รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 15
วนิษาขับรถออกมาที่หน้าคอนโด จู่ๆ ก็มีรถวิ่งมาปาดหน้า จนเธอต้องเบรคเอี๊ยด ด้วยความตกใจ พร้อมๆ กับรีบมองหาอาวุธใกล้มือ
ระรินลงมาจากตอนหลังของรถคันนั้น เดินปรี่มาหาวนิษา พลางหยุดยืนมอง วนิษาลดกระจกลง
“ทำอย่างนี้หมายความไงคะ”
“ทำไมวันนี้ขับรถเอง”
“ฉันไม่เข้าใจ คุณพูดอะไรของคุณ” วนิษาแปลกใจ
“คนขับรถของคุณอยู่ไหน”
“นายดาวน่ะเหรอ”
ระรินพยักหน้า “ใช่ เขาอยู่ไหน”
“เขาหายหน้าไปเฉยๆ คุณมีธุระอะไรกับเขาเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ระรินตอบเสียงห้วน
“ถ้าไม่ใช่เรื่องของฉัน งั้นคุณก็ขยับรถออกไปได้แล้ว ฉันมีธุระต้องทำ”
“เอาเบอร์เขามา”
“เขาทำอะไรคุณกันแน่ เขาล่วงเกินอะไรคุณรึเปล่าคะ”
“บอกว่าไม่เกี่ยวกับคุณ” ระรินเริ่มหงุดหงิด
“ฉันจะให้เบอร์คุณก็ได้ แต่คุณต้องบอกมาก่อนว่าทำไมคุณต้องการเจอเขา”
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“ถ้าไม่บอกก็ไม่ได้เบอร์”
วนิษาเล่นแง่ ระรินอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ฉันบอกไม่ได้จริงๆ”
“โชคดีค่ะ”
วนิษายิ้มอย่างใจเย็น ก่อนที่จะขับอ้อมรถของระรินออกไป ระรินได้แต่ยืนอึ้ง วนิษามองระรินที่กระจกหลัง
“ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ นายโจตัวซวย นายไปทำอะไรเขา”
ขณะที่โจกลับมาถึงบ้าน เห็นประตูแง้มอยู่ ก็เอะใจ พลางหยิบดิ้วคู่มือออกมา ค่อยๆดันประตู
เข้าไปช้าๆ ก่อนเดินเข้าไปในห้อง ได้ยินเสียงกุกกัก มาจากห้องทำงาน ก็ค่อยๆ เดินย่องเข้าไป ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
แต่เมื่อโผล่หน้าหน้าเข้าไป ก็เห็นป๋องนั่งอยู่หน้าคอมพ์ของเขา หน้าตาดูหื่น น้ำลายไหลยืด โจหยิบทิชชูส่งให้ ป๋องรีบรับมาเช็ดปาก ก่อนจะรู้ตัว หันกลับมามองโจ ถึงกับสะดุ้งร้อง แล้ว รีบปิดเครื่อง
“พี่โจ”
โจถีบป๋องตกเก้าอี้
“เลวจริงๆแกนี่ ฉันไม่อยู่ เลยเอาหนังโป๊มาดูเนี่ยนะ”
“ก็มันไม่มีอะไรทำนี่ครับ แหะๆ ก็เลยหาอะไรทำฆ่าเวลา”
“หนังสือธรรมะก็มีเยอะแยะ ทำไมไม่อ่านฆ่าเวลา”
“พี่อย่าโลกสวยนักสิครับ ธรรมะไม่ได้เหมาะกับทุกคนหรอกนะครับจะบอกให้”
โจขี้เกียจเถียงด้วย พลางเดินมาดูจดหมายต่างๆที่ส่งมาตอนเขาไม่อยู่
“พี่จะกลับมาทำงานแล้วใช่ไหม”
โจพยักหน้า “เออ”
“เหมาะเลย เมื่อเช้าคุณหญิงจุ๋มโทรมา เขาบอกอยากเจอพี่”
“ฉันพอเดาออกว่าเรื่องอะไร แต่ฉันยังไม่อยากเจอเขาเลยว่ะ”
โจพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม พลางถอนหายใจ
แต่ในที่สุดโจ ก็นัดคุยกับ ม.ร. ว. จันทร์ธิดา ที่ร้านกาแฟ
“ตั้งแต่วันที่ผมรับงานคุณหญิงจนถึงวันนี้ ผมพยายามอย่างเต็มที่ทุกวิถีทางแล้ว แต่ผมก็ไม่สามารถหาหลักฐานหนาแน่นพอที่จะมัดตัวคุณวนิษาได้ว่าเขาเป็นฆาตกรฆ่าน้องชายคุณ ผมว่าถึงเวลาที่ผมต้องบายแล้วล่ะครับ”
คุณหญิงจุ๋ม ยิ้มให้โจ
“ฉันรู้ว่าคุณพยายามเต็มที่ แต่มันอาจจะยังไม่พอ อย่าลืมสิว่ายัยนั่นไม่ธรรมดา มันเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก ถ้ามันเป็นผู้หญิงธรรมดาๆมันจะคุมบ่อนแทนผัวคนที่สองมันได้เหรอ”
“ผมไม่ได้ประมาทเขานะครับ แต่ผมทำสุดความสามารถแล้วจริงๆ”
“ไม่จริง ฉันรู้ว่าคุณยังทำได้ดีกว่านี้”
โจถอนหายใจ “ทำไมคุณหญิงไม่ลองหานักสืบคนอื่นดู อาจจะมีคนที่เก่งกว่าผมก็ได้”
“ฉันไม่อยากเสียเวลาเริ่มต้นใหม่น่ะสิ ที่ผ่านมาคุณทำได้ดีแล้ว พยายามต่อไปเถอะ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมถึงทางตันแล้วจริงๆ ผมขอคืนงานนี้”
