รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 10
ป๋องส่งแฟ้มรายงาน และเล่าผลการสืบสวนให้โจฟัง
“จากการพูดคุยกับเพื่อนบ้านของสถาพรเกือบยี่สิบคน มีแค่ 2-3 คนที่บอกว่าเคยได้ยินสถาพรบ่นเรื่องนอนไม่หลับ แต่ทุกคนพูดตรงกันว่าสถาพรกับซูซี่เป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้าง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หรือถ้าจะมีจริงๆพวกเขาก็ไม่เคยเห็นหรือรับรู้เลย”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง
“คุยกับเพื่อนบ้านยี่สิบคนเลยเหรอ ทำไมแกเก่งอย่างนี้”
ป๋องจ๋อย “ปลายฝนมาช่วยน่ะพี่ ตอนแรกผมเกร็งอยู่ตั้งนาน ปลายฝนไปถึง ก็ไปคุยแป๊บเดียว
ได้ข้อมูลกลับมาหมดเลยครับ”
“เอาล่ะ ถึงจะไม่มีคนรู้เรื่องการใช้ยา แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าซูซี่ไม่ได้โกหกเรา เราต้องลองสืบจากทะเบียนคนไข้โรงพยาบาลต่างๆ เริ่มจากโรงพยาบาลแถวๆนั้น”
“ผมจะลองให้พวกรุ่นพี่ผมช่วยดูให้ครับ”
“ดี ตอนนี้รอหลักฐานว่าสถาพรเป็นโรคนอนไม่หลับจริงๆ เราก็จะช่วยซูซี่ได้”
วนิษากับคุณยายวรางค์และหนุงหนิงมาถวายสังฆทานที่วัดชานเมือง หลังจากถวายสังฆทานเสร็จแล้ว ก็เดินออกมาจากศาลา เจอวลัยกำลังเดินมาพอดี
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
“วันนี้มาหาถึงในวัดเลยเหรอ แม่วลัย สงสัยจะเรื่องใหญ่แน่ๆ”
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณแม่ก็ หนูมีเรื่องสำคัญอยากจะพูดกับยัยวนิน่ะค่ะ”
“อย่าบอกนะคะว่าคุณพ่อของคุณวนิ”
หนุงหนิงอ้าปากค้าง พูดต่อไม่ออก พลางมองหน้าวลัย
“ไม่จริงใช่ไหมคะ โอ้ ไม่ โธ่ คุณวนิ”
หนุงหนิงร้องไห้คร่ำครวญ แล้วหันมาจะกอดปลอบวนิษาแต่โดนวลัยผลักจนหน้าหงายเสียก่อน
“ไปไกลๆเลย ไปดราม่านอกวัดเลยไป”
“แล้วที่หนุงหนิงพูด”
วนิษาอดเป็นกังวลไม่ได้. วลัยส่ายหน้า
“คนละเรื่องเลย ลูกอย่าไปสนใจยัยหนุงหนิงมันเลย ยัยนั่นมันเป็นคนบ้า ไปคุยกับแม่ตรงนู้นดีกว่า”
วลัยจับมือวนิษา เดินไปที่ศาลาริมน้ำ คุณยายวรางค์สะกิดหนุงหนิงเบาๆ หนุงหนิงพยักหน้า
อย่างเข้าใจ
“วนิเอ๊ย ถึงตอนนี้เธอจะมีทรัพย์สินเงินทอง มีการงานมั่นคง แต่คนเรายังไงก็ต้องมีคู่คิดคู่ชีวิต
ร่วมทุกข์ร่วมสุข ยิ่งลูกแม่เป็นผู้หญิงด้วย หลายๆ อย่างเรายังทำเองได้ไม่ถนัด เอาง่ายๆแค่จะเปลี่ยนก๊อกน้ำ หรือจะเจาะผนังแขวนรูป มันก็ยากแล้ว ลูกว่าจริงไหมจ๊ะ”
วลัยปูเรื่องซะยืดยาว
“พูดโน้มน้าวใจตามสูตรเป๊ะเลย หนูไม่ใช่ลูกค้าขายตรงของแม่นะคะ หนูว่าแม่พูดตรงๆมาเลย
ดีกว่าค่ะ”
วลัยหัวเราะเขินๆ “มันอดไม่ได้น่ะลูก คือแม่จะมาพูดเรื่องคุณกริชกับลูกน่ะ หนูคงรู้ใช่ไหมว่าคุณกริชน่ะเขารักลูกมาก แม่น่ะเห็นคนมาเยอะ แม่บอกได้เลยว่าคนคนนี้ เป็นคนดี เสมอต้นเสมอปลาย ผู้ชายรักเดียวใจเดียวน่ะอาจจะหาไม่ยาก แต่ผู้ชายที่รวยเลือกได้อย่างเขา แล้วรักเดียวใจเดียวด้วยนี่สิ หายากสุดๆเลยนะจะบอกให้”
วนิษาเงียบ ท่าทีเริ่มหวั่นไหว
“ค่ะ หนูรู้ว่าเขารักหนู”
“แล้วเขาก็เป็นคนอบอุ่นด้วย ไม่ใช่พวกผู้ชายบ้างานจนทิ้งเมียให้ได้เสียกับวินปากซอย มีลูกขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าลูกใคร แต่ชอบบิดมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เด็ก”
วนิษาฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ วลัยรีบปรับท่าที และน้ำเสียงให้ดูจริงจัง
“วนิ ตอนนี้ลูกยังสาวยังสวย มีผู้ชายมาให้เลือกมากมาย แล้วลูกก็เป็นคนเลือก จงใช้สิทธิ์นั้นให้เต็มที่ เลือกตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะหลังจากนี้แค่ไม่กี่ปี ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป พอเราแก่ เราก็จะไม่มีผู้ชายมาให้เลือก และลูกจะกลายเป็นคนถูกเลือกแทน นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเธอ เจอทอง หยิบทอง เจอเพชร หยิบเพชร และในสายตาแม่ คุณกริชคือทองฝังเพชร”
“วนิรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่หายาก”
