ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 19
จะเด็ดเตรียมม้าให้มังตราอยู่กับจ่าบ้าน มังตราพยายามพูดกล่อมจะเด็ด จะเด็ดทำไม่สนใจ
“จะให้ข้าพเจ้าไปนำขบวนพิธียศมารับตะละแม่กุสุมาเข้ากรุง ข้าพเจ้าเกรงจะ…”
“ทำไปเถอะ เราเต็มใจยอมให้ทำแล้ว” มังตราขึ้นม้า
“พระองค์ไม่รู้จักแม่นางโชอั้วดี สตรีอัธยาศัยเช่นนี้ต้องแก้เผ็ดคืน”
“จะให้ข้าพเจ้าทิ้งนางเสียอย่างนั้นหรือ” จะเด็ดมองมังตราอย่างรู้ใจ
“ข้าพเจ้าไม่แนะให้ทำอย่างนั้นดอก จะเป็นบาปกรรมสนองทีหลัง”
จะเด็ดขึ้นม้าอีกตัว
“แล้วจะทำอย่างไรดี”
“หากพระองค์คิดจะทำตามที่นางขอ ก็จงแจ้งเอาประโยชน์แก่นางว่าทำไปเพราะต้องการเอาใจนาง เมื่อนางเห็นความรักของพระองค์ก็เท่ากับพระองค์ได้ขุดรากเง้าความแค้นนางทิ้งอย่างสิ้นเชิง”
“แต่การที่จะให้ตะละแม่กุสุมาเข้าอุปภิเษกเสมอพระพี่นาง พี่ท่านต้องไปแจ้งพระพี่นางเองนะ ข้าพเจ้าไม่กล้า”
มังตราควบม้านำไป มหาดเล็กควบตามจะเด็ดหน้าเสียไม่รู้จะทำอย่างไร แล้วตัดสินใจควบตาม
คืนนั้นจันทราประทับยืนนิ่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในอุทยาน พระพักตร์เรียบเฉยเห็นแสงโคมระยิบระยับ มีนางข้าหลวงหมอบเฝ้าอยู่ 2-3 คน โขลนนำจะเด็ดเข้ามา เหล่านางข้าหลวงรีบกราบคลานออกไป จันทราหันมามองจะเด็ดแล้วทำเฉย จะเด็ดเดินเข้ามาหาใกล้ๆ ท่าทางเกรงใจมาก
“ข้าพเจ้า...” จะเด็ดพูดไม่ออก
“ข่าวท่านจะเข้ามาขอบคุณจึงรอรับ ข้าพเจ้ายินดีรับความขอบคุณไว้ เป็นอันสิ้นพิธี ขอท่านกลับออกไปได้” จะเด็ดหน้าเศร้า
“คำหนึ่งยังไม่ได้ออกปาก น้องท่านจะว่าสิ้นพิธีได้อย่างไร” จันทราไม่พูด เดินไปนั่งบนพระแท่นอย่างเป็นทางการ จะเด็ดจำต้องนั่งกับพื้น จะเด็ดเสียใจมาก “น้องท่านทำดังพี่นี้เป็นทาส หากจะให้กราบขอบคุณดังนายกับทาสพี่ก็ยินดี น้องท่านประสงค์จะให้พี่ทำความเคารพอย่างทาสจริงหรือ”
“ท่านนั้นเมื่อน้อยไม่มียศ เจรจาสิ่งใดก็เป็นหลักน่าเคารพ บัดนี้มียศมีชื่อขึ้นจะเจรจาสิ่งใดก็เหลาะแหละ”
“พี่เป็นอย่างนี้น้องท่านก็รู้ว่าไม่ใช่อัธยาศัย เป็นเพราะประจบน้องท่านไม่เป็นต่างหาก”
“แล้วการที่ท่านนำตะละแม่กรุงแปรมาพักอยู่ชานพระนคร ไม่นำมาเฝ้าเพราะประจบไม่เป็น หรือไม่อยากประจบ”
“การที่น้องท่าน ให้ไปรับตัวพระธิดาแปรมาสู่ตองอู ก็นับเป็นพระคุณยิ่ง แต่กุสุมานั้นเป็นหญิงมีราคี พี่เกรงชาวตองอูจะเย้ยหยัน จึงอยากแก้อายให้ หากน้องท่านไม่เห็นด้วย พี่นี้ก็ยินดีจะส่งนางกลับกรุงแปรเสีย อย่ากลัวว่าพี่จะโกรธแทน”
“หมายว่าข้าพเจ้าต้องถนอมเกียรติผู้อื่นให้ขึ้นมาตีเสมอ เอาหน้าตัวออกรับอายแทนอย่างนั้นหรือ”
จันทราเหมือนจะกลั้นน้ำตาไม่ได้จึงลุกหนี จะเด็ดลุกตามไปขวางไว้
“หากพี่นำบาปตัวมาจูงน้องท่านให้เป็นทุกข์ พี่จะไม่ขอมาให้เห็นหน้าอีก” จันทราร้องไห้
“แล้วถ้าข้าพเจ้าเป็นใจกับท่านในวันนี้ เบื้องหน้าท่านเปลี่ยนใจผู้คนไม่สมน้ำหน้าข้าพเจ้าดอกหรือ”
จันทราเบี่ยงจะเดินต่อ จะเด็ดรวบเอวจันทราไว้ด้วยความเสียใจ
“พี่ยินดีเอาศีรษะตัวถวายโดยไม่ต้องสืบพยาน มั่นใจในคำพี่เถิด พี่นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด”
“ปล่อยข้าพเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ ปล่อย” จันทราหยิกข่วนจะเด็ด
“ก่อนโน้น ยามพี่ทำผิดน้องท่านใช้เพียงสายตาตำหนิ ครั้งนี้โทษคงใหญ่หลวงจึงใช้แรงเล็บหยิกจนเจ็บเนื้อ หากปรานีจะให้หายเจ็บโปรดให้จูบแทน” จะเด็ดจับจันทราหมุนมาจะหอมแก้ม
“อย่านะ”
จันทราพยายามบ่ายหน้าหนี สะบัดจนหลุด
“หากน้องท่านอยากจะทำทานกอบข้าว แก่ยาจก แต่ปากก็สำแดงโทษว่ายาจกนั้นเกียจคร้านจนต้องมาขอเขากิน ทำอย่างนี้ทั้งผู้ให้และผู้รับก็มีแต่อัปยศ ผู้ให้ก็เสียของผู้รับก็คร้านจะเข้ามาง้อ”
“แม้ข้าพเจ้ายอม พระประยูรญาติกับชาวตองอูก็จะอนาถแทน”
“พี่จะให้ทหารออกป่าวประกาศว่า พระเจ้าแปรได้ถวายพระธิดามาสู่บารมีพระเจ้าตองอูโดยประเพณี ภายหลังจึงได้ประทานแก่ผู้เป็นแม่ทัพ พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานนางเมืองออกแก่นายทหารเอกมีในประเพณีมาก่อนแล้ว พระประยูรญาติคงไม่ระแคะระคาย”
ดวงตาจันทราเจ็บช้ำมาก
“หากสมคิดการกับมังตราจนจบได้อย่างนี้ ข้าพเจ้าจะแย้งอะไรได้ การยอมจำนนก็ขอให้พี่ท่านรู้ไว้ว่าข้าพเจ้านี้มั่นคงต่อพี่ท่านเพียงใด มิใช่เป็นการให้ทาน”
“อย่าเอ่ยให้เปื้อนโอษฐ์เลย แม้ลมพัดผ่านข้าพเจ้าก็สำนึกสิ้นแล้ว”
จะเด็ดลงคุกเข่ากับพื้นกุมมือจันทราขึ้นมาจูบลาอย่างนางกษัตริย์ แล้วค่อยๆ ออกไป จันทราร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสุดทน
