xs
xsm
sm
md
lg

หางเครื่อง ตอนที่ 19

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หางเครื่อง ตอนที่ 19

บ้านของรวิ ขำนั่งซ่อมเครื่องไม้เครื่องมืออยู่ ที่ไหล่ก็เหน็บโทรศัพท์เอียงคอคุยไปด้วย

“อืม ยังไม่ติดต่อกลับมาเลยเดือน แล้วเดือนล่ะเป็นไงมั่ง หายดีแล้วเหรอ เฮ้อ เหงาสิเดือน มองไปทางไหนก็เจอแต่ฝาบ้านกะแมงมุม ยิ่งพอลุงแกมาไปอีกคนยิ่งเซ็งใหญ่ อืมโอเค ถ้าเดี๋ยวรวิติดต่อมาแล้วชั้นจะรีบโทรไปบอกนะ จ้า”
ขำยื่นหน้าปล่อยให้โทรศัพท์ไหลลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้ข้อศอกกดวางสายเพราะมือยังติดพันอยู่ แล้วกวาดสายตาเหมือนจะมองหาเครื่องมืออะไร
“หายไปไหนวะ เฮ้อ ว่าจะไม่ลุกแล้วนะเนี่ย”
ขำลุกขึ้นเดินไปหาเครื่องมือตรงตู้ ก่อนจะบังเอิญไปหยิบเจอรูปรวิเลยหยิบขึ้นมาดู เป็นรูปของรวิในชุดพระเอกลิเกที่ถ่ายกับทุกๆ คน ขำมองด้วยสีหน้ากังวลใจ
“แกอยู่ไหนของแก รวิ”

รวิเดินสะพายกระเป๋าแซ็กโซโฟน ท่าทางเหน็ดเหนื่อยเต็มที่ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเงินออกมาดู
ที่มือรวิมีแบงค์ 20 อยู่ 2 ใบกับเศษเหรียญอีกไม่กี่เหรียญ เขามีสีหน้าเคร่งเครียด เก็บเงินใส่กระเป๋าเหมือนเดิมแล้วตัดสินใจเดินต่อ สายตาก็มองข้างทางไปเรื่อยๆ
เสียงดนตรีลอยมา สายตาของรวิ มองหาที่มาของเสียง พลันสายตาเห็นร้านอาหาร ร้านหนึ่งมีวงดนตรีเล่นอยู่
เขาหยิบแซ็กโซโฟนของตัวเองขึ้นมาจ้องดูแล้วยิ้มออกมา สีหน้าเริ่มมีความหวังขึ้นมาทันที รวิสูดลมหายใจเต็มที่ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

วันต่อมาที่โรงพยาบาล พิมุกนอนห่มผ้าอยู่บนเตียงคนไข้ สายตาเหม่อลอย เตี้ยกับบ่างเดินถือถุงอาหารเข้ามา
“มาแล้วๆ ก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ”
“ขนมนมเนยก็มีนะจ๊ะพี่”
สายตาพิมุกยังคงเหม่อลอยไม่สนใจเตี้ยกับบ่าง เตี้ยไปเข็นโต๊ะอาหารเข้ามา ส่วนบ่างไปหยิบจานชามมาเทอาหารใส่ ปากก็พูดไปเรื่อย
“ชั้นรู้น้า ว่าพี่เบื่อกับข้าวโรงพยาบาลเต็มทีละ ชั้นแอบกินทุกวันยังเบื่อเลย ใช่มั้ยไอ้บ่าง” บ่างกำลังแอบจกอาหารใส่ปากอย่างเมามัน “ไอ้บ่าง ทำไร” บ่างสะดุ้ง แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ “ไอ้นี่ ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร เดี๋ยวให้พี่พิเค้าลุกขึ้นมาเตะก้านคอซะนี่”
พิมุกหันขวับมาจ้องทั้งคู่ทันที สีหน้าดุดัน
“แหม นิดหน่อยเอง พี่พิคงไม่มาวิ่งไล่เตะชั้นหรอกใช่มั๊ยจ๊...”
บ่างพูดยังไม่ทันจบ หมอนก็ปลิวลอยมาใส่หน้า ตามด้วยของอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมกับเสียงโวยวายของพิมุก
“ไป! จะไปไหนก็ไป!ไปให้พ้นข้าเดี๋ยวนี้ ไป”

เตี้ยกับบ่างวิ่งหลบกันชุลมุน พากันวิ่งหนีออกไปนอกห้องสวนกับศิริพรที่เดินถือตะกร้าของเยี่ยมเข้ามา
“เอะอะโวยวายอะไรน่ะ เสียงดังออกไปข้างนอกเลย”
พิมุกหันขวับมาจ้องหน้าศิริพร
“มาทำไม”
ศิริพรยักไหล่เดินเอาของเยี่ยมมาวางกระแทกบนเตียง
“ชั้นก็มาเยี่ยมเพื่อนที่แสนดีอย่างเธอไงจ๊ะพิมุก”
“ไปให้พ้นๆ เลยนะ เธอเองใช่มั้ย ที่เป็นคนยุนังแก้วให้มันทำบ้าๆ แบบนั้น”
ศิริพรลอยหน้าลอยตา
“พูดอะไรบ้าๆ ชั้นจะทำแบบนั้นทำไมกัน”
“อย่ามาสะตอ รีบไปให้พ้นๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ ก่อนที่ชั้นจะทนไม่ไหว”
ศิริพรปรายตามามองพิมุกเหยียดๆ
“ทนไม่ไหวแล้วจะทำไม จะลุกขึ้นมาวิ่งไล่ชั้นด้วยสภาพแบบนี้งั้นเหรอ”

ศิริพรกระตุกผ้าห่มที่คลุมพิมุกอยู่ออกอย่างแรง เผยให้เห็นว่าขาทั้งสองข้างของพิมุกถูกตัดออกมีแต่ผ้าพันแผลไว้ ศิริพรปรายตามามองแล้วก็หัวเราะ
“น่าสมเพชจริงๆ”
“แก อีปีศาจ ชั้นจะบอกตำรวจเรื่องที่แกเผาบ้านของเดือน แล้วก็บอกกับทุกคนว่าแกเป็นคนยังไง”
พิมุกกระชากแขนศิริพรเข้ามาบีบคอ ศิริพรดิ้นทุรนทุรายก่อนจะคว้าตะกร้าของเยี่ยมได้แล้วกระแทกไปที่ขาของพิมุกอย่างแรง
“โอ๊ย”
พิมุกร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ศิริพรเอามือกุมคอตัวเองไอแค่กๆ
“หยุดบ้าได้แล้ว คนที่แกต้องโกรธน่ะไม่ใช่ชั้น แต่เป็นพวกนั้นตะหาก” ศิริพรเดินเข้าไปใกล้พิมุกที่ยังคงทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดอยู่ “คิดดูดีๆ สิ ป่านนี้มันนั่งหัวเราะเยาะแกแล้ว ที่แกอยู่ในสภาพนี้ก็ไม่ใช่เพราะพวกมันเหรอ เพราะพวกมันรวมหัวกัน แกเลยต้องมากลายเป็นไอ้ด้วนแบบนี้”

พิมุกยังคงมีสีหน้าเจ็บอยู่ แต่ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นสีหน้าโกรธจัดเพราะคำยุแยงของศิริพร

ที่กองถ่าย ทวีศักดิ์วางตารางงานลงบนโต๊ะ เดือนหันกลับไปมองเห็นทวีศักดิ์ยืนยิ้มอยู่

“ตารางงานที่เราต้องไปเดินสายโปรโมทหนังกันจ้ะเดือน” เดือนยิ้มกว้างออกมา รีบหยิบตารางงานขึ้นมาดูอย่างดีใจ ป้อมที่ยืนอยู่ข้างๆ ยื่นหน้าเข้ามาดูแล้วหันไป ดี๊ด๊ากัน “ไหวแน่นะครับเดือน หลายจังหวัดเลยนะ”
เดือนพยักหน้ารับยิ้มแย้ม
“แน่นอนค่ะ อุ้ย มีที่บ้านเราด้วยพี่ป้อม”
“อ๊าย เริ่ดอ่ะ กลับไปเดินเชิดเจิดจรัสได้เลย”
“จะได้กลับไปไหว้แม่ด้วย อีกไม่นานแล้วนะแม่ เดือนจะจัดงานแม่ให้ใหญ่อย่างที่ตั้งใจเลย” ทวีศักดิ์ทำหน้าแปลกใจ “เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ”
ทวีศักดิ์พยักหน้ารับเข้าใจ
“ครับ แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยเดือนก็บอกได้เลยนะครับ”
“แค่นี้เดือนก็ตอบแทนคุณทวีศักดิ์ไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ”
“คิดมากน่าเดือน เออ แล้วเรื่องของ เอ่อ นายรวินั่นน่ะ ไปถึงไหนแล้ว”
เดือนหน้าสลดลง สายตาทอดยาวเหม่อมองออกไป

ช่วงเย็น ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งมี นักดนตรีเล่นกันอย่างเมามันส์ ส่วนที่ลานจอดรถของร้านอาหาร เสียงแตรรถดังลั่น รวิที่ยืนชะเง้อมองวงดนตรีอยู่สะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย ตกลงจะให้จอดตรงไหนวะ”
คนที่อยู่ในรถเปิดกระจกออกมา ชะโงกหน้าตะโกนถามรวิ สีหน้าไม่พอใจ รวิพยักหน้ารับนอบน้อม รีบวิ่งไปที่รถ แต่ไม่ทัน เจ้าของร้านวิ่งมายกมือไหว้รถคันนั้น
“ขอโทษครับพี่ เด็กใหม่มันยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เดี๋ยวพี่มาจอดตรงนี้ก็ได้ครับ” เจ้าของร้าน โบกรถให้เสร็จก็เดินมาด่ารวิทันที “ให้มาโบกรถ ไม่ได้ให้มายืนเหม่ออะไรอยู่แบบนี้ จะทำมั้ยงานอ่ะ”
“ทำครับ ทำ”
รวิพยักหน้ารับ นอบน้อม
“แล้วเดี๋ยวมายกลำโพงอีกตัวขึ้นไปที่เวทีให้เค้าด้วย ไม่ต้องให้ตามอีกนะ”
รวิพยักหน้าไม่พูดอะไรได้แต่เดินตามไป