“แล้วเขาก็ช่วยพ่อของลูกด้วย ลูกก็รู้ว่าพ่อของลูกน่ะ หมอที่ไหนก็บอกไม่รอดแน่ๆ ต่อให้มีเงินก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีเขาล่ะก็ ป่านนี้พ่อหนูคง”
วลัยบีบน้ำตาสะอื้น พูดไม่ออก วนิษาเองก็น้ำตาคลอ
“แม่ไม่อยากเล่าหรอกนะ แต่ตอนแรกน่ะคุณกริชสั่งพวกหมอที่โรงพยาบาลด้วยว่าอย่าบอกให้ลูกรู้
ว่าใครเป็นคนช่วยพ่อ เขาไม่อยากให้ลูกรู้สึกเป็นบุญคุณ เขาเป็นพวกปิดทองหลังพระ แต่พอแม่เช็คจนรู้ว่าเป็นเขา เขาก็กำชับแม่ว่าอย่าเอาเรื่องนี้มาบอกลูก ให้ลูกลำบากใจ เขาดีกับครอบครัวเราขนาดนี้ แม่ แม่ไม่รู้จะตอบแทนความดีของเขายังไง”
พูดแล้ววลัยก็ร้องไห้ออกมา
วนิษากับหนุงหนิงไหว้ลาวลัย วลัยเข้ามากอดวนิษา แล้วไหว้คุณยายวรางค์ แล้วขึ้นรถขับออกไป
“มีอะไรรึเปล่าวนิ หน้าตาดูไม่ค่อยสบายใจเลย”
คุณยายวรางค์หันมาถามวนิษา
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ”
หนุงหนิงรีบแทรกทันที
“คุณวลัยมาบิ๊วให้คุณวนิษาแต่งงานกับคุณกริชน่ะค่ะ”
วนิษาหันมามองหนุงหนิงงงๆ
“ไม่ต้องงง หนูแอบฟังอยู่ตลอดเลยคะ บอกว่าคุณกริชเป็นคนดีโง้นงี้ ไม่รีบคว้าไว้จะหาไม่ได้อีกแล้ว จะเสียใจไปตลอดชีวิต”
วนิษายิ้มขำ “โอ้โฮ เก็บรายละเอียดยังกะนักศึกษาฟังเล็คเชอร์”
“ใครพูดอะไรหนูเก็บได้หมดทุกคำแหละค่ะ”
“พอๆๆ ยัยหนุงหนิง” คุณยายววรางค์หันมาปรามหนุงหนิง ก่อนที่จะหันมาทางวนิษา
“แล้วเธอว่าไง วนิ”
“ก็”
วนิษาพูดได้แค่นั้น ก็เงียบไป
โจขับรถมาส่งวนิษาที่หน้าคอนโด แต่วนิษายังไม่ลงจากรถ
“นายดาว”
“ครับ”
“ถ้าฉันจะแต่งงานกับคุณกริช นายคิดว่าไง”
“มันเป็นเรื่องของคุณครับ”
วนิษาอึ้งไปครู่หนึ่ง “ถือว่าฉันไม่ได้ถาม ลืมมันไปเถอะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
โจขับรถออกไป วนิษามองตามโจไปจนลับตา พร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลริน
“มันเป็นเรื่องของฉัน ตอบได้ดี ขอบใจมาก”
วนิษาทำใจครู่หนึ่งหยิบมือถือออกมา แล้วกดโทร. ออก
“สวัสดีค่ะคุณกริช”
จากนั้นทั้งคู่ก็มานั่งคุยกันในร้านอาหาร
“เรื่องที่คุณขอฉันแต่งงานกับฉัน คุณแน่ใจแล้วเหรอ”
กริช มองหน้าวนิษา ด้วยสายตาจริงจัง
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ ผมอยากแต่งงานกับคุณจริงๆนะครับ”
“คุณไม่กลัวเหรอ”
“เรื่องอะไรครับ” กริชย้อนถาม
“ที่คนเขาว่า ว่าฉันเป็นผู้หญิงกินสามี”
กริชส่ายหน้า “ไม่กลัวครับ ความรักที่ผมมีต่อคุณมันมีอานุภาพมากกว่าความกลัว”
“คุณอาจจะเสียใจ”
“ไม่มีอะไรเสียใจไปกว่าคุณตอบปฏิเสธผม คุณวนิษาครับ อย่ากังวลเลยนะครับ ผมรักคุณ และผมก็รู้ว่าคุณก็รักผม ความรักของเราจะเอาชนะทุกอุปสรรคครับ”
วนิษาเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังตัดสินใจ
“ ค่ะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ”
กริชกุมมือวนิษาแล้วยิ้มให้ วนิษาฝืนยิ้มตอบ
จากนั้นกริช ก็นั่งคุยกับระรินในร้านกาแฟ
“คุณวนิษาตกลงแต่งงานกับผมแล้วครับ”
ระรินแสร้งปั้นหน้าดีใจ
“ว้าว ระรินดีใจอย่างที่สุดเลยค่ะ”
“ผมก็เลยนัดระรินมา อยากรู้ว่าระรินจะเต็มใจช่วยผมไหมครับ เรื่องพิธีแก้เคล็ดดวงกินผัวน่ะ”
ระรินพยักหน้า “ฉันยินดีช่วยค่ะ ช่วยคนดีๆอย่างพวกคุณน่ะได้บุญมากนะคะ”
“ได้ยินอย่างนี้แล้วผมก็โล่งอก ผมกังวลมากเลย เราจะเริ่มวางแผนกันเลยไหมครับ”
“ก็ดีค่ะ”
“แต่ก่อนอื่น ผมต้องย้ำว่านี่เป็นความลับนะครับ”
ระริน ยิ้มให้กริช “แน่นอนค่ะ ระรินเข้าใจ เรื่องนี้จะให้คุณวนิษารู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเธอจะเสียความรู้สึก แล้วก็จะผิดหวังในตัวคุณ อีกอย่างก็พลอยเกลียดหน้าระรินไปด้วย”
“ผมกลัวว่าถ้าเธอผิดหวังคราวนี้ เธออาจจะถึงขั้นคิดสั้นเลยก็ได้”
ระรินเผลอตัวอุทานด้วยความดีใจ “ว้าว”
“อะไรนะครับ”
“ระรินจะอุทานว่าโอว์ จริงของคุณกริชค่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาความลับนี้เท่าชีวิต”
“แล้วระรินอยากให้ผมตอบแทนอะไรครับที่ช่วยผม”
ระริน แสร้งปั้นหน้าใสซื่อ
