รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 19
ภาคย์นั่งคุยเฮฮาอยู่กับพจน์ในผับ
“พี่พจน์ พี่สุดยอดเลย เซ็ตฉากอุบัติเหตุได้เหมือนจริงมากๆ”
พจน์หัวเราะลั่น
“งานนี้พี่จ่ายไปเยอะเหมือนกัน ทั้งค่าสถานที่ค่าคน ค่าของ แต่ก็คุ้มว่ะ ยัยนั่นเชื่อสนิทเลยใช่มั้ย”
“เชื่อไม่เชื่อก็มองผมปากค้าง งงจัดว่าผมรอดมาได้ยังไง”
“แล้วไอ้นักสืบที่ชื่อโจล่ะ”
ภาคย์ยิ้มอย่างสะใจ “มันก็อึ้งไปเหมือนกัน สรุปว่าพวกนั้นเชื่อแล้วล่ะว่าผมมีดวงปรมะจริงๆ”
“ซึ่งความจริงฉันว่าแกมีดวงกามะมากกว่านะ”
ภาคย์หัวเราะชอบใจ “แล้วเอาไงต่อครับพี่”
“ตอนนี้ยัยนั่นเริ่มสนใจในตัวแกแล้ว แกต้องรีบรุก แต่งงานกับยัยวนิษาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีใครมาตัดหน้า”
“เอ แต่เท่าที่ดู เขายังดูฝังใจกับเรื่องผัวเก่าที่ตายไปสามคนอยู่นะพี่ ถึงจะเชื่อว่าผมมีดวงปรมะก็เถอะ อาจต้องใช้เวลาเหมือนกัน”
“ไม่ ฉันเข็ดแล้ว ที่ผ่านมามัวแต่ใจเย็น ยัยนั่นก็แต่งงานกับเสี่ยป๊อก แป๊บๆก็แต่งกับไอ้กริชอีก คราวนี้ผัวคนต่อไปของยัยนั่นต้องเป็นแก”
“งั้นผมจะจีบสุดฝีมือเลย ผมยังจำได้ พี่บอกว่ายัยนี่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น เดี๋ยวผมจะขยี้จุดอ่อนตรงนี้ให้น้ำตาไหลเลย”
พจน์พยักหน้า “ก็ดี แต่ฉันว่าเสียเวลาว่ะ มอมยาแล้วโชะๆๆเลยดีกว่ามั้ย ถ้าจะให้ดีทำให้ท้องซะเลย
ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง”
“เอางั้นก็ได้ครับ เรื่องถนัดอยู่แล้ว”
“เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าดวงปรมะเป็นยังไง”
วนิษาหันมาบอก เมื่อโจขับรถมาส่งเธอที่คอนโด โจฝืนยิ้มแทนคำตอบ
“เข้าใจแล้วใช่มั้ยที่ฉันบอกว่าดวงปรมะคือคำตอบของชีวิตฉัน ฉันหมายถึงอะไร”
โจได้แต่ยิ้มอีกครั้ง วนิษายิ้มเศร้าๆ แล้วเดินเข้าอาคารไป โจถอนใจ พลางขับรถออกมา แต่จู่ๆ รถที่จอดรออยู่ขับออกมาปาดหน้าขวาง ก่อนที่ระรินจะเดินลงมาจากรถ
จากนั้นทัง้คู่ก็มานั่งคุยกันที่ร้านอาหาร บรรยากาศดี
“โจ เรื่องที่ฉันพูดกับคุณครั้งที่แล้ว คุณว่ายังไงคะ”
“คำตอบของผมยังเหมือนเดิม เรื่องของเรามันจบลงไปแล้ว”
ระรินหน้าเศร้า
“โจ ทำไมคุณถึงใจแข็งอย่างนี้ ฉันขอร้องล่ะ ยกโทษให้ฉันเถอะ ฉันเคยพลาดไปแล้ว ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคุณคือผู้ชายคนเดียวที่ฉันรัก”
“ไม่ตลกไปหน่อยเหรอครับ คุณบอกรักผมคนเดียว ทั้งๆที่คุณมีแฟนใหม่อีกสองคนเนี่ยนะ”
“นั่นมันเป็นการแก้เคล็ด”
“แต่คุณด่าว่าคุณวนิษาว่าเธอแย่งคนรักไปจากคุณ”
“ต่อให้ฉันไม่รักคุณชายแจ้ หรือคุณกริช แต่สองคนนั้นก็ได้ชื่อว่าแฟนฉัน ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมให้แฟนตัวเองถูกแย่งหรอก ฉันมีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะแค้นวนิษา”
โจเงียบไป
“เราเลิกพูดถึงพวกเขาเถอะ ฉันยืนยันว่าไม่ได้รักคุณชายแจ้หรือคุณกริช ฉันรักคุณ โจ ให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะนะ”
โจส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับริน แค่คุณพูดว่าเป็นแฟนกับสองคนนั้นเพื่อแก้เคล็ด มันก็จบแล้ว ผมมันโจดวงซวย อย่าลืมสิ”
“ฉันรู้ว่าคุณจะพูดอะไร ฉันมาง้อคุณเพราะความคิดฉันเปลี่ยนไป ฉันจะไม่บังคับคุณให้ไปแก้เคล็ดหาแม่ชีที่เมืองจีนแล้ว คุณไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”
โจแปลกใจ “แล้วพ่อคุณจะรับได้เหรอ”
“ได้สิ ท่านบอกว่าไม่ต้องไปหาแม่ชีที่เมืองจีนก็ได้ แค่คุณเปลี่ยนชื่อกับนามสกุลใหม่ก็พอ ท่านไปหาชื่อกับนามสกุลใหม่มาให้คุณแล้ว พอได้ฤกษ์คุณก็เปลี่ยนชื่อ แค่นี้เอง แล้วท่านจะไม่ตั้งแง่กับคุณอีกเลย”
โจแค่นหัวเราะ
“ความคิดคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะริน ผมยังคงเป็นไอ้โจตัวซวย คุณแค่เปลี่ยนวิธีล้างซวยแค่นั้นเอง”
