิ้มหวานให้วนิษา “ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ”
“ที่ยายประทับใจเขาน่ะ ไม่ใช่ที่เขาเอากระเป๋าสตางค์คืนมาได้หรอกนะ แต่ประทับใจที่เขาเอาธรรมะมาเกลี้ยกล่อมคนร้าย จนคนร้ายสำนึกผิด ถือว่าเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่มาก”
คุณยายวรางค์พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“ผมก็ได้แต่หวังว่าเขากลับใจได้จริงๆ แค่นั้นผมก็ดีใจมากแล้วครับ ไม่ได้หวังว่าจะได้บุญได้กุศลอะไรหรอกครับ”
วนิษาพยักหน้า “การให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ยายก็พาคุณภาคย์เขามาทำแผลที่บ้าน พอเขาเห็นรูปเธอเข้าก็ถึงกับยืนตะลึง ยังกับโดนนะจังงังเลยนะ”
ภาคย์เขินจนหน้าแดงก่ำ
“คุณยาย ทำไมทำแบบนี้ล่ะครับ”
“แหม ก็เรื่องจริงไม่ใช่เหรอ จะอายทำไม ดูสิมีเขินด้วย น่าเอ็นดู”
ภาคย์ยิ่งเขิน ไม่กล้าสบตาวนิษา
“อาจจะตะลึงวิวข้างหลังหนูก็ได้นะคะ”
“ไม่ใช่หรอก เขายังถามยายว่าใครครับ สวยจังเลย ยังกับว่าโลกจะหยุดหมุน”
ภาคย์รีบยกมือไหว้คุณยายวรางค์
“คุณยายปรานีผมเถอะครับ”
คุณยายวรางค์ยิ้ม
“ใครว่า ยายน่ะทั้งเมตตาปรานีเธอเลยนะ ก็เลยนัดตัวจริงมาให้เห็นซะเลย ตอบแทนความดีที่ช่วยยายไว้ เห็นไหมล่ะว่าทำดีได้ดีน่ะมีจริง”
ภาคย์ก้มหน้าเขิน
“แต่คุณยายพูดแบบนี้ ผมคงไม่กล้ามองหน้าคุณวนิษาอีกแล้วล่ะครับ”
วนิษายิ้มให้ ภาคย์มองวนิษา พลางส่งสายตาหวานเยิ้ม จนวนิษาประหม่า คุณยายวรางค์มองวนิษาที่มองภาคย์แล้วอมยิ้ม
โจมารอวนิษาที่ล็อบบี้คอนโดแต่เช้าตอนเช้า พอเห็นวนิษาเดินออกมาจากลิฟต์ ก็รีบปราดเข้าไปหา
“วันนี้พร้อมให้ผมรับใช้ไหมครับ”
วนิษายื่นกุญแจรถให้โดยไม่พูดอะไร โจฝืนยิ้ม ก่อนที่จะรับกุญแจมา
“รอสักครู่ครับ”
โจเดินออกไปที่ที่จอดรถ วนิษาแอบมองตามไปแว่บหนึ่ง รู้สึกสะใจนิดๆ
“เป็นไงครับ เมื่อวานขับรถเอง มีปัญหาอะไรไหมครับ ถ้ารู้สึกอะไรติดขัดบอกได้เลยนะครับ
เดี๋ยวผมเอาเข้าอู่ไปซ่อมให้เลย”
โจถามวนิษาเมื่อนั่งอยู่ในรถด้วยกัน แต่วนิษาไม่ตอบ
“โห ดูจากเข็มไมล์แล้วท่าทางไปไกลเหมือนกันนะครับ ออกไปชานเมืองมาเหรอครับ อากาศดีไหมครับ”
วนิษายังเงียบ โจยังไม่ละความพยายาม
“แล้วจะไปวังวาสุวงศ์นี่จะไปเยี่ยมหม่อมจันใช่ไหมครับ”
คราวนี้วนิษาหยิบสายหูฟังมาต่อสายกับมือถือ แล้วเสียบหูฟังเข้าหู เปิดเพลงฟังอย่างสบายอารมณ์ โจอึ้งไป แต่ยังพยายามชวนคุยไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ยอมแพ้ หน้าจ๋อย
วนิษาหันไปทางอื่นแอบยิ้มสะใจ
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 17 (ต่อ)
วนิษาเดินเข้ามาในวังวาสุวงศ์ โดยมีโจถือถุงข้าวผลไม้พะรุงพะรังตามมาด้วย เห็นหม่อมจันจิรานั่งพักผ่อนอยู่ ก็รีบเข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
“สวัสดีวนิ”
หม่อมจันจิราพูดพลางเข้ามาจับเนื้อจับตัววนิษา
“เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าไม่สบาย ดีขึ้นรึยังจ๊ะ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ วันก่อนหนูกลับไปบ้าน คุณยายท่านฝากของมาให้หม่อมแม่ค่ะ”
วนิษากวักมือ โจถือถุงผลไม้มาให้
