รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 7
กริชมาออกกำลังกาย ที่สปอร์ตคลับ พอเสร็จก็มานั่งพักที่โซนพักผ่อน ระรินเดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณกริช”
กริชหันมามองระรินยิ้มๆ “สวัสดีครับระริน มาออกกำลังกายเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ ระรินตั้งใจตั้งใจมาหาคุณกริชน่ะค่ะ”
“มีอะไรเหรอครับ”
ระรินแกล้งอึกอัก “อืม ระรินก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี”
“เล่ามาเถอะครับ”
“เรื่องของคุณกริชกับคุณวนิษาน่ะค่ะ”
“อย่าบอกนะครับว่าเกี่ยวกับที่ข่าวบันเทิงเขาลงกันน่ะ”
“เรื่องนั้นนั่นแหละค่ะ”
กริชเงียบไป ระรินพูดต่อ
“แต่คุณกริชอย่าเพิ่งเข้าใจระรินผิดนะคะ สื่อเขาเสี้ยมให้เราทะเลาะกัน แต่ระรินไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย จริงๆนะคะ คุณกริชเป็นคนนิสัยดี ระรินเลยอยากคบเป็นเพื่อนไปเที่ยว เฮฮากันได้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่เหมือนดาราคนอื่นๆ อะไรก็ไม่รู้ คบแล้วไม่สบายใจ”
กริชยิ้มออกมาได้
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ ระรินคุยสนุก น่ารัก เป็นกันเอง ดีใจครับที่เราใจตรงกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
“ค่ะ”
ระรินเงียบไปครู่หนึ่ง “ แต่ว่า”
“อะไรเหรอครับ”
ระริน แสร้งตีหน้าไม่สบายใจ
“ระรินกลัวคุณวนิษาเธอจะเข้าใจผิดตามที่สื่อเสี้ยมน่ะค่ะ เดี๋ยวเขาจะโกรธระริน แล้วพลอยโกรธคุณกริชไปด้วย เอางี้ดีไหมคะไว้เราสามคนไปเจอกัน จะได้ปรับความเข้าใจกัน แบบนี้สื่อเสี้ยมยังไงก็ไม่มีผล”
“ดีเลยครับระริน”
ระรินนิ่งคิดพักหนึ่ง
“งั้นเดี๋ยวระรินนัดให้ดีกว่า เดี๋ยวหาที่บรรยากาศดีๆ นั่งคุยกันชิลๆ นะคะ”
กริชยิ้ม พลางพยักหน้าเห็นด้วย
วนิษาเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้า เจอกริชที่ยืนรออยู่ ก็รีบเข้ามาทัก
“สวัสดีค่ะคุณกริช รอนานไหมคะ”
“ไม่นานครับ วันนี้คุณวนิษาสวยจนบอกไม่ถูกอีกแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ เราจะเข้าไปในงานกันเลยไหมคะ”
“อีกเดี๋ยวได้มั้ยครับ ผมรอเพื่อนอีกคนอยู่ครับ”
ไม่ทันขาดคำ ระรินก็เดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณกริช สวัสดีค่ะคุณวนิษา”
วนิษาหน้าตึงขึ้นมาทันที “สวัสดีค่ะคุณระริน”
“โชคดีจังเลย พอรู้ว่าจากคุณกริชว่าคุณวนิษามาร่วมงานนี้ด้วย ระรินก็รีบบึ่งมาเลยค่ะ”
กริชหันมาอธิบายให้วนิษาฟัง
“คุณระรินบอกผมว่าอย่าบอกคุณวนิษาว่าเธอจะมา เธอกลัวคุณวนิษาจะกลับก่อน ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่คุณระรินมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ”
ระริน แกล้งถอนหายใจ
“พูดตรงๆเลยนะคะ ระรินรู้สึกไม่สบายใจที่สื่อเขียนข่าวให้เราสองคนเสียๆหายๆกันน่ะค่ะ”
“ฉันไม่ได้อ่านข่าวอะไรพวกนี้หรอกค่ะ แต่มีคนเล่าให้ฟังเหมือนกัน”
“ระรินกลัวคุณวนิษาจะเข้าใจระรินผิด”
วนิษา จ้องหน้าระรินอย่างไม่ไว้ใจ
“วันนี้คุณระรินดูแปลกๆไป ขอโทษนะคะ จะมาไม้ไหนกันแน่คะ”
“ไม่มี ไม้ไหนทั้งนั้นแหล่ะคะ ระรินเพียงแต่ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วก็พบว่าตัวเองไม่มีเหตุผล
ซะเลย ระรินเลยอยากขอโทษคุณวนิษา และเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ”
ระรินโชว์ข้อพับแขนข้างซ้าย ที่มีพลาสเตอร์ยาแปะผ้าก๊อซอยู่
“วันนี้ระรินไปบริจาคโลหิตมาค่ะ”
“ดีจังเลยครับ เป็นการทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”
ระรินยิ้มหวาน“ระรินดูตัวอย่างจากคุณวนิษาน่ะค่ะ ต่อจากนี้ระรินตั้งใจจะบริจาคเป็นประจำด้วยค่ะ”
“ยินดีด้วยนะคะไม่เพียงแต่คนอื่นจะได้ประโยชน์ คุณระรินเองก็ได้บุญด้วยค่ะ”
วนิษาเริ่มคล้อยตาม
“ต้องขอบคุณคุณวนิษาค่ะ ที่ชี้ทางสว่างให้ระริน”
ในร้านหนังสือ ที่มีงานเปิดตัวหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค “ตรวจกรรมระดับนาโน โดย เม้ง จิตทิพย์”
อ. เม้ง จิตทิพย์ นั่งแจกลายเซ็นอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า มีแฟนๆ เข้าคิวกันยาว
พิธีกรสาวหน้าตาน่ารักเดินถือไมค์ออกมาทักทายผู้ร่วมงาน
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของ อ.เม้ง จิตทิพย์
อย่างเป็นทางการแล้วนะคะ ต้องขออนุญาตหยุดการแจกลายเซ็นสักครู่นะคะ ช่วงนี้ทางสำนักพิมพ์ขอเชิญชวนทุกท่าน
ชมวีทีอาร์แนะนำตัว อ.เม้ง จิตทิพย์ ก่อนนะคะ”
ช่วงนี้เองที่ กริช วนิษา และระริน ก็เดินเข้ามาในงานพร้อมกัน
“งานเล็กกว่าที่คิดไว้มากนะครับ”
