ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 17
บนเชิงเทินกำแพงค่ายหงสาวดี ลูกธนูบางลูกถูกทหารหงสาวดีล้มตายไปหลายคน แต่มีบางลูกพุ่งข้ามกำแพงค่ายไป
ไขลูยังสั่งการดับเพลิงอยู่
“ท่านไขลู อย่าห่วงทางนี้เลย รีบไปป้องกันค่ายด้านหลังเถิด”
สอพินยาขึ้นม้าควบออกไป
“ดับให้ได้ อย่าให้ลามไปที่กองบัญชาพลเด็ดขาด”
ไขลูตะโกนสั่งแล้วรีบโดดขึ้นม้าตามไป เปลวเพลิงยังโหมกระหน่ำน่ากลัว
จิสะเบงควบม้าคุมทหารโมยินกำลังทำลายรั้วค่ายให้เป็นช่องกว้างอยู่ด้านหนึ่ง สอพินยา ไขลู ควบม้าดูค่ายที่ถูกเผาควันโขมงด้วยความแค้น ทหารอื่นๆ กำลังเตรียมการเดินทัพวิ่งไปมาวุ่นวาย
“คอยดู ถ้ารอดไปครั้งนี้เราจะขอกลับมาเผาตองอูให้สิ้นแค้น”
“เราเสียทีมัน รีบเคลื่อนพลกันเถิดพระอนุชา พวกตองอูกำลังยกทัพออกจากกำแพงเมืองแล้ว”
“ข้าพเจ้าทลายรั้วค่ายเสร็จแล้ว เร่งออกเดินทางเร็วเถิด” จิสะเบงบอก
“ท่านจิสะเบงกับท่านไขลู ล่วงหน้านำทัพออกเดินทางก่อนเถิด ข้าพเจ้ากับพระอุปราชจะเป็นทัพหลวงตามหลังไป” เมงกยอกแงบอก
“ท่านนำไปเลยจิสะเบง ทัพหน้า ตามข้าพเจ้ามา”
จิสะเบงควบม้าออกช่องแหวกไป ไขลูตาม กองทัพหน้าตามไขลูไป
สอพินยายังคงควบม้าไปมาดูซากค่ายที่ถูกเพลิงโหมอย่างน่ากลัวด้วยความเจ็บแค้น
“ทำไมชีวิตนี้ข้าพเจ้าไม่เคยเอาชนะเจ้าจะเด็ดได้เลย ชีวิตนี้ขอข้าพเจ้าชนะมันสักครั้งเถิด ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ข้าพเจ้าไม่มีวันตายตาหลับ”
ป่าหลังกำแพงค่ายหงสาวดี สีอ่องและพลธนูบางส่วนวิ่งเข้ามาหลังจากไปจัดการกับค่ายของเมงกยอกแง
พลธนูตองอูเข้าประจำที่อยู่ โดยมีจาเลงกาโบกับสีอ่องอยู่ที่หัวแถว
“ขึ้นสาย ยิง”
ทหารธนูเอาลูกธนูไฟขึ้นสายยิงออกไปตามคำสั่งจาเลงกาโบ ลูกธนูไฟพุ่งแหวกอากาศออกไปเป็นจำนวนมาก
“ทั้งหมด เดินหน้า” พลธนูทั้งหมดเดินหน้าออกมาพร้อมกันประมาณสิบก้าวแล้วหยุด “ขึ้นสาย ยิง”
ทหารทั้งหมดยิงธนูออกไป ลูกธนูเพลิงพุ่งแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
เนินป่าอีกมุมหนึ่ง ใกล้ๆ กัน เสียงสัญญาณกลองศึกค่ายหงสาวดีดังมาไกลๆ รานองยืนม้าคุยกับตองหวุ่นญี เรื่องการโจมตีตลบหลังทัพหงสาวดี
จะเด็ดวิ่งขึ้นมายังเชิงเทินกำแพงเมือง และมองออกไปยังค่ายของอังวะและหงสาวดี เห็นควันพวยพุ่งขึ้นที่ชายป่าเป็นจำนวนมาก เสียงกลองศึกดังมาแว่วๆ จะเด็ดยืนมองไปที่ค่ายหงสาวดีอย่างดีใจ
“ตองสาคงทำการสำเร็จแล้ว”
ประตูเมืองตองอูเปิดออก จะเด็ดควบม้านำกองทัพตองอูออกมาจากประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