เจ้าของร้านเดินมาชี้ที่ลำโพงที่อยู่ข้างล่างเวที
“เอ้า เดี๋ยวยกตัวนี้ขึ้นไปเปลี่ยน ระวังๆ ด้วยละ”
รวิก้มหน้าก้มตาเดินไปยกลำโพงเดินไปจะขึ้นเวที พื้นบันไดที่จะก้าวขึ้นมีตะปูโผล่ออกมา รวิแบกลำโพงเดินมา ท่าทางทุลักทุเลเพราะหนัก จังหวะที่เท้าก้าวขึ้นไปเท้าไปเหยียบโดนที่ตะปู
“โอ๊ย”
รว ร้องลั่นเซลงมาจนพลาดลำโพงหลุดมือกระแทกพื้น
“ทำอะไรของแกวะเนี่ย ข้าวของพังหมด” เจ้าของร้านต่อว่า รวิหน้าตาเหยเกเพราะเจ็บเท้า ที่เท้ารวิมีเลือดไหลออกมา “แล้วโดนอะไรอีกล่ะนั่น รีบๆ ไปหลังร้านเลยไป ลูกค้าเห็นเดี๋ยวกินไม่ลงอีก ไป”
รวิกัดฟันลุกขึ้นเดินกะเผลกเข้าไปหลังร้าน

หลังร้าน รวินั่งลงที่เก้าอี้เก่าๆ จัดแจงถอดรองเท้าออกเห็นเป็นแผลเลือดไหลโชก แม่ครัวในร้านเดินมาเห็นเข้าพอดี
“อ้าว เฮ้ย ไปโดนอะไรมาวะนั่น”
“นิดหน่อยจ้ะป้า”
“เออๆ ไปล้างแผลก่อนดิ เดี๋ยวข้าเอายากับผ้าติดแผลมาให้”
“ขอบคุณมากจ้ะป้า”
“เฮ้อ อย่างนี้ล่ะ เกิดเป็นลูกจ้างเค้าก็ต้องอดทนหน่อย ไอ้เจ้าของร้านนี้ยิ่งงกๆ อยู่ด้วย”
รวิพยักหน้ายิ้มๆ ก้มลงมองดูแผลตัวเองแล้วก็ถอนใจ

อีกด้านหนึ่งที่บ้านรวิ ภาพในจอทีวีเห็นไชยา มิตรชัยในชุดลิเกกำลังรับพวงมาลัยจากแม่ยกอยู่
“และนี่ล่ะครับ พระเอกลิเกเงินล้านนัยน์ตาหวานปานนมข้น ชายรวิ”
เสียงขำเอ็คโค่ ซึ่งขำยืนเลียนแบบท่าทางพิธีกรอยู่ ใส่เสื้อสูทผูกหูกระต่าย แต่ท่อนล่างใส่บอกเซอร์
“เฮ้อ เหมือนคนบ้าเลยว่ะ พูดอยู่คนเดียว” ขำเดินเซ็งไปทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ “โอ๊ย เบื่อๆ อะไรวะเนี่ย”
ขำบิดขี้เกียจไปมาจนไปเห็นซองสีน้ำตาลวางอยู่ที่โต๊ะ เลยหยิบออกมาเปิดดู
ซองที่ขำหยิบขึ้นมา ข้างในเป็นรูปถ่ายของลิ้นจี่ที่คุยกับลูกค้า ขำทำท่าครุ่นคิดนึกถึงคำพูดเทพ
“อ้อ แล้วก็อย่าลืมเอาหลักฐานเพิ่มเติมไปให้ตำรวจด้วยล่ะ นภาเค้าอุตส่าห์หามาให้”
“เกือบลืมไปเลย เอาไปให้ตำรวจเลยดีกว่า”

ขำลุกขึ้นถือหลักฐานจะวิ่งออกจากบ้านไป แต่นึกขึ้นได้เลยวกกลับมาจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา

รถเลี้ยวเข้ามาในร้านอาหาร รวิถือไฟฉายวิ่งกะโผลกกะเผลก ไปโบกรถให้เข้ามาจอด
 
รถที่เข้ามาจอดเปิดประตูลงมาเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ชายพอลงมาจากรถได้ก็เดินนำเข้าไปก่อน เหลือแต่ผู้หญิงเดินตามหลังสีหน้าไม่พอใจ จนเหลือบมาเห็นรวิ
“อุ๊ย เด็กรถร้านนี้หล่อจัง” รวิพยักหน้ายิ้มๆ แต่ผู้หญิงส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ “ขาไปโดนอะไรมาจ๊ะ”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”
“โถ น่าสงสารจัง อ่ะนี่จ้ะทิป เอาไปซื้อยานะจ๊ะ”
ผู้หญิงยื่นแบงค์ร้อยออกมาให้รวิสองใบ รวิทำท่าลังเลแต่ฝ่ายหญิงคะนั้นคะยอ เขาเลยเดินไปยกมือไหว้กำลังจะเอื้อมมือไปรับ แต่มีมือของผู้ชายคนหนึ่งที่ยื่นมาดึงเงินไปอย่างรวดเร็ว
“หนอย เผลอไม่ได้ นังนี่”
“อะไรเนี่ย ให้เค้าไปสิเค้าอุตส่าห์โบกรถให้”
“กูไม่ให้ รีบเข้าร้านไปเลยเร็วๆ จะกินข้าวหรือจะกินอย่างอื่น” ผู้ชายง้างมือขึ้น ฝ่ายหญิงได้แต่กระฟัดกระเฟียดเดินสะบัดเข้าร้านไป ผู้ชายชี้หน้ารวิ “ไอ้นี่ก็เหมือนกัน โบกรถดีๆ เผือกจะมายุ่งกับเมียคนอื่น อยากโดนใช่มั้ย” ผู้ชายคนนั้นผลักรวิจนล้ม ก่อนจะชี้หน้าแล้วเดินเข้าไปในร้าน “เป็นแค่เด็กโบกรถก็หัดเจียมตัวซะบ้างนะ ถุย”
รวิหน้าตาเหยเกเพราะเจ็บแผล ก้มลงไปมองที่เท้าเห็นมีเลือดไหลซึมออกมาจากผ้าพันแผลที่พันไว้

หลังร้านอาหาร รวินั่งพันผ้าพันแผลใหม่เสร็จ เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำขึ้นมากระดกเอาๆ ลูกแม่ครัวเดินเอาข้าวมาให้รวิ
“กินข้าวซะก่อนสิพี่ ชั้นแอบเอามาให้ก่อน” รวิยิ้มให้ เอื้อมมือไปรับมากินอย่างหิวโหย “หิวล่ะสิ ตั้งแต่เช้าชั้นยังไม่เห็นพี่กินอะไรเลย” รวิตักข้าวเข้าปาก หันมายิ้มให้ยังไม่ตอบอะไร “ค่อยๆ กินก็ได้จ้ะ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
ลูกแม่ครัวยื่นขวดน้ำมาให้ รวิกำลังจะรับมาดื่ม จึงหวะนั้นแปรงล้างห้องน้ำกับถังที่ถูกโยนมากระแทกพื้นเสียงดังข้างหน้ารวิ
“มันใช่เวลากินเหรอนั่น” เจ้าของร้านเดินมายืนจ้องสีหน้าดุ “จัดแจงล้างห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเลยนะ ไม่งั้นก็ไม่ต้องกินอะไร แล้วนั่นล่ะไม่ทำงานทำการมานั่งเฝ้าผู้ชายเหรอไง”
ลูกแม่ครัว หน้าเสีย รีบลุกเดินหายเข้าไปในครัว เจ้าของร้านเดินมาจ้องหน้ารวิอย่างเหยียดๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้าน รวิพยายามอดกลั้นเต็มที่ มือของรวิกำหมัดแน่น

อีกด้านหนึ่งที่บ้านกิม กิมนั่งเท้าแขน ร้องไห้สีหน้าเคร่งเครียดอยู่
“นังแก้วนะนังแก้ว ไปอยู่ไหนของเอ็ง ทำไมเอ็งทำแบบนี้ โธ่ๆ”
กิมนั่งคร่ำครวญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ กิมหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะหยิบขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล ใครวะจะโทรมาทำไม”
จากที่ร้องไห้อยู่กิมเปลี่ยนเป็นตาโตแปลกใจเอามือขึ้นมาปิดปาก

เช้าวันใหม่ คนขับรถกำลังทยอยขนของขึ้นรถตู้ ทวีศักดิ์ยืนคุมอยู่ เดือนกับป้อมเดินถือกระเป๋าเข้ามาหน้าตายิ้มแย้ม
“จริงๆ ให้เดือนไปกับรถของทีมงานก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องลำบากเอารถไปอีกคันเลย”
“ได้ไง เดือนเป็นดารานะ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรซักหน่อย”
ทวีศักดิ์หัวเราะ
“ไปคันนี้ล่ะดีแล้วเดือน จะได้ดูแลกันได้ง่ายด้วย”
“ก็เอาขึ้นหิ้งไว้ซะเลยสิ จะได้ดูแลได้ทุกซอกทุกมุม”