คุณหญิงจุ๋มเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะมองจ้องหน้าโจ แล้วเริ่มขู่
“ถ้าอย่างนั้น ตามสัญญาเราเซ็นกันไว้ว่ายังไงจำได้ใช่ไหม”
“อะไรครับ” โจยังข้องใจ
“คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าวนิษาฆ่าหรือไม่ได้ฆ่าน้องชายฉัน ถ้าทำไม่สำเร็จ คุณต้องคืนเงินค่าจ้างให้ฉันครึ่งนึง”
“ก็ผมบอกแล้วว่าไม่เจอหลักฐานที่บอกว่าเขาฆ่าน้องชายคุณหญิง”
“งั้นก็ต้องหาหลักฐานที่บอกว่าเขาไม่ได้ฆ่า”
โจถึงกับพูดไม่ออก
“ไม่ต้องมาอ้ำอึ้ง งั้นเอาเงินคืนมา”
“คือว่าตอนนี้คงยังไม่มี”
“ถ้าไม่คืนเงินถือว่าผิดสัญญา ฉันจะแจ้งความ”
“เดี๋ยวสิครับ งั้นผมขอผ่อนได้มั้ย”
คุณหญิงจุ๋มเบ้ปาก “ไม่ชอบระบบผ่อนค่ะ”
“คือผมอธิบายก่อนว่าที่คืนงานเนี่ย เพราะผมเห็นแก่คุณนะ ถึงตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่า ผมมีฉายาโจตัวซวย คุณควรจะเลิกจ้างผมก่อนที่คุณจะเคราะห์หามยามร้ายนะครับ ที่ผ่านมา มีคนไฟไหม้หมดตัวเลยนะครับ”
คุณหญิงจุ๋มยิ้มเชิดๆ
“ฉันไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่งั้นฉันจะให้คุณหาหลักฐานเหรอว่ายัยวนิษาคือฆาตกรเหรอ”
“เอ่อ แต่ว่า”
“หาเงินมาคืนฉัน ไม่งั้นทำต่อจนกว่าจะหาหลักฐานมัดตัวยัยวนิษาได้ แค่นี้แหละ”
พูดจบ ม.ร. ว.จันทร์ธิดา ก็ลุกออกไป โจมองตาม สีหน้าเครียด
หลังจากกลับจากทำบุญด้วยกัน วนิษากับกับหม่อมจันจิรา ก็เดินคุยกันอยู่ภายในวังวาสุวงศ์
“ขอบคุณคุณแม่มากนะคะที่วันนี้ไปเป็นเพื่อนหนู”
“อะไร้ ฉันต่างหากต้องขอบใจเธอเหมือนกันที่มาพาฉันไปเที่ยว ว่าแต่เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าทำไมวันนี้จู่ๆชวนฉันไปทำบุญเก้าวัดแบบนี้น่ะ”
“ก็ได้ลาภไม่พึงประสงค์มา ก็อยากทำบุญเพื่อความสบายใจน่ะค่ะ”
“ลาภอะไรเหรอ” หม่อมจันจิรา ย้อนถาม
“มรดกของคุณกริชน่ะค่ะ”
“อ้อ เข้าใจแล้ว ลาภไม่พึงประสงค์จริงๆด้วย แล้วจบหรือยังเห็นว่าปัญหาเยอะนี่”
“ค่ะ โชคดีที่ผลนิติเวชยืนยันว่าคุณกริชถึงแก่กรรมด้วยสาเหตุธรรมชาติ ครอบครัวเขาถึงยอมจบ ให้เงินสดมาก้อนหนึ่งแล้วก็รีสอร์ตที่ทำแล้วไม่ค่อยมีกำไรมาให้หนู”
หม่อมจันจิราอมยิ้ม
“อะไร นี่เธอนอกจากต้องเป็นสะใภ้จ้าว เป็นตั่วเจ๊ แล้วยังจะต้องเป็นเจ้าของรีสอร์ตอีกเหรอ”
วนิษาถอนหายใจ หม่อมจันจิรา เห็นแล้ว อดหัวเราะไม่ได้
“เอาเถอะน่า ฉันเชื่อว่าไม่พ้นความสามารถเธอหรอก”
ที่มุมหนึ่งของวัง ม.ร.ว. จันทร์ธิดา แอบฟังอยู่
“ทำเป็นกลุ้มอกกลุ้มใจ ยัยสตอเบอแหล ดีใจจนเนื้อเต้นล่ะสิ ไม่ว่า เชอะ”
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 15 (ต่อ)
“ต่อหน้าหม่อมแม่มันแกล้งทำเป็นกลุ้มใจที่ได้เงินมรดก ยัยตอแหลเอ๊ย ดีใจจนเนื้อเต้นล่ะสิไม่ว่า” คุณหญิงจุ๋มกลับมาเล่าให้สามีฟังที่คอนโด พจน์นั่งนึกตัวเลขตาม
“ได้ข่าวว่านายกริชนี่แค่รถสปอร์ตก็มีตั้ง 3-4 คัน เล่นหุ้นด้วย ถ้านับเงินสด แล้วบวกด้วยรีสอร์ตห้าดาว ไอ้มรดกที่ว่านี่น่าจะถึงพันล้านนะ หรือคุณว่าไง”
“ไม่รู้สิคะ จะเท่าไหร่ฉันก็ไม่สนใจหรอก”
“โชคดีเหมือนกันที่ตอนชายแจ้ตาย ยัยนี่ไม่ตายไปด้วย”
คุณหญิงจุ๋ม ขมวดคิ้ว “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”
พจน์รู้ตัวว่าหลุดปาก รีบกลบเกลื่อน
“ผมหมายถึงโชคดีของวนิษา ผัวตายทีไร ได้เงินตลอด”
“แต่โชคร้ายของผู้ชายที่มาเป็นผัวมัน”