“ค่ะ” ระรินรับคำ “แต่เดี๋ยวจะมีประมูลคำทำนายของอาจารย์ด้วยนะคะ รายได้ยกให้การกุศลค่ะ”
“ได้ข่าวว่าหมอดูคนนี้เขาคิวทองเลยนี่ครับ”
“ไม่ใช่คิวทองธรรมดานะคะ ทองคำขาวเลยล่ะค่ะ คุณวนิษาสนใจไหมคะ”
วนิษาฝืนยิ้ม พลางส่ายหน้า
ในขณะที่เสียงและวีทีอาร์แนะนำตัว อ. เม้ง เริ่มดังขึ้น
เริ่มภาพ อ.เม้ง สมัยเมื่อยี่สิบปีก่อน นั่งยิ้มแย้มตั้งแผงหมอดูริมถนน
“เมื่อ 20 ปีก่อน ชายหนุ่มคนหนึ่งสำเร็จวิชาพยากรณ์ทางเทวดา ตั้งใจจะใช้ความรู้ของเขาช่วยเหลือผู้คน ในนามของ เม้ง หมอดูแม่นมาก”
จากนั้นก็เป็นภาพวิษณุ ยืนกำหมัดจ้องหน้าเม้ง ที่โดนต่อยก้นจ้ำเบ้า เลือดกำเดาไหล ห่างออกมาไม่มากมีวลัยอุ้มลูกสาวยืนดูอยู่
“แต่ไม่ได้รับสนใจเท่าใดนัก ซ้ำร้ายยังถูกต่อยด้วยเพราะทำนายไม่ถูกใจลูกค้า”
ก่อนจะตัดมาที่ภาพของ อ. เม้ง ที่เริ่มแต่งตัวดีขึ้น กำลังให้สัมภาษณ์ในรายการทีวี
“แต่อาจารย์เม้งก็ไม่ย่อท้อ เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น เม้ง จิตทิพย์ เริ่มต้นดูดวงให้ผู้คนอีกครั้ง คราวนี้เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนชื่อเสียงของอาจารย์เม้งดังขจรขจายทุกสารทิศ พร้อมสโลแกนของเขา...ชัดกว่าสแกน แม่นกว่าเอ็กซเรย์เอ็มอาร์ไอ เป๊ะกว่าเลเซอร์ ต้องเจอ เม้ง จิตทิพย์”
วีทีอาร์จบ คนในงานปรบมือกันเกรียว อ. เม้ง จิตทิพย์ ยิ้มและโค้งรับเสียงปรบมือ พลางดึงไมค์มาจากพิธีกรสาว
“ขอบคุณสำหรับทุกรอยยิ้มและเสียงปรบมือที่เลอค่าหาอะไรเปรียบมิได้ กำลังใจเหมือนดังสายธารที่หวานเย็น และเพื่อเป็นการร่วมสนุกและทำกุศลร่วมกัน เพื่อชาติหน้าจิตวิญญาณเราจะได้โคจรมาบรรจบคบหาฉันกัลยาณมิตร ฉันสหายเหมือนดังในชาติปัจจุบันนี้ ผม เม้ง จิตทิพย์ จะขอเปิดประมูลคำทำนายที่ผมจะให้แก่ท่านแบบไม่มีกั๊กไม่มีเม้ม ดุจดังเกลือที่ไม่เคยหวงความเค็มของมัน ณ.บัดนี้ เริ่มต้นคำทำนายที่หนึ่งแสนบาท เชิญได้เลยครับ”
แฟนๆหลายคนที่ทำท่ากระตือรือล้นจะประมูล พอได้ยินราคาเริ่มต้นหนึ่งแสนก็หน้าทิ่มไปตามกัน บางคนถึงกับสำลัก อ. เม้งยังยืนยิ้มอยู่
“อย่าตำหนิว่ามากไป คำทำนายที่แม่นยำ ล้ำค่ากว่าโคตรเพชร อาจทำให้ท่านรอดพ้นจากอุบัติเหตุหายนะ อาจจะทำให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี อีกหนึ่งครั้งที่ผมจะให้โอกาส อย่าลังเล หนึ่งแสนบาท”
คนดูยังเงียบ อ. เม้ง กวาดตามองไปรอบๆ
“2 แสนค่ะ”
คนในร้านหันมามทางต้นเสียง เห็นระรินกับกริช ก็แตกฮือ รีบเปิดช่องให้
“เขาดูแม่นมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ” กริชเอียงหน้ากระซิบถามระรินเบาๆ
“ที่สุดค่ะ โดยเฉพาะเรื่องความรัก”
ระรินแกล้งปรายตาไปที่วนิษาที่ยืนอยู่เฉยๆ กริชมองตามสายตาระรินไป
“2 แสนครั้งที่ 1 2 แสนครั้งที่ 2 2 แสนครั้งที่”
อ. เม้งยังนับไม่ทันจบ กริชก็พูดสวนขึ้นมา
“3 แสนครับ”
อ. เม้ง ยิ้ม แล้วเริ่มนับ
“3 แสนครั้งที่ 1 3 แสนครั้งที่ 2 3 แสนครั้งที่ 3 ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ชนะการประมูลด้วยครับ”
คนดูปรบมือกันเกรียว กริชยิ้ม
“ทำไมคุณกริชต้องแย่งระรินด้วยล่ะคะ”
“ก็ผมอยากทำบุญนี่ครับ”
“แหม มีเรื่องอยากถามอาจารย์ก็ยอมรับมาตรงๆเถอะค่ะ”
กริชหัวเราะ อ. เม้งคืนไมค์ให้พิธีกรสาว พลางเดินไปนั่งที่โต๊ะ แล้วกวักมือเรียกกริช
“เชิญทางนี้ครับคุณกริช”
กริชเดินมา ระรินตามมาด้วย ส่วนวนิษาเลือกดูหนังสือ ไม่ได้เข้ามา
อ. เม้งดูโหงวเฮ้งของกริช พร้อมๆ กับจับหน้าตาดูความแข็งความตึงของส่วนต่างๆของใบหน้า
“คุณกริชมาถูกทางแล้ว โหงวเฮ้งคุณไม่เหมาะกับการทำธุรกิจหรือการเกษตร แต่เหมาะกับงานศิลปะ งานที่ทำเพื่อความรื่นรมย์ทางจิตใจ ถ้าฉายเดี่ยวจะดีกว่าทำร่วมกับคนอื่น ถ้าเดินทางจะดีกว่าอยู่กับที่ พบปะผู้คนยิ่งมากยิ่งดี จากลักษณะที่ว่ามานี้ คุณคิดถูกแล้วที่เป็นผันตัวจากธุรกิจมาเป็นนักแสดง นี่แค่คำทำนายเบื้องต้น คุณอยากรู้ละเอียดด้านไหน เชิญถาม”
กริชได้ช่อง ก็รีบยิงคำถามทันที
“เรื่องความรักครับอาจารย์”
อ. เม้งหลับตา พลางยกนิ้วแตะหน้าผากเพ่งกระแสจิต แล้วเอานิ้วเขียนวงกลมห่างจากใบหน้ากริชเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดูหน้ากริช
“สดใสสวยงามเหมือนฟ้าสีครามในฤดูหนาว มั่นคงเหมือนขุนเขาตระหง่าน อาจจะติดเลือกมากหน่อย แต่หากรักแล้วจะรักเลยไม่เปลี่ยนแปร”
กริชยิ้ม อ.เม้งทำนายต่อ
“ดวงชะตาดีจริงๆ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ”
พูดพลางจับคางกริชเชยขึ้น หมุนใบหน้าเป็นวงกลม มองที่ใต้คาง เจอไฝเม็ดเล็กๆ
“อา ไม่ได้การ”