วันต่อมา มหาดเล็กอัญเชิญกำปั่นเครื่องเพชรขนาดเล็กมาถวายให้มังตราทอดพระเนตร มังตราเลือกหยิบแหวนมาได้วงหนึ่ง รีบเก็บซ่อนไว้ในฉลองพระองค์
“วงนี้แล้วกัน สตรีกับอัญมณีเป็นสิ่งต้องกันดีอยู่ ไป รีบเอาไปเก็บยังที่เดิม”
มหาดเล็กรีบอัญเชิญกำปั่นออกไป สวนกับนันทวดีที่เสด็จเข้ามาพอดี มหาดเล็กรีบทรุดลงคุกเข่ารับเสด็จ มังตราพระพักตร์เผือด
“เหตุใดให้มหาดเล็กเข้าไปท้องพระคลัง ยกกำปั่นข้าพเจ้ามา”
“เรา เพียงแต่อยากหาเครื่องประดับให้พระพี่นางวันอภิเษก”
“พระองค์มิเคยสนพระทัยอัญมณี ไฉนจะทรงทราบว่าสตรีควรทรงมณีเม็ดใดถึงสมตัว”
“ไม่ยุ่งก็ได้ ไป ไป เอาไปเก็บไว้ที่เดิม”
มหาดเล็กรีบลุกออกไป มังตราจะตามไป
“นับแต่ท่านบุเรงนองกลับมา พระองค์มิเคยประทับในวังหลวงตลอดแสงตะวันเลย วันนี้จะเสด็จหนใดอีก”
“จะไปดูราชการด้านตะวันตก แล้วคืนนี้จะประทับแรมนอกเมือง”
มังตราเสด็จออกไปอย่างมีพิรุธ นันทวดีมองตามอย่างสงสัย
คืนนั้นในห้อง เรือนจ่าบ้าน มือโชอั้วที่สวมแหวนที่มังตราพระราชทานให้ ชูขึ้นดูอย่างมีความสุข มังตรากำลังโลมจูบโชอั้วอยู่ไปทั่ว โชอั้วนอนดูแก้วมณีอย่างมีความสุข จูบตอบบ้าง
“ข้าพเจ้าสิ้นสงสัยแล้วพระองค์เป็นทูลกระหม่อมแก้วของข้าพเจ้าโดยแท้ ข้าพเจ้าอดอาลัยถึงท่านพ่อไม่ได้ที่ไม่ได้อยู่เห็นบุญตัวว่าพระเจ้าตองอูชุบเลี้ยงให้รุ่งเรืองแค่ไหน”
“แม่นางนี้เหมือนม้ายามซอยคู่เท้า สมเป็นม้าขึ้นระวาง จะดูอย่างช้างก็สมช้างต้องประสงค์ คนขี่ไม่บรรจงให้ดีจะเจ็บตัวได้” โชอั้วหัวเราะชอบใจ
“สัตว์นั้นหากผู้ขี่ฉลาด ช่างเอาใจ หมั่นดูแลเลี้ยงให้อิ่มมิได้เฆี่ยนตีให้ทุพลภาพก็จะภักดีผู้เลี้ยงตอบ ข้าพเจ้าก็ดังเช่นสัตว์เหล่านั้นดอก”
“เราจะเลี้ยงดูท่านอย่างดี อย่าห่วงว่าจะทิ้งขว้าง ขอให้สนองเราให้เต็มที่เถิด”
ทั้งสองแสดงความรู้สึกรักต่อกันอย่างดูดดื่ม
อีกด้านหนึ่งในห้องบรรทมมังตรา ในวังหลวงตองอู นันทวดีประทับนอนอยู่บนพระแท่นพระองค์เดียว พระนางกรรแสงอย่างหว้าเหว่ น่าสงสาร
เช้าวันรุ่งขึ้นที่วัดกุโสดอ มหาเถรเดินคุยกับจะเด็ดที่ลานวัด
“ในเมื่อมังตราปรารถนาจะยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์อื่นในพุกาม ทางเดียวที่จะสัมฤทธิ์ผลก็คือสงคราม บัดนี้กรุงแปรนั้นยอมศิโรราบแล้ว คงเหลือเพียงอังวะกับหงสาวดี”
“ในการยุทธ ยามที่รุกรานผู้อื่นก็ต้องสร้างไมตรีไปพร้อมกันด้วยและถ้าหงสาวดียอมมีไมตรีด้วย อังวะก็คงพักทำศึกลงเช่นกันข้างดีก็จะเกิดแก่ตองอู” จะเด็ดยกมือพนม
“ข้าพเจ้าจะจำคำพระอาจารย์ไว้ในกระหม่อมไม่มีวันลืม”
“หยุด หยุดตรงนี้ เราจะลง” เสียงเลาชีดังเข้ามา เลาชีเดินเข้ามากับข้าหลวง เลาชีโกรธมากตรงเข้ามากลางลานหน้ากุฏิ “พระคุณเจ้าเป็นที่คนนับถือว่ามีปัญญาล้ำเลิศ ทำไมคิดแต่ข้างดีแก่แผ่นดิน แล้วปล่อยข้างในเรือนราชวงศ์ตองอูเกิดผลเสียเล่า” มหาเถรหน้าเสีย
“ท่านกล่าวโทษอาตมาเป็นบาปแล้ว อาตมาบำรุงลูกท่านก็หมายใจจะให้บรรลุอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ดอก”
“เจ้าพระคุณเอียงเข้าข้างผู้เป็นศิษย์ เพราะเห็นเป็นเพศชายเหมือนตัวต่างหาก พระคุณเจ้าเป็นชายจะมาเข้าใจหญิงเท่าหญิงได้อย่างไร”
“นางเลาชี ท่านนี้รู้แต่การเรือนหารู้การแผ่นดิน พระเจ้าแปรมีแต่ลูกหญิง สืบไปเบื้องหน้าตำแหน่งพระเจ้าแปรองค์ใหม่จะได้แก่ลูกของท่านเอง”
“ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่มีวันเห็นตามรอยพระคุณเจ้า ไม่เคยเลี้ยงลูกมาหวังลาภยศ นรกจะกินหัวก็ยอม ข้าพเจ้าไม่มีวันยอมให้หญิงอื่นมาเท้าแขนในตำแหน่งทัดเทียมพระพี่นางจันทราเด็ดขาด”
มหาเถรเห็นเลาชีเอาจริงชักกลัว
“ออกปากมังซิจะเด็ด แม่ลูกมาปะกันแล้วจะให้กูแก้ต่างอยู่ได้อย่างไร”
“หากผู้ใด เอาหญิงอื่นมาเสนอหน้าเสมอตะละแม่จันทราในพิธีอภิเษก เรานี้จะขอแขวนคอตายให้คนทั้งปวงประจักษ์”
“จะไปกันใหญ่แล้ว จะกล่าวอะไรก็ว่ากันไปตามประสาแม่ลูกเถอะกูไม่อยู่แล้ว อดใจไม่ได้จะสิ้นไมตรีกันเสียเปล่า”
มหาเถรรีบเดินออกไปทางโบสถ์จีวรปลิว
“ข้าพเจ้ารู้ในการร้อนใจของแม่ แต่ข้าพเจ้าได้กราบทูลมังตราให้เห็นชอบแล้ว ส่วนน้องจันทราก็ยินยอมด้วยน้ำใจประเสริฐ ผู้ที่แม่เป็นทุกข์เจ็บร้อนแทนเนื้อแท้ไม่ได้ทุกข์หรือเจ็บใจเลย”
“สองพี่น้องยอมเพราะคิดว่ากินนมเต้าเดียวกันมา ยังไม่รู้สำนึกตัว”
“การในเรือนผู้ใดถ้าตกลงกันได้ แม่จะเดือดร้อนทำไม”
เลาชีโกรธถึงที่สุด ตบหน้าจะเด็ดจนหัน