คุณหญิงจุ๋ม ทั้งเศร้า ทั้งแค้น ขณะที่พจน์แอบวางแผนร้ายในใจ
จากนั้นพจน์ก็มานั่งคุยกับภาคย์ที่ผับคาราโอเกะ
“โชคดีที่ไอ้กริชมันตาย ตอนนี้วนิษาเลยยิ่งรวยหนักกว่าเดิมอีก”
“เรื่องที่ไอ้กริชตายผมว่าไม่เกี่ยวกับโชคดีโชคร้ายหรอก พี่อย่าถ่อมตัวเลยครับ”
ภาคย์มองพจน์แบบรู้ทัน
“ไม่ต้องพูดมาก เอาเป็นว่า แกเชื่อฉัน เราทำงานเป็นทีม รับรองพันล้านของวนิษาจะเป็นของเราแน่ๆ”
ภาคย์พยักหน้า
“เอาครับ งั้นเราต้องรีบลงมือก่อนที่จะมีไอ้บ้าที่ไหนมาจีบยัยนั่นอีก ผมหล่อก็จริง แต่ประเทศนี้ยังมีอีกหลายคนที่คนหล่อกว่าผม และที่สำคัญชอบเกาะผู้หญิงรวยๆกินเหมือนกัน ขืนชักช้าโดนสอยไปแน่ๆ”
“แกไม่ต้องห่วงหรอก เราได้เปรียบพวกนั้น อย่างน้อยที่สุด ฉันรู้ว่าจะให้แกเข้าหายัยนั่นทางไหน”
“ทางไหนเหรอครับ” ภาคย์ย้อนถาม
“วนิษามียายชื่อวรางค์ เป็นแนวธัมมะธัมโม วนิษาสนิทกับวรางค์มากกว่าแม่ซะอีก”
ภาคย์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มกริ่ม
“สบายครับ มีข้อมูลเด็ดๆอย่างนี้ค่อยยังชั่ว จะได้ไม่ต้องแย่งจีบ เสน่ห์แม่คุณแรงเหลือเกิน”
“เออ เรื่องนี้แกเตือนตัวเองไว้บ้างก็ดี ฉันกลัวไปๆมาๆแกจะหลงยัยวนิษาหัวปักหัวปำไปอีกคน ห้ามประมาทนะ”
ภาคย์หัวเราะร่วน
“คนอย่างผมรู้จักแต่รักตัวเองครับ ผู้หญิงสำหรับผมไม่ได้มีความหมายอะไรมากนักหรอก เหมือนส้วมสาธารณะ ฉี่เสร็จก็จบ ไปต่อ ไม่มีอาลัยอาวรณ์”
“อยากได้เงินพันล้าน แกอาจจะต้องทำมากกว่าฉี่แล้วชิ่งนะ”
“ไว้ใจเถอะ จะให้ฆ่าก็ฆ่าได้ ไม่มีปัญหา”
พจน์ยิ้มร้าย ด้วยความพอใจ
ป๋องเดินเข้ามาในบ้านโจ เห็นโจกำลังฉีกกระดาษร่างแผ่นใหญ่หลายแผ่นที่มีการเขียนแปลน เขียนเส้นโยงไปโยงมา ลงถังขยะ
“ฉีกอะไรเหรอครับพี่”
“แผนปล้นธนาคาร”
ป๋องตาโต “หา”
“ฉันไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปคืนหญิงจุ๋ม คิดไปคิดมาเลยลองวางแผนปล้นธนาคารดู”
“แล้วยังไม่เวิร์กเหรอครับ”
โจถอนหายใจ “มันเวิร์กน่ะสิ เลยต้องรีบฉีกทิ้ง แผนอาจจะเวิร์ก แต่ชีวิตแกจะไม่เวิร์ก ถ้าแกเป็นคนเลว ชีวิตแกก็จะมีแต่เรื่องเลวๆ”
“แล้วจะเสียเวลาวางแผนทำไมเนี่ย” ป๋องย้อนถาม
“ก็มันจนตรอกจนฟุ้งซ่าน เฮ้อ สงสัยคงต้องกลับไปทำงานกับยัยนั่นเพื่อสืบหาความจริงให้คุณหญิงจุ๋มเหมือนเดิม”
“ก็ไปดิ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
โจส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ปัญหาคือไม่รู้จะทำยังไงให้เขารับกลับไปทำงานต่อน่ะสิ ยากกว่าวางแผนปล้นธนาคารอีกจะบอกให้”
โจเดินเกาศีรษะ หน้าตายุ่งยากมาที่บ่อนของวนิษา แต่เดินมาจะเข้าไปข้างใน ลูกน้องที่เฝ้าทางเข้าก็ยกมือยันไว้
“เฮ้ย นี่ฉันเองนะ จำไม่ได้เหรอ”
ลูกน้องไม่ตอบ ชี้ไปข้างๆ มีป้ายกระดาษติดรูปโจไว้ทั้งด้านหน้าตรง ด้านข้าง มีชื่อใต้รูปว่า “โจ ตัวซวย” พร้อมข้อความเป็นตัวหนังสือตัวใหญ่ ชัดเจน
“บุคคลอันตราย ห้ามเข้าเด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนกระทืบได้ ลงชื่อ ตั่วเจ๊”
โจหน้าจ๋อย “จะโหดเกินไปแล้วยัยตั่วเจ๊”
พลางหันมาถามคนเฝ้า “ที่ผ่านมาเราก็รักกันนะ ฉันซื้อโอเลี้ยงให้แกกินบ่อยๆ ถึงเวลาแกจะกระทืบฉันลงเหรอ”
“พี่ไม่ต้องพูดมากครับ มองตาผมสิ เราเป็นพี่น้องกัน ถึงวันนี้หัวใจผมก็ยังรัก และเคารพพี่เสมอ แต่ผมคงต้องกระทืบตามคำสั่งอ่ะครับ”
โจเซ็ง ก่อนจะรีบถอยออกมา
ลูกน้องยังเฝ้าทางเข้าบ่อนอยู่ ชายแก่ผมหงอกคนหนึ่งเดินก้มหน้างุดๆเข้ามา ลูกน้องผลักอก