“หมายความว่าไงครับ”
“ไฝใต้คางเม็ดนี้เหมือนรูรั่วใต้ท้องเรือ รูเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เรือลำใหญ่จมได้”
“หมายถึงอะไรครับ” กริชยังงงๆ
“มีรูปผู้หญิงคนนั้นไหม คนที่หัวใจคุณกำลังถวิลหา คนที่คุณจะลงนาวาชีวิตลำเดียวกันกับเธอ”
“ตัวจริงเขาอยู่นู่นครับ”
กริชชี้ไปที่วนิษา อ. เม้งมองตามไป แล้วก็ยิ้ม
“หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า สง่าดังพญาหงส์ เอ๊ะ”
อ. เม้งชะงัก เพ่งมองใบหน้าของวนิษา จนระรินร้องทัก
“มีอะไรเหรอคะ”
อ. เม้งลุกจากโต๊ะเดิน มาหยุดที่หน้า วนิษารู้ตัว มอง อ. เม้ง แล้วยิ้มให้ แต่ อ. เม้งไม่ยิ้มตอบ เอาแต่จ้องหน้าวนิษาอย่างจริงจัง ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกซิก
“มีอะไรรึเปล่าคะอาจารย์”
อ. เม้งไม่ตอบ แต่รีบเดินกลับมา แล้วลากกริชไปที่ด้านหลัง
“คุณต้องเลิกกับผู้หญิงคนนั้นซะ ห้ามยุ่งด้วยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น คุณจะตาย”
“ผมเนี่ยนะจะตาย” กริชทวนคำอย่างปลกใจ
“เรื่องนี้ผมพูดมากจะไม่ดี แต่คุณต้องเชื่อผม ถอยออกมาซะ ก่อนที่รูรั่วของคุณจะกลายเป็นโพรงใหญ่และทำให้เรือของคุณจมลงในพริบตา อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนั้น เธอถูกลิขิตจากสวรรค์แล้วว่าให้เป็นสตรีอาถรรพ์ เป็นอันตรายกับผู้ชายที่รักเธอ เธอคือผู้หญิงกินผัว งานแต่งงานของเธอจะจบลงที่งานศพตลอดไป”
กริชหน้าซีด มองเลยไหล่ ไป อ. เม้งเอะใจ หันกลับมา เจอวนิษาตามมาฟังด้วยตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“เอ่อ”
วนิษาหมุนตัวเดินออกจากร้านทันที
“คุณวนิษา”
กริชรีบตามวนิษาออกไปนอกร้าน ระรินมองตามไป พลางยิ้มอย่างสะใจ กริชหันมาเห็นพอดี
“ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงยิ้มพอใจอย่างนี้”
“เก็บคำตอบไว้ในใจเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าอาจารย์แม่นจริง แต่ฉันไม่ใช่คนชนะการประมูล ไม่ต้องมา
วิเคราะห์ฉันหรอก”
ระรินเดินออกไปนอกร้านช้าๆ
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 7 (ต่อ)
วนิษาก้มหน้าก้มตาเดินออกมา พลางพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เดินชนคนมั่วไปหมด
เสียงของ อ. เม้งยังดังกึกก้องในหู
“อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนั้น เธอถูกลิขิตจากสวรรค์แล้วว่าให้เป็นสตรีอาถรรพ์ อันตรายกับผู้ชายที่รักเธอ เธอคือผู้หญิงกินผัว งานแต่งงานของเธอจะจบลงที่งานศพตลอดไป”
กริชพยายามไล่ตามวนิษา ท่ามกลางฝูงชน ในขณะที่โจยืนเตร็ดเตร่อยู่ พอเห็นวนิษาเดินมา ก็เตรียมตัว แต่พอเห็นวนิษาร้องไห้ก็ตกใจ
“คุณวนิ เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณวนิษา”
โจเห็นกริชไล่ตามมา ก็เข้าใจผิด พุ่งพรวดเข้าไปหา กริชไม่ทันตั้งตัว โจจับกริชล็อก แล้วกดเข้ากับผนัง ท่าทางโหดเหี้ยมดุดัน
“คุณทำอะไรคุณวนิ”
กริชทั้งตกใจ ทั้งโดนกดจนพูดไม่ออก คนแถวนั้นก็ตกใจ แตกฮือ วนิษาเองก็ตกใจ รีบเดินมาจะมาห้าม แต่ รปภ.ห้างสองคน ที่เดินผ่านมาพอดี เข้าถึงโจได้ก่อน
“หยุดนะ ทำอะไรกันคุณ”
รปภ. สองคนเข้ามาห้าม โจสะบัดขา ฟาดอย่างรวดเร็ว จน รปภ.หงายหลังโครม จากนั้นก็หันกลับมากดล็อกกริชท่าเดิม
“คุณทำอะไรคุณวนิ บอกมา”
วนิษารีบเข้ามาห้าม “พอได้แล้วนายดาว ไม่เกี่ยวกับเขา”
โจหันมามองหน้าวนิษา
“ฉันบอกแล้วไง ไม่เกี่ยวกับเขา เรากลับกันได้แล้ว”
โจค่อยๆ ปล่อยตัวกริช
“ขอโทษนะคะคุณกริช”
กริชพยายามพูดแต่พูดไม่ออก วนิษารีบเดินผละออกไป โจรีบตามไป ระรินเพิ่งเดินตามมาถึง รีบเข้าไปหากริช
“คุณกริชเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย ทำไมคุณเป็นอย่างนี้คะ”
วนิษาขึ้นรถ โจปิดประตูให้ แล้วเดินขึ้นมานั่งที่คนขับ ในขณะที่วนิษายังร้องไห้อยู่
“ไปที่ไหนก็ได้ ที่มันกว้างๆ ที่มันไม่มีคน ทะเล ภูเขา ที่ไหนก็ได้”
“ไปประจวบไหมครับ คนน้อยหน่อย”
“จะบ้าเหรอ มันไกลไป”
“เอ่อ เขื่อนลำตะคองไหมครับ”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ”
โจถอนใจ “นี่มันตอนเลิกงาน รถติดหนึบยังกะขี้มูก คุณจะให้ผมพาไปไหนเร็วๆได้”
“นายเป็นคนขับรถนายก็คิดเอาเองสิ เร็วๆ ไม่งั้นฉันจะไล่ออก”
วนิษาปิดหน้าร้องไห้ โจมองวนิษา ด้วยความเป็นห่วง
โจขับรถออกไปถึงทางลง แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ ขับวนขึ้นไปด้านบน ก่อนที่จะจอดรถที่ชั้นดาดฟ้า ที่ไม่มีรถคันอื่นจอดอยู่เลย
วนิษายืนมองวิวออกไปไกลๆ ตามลำพัง ครู่หนึ่งโจก็เดินออกมาจากด้านในอาคาร ถือหนังสือพิมพ์มาฉบับหนึ่ง พลางยื่นให้ วนิษากำลังเศร้าอยู่ มองโจแบบงงๆ
“ฉันไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์”
“วันนี้ลมแรง อากาศมันเย็น”
วนิษายังงง โจสะบัดหนังสือพิมพ์ขึ้นแบบนักมายากล เห็นถ้วยกาแฟร้อนควันกรุ่น วนิษาทั้งแปลกใจ ทั้งรู้สึกดี
“ขอบคุณย่ะนายพ่อมด”
วนิษายกกาแฟจิบคำโต
“ดีขึ้นไหมครับ”
วนิษาพยักหน้า
“บนนี้วิวสวยใช้ได้ไหมครับ”
“ถามประชดรึเปล่าเนี่ย”
โจส่ายหน้า “เปล่าครับ แต่อยากเอาใจเจ้านาย เห็นเจ้านายเครียดแล้วรู้สึกไม่สบายใจ”
“ถึงจะเป็นวิวเมืองแต่มันก็สวยไปอีกแบบ”
“อืม แล้วถ้าได้ทั้งวิวเมือง บวกธรรมชาติล่ะครับ”
พูดจบโจก็โบกมือขึ้น กลีบกุหลาบ สีแดงโปรยปรายลงมา วนิษามงด้วยความแปลกใจ โจยกมืออีกข้างสะบัดขึ้น กลีบดอกไม้สีเหลืองก็โปรยปรายลงมา โจสะบัดมือทั้งสองไปมา กลีบดอกไม้หลากสีมากมายปลิวกระจายราวเวทมนต์ วนิษาตะลึงกับความสวยงามรอบตัว
“นายทำได้ยังไงน่ะ”
“อันนี้ความลับของมายากลครับ”
วนิษายิ้ม เริ่มสบายใจขึ้น ”ขอบใจนะ”
“ยินดีครับ อย่าลืมโบนัสตอนสิ้นปีด้วยนะครับ”
“อย่าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พวกที่บ่อนฟังนะ”
วนิษาหันมาบอกกับโจ สีหน้าจริงจัง โจพยักหน้า
“จริง ๆ ฉันก็ไม่อยากอ่อนแอแบบนี้หรอก แต่ทุกครั้งที่โดนตอกย้ำเรื่องดวงกินผัวเนี่ย ฉันต้องหวั่นไหวแบบนี้ทุกทีเลย”
“ทุกคนย่อมมีบาดแผลในชีวิตครับ บางคนอาจจะโชคร้ายที่มันเป็นแผลสดตลอดกาล โดนแตะนิดหนึ่งก็เจ็บปวดรวดร้าว”
วนิษานั่งซึม “แล้วมันจะไม่มีวันหายเลยเหรอ”
“ใครจะบอกได้ล่ะครับ”
วนิษาขบคิดคำพูดของโจครู่หนึ่ง
“แล้วนายล่ะมีแผลอะไรบ้างมั้ย”
“แน่นอนครับ ผมก็มีแผลของผม”
“แผลของนายคืออะไร” วนิษายิงคำถามต่อ
“ผมบอกคุณไม่ได้หรอกครับ”
“ไม่ยุติธรรม นายเห็นแผลของฉันแล้ว”
“ผมบอกไม่ได้จริงๆ”
วนิษา จ้องหน้าโจ “ไม่ไว้ใจฉันเหรอ”
“ก็ผมความจำเสื่อม จะบอกคุณได้ไง”
“ถ้าความจำหายเสื่อมล่ะ จะบอกฉันได้ไหม”
แววตาโจสลดลงวูบหนึ่ง
“ถ้าผมหายจากความจำเสื่อม ถึงตอนนั้นคุณอาจจะเกลียดผมก็ได้”
วนิษาหัวเราะ
“นี่ นายดาว ไม่ว่าตัวจริงนายจะเป็นใครก็ตาม ฉันคงไม่เกลียดนายหรอก”
วนิษามองวิว สีหน้าดูแช่มชื่น รอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นมาบนใบหน้า ในขณะที่โจกลับมีสีหน้าเศร้าๆ
ป๋องเดินเข้ามาในบ้านโจ พลางก้มมองหานู่นหานี่ ก่อนที่จะเงยหน้ามาถามโจ ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“พี่โจเห็นแท็บเล็ตผมป่ะ”
โจชี้ให้ดูแท็บเล็ตของป๋องที่เขานั่งดูอยู่ เห็นรูปที่ป๋องถ่ายกับปลายฝน ตอนเล่นเป็นแฟน และไปกินข้าวกัน ป๋องอุทานลั่น
”เฮ้ย” แล้วแย่งแท็ปเล็ตมาทันที “ทำงี้ได้ไงวะ แอบเอาของผมไปดูได้ไง นิสัยแย่ว่ะ”
“ก็แกวางทิ้งเอาไว้”
“พี่ก็ไม่มีสิทธิ์หยิบเอาของคนอื่นไปเปิดดูโดยไม่ขออนุญาต”
โจยิ้มให้ป๋องแบบไม่ถือสา
“แกก็รู้ว่าฉันโตมาแบบไม่มีพ่อไม่มีแม่ กินนอนอยู่กับเด็กวัดเป็นโขยง สิทธิส่วนบุคคลบุคคโลอะไรน่ะ
ไม่มีในหัวหรอก เอ้า ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ พอใจรึยัง”
“เชอะ”
ป๋องเก็บแท็บเล็ตไป ท่าทางงอนๆ
“แล้วแกกับปลายฝนเป็นแฟนกันแล้วเหรอ”
“ยุ่งน่า”
โจมองท่าทีของป๋อง แล้วสรุป
“ตอบแบบนี้ แปลว่าหวังอยู่ แต่รู้ว่าคงหมดหวัง”
ป๋องหันมา พูดโดยไม่ออกเสียงว่า “เสือก”
โจทำหน้าจริงจัง
“ดูจากรูปแกก็สนิทกับเขาระดับหนึ่งนี่นา ใช่มั้ย ตีซี้เขาให้หน่อยสิ”
ป๋องมองโจแบบไม่ไว้ใจ
“แล้วแอบถามเขาว่า เขารู้อะไรเกี่ยวกับวนิษาบ้าง”
“พี่คิดว่าเขาจะรู้อะไรเหรอ ถ้าเขารู้ว่าคุณวนิษาฆ่าพ่อเขา เขาจะอยู่เฉยๆแบบนี้เหรอ”
“ปลายฝนอาจจะไม่รู้ลึกขนาดนั้น แต่อาจจะรู้อะไรที่เป็นประโยชน์กับงานของเราก็ได้”
ป๋องเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปฏิเสธ
“ไม่เอาอ่ะ ผมไม่อยากหลอกใช้เขา”
“หลอกใช้แล้วไงวะ ถ้าเราจับได้ว่าวนิษาฆ่าเสี่ยป๊อก มันก็เป็นเรื่องดีกับปลายฝนไม่ใช่เหรอ
เขาต้องขอบคุณเราด้วยซ้ำ”
ป๋องส่ายหัวดิก “แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่อยากหลอกเขา”
“จ้า พ่อพระเอก แกก็อย่าคิดว่าแกหลอกเขาสิ คิดว่าชวนคุยเฉยๆก็ได้ แต่มีจุดประสงค์คือ
ข้อมูลของแม่เลี้ยงเขา โอเคมั้ย แบบนี้น่ะ”
ระรินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพ็ญแขฟัง ขณะที่นั่งนวดอยู่ด้วยกันในสปา
“ยัยวนิษาหน้าซีด ต้องรีบวิ่งหนีไปร้องไห้ที่อื่น สะใจจริงๆค่ะแม่ เสียดายที่ถ่ายคลิปไม่ทัน”
เพ็ญแขยิ้มเยาะ “สมน้ำหน้ามัน แล้วคุณกริชล่ะ ท่าทางเขาเป็นยังไงมั่ง”