“อุ๊ยตาย ถามแบบนี้ได้ไงคะ ระรินช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆนะคะ”
“ครับ แต่ผมอยากตอบแทนน้ำใจของระริน”
“เอาไว้นึกออกแล้วค่อยบอกคุณกริชแล้วกันค่ะ แต่ตอนนี้เรามาคุยเรื่องแก้เคล็ดงานแต่งของคุณกริช
กับคุณวนิษาก่อนดีกว่าค่ะ”
กริชพยักหน้าเห็นด้วย
“หลักๆ ก็คือจัดงานแต่งแบบปลอมๆ เช่นพระที่มาในพิธีก็ใช้พระปลอม หรือมงคลที่ใช้สวมศีรษะ
ก็เอาเชือกที่ไม่ได้ผ่านพิธีอะไรมาใช้”
“ดีครับ แนบเนียนดี ของแบบนี้ของปลอมของจริงไม่มีใครรู้หรอก”
“ส่วนเรื่องจดทะเบียนสมรส เราก็อย่าไปจดที่เขต เราก็จะให้เจ้าหน้าที่ปลอมมาจดที่โรงแรม ถ้าทำแบบที่ว่านี้ แต่งก็เหมือนไม่แต่ง ไม่มีผลทั้งทางพิธีกรรมและกฎหมาย”
กริช ยิ้มดีใจ “เยี่ยมมากครับ”
“แต่มันยากตรงคนที่จะปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสมรสจากเขตน่ะค่ะ คนนี้ต้องคล่องมากๆ”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาครับ ผมคิดว่าพอจะจัดการได้”
“ดีค่ะ”
ระรินแอบยิ้มอย่างสมใจ
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ที่กองถ่ายละคร ที่ถ่ายทำกันที่บ้านหลังหนึ่ง หลังจากที่ถ่ายทำฉากที่กริชเดินมาชนกับหนุ่มน้อยตาแป๋วติดหนวด สวมเชิร์ตแต่อกอึ๋ม จนล้มไปด้วยกัน และเกือบจะจูบปากกันเสร็จแล้ว กริชก็เดินแยกตัวออกมาพลางมองซ้ายมองขวา แล้วเดินไปหาฝ่ายฉากมาดเซอร์
“พี่หมู ผมขอคุยด้วยแป๊บนึง”
“ว่าไงครับ”
กริชหยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง
“ผมอยากให้พี่ช่วยหาคนให้ผมหน่อย เอามือเจ๋งๆ คล่องๆ ผมมีงานร้อนให้ทำ”
ฝ่ายฉากทีชื่อพี่หมูมองหน้ากริชแบบชั่งใจ กริชรีบยัดใส่มือ พี่หมูดูจำนวนเงิน ก่อนที่จะเก็บเงินเข้ากระเป๋า แล้วหยิบมือถือกริชมากดเบอร์ลงไป
“มันชื่อคอปบร้า บอกว่าผมแนะนำมา”
“ขอบคุณครับ”
กริชอยู่ในวงล้อมของผู้สื่อข่าว ที่รุมยื่นไมค์มาจ่อสัมภาษณ์ ไฟแฟลชไฟสปอตไลท์จับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เรื่องจริงครับ ไม่ใช่ข่าวลือครับ ผมกำลังจะแต่งงานจริงๆครับ”
“เจ้าสาวใช่คนที่กำลังเป็นข่าวอยู่รึเปล่าคะ”
กริชพยักหน้ายิ้มๆ “เจ้าสาวของผมคือคุณวนิษาครับ”
นักข่าวฮือฮาเนื่องจากรู้กิตติศัพท์ของวนิษาดีว่าดวงกินผัว
“คุณวนิษาตกลงแล้วใช่ไหมคะ”
“อ๋อ แน่นอนครับ ผมมาประกาศแบบนี้ ทุกอย่างต้องแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ไม่ใช่ท้องก่อนแต่ง ที่ผมแต่งเพราะรัก แต่งจริง แต่งแน่นอนครับ”
นักข่าวปรบมือเฮลั่น กริชค้อมหัวเล็กน้อย หน้าตายิ้มแฉ่ง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีนักข่าวคนหนึ่งถามทะลุปล้องขึ้นมา
“แล้วคุณไม่กลัวอาถรรพ์ดวงกินผัวใช่มั้ยคะ”
กริชจ้องหน้านักข่าวคนที่ถาม
“ผมไม่กลัวครับ ยังยืนยันแต่งแน่นอนครับ”
โจกับป๋องนั่งดูทีวี ที่มีข่าวสัมภาษณ์กริชด้วยกัน ป๋องหยิบรีโมทปิดทีวี ในณะที่โจยังมองเหม่อ
“พี่โจ พี่โจ”
โจสะดุ้ง “ว่าไง”
“เหม่ออะไร”
“ไม่มีอะไร แกล่ะ มีอะไร”
“แล้วไงต่อเนี่ย เขาจะแต่งงานกันแล้วนะ”
โจถอนหายใจ
“แล้วแกจะให้ฉันทำอะไร ฉันสืบทุกทางแล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังหาหลักฐานเอาผิดอะไรคุณวนิษาไม่ได้เลย”
“แล้วจะไปบอกลูกค้าว่าไง”
“ถ้าพิธีแต่งงานผ่านไปด้วยดี นายกริชสุขกายสบายใจกับการเป็นสามีของวนิษา ฉันก็คงต้องวางมือจากเคสนี้ ไปหางานอื่นทำ”
“แปลว่าพี่ยังไม่วางใจใช่ไหม” ป๋องถามย้ำ
“ฉันยังไม่เชื่อว่าการตายของคุณชายแจ้กับเสี่ยป๊อกเป็นเพราะดวงกินผัว แต่มันต้องมีเบื้องหลัง
ที่ฉันยังไม่รู้ ที่ฉันกลัวที่สุดคือกลัวว่านายกริชจะตายเหมือนสองคนนั้น เฮ้อ นายกริชนี่ก็ใจกล้าเหมือนกัน ไม่กลัวเลยหรือไง”
“เขาคงรักคุณวนิษาแบบสุดหัวใจเลย”
โจพยักหน้า “อืม ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”
“แล้วพี่จะทำยังไงครับ”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง
“ฉันจะจับตามองวนิษาทุกฝีก้าว ถ้าวนิษาคิดจะลงมือกับนายกริช ฉันจะได้ปกป้องเขาทัน แล้วใช้โอกาสนี้แหละจับวนิษาให้ได้คาหนังคาเขา”