สายสมรเดินหน้าตาถมึงทึงเข้ามา ทวีศักดิ์ถอนหายใจเบือนหน้าหนี เดือนไม่พูดอะไร รีบขึ้นรถไปกับป้อม แต่ป้อมแอบเบะปากใส่ สายสมรหันไปบอกคนขับ
“เอากระเป๋าชั้นขึ้นไปด้วย”
ทวีศักดิ์หันมาจ้องหน้า สีหน้าไม่พอใจ
“นี่คุณจะทำอะไรเนี่ย”
“ก็ไปกับคุณไง”
“คุณจะไปทำไม ก็ไหนบอกกลัวแดดกลัวร้อน”
“ชั้นเปลี่ยนใจแล้ว ทำไม ไม่ได้หรือไง หรือว่าจะไปทำอะไรนอกเหนือจากงาน”
สายสมรปรายตาไปมองเดือนที่นั่งอยู่บนรถตู้ เดือนแกล้งมองไปทางอื่น
“ก็ตามใจ แล้วอย่ามาบ่นก็แล้วกัน”

สายสมรเดินเชิดหน้าจะขึ้นรถ
“ช่วยเขยิบไปนั่งข้างหลังด้วย ตรงนี้มันที่สำหรับชั้นกับคุณทวีศักดิ์” สายสมรบอก เดือนพยักหน้ารับ แล้วรีบลุกไปนั่งด้านหลัง ป้อมลุกตามอย่างไม่พอใจ แล้วแกล้งยกเท้าขึ้นมาวางบนเบาะทำเป็นผูกเชือกรองเท้า “นี่แก” ป้อมไม่พูดอะไรลอยหน้าลอยตาตามเดือนไปนั่งหลัง สายสมรกระฟัดกระเฟียด เดินขึ้นไปเอามือปัดๆ ก่อนจะนั่งลง “เอ้า ขึ้นมาสิคุณ” ทวีศักดิ์ส่ายหน้า แล้วเปิดประตูด้านหน้าขึ้นไปนั่งข้างคนขับ “นี่คุณ”

ป้อมหัวเราะคิกคัก เดือนรีบสะกิดเตือน แต่ป้อมไม่หยุดจนสายสมรหันมามองค้อนแล้วปิดประตูกระแทกดังปัง รถเคลื่อนตัวออกไป
 
อ่านต่อหน้า 2

หางเครื่อง ตอนที่ 19 (ต่อ)

ที่ลานจอดรถของค่ายเพลง ศิริพรเปิดประตูลงจากรถ กดล็อกประตูแล้วเดินมาข้างหน้ารถปรายตามองดูรถป้ายแดงของตัวเองอย่างพอใจ ก่อนจะเดินกรีดกรายจะเข้าไปในบริษัท

“ศิริพร”
ศิริพรชะงักมองหาที่มาของเสียง แก้วโผล่หน้าออกมาจากหลังกำแพงท่าทางหวาดระแวง ศิริพรตกใจ มองซ้ายมองขวา ก่อนจะรีบลากแก้วไปตรงที่ลับตาคน
“เธอมาได้ยังไง ไม่หนีไปเหรอ เดี๋ยวตำรวจก็แห่กันมาหรอก”
“เธอต้องช่วยชั้นนะ”
“ช่วยบ้าช่วยบออะไรของเธอ”
แก้วเดินไปจับแขนศิริพร
“เราร่วมมือกันทำอะไรตั้งหลายอย่าง ตอนนี้ชั้นกำลังแย่ เธอก็ต้องช่วยชั้นสิ”
ศิริพรสลัดแขนออก มองแก้วหัวจรดเท้า
“หึ พูดอะไรชั้นไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ไม่ใช่เวลามาสะตอ เธอต้องช่วยชั้น”
ศิริพรปรายตาเดินมองรอบๆ ตัวแก้ว ก่อนจะเบะปากใส่
“โทษทีนะ ไม่ใช่เรื่องของชั้น”

ศิริพรพยายามจะเดินหนี แต่แก้วดึงกลับมา
“หยุดเลยนะ ถ้าเธอไม่ช่วยชั้น ชั้นจะแฉเรื่องทุกอย่าง ที่เธอเคยทำเอาไว้”
“ต๊าย ชั้นต้องกลัวด้วยเหรอเนี่ย ลืมไปแล้วเหรอว่าเธออยู่ในฐานะอะไรตอนนี้ ใครเค้าจะไปเชื่อเธอ”
“แต่”
“เรื่องทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นน่ะ มันเกิดจากความโง่ของพวกแกทุกคนนั่นล่ะ แค่โดนชั้นปั่นนิดหน่อยก็เชื่อแล้ว แต่ก็ต้องขอบใจนะ ทำให้ชั้นขึ้นมาถึงตรงนี้ได้เร็วกว่าที่คิด”
“นี่แกหมายความว่า”
ศิริพรลอยหน้าลอยตา พยักหน้ารับ
“ใช่ เรื่องของนังเดือนกับพิมุกน่ะ มันไม่มีทางอยู่แล้ว เพราะนังเดือนมันไม่เล่นด้วยตั้งแต่แรก เหมือนที่พิมุกมันไม่เอาแกไง” หน้าแก้วเริ่มแดงเพราะโกรธจัด “ส่วนเรื่องงาน นังเดือนมันจำใจกลับมารับงานเพราะอยากจะเอาเงินไป
ช่วยรวิตะหาก แหม แต่ช่างเหมาะเจาะจริงๆ แกดันมาขโมยปืนชั้นไปพอดี ทีนี้ชั้นก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ปั่นให้แกกัดกันเอง ชั้นก็ได้มาเป็นตัวจริงแทนพวกแกแล้ว”
“นี่แก แกหลอกใช้ชั้นเหรอ”
“ใช่สิ ขนาดนี้แล้วยังจะโง่ไม่รู้ตัวอีกเหรอแก้ว” แก้วโกรธจัด ตรงเข้าทำร้ายศิริพร ศิริพรแกล้งกรีดร้องโวยวายขึ้น
“อ๊าย อย่านะแก้ว มอบตัวเถอะนะ”
รปภ.และคนอื่นๆ ที่อยู่แถวนั้นรีบกรูกันเข้ามาเพราะเสียงศิริพร ศิริพรแกล้งล้มลงไปนั่งกับพื้น ทำท่าหวาดกลัว
“เฮ้ยนี่มันน้องแก้วที่หนีคดีอยู่นี่”

คนอื่นๆ รีบเข้ามาประคองศิริพรให้ลุกขึ้น แก้วเห็นคนกรูกันเข้ามาก็ตกใจ เลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก
“แก้ว มอบตัวเถอะนะ ยังไงชั้นจะพยายามช่วยเธอเต็มที่” แก้วจ้องหน้าศิริพรอย่างอาฆาต ก่อนจะวิ่งหนีไป
“ตำรวจ โทรหาตำรวจเร็วค่ะ พรไม่อยากให้เพื่อนทำผิดไปมากกว่านี้”
ศิริพรแกล้งตีหน้าเศร้า มองดูคนอื่นๆ ที่วิ่งตามแก้วและโทรหาตำรวจ แล้วยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ

รถตู้ของทวีศักดิ์เลี้ยวเข้ามาจอดบริเวณที่จัดงานโปรโมท คนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้ สายสมรเดินเชิดกางร่มลงมาตามด้วยเดือนกับป้อมที่มองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้นดีใจ ทวีศักดิ์ลงจากรถลงมายืนมองรอบๆ แล้วหันไปบอกเดือน
“นี่ไง วันนี้เราเริ่มที่นี่กันที่แรก”
เดือนกับป้อมเดินชะเง้อสำรวจรอบๆ
“ไม่เจอบรรยากาศแบบนี้มานานแล้วนะพี่ป้อม คิดถึงจัง”
“นั่นสิ เห็นแล้วอยากแดนซ์อยากส่ายให้ไส้มันพันกัน”
ทวีศักดิ์เดินเข้ามาคุยกับเดือนไม่สนใจสายสมร
“นั่นไงเวที เดี๋ยวพอรถทีมงานมาก็ให้เตรียมเซ็ทได้เลย”

ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น พอเห็นเดือนต่างก็ชี้ไม้ชี้มือให้ดูกันใหญ่ เดือนหันไปยิ้มและโบกมือทักทายกับทุกคน
“ไม่ทันไรแฟนคลับก็มารอแล้วนะเดือน”
“ขับไล่สิไม่ว่า”
ทุกคนหันไปมองสายสมรด้วยหางตา ยกเว้นเดือนที่หลบสายตา ไม่พูดอะไร
“หลังจากโปรโมทเสร็จ หนังของผมต้องรายได้ทะลุแน่ ได้แฟนคลับของเดือนมาช่วย”
เดือนยิ้ม แล้วหันไปบอกกับป้อม
“อยากให้ถึงวันที่กลับบ้านเร็วๆ จัง”

“ใช่ๆ พวกนั้นต้องกรี๊ดกร๊าดกันยิ่งกว่าทุกทีแน่ๆ”