“ก็ดูเฉยๆค่ะ แต่หนูว่ายังไงก็ต้องมีผลแน่ๆ เพราะครั้งนี้เขาได้ยินกับหูของตัวเอง แถมคนที่พูด
ก็ไม่ใช่ไก่กาปาท่องโก๋ เป็นถึงอาจารย์เม้ง จิตทิพย์ เชียวนะคะ”
“แล้วนี่เธอจ่ายหมอเม้งไปเท่าไหร่เหรอ เขาถึงช่วยเราขนาดนี้น่ะ”
“ไม่ได้จ่ายซักบาท”
“อ้าว” เพ็ญแขปลกใจ
“เขาก็ดูดวงตามหน้าที่ของเขา แม่ก็รู้นี่คะ เรื่องอื่นน่ะหลอกกันได้ โหงวเฮ้งหลอกกันไม่ได้ ยัยวนิษาถึงจะพยายามหลอกตัวเองยังไง แต่ก็หนีความจริงไปไม่พ้นหรอกค่ะว่านางน่ะคือผู้หญิงกินผัว”
วนิษาเดินเข้ามาภายในวังวาสุวงศ์ เห็นหม่อมจันจิรา กำลังมีแขก พอเดินเข้ามาใกล้ จึงพบว่าเป็นกริชนั่นเอง
“สวัสดีค่ะหม่อมแม่ สวัสดีค่ะคุณกริช”
“สวัสดีจ้ะวนิ”
“สวัสดีครับ”
หม่อมจันขิรา หันมาถามวนิษา
“แปลกใจสินะว่าทำไมคุณกริชถึงอยู่ที่นี่”
“ค่ะ หม่อมแม่รู้จักคุณกริชด้วยเหรอคะ”
“รู้จักมานานมากแล้ว ตอนฉันเป็นอาจารย์ผู้อำนวย เขาเป็นนักเรียนในโรงเรียนของฉันเอง เฮี้ยวซะไม่มี คิดถึงแล้วยังปวดหัวไม่หายเลย”
กริชหัวเราะเขิน “ส่วนผมคิดถึงอาจารย์ทีไร ก็ยังเจ็บก้นอยู่เลยครับ”
“ความจริงตากริชเขาก็แวะมาเยี่ยมฉันบ่อยนะ แต่ไม่เคยเจอกับเธอ”
“เพิ่งบังเอิญมาเจอกันวันนี้สินะคะ”
กริชส่งตาหวานให้วนิษา
“อย่าเรียกบังเอิญเลยครับ ผมอยากเจอคุณวนิษา เลยโทรมาถามอาจารย์ ท่านบอกว่าวันนี้คุณวนิษาจะเข้า ผมเลยมา”
“ตากริชเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟัง เขาบอกอยากเจอเธอ แต่เธอบอกปัดเขาตลอด เขาก็เลยมาขอให้ฉันช่วย ฟังเขาแล้วฉันก็คิดว่ามีเหตุผลดีที่จะช่วย ก็เลยรับปาก หวังว่าเธอคงไม่โกรธฉันนะ”
วนิษายิ้มให้หม่อมจันจิรา “ไม่หรอกค่ะหม่อมแม่”
“ตอนนี้กล้วยไม้กำลังออกดอกสวยเชียว เธอสองคนไปเดินเล่นเถอะตามสบายนะ”
“ค่ะ”
วนิษาลุกขึ้น กริชรีบลุกตามไปทันที
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ในขณะที่โจเดินดูกล้วยไม้อยู่คนเดียวเงียบๆ หูก็แว่วได้ยินเสียงคนเดินมา พอเหลือบมอง ก็เห็นวนิษาเดินมากับกริช โจมองซ้ายมองขวา ก่อนจะไปนั่งหลบอยู่หลังกองถุงปุ๋ย
กริชชี้ให้ดูสัปปะรดสีที่อยู่ในกระถางบนพื้น มีต้นไม้อื่นบังๆอยู่
“กล้วยไม้ดอกนี้สวยจังเลยครับ เสียดายโดนต้นอื่นบัง”
“อ๋อ นี่สัปปะรดสีค่ะ ไม่ใช่กล้วยไม้”
วนิษาก้มลงไปขยับกระถางให้ออกมา กริชถือโอกาสแอบมองก้น มองหน้าอกด้วยสายตาหื่นๆ รู้สึกคันมือคันไม้ วนิษาลุกขึ้นยืน กริชรีบสำรวมสายตาและท่าที ดูเป็นคนดีอีกครั้ง
“เอ่อ คุณวนิษาครับ จริงๆแล้วผมมีเรื่องอยากจะบอกคุณ ถึงต้องมาหาคุณที่นี่”
“คุณอยากบอกอะไรฉันเหรอคะ”
“เรื่องที่อาจารย์เม้งพูดวันนั้นน่ะครับ”
โจเงี่ยหูแอบฟัง
“ผม” กริชอึกอัก.
“กลัวใช่ไหมล่ะคะ คุณไม่ใช่ผู้ชายคนแรกหรอกที่กลัวฉัน บอกตามตรง ถ้าฉันเป็นผู้ชาย ฉันก็คงกลัวเหมือนกันสามีฉันตายมาแล้วสองคนแล้ว มันคงเป็นอาถรรพ์ติดตัวฉันจริงๆ อย่างหมอดูเขาบอก”
โจรู้สึกคันจมูกยุบยิบ พลางยกมือขยี้ แต่บังเอิญข้อศอกไปโดนกระถางเปล่าที่วางซ้อนๆกันไว้ โจรีบไปประคองมันไว้ก่อนที่มันจะล้ม จมูกก็ยังไม่หายคัน แต่ตอนนี้ไม่มีมือไปจับจมูกแล้ว
“ครับ แต่ที่ผมจะบอกคุณวนิษาก็คือ ผมไม่สนใจอาถรรพ์อะไรทั้งนั้น คุณวนิษายังคงเป็นนางฟ้าของผมเสมอ”
“คุณกริช”
“ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าอาจารย์เม้งไม่แม่น แต่ต่อให้แม่นผมก็ไม่กลัว”
วนิษายิ้ม น้ำตารื้น ด้วยความซึ้งใจ
“คุณกริช”
กริชกำลังจะกอดวนิษา เป็นจังหวะเดียวกับที่โจจามเสียงดังลั่น กริชกับวนิษาสะดุ้ง วนิษารีบอ้อมมาดูหลังกองถุงปุ๋ย เห็นโจนั่งขยี้จมูกอยู่
“นายดาว”
โจทำท่าป้องหูพยายามฟัง พลางขยี้จมูกไปด้วย
“พูดอะไรครับ ผมไม่ได้ยินเลย”
วนิษาตบบ้องหูป้าบ จนโจถลา
“ได้ยินรึยัง”
โจลองดีดนิ้วข้างๆหูตัวเอง ข้างซ้าย ข้างขวาสลับกัน แล้วยิ้มออกมาได้
“ได้ยินแล้วครับ แหะๆ เมื่อกี้ผมเข้ามาดูปุ๋ยครับ ว่าที่นี่ใช้ปุ๋ยอะไรกล้วยไม้ถึงง้ามงาม แต่คงแพ้ฝุ่นน่ะครับ น้ำหูน้ำตาไหล แถมหูอื้ออีกต่างหาก พวกคุณเข้ามาเมื่อไหร่กันครับเนี่ย ผมไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ”
วนิษากับกริชจ้องหน้าโจ ท่าทางเดือดดาลด้วยกันทั้งคู่
“คุณวนิษาครับ ผมว่าคุณหาคนขับรถใหม่เถอะครับ ผมหาให้ก็ได้ ขับรถเก่ง สุภาพ แล้วก็ไม่แอบฟังเจ้านายคุยกัน”
“ฉันก็อยากไล่เขาออกอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่มีจังหวะ ครั้งนี้จะว่าเขาก็ไม่ได้ เขาไม่ได้แอบย่องตามเข้ามานะคะ เขาเข้ามาก่อนเราด้วยซ้ำ”
โจพยักหน้าเห็นด้วย พลางยกนิ้วโป้งให้
“ยุติธรรม เอาเถอะครับผมไม่ขัดจังหวะพวกคุณแล้วล่ะ เชิญจีบกันต่อเลยครับ”