“อนาถใจกู ผีร้ายใจเหี้ยมสิงใจลูกกูแล้ว” เลาชีตรงเข้าผลักใสจะเด็ดอย่างโกรธแค้น “จันทราตัดใจเพราะทำทาน ยอมช้ำใจเพราะอยากให้คนที่ตัวรักเป็นสุข ถ้ามึงยังนับกูเป็นแม่ จงอย่าคิดสั้น อย่าทำประหนึ่งอาศัยเงาไม้ใหญ่นอนพัก พอหายเหนื่อยก็ลุกขึ้นลานกิ่งไม้ต้นนั้นทิ้ง ตะละแม่จันทราสำแดงเมตตามึงมาทุกคราว ถึงคราวจะได้สนองคุณแทนทำไมไม่รีบทำ ตกไปภายหน้าจะทำนุบำรุงให้เลิศลอยแค่ไหน ก็เพียงผัวทะนุบำรุงเมีย พระญาติ พระวงศ์ตองอูจะได้สรรเสริญเข้าหูกูบ้างว่ากูเลี้ยงลูกมาได้องอาจสมชายชาตรี สมควรเป็นแบบอย่างให้เหล่าทหารเคารพสืบไปตัด”
จะเด็ดร้องไห้ทรุดลงกราบเท้าแม่อย่างสำนึกผิด
“พอเถิดแม่ การใดทำให้แม่น้ำตาตก แม้จะแลกด้วยชีวิตลูกก็ยอมแล้ว”
เลาชีทรุดลงกอดลูก
“ผู้หญิงนะลูก ถูกแบ่งผัวก็ช้ำใจพอแล้ว ยังจะวานให้เป็นพนักงานทำการแบ่งอีก จะมีใครทนไหว”
สองแม่ลูกกอดกัน
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 19 (ต่อ)
จะเด็ดย่างม้าไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดหมาย
อีกด้านหนึ่งที่นิคมแปรชายแดนตองอู กุสุมาในเครื่องแต่งกายเต็มยศ กำลังให้นางข้าหลวงช่วยประดับผม เพื่อเสด็จเข้ากรุงตองอู อย่างมีความสุขหน้ากระจกคันฉ่อง
กุสุมาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยนั่งอยู่หน้าเรือนกับนางข้าหลวง เหม่อลอยไปทางหน้าหมู่บ้าน มังตรานั่งเคียงข้างอยู่กับโชอั้วที่แต่งตัวเต็มยศรออยู่บนเรือนจ่าบ้านเหล่าทหาร มหาดเล็ก ชาวบ้านแต่งตัวอย่างดีเข้าเฝ้า รอส่งเสด็จ
จะเด็ดเดินม้ามาคนเดียวไกลๆ กุสุมามองจนแน่ใจรีบลุกขึ้นมอง
“แม่ทัพบุเรงนองมาแล้ว”
มังตรากับโชอั้วรีบลงมาหา จะเด็ดเดินม้ามาหยุดอย่างหมดแรง
“ไหนละขบวนช้างพิธีที่จะมารับเข้ากรุงตองอู” จะเด็ดหน้าเสีย ได้แต่จ้องมองกุสุมา กุสุมาตัวสั่นจ้องจะเด็ดรอคำตอบ “เราสั่งให้จัดขบวนพิธีมารับให้เอิกเกริก เพลานี้อยู่ไหน”
จะเด็ดยังคงนิ่งไม่พูด มองมาทางกุสุมาแล้วตัดสินใจย่างม้าออกไปทางหลังหมู่บ้าน มังตราวิ่งลงมาขึ้นม้าควบตามไป
กุสุมาเหมือนรู้ ค่อยๆ ทรุดลงที่เดิม น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา
ม้าผูกให้กินหญ้าอยู่กลางทุ่งหลังนิคม จะเด็ดกับมังตรานั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้
“มีหนทางเดียว ท่านจำต้องรับภาระเป็นคนว่ากล่าวกุสุมาให้ปลงใจลง”
“ข้าพเจ้านั้นอาสาพูดได้แต่ความสำเร็จไม่หวังได้ดอก พี่ท่านควรวอนเอง”
“ข้าพเจ้าควรเจรจาสนับสนุนภายหลังจะได้การกว่า”
“งั้นข้าพเจ้าขอค้างแรมที่นิคมนี้อีกราตรีหนึ่งนะ”
ทั้งสองมองหน้ากันเหมือนรู้ใจกัน
กุสุมานั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้องอย่างน่าสงสาร นางข้าหลวงไม่รู้จะปลอบอย่างไรได้แต่นั่งกลุ้มใจ มังตราเปิดประตูเข้ามาพระองค์เดียวตีหน้าเศร้า นางข้าหลวงรีบกราบหมอบนิ่ง กุสุมาจ้องมองมังตราแล้วก้มกราบ รู้ว่ากำลังมีเรื่องสำคัญกัน
“ข้าพเจ้ามีเรื่องการใหญ่จะแจ้งให้ท่านฟัง ขอท่านอย่างเพิ่งคิดตำหนิจะเด็ดหรือผู้ใดก่อนรู้สิ้น”
“ข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องโชคเคราะห์บันดาล ขอพระองค์รับสั่งมาเถิด” มังตราลงนั่ง
“การนี้หากข้าพเจ้าเป็นคนฟังก็คงฉงนประมาณ เช้าบอกข่าวหนึ่ง เย็นบอกอีกอย่าง แต่โดยน้ำใสใจจริงข้าพเจ้ายินดีแก่การอุปภิเษกท่านเสมอพระพี่นางอย่างแท้จริง” กุสุมาน้ำตาคลอ
“ข้าพเจ้าเดาการได้ เพลานี้ข้าพเจ้าเหมือนตกอยู่หว่างกลางของคนตีกัน”
“ไม่ใช่ท่านผู้เดียว จะเด็ดก็เหมือนกันข้าพเจ้าก็เหมือนกัน ข้าพเจ้านี้แม้เป็นพระเจ้าตองอู แต่ก็ไม่ได้เกิดมาแต่ลำไผ่ ยังมีพระประยูรญาติผู้ใหญ่ให้ยำเกรง หากไม่ฟังคำทัดทานบัลลังก์ก็เหมือนสุ่มด้วยกองเพลิง ข้าพเจ้าสงสารท่านกับจะเด็ดพี่ท่านนัก ครองรักสืบไปก็จะมีแต่ทุกข์ใจไม่สิ้น เพลานี้จะเด็ดพี่ท่านกลุ้มใจจนไม่กล้าสบตาท่าน”
กุสุมาเสียใจมากสะอื้นไห้อย่างแรง มังตราแอบมองรู้สึกสงสารขึ้นมาจริงๆ
จะเด็ดควบม้าขึ้นเนินมายืนมองพระอาทิตย์นิ่งเหมือนวอนให้เมตตา
บรรยากาศยามค่ำคืนลานหน้าเรือนกุสุมาเงียบสงบ มีเพียงทหารยามเดินไปมา จะเด็ดขี่ม้าเข้ามาอย่างเศร้าสร้อย ผูกม้าแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่บันใดขึ้นเรือนไม่กล้าขึ้น กุสุมาถือโคมเปิดประตูออกมารับดวงตาไร้แววใดๆ จะเด็ดชะงักใจเต้นไม่แน่ใจว่ากุสุมาคิดอะไรอยู่
“กุสุมา แม่จะยั่วให้ข้าพเจ้าตระหนกหรือ”
“ทำไมไม่คิดว่าข้าพเจ้าเป็นห่วงท่าน หายไปแล้วจะกลับมาสู้หน้าหรือเปล่า”
กุสุมามองจะเด็ดด้วยความสงสาร ทรุดลงนั่งที่ระเบียง จะเด็ดจึงกล้าขึ้นไปนั่งใกล้ๆ