สายสมรเบะปากเดินกลับขึ้นไปนั่งบนรถ นั่งโบกพัดไปมา ทวีศักดิ์หันมาถามเดือนกับป้อม

“หิวกันหรือยังครับ แถวนี้มีร้านเต็มเลย เดือนอยากทานอะไรกันครับ”
เดือนหันไปมองป้อมที่พยักหน้ารับเอามือลูบท้อง
“งั้นเอาเป็น...”
เดือนชะเง้อมองไปที่ร้านอาหาร ภาพในระยะไกลเห็นรวิเดินกะเผลกหิ้วถุงอาหารพะรุงพะรังออกมาจากร้านอาหาร
“อุ๊ย เดือน หอยทอดร้านนี้น่ากินจัง”
เดือนหันขวับมาที่ร้านที่ป้อมบอก เลยไม่ทันได้เห็นรวิ
“งั้นร้านนี้ก็ได้จ้ะ คุณทวีศักดิ์คะ ร้านนี้ค่ะ”
“ไปเร็วๆ เถอะ เจ๊อยากกินหอย ทอดแล้ว”
ทวีศักดิ์ยิ้มพยักหน้ารับ เดินนำเดือนกับป้อมไป รวิเดินกะเผลกเข้ามา แขวนถุงอาหารไว้ที่มอเตอร์ไซค์ ก่อนจะสตาร์ทแล้วขี่ออกไปโดยไม่ทันเห็นเดือนเช่นกัน

รวิวางถุงอาหารไว้ที่โต๊ะข้างหน้าเจ้าของร้านที่นั่งคุยอยู่กับนักดนตรีคนอื่นๆ
“วันนี้ไอ้จ๊อบมันมาไม่ได้นะพี่”
“เฮ้ยๆ ไม่ได้นะโว้ย วันนี้ลูกค้าจองโต๊ะไว้เยอะ ตามมันมาเล่นให้ได้เลยนะ”
“โธ่พี่ มีแค่ไหนก็เล่นแค่นั้นสิ นี่ก็เล่นเป็นวงได้แล้ว”
“เรื่องอะไร แบบนี้ข้าก็ขาดทุนอ่ะดิ ถ้ามาไม่ครบหักเงินนะโว้ย”
นักดนตรีหันไปมองหน้ากัน ท่าทางกังวล
“ให้ชั้นเล่นแทนมั้ยพี่” รวิถามขึ้นมา ทุกคนหันขวับมามอง
“เอ็งเล่นได้เหรอวะ”
“ได้สิจ๊ะ ก็ทีแรกชั้นกะว่าจะมาสมัครเป็นนักดนตรี”
“ไม่ต้องมาเผือก แกมาเล่นแล้วใครจะโบกรถ ล้างห้องน้ำ” เจ้าของร้านบอก
“โธ่พี่ ก็ให้มันลองหน่อยดิ จะได้เล่นครบๆ ไง”
“ไม่ได้เว้ย วงแก แกก็แก้ปัญหาเอาเองดิ ไอ้หน้าจืดนั่นแกรีบมาเอาข้าวแก แล้วจะไปไหนก็ไปเลยไป”
รวิเหลือบตาไปมองนักดนตรี เห็นแอบเบะปากใส่เจ้าของร้าน รวิส่ายหน้า หยิบข้าวห่อของตัวเองแล้วเดินไปด้านหลัง

รวินั่งลงี่หลังร้านถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะแกะห่อข้าวออกมากิน เขาตักข้าวเข้าปาก 2-3 คำก่อนจะเหม่อมองใจลอย ภาพที่รวินั่งกินข้าวหยอกล้อกับเดือนหวนกลับมาในความทรงเขา
สีหน้ารวิสลดลง เขาวางช้อนลง เพราะกินไม่ลง ได้แต่นั่งเศร้าเพราะคิดถึงเดือน

เดือนนั่งเขี่ยอาหารในจานไปมาด้วยอาการเหม่อลอยไม่ต่างจากรวิ ภาพในความคิดของเดือน เป็นภาพที่นั่งกินข้าวหยอกล้อกับรวิ แกล้งกันไปมา
“เดือน เดือน” เดือนสะดุ้งหันมาหาป้อม “ไม่กินล่ะ เป็นอะไรเปล่านั่งเหม่อเชียว”
“นั่นสิ ไม่อร่อยเหรอ เปลี่ยนร้านมั้ย” ทวีศักดิ์ถามเสียงดัง
เดือนกับป้อมหันไปมองรอบๆ เห็นแม่ค้าหันขวับจ้องเขม็งมาเลยรีบพูดเสียงดัง
“อร่อยค่ะอร่อย”
“ใช่ๆ อร่อยมาก หอยก็ใย๊ ใหญ่ เนอะ แม่ค้าเนอะ” ป้อมหันไปบอกแม่ค้า
“ผมพูดดังไปเหรอ” ทวีศักดิ์กระซิบถาม

เดือนกับป้อมพร้อมใจกันหันมายิ้ม พูดพร้อมกัน
“ค่ะ / ย่ะ”
ทวีศักดิ์ยิ้มแหยๆ หน้าเจื่อนไป
“ว่าแต่เดือนไม่เป็นอะไรแน่นะ” ป้อมถามเดือน
“ไม่จ้ะ อากาศมันร้อนน่ะ เลยกินอะไรไม่ค่อยลง”
“โถ น่าสงสาร มาพี่ช่วย”
ป้อมลากจานเดือนไปตักแบ่งใส่จานตัวเองหน้าตาเฉย เดือนมองยิ้มๆ แล้วหันไปถามทวีศักดิ์
“แล้วคุณสายสมรล่ะคะ เธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยนี่คะ”
“ช่างเค้าสิ ไม่ใช่เด็กแล้ว หิวก็น่าจะลงมาหาอะไรกิน เดือนน่ะห่วงตัวเองเหอะ กว่าจะแสดงก็ตั้งค่ำๆ โน่น เดี๋ยวก็หิวแย่”

เดือนมองกลับไปที่รถ เห็นประตูรถเปิดอยู่สายสมรนั่งโบกพัดเช็ดเหงื่อไปเรื่อย

สายสมรนั่งโบกพัดอยู่ในรถสีหน้าเหนื่อยอ่อน เดือนถือแก้วน้ำยื่นมาให้

“ชาเย็นไม่หวานค่ะ คุณสายสมร” สายสมรหันขวับมามอง ก่อนจะเบะปากแล้วเบือนหน้าหนี “ซักหน่อยเถอะค่ะ อากาศร้อนเดี๋ยวคอแห้งแย่เลยนะคะ” สายสมรยังคงนั่งเชิดไม่สนใจ “งั้นเดือนวางไว้ตรงนี้นะคะ แล้วก็นี่ ผัดไทยของชอบของคุณ เดือนวางไว้ด้วยกันนะคะ”
เดือนวางแก้วไว้ตรงที่วาง ตามด้วยกล่องอาหาร แล้วหันหลังกลับจะเดินไป
“เดี๋ยว”
เดือนชะงักหันกลับมามอง
“รู้ได้ยังไงว่าชั้นชอบอะไร”
เดือนยิ้มให้ มองหน้าสายสมร
“เดือนไม่รู้หรอกค่ะ คนที่รู้และจำได้คือคุณทวีศักดิ์ค่ะ” เดือนพูดจบทำท่าจะเดินไป แต่นึกอะไรขึ้นได้เลยหันกลับมาพูด “อ้อ ถ้าไม่ใช่คนสำคัญเค้าคงไม่มาจำอะไรแบบนี้หรอกค่ะ”
สายสมรทำหน้าแปลกบอกไม่ถูกมองตามเดือนที่เดินไปก่อนจะหันกลับมามองที่อาหารและแก้วน้ำ เธอทำหน้าลังเล ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม แอบอมยิ้มเล็กๆ

ที่บ้านพิมุก พิมุกกำลังนั่งกรอกดินสีดำๆ ลงในขวด ข้างๆ ตัวมีขวดที่กรอกเสร็จแล้ว มีชนวนต่อสายวางอยู่
พิมุกทำหน้าตาน่ากลัว เตี้ยกับบ่างยืนซุบซิบกันแอบอยู่หลังเสา เอามือปิดหู ท่าทางหวาดกลัว

อีกด้านหนึ่งทีมงานกำลังจัดเตรียมเวทีและป้ายโปรโมทหนังมีทวีศักดิ์คุมอยู่ เดือนยืนอยู่กับป้อมมองดูทีมงานทำงานอยู่ ป้อมยืนกุมท้องกระสับกระส่ายไปมา
“เป็นอะไรพี่ป้อม”
“อู๊ย พี่ปวดท้องน่ะ สงสัยกินเยอะไป”
“เอ๊า งั้นก็ไปเข้าห้องน้ำสิ”
ป้อมส่ายหน้า ยืนบิดไปมา
“ไม่เอาอ่ะ ตะกี๊แว่บไปดูมาละ ไม่ไหวจะเคลียร์ เดี๋ยวไปเข้าที่โรงแรมดีกว่า”
“แล้วจะไหวเหรอเนี่ย”
ป้อมพยักหน้า สูดลมหายใจลึกๆ หน้าแดง ทวีศักดิ์เดินเข้ามาพอดี
“เป็นไงเดือน เตรียมพร้อมมั้ย”
“เดือนพร้อมค่ะ แต่พี่ป้อมท่าทางจะไม่พร้อม”
ทวีศักดิ์ทำหน้าสงสัยหันไปมองป้อมที่ยืนหน้าแดงเป่าปากอยู่
“อ้าว เป็นอะไรอ่ะครับ”
“ปวดท้องเมนส์ย่ะ”
ทวีศักดิ์ทำหน้าอึ้งๆ มองแปลก
“พี่ป้อมเขาปวดท้องน่ะค่ะ แต่ไม่อยากเข้าแถวนี้ เห็นบอกว่าไม่โอ”
“เอ๊า งั้นเอาไงดี เออ งั้นเดี๋ยวไปเข้าที่ร้านอาหารละกัน พอดีต้องไปสั่งข้าวให้ทีมงานอยู่แล้ว เดี๋ยวผมไปด้วยเลย”
“จะดีเหรอคะ เกรงใจค่ะ”
“ดี ไม่ต้องเกรงใจ!คนกันเอง ไปเถอะ”
ป้อมบอกแล้วคว้ามือเดือน อีกมือหนึ่งปิดก้นวิ่งไปที่รถทันที ทวีศักดิ์ยืนทำตาปริบๆ ก่อนจะเดินตามไป