“ทำไมเยอะจัง เกรงใจคุณวรางค์แย่เลย ฝากขอบใจคุณวรางค์ด้วยนะ”
“ค่ะ”
จังหวะนั้นเอง พจน์ก็เดินเข้ามา
“หม่อมแม่สวัสดีครับ อ้าว วนิษา วันนี้มาด้วยเหรอ”
“สวัสดีค่ะคุณพจน์”
หม่อมจันจิรา หันไปมองหน้าพจน์
“แปลกใจอะไรเหรอพจน์ ฉันก็บอกเธอแล้วนี่ ว่าวันนี้หนูวนิจะมาเยี่ยม”
“ผมคงลืมไปน่ะครับ เอ่อ หม่อมแม่ครับวันก่อนหม่อมแม่เปรยกับผมว่าอยากได้คนมาจัดสวนให้น่ะครับ”
หม่อมจันจิราพยักหน้า “ใช่ หาได้แล้วเหรอ”
“ครับ เขาเคยทำสวนให้โรงแรมเพื่อนผม ฝีมือดี ความรับผิดชอบเยี่ยม ผมก็เลยชวนให้มาคุยกับหม่อมแม่เลย”
“อยู่ไหนล่ะ”
คงดูสวนอยู่น่ะครับ อ้าว มาพอดี เชิญครับ”
ภาคย์เดินเข้ามา ยกมือไหว้หม่อมจันจิรา แล้วก็หันมาเห็นวนิษา ต่างคนต่างตกใจ
“คุณวนิษา”
“คุณภาคย์”
พจน์ทำทีเป็นแปลกใจ“คุณภาคย์รู้จักคุณวนิษาด้วยเหรอครับ”
“อ๋อ ครับ”
“เป็นเพื่อนกันเหรอจ๊ะ”
หม่อมจันจิราหันมาถาม วนิษารีบอธิบาย
“วันก่อนคุณยายโดนโจรวิ่งราวที่ตลาดน่ะค่ะ แต่โชคดีที่คุณภาคย์มาช่วยจับโจรใว้ วนิเลยได้รู้จักกับคุณภาคย์”
“แล้วก็มาเจอกันที่นี่อีก อะไรจะบังเอิญขนาดนี้”
“คงเป็นเรื่องของดวงมั้งครับ”
ภาคย์ดูเขินๆ โจยืนมอง พลางรู้สึกไม่ถูกชะตาภาคย์อย่างแรง
“วันนี้ท่าทางจะครึกครื้นนะ งั้นเดี๋ยวทานกลางวันด้วยกันเลยก็แล้วนะ”
ภาคย์หันมายิ้มให้วนิษา “เราได้ทานข้าวด้วยกันสองวันติดเลยนะครับ”
วนิษาหัวเราะเบาๆ ในขณะที่โจกำหมัดแน่น
โจขับรถออกมาจากวังวาสุวงศ์ พลางมองกระจกหลัง เห็นวนิษาอารมณ์ดีผิดปกติ
“มื้อนี้ท่าทางอาหารถูกปากนะครับ”
วนิษามองโจ แล้วก็หุบยิ้ม
“ทำไมเหรอ”
“ในที่สุดคุณก็ยอมคุยกับผม”
วนิษาปิดปากแทบไม่ทัน
“ดูคุณจะเจริญอาหาร สงสัยบรรยากาศดี”
“ใช่ แล้วไง”
โจ ส่ายหน้า “ก็ไม่มีอะไร้ แค่ชวนคุยเฉยๆ”
วนิษาไม่ตอบอะไร โจเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจพูดออกมา
“วันก่อนผมมีธุระด่วนจริงๆ”
“วันไหน” วนิษาแกล้งย้อนถาม
“วันที่คุณมาหาผมที่บ้านแล้วหิวน่ะ”
“ฉันจำไม่ได้แล้ว”
โจพูดเบาๆ “ผมขอโทษ”
“พึมพำอะไร”
โจส่ายหัว “ไม่มีอะไรครับ”
“แต่ฉันได้ยิน”
โจเงียบไป วนิษาพูดเบาๆ กลับไป
“ไม่เป็นไร”
โจเหลือบมองทางกระจกหลัง เห็นวนิษายิ้ม ก็เริ่มยิ้มออก
จากนั้นโจก็พาวนิษามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ร้านนี้ไม่หรูมากแต่อร่อยระดับต้นๆของเมืองไทยเลยครับ มีคนรู้จักไม่กี่คนหรอกครับ”
“โม้รึเปล่า”
“ถ้ากินเสร็จแล้วคุณกล้าพูดว่าไม่อร่อย ผมยอมให้เตะเลย ร้านนี้ผมกินมาตั้งแต่เด็ก ต้องคนที่สนิทจริงๆเท่านั้นผมถึงจะยอมพามาร้านนี้”
วนิษา มองค้อนโจ
“ไม่ต้องโฆษณามาก ฉันพกลิ้นมาด้วย อร่อยไม่อร่อยเดี๋ยวฉันรู้เอง ไม่ต้องบิ๊ว”
โจหัวเราะ พลางเดินนำวนิษามาถึงที่ร้าน พอเปิดประตูร้านเข้าไป ระรินก็เดินสวนออกมาพอดี
“ริน”
“โจ”
โจรีบจับมือวนิษาพาเดินออกมาทันที วนิษาไม่ทันตั้งตัว ระรินรีบเดินตาม
“โจ”
ระรินจะเดินตามมา แต่เจอกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนเดินผ่านหน้าพอดี โจพาวนิษาเลี้ยวหายลับไป ระรินวิ่งตามมาได้ แต่ก็ไม่เห็นทั้งคู่แล้ว
โจพาวนิษาเดินลัดเลาะเลี้ยวทะลุซอยนั้น ออกซอยนี้ จนวนิษาหงุดหงิด