“โจ คุณอย่าสุดโต่งนักสิคะ แค่เปลี่ยนชื่อแค่นี้เอง แล้วฉันสัญญา ฉันจะรักคุณที่สุด จะเป็นผู้หญิงของคุณ จะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ แค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น”
“สำหรับผม ไม่ว่าจะไปหาแม่ชีที่เมืองจีน หรือเปลี่ยนชื่อ ก็มีค่าเท่ากัน แก้วหล่นจากโต๊ะหรือตกจากภูเขามันก็แตกเหมือนกัน อย่าว่าแต่เปลี่ยนชื่อเลย ต่อให้พ่อคุณบอกว่าแค่ยกมือไหว้พระ ก็แก้เคล็ดได้ ผมก็จะไม่ทำเพราะผมไม่ใช่ตัวซวย”
พูดจบ โจก็ลุกเดินออกไป ระรินร้องไห้โฮ
วนิษามาเยี่ยมหม่อมจันจิรา ที่วังวาสุวงศ์
“หม่อมแม่จำเรื่องรีสอร์ตของคุณกริชที่สวนผึ้งที่หนูเคยเล่าให้ฟังได้ไหมคะ”
หม่อมจันจิราพยักหน้า “จำได้สิ เป็นมรดกของคุณกริชที่เธอบ่นว่าเป็นทุกขลาภ”
“นั่นแหละค่ะ พอดีหนูจะต้องไปตรวจดูกิจการ ก็เลยว่าจะชวนหม่อมแม่ไปด้วย ถือเป็นการพักผ่อนดีไหมคะ”
“ขอบใจจ้ะ อยากไปด้วยแต่คงไปไม่ได้เพราะติดธุระที่สมาคม เขาจะจัดงานกันอีกแล้ว แต่คราวนี้เขาให้ฉันเป็นแม่งาน คงต้องอยู่ดูแลอะไรต่อมิอะไรให้มันเรียบร้อยน่ะ”
“แหม เสียดายจังค่ะ หนูเลื่อนทางนู้นไม่ได้ซะด้วย”
หม่อมจันจิรายิ้มให้วนิษาอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องเลื่อนให้วุ่นวายหรอก ยังไงซะ เดี๋ยวก็คงมีเวลาว่างได้ไปเที่ยวด้วยกันแน่ๆ”
ขณะที่อีกห้องหนึ่ง ม.ร.ว. จันทร์ธิดา สวมหูฟังฟังเพลงอยู่กับพจน์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ พลางเงี่ยหูฟังไปด้วย พจน์ยิ้มอย่างมีแผน จากนั้นก็หลบออกมาโทร. หาภาคย์
“ครับพี่พจน์ พร้อมครับ ไม่มีปัญหา สบายครับ ผมมียาเสียสาวตัวใหม่อยู่ ไม่มีสีไม่มีกลิ่น ละลายเร็ว แค่นิดเดียวก็หลับไม่รู้เรื่องแล้วครับ”
ภาคย์ยิ้มชั่วร้าย
“ ส่วนไอ้โจคนขับรถ ผมจัดการเองได้ไม่ต้องไปใช้คนอื่นหรอกครับ ยิ่งคนรู้มาก ยิ่งเรื่องมาก ครับๆไม่ต้องห่วงครับ”
กลางดึกภาคย์ก็ดอดมาที่บ้านโจ พลางมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าปลอดคน ก็ลอบปีนรั้วเข้าไปในบ้านอย่างเงียบกริบ ก่อนที่จะล้มนอนหงายคลานเข้าไปใต้ท้องรถของวนิษาที่จอดอยู่ในบ้าน
วนิษานั่งรอโจอยู่ที่ล็อบบี้ สีหน้าเคร่งเครียด พลันมือถือก็ดังขึ้น วนิษารีบกดรับสาย
“ว่าไงโจ ถึงไหนแล้ว เร็วๆเข้านะ วันนี้ฉันจะไปต่างจังหวัดด้วย”
ขณะที่โจโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน ข้างๆ รถวนิษา ที่เปิดกระโปรงหน้าอยู่
“ใจเย็นครับคุณวนิ ผมโทรตามช่างมาแล้ว คุณรอผมแป๊บนึงนะครับ”
“งั้นไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวฉันเอารถอีกคันไปเอง คุณอยู่ซ่อมรถให้เสร็จก่อนแล้วกัน”
“ก็ได้ครับ แล้วคุณจะไปไหนครับ” โจอดห่วงไม่ได้
“ฉันจะไปตรวจงานที่รีสอร์ตของคุณกริช ที่สวนผึ้งน่ะ”
“ค้างคืนรึเปล่าครับ”
“คงไม่หรอก ตรวจงานเสร็จก็กลับ”
“คุณวนิครับ ขับรถดีๆนะครับ”
วนิษาอึ้งไปวูบหนึ่ง “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นวนิษาก็ขับรถอีกคันหนึ่งออกทางหลวง เห็นป้ายข้างทาง เขียนว่าทางไปราชบุรี
ทางด้านโจก็ดอดมาหา อ. เม้ง ที่บ้าน
“คุณเม้ง ผมมีเรื่องมาขอคำแนะนำจากคุณหน่อยครับ”
“ยินดีครับ คุณโจ ผมยินดีต้อนรับคุณเสมอ คุณรู้ไหมว่าดวงบ่าวพิฆาตนายอย่างคุณน่ะ ไม่ใช่มีเยอะนะ หายากมาก ผมถือว่าคุณเป็นคนพิเศษจริงๆ”
“ผมจะมาถามเรื่องดวงปรมะ” โจเข้าเรื่อง
“ดวงปรมะ ในเจ็ดดวงอาถรรพ์ ดวงปรมะถือเป็นอันดับหนึ่ง”
“มันเป็นยังไงเหรอครับ”
“ทุกย่านน้ำปฐพีไม่มีภัย ทุกเวลาไม่มีเคราะห์กรายกล้ำ เหมือนว่าสวมเกราะทิพย์เลิศล้ำ เป็นดวงเหนือดวงในตำนาน ใครที่มีดวงนี้สบายใจได้ ต่อให้หลับตาเดินข้ามถนนก็ไม่มีรถวิ่งมาชน ออกรบที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวโดนยิง แคล้วคลาดตลอดกาล”
“มีคนดวงแบบนี้เยอะไหมครับ”
อ. เม้งหัวเราะ