โจจะเดินออกไป วนิษาหยิบกระถางพลาสติกเปล่าที่วางอยู่แถวนั้นปาโดนหลังดังปั้ก
“โอ๊ย ทำอะไรอ่ะครับ”
“ไหนบอกไม่ได้ยิน แล้วรู้ได้ไงว่าคุยอะไรกัน”
โจรีบเถียง
“ผมเดาเอาครับ ก็คุณสองคนมาคุยกันลับๆล่อๆ มีอยู่สองอย่าง ถ้าไม่จีบกันก็ขอยืมเงินกัน แต่ผมก็เดาว่าจีบกันแค่นั้นเอง อูย”
“แล้วไป”
“แปลว่าผมเจ็บฟรีสิเนี่ย”
วนิษายิ้มขำ “สม ถ้านายออกไปเงียบๆ ก็หมดเรื่องแล้ว ดันปากมากเอง ออกไปได้แล้ว” พลางหันทางทางกริช “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่คนขับรถฉันรุ่มร่าม”
“ช่างเถอะครับ อย่าไปสนใจเลย คุยเรื่องของเราต่อดีกว่า”
“ค่ะ เราคุยกันถึงไหนแล้วนะคะ”
“เอ่อ”
กริชยังไม่ทันพูดอะไร โจก็โผล่หน้ากลับเข้ามา
“อุ๊บอิ๊บครับ เดี๋ยวพอคุณสองคนจีบ เอ๊ย คุยกันเสร็จแล้ว ช่วยบอกผมด้วยนะครับ ผมจะมาดูเรื่องปุ๋ยต่อ”
“เสร็จแล้วย่ะ อยากเข้ามาดูปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักอะไรก็เข้ามาดูมา”
วนิษาเดินออกไป พลางมองค้อนโจประหลับประเหลือก กริชรีบเดินตามไปด้วย พลางมองโจด้วยสายตาขุ่น โจฝืนยิ้มให้ แล้วพึมพำเบาๆ
“ฉันพยายามช่วยชีวิตแกนะ ยังมองฉันแบบนั้นอีก”
วนิษาเดินมาส่งกริชที่รถ
“คุณวนิษามีธุระที่ไหนต่อรึเปล่าครับ ถ้ายังไงไปกินเจลาโต้แถวคอนโดผมไหมครับ มีร้านเปิดใหม่
เป็นร้านเก่าแก่ของอิตาลีระดับ 5 ดาวเลยนะครับ”
วนิษาส่ายหน้า พลางปฎิเสธอย่างสุภาพ
“ฉันมีธุระต่อค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
“ครับ บายครับ”
กริชขึ้นรถ พลางมองตามสะโพกวนิษา ที่เดินผละไป แล้วหายใจถี่เร็ว
“น่าฟัดอะไรอย่างงี้ คุณชายแจ้ เสี่ยป๊อก ผมอิจฉาพวกคุณจริงๆที่ได้เป็นผัวคุณวนิษา โอยทนไม่ไหวแล้ว”
จากนั้นก็รีบหยิบมือถือออกมากดโทรออก
“เจ๊เหรอ ส่งเด็กมาด่วนเลยนะ ได้ๆๆ เจอกันที่เดิม”
วนิษาเดินเข้ามาในบ่อน โจตามมาด้วย เจอปฐมยืนรออยู่ หน้าตาเคร่เครียด
“มีอะไรรึเปล่าคะคุณปฐม”
“เราได้รับจดหมายเชิญครับ”
วนิษาเลิกคิ้ว “จากใครเหรอคะ”
“เสี่ยเพ้งครับ”
ปฐมส่งซองจดหมายสีแดงให้ วนิษารับมาเปิดดู
“ตั่วเจ๊จะไปไหมครับ”
วนิษาไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “คุณปฐมคิดว่ายังไงคะ”
“ผมว่าเสี่ยเพ้งมันไว้ใจไม่ได้ มันคิดจะเล่นงานเรามาตั้งนานแล้ว โบราณว่าหวังดีไม่มา หวังร้ายจึงมา
ถ้าเราไปเราอาจจะตกหลุมพรางของมัน”
“แต่นี่เขาเชิญอย่างเป็นทางการมาเลยนะคะ”
“วงการนี้ไม่มีกฎกติกาอะไรทั้งนั้น ผมว่าตั่วเจ๊อย่าไปเลย หาคนปลอมตัวไปแทน ให้มันตายใจ
แล้วลงมือสยบมัน ทีเดียวให้คอขาดไปเลย”
วนิษานิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะปฎิเสธ
“ไม่ค่ะ ฉันไม่ชอบวิธีที่คุณปฐมบอก”
“แต่ว่า”
“ฉันจะไปหาเขาด้วยตัวเอง ฉันอยากคุยกับเขาก่อน”
“ตั่วเจ๊ สุดท้ายแล้วยังไงก็ต้องตีกัน เลี่ยงไม่ได้หรอก ในเมื่อต้องตีกัน ฝ่ายไหนลงมือก่อนก็ได้เปรียบ
นะครับ”
ปฐมเตือนด้วยความหวังดี
“คุณปฐมคะ มันจะเป็นสงครามก็ได้ ฉันไม่กลัว แต่ฉันจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มสงคราม”
“ถ้ามัวแต่คิดจะคุย ตั่วเจ๊อาจจะเป็นคนแพ้”
วนิษาเงียบไป โจที่นิ่งฟังอยู่นาน รีบพูดแทรกขึ้น
“เสียน้ำลายดีกว่าเสียเลือดนะครับ”
ปฐมหันมามองโจ กำลังจะอ้าปากด่า แต่ยังช้ากว่าวนิษา
“ใครให้เสนอความเห็น ไม่ใช่หน้าที่”
วนิษาหันมาทางปฐม “แต่นายดาวก็พูดถูกนะคะ เสียน้ำลายดีกว่าเลือด”
ปฐมก้มหน้า รับคำ
วนิษา ปฐม กับลูกน้องคนสนิทอีก 5 คน เดินเข้ามาในห้องวีไอพีของภัตตาคารแห่งหนึ่ง มีโจเดินตามรั้งท้ายด้วย ปฐมดูเคร่งเครียด พลางมองซ้ายมองขวาตลอด
เสี่ยเพ้งนั่งรออยู่ที่โต๊ะคนเดียว มีลูกน้องยืนอยู่ด้านหลังเป็นแผง
“สวัสดีคุณปฐม ไม่เจอกันนานนะ”
“สวัสดีครับเสี่ย เสี่ยเพ้ง นี่ตั่วเจ๊ผมครับ”
“สวัสดีตั่วเจ๊”
“สวัสดีค่ะเสี่ยเพ้ง”
เสี่ยเพ้งจ้องมองวนิษาแบบไม่ให้เกียรติ “ ได้ยินชื่อตั่วเจ๊มานาน น่าเจี๊ยะสมคำร่ำลือ”
ปฐมหน้าตึง แต่วนิษายังยิ้มอย่างใจเย็น พลางเดินเข้าไปหาเสี่ยเพ้ง
“พูดอย่างนี้กล้าเจี๊ยะฉันหรือเปล่าล่ะคะ”
เสี่ยเพ้งหัวเราะร่วน
“สมเป็นตั่วเจ๊จริงๆ ยอมรับว่าผมไม่กล้าเจี๊ยะคุณหรอก ผมกลัว”
“เสี่ยเพ้งก็สมเป็นเสี่ยเพ้ง มีแต่คนกล้าถึงกล้ายอมรับว่าตัวเองกลัว”
“เชิญนั่ง”
“ขอบคุณค่ะ”
วนิษานั่งลง เสี่ยเพ้งนั่งตาม
“ไม่อ้อมค้อมนะตั่วเจ๊ ผมอยากได้บ่อนของคุณ ลูกน้องคุณด้วย จะขายเท่าไหร่ว่ามาเลย”
วนิษายิ้ม “เรื่องเดิมๆ ก็บอกไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ขาย”
“คุณต้องขาย”
เสี่ยเพ้งเสียงแข็ง
“เอางี้ดีกว่า บ่อนคุณฉันก็อยากได้เหมือนกัน อยากขายเท่าไหร่ว่ามา”