“นี่ หยุดก่อนสิ บอกให้หยุดก่อน”
โจไม่ฟังเสียง เดินดุ่มๆ จนวนิษากระชากมือกลับ ถึงยอมหยุด
“ทำไมต้องหนี คุณรู้จักระรินด้วยเหรอ”
โจพยักหน้า “ครับ”
“แล้วทำไมต้องหนี คุณกับเขามีอะไรกัน”
“ผมไม่อยากเล่า”
“ทำไมไม่อยากเล่า มีอะไร ไหนเล่ามาซิ” วนิษาคาดคั้น
“ก็บอกว่าไม่อยากเล่า”
“ต้องมีอะไรไม่ดีแน่ๆ”
“ไปร้านอื่นเถอะครับ ผมจะพาไปร้านที่อร่อยกว่าร้านนี้”
วนิษาทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินตามโจกลับไปที่รถ กำลังจะถึงรถ วนิษาตาไวเห็นระรินเดินอยู่ไกลๆ
วนิษากอดแขนโจหมับ พลางตะโกนลั่น
“ระรินๆ”
ระรินหันมา โจตกใจ พยายามดึงแขนออก ขณะที่ระรินรรีบสาวเท้าตรงเข้ามาทันที
“ปล่อยผม คุณวนิ ทำไมคุณทำแบบนี้”
“ขอโทษนะโจ แต่คุณไม่ควรหนีปัญหานะ”
โจจ้องหน้าวนิษาแบบเอาเรื่อง
“หนีปัญหาเหรอ? คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ก็คุณไม่เล่าเองนี่นา ช่วยไม่ได้”
ระรินวิ่งมาถึง พลางหยุดมองโจอย่างพินิจพิเคราะห์
“โจ คุณจริงๆด้วย”
โจหยุดดิ้น ถอนหายใจ วนิษาปล่อยแขนโจ ก่อนจะฝืนยิ้มให้ ระรินยิ้มตอบแว่บหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองโจ
“ฉันพยายามหาทางติดต่อคุณมาตลอด”
วนิษาเดินถอยไป แต่เงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ โจหันมามองวนิษา แล้วทำหน้าเครียด
“คุณจะไม่ได้รู้อะไรทั้งนั้น” พลางหันมาทางระริน “ตามผมมา”
โจจับมือระริน พาเดินไปที่อื่น ระรินตามไปอย่างว่าง่าย วนิษาจะตามไปด้วย โจข้ามถนนไป หันมาชี้หน้าวนิษา แล้วพูดเสียงกร้าว
“ห้ามตามมานะ”
วนิษาจ๋อย รอจนโจกับระรินเลี้ยวหายลับไป ก็รีบวิ่งตาม แต่ไม่เห็นทั้งคู่แล้ว
วนิษาเดินหาาตามตรอกเล็กๆ จนมาเจอทางออก เป็นลานโล่งแห่งหนึ่ง พลางแว่วได้ยินเสียงเสียง
คนร้องไห้ ก็เลยค่อยๆชะโงกหน้าออกไปทีละน้อย พอเห็นภาพที่เกิดขึ้น ก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นระรินกำลังคุกเข่าลงบนพื้นร้องไห้กอดขาโจที่ยืนอยู่
“โจ ฉันขอโทษ ยกโทษให้ฉันเถอะนะ”
โจยืนนิ่ง ไม่ตอบอะไร
“อะไรเนี่ย”
วนิษายืนงงกับภาพตรงหน้า จนไม่ทันระวัง เผลอไปเตะโดนกระป๋องเสียงดัง โจหันขวับมา วนิษารีบหลบหน้าเข้ามา รอสักครู่ใหญ่ๆค่อยโผล่หน้าออกไปอีกที แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว
“ระรินกอดขานายโจแล้วร้องไห้ เมื่อกี้ฉันตาฝาดไปใช่มั้ยเนี่ย”
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 17 (ต่อ)
วนิษาเดินกลับมาที่รถ ก็เห็นโจยืนรออยู่แล้ว
“เรื่องมันเป็นไงมาไงเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“อย่าถาม”
“คุณรู้จักระรินนานรึยัง รู้จักกันตั้งแต่เมื่อ”
โจรีบแทรกขึ้นมา “อย่าถาม”
“แล้วทำไมเขาถึงได้”
“บอกว่าอย่าถาม”
โจมองหน้าวนิษา หน้าตาเอาจริงเอาจัง
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก ไม่ถามก็ได้”
“ขึ้นรถ”
“นี่สั่งฉันเหรอ” วนิษาเสียงแข็ง
“อ้าว ไม่ขึ้นรถแล้วจะกลับบ้านยังไง”
โจก็ขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับ วนิษาแอบมองโจด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“กล้าทำกับฉันแบบนี้เหรอ แค้นนี้ต้องชำระแน่ ไม่อยากให้ฉันรู้เรื่องของนายใช่ไหม ได้”