“เมื่อกี้ผมบอกว่าดวงบ่าวพิฆาตนายอย่างคุณหายากแล้วใช่มั้ย ดวงปรมะยิ่งหาได้ยากกว่ายาก ขนาดคุณ ผมก็เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆครั้งแรกเนี่ย เพราะฉะนั้นดวงปรมะ ไม่ต้องพูดถึง อาจารย์ผมก็ไม่เคยเห็น อาจารย์ของอาจารย์ผมก็ไม่เคยเห็น ในกลอนถึงบอกไงว่าเป็นดวงในตำนาน”
“ผมเจอคนๆหนึ่งเขาบอกว่าเขามีดวงปรมะ”
อ. เม้ง ส่ายหน้า
“บอกได้เลยว่าของปลอม เจ้าของดวงนี้มักจะเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ คนธรรมดาเป็นไม่ได้หรอก”
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 19 (ต่อ)
จากนั้นโจก็พาป๋องมาวัด ที่เคยเกิดอุบัติเหตุกับภาคย์ แต่วันนี้กลับไม่มีคนมาทำงานอยู่เลย บังเอิญพระรูปหนึ่งเดินสวนมา โจเข้าไปหา พลางยกมือไหว้
“หลวงพี่ครับ ทำไมวันนี้ไม่มีช่างมาก่อสร้างศาลาเลยล่ะครับ”
“อ๋อ ผู้รับเหมาเขารับเงินแล้วก็ทิ้งงานไปเป็นปีแล้ว นี่ทางวัดก็กำลังจะหาผู้รับเหมาใหม่อยู่ แต่ยังหาไม่ได้ ก็เลยต้องปล่อยแบบนี้ไปก่อน”
“อ้าว วันก่อนผมเห็นมีคนงานมาก่อสร้างนี่ครับ”
หลวงพี่งงไปครู่ แล้วก็นึกออก
“อ๋อ มีผู้รับเหมาจะมารับงาน เขาบอกจะขอดูงานก่อนว่าเป็นไงบ้าง เขาก็พาคนงานมาตั้งนั่งร้านอะไรวุ่นวาย ทำโน่นทำนี่ได้แค่วันเดียวก็ไปเลย”
หลวงพี่เดินจากไป โจเดินกลับมาที่ที่เกิดอุบัติเหตุ พลางสำรวจอย่างละเอียด แล้วก็เห็นมีกากบาทแดงเล็กๆ สองอันบนพื้น พลางมองย้อนกลับไปที่จุดที่เคยมีนั่งร้าน
โจมองเห็นภาพตอนที่ภาคย์เดินเล็งหามุมจะถ่ายรูป แต่ความจริงกำลังขยับตัวเองมาที่กากบาทสีแดงอันแรก คนงานคนหนึ่งที่แอบอยู่ เห็นภาคย์อยู่ในมาร์กกากบาทสีแดง แล้วก็แอบดึงเชือกคลายปมที่มัดนั่งร้านไว้นั่งร้านล้มโครม โดยที่ภาคย์ปลอดภัย แล้วก็เดินออกไปหยุดที่ตำแหน่งกากบาทอันที่สอง คนงานจึงค่อยๆ ดึงเชือกคลายปมที่สอง นั่งร้านล้มโครมอีกครั้ง
ป๋องเดินตามมา มองกากบาทสีแดงด้วยความสงสัย
“กากบาทที่พื้นนี่คืออะไรเหรอพี่”
“ตรงนี้เป็นจุดที่ภาคย์อยู่ตอนแรก แปลว่ามีการคำนวนไว้แล้วว่าตรงนี้เป็นจุดปลอดภัยจุดที่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินมาหยุดจุดที่สอง แล้วค่อยปล่อยนั่งร้านให้ล้มลงมาอีกชุด”
“แปลว่างานนี้พี่โดนต้มซะสนิทเลยอะดิ”
โจถอนใจ หงุดหงิดตัวเอง ป๋องพูดต่อ
“แต่เซ็ตกันขนาดนี้ ผมว่ามันแพงแน่ๆ ทำไมต้องลงทุนขนาดนี้ เพื่อให้พี่เชื่อว่ามันเป็นดวงปรมะ”
“ไม่เกี่ยวกับฉัน คนที่มันต้องการให้เชื่อจริงๆคือคุณวนิ”
โจชักกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือถือดังขึ้น โจรีบกดรับสาย
“หวัดดีครับ”
“ฮาโหล ผมช่างซ่อมรถนะครับพี่ เจอจุดที่เสียแล้วครับ ซ่อมวันเดียวก็เสร็จ แต่จะบอกพี่ว่าพี่โดนแกล้งนะครับ”
“หมายความว่ายังไงครับ” โจแปลกใจ
“มันไม่ได้เสียเองครับ ฝีมือคนแน่ๆครับ พี่ไปทะเลาะกับใครมารึเปล่า”
“ไม่มี แน่ใจเหรอว่าคนทำ” โจถามย้ำ
“แน่ใจครับ”
โจวางสาย พลางพูดกับตัวเอง
“ ฝีมือใครวะ ใครจะอยากแกล้งเราไปเพื่ออะไรวะ”
โจขมวดคิ้ว พลางมองไปที่กากบาทบนพื้น แล้วก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้
“หรือว่าคุณวนิ”
ขณะเดียวกับที่วนิษากำลังนั่งคุยกับผู้จัดการรีสอร์ตในห้องประชุม
“คุณวิโรจน์คะ เท่าที่ฉันดูทั้งเรื่องการดูแลสถานที่ บุคลากร และเรื่องบัญชี ต้องขอชมว่าคุณวิโรจน์ทำงานได้ดีมาก สมกับที่คุณกริชไว้วางใจให้คุณดูแลที่นี่”
“ขอบคุณครับ”
“ในเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางไปได้ดีอยู่แล้ว ฉันก็คงไม่ต้องทำอะไรมาก คุณวิโรจน์บอกพนักงานได้เลยค่ะว่าที่นี่จะดำเนินงานต่อไป จะยังไม่มีการขายกิจการให้คนอื่น ทุกคนยังได้ทำงานที่นี่ ผลประโยชน์ สวัสดิการทุกอย่าง ยังเหมือนเดิม”
ผู้จัดการยิ้มกว้าง “ครับผม ทุกคนคงดีใจที่ได้ยินแบบนี้”
วนิษากำลังจะเดินไปที่รถ พลางเหลือบเห็นชายคนหนึ่งกำลังถ่ายรูปดอกไม้
“คุณภาคย์”
ภาคย์หันมา เห็นวนิษา ก็แกล้งปั้นหน้าแปลกใจและดีใจ
“คุณวนิษา มาเที่ยวที่นี่เหรอครับ”
“เปล่าค่ะ มาทำงานค่ะ คุณภาคย์ล่ะคะ”