“เมื่อรู้ข่าวร้ายพี่เหมือนจะถูกไฟเผาให้มอดไหม้ แต่น้องท่านกลับเป็นฝ่ายปัดเป่าให้คลายใจ”
“แม้เรื่องนี้ จะเป็นเหตุใหญ่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตข้าพเจ้าอย่างหนึ่งแต่ข้าพเจ้าไม่อาจทนเห็นพี่ท่านต้องมากระเทือนใจกับหญิงมีราคีอย่างข้าพจ้าได้” คำพูดกุสุมาทำให้จะเด็ดสำนึกผิด
“วิมานอันเราสองช่วยกันสร้างมาทะลายลง น้องท่านจะทำอย่างไรแจ้งให้พี่รู้ที”
“ข้าพเจ้าจะขอกลับคืนแปร” จะเด็ดแอบดีใจ
“หากน้องท่านจะคืนแปร พี่ขอน้องท่านช่วยเพ็ดทูลแก่พระเจ้าแปรและพระอัครเทวี ให้ช่วยรักษาไมตรีกับพระเจ้าตองอูอย่าให้เป็นรอยร้าวจะได้ไม๊” กุสุมายิ่งเสียใจที่จะเด็ดพูดแบบนี้
“บุเรงนอง ท่านพูดอย่างนี้หาได้รักข้าพเจ้าเลย ท่านรักผลประโยชน์เมืองตองอูมากกว่า” จะเด็ดรีบขยับเข้าหา
“กุสุมา พี่รักน้องท่านจริงๆ แม้พระพรหมก็ยังไม่กล้าปฏิเสธ”
“บิดาข้าพเจ้าฝืนใจส่งลูกมาให้คนตองอูย่ำแล้ว ท่านยังจะใช้ข้าพเจ้ากลับไปกล่าวเท็จให้เศร้าจิตอีกหรือ”
“ฟังพี่ให้จบก่อน หากพระเจ้าแปรเบนใจไปมีไมตรีกับหงสาวดีน้องท่านจะพ้นมือสอพินยาได้อย่างไร หรือน้องท่านยินดีไปสมสวาทกับผัวเดิม” กุสุมาโกรธตบหน้าจะเด็ดอย่างลืมตัว “พี่นี้นิด หนึ่งก็ไม่เคยคิดเหมือนคำน้องท่านกล่าวหาเลย”
กุสุมาเสียใจจึงพูดประชด
“ข้าพเจ้าเพลานี้เสมือนเครื่องมือกลแห่งท่าน ปรารถนาใดก็จงสั่งมาจะฝืนใจรับไปทำให้”
“ดวงใจพี่นี้คือน้องท่านแน่ ความเท็จที่จะต้องกล่าวแก่พระเจ้าแปรทั้งคู่หาใช่จะเป็นไปตลอดชาติ เพียงเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดน้ำใจแก่สอพินยาดอก แล้วอีกเดือนหนึ่งพี่นี้จะยกขบวนไปรับน้ำสังข์คู่น้องท่านถึงในมหาเศวตรฉัตรกลางกรุงแปร”
“แล้วข้าพเจ้าจะกลับไปรอท่านที่กรุงแปรได้อย่างไรโดยไม่อายคน”
“ก่อนวันอุปภิเษกข้าพเจ้าจะจัดช้างเครื่องมารับให้สมจริง แต่ปรากฏว่าน้องท่านเจ็บไข้ทรุดหนักจะลุกเดินนั่งยังไม่ได้ มหาฤกษ์กำหนดแม่นยำแล้ว จะรออาการน้องท่านทุเลาไม่ได้เช่นกัน เมื่อไม่อาจเข้าร่วมพิธีได้ น้องท่านจึงขอเสด็จกลับแปรไปอยู่ใกล้พระมารดา ขอน้องท่านปฏิบัติตามนี้ แม้โชอั้วก็อย่าให้รู้ ตองอูกับแปรก็จะรักษาไมตรีกันได้สืบไป”
กุสุมาฟังแผนจะเด็ดด้วยความระทมใจ จะเด็ดสงสารดึงเข้ามากอดให้กำลังใจ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เชงสอบู กันทิมากำลังแต่งฉลองพระองค์ให้จันทราอยู่
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นในเรือนกุสุมานิคมแปร กุสุมานอนซมอยู่บนที่บรรทม นางข้าหลวงนำโอสถมาให้เสวยกุสุมาส่ายหน้า
“เราไม่ได้เป็นอะไรมาก ท่านอย่าห่วงเลย”
“ไม่ได้ดอก ตะละแม่ต้องเสวยสักนิดก็ยังดี บ่ายนี้ท่านแม่ทัพบุเรงนองก็จะนำขบวนแห่มารับไปอภิเษกแล้ว ท่านจะเดินทางเข้ากรุงได้อย่างไรถ้าประชวรเช่นนี้”
“ให้เราตายเถอะ อย่าพยายามเลย”
นางข้าหลวงพยายามจะป้อน กุสุมาปัดชามยากระเด็น ทุกคนตกใจ กุสุมาปิดหน้าร้องไห้
จะเด็ดควบม้านำจาเลงกาโบ เนงบา สีอ่อง มาตามทางอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดควบม้ามาหยุดอยู่ที่หน้าขบวนทหารม้าที่ประดับธงทิวสวยงาม มีช้างที่กูบประดับเป็นซุ้มดอกไม้อยู่ 2 เชือก มีแม่นางวังหลวงอัญเชิญพุ่มดอกไม้ ไปรับเสด็จกุสุมากับโชอั้วอยู่ในแถวขบวนดูอลังการ
“รีบออกขบวนเถิด เดี๋ยวจะอัญเชิญตะละแม่เมืองแปรมาสู่วังหลวงมิทันฤกษ์อภิเษกเย็นนี้” จะเด็ดบอก
“ดูท่านร้อนยิ่งกว่าสั่งการทัพอีกนะ จะมิตรวจขบวนก่อนหรือว่าสมพระเกียรติพระราชธิดาแปรเพียงใด”
“ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพี่ท่านทั้งสามสั่งการมิบกพร่องอยู่แล้ว”
จาเลงกาโบลงม้าเดินไปขึ้นคอช้างแทน ทหารมารับม้าไป
“ท่านนี่เป็นที่ริษยาแก่ชายทั้งแผ่นดินทีเดียว” สีอ่องบอก
“จะไม่มีบุรุษใดที่จะได้อภิเษกพระราชธิดาสองแผ่นดินในคราวเดียวเช่นท่านไปอีกนับร้อยปีทีเดียว ท่านนี้ทำบุญชาติที่แล้วด้วยอะไร ชาตินี้ข้าพเจ้าจะได้ขอทำไว้เสียก่อน”
จะเด็ดกลุ้มใจไม่อยากโต้ถียง
“พี่ท่านสั่งเคลื่อนขบวนเถิด ป่านนี้ตะละแม่กุสุมาทรงตั้งพระทัยคอยเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
สีอ่องหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข สั่งให้เคลื่อนขบวนทันที
“ขบวน เคลื่อนได้”
“เราจะพาออกทางลัด ไปให้สง่างามไว้ นี่ไม่ใช่ขบวนออกศึกนะ”
จะเด็ดย่างม้าตามอย่างไม่สบายใจ ในใจเป็นห่วงและสงสารกุสุมาอย่างที่สุด