วนิษาเดินเข้ามาในบ่อน โจเดินตามหลัง
“โจ วันนี้ฉันจะไปธนาคาร แต่ไม่รู้กี่โมง คุณอยู่แถวนี้รอฉันแล้วกันนะ”
โจรับคำ พลางหยิบหนังสือพิมพ์มานั่งอ่าน ขณะที่วนิษารีบเดินต่อไป จนเจอปฐม
“คุณปฐม ของที่ฉันให้เตรียมไว้ล่ะ”
ปฐมส่งซองสีน้ำตาลให้
“ขอบคุณค่ะ”
วนิษาเดินมาออกมาทางประตูหลัง ในขณะที่โจยังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เดิม
วนิษาลงจากรถ เดินมาที่บ้านโจ พลางมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นไม่มีใครอยู่แถวนั้น ก็เปิดซองที่รับจากปฐม แล้วหยิบกุญแจผีออกมาพวงหนึ่ง
“หึ นายโจ ทำเป็นปิดบังดีนัก นึกว่านายเป็นนักสืบได้คนเดียวเหรอไง วันนี้แหละ ไส้กี่ขดๆที่นายซ่อนไว้ ฉันจะล้วงออกมาให้หมด”
วนิษาใช้กุญแจผีพยายามไขเข้าบ้าน แต่ไขยังไงก็ไม่ได้
“กุญแจผีจริงรึเปล่าเนี่ย ทำไมไม่เห็นเหมือนในหนังเลย”
วนิษาพยายามไขอยู่ตั้งนานก็ยังไม่ได้ จนชักถอดใจ จะเดินกลับ พลางเหลือบตาเห็นป๋องเดินมากับปลายฝน ก็รีบหาที่หลบ
ป๋องกับปลายฝนเดินเข้ามา พลางล้วงกระเป๋าหากุญแจ
“เร็วๆสิ ฉันอยากซู้ด จนมือไม้สั่นไปหมดแล้ว”
“ใจเย็นสิ เจ้านี้ของเขาแรง ต้องค่อยๆซู้ดนะ เดี๋ยวสำลัก”
“เออน่า”
ป๋องไขกุญแจ เปิดประตูเข้าไป ปลายฝนรีบตามเข้าไป วนิษามองตาม
“ปลายฝนติดยาเสพติดเหรอเนี่ย แล้วทำไมต้องมาที่บ้านนายโจ”
วนิษาลังเล แล้วก็ตัดสินใจ เปิดประตูตามเข้าไปเบาๆ ได้ยินเสียงปลายฝนกับป๋องดังมาจากข้างใน
“ซู้ด”
“เป็นไง”
“เอาไปซู้ดมั่งเพื่อน ทำไมโลกมันโคลงเคลงอย่างนี้”
ปลายฝนหัวเราะร่วน เหมือนคนเมายา
“ขอลองมั่งนะ ซู้ด”.
วนิษาทนไม่ไหว เดินพรวดเข้าบ้านไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พอโผล่หน้ามา ก็เห็นปลายฝนกำลังนั่งโยกตัวอยู่บนลูกบอลโยคะ ป๋องนั่งกินบนเก้าอี้ ทั้งคู่กำลังยกตะเกียบคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก ปลายฝนเห็นวนิษาโผล่มา ก็อ้าปากค้าง เส้นบะหมี่คาปากไหลย้อยลงชาม “คุณ มาได้ไงเนี่ย”
“นี่พวกเธอ ทำอะไรกันอยู่”
ป๋องรีบบอก “กินบะหมี่สำเร็จรูปรสใหม่ครับ ซุปเปอร์แซ่บ แซ่บจริงๆ”
“ที่บอกซู้ดๆนี่ ซู้ดเส้นบะหมี่หรอกเหรอ”
“ครับ”
วนิษาอึ้ง ปลายฝนพอจะเดาเรื่องออก
“อ๋อ คุณนึกไปถึงเรื่องอื่นใช่ไหม”
วนิษาฝืนยิ้ม
“แล้วคุณมาที่นี่ได้ไงคะ”
วนิษาไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “แล้วเธอล่ะ มาที่นี่ได้ไง แล้วนายคนนี้เป็นใคร”
จากนั้นวนิษาก็พาปลายฝนกับป๋องมานั่งที่ร้านอาหาร ก่อนที่ปลายฝนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ วนิษาฟังอย่างละเอียด
“เรื่องก็เป็นอย่างงี้แหละค่ะ”
“เธอสมคบกับคนอื่นมาสืบเรื่องของฉันเนี่ยนะ ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ”
ปลายฝนยกมือไหว้ขอโทษวนิษา
“หนูขอโทษ แต่ว่าถ้าคุณเป็นหนูคุณจะทำยังไงล่ะคะ”
วนิษาเงียบไป
“เอาเถอะ ฉันเข้าใจ พ่อเธอเสียชีวิตแบบนั้น ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็ต้องสงสัยเมียใหม่ของพ่อ
เหมือนกัน”.