เสี่ยเพ้งจ้องวนิษาตาเขม็ง วนิษาไม่สนใจ พูดต่อ
“ไม่ใช่แค่บ่อน บ้านคุณฉันก็อยากได้ พี่น้องลูกเมียคุณกี่คนฉันรับซื้อหมด ขายติดบ้านมาเลยก็ได้
แม้แต่ฮวงซุ้ยบรรพบุรุษคุณฉันก็อยากได้ กี่บาทบอกมาเลย”
เสี่ยเพ้งโกรธจนหน้าแดง
“นี่คุณกล้าดูถูกครอบครัวผมเหรอ”
“ฉันใดก็ฉันนั้น บ่อนคือบ้านของฉัน ลูกน้องคือคนในครอบครัวของฉัน ถ้าคุณคิดจะซื้อครอบครัวฉันให้ได้ ทำไมฉันจะอยากซื้อครอบครัวคุณมั่งไม่ได้”
เสี่ยเพ้งชี้หน้าวนิษา
“แล้วคุณจะเสียใจที่ตอบผมแบบนี้”
วนิษายักไหล่“เป็นคำขู่ที่น่าเบื่อมาก ไม่ใช่แค่ไม่กลัวนะ รำคาญด้วยซ้ำ”
เสี่ยเพ้งกำหมัดแน่น
“เสี่ยเพ้ง ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะบอกคุณว่าฉันไม่กลัวคุณ ถ้าคิดจะมีเรื่องกัน คุณต้องเสียมากกว่าที่คุณคิด ถ้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเราต่างคนต่างอยู่ ปลาคนละบ่อไม่เกี่ยวข้องกัน”
เสี่ยเพ้งจ้องหน้าวนิษาแล้วเดินออกไป พวกลูกน้องเสี่ยเพ้งตามออกไป วนิษาแค่นหัวเราะ จงใจให้เสี่ยเพ้งได้ยิน
ปฐมมองตามไป เห็นไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ไม่มีอะไรใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมอ่านเกมผิด มันไม่ได้ลอบกัดเรา แต่ว่าผมยิ่งเสียดาย เราน่าจะเล่นงานมัน โอกาสดีๆแบบนี้คงไม่มีมาอีก”
วนิษาไม่ตอบโต้อะไร โจมองวนิษาด้วยความชื่นชม
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 7 (ต่อ)
เสี่ยเพ้งเดินเข้ามาในบ่อน ลูกน้องเดินตามมาด้วย ลูกค้าในบ่อนเยอะแยะพอๆกับบ่อนของวนิษา
“ฉันต้องยึดบ่อนของไอ้เสี่ยป๊อกนั่นมาให้ได้ ยัยตั่วเจ๊นั่นทำมาซ่ากับฉัน ฉันจะสั่งสอนมัน รู้จักคนชื่อเพ้งคนนี้น้อยไป หึๆ โอ๊ย”
ตั๋วคอนเสิร์ตที่ขยุ้มเป็นก้อนกลม ถูกปามาโดนหน้าเสี่ยเพ้ง เสี่ยเพ้งหยิบขึ้นมาคลี่ดู พลางหันไปมองตี๋อ้วน ที่เป็นคนปามา
“อาตี๋ ทำไมทำแบบนี้ คอนเสิร์ตพี่ตู่นตู๊นนี่มันตั้งหลายพันบาทนะ ทำไมเอามาเขวี้ยงทิ้งแบบนี้”
“ป๊าเอาคืนไปเหอะ ตี๋ไม่รู้จะเอามาทำไม”
“ก็ไหนตี๋บอกจะชวนเกิร์ลเฟรนด์ไปดูไง”
ตี๋อ้วนทำหน้าเศร้า “ก็เขามีบอยเฟรนด์แล้ว”
“ก็เปลี่ยนคนสิ ผู้หญิงมีตั้งเยอะแยะ”
“ไม่ ป๊ายังไม่เคยเห็น ป๊าไม่รู้หรอกผู้หญิงคนนี้น่ารักแค่ไหน แล้วที่แฟนเขามาแกล้งตี๋ บอกป๊าให้ส่งคนไปเก็บมัน ป๊าก็ไม่จัดการมันซะที”
“ก็ป๊ายุ่งอยู่นี่นา”
ตี๋อ้วนทำหน้างอน “ก็ได้ งั้นป๊าไปไกลๆเลยไป เดี๋ยวตี๋เอาปืนไปยิงมันเอง”
“เฮ้ยๆๆ ไม่ได้ๆๆ” พลางหันไปเรียกลูกน้อง “ไปจัดการเลย ใครที่มันแกล้งลูกอั๊ว ลื้อก็ไปจัดการสั่งสอนมันซะ แต่อย่าให้ถึงตายนะ เอาแค่ร้องไห้ขี้มูกโป่งก็พอ พอใจรึยังอาตี๋”
ตี๋อ้วนยิ้มได้ “เชอะ ต้องให้ตี๋อาละวาดก่อนใช่มั้ย ป๊าถึงจะยอมสั่งลูกน้องให้”
ตี๋อ้วนคุมลูกน้องเสี่ยเพ้งยืนจังก้าดูพวกวัยรุ่นที่เดินไปมา
“แน่จริงโผล่มาเดะ เดี๋ยวจะให้ลูกน้องพ่อฉันซัดแกให้ร้องไห้เลย หายไปไหนของมันวะ อะโด่”
ตี๋อ้วนมองซ้ายมองขวา
“ไปหามันที่อื่นละกัน”
ตี๋อ้วนนำลูกน้องเสี่ยเพ้งไปทางอื่น คล้อยหลังแป๊บเดียว ป๋องกับปลายฝนก็เดินคู่กันมา
“นัดเรามาวันนี้มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ ไปหาที่นั่งคุยกันก่อนล่ะกัน”
ป๋องชี้ไปที่ร้านไอติมเล็กๆน่ารักๆ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินมาสั่งไอติม พลางนั่งคุยกันในร้าน
“วันนี้ดูนายแปลกๆไป มีอะไรรึเปล่า”
ป๋องอึกอัก “เอ่อ”
“แล้วทำไมไม่กิน อย่าปล่อยให้เรากินคนเดียวดิ”
ป๋องพยักหน้า จะตักไอติมกิน แต่บังเอิญช้อนไปโดนช้อนปลายฝน ป๋องสะดุ้ง
“ขอโทษ เราไม่ตั้งใจ”
“อะไรของนายหะ”
ปลายฝนตักไอติมกินไปเรื่อยๆ ในขณะที่ป๋องตักกินอย่างระมัดระวัง
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“ปลายฝน เอ่อ พ่อแม่เธอเป็นใครเหรอ”
ปลายฝน เงยหน้ามองป๋อง
“อะไรอ่ะ อยู่ดีๆถามเรื่องพ่อแม่”
“ก็เราอยากรู้อ่ะ”
“พ่อเราเปิดบ่อนแต่ตายไปแล้ว แม่เราก็ตายตั้งแต่เราเด็กๆ ตายก่อนพ่ออีก ทุกวันนี้เราอยู่กับแม่เลี้ยง”
“แล้วแม่เลี้ยงเธอเป็นคนยังไงเหรอ”
“เป็นคนสวย ฉลาด ดูดี พ่อเราชอบชอบแม่เลี้ยงเรามาก ตอนแรกพ่อเคยบอกเราว่าจะไม่แต่งงานใหม่ แต่พอเจอแม่เลี้ยงเราปุ๊ปก็กลับคำเฉยเลย”
“แล้วพ่อเธอตายยังไงอ่ะ”
ปลายฝนจ้องหน้าป๋อง “ถามทำไม”
ป๋องหน้าเหย ตัวลีบ
“ก็ถามไปงั้นๆ”
“ไม่จริง นายถามทำไม บอกมา วันนี้ดูนายแปลกๆ ยังกะไม่ใช่นาย แล้วยังมาชวนคุยเรื่องแปลกๆอีก”
ป๋องทำหน้าจะร้องไห้ พลางบ่นกับตัวเอง
“กูว่าแล้วต้องไม่สำเร็จ”
“บ่นอะไร นายยังไม่บอกฉันเลย ว่าอยู่ดีๆมาถามเรื่องครอบครัวฉันทำไม”