“ก็อย่างที่เห็นครับ เวลาว่างๆผมชอบขี่มอเตอร์ไซค์ออกต่างจังหวัด เจออากาศบริสุทธิ์ ถ่ายรูปเล่นบ้าง แต่งเพลงบ้าง แวะคุยกับชาวบ้านไปเรื่อยๆน่ะครับ”
วนิษายิ้ม “ดูชีวิตมีความสุขดีจังนะคะ”
“คนโสดก็อย่างนี้แหละครับ แต่จริงๆแล้วผมอิจฉาคนที่มีครอบครัวมากกว่านะครับ ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขใช้ชีวิตกับคนที่เรารักและรักเรา ความสุขที่แท้จริงของคนเราก็คือการมีครอบครัวที่อบอุ่นครับ”
วนิษามองภาคย์อย่างชื่นชม
“แล้วคืนนี้คุณภาคย์จะพักที่ไหนเหรอคะ”
“ว่าจะขับไปเรื่อยๆนะครับ ผมก็ยังไม่ได้แพลนอะไรเลย”
“ถ้ายังงั้นพักที่นี่ก็ได้นะคะ เดี๋ยวเปิดห้องพิเศษให้พักฟรีเลย สนใจมั้ยคะ”
วนิษาเสนอ ภาคย์แกล้งออกตัวปฏิเสธ
“ขอบคุณครับแต่ไม่เอาดีกว่า ผมไปของผมเรื่อยๆดีกว่าครับ กำลังสนุกยังไม่อยากหยุดพัก”
“ถ้าเปลี่ยนใจก็เชิญเลยนะคะ เดี๋ยวฉันจะบอกผู้จัดการให้”
“แหม คุณวนิษานี่ใจดีจังนะครับ งั้นเอางี้ดีกว่าเดี๋ยวผมพาคุณวนิษาไปหาอะไรกินร้านอร่อยๆ แถวนี้ ดีไหมครับ แถวนี้ผมมาบ่อย ร้านอร่อยอยู่ตรงไหนผมรู้หมด”
“แหม พูดซะขนาดนี้ ไม่ไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
“งั้นตามมาเลยครับ”
ภาคย์เดินไปขึ้นบิ๊กไบ๊ค์ขี่ออกไป วนิษาขับรถตามออกไป
ทางด้านโจ ก็ขับรถด้วยความเร่งรีบ จนป๋องที่นั่งข้างๆ อดที่จะหันมาถามไม่ได้
“พี่จะขับไปหาเขาทำไมเนี่ย ทำไมไม่รอเขากลับมาก่อนล่ะครับ”
“มันลงมือ ทำให้รถเสียเพื่อกันฉันออกมา แปลว่าวันนี้มันต้องทำอะไรสักอย่างแน่ๆ”
“งั้นพี่ก็โทรไปเตือนคุณวนิษาก่อนสิครับ”
โจถอนหายใจ “เตือนได้ยังไง ในเมื่อเราไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่าง เรื่องดวงปรมะ มันก็บอกว่าคนอื่นบอกมัน มันก็แค่เล่าให้ฟัง ไม่เกี่ยวกับตัวมัน เรื่องอุบัติเหตุนั่นก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นการจัดฉาก แค่รอยกากบาทบนพื้น มัดตัวมันไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องรถยิ่งแล้วใหญ่ ฝีมือใครก็ไม่รู้”
“ผมเป็นลูกน้องคุณวนิษาน่ะครับ โทร. นัดไว้แล้วว่าจะเอาเอกสารมาให้เซ็น แต่ผมมาช้าไป”
โจรีบแนะนำตัวกับผู้จัดการรีสอร์ต
“คุณวนิษาเธอออกไปซักชั่วโมงนึงแล้วครับ”
“บอกหรือเปล่าครับว่าจะกลับกรุงเทพ”
“เปล่าครับ พอดีเธอเจอเพื่อน เลยจะไปทานข้าวด้วยกันก่อน”
“เพื่อน? บังเอิญจังนะครับ” โจแอบประชด
“ครับ เห็นว่าเป็นช่างภาพน่ะ รู้สึกเพื่อนเธอจะชื่อภาคย์หรือไงเนี่ยแหละครับ”
โจยิ้มเล็กน้อย “ภาคย์”
ในขณะที่ภาคย์ก็พาวนิษา มานั่งทานอาหารที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง
“รีสอร์ตนี่อาจจะไม่หรูเท่าของคุณกริช แต่เรื่องพ่อครัว ผมกล้าท้าชนเลย”
“ถ้ามีฝีมือจริง เดี๋ยวฉันซื้อตัวไปอยู่ที่รีสอร์ตของฉันซะเลย”
ภาคย์หัวเราะ พร้อมๆกับที่เด็กเสิร์ฟยกอาหารมาเสิร์ฟ
“แหม แค่ได้กลิ่นก็สงสัยจะอร่อยจริงๆด้วยค่ะ”
ภาคย์ยิ้มรับ “บรรยากาศก็ดีด้วยครับ มีดอกไม่แปลกๆหายาก เห็นกล้วยไม้นั่นไหมครับ
หายากมากนะครับ”
วนิษาหันไปดูกล้วยไม้ ระหว่างนั้นภาคย์รีบหยิบไซรินจ์ยาขนาด 3 ซีซีออกมาจากกระเป๋า ข้างในมีของเหลวใสเตรียมอยู่แล้ว พลางฉีดของเหลวใสใส่แก้วน้ำดื่มของวนิษา ปากก็ชวนคุยไปด้วย
“ผมเคยเห็นแต่ในป่าลึก ความพิเศษของมันอยู่ที่สีกับลวดลายที่ไม่เหมือนใคร นักเลงกล้วยไม้มาเห็นนี่น้ำลายหกแน่ๆ ถ้าคนไหนขี้อิจฉาหน่อยอาจจะแจ้งตำรวจให้ตรวจสอบว่ากล้วยไม้นี้ ท่านได้แต่ใดมา”
วนิษาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับมา ขณะที่ภาคย์หย่อนไซรินจ์ลงพื้น แล้วเตะเขี่ยออกไป
โจขับรถอย่างรวดเร็ว ขณะที่สายตาก็มองซ้ายขวาไปด้วย จนมองเห็นท้ายรถของวนิษาที่ลานจอดรถ โจรีบขับลงข้างทาง จอดรถในพุ่มไม้รกๆ ก่อนจะรีบลอบเข้าไปในรีสอร์ต จนเห็นวนิษากับภาคย์ที่ห้องอาหาร จากนั้นก็ลัดเลาะตามสุมทุมพุ่มไม้ค่อยๆ เข้าไปใกล้ๆ
“ก็ดูปกติดีนี่หว่า”