ขบวนม้า-ช้างอัญเชิญตะละแม่กุสุมากำลังเคลื่อนขบวนมา ลมพัดฝุ่นปลิวกระจายดูเวิ้งว้าง น่าใจหาย จะเด็ดย่างม้ามาไม่รวมขบวนอยู่คนเดียวห่างออกมาดูเศร้าสร้อยเหมือนไม่อยากให้ถึง
จาเลงกาโบนั่งคอช้างมาอย่างสบายใจ เนงบา สีอ่อง ย่างม้าคุยกันอย่างมีความสุข ไม่รู้แผนของจะเด็ด เห็นจะเด็ดเงียบจึงควบม้าเข้าไปแหย่
“ท่านแม่ทัพ ดูท่านไม่เห็นสมกับบุรุษผู้จะเข้าการอภิเษกกับสองพระธิดาในคราวเดียวเลย”
“อย่างไรเสีย ข้าพเจ้าก็จะเร่งทัพกลับไปให้ทันพระฤกษ์อภิเษกเย็นนี้น่า”
จะเด็ดยังหน้าเศร้าไม่พูดไม่จา
โชอั้วมีแววกังวลมากยืนอยู่ที่หน้าเรือนกุสุมา ลูกบ้านชาวแปรต่างดีใจพากันวิ่งมาดู ขบวนม้า-ช้างอัญเชิญตะละแม่กุสุมาเคลื่อนเข้าประตูหมู่บ้านมา ชาวบ้านเฮเข้าไปรับ จะเด็ดควบม้ามาหาโชอั้วอย่างไม่สบายใจ แต่ยังเสียงแข็ง
“พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ให้ข้าพเจ้านำขบวนช้างเครื่องมารับพระราชธิดาพระเจ้านรบดี เพื่อเข้ารับพระสัทธรรม (สัด-ทำ-มะ) เทศนาก่อนการอภิเษกในเพลาตะวันรอนนี้”
“เพลานี้ตะละแม่ประชวรทรงกายนั่งไม่ได้ เห็นจะเข้าขบวนเสด็จไม่ไหว”
“เมื่อก่อนออกจากนิคมแห่งนี้ ข้าพเจ้ายังเห็นตะละแม่ปกติอยู่ จะมีพระอาการสาหัสได้อย่างไร” จะเด็ดกังวล เป็นห่วงกุสุมา
“ตะละแม่ปะไข้ลางทีจะสิ้นก่อนได้เห็นใจ ท่านบุเรงนองจงเข้าไปพิจารณาเอาเองเถิด”
จะเด็ดตกใจรีบขึ้นเรือนไป โชอั้วตาม จาเลงกาโบ เนงบา สีอ่องมองตามอย่างงงๆ
จะเด็ดกับโชอั้วเข้าในห้อง กุสุมานั่งเหมอมองอย่างอ่อนแรงพยายามยิ้มให้ จะเด็ดรู้สึกสะเทือนใจเข้ามากอด ข้าหลวงพากันร้องไห้สงสาร โชอั้วยืนมองอย่างหงุดหงิด
“พี่ท่านมาวันนี้เอาหมู่คนขบวนพิธีมารับข้าพเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าพเจ้ามาเชิญตัวน้องท่านตามโองการพระเจ้าอยู่หัวเราจะได้เข้าพิธีอุปภิเษกตามพระราชทานแล้ว”
“ตะวันตกดินวันนี้ตะละแม่คงเสด็จไม่ไหวดอก หากท่านอยู่เฝ้าประคบประหงมเห็นทีพรุ่งนี้จะสดใส ค่อยรับตัวไปได้” โชอั้วบอก
“ท่านพูดดุจผู้ไม่รู้ในการที่สูง อันฤกษ์ผานาทีที่โหรกำหนดนั้นอย่าว่าคราดเต็มคืนเลย ช้าผิดฤกษ์เพียงนาทีเดียวยังเสียการสิ้นหากตะละแม่กุสุมากลับเข้าฝ่ายในไม่ทันฤกษ์ มีหรือชาวตองอูจะคอย หน้าที่ข้าพเจ้าต้องนำตะละแม่กุสมาไปในวันนี้ให้ได้”
“งั้นท่านก็พยาบาลตะละแม่ให้นั่งได้ก่อน แล้วค่อยนำเสด็จ”
จะเด็ดประคองกุสุมาให้นอนราบ นำผ้าชุบน้ำใกล้ๆ มาเช็ดให้ทุเลาไข้ลง
“ตะละแม่คงเกรงท่านจะมิมารับ ทรงประทับคอยที่ลานบ้านจนเกือบรุ่ง พระอาการจึงเป็นเช่นนี้” นางข้าหลวงบอก จะเด็ดมองกุสุมา จึงรู้ว่าป่วยจริง รู้สึกสงสารมาก
“ทำไม น้องท่าน ต้องชะตาเป็นเช่นนี้”
กุสุมามองจะเด็ดด้วยรักสุดหัวใจ น้ำตาไหลอาบแก้ม
“ส่งข้า...พเจ้า กลับแปรเถิด”
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 19 (ต่อ)
จาเลงกาโบลงมาเดินไปมา รอรับเสด็จเงยหน้าดูตะวัน ยังไม่รีบร้อนเท่าไหร่
เนงบากับสีอ่องนั่งปั้นดินเล่นอย่างสนุกสนาน ทหารในขบวนเริ่มแตกแถวหาร่มพัก พระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตกมากขึ้น
จะเด็ดนั่งนิ่งมองกุสุมาตรงหน้าอย่างหนักใจ โชอั้วลงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง
“พี่ท่านจะแกล้งให้ข้าพเจ้าสิ้นใจบนหลังช้างหรือเพียงลุกนั่งก็หน้ามืดเสียเต็มประดา หากถูกเขย่าระหว่างทางคงขาดใจตายเสียก่อน”
“น้องท่านมาท้อถอยเสียเพลานี้ พระเจ้าแปรจะระแวงว่าตองอูไม่เต็มใจให้น้องท่านเข้าอภิเษกจะผิดใจกับตองอูได้”
“ก็หาผู้เป็นพยานกราบทูลความจริงซิ”
แววตาจะเด็ดเป็นประกาย
“แม่นางโชอั้วเป็นคนกลาง รู้เห็นทุกอย่าง วานท่านสลักหนังสือไปกราบทูลพระเจ้าแปรที”
“ได้ซิ อย่าห่วงเลย ข้าพเจ้าจะสลักหนังสือไปกราบทูลสมเด็จลุงเอง อนาถใจข้าพเจ้าเหลือเกิน ท่านทั้งสองควรจะได้ชมสมรักกันในค่ำนี้แท้ๆ กลับมามีอันเป็นไปได้อย่างไร”
จะเด็ดแม้จะรู้ว่าอยู่ในแผน แต่ก็ยิ่งสงสารกุสุมาจริงๆ
กุสุมาช่วยแต่งตัวใหม่ให้โชอั้วอย่างสวยงาม มีเหล่านางข้าหลวงช่วยด้วย
“เราสองหมายใจจะได้เป็นเพื่อนเห็นหน้ากันในเมืองตองอู หากข้าพเจ้าบุญน้อย ขอน้องท่านจงเข้ากรุงตองอูแต่ผู้เดียวเถิด เมื่อพระเจ้าตะเบงชะเวตี้โปรดแล้วจงระวังอัธยาศัยตัว อย่าทะนงและทำสิ่งที่แสลงนัยตาคนตองอูจะเป็นภัยตัว”
“ตะละแม่สั่งสอนข้าพเจ้าเหมือนไม่คิดตามเข้าไปพบกันอีก”
“ข้าพเจ้าแจ้งอาการตัวดีคงเจ็บป่วยเรื้อรังไปอีกนาน แต่น้องท่านอย่าห่วงว่าจะไปแต่ผู้เดียว ข้าพเจ้าจะแบ่งเหล่านางข้าหลวงให้ไปด้วย เบื้องหน้าน้องท่านขัดข้องสิ่งใดจงออกปากแก่ท่านบุเรงนองเถิด”