“แล้วถ้านายกริชตายอีกคนแล้วพิสูนจ์ว่าวนิษาไม่ใช่ฆาตกร พี่จะยอมเชื่อเรื่องดวงกินผัวมั้ย”
โจนิ่งเงียบไปนาน “ไม่รู้เหมือนกัน”
ทางด้านระริน กับเพ็ญแข กำลังเดินช้อปปิ้งอยู่ในห้งสรรพสินค้า
“นี่ รู้มั้ย เรื่องงานแต่งของกริชกับยัยวนิษาน่ะ กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปแล้วนะ “
ระริน ตาวาว “อุ๊ย ดีเลยค่ะ ยิ่งดังยิ่งดี”
“วันงานน่ะสื่อมวลชนคงไปกันเพียบ”
“ยิ่งเยอะยิ่งสะใจค่ะ หนูจะแฉกลางงานเลยว่าเป็นพิธีแต่งงานแหกตาเพราะเจ้าบ่าวกลัวอาถรรพ์
เจ้าสาวเลยไม่กล้าจัดของจริง แม่นึกสิคะ ยัยวนิษาจะเจ็บปวดหัวใจแค่ไหน ที่รู้ความจริงว่าเจ้าบ่าวเองก็กลัว รวมทั้งคุณกริชเองก็คงจะเสียสุนัขเหมือนกัน”
“ไอ้เรื่องเล่นงานวนิษาน่ะแม่พอเข้าใจ แต่ทำไมต้องเล่นงานคุณกริชด้วยล่ะ” เพ็ญแขอดสงสัยไม่ได้
“ก็สะใจไงคะแม่ ใครใช้ให้ทิ้งหนูไปหายัยนั่นล่ะคะ หยามกันชัดๆเพราะฉะนั้นต้องโดนจัดหนัก
แบบนี้ล่ะค่ะ”
ในขณะเดียวกัน ม.ร. ว. จันทร์ธิดา ก็กำลังคุยเรื่องนี้กับพจน์อยู่ที่บ้าน
“ทำไมมันรวดเร็วขนาดนี้ สองคนนั่นเพิ่งรู้จักกันไม่นานๆ จะแต่งงานกันแล้วเหรอ”
คุณหญิงจุ๋ม เบ้ปาก
“ยัยนี่มันมีดีตรงไหนนะ ผู้ชายถึงได้พุ่งเข้าหายังกะแมลงวันตอมอึ”
“สาว สวย แล้วตอนนี้ก็รวยด้วย ไม่ใช่รวยธรรมดา แต่รวยมาก แถมจะยิ่งรวยขึ้นๆไปอีก นี่ถ้ายัยนี่แต่งงานแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา นายกริชนี่ก็เหมือนถูกหวยเลยนะ มรดกของคุณชายแจ้กับเสี่ยป๊อกจะไหลไปอยู่ที่มันคนเดียว”
“แต่ครอบครัวนายกริชนี่ก็รวยระดับร้อยล้านเหมือนกันนะ ฉันกลัวว่ามันจะตรงกันข้ามกับที่คุณ
ว่ามากกว่า”
“ยังไง” พจน์ยังข้องใจ
“ฉันกลัวนายกริชต่างหากที่จะเป็นฝ่ายตายซะเอง แล้วทรัพย์สมบัติของนายกริชทั้งหมดนั่นแหละ จะไหลไปอยู่ที่ยัยวนิษาแทน คุณก็รู้ดวงมันกินผัว”
พจน์อึ้งไปครู่หนึ่ง คุณหญิงจุ๋มพูดต่ออย่างมันปาก
“หรือไม่ก็ฆาตกรต่อเนื่อง ถ้าถึงวันแต่งงาน นายโจยังหาหลักฐานจับยัยนั่นไม่ได้ นายกริชก็ต้อง
ตายเหมือนชายแจ้กับเสี่ยป๊อกแน่ๆ”
พจน์ชำเลืองมองภรรยา พลางยิ้มเยาะ โดยที่ฝ่ายหลังไม่รู้ตัว
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอกเธอก่อนเรื่องแต่งงาน”
วนิษาบอกกับปลายฝน เมื่ออยู่ที่คอนโดด้วยกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่จะแต่งจริงใช่ไหม”
“ใช่”
“แล้วหนูล่ะ”
วนิษายิ้มให้ปลายฝน
“ฉันก็จะดูแลเธอต่อไป จนกว่าเธอจะอายุ 25 ตามที่พ่อเธอสั่งเอาไว้”
“คุณไม่ต้องดูแลหนูก็ได้นะ ไม่ต้องทำตามสัญญาหรอก”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบหน้าฉัน แต่ก็อีกไม่กี่ปีเอง ทนอีกนิดเถอะนะปลายฝน ส่วนเรื่องคุณกริช ฉันจะไม่พาเขามาอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน สบายใจได้”
ปลายฝนเงียบไป “ถามจริงๆเหอะ ไอ้ที่คุณคิดจะแต่งงานเนี่ย คุณไม่กลัวเหรอ”
“กลัวอะไร”
“ไม่กลัวเจ้าบ่าวตายอีกเหรอ”
วนิษาอึ้งไป “กลัว กลัวมากด้วย แต่ฉันคิดว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง”
“อย่าบอกนะว่าแต่งเพื่อเงิน”
วนิษาสั่นหน้า “เพื่อครอบครัวที่อบอุ่นต่างหาก”
ในขณะที่ปฐมนั่งอยู่ในบ่อน ลูกน้องเดินเข้ามา พลางยื่น นสพ.บันเทิง ที่มีข่าวการแต่งงานของกริชกับวนิษาให้ ปฐมคว้ามาอ่าน สีหน้าเคร่งเครียด
“เอาไงดีครับ”
ปฐมไม่ตอบ พลางขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เหมือนต้องตัดใจทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากทำ
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
กริชสวมหมวก สวมแว่นดำ อำพรางตัวเอง เข้ามาในห้องคอปบร้า ที่อยู่ในย่านชุมชนแออัด
“คุณคอปบร้า ผมมีงานให้คุณทำ”
“ว่ามาครับ”
“ปลอมตัวเป็นเจ้าพนักงานจดทะเบียนสมรส”
คอปบร้า ยักไหล่
“ไม่มีปัญหา ผมเคยทำมาแล้ว มีทั้งผู้ชายหลอกผู้หญิง ผู้หญิงหลอกผู้ชาย บางคนหลอกสมรสซ้อน บางคนหลอกเอาเงิน บางคนหลอกพาขึ้นเตียง ใช่ไหมล่ะ”