โจกำลังจะถอยออกมา พลันสายตาก็เหลือบเห็นไซรินจ์ใต้โต๊ะอาหาร โจเอะใจ หยิบกล้องส่องทางไกลออกมา ส่องดู
“ทำไมถึงมีหลอดฉีดยา หรือว่า”
โจส่องบนโต๊ะ
“อาหารก็มีแต่ของเผ็ดๆแหะ มันวางยาไปแล้วจะล่อให้คุณวนิกินน้ำเยอะๆ”
โจเห็นวนิษายื่นมือจับแก้วน้ำ จะยกดื่ม แต่ก็เปลี่ยนปล่อยมือกินข้าวต่อ ในขณะที่ภาคย์ทำหน้าลุ้นและผิดหวัง
“ไอ้ภาคย์ ไอ้สารเลวเอ๊ย นึกว่ายอดฝีมือที่แท้ก็โจรบ้ากาม”
วนิษายกแก้วน้ำอีกขึ้น
“อย่าเพิ่งกินน้ำนะครับ คุณวนิ”
โจรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
“อาหารค่อนข้างเผ็ดนะครับ กินน้ำซักนิดดีกว่า”
ภาคย์แกล้งบอกกับวนิษา
“ค่ะ แต่ก็อร่อยนะคะ”
โจวิ่งมาถึงบริเวณที่จอดรถ พลางพุ่งกระโดดถีบรถของวนิษา ที่กำลังจะจิบน้ำ ทันใดนั้นเสียงสัญญาณเตือนภัยของรถวนิษาก็แผดเสียงดังลั่นขึ้น
วนิษารีบวางแก้ว
“เสียงจากรถฉันนี่นา”
วนิษารีบลุกขึ้น เดินออกไป ภาคย์มองแก้วน้ำด้วยความเสียดาย แต่ก็ได้แต่รีบเดินตามวนิษาออกไป
โจวิ่งลัดสนามหญ้ากลับมา พุ่งเข้าไปในร้าน อาศัยจังหวะที่พวกพนักงานในร้านชะเง้อชะแง้ไปทางที่จอดรถ เข้าไปที่โต๊ะของวนิษากับภาคย์ หยิบแก้วน้ำของวนิษามาดู แล้วก็เห็นว่ายังไม่มีรอยริมฝีปาก
“โชคดี ยังไม่ได้กิน”
โจสลับแก้วน้ำบนโต๊ะ แล้วหยิบไซรินจ์ติดมือออกมาด้วยก่อนวิ่งกลับมาหลบในพุ่มไม้ พร้อมๆ กับที่วนิษากับภาคย์เดินกลับมาที่โต๊ะ
“คันนี้ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ระบบกันขโมยคงรวนน่ะค่ะ”
ภาคย์พยายามข่มอารมณ์ “ ทานข้าวกันต่อดีกว่าครับ วันนี้อาหารเผ็ดจัง สงสัยแม่ครัวมือหนักไปหน่อย”
“นั่นสิคะ”
ภาคย์ยกแก้วย้ำขึ้นดื่ม วนิษายกดื่มตาม ภาคย์แอบยิ้ม ในขณะโจแอบดูภาคย์ แล้วแอบหัวเราะ
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 19 (ต่อ)
วนิษายืนดูพนักงานกับผู้จัดการรีสอร์ตช่วยกันหิ้วปีกภาคย์เข้ามานอนในห้องพักห้องหนึ่ง
“ขอบใจมากนะคะ”
“ท่าทางจะไม่ตื่นง่ายๆนะครับเนี่ย สงสัยจะหลับยาว”
วนิษาพยักหน้า
“นั่นสิคะ ท่าทางเหมือนอดนอนมาหลายวัน อืม ถ้าอย่างนั้นนอกจากห้องนี้แล้ว ฉันขอเปิดห้องพักเพิ่มอีกห้องนะคะ ไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียวแบบนี้”
“เอ่อ พอดีช่วงนี้เราปรับปรุงห้องพักอยู่ เหลือห้องอยู่ไม่มาก ตอนนี้ก็เต็มหมดแล้ว เหลือห้องนี้ห้องเดียว ถ้าคุณผู้หญิงจะอยู่ดูเพื่อน คงต้องอยู่ด้วยกันน่ะครับ”
วนิษาอึ้งไปครู่หนึ่ง “ก็ได้ค่ะ”
ผู้จัดการเดินนำวนิษาออกไปตามทางเดิน โจออกมาจากหลังเสาที่แอบฟังอยู่
“ค้างคืนห้องเดียวกันเนี่ยนะ”
พลันเสียงฟ้าร้อง ก็ดังมาจากข้างนอก
“ฝนจะตกอีก อะไรจะเป็นใจขนาดนี้”
โจล้วงกระเป๋าหยิบหลอดไซรินจ์ที่ภาคย์ทิ้งออกมา แต่ยังมีตัวยาเหลือติดหลอดอยู่ ก่อนจะรีบเข้ามาในห้อง แล้วจับภาคย์บีบปากอ้าออก เขย่าๆ ยาที่เหลือค้างในหลอดไซรินจ์ให้ลงปากภาคย์ให้หมด
“หลับให้ถึงเช้าเลยนะ ถ้าตื่นกลางดึกล่ะก็ แกตาย”
โจที่นอนอยู่ริมระเบีบง ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พลางมองเข้าไปในห้อง เห็นทุกอย่างยังเป็นปกติ ก็รีบเผ่นออกไป ในขณะที่วนิษา ที่นอนอยู่ที่โซฟาขยับตัวแล้วนอนต่อ ภาคย์ที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พลางลืมตาโพลงมองไปรอบๆ งงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”
ภาคย์เลิกผ้าห่มขึ้น ดูสภาพตัวเองใต้ผ้าห่ม
“ทำไมเสื้อผ้ามันครบเครื่องงี้วะ หรือว่าโชะๆๆแล้วใส่เสื้อผ้ากลับเข้าไปใหม่ เอ ยังไงแน่วะเนี่ย”
วนิษาตื่นขึ้นมา เห็นภาคย์ก็ยิ้มดีใจ
“คุณภาคย์ เป็นไงบ้างคะ รู้สึกปวดหัวหรืออะไรบ้างไหมคะ”
ภาคย์สั่นหน้า
“เมื่อวานจู่ๆทานข้าวอยู่ คุณก็หลับไปเลย ฉันใจไม่ดี ไม่แน่ใจว่าคุณเป็นอะไรไปรึเปล่า”
“ผมน่ะเหรอหลับไปเอ หรือว่าเรากินน้ำผิดแก้ว”
ภาคย์พึมพำกับตัวเอง
“อะไรนะคะ”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร แล้วนี่ อย่าบอกนะครับว่าคุณวนิษาอยู่นี่เพื่อเฝ้าดูอาการผม”