ที่ป่าหลังกำแพงค่ายหงสาวดี กองทหารตองอูที่ระดมยิงธนูไฟออกไปอย่างไม่ยั้ง จาเลงกาโบกับสีอ่องยืนม้ามองสักครู่ จึงชักม้าควบไปที่รานองและตองหวุ่นญีที่ยืนม้าอยู่บนเนิน
“ค่ายหงสาคงถูกเผาเป็นเถ้าอีกไม่นานนี้แน่ ทหารเราทำได้ดีเกินคาด ท่านอุปราชรานอง”
“แม่ทัพบุเรงนองคงเร่งยกทัพออกมาล้างค่ายหงสาวดีในทันทีแน่”
“เราจะช่วยบุเรงนองโอบเข้าตีกระหนาบด้านหลัง จับเชลยถวายพระเจ้ามังตรากันได้ไม่ยาก”
“แล้วแม่ทัพทั้งหลาย ท่านจะให้เราไว้ชีวิตหรือไม่”
“หากท่านทั้งหลายไม่ยอมจำนนแต่โดยดี เราก็คงไม่อาจไว้ชีวิตได้ ท่านตองหวุ่นญีมีความคิดเห็นเช่นใด”
ตองหวุ่นญีเงียบ ทุกคนรอฟังคำตอบ
“หากพวกท่านพากันเข้าตะลุยค่ายหงสาวดี ไม่มีวันได้ตัวแม่ทัพคนสำคัญดอก”
“ทำไมท่านอาคิดอย่างนั้น”
“เพลานี้แม่ทัพหงสาวดีคงรู้แล้วว่าไม่อาจรักษาค่ายไว้ได้ คงหาช่องทางหนีกันแล้ว”
“งั้นก็ดีเลย เรารออยู่ที่นี่ คอยสกัดต้านไว้ไม่ต้องเสียเวลายกเข้าล้อมตี”
“หนทางที่ปลอดภัยและลับตาที่สุดคือช่องเขาทางตะวันออก ข้าพเจ้าเชื่อว่าจิสะเบงจะพาอุปราชสอพินยาข้ามเขาไปทางนั้นแน่”
ตองหวุ่นญีหน้านิ่ง แต่ดวงตาเจ็บช้ำมาก รานองจ้องมองตองหวุ่นญีเขม็งไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้เชื่อใจได้หรือเปล่า
จะเด็ดควบม้าบุกนำกองทัพตองอูมาเต็มทุ่ง
“พังค่ายมันให้ได้ ใครถอยจงอย่ามีชีวิตอยู่เป็นคนตองอูเลย”
กองทัพตองอูบุกมา
ขณะนั้นไขลูกับจิสะเบงคุมทหารเดินทัพมาตามเชิงเขา มุ่งตรงไปสู่อังวะ ไขลูกับจิสะเบงควบม้ามองเหมือนมีลางสังหรณ์
กองทหารม้าที่ระวังหลังมีทหาร 2-3 คนถูกธนูพุ่งปักหลังอย่างแรง จนกระเด็นตกจากม้าทันที ทุกคนพากันแตกตื่น ไขลูกับจิสะเบงตกใจ หันม้ากลับมามอง
“พวกตองอูๆๆ พวกตองอูซุ่มโจมตีเรา”
บนเนินเขา พลธนูตองอูโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ระดมยิงธนูเข้าใส่ทหารหงสาไม่ยั้ง ทหารหงสาวดีโดนลูกธนูแตกตื่นอลม่าน ไขลูกับจิสะเบงตกใจทำอะไรไม่ถูก
“ทหารมุ่งไปข้างหน้าเร็ว เราต้องรีบออกจากช่องเขา เร็ว”
“แล้วทัพหลังของพระอนุชาล่ะ”
“เรารอไม่ได้แล้ว รีบเอาตัวรอดก่อน”
จิสะเบงควบม้านำออกไปทันที ทหารอื่นๆ รีบตามไป ไขลูละล้าละลัง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจควบม้าตามจิสะเบงไป
จิสะเบงควบม้านำทหารหงสาวดีกลุ่มหนึ่งออกมาจากช่องเขา แล้วหยุดตะลึงเมื่อเห็นตองหวุ่นญีกับสีอ่องควบมาลงเนินมาดักด้านหน้าไว้
จิสะเบงตกใจที่เห็นเป็นตองหวุ่นญี
“พ่อ ท่านพ่อ”
“อ้ายลูกทรยศ มึงกับกูไม่มีวาสนาได้เป็นพ่อลูกกันอีกต่อไปแล้ว วันนี้มึงกับกูมาออกรบกัน หากกูเพลี้ยงพล้ำขอให้มึงกุดหัวกูไป แต่หากกูได้ช่อง กูก็จะกุดหัวมึงล้างอายให้แก่วงศ์ตระกูลเอง”
จิสะเบงตกใจไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีไขลูพาทหารหนีตามตามออกมา
“นี่มันอะไรกัน”
“ข้าพเจ้าเกิดมายังไม่เคยแทนคุณผู้ให้กำเนิด จะให้มายืนม้าต่อม้ากับพ่อตัว ข้าพเจ้าทำไม่ได้ดอก”
ไขลูตกใจทำอะไรไม่ถูก ตองหวุ่นญีตัดสินใจชักดาบด้วยใจที่แน่วแน่
“ทหาร ประจัญบาน”
ตองหวุ่นญีควบม้านำทหารออกไป สีอ่องตาม ทหารอื่นๆ ตาม ไขลูชักม้าออกมาอยู่หน้าแถวทหารทั้งหมด แล้วชักดาบออกมาชู
“ทหาร สู้ตาย”
ไขลูชักม้านำทหารออกรับมือกับกองทหารตองอูทันที จิสะเบงยังคงนิ่งเฉย ไม่กล้าชักม้าตามไป
กองทหารตองอูกับหงสาวดีเข้าประจัญบานกันอย่างดุเดือด ตองหวุ่นญีฟันกับไขลู จิสะเบงยืนม้ามองพ่ออย่างเสียใจ แล้วตัดสินใจชักม้าหนี ตองหวุ่นญีเห็นชักม้าตาม ไขลูจะสกัดแต่ถูกสีอ่องมาขวางไว้
“สีอ่อง ท่านบัญชาการรบแทนเราที”
สีอ่องยังติดพันการรบอยู่ห้ามตองหวุ่นญีไม่ทัน
“ท่านขุนพลอย่าตามไป”
ตองหวุ่นญีควบม้าฝ่าฟันแหวกหมู่ทหารหงสาวดีออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
จิสะเบงควบม้าหนีมา ตองหวุ่นญีควบม้าตาม ตองหวุ่นญีควบม้าตามมาทัน ฟันจิสะเบงได้หนึ่งแผล จิสะเบงพยายามต่อสู้ป้องกันตัว
“วันนี้กูไม่ได้เลือดชั่วมึงออกมา อย่านับว่ากูเป็นคนตองอูเลย”
“อย่า ท่านพ่อ ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว”
ตองหวุ่นญีตรงเข้าเข่นฆ่าจิสะเบงหมายเอาให้ตาย จิสะเบงไม่สู้แต่พยายามปกป้องตัว
“อย่าหนีนะอ้ายลูกชั่ว กูจะล้างแค้นให้คนตองอูที่ตายเพราะมึง”
ไขลูควบม้าตามมาทัน ตรงเข้าหาตองหวุ่นญี ไขลูควบม้าเข้าหาตองหวุ่นญีอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงหอกซักออกมาจากอานม้า จิสะเบงหันกลับมามองพ่ออย่างเป็นห่วง เห็นไขลูจะขวางหอกซัดใส่พ่อ
“ท่านพ่อ ระวังหลัง”
จิสะเบงตะโกนบอก ตองหวุ่นญีหันกลับไปมอง ไขลูพุ่งหอกซักออกไปทันที หอกซัดพุ่งเข้าปักอกตองหวุ่นญีอย่างแรง จิสะเบงตกใจร้องสุดเสียง
“ท่านพ่อ” ตองหวุ่นญีโดนหอกซักเข้าเต็มอก ตกจากหลังม้า จิสะเบงควบม้ามาหยุดใกล้ๆ โดดลงมาประครองตองหวุ่นญีไว้ “ท่านพ่อ ท่านพ่อ”
จะเด็ดคุมกองทหารตองอูมุ่งมาแต่ไกล ไขลูควบม้าผ่านไปแล้วหันมาเรียก…
“จิสะเบง หนีเร็ว เราไม่มีเวลาแล้ว หนีเร็ว” จิสะเบงกอดพ่อร้องไห้ ไขลูตกใจพะว้าพะวัง “เร็วเข้าท่านจิสะเบง พวกตองอูมันมาโน้นแล้ว”
กองทหารจะเด็ดใกล้เข้าทุกที จิสะเบงยังคงกอดพ่อร้องไห้
“ข้าพเจ้าผิดไปแล้วอภัยข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะพาท่านพ่อกลับตองอูเดี๋ยวนี้”