โชอั้วมองกุสุมาด้วยความซาบซึ้ง แล้วก้มลงกราบ
จาเลงกาโบพาโชอั้วในชุดนางในแปรสวยงามมาขึ้นช้างที่เกย ส่วนข้าหลวงกุสุมา 2 คนที่ตามมาให้ขึ้นเกวียน
“เคลื่อนขบวน”
จะเด็ดใจหาย หันมองเรือนจ่าบ้านอาลัยกุสุมายิ่ง ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าตามไป
กุสุมาชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเศร้าสร้อย รู้ตัวว่าหมดหวังแล้ว
จะเด็ดขี่ม้านำขบวนช้าง-ม้าเกียรติยศมาอย่างเสียใจมาก โชอั้วนั่งช้างที่จาเลงกาโบบังคับอยู่อย่างทรนง ดุจตัวเป็นมเหสีเอก จาเลงกาโบมองตะวัน
“ท่านแม่ทัพ อย่าห่วงขบวนนี้เลยเร่งแยกไปแต่ผู้เดียวเถิด หาไม่จะไม่ทันฤกษ์ มุ่งม้าไปเลยไม่ต้องห่วง”
จะเด็ดลังเลก่อนชักม้าเข้ามาพูดกับโชอั้ว
“ขอแม่โชอั้วไปกับขบวนนายกองช้างเถิด พระเจ้าตะเบงชะเวตี้จัดเรือนพักไว้รอรับท่านแล้ว เสร็จพิธีเย็นนี้พระองค์คงเสด็จไปหา”
จะเด็ดควบม้าแยกออกไปอย่างรวดเร็ว
พิธีอุปภิเษกจะเด็ดกับจันทราเป็นพิธีแบบพุทธผสมพราหมณ์ กลางท้องพระโรงจัดเป็นปะรำพิธีบายศรีดอกไม้สด ตรงกลางก่อกองไฟมีคณะพราหมณ์ โดยรอบเป็นพระประยูรญาติและเสนาอำมาตย์นั่ง
มังตราทรงรดน้ำมหาสังข์ลงที่ศีรษะของจะเด็ดกับจันทรา เสียงตีกังสดาร เป่าสังข์และมโหระทึกประโคม
จะเด็ดเดินนำจันทรามายังประรำพิธีพราหมณ์ พระประยูรญาติเอากลีบดอกไม้สีต่างๆ โปรยอวยพรให้คู่บ่าวสาว พราหมณ์เอาชายผ้าคลุมตัวจะเด็ดมัดเชื่อมกับผ้าคลุมพระเศียรจันทรา แล้วคู่บ่าวสาวพากันเดินรอบกองไฟ ปุโรหิตร่ายพระเวทย์ดังกระหึ่ม
จะเด็ดเดินนำจันทราวนไปรอบๆ กองไฟ แต่ละคนมองดูบ่าว/สาวอย่างปลาบปลื้ม เมื่อวนครบกำหนด จะเด็ดจึงพาจันทราเข้ามาหมอบกราบพราหมณ์
พรามหณ์นำโถกำยานวนรอบหัวให้บ่าวสาวพร้อมสวดพระคาถา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่เรือนกุสุมา เหล่านางข้าหลวงที่ไม่ได้ไปอยู่กับโชอั้วกำลังเก็บของลงกำปั่นให้กุสุมา
กุสุมานั่งนิ่งตัดใจแล้วอยู่ที่พระแท่น ก่อนจะหันมามองนางข้าหลวง
“เสร็จการหรือยัง”
“เสร็จแล้วตะละแม่ ตะละแม่จะเสด็จคืนนี้เลยหรือ”
กุสุมาไม่ตอบลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่มีแรง นางข้าหลวงต้องรีบมาพยุงไว้ พาออกไป
จ่าบ้านและรถม้าประทุนจอดรออยู่ที่ลานเรือน นางข้าหลวงช่วยกันพยุงกุสุมาลงมา หญิงชาวบ้านรีบเข้าไปรับกำปั่นของกุสุมาไปไว้หลังรถม้า
“ท่านแม่ทัพบุเรงนองได้แจ้งแก่ข้าพเจ้าไว้ว่า อีกสองราตรีท่านจะมารับตะละแม่เสด็จแปรเอง น่าจะรอก่อนนะ”
“อย่าห่วงเราเลย ถ้าจะสิ้นใจเราขอกลับไปสิ้นใจที่กรุงแปร”
“แล้ว ถ้าท่านบุเรงนองมาไม่พบตะละแม่ ข้าพเจ้าจะถูกคาดโทษได้”
“แจ้งแม่ทัพตองอูเถิดว่าเป็นความประสงค์เราเอง ชะตาเราเป็นไปอย่างนี้เรายินดีรับเคราะห์กรรมด้วยความเต็มใจ”
กุสุมาขึ้นรถม้า จ่าบ้านจำต้องเป็นผู้ขับให้ แต่ก่อนเคลื่อนรถม้าไปได้ให้สัญญาณชายแปรผู้หนึ่งมากระซิบ ชายผู้นั้นพยักหน้าเข้าใจแล้ววิ่งไปขึ้นม้าควบออกไปอีกทาง
จ่าบ้านหันไปสั่ง ชาวแปรที่ขึ้นม้ารออยู่พร้อมอาวุธเพื่อตามไปส่ง ให้เดินทาง
“ทั้งหมด ออกเดินทาง”
ขบวนรถม้าจ่าบ้านกับม้าคุ้มกันออกเดินทาง ในเกวียนกุสุมานั่งมากับนางข้าหลวง 2 คนมาเงียบๆ
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแดงฉาน ขบวนเดินทางกุสมาผ่านไป กุสุมานั่งอยู่ในประทุนที่โยกไปมา กุสุมาอ่อนหล้าจนแทบจะหมดสติ นางข้าหลวงต้องช่วยกันพัดวีให้ยาดมไปตลอดทาง
ทางด้านจะเด็ด หลังเสร็จพิธีการ จะเด็ดนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องบรรทมจันทรา จันทรามองอย่างสงสัย
“มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นหรือ”
“น้องหญิง ยังมีอีกหญิงหนึ่งกำลังระทมใจเพราะถูกพรากคนรักเพลานี้ตะละแม่กุสุมาได้ตัดสินใจเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ หากน้องท่านจะเมตตาพี่ให้ได้ไปส่งลานางกลับเมือง พี่นี้สัญญาว่าจะรีบกลับมาให้ทันฤกษ์สู่หออย่างแน่นอน” จันทรานิ่งคิด
“ชาตินี้มีบาปสิ่งใดข้าพเจ้าขอล้างให้สิ้น หากพี่ท่านไม่อาลัยข้าพเจ้า จะไม่กลับมาก็ได้”
จะเด็ดกุมมือจันทราขึ้นมาจูบ
“พี่นี้รักษาความบริสุทธ์ใจไว้เพื่อบูชาน้องท่านเพียงผู้เดียว รับรองข้าพเจ้ากลับมาทันแน่”
จะเด็ดรีบออกไป จันทรานั่งเสียใจอยู่คนเดียว
จะเด็ดควบม้ามุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จะเด็ดควบม้าผ่านทางรกชัฏไปอย่างไม่คิดชีวิต ขบวนรถม้ากุสุมาแล่นอยู่ไกลๆ จะเด็ดควบม้ามา พยายามควบตามไปอย่างรวดเร็ว