“ค่ะ ฉันไม่รู้จะติดต่อกับใคร จะปล่อยคุณไว้คนเดียวก็ไม่ได้เผื่อคุณเป็นอะไรขึ้นมาตอนดึกๆ ฉันก็เลยอยู่คอยดูคุณน่ะค่ะ”
ภาคย์อึ้งไป พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกไปช่วงขณะหนึ่ง
“เอ่อ ผม ผมขอบคุณคุณวนิษามากนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ค่ะ”
พจน์นั่งคุยกับภาคย์ที่คอนโด คุยไปพลางจิบเครื่องดื่มไปด้วย
“แกจะเอาไข่ลวกหน่อยมั้ย เดี๋ยวสั่งให้ จะได้มีแรงคุยกันนานๆหน่อย สงสัยเมื่อคืนหมดแรงไปเยอะนะ ฮ่าๆๆ”
พจน์หัวเราะร่วน
“เอ่อ...เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะครับพี่”
“อะไรนะ แกไม่ได้โชะยัยวนิษาเหรอ”
ภาคย์สั่นหน้า
“ทำไม” พจน์ย้อนถาม
“ผิดแผนนิดหน่อยครับ”
พจน์จ้องหน้าภาคย์ “ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ขอเตือนแกไว้นะไอ้ภาคย์ แกมันเด็กกำพร้า ไม่มีเส้นสาย ไม่มีความรู้ความสามารถอะไร ถ้าแกเป็นผัวยัยวนิษาไม่ได้ ชีวิตแกก็จะไม่มีอะไรทั้งนั้น แกจะได้เป็นราชาหรือยาจกก็ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจสิครับ ที่ผ่านมาชีวิตผมเจอแต่คนเอารัดเอาเปรียบ กดขี่สารพัด กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ไม่รู้โดนเหยียบมาเท่าไหร่ ไม่มีใครเคยห่วงใยผมจริงๆหรอก”
“แล้วก็จะไม่มีวันมีด้วย ถ้าแกไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นหาทางแต่งงานกับยัยนั่น แล้วก็เชือดมันซะเร็วๆ เข้าใจมั้ย”
ภาคย์เงียบไป ในขณะที่สีหน้าสับสน
ขณะที่โจนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่บ่อน พลางสะดุดตากับคอลัมน์ซุบซิบคอลัมน์หนึ่ง
“หมอเม้ง จิตทิพย์ ออกบู๊ธที่งานการกุศลอีกแล้ว ใจบุญจริงจริ๊ง แฟนๆเจอกันได้ที่โถงโรงแรมเคเจยู
ได้เลยเจ้าค่ะ”
ครู่หนึ่งวนิษา ก็เดินออกมาจากด้านในของห้องทำงาน โจเก็บหนังสือพิมพ์ลุกขึ้นยืน
“ไปไหนดีครับ”
“นึกที่ทานข้าวกลางวันอร่อยๆให้หน่อยสิ”
โจยิ้มให้วนิษา แล้วตอบยาวเป็นชุด
“อยากได้แบบไหนล่ะครับ ไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น อินเดีย ถ้าไทยจะเอาเหนือ ใต้ อีสาน ถ้าจีนจะเป็นฮกเกี้ยน กวางตุ้ง หรือปักกิ่ง ถ้าฝรั่งจะเอาอเมริกา หรือยุโรป ถ้ายุโรปจะเอาฝรั่งเศส อิตาลี หรือสแกนดิเนเวีย”
“พอๆๆ เอาเป็นว่าไม่เน้นสัญชาติ เอาอร่อย แล้วก็สบายๆ พอดีคุณภาคย์นัดฉันกินข้าวกลางวัน
เพื่อขอบคุณที่ฉันช่วยเขาไว้”
โจพยักหน้ายิ้มๆ “อ๋อ นัดคุณภาคย์ไว้ งั้นต้องไปนี่เลย ดอนหอยหลอด”
“มีอะไรอร่อยเหรอ”
“แมงดาย่างครับ กินกับน้ำจิ้ม อย่างงี้เลย”
“ไกลไป เอาใกล้ๆหน่อยสิ”
โจทำท่าจะพูดอะไร แต่สายตาหันไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ ก็เปลี่ยนความคิด
“อ้อ นึกออกแล้วครับ ที่โรงแรมเคเจยูครับ ไม่ไกลมาก บรรยากาศดี อาหารอร่อย บรรยากาศสบายๆ อย่างที่คุณวนิรีเควสมาเลยครับ”
วนิษาพยักหน้า พลางหยิบมือถือออกมากดส่งข้อความ โจยิ้มเล็กน้อย
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 19 (ต่อ)
โจกับวนิษาเดินเข้ามาในล็อบบี้ของโรงแรม เห็นภาคย์ยืนรออยู่แล้ว โจรอห่างๆให้วนิษาเข้าไปทักภาคย์
“สวัสดีค่ะคุณภาคย์”
“สวัสดีครับ”
“หิวหรือยังคะ”
“นิดหน่อยครับ ผมไม่เคยมาที่นี่ คุณวนิษานำเลยดีกว่าครับ”
วนิษายิ้มให้ภาคย์
“ฉันก็ไม่เคยมาเหมือนกันค่ะ แต่โจ คนขับรถฉัน เขาแนะนำที่นี่ โจ”
วนิษาหันมาเรียก โจพยักหน้ารับทราบ ก่อนที่จะเดินนำทั้งสองไปที่ร้านอาหาร ระหว่างทาง โจจงใจเดินผ่านบริเวณที่กำลังมีการเตรียมจัดบู๊ธการกุศล เห็น อ. เม้ง จิตทิพย์ กำลังคุยอยู่กับคนจัดอีเว้นต์อยู่ โจตั้งใจเดินผ่านให้ อ. เม้งเห็น ซึ่งได้ผล
“สวัสดีครับคุณโจ สวัสดีครับคุณวนิษา”
โจทำทีเป็นแปลกใจ “อ้าว อาจารย์เม้ง สวัสดีครับ”
วนิษาฝืนยิ้ม “สวัสดีค่ะ”
อ. เม้งยิ้ม “บังเอิญจังนะครับ”
“อาจารย์เม้งมาออกงานเหรอครับ”