แล้วจับคางชายแก่ให้เงยหน้าขึ้น เห็นหนวดเครายาวรุงรังปิดหน้าปิดตา หนวดกับผมหงอกดูปร๊าดเดียว
ก็รู้ว่าของปลอม ลูกน้องหันมามองหน้ากัน แล้วก็ช่วยกันรุมกระทืบ ชายแก่ร้องลั่น ระหว่างนั้นอาซิ้มคนหนึ่งผ่านมา เห็นเหตุการณ์ก็กลัว เดินเลี่ยงๆเข้าบ่อนไป
ลูกน้องกระทืบแล้วดึงวิกกับหนวดเคราปลอมออกมา
“โทษทีนะพี่โจ กระทืบตามออเดอร์ครับพี่”
“โจไหนของแก”
ลูกน้องกระชากชายแก่ขึ้นมา เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่โจ
“อะไรวะ แล้วแกปลอมตัวทำไมเนี่ย”
“มียัยซิ้มคนนึงจ้างให้แต่งแบบนี้ อูย เมื่อกี้ตอนพวกแกรุมกระทืบฉันมันเดินเข้าไปในบ่อนแล้ว”
ในขณะที่วนิษากับปฐมกำลังนั่งปรึกษางานกันอยู่ พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทั้งคู่หันไปมอง ก็เห็นโจเดินยิ้มแฉ่งเข้ามา
“สวัสดีครับคุณปฐม สวัสดีครับคุณวนิ”
“ในที่สุดก็มาจนได้นะ” วนิษาหน้านิ่ง
พวกลูกน้องหน้าประตูวิ่งตามมา
“ขอโทษครับตั่วเจ๊ ผมจะจับมันโยนออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
วนิษามองหน้าโจ แล้วโบกมือให้ลูกน้องกลับไป
“ผมว่าแล้ว คุณวนิคงไม่ใจร้ายสั่งให้ลูกน้องกระทืบผมจริงๆหรอก ใช่มั้ย”
วนิษามองหน้าโจ “มีธุระอะไรก็รีบว่ามา แล้วก็รีบออกไปซะ”
“ธุระของผมให้รีบพูดก็ได้ แต่ถ้าพูดจบแล้วให้รีบกลับคงไม่ได้”
“งั้นก็ไม่ต้องพูด ออกไปซะ”
ปฐมหันมาทางวนิษา “เอาน่าตั่วเจ๊ ฟังเขาก่อนเถอะครับ”
“ผมจะขอกลับมาเป็นคนขับรถให้คุณวนิครับ”
วนิษาอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
“กล้าพูด หน้าด้านมากนะ”
“ปกติผมก็ไม่ใช่คนขี้อายหรอกครับ”
วนิษา จ้องหน้าโจเขม็ง
“คุณโกหกหลอกลวงฉัน แล้วยังมีหน้าขอกลับมาทำงานกับฉันอีกเหรอ”
“ถึงผมจะโกหกหลอกลวงคุณ แต่ตอนผมเป็นคนขับรถให้คุณ ไม่เคยมีอุบัติเหตุ ไม่เคยโดนตำรวจเรียก ผมเป็นคนขับรถที่ดีนะครับ”
“บอกความจริงมาดีกว่า ทำไม”
“จริงๆผมอายนะ ผมไม่กล้าสู้หน้าคุณด้วยซ้ำ ผมอยากเลิกงานนี้ แต่นายจ้างผมเขาไม่ให้ผมเลิก”
วนิษายักไหล่
“คุณจะแก้ปัญหายังไงนั่นมันเรื่องของคุณ แต่ฉันไม่มีวันรับคุณกลับเข้ามาทำงาน มีเรื่องอื่นอีกมั้ย”
โจอึกอัก วนิษาถามเสียงเหี้ยม
“จะออกไปเองหรือให้คนมาจัดการ”
“ไปเองก็ได้ครับ”
โจเดินคอตกออกไป วนิษายิ้มสะใจ
“ตั่วเจ๊ครับ”
วนิษาเหลือบตามองปฐม ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม จนปฐมสะดุ้ง
“ไม่มีอะไรครับ แหะๆ คุยเรื่องงานกันต่อเถอะครับ”
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 15 (ต่อ)
เมื่อเดินมาที่จอดรถ วนิษาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงโจ พลางยืนมองดูรถของตัวเองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดใจขับรถออกไป ด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
วนิษาขับรถขึ้นมาจอดที่ชั้นที่จอดประจำที่คอนโด พลางรู้สึกแปลกใจที่ไม่มีรถคันอื่นอยู่เลย
“เอ๊ะ รถหายไปไหนกันหมด”
เมื่อวนิษาลงจากรถ ทันใดนั้นไฟทั้งชั้นก็ดับลง วนิษาตกใจ มองรอบๆ มีเพียงความมืดและความเงียบ แล้วก็มีเสียงดนตรีอินโทรดังขึ้น แล้วก็มีภาพสไลด์ฉายขึ้นบนผนังชั้นจอดรถ เป็นรูปวนิษาในอิริยาบถต่างๆ ที่โจแอบถ่ายตอนเริ่มสืบคดี
สักครู่เสียงเพลงก็เงียบลง เสียงบรรยายดังขึ้นมาแทน
“วันแรกที่ผมแรกเจอเธอ เธอดูลึกลับ เคร่งขรึม เย็นชา แต่หลังจากนั้น เมื่อผมได้มีโอกาส