“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจ”
วนิษาถอนหายใจ
“ไม่รู้เมื่อไหร่เรื่องนี้จะคลี่คลายซะที ฉันต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปตลอดชีวิตเลยมั้ยเนี่ย”
“คงไม่มั้งครับ” ป๋องพยายามปลอบใจ “เดี๋ยวพี่โจก็หาคำตอบจนได้แหละครับ”
“พูดเรื่องลูกพี่เธอก็ดีแล้ว เธอรู้มั้ยว่านายโจเขาเกี่ยวข้องอะไรกับระริน”
ป๋องส่ายหน้า “ไม่รู้จริงๆครับ คงรู้จักกันก่อนที่ผมจะมาทำงานกับพี่โจ”
“ฉันอยากรู้เรื่องนี้ ฉันต้องทำยังไงป๋อง”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“ป๋อง ช่วยแม่เลี้ยงฉันหน่อยสิ” ปลายฝนช่วยพูด “เรื่องแค่นี้เอง ไม่ถือว่าทรยศพี่โจหรอก”.
ป๋องใจอ่อนยวบทันที
“ผมรู้จักคนหนึ่งที่เขาน่าจะรู้เรื่องของพี่โจ”
“ขอบใจนะ เธอน่ารักจัง”
ปลายฝนยิ้มให้ ป๋องมองแบบเคลิ้มๆ วนิษาเหลือบดูท่าทีของทั้งคู่อย่างจับสังเกต
ป๋องพาวนิษา และปลายฝนกลับมาที่บ้าน พลางรื้อรูปถ่ายเก่าๆ แล้วหยิบรูปถ่ายโจกับคอปบร้าให้ ทั้งคู่ดู
“ผู้ชายคนนี้ชื่อคอปบร้า”
ปลายฝนแอบขำ “หน้าอย่างนี้นะ ชื่อคอปบร้า”
“รู้สึกจะเป็นชื่อที่เขาตั้งให้ตัวเอง คอปบร้าเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่โจ จบมาทำงานเป็นนักสืบรุ่นเดียวกัน”
วนิษารีบแย้ง “ถ้าเขาเป็นเพื่อนเก่าซี้ปึ้กกันแบบนั้น เขาจะยอมเล่าเรื่องของโจให้ฟังเหรอ”
“ผมยังพูดไม่จบ เขาเคยเป็นเพื่อนกัน แต่ตอนหลังเป็นศัตรูกัน ชนิดที่ไม่เผาผีกันเลย”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ปลายฝนรีบถาม
“ก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าเป็นเรื่องผู้หญิง”
“เรื่องผู้หญิง”
วนิษาหน้าเครียด ปลายฝนแอบยิ้มกับป๋อง
วนิษา ป๋อง และปลายฝน ขึ้นมาบนดาดฟ้าตึกสูง ท่ามกลางแดดเปรี้ยง
“ทำไมต้องนัดเจอกันที่นี่ด้วย”
วนิษาถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
พลันก็มีเสียงคนหัวเราะ ทั้งสามหันไป เจอคอปบร้าในชุดสูทหลวมๆ ยืนจังก้าอยู่
“ไม่เคยดูหนังเหรอไง เวลาคุยเรื่องความลับกันน่ะ มันต้องนัดคุยกันบนดาดฟ้า”
ปลายฝน บ่นอุบ “มันร้อน”
“แต่ปลอดภัย”
ป๋องส่ายหน้า “ไอ้ที่แกดูน่ะมันหนังฝรั่ง ที่โน่นดาดฟ้ามันหนาว ดาดฟ้าเมืองไทยมันร้อนโว้ย”
วนิษาโบกมือห้าม แล้วหันมาทางคอปบร้า
“คุณคือคอปบร้าใช่ไหม”
คอปบร้าพยักหน้า “แน่นอนที่สุดคุณวนิษา ผมกำลังคิดว่าจะไปหาคุณอยู่พอดี แต่คุณมาหาผมเอง
ก็ถือว่าเป็นประหยัดเวลาให้ผม”
“หาฉันเรื่องอะไรคะ” วนิษาย้อนถาม
“เรื่องไอ้โจไงครับ”
“คุณรู้จักโจได้ไง”
คอปบร้าหัวเราะลั่น “มันเคยเป็นเพื่อนผม ผมไม่เพียงแต่จะรู้จักมัน แต่รู้จักมันดีที่สุดในโลก”
“ที่ฉันนัดคุณมาเนี่ย ฉันอยากถามเรื่องของโจ”
“ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวมันตั้งแต่มันเกิด เชื่อผมเถอะ ศัตรูจะรู้จักคุณดีกว่าเพื่อนของคุณ”
วนิษามองหน้าคอปบร้างงๆ “ตกลงเขาเป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรูของคุณกันแน่”