“ครับ เป็นงานการกุศลน่ะครับ คนเราต้องหมั่นทำบุญมากๆ ลดความเห็นแก่ตัว จิตใจจะได้ผ่องแผ้ว”
“อ้อ ลืมแนะนำ นี่คุณภาคย์ครับ” พลางหันมาทางภาคย์ “นี่อาจารย์เม้ง จิตทิพย์ คิดว่าคุณภาคย์คงเคยได้ยินชื่ออาจารย์มาบ้าง”
อ. เม้งยิ้มให้ภาคย์ “สวัสดีครับ”
ขณะที่ภาคย์แอบตกใจ
“สวัสดีครับ” พลางรีบหันทางบอกวนิษา “เราไปกันเถอะครับ คุณวนิษา ผมชักจะหิวขึ้นมาแล้วล่ะครับ”
วนิษารับคำ โจขยับมายืนขวางภาคย์ไว้แบบเหมือนไม่ตั้งใจ พลางหันมาพูดกับ อ. เม้ง
“คุณภาคย์นี่ไม่ธรรมดาเลยนะครับอาจารย์เม้ง มีคนทักเขาว่ามีดวงปรมะด้วย”
อ. เม้งท่าทางแปลกใจและสนใจมาก
“จริงเหรอครับ คุณมีดวงปรมะเหรอครับ”
ภาคย์ฝืนยิ้ม “มีคนอื่นบอกผมอีกทีน่ะครับ จริงไม่จริงผมก็ไม่ทราบ ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย”
“งั้นก็เป็นโอกาสดีเลยสิครับ คุณภาคย์ ให้อาจารย์เม้งช่วยตรวจสอบให้เลย”
โจรีบบอก ภาคย์รีบบอก
“แต่ว่า ผมเกรงใจน่ะครับ กลัวจะรบกวนอาจารย์ วันหลังให้ผมไปหาอาจารย์เม้งถึงสำนักเลยดีกว่านะครับ วันนี้ผมขอตัวก่อนดีกว่า”
“ไม่เป็นไร เจอหน้ากันวันนี้ถือว่ามีวาสนา มาๆๆ ผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร กว่างานจะเริ่มก็บ่ายๆ”
ภาคย์อิดออด โจรีบพูดเสริม
“อาจารย์เม้งเค้าคิวทองมากเลยนะครับ วันนี้เจออาจารย์ว่างพอดี ถือว่าโชคดีมากเลยนะครับ”
วนิษา ช่วยพูดด้วยอีกคน
“เอาสิคะ คุณภาคย์ ไหนๆก็เจออาจารย์แล้ว”
ภาคย์ยิ้มละเหี่ย พลางเดินมาหา อ. เม้งที่ยืนรอตรงที่ค่อนข้างสว่าง อ. เม้งยิ้มๆ แล้วมองหน้าภาคย์ แต่ยิ่งมองยิ่งพิจารณาก็ยิ่งหน้าเครียด จนในที่สุดถึงกับเหงื่อตก ท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดูตื่นเต้นและประหม่า
“ขอวันเดือนปีเกิดหน่อยครับ”
ภาคย์ยิ้มแหยๆ พลางส่งบัตรประชาชนให้ อ. เม้งรับไปดู โจแอบยิ้มกระหยิ่ม แต่แล้วโจก็อึ้ง เมื่อเห็น
อ. เม้งคุกเข่าลงตรงหน้าภาคย์ แล้วโค้งคำนับจนหัวแตะพื้น
“ขอคำนับท่าน ท่านคือเทวดาในหมู่มนุษย์ ท่านคือดวงปรมะ ดวงของยอดคน ท่านคือคนเหนือคน เป็นบุญของผมที่ได้รู้จักท่าน”
ภาคย์อึ้ง พลางแค่นหัวเราะ
“ไม่ต้องมาอำแบบนี้หรอกครับอาจารย์ ผมไม่ใช่ตัวตลกนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น คุณคือดวงปรมะจริงๆ”
ภาคย์ขมวดคิ้ว “พูดจริงเหรอครับ”
“จริงที่สุด ผม เม้ง จิตทิพย์ ไม่พูดเล่นเรื่องแบบนี้แน่นอน ผมขอย้ำ คุณคือดวงปรมะ”
วนิษารีบพูดเสริม “ดวงอาถรรพ์อื่นๆทำร้ายเขาไม่ได้ใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ ไม่มีเคราะห์หรืออาถรรพ์อะไรจะทำร้ายเขาได้ เขาคือคนเหนือดวง”
“อาจารย์แน่ใจเหรอครับ ผมเป็นลูกกำพร้า ไม่ได้เกิดในบ้านเจ้านายที่ไหนนะ”
อ. เม้ง โบกมือ “ไม่จำเป็น ดวงคุณไม่จำเป็นต้องพึ่งอะไรแบบนั้น เชื่อผมเถอะ คุณคือดาวฤกษ์ที่รอวันจรัสแสง”
ภาคย์หัวเราะ
“เอางี้ละกันครับ ผมจะจำที่อาจารย์บอกผมไว้ วันไหนที่ผมจรัสแสงผมจะกลับมาตอบแทนคำพยากรณ์ของอาจารย์ในวันนี้”
“ไม่จำเป็น แค่ได้เห็นคุณก็ถือเป็นบุญของผมแล้ว ขอถ่ายรูปที”
อ. เม้งรีบส่งมือถือให้โจ ที่ยังยืนงงๆอยู่
ภาคย์กับวนิษาเดินไปคุยไปที่ร้านอาหาร ท่าทีของวนิษาที่มองภาคย์ยิ่งดูชื่นชมมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้โจ ที่เดินตามมาห่างๆ ยิ่งหงุดหงิด
“ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็นอาจารย์เม้งทำแบบนั้นกับใครเลยนะคะ ปกติแกจะดูหยิ่งๆด้วยซ้ำ ไม่ว่าเศรษฐีมีเงินแค่ไหน แกก็ไม่เคยพินอบพิเทาอะไร อย่าว่าแต่คุกเข่าคำนับคุณขนาดนี้เลย”
“ผมก็ทำตัวไม่ถูกเลยครับ เขินอยู่เหมือนกัน”
วนิษายิ้มกว้าง “แสดงว่าดวงปรมะนี่ต้องเป็นดวงที่ยิ่งใหญ่จริงๆนะคะ”
“อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆครับ แต่ไม่ว่าในอนาคต ผมจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่กับคุณวนิษาแล้ว ผมก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นเองครับ”