“อย่า ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” จิสะเบงไม่ฟังอุ้มพ่อขึ้นมา “พ่อผิดเองที่เลี้ยงลูกไม่ดี เพราะเจ้ากำพร้าแม่พ่อจึงตามใจมากเกินไป”
จะเด็ดควบม้านำทหารตองอูมุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว ไขลูหันกลับมามองจิสะเบงตกใจแต่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้จึงควบม้าหนี จะเด็ดควบม้านำทหารผ่านจิสะเบงที่กอดพ่อไว้อย่างน่าสงสาร มือตองหวุ่นญีล่วงมีดสั้นออกมาจากเอว ตองหวุ่นญีจ้วงแทงจิสะเบงอย่างแรง จิสะเบงเจ็บปวดจนผงะ แต่ตองหวุ่นญีไม่ยั้งจ้วงแทงอีกหลายครั้ง
“พ่อรักลูก พ่อรักลูก พ่อรักลูกเสมอจิสะเบง”
ไขลูหนีมาเจอกองทหารสีอ่องควบม้าสกัดหน้าไว้ จึงหันกลับมาสู้กับจะเด็ด
“มา เข้ามา ข้านี้คือขุนดาบแห่งหงสาวดี เข้ามาจับเลย”
จะเด็ดเป็นห่วงตองหวุ่นญีละล้าละลัง
“สีอ่อง จับเป็นไม่ได้ ก็จงสังหารเสีย”
สีอ่องกับทหารตองอูเข้าสู้กับไขลูจนตกลงจากหลังม้า ไขลูยังพยายามสู้แต่สีอ่องมีคนมากกว่าสู้ไม่ได้
จะเด็ดชักม้ากลับไปหาตองหวุ่นญี แต่ไม่สามารถช่วยได้แล้ว
จิสะเบงนอนฟุบกอดตองหวุ่นญีไว้ จะเด็ดคุกเข่าอยู่ข้างๆ ทหารตองอูกำลังจับตัวไขลูกดลงนอนกับพื้น เอาเชือกมามัด
เมงกยอแงควบม้านำทัพมาอย่างเร่งรีบ สอพินยาย่างม้าตามหลังมาช้าๆ เมงกยอแงชักมากลับมาหาสอพินยา
สอพินยาหันกลับไปมองด้านหลังด้วยความเศร้า นึกถึงไขลู
“ข้าพเจ้าบอกแล้วให้หนีมาทางใต้ ลงมาทางเมืองแปรจะปลอดภัย พวกมันคงพากันไปอุดช่องเขาหมดแล้ว ข้าพเจ้าไม่ยอมเชื่อแผนจิสะเบงดอก พวกตองอูมันต้องรู้ทางกัน”
“แล้วท่านไขลูละ”
“เพลานี้ต่างคนต่างเอาตัวรอดเถิด เราช่วยใครมิได้ดอก ไปถึงแปรเมื่อไหร่เราค่อยว่ากัน พวกเราเร่งเดินทางหน่อย เสบียงอาหารเรามีน้อยต้องไปให้ถึงแปรให้เร็วที่สุด”
เมงกยอแงเร่งม้านำขึ้นไป ปล่อยให้สอพินยาตามหลังด้วยความเป็นห่วงไขลู สอพินยาเริ่มร้องไห้
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 17 (ต่อ)
ถนนในเมืองตองอู ทหารเดินแถวผ่านชาวเมืองที่พากันโห่ร้องดีใจ ขบวนทหารตองอูนำเชลยเดินมาตามทาง
จะเด็ดนั่งม้านำขบวนศพตองหวุ่นญี เสียใจมาก จาเลงกาโบ สีอ่องขี่ม้าขนานแคร่หามศพตองหวุ่นญี ไขลูถูกมัดร้อยหวายมากับเหล่าเชลยอื่นๆ เหล่าชาวเมืองโห่ร้องสาปแช่งเชลยแล้วเงียบลงมองไปทางเดียวกัน ศพจิสะเบงถูกมัดติดขาหยั่งบนเกวียนมาเป็นสุดท้ายในฐานะศพเชลย
คืนนั้นในห้องบรรทมจันทรา ตำหนักพระราชเทวี พระบัญชรถูกสะเดาะกลอนเปิดออก จะเด็ดค่อยๆ ปีนเข้ามาแล้วตรงไปที่เตียง แต่พอเปิดผ้าห่มออกกลับไม่พบจันทรา