รู้จักเธอ ก็พบว่าเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีน้ำใจงดงาม โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์ ชื่อของเธอคือ วนิษา”
วนิษาจำเสียงโจได้ ก็หันมองไปรอบๆ
“จะมาไม้ไหนเนี่ยนายโจ”
พลันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งมาชน วนิษาก้มลงมอง เห็นรถบังคับวิทยุ มีกุญแจดอกหนึ่งอยู่บนรถ เมื่อก้มลงเก็บกุญแจขึ้นมาดู โจก็โผล่เข้ามาในแสงสไลด์ ถูกสวมกุญแจมืออยู่ พลางเดินตีหน้าเศร้ามาหา
“ตัวผมตอนนี้เหมือนถูกจองจำด้วยความรู้สึกผิด ในโลกนี้มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะให้อิสระแก่ผมได้ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ”
โจเดินเข้ามา พลางยื่นกุญแจมือมาที่เธอ
“ถ้าไม่ล่ะ”
“กุญแจมือคู่นี้มีลูกแค่ดอกเดียว ถ้าคุณไม่ไขมันให้ผม ผมคงถูกจองจำแบบนี้ไปตลอดชีวิต”
วนิษาน้ำตารื้น “โจ คุณยอมทำขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ครับ ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ”
วนิษาค่อยๆ หยิบกุญแจขึ้นมา โจก็ทำหน้าซาบซึ้ง ทั้งสองมองตากัน แล้ววนิษาก็หยิบกุญแจเขวี้ยง
ออกไปนอกอาคาร โจถึงกับชะงัก
“ดี อยู่อย่างงี้ไปก็ดีเหมือนกัน”
“คุณวนิ”
วนิษาเดินหนี โจเดินตาม พร้อมๆ กับสะบัดมือวูบเดียว กุญแจมือก็หลุดหายไป
“โธ่ ผมอุตส่าห์ทำขนาดนี้แล้วนะ ยกโทษให้ผมเถอะนะ เห็นใจผมหน่อยดิ”
“ที่ฉันทนดูทนฟังนี่ก็ถือว่าใจเย็นพอแล้ว เอาเป็นว่าฉันไม่ยกโทษให้ จบนะ”
“เป็นคนอื่นนะเขายกโทษให้ผม 500 ครั้งแล้วมั้งเนี่ย”
“ก็ไปขอโทษคนอื่นสิ หมดมุกแล้วก็ไปได้แล้ว”
วนิษาเดินหนี โจทำหน้าทะเล้น
“ใครบอกหมด ยังไม่หมด ผมรู้ คนอย่างคุณมันใจแข็ง มันต้องเจอมุกนี้”
โจกดรีโมท คราวนี้เพลงเชอรี่พิงค์ดังขึ้น โจเต้นส่ายสะโพก วนิษาเผลอหัวเราะ แต่แล้วก็รีบเก๊กหน้าบึ้งตามเดิม
“มุกต่ำๆอย่างงี้น่ะเหรอ”
โจยิ้ม พลางยกนิ้วส่ายแบบว่าไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจ จากนั้นก็ควักผ้าสีดำผืนใหญ่ขึ้นมา สะบัดให้ดูว่าไม่มีอะไร ขณะที่เพลงยังดังคลอไปเรื่อยๆ โจคลุมผ้าบนมือแล้วเป่าคาถาลงไป สะบัดผ้าขึ้นมีปิ่นโตเถาหนึ่ง
โจยื่นให้ แต่วนิษายืนเฉย โจหน้าเจื่อน เอาปิ่นโตกลับมา เปิดให้ดู เห็นอาหารหน้าตาอร่อย
“นี่ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เตาถ่านสูตรฮกเกี้ยน สลัดลาบทอดแนมด้วยยอดใบชา ตบท้ายด้วยขนมครกเข้าวังกรอบนอกนุ่มในหวานละมุนลิ้น”
วนิษาถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก ยื่นมือมา โจรีบดึงกลับ
“ถ้าอยากกินต้องยกโทษให้ผมก่อน”
วนิษาโวยวายเสียงดังทันที
“ทุเรศที่สุด เห็นฉันเป็นอะไร เอาของกินมาล่อ ฉันไม่ใช่ชูชกนะยะ”
พลางสะบัดมือ จะปัดปิ่นโตทิ้ง โจหลบทัน
“อย่านะครับ ไม่กินก็ไม่กินอย่าปัดทิ้งสิครับ เสียดายของ”
“ต่อไปนี้ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีกเลยนะ”
วนิษาเดินลงส้นปังๆๆออกไป ทิ้งโจให้ยืนอยู่ตามลำพัง
“ความจริงผมยังเหลืออีกมุกนะ มุกสุดท้าย”
วนิษาออกมาจากลิฟต์ หน้าตาหงุดหงิด พลางเดินมาตามทางแล้วก็เห็นช่อดอกไม้ที่หน้าห้องเธอ มีการ์ดอยู่ด้วย วนิษาหยิบช่อดอกไม้มาดู แล้วพลิกดูการ์ด มีลายมือโจเขียนอยู่
“ผมขอโทษครับ โจ”
วนิษาเบ้ปาก แล้ววางช่อดอกไม้แล้วที่เดิม ก่อนที่จะเข้าห้องปิดประตู โจอยู่ที่ช่องบันไดหนีไฟ แอบมองเหตุการณ์ เห็นวนิษาวางช่อดอกไม้ทิ้งไว้ก็หน้าเศร้า เดินคอตกลงไปตามบันได