โจยิ่งฟังภาคย์ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น
โจขยุ้มคอเสื้อเม้ง แล้วดันโครมเข้ามาในห้องน้ำ
“แสบมากนะไอ้เม้ง ฉันนึกว่าแกเป็นหมอดูที่มีจรรยาบรรณ ที่แท้แกก็ขายตัวได้เหมือนกัน มันให้เงินแกเท่าไหร่ หา”
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“ดวงปรมะไง ไหนแกบอกไม่มีจริง แล้วเมื่อกี้พ่นอะไรออกไป”
อ. เม้ง มองหน้าโจ
“คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณภาคย์มีดวงปรมะจริงๆ ผมเองก็ไม่อยากเชื่อ แต่ไม่เชื่อก็ไม่ได้ คุณก็รู้คนอย่างอาจารย์เม้งเงินมหาศาลก็ซื้อผมไม่ได้ ปืนขู่ไม่ได้ ผมพูดแต่ความจริง”
ท่าทีของ อ. เม้งทำเอาโจจ๋อย
“ผมจะเตือนคุณนะ ถ้าคุณเป็นศัตรูกับคุณภาคย์ คุณนั่นแหละจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ย่อยยับซะเอง
ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้ นี่คือดวงของผู้ยิ่งใหญ่ ภายในสิบปีนี้ ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่ทั่วโลกต้องรู้จักเขา”
“เว่อร์ไปรึเปล่า”
“ผมเอาหัวเป็นประกัน ไม่เชื่อคุณคอยดูแล้วกัน”
แล้ว อ. เม้ง ก็เดินออกไป ทิ้งโจอึ้งอยู่คนเดียว
“คนอย่างไอ้ภาคย์เนี่ยนะ”
“คุณวนิษาครับ ความจริงวันนี้ผมมีเรื่องสำคัญอยากบอกคุณครับ”
ภาคย์เอ่ยกับวนิษาเมื่อนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะอาหาร
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
ภาคย์ทำเป็นเขิน “ผม เอ่อ อะแฮ่ม ผมรักคุณวนิษาครับ”
วนิษาอึ้งไปครู่หนึ่ง
“คุณภาคย์ เอ่อ ฉันขอบคุณมากค่ะ สำหรับสิ่งที่คุณมอบให้ ฉันปลื้มใจค่ะที่ผู้ชายดีๆอย่างคุณ
รู้สึกดีๆแบบนี้กับฉัน”
“แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกยังไงกับผม” ภาคย์ย้อนถาม
“ฉันอาจจะรู้สึกกับคุณแบบเดียวกับที่คุณรู้สึกกับฉันก็ได้ แต่สำหรับฉัน เรื่องนี้ต้องใช้เวลาค่ะ ฉันไม่สามารถรักใครได้ในเวลารวดเร็วแบบนี้ เข้าใจนะคะ”
“แต่ก็ไม่ได้รังเกียจผมใช่ไหมครับ”
วนิษายิ้มจริงใจ
“ไม่ค่ะ คุณภาคย์เป็นผู้ชายที่จิตใจดี ดีจนหาได้ยาก ฉันไม่มีวันรังเกียจคุณหรอกค่ะ”
“คุณวนิษาครับ ผมไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติกอะไร ผมทำอะไรเก๋ๆแบบที่คนอื่นทำไม่เป็น แต่ผมขอใช้ความจริงใจของผมแทนก็แล้วกันนะครับ”
ภาคย์หยิบกล่องกำมะหยี่ที่เตรียมมา เปิดออก เห็นแหวนเพชรวงหนึ่งส่องประกายอยู่ในนั้น
“แต่งงานกับผมนะครับ”
“คุณภาคย์ คุณไม่คิดเหรอคะว่ามันเร็วไป เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานนี้เองนะคะ”
ภาคย์ ส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่เร็วไปหรอกครับ ผมรอมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะเจอใครซักคน ตอนนี้ผมเจอคุณ ผมรู้ว่าคุณคือคนที่ใช่คนนั้น ผมไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป”
“คุณภาคย์ คือว่า ฉัน”
วนิษามองภาคย์อย่าง ลำบากใจ
“ผมสัญญา ผมจะดูแลคุณอย่างดี เราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ครอบครัวเล็กๆ มีพ่อ มีแม่ แล้วก็ลูกๆ ครอบครัวของเราจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นที่สุด เราจะสร้างครอบครัวนี้ขึ้นด้วยกัน”
วนิษารู้สึกซาบซึ้ง จนเริ่มลังเล
“แต่งงานกับผมนะครับคุณวนิษา”
“คุณก็รู้ดีเกี่ยวกับตัวฉัน ฉันกลัวคุณจะมีอันเป็นไปถ้าเราแต่งงานกัน”
ภาคย์แกล้งยิ้มให้วนิษา
“คุณไม่ได้ยินอาจารย์เม้งบอกเหรอครับ ผมเป็นดวงปรมะ ดวงที่ต่อให้ชะตาร้ายๆก็ทำอะไรผมไม่ได้
แต่งงานกับผมนะครับ”
วนิษาถอนหายใจ “ฉันขอเวลาคิดอีกสักนิดเถอะ นะคะ”
“กี่นาทีดีครับ”
“ซักสองเดือนแล้วกันค่ะ”
“นานไปครับ ผมให้เวลาคุณหาคำตอบ สามวันแล้วกันนะครับ”
วนิษาจ้องหน้าภาคย์ “สามวันเอง”
“สำหรับผม สามวันนี้ คงยาวนานเหมือนสามล้านปีเลยนะครับ”
“ค่ะ สามวันก็สามวันค่ะ”
ภาคย์ยิ้มอย่างตั้งความหวัง ในชณะที่วนิษาสับสน
อ่านต่อตอนที่ 20