“ตอนแรกมันเป็นเพื่อน แต่มันแย่งแฟนผม แล้วก็ฆ่าพ่อผม มันจึงเป็นศัตรูของผม”
ป๋องตกใจ “พี่โจเนี่ยนะฆ่าพ่อคุณ”
“ใช่”
“ฉันอยากรู้เรื่องเขากับระริน”
วนิษาเข้าเรื่อง คอปบร้าถึงกับอึ้งไป
“ระรินคือแฟนผมที่มันแย่งไป เมื่อก่อนระรินเค้าชื่อ รินทิพย์”
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 17 (ต่อ)
จากนั้นคอปบร้าก็เริ่มเล่าเรื่องของเขากับโจ ตั้งแต่ครั้งที่ทั้งคู่ยังเป็นนักศึกษา
“วันก่อนฉันไปกับรุ่นพี่ เปิดขวดใหม่แต่ยังกินไม่หมด เย็นนี้ไปซัดกันมั้ย”
โจส่ายหน้า “ไม่ได้ว่ะ เย็นนี้ต้องเข้าประชุมกับพวกกิจการนักศึกษา คงต้องอยู่ดึก”
คอปบร้าทำหน้าเซ็งๆ แต่พอหันไปอีกทางหนึ่งก็ยิ้มระรื่น
“เฮ้ย นั่นแฟนฉันโว้ย”
โจหันไป เจอระริน หรือในอดีตชื่อรินทิพย์เดินมากับเพื่อน ก็หัวเราะ
“ขี้โม้ นั่นมันลีดมหาลัย หน้าอย่างแกมีปัญญาจีบเป็นแฟนด้วยเหรอวะ”
“ไม่ต้องจีบหรอก ฉันรู้สึกว่าเขากับฉันน่ะเป็นเนื้อคู่กัน โชคชะตาจะบันดาลให้เราสองคนเป็นแฟนกันแน่ๆ”
โจหัวเราะ
ระหว่างที่โจ กำลังนั่งประชุมร่วมกับนักศึกษาคนอื่นอยู่ในห้องกิจการนักศึกษา ระรินเปิดประตูเข้ามา
“สวัสดีค่ะ รินทิพย์ค่ะ ตัวแทนปีหนึ่งคณะบริหารฯค่ะ”
“ผมโจครับ ประธานนิสิตปีหนึ่ง ยินดีต้อนรับครับ”
นักศึกษาคนหนึ่งปรายตามองระริน แล้วพูดเชิงตำหนิ
“มาสายนะคะเนี่ย ช่วยรักษาเวลาด้วยก็ดีนะคะ”
“ใจเย็นก้อย มาสายดีกว่ามาไม่ได้ โชคดีนะครับ ที่แถวนี้มีร้านซ่อมรองเท้า เอ่อ ข้อเท้าคงไม่ถึงกับแพลงนะครับ”
นักศึกษาคนอื่นมองโจงงๆ ขณะที่ระรินยิ่งงงหนัก
“คุณโจ รู้ได้ไงคะ รินตกบันไดค่ะ”
“ส้นรองเท้าคุณมีรอยต่อครับ มีกลิ่นกาวด้วยแสดงว่าเพิ่งต่อมา ตอนคุณเดินเข้ามาผมเห็นคุณลงน้ำหนักไม่เต็มเท้า เลยเดาว่าคงเกิดอุบัติเหตุ”
ระรินทึ่งในความเป็นคนช่างสังเกตของโจ
“โจดูเอาจริงเอาจังมากนะคะกับเรื่องการออกค่าย”
ระรินหันมาบอกกับโจ ระหว่างที่ทั้งคู่เดินคุยกันมาตามทางเดินในมหาวิทยาลัย
“ทุกวันนี้สังคมเมืองกับสังคมชนบทยังมีช่องว่างอยู่ ทั้งในเรื่องความเจริญและความคิด ความอ่าน ตอนนี้ช่องว่างนี้กลายเป็นปัญหาหลักของประเทศชาติ การออกค่ายเป็นวิธีหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันครับ”
“ฉันไม่เคยเจอคนรุ่นราวคราวเดียวกันคนไหนพูดอะไรอย่างที่โจพูดเลย”
“ผมทำให้คุณรำคาญหรือเปล่าครับ”
ระริน ส่ายหน้า
“ตรงกันข้าม ฉันประทับใจมากค่ะ ฉันจะอยู่ข้างคุณ จะสนับสนุนคุณทุกอย่างเลยค่ะ”
คอปบร้าสีหน้าเจ็บปวด เหงื่อไหลเต็มหน้า
“แล้วไอ้โจกับรินก็เป็นแฟนกัน”
“จะว่าไปพี่โจเขาก็ไม่ได้แย่งคุณนี่นา ก็คุณไม่จีบเอง” ป๋องรีบท้วง
“ใครบอก ถ้ารินไม่ได้เป็นแฟนไอ้โจ อีกแป๊บนึงโชคชะตาก็จะพารินให้มารู้จักฉัน เป็นแฟนกับฉัน”
ป๋องกำลังจะตอบโต้ แต่ปลายฝนรีบสะกิดไว้
“แล้วไงต่อคะ” วนิษาถามด้วยความอยากรู้
“เราเปลี่ยนที่คุยเถอะ ผมร้อนแล้วล่ะ”
จากนั้นทั้งหมดก็เปลี่ยนทำเลมานั่งคุยกันต่อที่ร้านกาแฟ