“ก็ทำนองนั้น”
“อย่าตอบส่งๆ ถ้าคุณไม่บอกให้ละเอียดผมไม่รับงานนี้”
“ทำไมต้องรู้” กริชย้อนถาม
“ผมต้องรู้ ถ้าไม่รู้ผมไม่ทำ”
กริชลังเลนิดหนึ่ง “เจ้าสาวของผมเป็นพวกดวงกินผัว ผมเลยต้องแก้เคล็ดด้วยการแต่งงานแบบปลอมๆ”
คอปบร้า พยักหน้าหงึก
“เข้าใจละ ที่ผมถามเพราะผมจะไม่รับงานเลวๆ แต่งานนี้โอเค ขอรายละเอียดให้ผม ผมจะเตรียมเอกสารของปลอมทุกรายการที่จำเป็นต้องมี แล้วจะแถมพระรักยืนยงให้คู่บ่าวสาวไปบูชาด้วย ถึงเวลาคุณให้คนไปรับผมที่หน้าสำนักงานเขต จะได้แนบเนียนหน่อย คุณสบายใจได้งานนี้ไม่มีพลาดแน่”
กริชยิ้มพอใจ ไม่ทันสังเกตว่าที่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง ซึ่งมีกรอบรูปถ่ายตั้งอยู่มากมาย เป็นรูปของคอปบร้าในช่วงต่างๆของชีวิต มีรูปหนึ่งสีซีดแล้ว เป็นรูปคอบร้าตอนหนุ่มกว่านี้ ถ่ายรูปหมู่กับพนักงานออฟิศอีกประมาณ 7-8 คน เห็นชื่อด้านหลังเขียนว่า สำนักงานนักสืบสมยศ ในบรรดาพนักงานที่ถ่ายหมู่นั้น มีโจวัยหนุ่มรวมอยู่ด้วย
กริชกับวนิษาเตรียมงานแต่งงานกันอย่างขะมักเขม้น แต่ทั้งหมดอยู่ในการจับตามองของโจชนิดไม่ให้คลาดสายตา โดยมีปลายฝนให้ความร่วมมือ
“ตอนนี้วนิษาถูกจับตามองตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าเขาคิดจะเตรียมการเพื่อฆ่านายกริชล่ะก็ ยังไงเราก็ต้องรู้ ไม่มีทางพลาดเด็ดขาด”
โจบอกกับป๋อง
“ถึงตอนนี้พี่เห็นพิรุธอะไรบ้างหรือเปล่าครับ”
โจ ส่ายหน้า “ยัง”
“พอจะเดาทางเขาออกไหมครับ ว่าเขาจะใช้วิธีไหน”
“เดาไม่ออก พรุ่งนี้แกไปหาปลายฝน ถามว่าเขาเห็นวนิษามีพิรุธอะไรบ้างไหม”
ป๋องรีบพยักหน้าอย่างกระตือรือล้น “ครับ เดี๋ยวผมนัดเขาเลยครับ”
โจเริ่มรู้สึกความผิดปกติของป๋อง แต่ป๋องไม่รู้ตัวว่าโจมอง ได้แต่ยิ้มเขินๆ อยู่คนเดียว
“เขาก็ดูปกติทุกอย่าง ไม่มีอะไรผิดสังเกตเลย”
ปลายฝนรีบบอกกับป๋อง
“เหรอ งานนี้สงสัยจะไม่มีอะไรในกอไผ่ซะละมั้ง”
ทั้งคู่เดินคุยกันไปตามทาง โดยไม่รู้ตัวว่าตี๋อ้วนลูกเสี่ยเพ้งแอบจับตามองอยู่ พร้อมลูกน้องหน้าเหี้ยมอีก 2 คน
“อย่าเพิ่งลงมือ รอให้แยกกันก่อน”
ป๋องมองตามปลายฝนไปจนลับตา พลางระบายลมหายใจออกมาอย่างสุขใจ แต่พอหันกลับมา ก็เจอตี๋อ้วนยืนแสยะยิ้มอยู่
“หวัดดีไอ้ตัวแสบ”
“อะไรของแกวะไอ้แหนมหมูยอ อยากโดนอีกใช่ไหม”
ป๋องเดินปรี่เข้ามา แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชายฉกรรจ์สองคนเดินออกมา ตี๋อ้วนยิ้มเยาะ“อ๊ะ หยุดทำไมล่ะ เข้ามาสิ ว่าไงไอ้มือที่สาม”
ป๋องถอยกรูดๆ ในขณะที่ตี๋อ้วนหันไปสั่งการ
“จัดการ”
ป๋องวิ่งหนี ชายฉกรรจ์คนหนึ่งหยิบไม้กวาดแถวนั้นปาใส่ขาป๋อง ป๋องสะดุดไม้กวาดล้มกลิ้ง ชายฉกรรจ์ทั้งสองปรี่เข้ามาประกบ พลางล็อกตัวไว้ได้
“ให้ทำยังไงกับมันครับ”
ตี๋อ้วนแสยะยิ้ม “ทำยังไงก็ได้ ให้มันร้องไห้แงๆ”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองพยักหน้า คนหนึ่งล็อกตัว อีกคนง้างหมัดจะต่อย ป๋องร้องเสียงหลง
“อย่า”
ชายฉกรรจ์อุดปากป๋องไว้ อีกคนกำลังจะต่อย ปลายฝนวิ่งเข้ามา
“หยุดนะ”
ตี๋อ้วนหันขวับไปทันที “คุณปลายฝน เสียใจ เรื่องนี้คุณไม่เกี่ยว ถอยไปครับ”
“ทำไมฉันจะไม่เกี่ยว ก็เขาเป็นแฟนฉัน”
“แต่เขาแกล้งผม ผมต้องล้างแค้น เฮ้ย จัดการมัน”
“อย่านะไอ้อ้วน เอ๊ย อย่านะน้องอ้วน”
ปลายฝนมองตี๋อ้วนด้วยสายตาอ้อนวอน
“ทำไมผมต้องเชื่อคุณ”
“เพราะฉันขอร้องน่ะสิ”
“คุณชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”
ปลายฝนน้ำตารื้น
“ใช่ ที่สุดในชีวิต ถ้าเขาเป็นอะไรไป ฉันต้องเสียใจมากๆ. ถ้าเธอชอบฉันจริง เธอก็ไม่ควรทำให้ฉัน
ต้องเสียใจจริงมั้ย”
ตี๋อ้วนอึ้ง ในขณะที่ป๋องอ้าปากค้าง
“นะน้องอ้วน อย่าทำอะไรเขาเลยนะ”
ตี๋อ้วนมองหน้าปลายฝน แล้วจ้องหน้าป๋องสลับกัน
“ก็ได้ เพื่อเห็นแก่คุณปลายฝน ฉันจะไม่เอาเรื่องแก”
ปลายฝน ยิ้มออก “น้องอ้วน เธอคือมาย ฮีโร่ของฉันเลยนะ”
ตี๋อ้วนพยักหน้า แล้วเดินร้องไห้จากไปพร้อมลูกน้อง ปลายฝนแลบลิ้นไล่หลัง ขณะที่ป๋องยังตื้นตันอยู่
“ปลายฝน ผม”.