“กุสุมา กุสุมา”
ขบวนได้ยินเสียง หยุด กุสุมาเปิดพระวิสูตรออกมามอง ดีใจ แล้วรีบลงจากรถม้า จะเด็ดควบม้ามาหยุด โดดลงกอดกุสุมาแน่น
“พี่สั่งแล้วไงว่าอีกสองวันจะมาส่งน้องท่าน ทำไมด่วนตัดสินใจทิ้งพี่ไปอย่างนี้”
“ข้าพเจ้าอายผู้คนเกินกว่าจะอยู่ต่อไปได้ พี่ท่านกลับไปเถิดวันนี้เป็นวันมหามงคล อย่าทิ้งตะละแม่ตองอูให้เนินนาน”
“พี่ตามมาเพื่อให้สัญญาว่าอีกหนึ่งเดือนจะตามไปรับน้ำสังข์เคียงคู่น้องท่านให้ได้ ขอให้น้องท่านสัญญาด้วยว่าจะรอ”
“ข้าพเจ้าเหมือนกาฝาก มองเห็นต้นไม้ใหญ่ลงรากหยั่งลึกใกล้น้ำดินดี สำนึกแล้วไม่อาจอิจฉาได้ หากพี่ท่านไม่คิดตามไปข้าพเจ้าจะไม่ถือโกรธเลย”
“ไป พี่ต้องไป พี่ต้องไปให้ได้ พี่นี้ถึงหากมิใช่นักเลงหญิงแต่เผอิญให้ใกล้หญิงมากหลาย ได้สร้างกฎแก่ตัวเองไว้ว่าจะไม่คบหาหญิงใดเข้าขีดผัวเมียก่อนการอภิเษกกับตะละแม่จันทรา จึงได้รักษาตัวสืบมาเมื่อการพิธีนี้สมบูรณ์ พี่ก็เหมือนสิ้นเครื่องพันธนาการจะรีบไปรับขวัญน้องท่านทันที”
จะเด็ดกอดกุสุมาไว้แน่นเหมือนให้เชื่อในคำสัญญา
อ่านต่อหน้า 4
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 19 (ต่อ)
มังตราทรงชุดใหม่ เสด็จเสวยน้ำจัณฑ์ไปมาอยู่อย่างกระวนกระวายใจ มีมหาดเล็กอยู่ถวายงาน 2-3 คน
สักครู่ นางข้าหลวงอัญเชิญพานเครื่องทรงนันทวดีที่แต่งในงานอุปภิเษกเดินออกมาจากฝ่ายใน
“ตะละแม่อยู่หัวบรรทมหรือยัง”
“เพิ่งสรงเสร็จ กำลังจะบรรทม” นางข้าหลวงเดินออกไป
มังตรารีบเดินไปวางจอกน้ำจัณฑ์ มหาดเล็กจะรินถวายอีก มังตราห้าม
“ไม่ต้องแล้ว เราจะไปเรือนรับรอง แล้วไม่ต้องให้ใครตามเราไป”
“จะเสด็จไหนอีก ป่านนี้แล้ว” นันทวดีถามขณะเสด็จออกมา มังตราพระพักตร์เสีย “ช่วงเพลานี้พระองค์มักมีราชการสำคัญให้ไปประทับนอกวังเสมอ แม้จนยามวิกาลเช่นนี้ก็จะมิอยู่”
“ข้าพเจ้า เพียงอยากไป...”
“ข้าพเจ้าเพลานี้ เหนือสตรีใดในแผ่นดินเพราะมีศักดิ์ที่พระองค์พระราชทานให้ หากไร้พระเมตตาแล้วจะอยู่ในตำแหน่งแม่อยู่หัวให้อายผู้คนทำไม” นันทวดีตัดพ้อ มังตราเดินไปรินเหล้าดื่ม “ข้าพเจ้านี้ รับการอภิเษกในพระองค์เพราะถือเป็นบุญที่ได้ถวายงาน ยามใดพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นสุข มีพระทัยบริหารแผ่นดิน ประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขข้าพเจ้าภูมิใจนักที่ได้เป็นผู้อยู่ใต้บัลลังก์รองบาทพระเจ้าอยู่หัว แต่หากพระเจ้าอยู่หัวมิเห็นประโยชน์ในข้าพเจ้าแล้วอยากมีสตรีอื่นมารองบาท แล้วทำคุณแก่แผ่นดินได้เลิศกว่าข้าพเจ้าก็ทรงรับสั่งมา ข้าพเจ้าจะมิน้อยใจ ถือว่าหมดบุญที่จะสนองแผ่นดินแล้ว”
มังตรารีบวางจอก เดินเข้ามาหานันทวดี
“ทำไมน้องท่านพูดเช่นนั้น” นันทวดีน้ำพระเนตรคลอ มังตรายิ้มให้อย่างเอาใจ “ข้าพเจ้า ปรารถนาน้องท่านเมื่อแรกเห็น เพราะนิยมชอบว่าน้องท่านมีความเด็ดเดี่ยวเหนือสตรีอื่น สมเป็นแม่อยู่หัวของตองอู อย่าให้ผู้ใดเห็นน้ำพระเนตร ข้าพเจ้ายิ่งกระเทือนใจ”
มังตราทรงนำชายผ้าใกล้มือมาซับน้ำพระเนตรให้
โชอั้วนั่งคอยมังตราอยู่ที่ลานเรืทอนรับรองอย่างหงุดหงิด ทั่วลานจุดไฟสว่าง สักครู่ ขบวนเหล่ามหาดเล็กแก่ๆเดินเชิญของพระราชทานเข้ามา โชอั้วดีใจรีบลุกมารับ
“พระเจ้ามังตราเสด็จแล้วหรือ”
“คืนนี้พระองค์เสด็จไม่ได้ ให้พวกเรามาเฝ้าพระสนมแทน”
“อายุขัยป่านนี้ไม่ต้องมาเฝ้าเราดอก พวกเราขึ้นนอน”
โชอั้วงอนไม่พอใจกระฟัดกระเฟียด ขึ้นเรือนไป
จะเด็ดเปิดประตูห้องบรรทมจันทราเข้ามาท่าทางเหน็ดเหนื่อย รู้สึกสงสารจันทรามาก เข้ามานั่งข้างๆ
“กุสุมาเสด็จกลับกรุงแปรแล้ว นางสั่งมาโดยซื่อเพราะสำนึกในคุณจันทราว่าให้ข้าพเจ้าถวายจูบเท่าจำนวนน้ำใจที่จันทรามีน้ำใจเอ็นดู”
จะเด็ดเปิดผ้าคลุมไหล่ออกจะจูบ จันทรารีบปัดมือ
“อย่า ข้าพเจ้าใช่คนที่จะให้ชายมาจูบเพราะมีผู้สั่งมา”
“ผู้สั่งนั้นรู้ว่าหากพี่ไม่ได้จูบจะพลอยสิ้นใจต่างหาก มังตราที่เคยหมายเอาชีวิตยังรู้ใจ แต่ทำไมน้องท่านยังจะตั้งข้อชังพี่อยู่อีก” จันทราเงียบไม่ตอบ จะเด็ดตัดสินใจรวบตัวอุ้มไปวางที่แท่นบรรทม “พี่นี้เป็นคนยาก ยี่ภู่รองนอนไม่เคยลาดด้วยพนักงานของหลวง น้องท่านจะอนุญาตให้พี่นอนเคียงบนพระแท่นไม๊” จันทรายังเงียบอีก จะเด็ดจึงหันไปหยิบพานเครื่องนอนมาส่งให้ “นางต้นห้องไม่อยู่แล้ว น้องท่านจะเปลี่ยนเครื่องทรงเองหรือจะวานให้พี่นี้เปลี่ยนให้” จันทรารีบฉวยผ้าไปกอดไว้ จะเด็ดขยับไปปลดดอกไม้ที่แซมพระเกศาจันทรามาดม “เราทั้งสองนี้ภักดีต่อกันมาหลายปี คำหนึ่งน้องท่านไม่เคยเอ่ยว่ารักให้ได้ยินเลย วานเอ่ยก่อนน้องท่านจะมอบตัวแก่พี่โดยสมบูรณ์เถิด”