ที่ลานจอดรถของร้านอาหาร รวิยืนกระหย่องกระแหย่ง เพราะยังเจ็บขา คอยโบกรถที่เข้ามาในร้าน รถของทวีศักดิ์เลี้ยวเข้ามาในร้าน รวิรีบวิ่งทั้งๆ ที่ยังเจ็บขาอยู่ ไปโบกรถ ภาพที่กระจกรถทวีศักดิ์เห็นรวิยืนโบกรถอยู่
“เอ๊ะ นั่นมัน”
“มีอะไรเหรอคะ”
“จะมีอะไรก็ช่างมันเหอะ รีบๆ จอดเร็วเร๊ว”
รถจอดยังไม่สนิทดี ป้อมเปิดประตูรถ รีบวิ่งตรงดิ่งหายไปทันที รวิเดินมาเป็นจังหวะเดียวกับที่เดือนตามลงมาจากรถ เดือนหันหน้ามาเจอกับรวิทันที ทั้งคู่ต่างตกใจ
“พี่รวิ”
ทวีศักดิ์ลงมาจากรถเดินอ้อมมาพอดี
“นาย”

รวิมองหน้าเดือนกับทวีศักดิ์ ไม่พูดอะไร ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินกะโผลกกะเผลกหนีไป
“เดี๋ยวสิพี่รวิ”
เดือนทำท่าจะเดินตาม แต่ทวีศักดิ์ห้ามไว้ก่อน
“เดือน อย่าพึ่งเลย”
“แต่ว่า”
“เชื่อผมเหอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งเลย”

เดือนมองหน้าทวีศักดิ์ แล้วมองตามรวิไปสีหน้าดูเป็นห่วงเป็นที่สุด
 
อ่านต่อหน้า 3

หางเครื่อง ตอนที่ 19 (ต่อ)

รวิเดินหน้าเสียมาที่หน้าห้องน้ำ ยืนลังเลว่าจะเอายังไงดี เขาหัวฟัดหัวเหวี่ยง เดินไปหยิบไม้ถูพื้นมาขัดถูพื้นอย่างแรง
 
ป้อมเดินออกมาจากห้องน้ำท่าทางสบายอารมณ์
“อุ๊ย น้องขัดเบาๆ สิฮ๊า กระเด็นโดนพี่หมดแล้ว” รวิขัดพื้นอย่างแรงหันหลังก้มหน้าอยู่เลยไม่เห็นป้อม “เอ๊ะ น้องไม่ได้ยินเหรอ เดี๋ยวก็จับมาทำสามีซะนี่” รวิหันขวับกลับมา“รวิ”
“พี่ป้อม”
ป้อมกับรวิมองหน้ากันแล้วพากันตกใจ

รวิกับป้อมนั่งคุยกันอยู่ที่หลังร้าน
“ก็ทำไงได้ล่ะพี่ป้อม จะมามัวเลือกงานก็อดตายพอดี”
“งั้นก็กลับบ้านไปสิ มาทนให้เค้าจิกหัวใช้ทำไม”
“กลับไปก็ไม่รู้จะทำอะไร แถมเรื่องของชั้นก็ยังลือกันไม่เลิก”
ป้อมทำท่าหงุดหงิด
“แกจะไปสนอะไรกับขี้ปากชาวบ้าน พวกนั้นมันสักแต่ว่ามีปากก็พูดกันไปเรื่อย”
“เอาน่า เดี๋ยวชั้นลองดูลู่ทางอีกทีก่อน เผื่อเค้าเปลี่ยนใจให้ชั้นเล่นดนตรี”
“ถ้ามันจะให้แกเล่น มันคงให้ไปนานแล้วล่ะ” รวินิ่งเงียบไม่พูดอะไร “เอาเหอะ ตามใจแก แต่ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านไปหาลู่ทางกับไอ้ขำเหอะ” ป้อมหยิบกระเป๋าออกมา หยิบเงินส่งให้รวิ “เอานี่ แบ่งๆ กันไปใช้ก่อน จะได้เอาไปหาหมอด้วย”

สายตาใครบางคนมองมาจากด้านหลัง เห็นป้อมกำลังยื่นเงินให้รวิ
“ไม่เอาหรอก พี่ป้อมเก็บไว้เหอะ”
“อุวะไอ้นี่ นี่มันเงินชั้นนะไม่ใช่เงินของเดือน”
รวิส่ายหน้า ไม่ยอมรับ
“ชั้นอยากดิ้นด้วยตัวเองให้ถึงที่สุดก่อน”
ป้อมรำคาญ จับเงินยัดใส่มือรวิ
“งั้นก็เอาไว้ เผื่อถึงที่สุดแล้วค่อยควักออกมาใช้ก็ไม่สาย” ป้อมลุกขึ้นยืน “แล้วก็ส่งข่าวกันมาบ้างนะรวิ เรื่องคดีก็ไม่ต้องคิดมากล่ะ พี่ไปละ”
รวิพยักหน้ารับ มองตามป้อมที่เดินไป

เดือนนั่งอยู่กับทวีศักดิ์ท่าทางกระวนกระวาย
“ทำไมคะ ทำไมพี่รวิต้องมาทำงานอะไรแบบนี้”
“เค้าคงไม่อยากเลือกงานล่ะมั้ง”
“ถ้างั้นก็มาเล่นดนตรีก็ได้นี่คะ นี่ไงที่นี่ก็มีวงนี่”
“ใจเย็นๆ ก่อนเดือน วงเค้าคงมีคนอยู่แล้วมั้ง”
เดือนไม่สนใจฟัง ท่าทางยังกระวนกระวายอยู่ ป้อมเดินเข้ามาหาเดือน
“พี่ป้อมๆ ตะกี๊เดือนเจอ...”
“รวิใช่มั้ย”
เดือนทำหน้าแปลกใจ
“พี่ป้อมเจอกันแล้วเหรอ”

ป้อมพยักหน้ารับ สีหน้าดูเซ็งๆ
“อืม ตรงห้องน้ำน่ะ รวิมันขัดพื้นอยู่พอดี”
เดือนหน้าสลดลงรู้สึกสงสารรวิจับใจ
“โธ่ พี่รวิ ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ แล้วพี่ได้คุยกอะไรกับพี่รวิบ้าง พี่ป้อม แล้วพี่รวิเค้าเป็นยังไงบ้าง ขาพี่รวิ ตะกี๊ชั้นเห็นเหมือนขาพี่รวิจะเจ็บๆ เลย เค้าเป็นอะไรกันแน่”
ป้อมจับไหล่เดือนมองหน้า
“ใจเย็นๆ เดือน อย่าเพิ่งตีโพยตีพาย” เดือนนิ่งไป พยักหน้ารับพยายามสะกดอารมณ์ “มันก็ลำบากนะแหล่ะ แต่ก็นะ รวิมันก็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ให้มันได้พยายามให้ถึงที่สุดก่อนเหอะ”
“ให้เค้ามาทำงานกับเรามั้ยล่ะ เดี๋ยวผมจัดการให้”
ป้อมส่ายหน้า มองมาที่ทวีศักดิ์
“รวิมันไม่รับความช่วยเหลือจากคุณหรอก”
ทวีศักดิ์ถอนหายใจ มองหน้าเดือนสลับกับป้อม
“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันล่ะครับ”
ทั้ง 3 คน มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เจ้าของร้านเดินนำเด็กเสิร์ฟถือถุงอาหารหลายถุงที่ทวีศักดิ์สั่งเดินมา
“ขอบคุณพวกคุณเดือนมากเลยนะครับ แหะๆ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ เอ่อ ถ้าไงขอถ่ายรูปไว้ด้วยนะครับ”
ทุกคนหันไปมองหน้ากัน เหลือบมามองหน้าเจ้าของร้านแล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย เจ้าของร้านมองหน้าพวกเดือนอย่างงงๆ

รวิเดินเอาของเข้ามาเก็บ พวกคนอื่นๆ ต่างหันมามองแล้วทำท่าซุบซิบใส่รวิ รวิมองไปที่ทุกคนอย่างงงๆ
“เฮ้ย ไอ้เด็กใหม่ เฮียเค้าเรียกแน่ะ”
“เรียกชั้น”
“เออ รีบไปเร็วๆ เหอะ”

รวิพยักหน้ารับ เดินไปแต่สายตายังมองที่คนอื่นๆ ที่ยืนซุบซิบอยู่

กิมเดินเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวงเข้ามา เจอใครก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาจนมาถึงทางเปลี่ยวก็สอดสายตาเหมือนมองหาใครอยู่