“นึกแล้วว่าท่านต้องทำกิริยานี้” จะเด็ดหันไปตามเสียง เห็นจันทราประทับนั่งบนตั่งในมุมมืด “เราไม่ใช่เชลย มังตราจะได้อนุญาตให้เป็นสิทธิ์แก่คนทั้งปวงได้ตามใจชอบ” จะเด็ดรู้ว่าจันทราโกรธ จึงเดินเข้ามาทรุดนั่งกับพื้นใกล้ๆ
“พรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะเจรจากับมังตราเอง”
“น้องท่านจะโกรธข้าพเจ้าไปนานแค่ไหน การกลับตองอูเพื่อถวายชีวิตก็เพราะจะให้ทุกคนในแผ่นดินนี้รู้แจ้งว่า ข้าพเจ้านี้ภักดีต่อน้องนางผู้เดียว”
“อย่าพูดสืบไปเลย จะเด็ดชนะศึกข้างนี้ แต่เมืองแปรข้างโน้นมีหญิงอีกผู้หนึ่งกำลังกระทำพิธีใหญ่แก้บน”
“หากพระเจ้ามังตราไม่อุปภิเษกให้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นจะต้องเกรงอาญาหลวง จะขอชิงตัวพระพี่นางไปเสียคืนนี้”
“ข้าพเจ้าแจ้งแล้วว่าจะเด็ดนั้นเป็นยอดชาย มีฝีมือเยี่ยมในการชิงนาง”
จันทรายิ้มเยาะลุกเดินออกไป จะเด็ดคว้าชายผ้าโลงจีจันทราไว้ จันทราตกใจ จะเด็ดยกชายผ้าขึ้นมาสูดดม จันทรารีบดึงชายผ้ากลับ
“ท่านมีอิสริยยศใหญ่กล้าสรรพวิชาการรบมีท่วมตัว มาทำกิริยาทอนราศีตัวทำไม เครื่องคุณพระประจำตัวจะเสื่อมเสีย”
“หากชายผ้าน้องนางจะทำให้คุณเสื่อม ข้าพเจ้าไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร เพราะก่อนนี้เจ้าของชายผ้าผืนนี้ดอกที่ปั้นตัวข้าพเจ้าขึ้นมาเป็นคน ชื่อแม่ทัพบุเรงนองก้องในยุทธภูมิได้ก็เพราะหญิงเจ้าของชายผ้านี้คุ้มครองอยู่”
จันทรารู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ น้ำตาคลอ ทรุดนั่งลงกับพื้นเสมอจะเด็ด
“จะเด็ดพี่ท่าน เมื่อข่าวท่านภักดีต่อราชกุมารีแปร แม้นางตกเป็นของชายอื่นแล้วท่านยังเสี่ยงชีวิตไปชิงคืน ข้าพเจ้านี้จึงตัดใจได้แล้วท่านจะหวนมาหาข้าพเจ้าให้เจ็บช้ำอีกทำไม”
“ข้าพเจ้าสุดจะหาพระพุทธรูปใด มาตั้งปฎิญาณให้เชื่อว่าข้าพเจ้านี้ภักดีต่อน้องท่านไม่มีวันคลาย จริงอยู่ข้าพเจ้าได้วุ่นวายกับหญิงอื่นบ้าง แต่ความตรงต่อน้องท่านนั้นไม่เคยลดลงเลย”
“ด้วยอกสตรีด้วยกัน ขอท่านตั้งจิตถนอมตะละแม่แปร แล้วตัดข้าพเจ้าออกเสียเถิด”
“หากน้องท่านสิ้นเยื่อใยในตัวข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นจะสิ้นประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่ จะขออุ้มน้องท่านออกไปนอกห้องให้คนทั้งปวงเห็น จะได้สิ้นชีวิตลงเสียเลย” จันทราตกใจจะลุกหนี จะเด็ดตรงเข้าอุ้ม จันทราพยายามขัดขืนแต่จะเด็ดก็อุ้มขึ้นมาได้ “น้องท่าน หากเกรงจะเสียหน้าก็จงตะโกนร้องให้เหล่านางข้าหลวงเข้ามาเห็นเป็นพยานเถิด หรือหากไม่มีเสียงเรียก ข้าพเจ้าจะตะโกนให้เอง”
จะเด็ดทำท่าจะตะโกน จันทรารีบเอามือปิดปาก