“ตั้งแต่นั้นไอ้โจกับรินก็คบกัน ทั้งคู่สนิทกันมากจนเพื่อนๆ ล้อว่าเรียนจบแล้วคงไม่แคล้วแต่งงานกัน รินเองก็พาไอ้โจไปที่บ้านบ่อยๆ แม่รินเองก็รักโจ แต่ไอ้โจก็ไม่เคยได้เจอพ่อของรินเลยซักครั้ง เพราะพ่อรินอยู่เมืองจีน นานๆกลับมาเมืองไทย จนวันหนึ่งเมื่อรินพาไอ้โจไปเจอพ่อของเธอ เรื่องราวก็ถึงจุดพลิกผัน”
คอปบร้าเล่าเหตุการณ์ตอนที่ระรินพาโจเข้ามาในร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง พ่อแม่ระรินนั่งอยู่ก่อนแล้ว พ่อระรินดูเป็นคนคงแก่เรียน ท่าทางเอาจริงเอาจัง หนักแน่น ดูน่าเชื่อถือ
“ป๊า นี่โจค่ะเพื่อนสนิทริน”
โจยกมือไหว้พ่อ และแม่ระริน
“หวัดดีจ้ะโจ”
เพ็ญแขยิ้มรับ ในขณะที่พ่อระริน จ้องหน้าโจเขม็งอยู่ครู่ใหญ่
“คนคนนี้คบไม่ได้ แกต้องเลิกกับเขาซะ”
“ป๊าคะ ทำไมป๊าพูดแบบนั้นล่ะคะ”
“โหงวเฮ้งอัปมงคลมาก ถ้าเธอคบกับผู้ชายคนนี้ต่อไปเธอจะเดือดร้อน ป๊ากับม้าอาจจะต้องตาย”
โจ นั่งฟังอยู่ ก็อดถามขึ้นมาไมได้ “ขอโทษนะครับ คุณพ่อเป็นหมอดูเหรอครับ”
“พ่อรินเป็นซินแสค่ะ ที่เมืองจีนท่านดังมากเลยค่ะ”
พ่อระริน จ้องหน้าโจ
“คุณก็รู้ว่าผมพูดถูก ชีวิตคุณเป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ ใครที่อุปการะเลี้ยงดูคุณก็ล้วนแต่ต้องมีอันเป็นไป ใช่ไหม”
โจอึกอัก “เอ่อ มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าครับ”
“คุณปฏิเสธดวงชะตาคุณเองไม่ได้หรอก วันนี้คุณยังดื้อแต่สักวันคุณต้องยอมรับ”
โจกำหมัดแน่น พลางหันมาพูดกับระริน
“ริน ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า”
“ค่ะ เดี๋ยวรินไปส่ง”
“ไม่ต้อง” พ่อระรินเสียงแข็ง “บอกแล้วไงว่าให้เลิกคบเขา”
“ไม่ค่ะ รินไม่เชื่อป๊า”
พูดจบระรินก็พาโจเดินออกไป พ่อระรินโกรธมาก ตบโต๊ะเสียงดังเปรี้ยง
“พอมันเริ่มทำงาน ตำนานโจตัวซวยก็เริ่มขึ้น” คอปบร้าเล่าต่อ ถึงเหตุการณ์ที่โจกับระรินนั่งคุยกันในร้านกาแฟ ร้านเดียวกันนี่เอง ระรินดูห่างเหิน ขณะที่โจดูหม่นหมอง
“อีกแล้วเหรอโจ”
โจพยักหน้า “ครับ”
“เจ็ดบริษัทแล้วนะโจ ถ้าไม่เจ๊ง ก็โดนโกง หรือไม่ก็โดนจับ เจ็ดบริษัทแล้วนะที่ต้องปิดตัวลง หลังจากที่คุณไปทำงานกับเขา ล่าสุดนี่ก็บริษัทของพ่อเพื่อนคุณเองใช่ไหม”
“ใช่ครับ ไอ้คอปบร้า บริษัทโดนไฟไหม้ พ่อมันที่เป็นเจ้าของก็ตายด้วย แต่มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆนะริน”
“โจ ฉันคุยกับพ่อฉันแล้ว พ่อเขาบอกเขาหาทางช่วยคุณได้นะ”
“ช่วย ช่วยเรื่องอะไร” โจย้อนถาม
“เรื่องดวงของคุณไง ท่านบอกจะพาคุณไปหาแม่ชีที่เมืองจีน ท่านมีพลังลมปราณที่เปลี่ยนโหงวเฮ้งคุณได้ ทำให้หนักเป็นเบาได้”
โจส่ายหน้า “ผมบอกแล้วไงว่ามันไม่เกี่ยวกับผม ไอ้ที่เจ๊งก็เพราะเจ้าของเขาบริหารเงินไม่เป็น ที่โดนจับก็เพราะมันหนีภาษี ที่บริษัทคอปบร้าไฟไหม้ก็เพราะมันประมาทเอง แล้วพ่อมันก็เสี่ยงเข้าไปเอาเอกสารตอนแก๊สระเบิดพอดี ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะริน”
“พ่อฉันพูดถูก คุณดื้อ”
“ไหนตอนแรกคุณบอกคุณไม่เชื่อพ่อคุณ”
ระริน มองหน้าโจ แล้วพูดอย่างจริงจัง