“แก้ว แก้ว แกอยู่ไหนแก้ว”
“แม่ ชั้นอยู่นี่”
แก้วในสภาพซูบซีดค่อยๆ โผล่ออกมาจากที่มืด ชะเง้อมองว่ามีใครเห็นมั้ย กิมหันมาเห็นก็ดีใจ ลูบหน้าลูบตาลูก
“โธ่เอ๊ย นังแก้ว ดูสารรูปซิ ดูไม่ได้เลย”
“แม่เอาเงินมาให้ชั้นหรือเปล่า ชั้นไม่มีเงินติดตัวแล้วเนี่ย”
กิมกุลีกุจอหยิบเงินยื่นให้แก้ว
“โธ่เอ๊ย ข้าอุตส่าห์คิดว่าจะได้เป็นแม่นักร้องดัง ดูซิ กลับต้องมาเห็นเอ็งหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้”
สีหน้าแก้วดูโกรธขึ้นมาทันที
“ก็เพราะมัน ชีวิตชั้นถึงได้เป็นแบบนี้ คอยดูนะ ชั้นไม่ได้ดี มันก็อย่าหวังจะได้เลย”
“อีนังเดือน อย่าให้เจอนะ แม่จะตบมันให้สาสมกับที่มันทำกับเอ็งเลย”
แก้วหันมาจ้องหน้ากิม สีหน้าจริงจัง
“ไม่ใช่เดือนหรอกแม่ ที่ต้องชดใช้” กิมชะงักไป มองแก้วอย่างสงสัย
“อ้าว ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะมีใครวะ ที่ทำให้เอ็งเป็นแบบนี้”
“ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานแม่ก็จะได้รู้เอง”
แก้วเม้มปากแน่น สีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที

เดือนยืนอยู่บนเวที พูดกับคนดูอยู่
“ค่ะ ยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ ยังมีเพลงเพราะๆ อีกมากมายในเรื่องค่ะ”
เสียงปรบมือเกรียวกราว เดือนเดินลงจากเวที ตรงมาที่ป้อม ป้อมกับบทวีศักดิ์ที่ยืนยิ้มปรบมืออยู่กำลังจะอ้าปากพูดแต่ไม่ทันเดือน
“พี่ป้อม คุณทวีคะ เดี๋ยวเดือนขอตัวแป๊บเดียวนะคะ”
“อ้าว จะไปไหนเดือน”
“อ้าว เดี๋ยวสิเดือน เดือน”
“เดี๋ยวเดือนมาค่ะ”
เดือนรีบวิ่งไปทางด้านนอกทันที

เดือนเดินเข้ามาในร้านอาหารสายตาสอดส่ายไปที่ลานจอดรถ ก่อนจะเดินไปที่ประตู เธอเดินเข้าไปแอบอยู่หน้าร้าน ชะเง้อมองไปที่วงดนตรีพยายามสอดส่องหารวิ
รวิยืนอยู่บนเวที เป่าแซ็กโซโฟนอย่างได้อารมณ์ร่วมไปกับเพลง เดือนยิ้มกว้างออกมาได้ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันหลังกลับเดินออกไป รวิเป่าแซ็กโซโฟนอยู่ หันมาทันเห็นหลังเดือนไวๆ เขาทำหน้าแปลกใจ พยายามชะเง้อตามออกไป

ขำเดินร้องเพลงมาตามทางเรื่อยๆ สายตาสอดส่องดูข้างทาง
ขณะนั้นพิมุกนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ มีบ่างเป็นคนเข็นให้ ทุกคนยืนอยู่หน้าบ้านรวิ สีหน้าพิมุกดูดุดัน
“พี่ เอาจริงเหรอ โดนจับนี่ติดคุกหัวโตเลยนะ” เตี้ยบอก
“ข้าไม่สน”
“โธ่ พี่สนซักนิดเถอะนะ”
“ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก ว่าข้าเป็นคนทำ เอ็งดูข้าตอนนี้ซิ”
“แล้วพี่จะมาสร้างบาปเพิ่มทำไมอีกล่ะจ๊ะ”
พิมุกหันไปจ้องเตี้ย ตาเขม็งจนเตี้ยต้องรีบหลบสายตา

ขำยังคงเดินผิวปากสบายอารมณ์
“เพราะพวกมัน ทำให้ข้าเป็นแบบนี้ พวกมันจะต้องชดใช้!ข้าจะไล่จัดการพวกมันทีละตัวๆ จนครบทุกคนเลยคอยดู” พิมุกบอก
“พี่ขับเองไม่ใช่เหรอจ๊ะ ไม่เกี่ยวกับพวกนั้นซักหน่อย”
“ใช่ๆ อย่าทำเลยนะพี่พิมุก”
พิมุกล้วงลงไปในกระเป๋า หยิบระเบิดที่ทำเองขึ้นมา สีหน้าเอาจริงเอาจัง เตี้ยกับบ่างกลืนน้ำลายเอื๊อก ถอยหลังเดินหนี ท่าทางหวาดกลัว
“อย่าปอดแหกไปหน่อยเลย เอ้า เอาไฟแช็กมา”
เตี้ยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ หยิบไฟแช็กยื่นให้พิมุก แล้วรีบถอยหลังกลับไปทันที พิมุกแสยะยิ้มน่ากลัว ก่อนจะจุดไฟแช็กขึ้น

ขำเดินผิวปากร้องเพลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าบ้าน เห็นพวกพิมุกกำลังจุดชนวนอยู่เลยตะโกนขึ้น
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ”

พิมุกหันกลับมา พอเห็นเป็นขำก็แสยะยิ้มให้อย่างน่ากลัวแล้วเลื่อนสายตาไปมองไฟที่กำลังจุดติดชนวนอยู่ ขำตาโตตกใจสุดขีด

“ไอ้พิมุก ทำบ้าอะไรอย่านะเว้ย”

ขำวิ่งถลาเข้ามาคว้าข้อมือของพิมุก
“ไอ้เตี้ย ไอ้บ่าง ยืนทำอะไรอยู่วะ มาช่วยกันสิ” พิมุกเรียกลูกน้อง เตี้ย บ่าง ยืนกล้าๆ กลัวๆ ลังเลว่าจะเข้าดีหรือไม่ “เร็วสิวะ”
เตี้ยกับบ่างมองหน้ากัน ตัดสินใจวิ่งเข้าไปช่วยลากขำออกมา ขำพยายามดิ้นจนถีบวีลแชร์ของพิมุกล้มลง
พิมุกล้มหน้าคว่ำลง ตะเกียกตะกายคว้าระเบิดทำเองขึ้นมาทำท่าจะขว้าง แต่แขนเสื้อของพิมุกเกี่ยวกับวีลแชร์อยู่ เขาพยายามยกแขนขึ้นแต่ทำไม่ได้เลยหันกลับมามอง เห็นแขนเสื้อตัวเองติดอยู่ก็พยายามดึง
“เฮ้ย พี่ ระวัง” เตี้ยตะโกนบอก

พิมุกหันกลับมามอง เห็นชนวนลามมาถึงแล้ว เขาตาเหลือก อ้าปากค้าง ขำ เตี้ย บ่าง ตกใจ รีบกระโจนออกจากตรงนั้นทันทีตูม เสียงระเบิดดังขึ้น
ขำ เตี้ย บ่างที่กระโดดหนี นอนคว่ำหน้าอยู่ ค่อยๆ ลุกขึ้นมามองไปที่พิมุก ทั้ง 3 คน ตาโตอ้าปากค้างเมื่อเห็นพิมุกนอนคว่ำอยู่ อ้าปากร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้ามีเลือดอาบจากสะเก็ดระเบิด แขนของพิมุกขาดกระเด็นตกอยู่
“พี่”
เตี้ยกับบ่างร้องออกมาพร้อมกัน

คืนนั้นที่ร้านอาหาร รวิถือแซ็กโซโฟนเดินลงจากเวที
“เฮ้ย เอ็งเล่นใช้ได้นี่หว่า”
“เออ ฝีมือนี่แบบมืออาชีพเลยนะ”
รวิพยักหน้ารับยิ้มๆ เสียงโทรศัพท์รวิดัง เขาหยิบโทรศัพท์เดินไปทางหลังร้าน คนอื่นมองตามรวิที่เดินออกไป
“อะไรนะ แล้วมีใครเป็นอะไรหรือเปล่า เออๆ คงต้องเป็นพรุ่งนี้ว่ะ ตอนนี้ไม่มีรถแล้ว ก็อยู่จังหวัดใกล้ๆ กันนี่ล่ะ”
เจ้าของร้านกับลูกน้องอีกคนเดินตามมาแอบฟังอยู่ “คงไปมืดๆ น่ะ แหม ไอ้ขำ พ่อเล้าอย่างชั้นนี่จะมีหน้าไปเดินลอยหน้าลอยตาสบายอารมณ์ได้เหรอวะ หึ เออ งั้นเดี๋ยวหาเด็กใหม่ๆ ไปที่ร้านเลยละกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ” รวิประชดขำ แต่ทำให้เจ้าของร้านกับลูกน้องหันมามองหน้ากันตาโตตกใจ เอามือขึ้นมาปิดปาก ก่อนจะรีบย่องๆ หนีกลับเข้าไป “เออแค่นี้ล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะออกแล้วโทรบอก เฮ้อ อุตส่าห์ได้เล่นดนตรีแล้วเชียว เออ เอ็งเฝ้าไปก่อนละกัน แล้วก็อย่างเพิ่งบอกพวกเดือนนะ เดี๋ยวตกใจไปกันใหญ่”