“อย่า” จะเด็ดหันมายิ้มให้ จันทรารีบเอามือออก “ปล่อยข้าพเจ้าลงเดี๋ยวนี้”
“น้องท่านรับปากข้าพเจ้าก่อนว่าจะตั้งใจฟังคำข้าพเจ้าแต่โดยดี”
จันทรากลัวเป็นเรื่องใหญ่เอาแต่ร้องไห้ จะเด็ดจึงอุ้มจันทราไปวางลงบนแท่นบรรทม
เชงสอบูอยู่ที่อุทยานหลังตำหนักพระราชเทวี เห็นเงาจะเด็ดอุ้มจันทราไปที่พระแท่นบรรทม เชงสอบูยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้อย่างน่าสงสาร
ภายในห้องบรรทมจันทรา จันทราประทับฟุบอยู่ที่พระแท่นบรรทมร้องไห้ จะเด็ดนั่งอยู่ข้างๆ
“หากน้องท่านสงบฟังจนสิ้นความแล้ว ยังจะให้ข้าพเจ้าตัดสัมพันธ์กับตะละแม่เมืองแปรอยู่ ข้าพเจ้านี้ยินดีถือคำน้องท่านเป็นเด็ดขาดจะไม่ข้องแวะตะละแม่กุสุมาสืบไป”
“พี่ท่านน่าจะรู้ใจสตรีดี แม้ของสิ่งใดรักก็ยังแบ่งปันกันได้ แต่ถ้าจะชิงชายที่รักไปครองคู่ไม่มีสตรีใดทำใจดีแบ่งปันดอก”
“เพลานี้กุสุมาร้างภัสดา เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ชิงมาอย่างเอิกเกริก สิ่งเดียวที่นางยึดแก้หน้าคือข้าพเจ้าผู้เดียว แต่ถ้าข้าพเจ้าถูกตะละแม่ตองอูคู่สวาทเดิมบังคับให้ละทิ้ง น้องท่านคิดว่ากุสุมาซึ่งเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์เช่นกันจะทนอยู่ดูหน้าคนได้หรือ แม้ตายเป็นผีไปแล้วก็ยังไม่สิ้นคนนินทา”
“ข้าพเจ้าต้องมารับกรรมผิดที่ท่านสร้างด้วยหรือ”
“ข้าพเจ้าแม้ถูกสาปให้เปลี่ยนรูปกายเป็นสัตว์ แม้สิบกุสุมาต้องตายต่อหน้าแล้วให้ข้าพเจ้าตัดความระลึกถึงน้องท่านไปหาหญิงอื่น ข้าพเจ้านี้ไม่อาจทำได้”
“แล้วข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะพ้นกรรมนี้”
“วานน้องท่านละพระเดชมาสร้างพระคุณเถิด ถ้าน้องท่านมาสร้างความปองดองยอมให้ข้าพเจ้ารับตะละแม่เมืองแปรมาสู่ตองอู คำสรรเสริญจะมีไม่รู้สิ้น”
จันทราขยับลุกขึ้นนั่งทันที
“ท่านจะรับตะละแม่แปรมาอยู่ตองอูหรือ” จะเด็ดรวบมือจันทราไว้
“ชายใดดูมีอำนาจเพราะได้สตรีเสริมบารมี สตรีใดให้ความร่มเย็นแก่ชาย ชายนั้นจะยิ่งเกรงกลัว” จะเด็ดหอมมือจันทรา “หากน้องท่านเมตตา ให้ข้าพเจ้ารับตะละแม่กุสุมามาอยู่ตองอูเพื่อล้างอายไม่ซ้ำเติมความผิดที่ติดตัวมา ความกรุณานี้จะทำให้นางสำนึกในบุญคุณ ยอมอยู่ใต้เบื้องบาทน้องท่านไปชั่วชีวิต และจะยำเกรงกลัวน้องท่านเสียยิ่งกว่าข้าพเจ้า” จะเด็ดคุกเข่าลงกับพื้น “แต่หากน้องท่านประสงค์จะให้ข้าพเจ้าเลิกคิดการนี้ ก็จงเร่งว่ามาเถิด”
จันทราเริ่มใจอ่อน
“ขอพี่ท่านอย่าเพิ่งรีดเอาความเพลานี้เลย รีบกลับออกไปก่อน”