“พ่อแม่มันเลี้ยงมายังไงของมัน จะกลับมาอีกมั้ยเนี่ย”
“ผมดีใจมากที่คุณรักผมขนาดนี้ ผมก็ ผมก็ รู้สึกแบบเดียวกันกับคุณ”
ปลายฝนเอาแต่มองตามตี๋อ้วนไป ไม่ทันฟังที่ป๋องพูด จนเห็นตี๋อ้วนเลี้ยวหายไป ก็ถอนหายใจโล่งอก
“เฮ้อ โล่งอก ในที่สุด”
ป๋องยิ้ม “ครับ ในที่สุด”
ป๋องจับมือปลายฝน ปลายฝนไม่ได้ว่าอะไร ป๋องยิ่งยิ้มกริ่ม พาปลายฝนเดินไปอย่างมีความสุข ปลายฝน รู้สึกท่าทีของป๋องแปลกๆ
วนิษามาคุยกับหม่อมจันจิรา ที่วังวาสุวงศ์
“ขอโทษนะที่รบกวน ฉันรู้ว่าเธอกำลังยุ่งเรื่องการแต่งงาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ จริงๆก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมากหรอกค่ะ”
“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีใช่ไหม”
วนิษายิ้ม “ค่ะ”
“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ฉันเอาใจช่วย”
วนิษาไหว้ของคุณหม่อมจันจิรา
“ที่ฉันรบกวนเธอมาวันนี้ เพราะมีเรื่องด่วนที่ตลาด”
“หนูไปตรวจมาครั้งหลังสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ทุกอย่างดูเรียบร้อยดีค่ะ แต่เดือนนี้ยังไม่ได้ไป”
หม่อมจันจิราหน้าเครียด
“วันนี้พวกผู้เช่าตลาดรวมตัวกันประท้วงเรา ตอนแรกฉันจะให้หญิงจุ๋มกับพจน์ไปดู แต่เขาก็อ้างนู่นอ้างนี่ไม่ยอมไปกัน ทั้งๆที่ตัวเองก็มีชื่อเป็นผู้บริหารอยู่ด้วยแท้ๆ ส่วนแบ่งน่ะอยากได้เยอะๆแต่ไม่ยอมทำงาน น่าเกลียดจริงๆ ก็เลยต้องพึ่งเธอนะวนิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็เป็นผู้บริหารคนหนึ่ง เป็นหน้าที่โดยตรงของหนูอยู่แล้ว”
หม่อมจันจิรา ค่อยสบายใจขึ้น
“ขอบใจมากนะ แล้วก็ต้องระวังตัวด้วย ฉันจะโทร. บอกผู้กำกับที่นั่นให้พาตำรวจไปคุมสถานการณ์ด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าเพิ่งเรียกตำรวจเลยค่ะ ขอไปดูสถานการณ์จริงๆก่อนดีกว่าค่ะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ขอย้ำว่าอย่าทำอะไรเสี่ยงๆนะ”
วนิษารับคำ แล้วเดินออกไป ในขชณะที่โจที่รออยู่ จับตามองอยู่ตลอดเวลา
ที่สำนักงานจัดการตลาด พ่อค้าแม่ค้ากลุ่มใหญ่ กำลังชุมนุมประท้วงกันอยู่ ผู้จัดการตลาดยืนอยู่หลังแผงกั้นเหล็กพยายามเจรจา
“เราไม่ยอม เราไม่ยอม เราไม่ยอม”
กลุ่มพ่อค้า แม่ค้าโวยวาย
“ใจเย็นๆครับ ใจเย็นๆ”
โจขับรถมาถึงจุดประท้วง แต่ก็ขับเลยไป ไม่ยอมจอด
“จอดสิ ฉันจะลง”
“แน่ใจเหรอครับ กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่นะครับ”
“เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก ฉันมาตรวจตลาดหลายครั้งแล้ว จนรู้จักแทบทุกคน ตอนจะกลับบางคนยังเอาผลไม้ให้ฉันด้วยซ้ำ”
โจวนรถกลับมาจอดหน้าสำนักงาน วนิษาหยิบแฟ้มลงจากรถ แม่ค้าคนหนึ่งหันมาเห็น
“ยัยตัวดี”
พลางมองซ้ายมองขวา ก่อนจะหยิบกล้วยแถวนั้นเขวี้ยงเข้ากลางหน้าวนิษาพอดี วนิษาร้องเสียงหลง
โจอยู่ในรถ เห็นเหตุการณ์ตลอด อดขำไม่ได้
“วันนี้เอาผลไม้มาให้เร็วจังแฮะยังไม่ทันกลับเลย”
“นี่ เรื่องอะไรเอากล้วยมาเขวี้ยงฉันเนี่ย”
วนิษาจ้องหน้าแม่ค้ามือเขวี้ยง
“ยังน้อยไป ฉันตบแกด้วยเปลือกทุเรียนเลยแหละ”
แม่ค้านำขบวนเข้ามา พลางผลักวนิษา
“ถือว่าเป็นคนรวยแล้วจะทำอะไรก็ทำได้เหรอ เคยเห็นใจคนจนมั่งมั้ยเนี่ย”
วนิษาพยายามใจเย็น “เดี๋ยวๆๆ คุยกันก่อน มีเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจ”
“พวกคุณมารังแกพวกเราทำไม”
วนิษาตกใจ กอดแฟ้มแน่น โจรู้สึกสถานการณ์กำลังจะรุนแรง ก็รีบลงมาจากรถ จะเข้าไปช่วยวนิษา แต่ฝ่าวงล้อมเข้าไปไม่ได้
“เดี๋ยวก่อนๆ ว้ายๆ”
พวกพ่อค้าแม่ค้ารุมผลักวนิษาเซไปมาเกือบจะล้ม โจปีนขึ้นไปบนป้ายโฆษณาแถวนั้น
“ขอโทษนะครับ ขอทางด้วยครับ”
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
โจกระโดดลอยตัวลงมา ทับตัวพ่อค้าที่กำลังผลักวนิษา แล้วก็ยันแขนสองข้าง ผลักหน้าแม่ค้าสองคนหงายหลังผลึ่ง
“ถอยไป”
“อ๋อ รังแกคนจนเหรอ ซัดมันเลยพวกเรา”
พวกพ่อค้าแม่ค้าทำท่าจะโถมเข้ามา โจเห็นจวนตัว ก็ชักปืนที่ซ่อนไว้ตรงข้อเท้าออกมา ยิงขึ้นฟ้า พวกพ่อค้าแม่ค้าตะลึง ชะงักงัน โจถือโอกาสกระชากคอเสื้อแม่ค้าตัวการขึ้นมาล็อกคอ