ขำเดินคุยโทรศัพท์กับรวิอยู่ที่โรงพยาบาล
“ถึงไม่บอกเดี๋ยวเดือนเค้าก็ต้องรู้ เออ เท่านี้ก่อนนะเว้ย”
พยาบาลเข็นเตียงของพิมุกเข้ามา พิมุกดิ้นทุรนทุลายอยู่บนเตียง มีเลือดเปรอะเต็มไปหมด เตี้ยกับบ่างวิ่งตามกันเข้ามา
“โอ๊ย แขนกู แขนกู เอาแขนกูมา โอ๊ย”
พยาบาลช่วยกันเข็นพิมุกเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แล้วปิดประตูทันที
“โธ่ พี่พิของเตี้ย”
“ไม่น่าเลย ขาก็ด้วนไปแล้ว นี่ยังจะแขนด้วนอีกเหรอ”
“กรรมสนองมันไง” ขำบอกพร้อมกับเดินเข้ามาหาเตี้ยกับบ่าง “ผลของกรรมที่ไอ้พิมุกมันก่อไม่รู้จักจบจักสิ้น”
เตี้ยกับบ่างหน้าจ๋อย เถียงไม่ออก “แก 2 คนก็เหมือนกัน เตรียมเข้าไปอยู่ในคุกเหอะ”
“แต่ชั้น 2 คนพยายามห้ามพี่เค้าแล้วนะ”
“ใช่ๆ แต่พี่เค้าไม่ฟัง”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงแก 2 คนก็มีส่วนร่วม นี่ถ้าชั้นกลับไปไม่ทัน บ้านรวิไม่เละไปแล้วเหรอ” เตี้ยกับบ่างก้มหน้านิ่งไม่เถียง ขำมองตามได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “เตรียมตัวกันไว้เหอะ กรรมมันเริ่มทำงานของมันแล้ว กับบางคนก็คงอีกไม่นานหรอก”

รวิเดินจะกลับเข้ามาในร้าน กระเป๋าเสื้อผ้ากับกระเป๋าแซ็กโซโฟนถูกโยนออกมากองที่พื้น รวิยืนงง ก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมา
“นี่มันอะไรกันครับ”
เจ้าของร้าน เดินมามองรวิหัวจรดเท้า
“เอาข้าวของของแกแล้วออกไปจากร้านชั้นได้แล้ว”
รวิเงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆ คนอื่นๆ ในร้านเดินมามองหน้าเขาอย่างเหยียดๆ
“โธ่เอ๊ย หน้าตาก็ดีไม่น่าเลย”
“ไอ้เราก็หลงคิดว่าดี หนอย ดีนะข้าไม่ให้ลูกสาวข้าไปใกล้ๆ เอ็งอีก ไอ้พ่อเล้า”
“ไม่ใช่นะจ๊ะป้า ชั้นไม่ได้”
“ยังจะมาแก้ตัวอีก โกหกเก่งนักนะแก หนอย แล้วนี่ไม่รู้ไปหลอกน้องเดือนกับแฟนเค้าอีท่าไหน ถึงได้ยอมมาอ้อนวอนขอให้แกได้เล่นดนตรี”
“อะไรนะ พี่หมายความว่ายังไง”
“ไม่ต้องถามมาก ไปได้แล้ว หรือต้องให้จับโยน”

เจ้าของร้านหันไปพยักหน้ากับลูกน้องอีกสองคน ลูกน้องของเจ้าของร้านเดินตรงเข้า รวิก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมา มองหน้าทุกคนก่อนจะหันหลังเดินออกไป
 
อ่านต่อหน้า 4

หางเครื่อง ตอนที่ 19 (ต่อ)

คืนเดียวกันนั้นที่โรงแรมที่พัก ป้อมเดินออกมาจากห้องน้ำ เอาผ้าขนหนูซับหน้า เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งเดือนนั่งถอนหายใจหลายครั้งอยู่บนเตียง

“อ้า สบายจังเลย จะว่าไปอีตาทีวีสีนี่ก็ดูแลดาราดีนะ เช่าห้องให้ซะโอเคเชียว” เดือนพยักหน้ารับ หน้าตาไม่สดชื่น ถอนหายใจต่อ ป้อมมองเดือนในกระจก “เป็นอะไรเดือน”
“ชั้นห่วงพี่รวิน่ะ”
ป้อมถอนหายใจ หันกลับมา
“แล้วตะกี๊ตกลงเจอรวิมั้ย” เดือนพยักหน้ารับ
“แต่ชั้นแค่แอบๆ ดูน่ะ”
“เป็นอีแอบเหรอไงยะ”
เดือนทำหน้างอใส่ป้อม
“พี่ป้อมอ่ะ เดือนขำไม่ออกหรอกนะ ห่วงพี่รวิจะตายอยู่แล้ว”

ป้อมลุกมานั่งข้างๆ แล้วแกล้งเอาผ้าเช็ดหน้าคลุมหัวเดือน
“เอาน่า รวิมันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ถึงจะได้ทำอะไรไม่มีเหตุผล”
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ”
“พี่ว่ามันคงจะอายเราด้วยแหล่ะ”
“ทำไมจะต้องอายล่ะ เดือนไม่ได้รังเกียจซักหน่อย”
ป้อมส่ายหน้าเอามือผลักหัวเดือน
“เดือนไม่รังเกียจ แต่เจ้าตัวเค้าอาย เข้าใจมั้ย”
เดือนถอนหายใจ จับหมอนให้เข้าที่ ก่อนจะยกมือขึ้นพนมแล้วกราบหมอนแล้วเริ่มสวดมนต์ ป้อมแกล้งทำกรี๊ดกร๊าด ทุรนทุราย
“อ๊า ปวดแสบปวดร้อน ทรมาน อ๊า”
เดือนชะงักหันมาจ้องหน้าป้อมตาดุๆ
“พี่ป้อม”
“เค้าล้อเล่นอ่า มาๆ สวดมนต์กัน ให้พระท่านช่วยคุ้มครองทุกคน คนดีลำบากไม่นานหรอก เชื่อพี่สิ”
ป้อมยิ้มแหยๆ รีบมานั่งข้างเดือนพนมมือ แล้วพากันเริ่มสวดมนต์

คืนเดียวกันนั้น รวินอนหลับตาอยู่บนศาลาริมทาง เขานอนขดอยู่เพราะหนาว หัวหนุนกระเป๋า มีแซ็กโซโฟนวางอยู่ข้างๆ มือหนึ่งคอยไล่ตบยุงและเกาตามขาแขน

เช้าวันใหม่ ศิริพรเดินกรีดรายเข้ามาในค่ายเพลง ปรายตามองคนโน้นคนนี้เสแสร้งยิ้มให้ ชูเกียรติเห็นศิริพรเดินเข้ามาแต่เช้าก็แปลกใจ
“ทำไมวันนี้มาแต่เช้าได้ล่ะ”
ศิริพรทำเป็นมองโน่นมองนี่ ตอบชูเกียรติแบบไม่มองหน้า
“เดี๋ยวจะออกไปข้างนอกต่อน่ะ”
“ไปไหนอีกล่ะ งานมันจะถึงอยู่แล้วเนี่ย หึ พอกันกับยัยแก้วเลยนะ”
ศิริพรปรายตามามองชูเกียรติหัวจรดเท้า
“ชั้นจะไปสปา ขัดหน้าขัดตัว จะถึงวันงานอยู่แล้วชั้นยิ่งต้องสวยเริ่ดสิ”
“ห่วงแต่สวยแล้วอย่างอื่นล่ะ” ศิริพรเบ้ปากใส่
“ชั้นไม่ได้ห่วยแตกเหมือนนังแก้วนะ ทุกอย่างน่ะชั้นพร้อมหมดแล้ว อยู่เฉยๆ แล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปดีกว่านะ”
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่ายหน้าที่ของชั้น”
ศิริพรยักไหล่ ทำท่ากวนๆ ใส่ เดินมาจับไหล่ของชูเกียรติ
“เดี๋ยวช่วยส่งบัตรตอนเสิร์ตไปให้ค่ายหนังของเดือนด้วยนะ อ้อ แล้วก็รายชื่ออื่นๆ ก็วางอยู่บนโต๊ะแล้ว อย่าลืมล่ะ”
ชูเกียรติพยักหน้ารับลืมตัว

“ครับ” ศิริพรตบไหล่ชูเกียรติ 2-3 ทีแล้วเดินออกไป ชูเกียรติยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัวหันไปจะด่าตามหลังศิริพร “เฮ้ย แก นัง โธ่เว้ย”

ขณะนั้นเดือนกับป้อมถือกระเป๋ารออยู่หน้าโรงแรมที่พัก ทวีศักดิ์เดินหน้าบึ้งมาพร้อมกับสายสมรที่ไอแค่กๆ มาตลอดทาง มีเด็กลากกระเป๋าของสายสมรตามมา

“เอ้า ยกขึ้นไว้บนรถเลย ดีๆ ล่ะ”
พูดจบสายสมรก็รีบขึ้นรถไปนั่งหน้าเชิดประจำที่ ทวีศักดิ์มองตามอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันมายิ้มกับเดือน
“เป็นไง เมื่อคืน หลับสบายกันมั้ย”
เดือนยิ้มพยักหน้ารับ
“ดีค่ะ”
“ดีมากฮ่ะ ผีเผอก็ไม่มีออกมาหลอกซักตัว สงสัยจะกลัวชั้น”
ทวีศักดิ์หัวเราะแล้วหันมาบอกเดือน
“อดทนกันหน่อยนะ เดินทางเยอะหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดือนชอบ อีกอย่าง พรุ่งนี้จะได้ไปบ้านเดือนด้วย”
“เออ นั่นสิ เอ๊ะเดือนว่าแต่เรื่องเมื่อวาน ไม่รู้นายรวิเค้าเป็นไงมั่งเนอะ”
“ก็ได้เล่นดนตรีแล้วค่ะ ตามที่พวกเราขอกับเจ้าของเลย”
ทวีศักดิ์พยักหน้ารับ เดินเข้ามาจะหยิบกระเป๋าเดือน
“งั้นก็โอเค อืม งั้นเราขึ้นรถกันเถอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”