“ข้าพเจ้ารักนางโน้นเพราะเอ็นดูว่านางรักข้าพเจ้าโดยซื่อ หากละทิ้งไม่เอ็นดู นางคงตรอมใจไม่อาจรอดูหน้าผู้คนต่อไปได้ แต่ที่รักน้องท่านเพราะพรหมลิขิตให้เป็น จึงขอวอนให้น้องท่านเกื้อกูลข้าพเจ้านี้เหมือนตอนเยาว์วัยเถิด ข้าพเจ้าขอสาบานว่าแม้ลับหลังน้องท่านก็ไม่ขอคิดคด และจะไม่ขอยกย่องหญิงใดสูงเกินน้องท่านเด็ดขาด”
จันทราทรุดลงจับมือจะเด็ดไว้
“ข้าพเจ้าจะลองเชื่อพี่ท่านอีกสักหน หากท่านผิดรอยวันใดขอให้ถือวันนั้นเป็นวันสิ้นที่จะได้เห็นหน้ากันในเมืองมนุษย์เถิด”
จะเด็ดมองจันทราอย่างซาบซึ้ง แล้วกอดอย่างทะนุถนอม
จะเด็ดปีนลงหน้าต่างมา เดินมาอย่างมีความสูข เสียงเชงสอบูร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมา
จะเด็ดชะงักหันมองจึงเห็นเชงสอบูนั่งร้องไห้อยู่
“เชงสอบู”
เชงสอบูเอาแต่ร้องไห้ไม่หันมามอง จะเด็ดจึงเดินเข้าไปหาหมายจะปลอบ แต่ถูกเชงสอบูผลักจนกระเด็น
“ออกไปห่างๆ ข้าพเจ้า”
“ท่านเสียใจเรื่องอะไร แล้วทำไมต้องมาโกรธข้าพเจ้า”
“ข้าพเจ้าเกลียดผู้ชายไร้สัจจะ ข้าพเจ้าเร่ร่อนตามท่านมาหลายแผ่นดินเพื่ออะไร จนบัดนี้ท่านมาลืมสิ้นแล้ว”
จะเด็ดนึกได้ มองยิ้มๆ
“ท่านนี้ช่างเป็นเด็กอย่างสมัยอยู่ทุ่งหันสาหวัดดีไม่เปลี่ยน ท่านจงรู้ไว้เถิดว่าคืนนี้ข้าพเจ้าได้กระทำการเพื่อจะบำรุงท่านให้มีความสุขสืบไปต่างหาก”
เชงสอบูหันมามองจะเด็ดด้วยน้ำตา
“ช่างไม่อายลิ้น ก็เห็นอยู่ว่าท่านเพิ่งออกมาจากห้องบรรทมตะละแม่ตองอู”
“ข้าพเจ้าลอบเข้าไปเพราะหมายให้ทุกอย่างสงบ ไม่อยากให้ตะละแม่ทั้งสองเมืองขึ้งเครียดต่อกัน”
“แล้วจะมาอ้างว่าทำเพื่อข้าพเจ้าได้อย่างไร”
“ขอท่านตรองดู เมื่อข้าพเจ้าไปรับตะละแม่เมืองแปรมาประทับร่วมแผ่นดินเดียวกับตะละแม่ตองอู ท่านซึ่งสนิทกับตะละแม่ทั้งสองเมืองจะเป็นสุขแค่ไหน ตะละแม่แปรจะหมายยึดท่านเป็นที่พึ่งเพราะมาอยู่ต่างแคว้น ส่วนตะละแม่ตองอูก็จะเอ็นดูท่านเพราะเป็นผู้สนิทตะละแม่กรุงแปร และเป็นที่รักของข้าพเจ้า”
“ท่านคาดผิดบางอย่างไปแล้ว ข้าพเจ้าเคยรับใช้ใกล้ชิดเห็นพระนิสัยตะละแม่เมืองแปรผู้นี้ดี พระนางไม่เคยลดตัวถ่อมตนให้ผู้ใด หากมาร่วมวงศ์กับตะละแม่ตองอู คงได้แสดงกิริยากระด้างให้เห็นเป็นแน่ ตะละแม่จันทราเป็นเจ้านายน้ำใจใสสะอาด คงไม่อาจสู้รบปรบมือได้มีแต่จะทรมาน เก็บความทุกข์ระทมไว้ในใจอยู่ผู้เดียว”
“การนั้นยังมาไม่ถึงอย่าเพิ่งเอ่ยถึงเลย”
“แล้วพระเจ้าอยู่หัวมังตราล่ะ การจะยอมให้สตรีเมืองอื่นมาประทับเคียงคู่เสมอตะละแม่พี่นางเป็นไม่ยอมเด็ดขาด ท่านอย่ามาอ้างว่าทำเพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นสุขเลย แก้ปมพระเจ้ามังตราให้ขาดเถิด”
เชงสอบูลุกวิ่งร้องไห้ออกไป จะเด็ดนิ่งอึ้งคิดไม่ออก