ครู่หนึ่งประตูห้องก็ค่อยๆแง้มออก วนิษาโผล่หน้าออกมามองซ้ายขวา แน่ใจว่าไม่มีใคร ก็รีบดึงช่อดอกไม้เข้าไป
ในขณะที่โจเดินหน้าเศร้าคอตกออกมา เจอป๋องที่รออยู่ที่หน้าคอนโด
“เป็นไงบ้างพี่”
“ไม่สำเร็จ”
ป๋องเห็นสีหน้าโจจิตตก ก็ปลอบ
“อย่าเสียใจเลยพี่”
จู่ๆ โจก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแฉ่ง “ฉันดีใจต่างหาก ตอนนี้คุณวนิเขาดูเข้มแข็งขึ้นมาก กลับมาเป็นคุณวนิคนเดิมที่ฉันเคยรู้จัก ไม่ปวกเปียกอับเฉาเหมือนตอนก่อนจะบวช ได้เห็นแบบนี้ฉันก็ดีใจแล้ว ถือว่าทำมาทั้งหมดไม่สูญเปล่า”
วนิษานั่งอยู่หน้าช่อดอกไม้ ที่จัดไว้ในแจกันเรียบร้อยแล้ว พลางมองการ์ดในมือ
“ทำมาเป็นขอโทษ คิดว่าแค่ฉันยกโทษให้แล้วจะจบหรือไง รู้จักฉันน้อยไปซะแล้วนายโจ”
โจนั่งดูสมุดบัญชีของตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจเฮือก
“ยังไงก็ไม่พอ ตายแน่ๆไอ้โจ เฮ้อ จะเอาเงินที่ไหนไปคืนเขาวะ”
โจโยนสมุดบัญชีอย่างเซ็งๆ พร้อมๆ กับเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ปฐมเปิดประตูเดินเข้ามา
“คุณปฐม” โจมองด้วยความแปลกใจ
“มีคนอยากพบคุณ”
ปฐมเบี่ยงตัว วนิษาเดินเข้ามา ปฐมปิดประตูให้ แล้วยืนรออยู่ด้านนอก
“คุณวนิษา”
วนิษากวาดตามองไปรอบๆ “นี่เหรอสำนักงานยอดนักสืบ”
“ครับ”
“ดูซอมซ่ออยู่นะ ไม่สมศักดิ์ศรีนักสืบที่ตามสืบฉันเลย”
โจนิ่งเงียบ วนิษาพูดต่อ
“ฉันจะมาบอกว่าฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันรับคุณกลับมาเป็นคนขับรถของฉัน”
“คุณหายโกรธผม”
วนิษาส่ายหน้า“เปล่า ฉันยังคงโกรธคุณอยู่”
“อ๋อ จะแก้แค้นผมล่ะสิ ผมเป็นลูกน้องคุณ คุณจะสั่งให้เตะตูดตัวเองก็ยังได้ ใช่ไหม”
“ฉันไม่ใช่คนทุเรศแบบนั้น ฉันยกโทษให้ก็คือยกโทษให้ ไม่ใช่แค่นั้นนะ ฉันยังจะให้คุณตามสืบฉันเท่าที่คุณอยากสืบ เอาให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย”
โจมองหน้าวนิษางงๆ
“ทำไมกลับหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างงี้ล่ะครับ”
“เพื่อที่คุณจะได้บอกลูกค้าคุณได้เต็มปากว่าฉันบริสุทธิ์ไง เขาจะได้เลิกอคติกับฉันซะที”
“คุณรู้เหรอว่าใครคือลูกค้าผม”
วนิษาพยักหน้ายิ้มๆ “ฉันพอเดาได้”
“แน่ใจเหรอ ถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าคุณคือฆาตกรขึ้นมาจริงๆล่ะก็ คุณอาจจะติดคุกนะครับ”
“เริ่มงานพรุ่งนี้”
พูดจบวนิษาก็เดินออกไป ด้วยสีหน้ายังคงเย็นชา ในขณะที่โจยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 15 (ต่อ)
โจมารอวนิษาอยู่ที่ล็อบบี้คอนโดแต่เช้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
วนิษายิ้มให้ “ไง คิดได้รึยังว่าวันนี้จะสืบเรื่องอะไร”
“ผมวางแผนอยู่ทั้งคืน รับรองเด็ดแน่”
“บอกได้ไหม”
“จริงๆผมไม่ควรบอกตอนนี้นะ” โจแกล้งเล่นแง่ “แต่ในเมื่อคุณกล้าถาม ผมก็กล้าตอบ”
“ไหนว่ามาซิ”
โจเริ่มอธิบายอย่างมีหลักการ
“ที่ผ่านมาผมตั้งสมมติฐานว่าคุณคือฆาตกร ผมจึงสืบหาว่าคุณใช้วิธีไหนฆ่าอดีตสามีของคุณ แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบซะที ซึ่งนั่นเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือคุณเก่งมาก ฉลาดมาก จนผมตามไม่ทัน”
วนิษายิ้ม “ขอบใจที่ชม”
“แต่เท่าที่ผมรู้จักคุณ คุณไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น”
วนิษาหุบยิ้มทันที “นี่ หาว่าฉันโง่เหรอ”
“เปล่าครับ แค่ไม่ฉลาดพอจะฆ่าคนสามคนโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้”