“เดี๋ยวนะ ก่อนอื่น ฉันขอถามเธออีกครั้งละกัน มีใครที่เธอไว้ใจที่สุด”
“เมื่อก่อนก็พ่อ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว มีเพื่อนสนิทที่สุดคือยัยอุ๊ ญาติที่สนิทก็ไม่มี มีลุงปฐม คนสนิทของพ่อ แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยด้วยเท่าไหร่”
“โอเค คืองี้ ฉันจะบอกเหตุผลให้เธอฟัง แต่เธอห้ามเล่าให้คนอื่นฟัง ยัยอุ๊ก็ไม่ได้ ลุงปฐมยิ่งไม่ได้ใหญ่โดยเฉพาะแม่เลี้ยงเธอ ห้ามบอกเด็ดขาด รับปากฉันได้ไหม”
ปลายฝน รีบพยักหน้า “ได้ ฉันรับปาก ว่าไง”
“ฉันเป็นนักสืบ”
ปลายฝนอ้าปากค้าง
โจเปิดประตูเข้ามาในบ้าน เจอป๋องนั่งอยู่
“ไงป๋อง”
โจหันมาเห็นปลายฝนนั่งอยู่ข้างๆ ป๋อง ก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
“หวัดดีค่ะพี่โจ”
“อะไรเนี่ย” โจยังงงๆ
“หนูรู้เรื่องหมดแล้วค่ะ”
“รู้เรื่องอะไรเหรอครับ”
“รู้เรื่องที่พี่โจเป็นนักสืบ รับงานมาจากหญิงจุ๋ม มาสืบเรื่องการตายของคุณชายแจ้กับพ่อของหนู
ว่าเป็นฝีมือของแม่เลี้ยงหนูรึเปล่า แล้วพี่ก็แกล้งความจำเสื่อมปลอมเป็นคนรถเพื่อสืบความลับของแม่เลี้ยงหนูไงคะ”
โจตะลึงอึ้งแล้วก้มหน้าหลับตาปี๋ พลางครางเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“ไอ้ป๋อง”
ป๋องรีบขานรับเสียงหวาน “จ๋า”
“ฉันจะฆ่าแก”
โจกระโดดเข้าไปบีบคอป๋อง ป๋องร้องลั่น ปลายฝนรีบเข้ามาช่วยห้าม
จากนั้นโจ ป๋อง และปลายฝน ก็พากันมานั่งกินอาหารที่ร้านริมทาง โจยังดูเคืองๆป๋องอยู่ ในขณะที่ป๋อง
ก็ยังกลัวๆ เลยนั่งห่างๆโจ
“พี่โจอย่าไปดุป๋องเลยค่ะ หนูสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ แถมหนูยังจะช่วยพี่สืบเรื่องของแม่เลี้ยงหนูด้วย”
“เห็นไหมครับ เราได้แนวร่วมเพิ่มด้วย”
โจหันมาทำหน้าดุใส่ป๋อง
“แกเงียบไปเลย ไม่ได้เรื่อง ใช้ให้ไปหลอกถาม ดันแบไต๋ตัวเองซะหมดเปลือกแบบนี้”
พลางหันมาทางปลายฝน “ เธอจะช่วยฉันจริงๆเหรอ”
“ค่ะ”
“ทำไมถึงอยากช่วยล่ะ” โจอดสงสัยไม่ได้
“หนูก็อยากรู้ว่า เพราะอะไรทำให้พ่อหนูตาย”
“แปลว่าเธอยังคาใจเรื่องการตายของพ่อเธออยู่ใช่มั้ย”
ปลายฝน หยักหน้า
“ค่ะ พ่อหนูแข็งแรงดี ไม่มีทางอยู่ดีๆจะตายแบบนั้น จริงๆแล้วถ้าพ่อหนูไม่ตาย เขาก็เป็นแม่ที่ดีมากๆ เราเข้ากันได้ดี หนูตั้งใจว่าเมื่อไหร่ที่พ่อหนูแต่งงานกับคุณวนิษา หนูจะเรียกเขาว่าแม่ด้วยซ้ำ แต่พอพ่อหนูมาตายแบบนี้ หนูชักไม่แน่ใจ”
“รักก็รัก ระแวงก็ระแวงสินะ” โจสรุป
“ทำนองนั้นแหละค่ะ”
“แล้วช่วงที่อยู่ด้วยกัน เธอไม่เห็นอะไรที่ผิดสังเกตบ้างเลยเหรอ”
“ไม่มีค่ะ หนูก็แอบสังเกตมาตลอด”
“เธออาจจะสังเกตไม่ละเอียดพอ”
“ก็ละเอียดนะคะ อย่างที่คอนโดเนี่ย หนูรื้อหมดแล้ว กุญแจห้องกุญแจตู้ หนูไขออกได้หมด รื้อข้าวของเขาออกมาดูทุกชิ้น หนูเคยแอบดูเขาอาบน้ำด้วยซ้ำ”
โจตาโต “หา แอบดูทำไม”
“อ้าว ก็เผื่อเขาจะซ่อนอะไรไว้ในตัว ตั้งแต่ตอนเขาถอดเสื้อจนถึงตอนเช็ดตัว ทุกซอกทุกหลืบในตัวเขา หนูเห็นหมดเลย ไฝอะไรในตัวเขาอยู่ ตรงไหนหนูเห็นหมดทุกจุด ว้าย พี่โจ เป็นอะไรไปคะ”
โจฟังปลายฝนจนตาลอย แล้วเลือดกำเดาก็ไหลออกมาพลั่กๆ พอรู้ตัว ก็รีบหยิบทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดเลือด อุดจมูกแล้วแหงนหน้า
“มะ ไม่มีอะไร ช่วงนี้อากาศมันร้อนไปหน่อย ไม่ต้องอธิบายแล้ว เอาเป็นว่าเธอไม่เจอพิรุธอะไรเลยใช่ไหม”
ปลายฝนพยักหน้า “ค่ะ”
โจเงียบไป ป๋องรีบเสริม
“หรือว่าคุณวนิษาจะเป็นคนบริสุทธิ์จริงๆ”
“เอางี้ปลายฝน ฉันจะบอกให้ว่าเธอต้องทำยังบ้าง ตกลงไหม”
ป๋องกับปลายฝน เดินคุยกันมาตามทาง
“นายกับพี่โจนี่สนิทกันมากเลยเหรอ”
“ฉันเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายหมด หลวงพ่อสีสุกเขารับฉันมาเลี้ยง พอวัยรุ่นฉันก็เป็นเด็กมีปัญหา ติดเกม เกเรไม่เรียนหนังสือ หลวงพ่อเลยวานให้พี่โจช่วยดูแลฉัน พี่โจเขาก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน เราก็เลยเข้าใจกัน เขาเป็นคนช่วยดึงฉันกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ ฉันก็คงเป็นพวกค้ายารอโดนจับ หรือไม่ก็โดนยิงตายแค่นั้นเอง”
ปลายฝนพยักหน้า
“ อย่างงี้นี่เอง แล้วหลังจากนั้น นายก็เลยมาเป็นผู้ช่วยพี่โจล่ะสิ”
“ยัง จริงๆแล้วพี่โจมาเป็นนักสืบเพราะเหตุผลพิเศษต่างหาก ตอนแรกไม่ได้คิดจะเป็นหรอก”
“เหตุผลอะไร” ปลายฝนถามด้วยความสนใจ
ป๋องมองไปรอบๆ กลัวโจจะแอบฟัง ก่อนจะลดเสียงลง
“พี่โจ มีสมญานามว่าโจตัวซวย”
ปลายฝนตะลึง “โจตัวซวย สมญานี้ได้แต่ใดมา”
ป๋องนิ่งคิด พยายามลำดับเรื่องว่าจะเริ่มตรงไหนดี
อ่านต่อตอนที่ 8