เดือนดึงกระเป๋าหนี แล้วหันไปคว้ามือป้อม รีบวิ่งไปเปิดประตูหน้าคนขับทันที
“อ้าว ทำไมล่ะเดือน”
“เดือนนั่งหน้ากับพี่ป้อมดีกว่าค่ะ นั่งหลังแล้วเมารถ ใช่มั้ยพี่ป้อม”
เดือนหันไปหยิกป้อม ส่งซิกให้ ป้อมสะดุ้ง ทำหน้าเหรอหรา แกล้งเออออตาม
“ชะ ชะ ใช่ๆ นั่งหลังแล้วเม๊า เมา แหวะ” ป้อมทำท่าจะอาเจียน
“คุณทวีศักดิ์นั่งข้างคุณสายสมรเถอะค่ะ ดูเธอไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย”
ทวีศักดิ์เหลือบตาไปมองสายสมร ที่แอบชำเลืองมา แล้วก็พยักหน้าเดินขึ้นไปนั่งข้างๆ เดือนหันไปสบตากับสายสมร สายสมรแกล้งวางท่าเมินเลยไป เดือนได้แต่อมยิ้ม คนขับปิดประตูรถเสร็จ ก็รีบวิ่งไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป

แดดส่องหน้ารวิ รวิหยีตาขมวดคิ้ว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานอนขดอยู่บนแคร่ ค่อยๆ ดันตัวเองขึ้น บิดคอไปมาไล่ความเมื่อย ก่อนจะจามออกมาติดๆ กัน รวิเอามือขึ้นขยี้จมูก สีหน้าไม่ดี
“มาไม่สบายอะไรเอาตอนนี้วะเนี่ย” รวิลุกขึ้นยืน แต่ก็หงายกลับลงไปนั่งที่เดิมเพราะมึนหัว “อะไรมันกันนักกันหนาวะ”
รวินั่งหน้าเครียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือหยิบเงินออกมาดู แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหลือบมองไปที่แซ็กโซโฟน แล้วเอื้อมมือขึ้นไปหยิบมาดู
“ไอ้เพื่อนยาก ถึงเวลาที่ต้องรบกวนแกอีกแล้ว ช่วยหน่อยนะ”
รวิถือแซ็กโซโฟนแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินเซๆ ออกไป

ศิริพรในชุดเสื้อคลุมนั่งนวดเท้าอยู่ที่สปาอย่างสบายอารมณ์ หลับตาผ่อนคลายสีหน้ายิ้มแย้ม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดู พอเห็นว่าเป็นใครก็เบ้ปากใส่ พยักหน้าให้พนักงานนวดออกไปก่อน
ศิริพรมองตามพนักงานที่เดินออกไปแล้วจึงกดรับสาย
“ว่าไง มีอะไรอีก ค่าจ้างได้ครบแล้วไม่ใช่เหรอ ตำรวจ ทำไม แกก็ปฏิเสธไปสิ อะไรนะ มีหลักฐาน งั้นก็ช่วยไม่ได้ แสดงว่าแกแอบทำเอง ก็จัดการเอาเองละกันนะ” ศิริพรทำท่าจะวางสาย แต่ก็ชะงัก “อะไรของแกอีก ข่าว ข่าวอะไร ไอ้พิมุก มันจะทำอะไรก็เรื่องของมันสิ อะไรนะ”
ศิริพรฟังโทรศัพท์แล้วค่อยๆหัวเราะออกมาจนดังลั่น
“แขนขาด ฮะๆๆ แขนขาด ทำไมมันโง่อย่างนี้ไอ้พิมุก ฮะๆๆ แล้วแกมาบอกชั้นทำไม ไม่เกี่ยวกับชั้นนี่ อย่างที่บอก แกทำเองก็จัดการแก้เองเหอะ” ศิริพรกดวางสาย ทำท่าครุ่นคิด “อุ๊ยตาย เห็นทีจะต้องมีของปลอบใจพิมุกซะหน่อยแล้ว”

ศิริพรยิ้มออกมาอย่างสะใจ

ลิ้นจี่จ้องมองที่โทรศัพท์ ก่อนจะทำหน้ากระฟัดกระเฟียด ด่าลงไปในโทรศัพท์

“หนอย อีบ้า เอาตัวรอดเลยนะมึง”
“ชั้นบอกแล้ว นังนี่กับไอ้พิมุกมันไม่สนหรอก”
โรจน์ซึ่งนั่งกระดกเหล้าขาวอยู่บอก
“แล้วจะทำยังไงเนี่ย เพราะไอ้ขำแท้ๆ เชียว ดันเอารูปไปให้ตำรวจ”
“แกมันโง่เอง ริอาจจะเป็นแม่เล้า”
ลิ้นจี่หันขวับมาชี้หน้าโรจน์
“แล้วไอ้เหล้าที่แกกินอยู่ มันไม่ได้มาจากเงินของอีแม่เล้าคนนี้เหรอไง หา”
“ชั้นไม่รับรู้อะไรด้วย แกจัดการของแกเองล่ะกัน”
“หนอย ถ้าชั้นต้องเข้าซังเตจริงๆ ชั้นไม่ยอมโดนคนเดียวหรอก ชั้นจะซัดทอดให้หมด ทั้งแก ทั้งนังนั่นด้วย จำไว้”
ลิ้นจี่มีสีหน้าทั้งโกรธทั้งกังวล

เสียงแซ็กโซโฟนที่เป่าเป็นเพลงดังกระท่อนกระแท่นอยู่ที่ตลาด กระเป๋าใส่แซ็กโซโฟนของรวิที่วางเปิดอยู่กับพื้น มีเหรียญและแบงก์วางอยู่ไม่กี่ใบ รวิยืนเป่าหน้าดำหน้าแดงอยู่ สลับกับไอเป็นระยะ ชาวบ้านบางคนเดินไปมา บางคนก็หย่อนเหรียญให้รวิบ้าง ไม่ให้บ้าง
“โอ๊ย หนวกหูจริง ไปเป่าที่อื่นได้มั๊ยเนี่ย”
แม่ค้ายืนถือตะหลิวเท้าเอว หันมาจ้องรวิ รวิเหลือบไปมองแต่ไม่สนใจ แล้วเป่าต่อ ตะหลิวลอยมาตกตรงข้างกระเป๋าพอดี รวิสะดุ้งโหยงหยุดเป่าหันไปมองที่แม่ค้า
“บอกให้ไปเป่าที่อื่นมันหนวกหู”
“มายืนเป่าป๊อดแป๊ดอยู่ได้ จะกินข้าวทีเสียงทะลุไปถึงลำไส้โน่น”
ลูกค้าอีก 2-3 คนช่วยออกมายืนโวยวาย รวิถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันกลับไปก้มลงเก็บเงินในกระเป๋า หยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น หันไปยกมือไหว้แล้วรีบเดินหนีออกมา
“เอาวะ จะได้ค่ารถครบแล้ว อดทนอีกหน่อย ไอ้รวิเอ๊ย”
รวิเดินไปอีกฝั่งก่อนจะเปิดกระเป๋าลงวางกับพื้นเหมือนเดิม แล้วเริ่มเป่าอีกครั้ง

เย็นวันเดียวกันนั้นที่โรงพัก ขำนั่งอยู่หน้าตำรวจที่กำลังตรวจหลักฐานอยู่
“ขอบคุณนะครับ สำหรับหลักฐานเพิ่มเติม ตอนนี้เราออกหมายเรียกนางลิ้นจี่ไปแล้ว ถ้ายังไงคงต้องสอบสวนกันอีกที”
“หลักฐานพวกนี้ ป้านภาเค้าเป็นคนช่วยหามาให้น่ะครับ ก่อนที่เค้า จะเสียน่ะครับ” ตำรวจพยักหน้าเข้าใจ“อย่างนี้พวกผมก็พ้นข้อกล่าวหาแล้วชิมิคุณตำรวจ”
“ยังไงก็ต้องสอบสวนให้ถึงที่สุดก่อนครับ”
“อะไรอ่ะ หลักฐานชัดขนาดนี้แล้วนะตัวเอง”
“ครับ แต่ยังไงก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ไม่ต้องห่วงถ้าคุณไม่ผิด ยังไงความจริงก็ต้องถูกเปิดเผยออกมาแน่”
ขำทำหน้าเซ็งๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้ลาเลยนะครับคุณตำรวจ” ขำลุกขึ้นแกล้งทำตาปริบๆ ใส่ตำรวจ “ช่วยจัดการให้ เร็วๆ ด้วยน้า”
ขำหัวเราะเริงร่าแล้วเดินออกไป

ค่ำวันนั้นที่วิกลิเก เดือนยืนแจกลายเซ็นให้คนที่เข้ามามุงอยู่ ป้อมยืนมองยิ้มแย้มอยู่ข้างๆ กับทวีศักดิ์
ส่วนสายสมรยืนสีหน้าไม่ดีเซไปเซมาอยู่ ก่อนจะปลีกตัวเดินออกไปนั่งรอในรถตู้ ขณะเจกลายเซ็นเดือนเหลือบตามามองเห็นสายสมร จึงรีบแจกลายเซ็นถ่ายรูปกับคนที่มามุง ยกมือไหว้แล้วปลีกตัวออกมา
“พี่เชื่อแล้วว่าน้องพี่ดังจริงๆ” ป้อมบอก
“คิดไม่ผิดที่เลือกเดือนมาเป็นนางเอก”
เดือนยิ้ม ก่อนจะหันไปมองที่รถตู้ แล้วหันกลับมาบอกทวีศักดิ์
“คุณทวีศักดิ์คะ”

ทวีศักดิ์มองเดือนยิ้มๆ รอฟัง
 
อ่านต่อตอนที่ 20
กำลังโหลดความคิดเห็น