“แล้วอย่างที่สองล่ะ ดวงกินผัวของฉันเหรอ”
“เรื่องนั้นผมยังไม่ปักใจเชื่อซะทีเดียว”
“งั้นเรื่องอะไร” วนิษาย้อนถาม
“คุณไม่ใช่ฆาตกร ฆาตกรคือคนอื่น”
วนิษาอึ้งไปครู่หนึ่ง “ใครมันจะมาตามฆ่าสามีฉันตั้งสามคน”
“ใครบางคนที่แอบหลงรักคุณ”
วนิษา ส่ายหน้า “ไม่มีหรอก”
“คุณอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างผมไง”
โจเผลอหลุดปาก วนิษาอึ้งไป
“อย่างคุณทำไมเหรอ”
โจรู้ตัว รีบหาทางเบี่ยงประเด็น
“อย่างผม เอ่ออย่างผม ก็เคยมีผู้หญิงแอบชอบ กว่าจะรู้ตัวก็ตั้งนาน”
“หน้าอย่างคุณเนี่ยนะ อืม ก็อาจเป็นไปได้ วันก่อนมีผู้หญิงคนนึงมาหาฉัน ถามว่า”
วนิษายังพูดไม่จบ โจก็รีบแทรกขึ้นมา
“อย่าเพิ่งนอกเรื่องครับ กลับมาที่เรื่องของคุณดีกว่า”
“สมมติว่ามีผู้ชายที่แอบชอบฉันแล้วไง เขาคือฆาตกรเหรอ”
โจส่ายหน้า
“ผมยังไม่ได้สรุป แค่ยกตัวอย่างให้คุณเห็นว่านี่คือแนวทางการสืบสวนอีกมุมของผม”
“เป็นแนวทางการสืบสวนที่มองฉันในแง่ดีมากขึ้น น่าจะสืบแบบนี้ตั้งแต่แรก”
“ก็ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักคุณดีพอนี่นา”
“ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าฉันโง่เกินกว่าจะเป็นฆาตกรคนนั้น”
โจโบกมือปฎิเสธ “เปล่า ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าคุณจิตใจคุณดีเกินกว่าจะเป็นฆาตกรต่างหาก”
วนิษามองโจ ทั้งคู่สบตากัน แล้ววนิษาก็เป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง
โจกับป๋องลงจากรถ เดินเข้ามาในบริเวณบ้านที่ปิดไฟมืดอยู่ แต่จู่ๆ โจก็หยุดชะงัก เมื่อเห็นที่หน้าประตูบ้าน มีร่างคนคนหนึ่งซุกกายอยู่ในเงามืด ป๋องหันมาเห็นก็ชะงัก หลบไปอยู่หลังโจ
เงามืดเปิดไฟฉายส่องหน้าตัวเองจากใต้คาง โจกับป๋องตกใจแหกปากร้องลั่น กอดกันแน่น
ทำเอาซูซี่พลอยตกใจ วิ่งเข้ามากอดด้วย โจกับป๋องยิ่งตกใจ ร้องลั่น โจถีบซูซี่กระเด็นออกไป
“โอ๊ย”
โจได้ยินเสียงร้องก็ชะงัก เดินไปเปิดไฟหน้าบ้าน ขณะที่ป๋องวิ่งหลบไปอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง
“ซูซี่”
“ก็ฉันน่ะสิ ทำไมต้องมาถีบฉันด้วย”
โจถอนหายใจ “ขอโทษที นึกว่าซอมบี้อาละวาด”
“เอาเถอะ นึกว่าซอมบี้ยังดีกว่าผีปอบ”
“แปลว่าเคยมีคนเห็นคุณเป็นผีปอบเหรอครับ” ป๋องหันมาถามบ้าง
“บ่อยไป”
“ถ้าไม่อยากโดนเข้าใจผิด ก็อย่ามาอยู่มุมมืดๆแบบนี้สิครับ”
“ก็ฉันเข้าบ้านไม่ได้นี่นา ก็ต้องทำแบบนี้แหละ”
“แล้วคุณรู้จักบ้านผมได้ไงเนี่ย” โจอดสงสัยไม่ได้
“ก็ไปถามพ่อเธอน่ะสิ”
“เข้าไปคุยกันข้างในก่อนเถอะครับ”
ป๋องพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะนึกว่าบ้านเราเลี้ยงผีกองกอยเอาไว้”
ซูซี่มองค้อนป๋อง “ลูกสาวยายแกน่ะสิผีกองกอย”
“คดีของฉันมีอะไรคืบหน้ามั้ย”
ซูซี่ถามขึ้นทันทีเมื่อทั้งสามคนนั่งล้อมวงคุยกันในห้องรับแขก
“ยังไม่มี ติดอยู่ที่เดิม คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสถาพรเป็นโรคนอนไม่หลับแล้วต้องใช้ยา”
“ที่ฉันมาหาคุณเนี่ย เพราะคิดขึ้นมาได้ว่า ยังมีอีกที่ที่คุณน่าจะไปดู”
“ที่ไหน” โจถามอย่างกระตือรือล้น
“ที่รถของเขา อาจจะมีหลักฐานบางอย่างอยู่ในรถของเขา ฉันเห็นเก็บของหลายอย่างไว้ที่รถ”
โจพยักหน้า “เดี๋ยวผมไปดูเอง รถเขาอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้รถจอดอยู่ที่บ้านพี่ชายเขาค่ะ”
“แล้วรู้จักบ้านพี่ชายเขาไหมครับ”
“อยู่ในสลัมที่ได้ชื่อว่าดุที่สุดในกรุงเทพค่ะ” ซูซี่พูดเสียงอ่อยๆ
“สลัมซอยกระดุม?”