“ถ้ายังไม่หยุดก่อความวุ่นวาย ยัยนี่เจ็บตัวแน่”
“ลุยเข้ามาเลยพวกเรา ฉันไม่กลัวตาย”
โจ เอียงหน้ามาพูดกับแม่ค้า ที่โดนล็อกคอ
“ผมไม่ฆ่าน้าหรอกนะ แต่จะยิงไขสันหลังให้น้าเป็นอัมพาต นอนไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องนอนทับขี้ทับเยี่ยวตัวเองทั้งวัน อดดูละครหลังข่าว อดเล่นหวยด้วย ยังเงี้ยทรมานยิ่งกว่าตายอีกน้าว่ามั้ย”
ว่าแล้วก็กดปากกระบอกปืนที่หลัง แม่ค้าหน้าซีด รีบตะโกนห้ามเพื่อน
“พวกเราอย่าเพิ่งเข้ามา ทำตามที่เขาบอก”
พวกพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นชะงัก
“หลีกไป หลีกๆ”
โจใช้มือข้างหนึ่งถือปืน ดันหลังแม่ค้าเดินนำเข้าไปที่สำนักงาน อีกมือจับมือวนิษาดึงตามมา
“ไม่ต้องกลัวครับ เราคุมสถานการณ์ได้แล้ว”
วนิษาพยักหน้ารับรู้ เดินตามติดโจต้อยๆ ผู้จัดการรีบเปิดแผงเหล็กกั้นให้โจกับวนิษาเข้ามา
“จะปล่อยฉันได้รึยัง”
โจกำลังจะปล่อยแม่ค้า แต่วนิษาร้องห้าม
“อย่าเพิ่งปล่อย น้ากับฉันต้องมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน พาน้าเข้าไปด้วย” สั่งโจเสร็จ ก็หันมาบอกกับผู้จัดการ “คุณคุมอยู่ข้างนอก อย่าให้ใครเข้าไป”
วนิษามานั่งที่โต๊ะทำงาน พลางพยักหน้าให้โจคุมตัวแม่ค้านั่งตรงหน้าเธอ วนิษารินน้ำให้แก้วหนึ่ง
“กินน้ำก่อนนะคะ”
“ไม่”
“ฉันบอกให้กิน”
วนิษาจ้องหน้า แม่ค้าหลบตา หยิบน้ำมากิน เริ่มดูใจเย็นลง
“เล่ามาซิ พวกน้ามาประท้วงเรื่องอะไร”
“ก็อยู่ดีๆทางตลาดจะไล่พวกเราออกไป แล้วจะขึ้นค่าเช่า ให้คนใหม่เข้ามาขายแทน ทำอย่างนี้แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหน”
วนิษาตกใจ “ฉันไม่รู้เรื่องที่น้าพูด ใครบอกน้า”
“มีคนบอก”
“ใคร” วนิษาคาดคั้น
“ก็ ไม่รู้ มีคนบอกว่าเขาได้ยินพวกผู้บริหารคุยกัน กำลังจะจ้างนักเลงมาไล่พวกเรา พวกเราเลยต้องออกมาประท้วงก่อนที่พวกคุณจะลงมือ”
วนิษาส่ายหัว “มั่วที่สุด”
“ใครมั่ว”
“ก็พวกน้าน่ะสิมั่ว ฉันไม่เห็นรู้เรื่องอะไรที่น้าพูดเลย”
“จริงง่ะ” แม่ค้าถามย้ำ
วนิษาวางแฟ้มที่หอบมา เลือกเอกสารออกมาปึ๊งหนึ่ง ยื่นไปให้แม่ค้า
“นี่บันทึกการประชุมครั้งล่าสุด มีเรื่องอะไรที่น้าว่ามั้ย ดูซิ”
แม่ค้าดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็เงยหน้ามายิ้มแห้งๆ
“ฉันอ่านไม่รู้เรื่องหรอก เอกสารอะไรพวกนี้น่ะ เอ่อ ไม่มีจริงๆใช่มั้ยคะ”
“ไม่มี”
แม่ค้าหน้าจ๋อยไปเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของวนิษา โจแอบมองอย่างชื่นชม
ครู่ใหญ่แม่ค้าก็เดินออกมาจากออฟฟิศ พร้อมกับวนิษาและโจ ก่อนที่จะรีบบอกกับบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ที่ยืนรอฟังอย่างกระวนกระวาย
“พวกเราฟังฉันก่อน พวกเรากำลังเข้าใจผิด เรื่องทั้งหมดเป็นข่าวลือทั้งนั้น”
แม่ค้าหันมาไหว้วนิษา “ฉันขอเป็นตัวแทนชาวตลาด ขอโทษคุณวนิษาด้วย”
วนิษารับไหว้
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เรื่องเข้าใจผิดกัน”
แม่ค้าเดินออกไปหาพรรคพวก
“ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือวะ ต้องหาให้เจอ แม่จะตบให้แห้งเลย”
พวกพ่อค้าแม่ค้ากลับไป ผู้จัดการถอนใจโล่งอก
“ขอบคุณคุณวนิษามากครับ ลำพังผมพูดยังไงพวกเขาก็ไม่ฟังกัน”
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณดนัยที่ช่วยเป็นหนังหน้าไฟให้ คุณดนัยช่วยอยู่ข้างหน้าตรงนี้อีกสักครู่นะคะ”
“ได้ครับ”
วนิษายิ้มขอบคุณ ก่อนจะหันมาหาโจ แววตาเปลี่ยนเป็นคมกริบ
“เข้าไปคุยกันข้างในหน่อย”
โจยิ้มกลบเกลื่อน “ครับ”
วนิษาก้าวเข้ามาในออฟฟิศ หยุดยืนรอให้โจตามเข้ามา
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับคุณวนิ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ที่ต้องช่วยคุณ”
“อย่ามาไก๋ นายเอาปืนมาจากไหน”
โจอึ้ง วนิษาพูดต่อ
“ดูท่าทางของนายจะชำนาญการใช้ปืนมากเลยนะ นอกจากนี้ทักษะการต่อสู้ ไหวพริบการเอาตัวรอด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นายไปฝึกมาจากไหน”
โจถอนหายใจ “ผม”
วนิษา รีบดักคอ
“ความจำเสื่อม เอะอะอะไรก็ความจำเสื่อม เป็นคำตอบที่ไร้สาระมาก นายเห็นฉันเป็นคนโง่หรือไง บอกมานายปิดบังอะไรฉันอยู่”