จันทราไม่กล้าพูดได้แต่ส่ายหน้า
“ข้าพเจ้ายึดกิริยาสำแดงยิ่งกว่าคารมลิ้น”
“งั้นพี่ขอสำคัญเอาว่าน้องท่านได้แสดงว่ารักพี่แล้ว พี่จะขอแสดงรักตอบ” จะเด็ดจับคางจันทราให้หันมา “พี่นี้รู้ตัวว่าถูกตีราคาให้สูงจึงตั้งใจถนอมตัวเพื่อถวายตัวกับน้องท่านเพียงผู้เดียว จันทรา...น้องท่านเหมือนของทิพย์ที่พี่นี้ได้เป็นรางวัลเพราะบำเพ็ญตะบะมานา”
จะเด็ดดึงจันทราเข้ามาหอม จันทรายินยอมอย่างเต็มใจ
จะเด็ดเอื้อมมือมาวางดอกไม้และผ้าคลุมไหล่ลง เห็นแสงเทียนสั่นไหวไปตามลม
หลายวันผ่านไปที่ท้องพระโรงหงสาวดี สการะวุตพีประทับเป็นประธาน สอพินยาอยู่เคียงข้าง ทหารข่าวหมอบอยู่กลางท้องพระโรง
“บัดนี้ ได้ข่าวล่าว่าตะละแม่กุสุมาเสด็จกลับกรุงแปรแล้ว พี่ท่านอย่ากล่าวว่าข้าพเจ้าบังอาจเลย แสนสมบัติในแผ่นดินหงสาวดีนี้ ข้าพเจ้าขอเพียงกองทหารแล่นไปกรุงแปรนำชายาข้าพเจ้ากลับมาก็พอ”
“เราสองพี่น้องทะนุถนอมกันมาโดยน้ำใจสุจริต เสมอกองทัพช้างม้าแต่เราเคยทำการถึงชานเมืองเขาสองครั้งแล้วไม่สำเร็จ จำจะบุกไปให้ลำบากข้าทหารอีกทำไม ขอน้องท่านคิดให้ดี”
หากทำการไม่สำเร็จข้าพเจ้าจะขอทิ้งศพไว้ที่กรุงแปร แต่หากได้ชัยชนะจะขอสับร่างพระเจ้าแปรกับอ้ายจะเด็ดให้แหลก และจะขอนำกรุงแปรและตองอูมาถวายพี่ท่าน”
“น้องท่านดุเดือดโดยอารมณ์หึงเป็นมูล น่าจะฟังพี่ให้แจ้งตลอดก่อนบัดนี้ท่านเสียงโคนได้ซ่อมกำแพงพระนคร เตรียมการรับมือพวกตองอูอย่างดีแล้ว น้องท่านจะเสี่ยงภัยไปทำไม ส่วนนางธิดาแปรก็ตกเป็นของจะเด็ดแต่ครั้งเมืองเมาะตะมะ ควรหรือจะนำมาเข้าพิธีอีก”
“แต่พระเจ้าป้าได้แจ้งข้าพเจ้าว่าตะละแม่กุสุมายังไม่เคยตกเป็นชู้สวาทของจะเด็ดเลย”
สการะวุตพีหัวเราะ
“ก็แค่คำแจ้ง หาผู้ใดเห็น น้องท่านยังจะเชื่อคารมคนแปรอยู่อีกหรือ”
สอพินยาหันไปมองผู้คนในท้องพระโรง แต่ละคนแอบยิ้มเหมือนสอพินยาเป็นตัวตลก สอพินยายิ่งแค้นใจจะต้องเอาชนะให้ได้ สอยันปายแอบมองด้วยความสงสาร
สอพินยาประทับเสวยน้ำจัณฑ์อยู่ที่ตำหนัก จอลุกับสมทะหมอบเฝ้าอยู่ตรงหน้า
“ข้าพเจ้าจอลุ”
“ข้าพเจ้าสมทะ”
“แล้งหน้านี้ตองอูก็จะยกทัพมาย่ำถึงหน้ากำแพงเรา แต่ในหงสาวดีเพลานี้ไม่มีใครช่วยเราได้เลย ผู้ที่เราหวังที่สุดก็คือท่านไขลู”
“แต่ท่านนายกองดาบถูกจองจำอยู่ในตองอู เพลานี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่อาจรู้ได้”
“เราจะให้ท่านทั้งสองลอบไปสืบความ หากท่านไขลูยังมีชีวิตอยู่จงพากลับมาหาเราให้ได้”
“ชีวิตข้าพเจ้าทั้งสอง จะสิ้นเพราะเอาราชการในพระอุปราชก็หาเสียดายไม่”
“เพลานี้ลูกสาวปะขันหวุ่นญีผู้ที่ภักดีต่อไขลู ได้เป็นพระสนมเอกอยู่ในตองอู เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นการยากหากท่านทั้งสองหาทางเข้าไปพบแล้วให้นางนำเข้าถึงตัวท่านไขลู จากนั้นเรามั่นใจว่าท่านไขลูจะใช้ปัญญาชี้ช่องให้ตลอดเอง”
“แล้วข้าพเจ้าจะทำอย่างไรให้นางเชื่อว่าข้าพเจ้าเป็นข้าบาทในพระองค์”
สอพินยาหยิบตราประจำพระองค์โยนให้ จอลุรับมาดู
“ตรานี้จะเป็นรองก็แต่พระเจ้าอยู่หัวหงสาวดี เจ้ายังจะกลัวอะไรอีก”
ตราประจำพระองค์ที่จอลุถืออยู่ จอลุ สมทะพนมมือ
“ข้าพเจ้าทั้งสองจะเอาราชการมาถวายให้จงได้”
เช้าวันรุ่งขึ้น ในห้องนอนเรือนตองหวุ่นญี โชอั้วผลุดลุกขึ้นมา เอาแพรคลุมตัวอย่างไม่พอใจ มังตราลุกตามมาเล้าโลม
“ข้าพเจ้าถูกลวงให้เป็นแค่ผู้บำเรอมากว่าจะเป็นพระสนมเอก”
“ทำไมท่านกล่าวน้อยใจอย่างนี้ ข้าพเจ้ารักท่านจริงๆ”
“ถ้ารัก ทำไมต้องนำข้าพเจ้ามาหลบๆ ซ่อนๆ ในที่ลับตา ทำไมไม่นำเข้าไปอยู่ในวังหลวงด้วย”
“กำลังหาทางอยู่”
“พระองค์กลัวพระมเหสี”
“ไม่ได้กลัว แต่เกรงท่านขุนวังทกยอดินพ่อตาต่างหาก”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ นับแต่นี้ไปขอพระองค์อย่ามาพบข้าพเจ้าอีก”
“ไม่เอา จะมา”
“ถ้ายังต้องการข้าพเจ้า ต้องแต่งขบวนมารับข้าพเจ้าเข้าวังหลวง” มังตราจ้องหน้าโชอั้ว
“พูดจริงหรือ” โชอั้วจ้องตอบ
“จริง”
“เข้าไปทำไม อยู่ที่นี่ดีแล้วจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน ในวังหลวงมีแต่พระประยูรญาติผู้ใหญ่ ท่านจะทุกข์ใจเสียเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นพระองค์ต้องมีเครื่องแลกเปลี่ยน”
“จะเอาอะไรเรายินดีจะให้”
“ข้าพเจ้าต้องการตราประจำอำนาจพระสนมเอก” มังตรามองตัดสินใจไม่ถูก “ถ้าไม่ได้ข้าพเจ้าจะกลับกรุงแปร”
“ได้ซิ ทำไมจะไม่ได้”
โชอั้วยิ้ม หันมากอดจูบมังตราอย่างดีใจ
อ่านต่อตอนที่ 20