“ฉันไม่เชื่อไม่ไหวแล้วโจ มีใครที่ไหนเขาเป็นแบบคุณมั่ง ทำงานที่ไหนที่นั่นก็อันเป็นไปหมดทุกที่”
“แล้วคุณจะ”
“ฉันยังรักคุณ แต่ว่าคุณต้องไปแก้อาถรรพ์ที่เมืองจีนกับพ่อฉัน”
โจ สั่นหัว “ไม่ ถ้าผมไปก็เท่ากับผมยอมรับเรื่องที่พ่อคุณพูดน่ะสิ”
“ถ้าคุณไม่ไป เรา เลิกกัน ไปเถอะนะโจ ฉันขอร้อง ถ้าคุณรักฉันจริง คุณต้องไป”
โจเงียบไป ท่าทีเริ่มอ่อนลง
“นะ ไปเถอะ คุณจะได้ไม่เป็นตัวซวยอีก”
พอได้ยินคำว่าตัวซวย โจก็เปลี่ยนท่าที พลางจ้องหน้าระริน แล้วพูดเสียงแข็ง
“ผมไม่ไป”
ระรินร้องไห้ ลุกเดินออกไป โจนั่งก้มหน้าด้วยความเจ็บปวด
“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น”
วนิษาถามต่อทันที
“หลังจากรินเลิกกับโจ รินก็ทำตามคำแนะนำของพ่อ สลัดความซวยของไอ้โจที่อาจจะติดมาออกไปให้หมด ด้วยการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นระริน แล้วก็หาแฟนที่มีเชื้อจ้าว หรือไม่ก็เป็นดารา ซึ่งเธอก็เกือบจะทำได้แล้วแต่โดนคนอื่นแย่งแฟนไปทั้งสองครั้ง”
คอปบร้าปรายตามองวนิษา วนิษาหน้าเครียด
“แล้วทำไม ระรินต้องตามหาโจ”
คราวนี้คอปบร้าเป็นฝายหน้าเครียดบ้าง
“คุณเดาไม่ออกเหรอ”
วนิษาส่ายหน้า “ฉันไม่รู้”
“เพราะรินยังรักไอ้โจอยู่น่ะสิ ถึงจะทำตามที่พ่อบอกแล้ว แต่สุดท้าย เธอก็พบว่าเธอยังรักโจอยู่
ยัยผู้หญิงหน้าโง่”
ปลายฝนเบ้ปาก “พอเขาไม่รักคุณ คุณไปด่าเขา ผู้ชายอย่างคุณน่ะน่ารังเกียจ”
“ผมว่าคุณนั่นแหละที่โง่” ป๋องรีบเสริม
“เชื่อฉันเถอะ ผู้หญิงที่รักไอ้โจน่ะหน้าโง่ แถมไม่ได้มีคนเดียวซะด้วย”
คอปบร้ายิ้มเป็นนัยให้วนิษา
“ขอบใจมาก ที่เล่าเรื่องของโจให้ฉันฟัง”
“เดี๋ยวสิ” คอปบร้ารีบท้วง “ผมไม่เล่าให้ฟังฟรีๆหรอกนะ”
“คุณจะคิดเท่าไหร่”
คอปบร้าแสยะยิ้ม “ไม่คิดเป็นเงิน ขอเป็นความสุขทางใจแล้วกัน”
“หมายความว่ายังไง”
“จะบอกอะไรให้ ร้านกาแฟที่ไอ้โจโดนรินบอกเลิกก็คือร้านนี้ แล้วก็โต๊ะตัวนี้นี่แหละ ผมเลยชอบมานั่งที่นี่มาก มาซึมซับความเจ็บปวดของมัน ทำให้กาแฟอร่อยขึ้นตั้งเยอะ”
วนิษาปรายตามองคอปบร้า “โรคจิต” จากนั้นก็ทำท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวสิ ผมยังเล่าไม่จบ”
“มีอะไรอีก” ป๋องชักหงุดหงิดแทน
“หลังจากที่ไอ้โจเลิกกับริน มันก็เปลี่ยนงานบ่อยมาก จนในที่สุดก็มาเปิดบริษัทนักสืบ”
คอปบร้ายิ้มเหี้ยม
“แต่ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยเปิดร้านทำป้ายและไม่เคยรับทำอาหารกล่อง”
วนิษาอึ้งไป พลางจ้องคอปบร้าตาเขม็ง
“นั่นแปลว่ามันไม่เคยเป็นลูกจ้างคุณชายแจ้ผัวคนแรกของคุณ ไม่เคยรับเงินจากเสี่ยป๊อก
ผัวคนที่สองของคุณ มันโกหกคุณเพราะมันอยากช่วยให้คุณสบายใจ แต่ความจริงก็หนีความจริงไม่พ้น ผัวคุณตายเพราะตัวคุณ เพราะคุณคือผู้หญิงกินผัว”
วนิษาช็อก ทำอะไรไม่ถูก
“ใช่ คุณคือผู้หญิงกินผัว”
คอปบร้าระเบิดเสียงหัวเราะสะใจ พลางตะโกนลั่นร้าน
“เอากาแฟมาอีก นับจากวันนี้ไป กาแฟที่นี่จะอร่อยขึ้นอีกสิบเท่า เพราะความรักของไอ้โจตัวซวยถูกทำลายลงอีกครั้ง ที่นี่"
อ่านต่อตอนที่ 18