โจเงียบไป “ผมความจำเสื่อม”
“ส่งปืนมา”
โจมองวนิษา ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่งปืนให้ วนิษาเดินมาด้านหลัง เอาปืนจ่อท้ายทอย
“ถ้านายพูดว่าความจำเสื่อมอีกที ฉันจะยิงนาย ทีนี้ตอบมาซิ ว่าปิดบังอะไรฉัน นายเป็นใครกันแน่”
โจถอนใจ แล้วก็พูดออกมา
“เผื่อมความจำสม”
วนิษาไม่ขำด้วย “ตลกมากใช่มั้ย”
วนิษายิงปืนเปรี้ยง โจสะดุ้งโหยง กระสุนเฉี่ยวไปนิดเดียว ผมไหม้เห็นควันฉุย ผู้จัดการเปิดประตูเข้ามา เห็นภาพเหตุการณ์ก็แทบช็อก
“คุณดนัย คุณออกไปก่อน ตอบมาว่านายเป็นใคร”
โจหันกลับมาเผชิญหน้า “ปืนนั่นน่ะผมเจอมันซ่อนในรถของคุณ”
“โกหก ฉันขับอยู่ทุกวัน ไม่เคยเห็น เอารถไปล้างสีดูดฝุ่นเช็คเครื่องก็ไม่มีใครเจอ”
โจรีบอธิบาย
“มันซ่อนอยู่ใต้เบาะคนขับ ผมเดาว่าเสี่ยป๊อกซ่อนไว้แต่ไม่มีใครรู้ ผมอยากได้ ผมก็เลยเก็บมันไว้เอง...ส่วนเรื่องการใช้ปืน การต่อสู้ ไหวพริบอะไรนั่นน่ะ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมไปฝึกมาจากไหน มันเป็นทักษะติดตัวมาเหมือนอ่านหนังสือ กินข้าว อะไรทำนองนี้ ผมอาจจะเป็นหน่วยสืบราชการลับก็ได้ ผมไม่รู้จริงๆ”
“ทักษะนายดีเกินไป ดีจนไม่น่าไว้ใจ”
“จริงเหรอ คุณเห็นทักษะผมตอนไหนล่ะ ทุกครั้งที่คุณเห็น คือตอนที่ผมช่วยคุณไม่ใช่เหรอ ถ้าผมปิดบังอะไรบางอย่าง ผมอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้คุณอยู่ในอันตรายไม่ดีกว่าหรือ”
“นี่นายกำลังด่าฉันว่าทำคุณบูชาโทษใช่มั้ย” วนิษาย้อนถาม
“ใช่เลย”
วนิษาลดปืนลงมองหน้าโจ “อีกไม่นานหรอก ฉันต้องรู้ให้ได้ว่านายเป็นใครกันแน่”
“ครับ ผมก็ว่าอีกไม่นาน”
วนิษาเก็บปืนของโจใส่ลงกระเป๋าถือของตัวเอง
เมื่อกลับมาที่บ่อน วนิษาก็เอาปืนให้ปฐมดู
“ผมไม่รู้จริงๆครับว่านี่เป็นปืนของตั่วเฮียหรือเปล่า ตั่วเฮียมีปืนหลายกระบอก แล้วก็เป็นไปได้ที่เขาจะซ่อนปืนไว้ในที่ที่มีเขาเพียงคนเดียวที่รู้”
“แปลว่านายดาวพูดจริงเหรอ”
ปฐม ส่ายหน้า “เปล่าครับ แต่เขาพูดในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง”
“แต่ที่เขาช่วยฉันน่ะ เรื่องจริงแน่นอน”
“ครับ อันนี้ผมเถียงไม่ได้”
“มีทางไหนที่เราจะสืบเรื่องของเขาได้ไหม”
ปฐม ถอนหายใจ
“หมอนั่นไม่มีหลักฐานอะไรเลย มีแต่ตัวตนของเขาเท่านั้น ถ้าเราโชคดี อาจมีใครบางคนที่รู้จักเขาโผล่มาทักเขาต่อหน้าเรา เราถึงจะรู้ว่าเขาเป็นใคร”
“ฉันไม่ชอบแบบนี้เลย”
“งั้นตั่วเจ๊ก็ไล่เขาออกสิครับ”
“จนถึงนาทีนี้เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย จะไปไล่เขาออกได้ไง นายดาว ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ”
วนิษาบ่นอุบอิบ ปฐมดูสีหน้าของวนิษา ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
“ผมว่า”.
“อะไรเหรอ”
“ดูตั่วเจ๊จะให้ความสำคัญกับเขามากเกินแล้วนะครับ”
วนิษา มองหน้าปฐม “หมายความว่าไงคะ”
“ไม่มีอะไรครับ เป็นแค่คำเตือนครับ”
ปฐมเดินออกไป วนิษางง
แม่ค้าที่นำขบวนม็อบมานั่งคุยกับพจน์ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ท่าทางจ๋อยๆ ในขณะที่พจน์ดูโกรธๆ
“อะไร เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้”
“คุณพจน์ขา ตามแผนน่ะ พอสถานการณ์มันมั่วๆ ไม่รู้ใครเป็นใคร หนูถึงจะกล้ากระทืบคุณวนิษาให้บาดเจ็บได้ แต่นี่สถานการณ์ยังไม่ทันมั่วเลย ไอ้คนขับรถคุณวนิษา มันก็ดันมาจับหนูเป็นตัวประกันซะก่อน แล้วอย่างนี้ใครไปจะกล้าลงมือกับคุณวนิษาล่ะคะ เห็นใจหนูเถอะค่ะ”
“อย่ามาแก้ตัวเลย ไม่อยากฟัง กระทืบไม่ได้ก็ไม่ต้องกระทืบ แค่เอาทุเรียนตบหน้าเปรี้ยงเดียวให้ยัย วนิษาเป็นแผล แค่นี้มันก็ต้องเลื่อนพิธีแต่งงานแล้ว ยัยแป๋ว แกทำแผนการฉันเสียหายหมด รู้ตัวไหม”
แม่ค้าจ๋อย
“ไปไหนก็ไป”
“เอ่อ แล้วค่าเหนื่อยล่ะคะ”
พจน์หยิบเงินโยนให้อย่างเสียไม่ได้
“รีบๆไปได้แล้ว เห็นหน้าแล้วโมโห”
แม่ค้าไหว้ รับเงินมา แล้วเดินออกมา แอบหันหน้าไปด่าพจน์
“ไอ้ชั่ว มาทำเสียงดัง เปลือกทุเรียนน่ะเอามาตบหน้าคนอย่างแกดีกว่า”
พจน์นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว “อย่างงี้คงต้องหาวิธีอื่นแทน”
อ่านต่อตอนที่ 11