“ค่ะ”
โจยิ้ม ในขณะที่ป๋องโวยลั่น
“สลัมซอยกระดุมเนี่ยนะ”
“ยากไปใช่ไหมคะ” ซูซี่ย้อนถาม
“ถามได้ ยากถึงยากที่สุด นักเลงที่นั่นน่ะโคตะระดุเลย”
โจมองป๋องแบบรำคาญๆ “เดี๋ยวผมจัดการเอง ไม่มีปัญหา”
ป๋องแอบมองโจ ท่าทางดูไม่ค่อยเชื่อโจ
เมื่อส่งซูซี่ขึ้นรถแท็กซี่กลับไปแล้ว ป๋องก็อดไม่ได้ที่จะหันมาถามโจ
“เอาจริงเหรอพี่ เรื่องจะบุกเข้าไปในสลัมนั่นน่ะ”
โจมองหน้าป๋อง “ทำไมเหรอ”
“มันเสี่ยงมากนะพี่”
“แกกลัวเหรอ”
ป๋องไม่ตอบ แต่หน้าเหย
“แล้วเราจะช่วยซูซี่ยังไง”
โจย้อนถาม ป๋องถึงกับเงียบไป
“ถ้าแกไม่กล้าก็ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวได้”
ป๋องยืนเหม่อๆอยู่หลังเคาน์เตอร์ในฟาสต์ฟู้ด ปลายฝนเข้ามายืนข้างหน้า
“รับอะไรดีครับ”
ป๋องทักทาย โดยไม่ทันได้มองหน้า คิดว่าเป็นลูกค้าทั่วไป
“เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย”
ป๋องสะดุ้ง ตื่นจากภวังค์ “ปลายฝน”
“เอ่อ สลัมซอยกระดุมมันเป็นไงเหรอ ฉันไม่รู้จัก”
ปลายฝนถามป๋อง เมื่อนั่งคุยกันอยู่ภายในร้าน
“เป็นสลัมเก่าแก่ของกรุงเทพ ถ้าเธอเป็นคนในสลัมนั้นก็โอเคอ่ะ แต่ถ้าเป็นคนนอกแหยมเข้าไปล่ะก็
มีแต่ตายกับตาย เขาลือกันว่าทุกบ้านในนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย ดังนั้นพอมีคนนอกเข้าไป เขาจะนึกว่าสายตำรวจ ก็จะรุมกระทืบก่อนแล้วค่อยถามว่าเข้ามาทำไม”
ปลายฝนตาโต“ต้องบุกเข้าไปในนั้นด้วยเหรอ”
“ใช่ ฉันยอมรับว่าปอดแหกสุดๆ แต่ก็ไม่กล้าปล่อยให้พี่โจไปคนเดียว”
“อันตรายของจริงเลยนะเนี่ย”
“เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมถึงกลุ้ม”
ปลายฝนพยักหน้า “อื้อ ขอฉันไปด้วยคนสิ”
ป๋องถึงกับผงะ
“อะไรนะ จะบ้าเหรอ”
“น่าสนุกดีออก” ปลายฝนสีหน้าเริงร่า
“สนุกกะผีน่ะสิ พวกนั้นน่ะไม่ใช่ตาสีตาสานะ โอกาสโดนจับได้น่ะสูงมาก แล้วถ้าโดนจับได้เละแน่ๆ เธอไม่เข้าใจเหรอไง”
“ก็เข้าใจน่ะสิ ถึงได้ขอไปด้วย”
ป๋อง ส่ายหน้า “จะบ้าไปแล้ว ยังไงฉันก็ไม่ให้เธอไป”
“ทำไม” ปลายฝนย้อนถาม
“ก็ฉันเป็นห่วง เอ๊ย ไม่ใช่ เอ่อ ฉันไม่อยากให้เธอมาเป็นภาระ”
“ฉันเนี่ยนะภาระ ฉันว่าฉันเก่งกว่าเธออีก”
“น้อยๆหน่อย ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง” ป๋องยืนยันเสียงเข็ง
“ผู้หญิงแล้วทำไม ไฟว์กับฉันมั้ยล่ะ”
ป๋องหัวเราะเยาะ
“ไม่ต้องมาเสียเวลาเลย เธอเอาเวลาไปดูหนังกับพี่เอ็มของเธอเหอะ”
“เกี่ยวอะไรกับพี่เอ็ม”
“ไม่รู้ ยังไงฉันก็ไม่ให้เธอไป จบนะ”
พูดจบ ป๋องก็ลุกเดินหนีกลับไปทำงานต่อ ปลายฝนมองตามอย่างขัดใจ
อ่านต่อตอนที่ 16