เช้าวันรุ่งขึ้น สอพินยาเดินนำเมงกยอกแงและทหารหงสาวดีขี่ม้าเข้ามาอย่างอิดโรยมาก
“พระอุปราชเสด็จกลับมาแล้ว พระอุปราชสอพินยาเสด็จมา”
เสียงโคนสุคญีโผล่ออกมาจากกระโจม สอพินยารู้สึกเสียใจ หมดแรงทรุดลงกับพื้นร้องไห้เหมือนเด็กๆ
เสียงโคนสุคญีรีบวิ่งมาประครองให้ลุกขึ้น
“พระอนุชาอย่าทำอย่างนี้ เข้มแข็งไว้”
สอพินยากอดเสียงโคนสุคญีร้องไห้หนักขึ้น เมงกยอกแงมองอย่างเบื่อหน่าย
“หนต้นข้าพเจ้าไม่ฟังคำท่านจึงพาคนไปฉิบหาย จะเอาชีวิตรอดกลับมาแทบไม่ได้ อย่างนี้จะกลับเข้าหงสาวดีได้อย่างไร”
“เรื่องล่วงไปแล้วพระอนุชาจะเก็บมาคิดให้รัดทดใจทำไม หากจะผิดข้าพเจ้าก็มีคดีผิดด้วย เพราะปล่อยให้ทัพตองอูที่แปรถอนไปช่วยพวกตองอูโดยไม่รู้”
“ท่านรีบสั่งถอยทัพเถิด ควรเร่งไปแจ้งพระเจ้าสการะวุตพีให้คอยรับมือกับตองอูดีกว่า แล้งหน้าพวกมันต้องยกไปตีหงสาวดีแน่” เมงกยอกแงบอก
สอพินยาเดินไปหน้าค่ายมองกรุงแปรอย่างอาวรณ์ แล้วกระชากผ้าโผกศีรษะออกมากระทำอธิษฐาน
“ข้าพเจ้าขอเปลื้องผ้าเกล้าออกบูชาพระธรณี ข้าพเจ้าสูญทหารไปเหลือคณานับเพียงเพราะรักในตะละแม่กุสุมา หมายจะมาชิงคืน ความผิดนี้หากเบื้องหน้าไม่ได้ตะละแม่มาเคียงคู่แล้วขออย่าให้ฟ้าดินไว้อายุให้ยืนยาวด้วยความทรมารเลย”
สอพินยาขว้างผ้าเกล้าออกไปอย่างแรง
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 17 (ต่อ)
จะเด็ดเดินคุยกับอุปราชรานองในอุทยาน
“ท่านจะตามข้าพเจ้าไปกรุงแปรได้อย่างไร อีกไม่กี่เพลาท่านต้องเข้าพิธีอุปภิเษกแล้ว”
“น้าท่านเป็นเชื้อสายชาวแปรแท้ๆ จะยอมให้ข้าพเจ้าเข้าพิธีอุปภิเษกกับหญิงที่ไม่ใช่ชาวแปรได้อย่างไร ข้าพเจ้านี้รักพระธิดากรุงแปรด้วยน้ำใสใจจริง อยากจะไปรับตะละแม่กุสุมามาร่วมอภิเษกที่ตองอูนี้ด้วย” รานองตกใจ
“อภิเษกพร้อมกันทั้งสองตะละแม่เลยหรือ ท่านคิดการอะไรอยู่ไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อนในแผ่นดิน แล้ว…ตะละแม่จันทราไม่ถอนเส้นผมเราเอาหรือ”
“พระพี่นางเป็นผู้มีน้ำพระราชหฤทัยประเสริฐ ไม่ได้เดียดฉันท์และให้คำมั่นข้าพเจ้าไว้แล้ว”
“แล้วพระเจ้ามังตราล่ะยอมด้วยหรือ”
“ข้อนี้แล้วที่ไม่รู้ว่าพระองค์จะยินยอมอย่างไร จึงขอพึ่งอุบายท่านอา ขอพระราชานุญาติตามไปกรุงแปรด้วย”
“เอาเหามาใส่เต็มหัวเราเลยนะจะเด็ด จะให้เราแจ้งอุบายว่าอย่างไร”
ที่ท้องพระโรงเล็ก มังตราประทับนั่งยังพระแท่นล่างเสมอรานอง ส่วนจะเด็ดหมอบเฝ้ากับพื้น
“พระเจ้าแปรประชวรหรือนี่ พระอาการเป็นอย่างไร”
รานองมองจะเด็ดอย่างลำบากใจ
“ทรงอ่อนเพลียพระวรกายตามพระชนมายุประทับยืนเดินไม่ค่อยไหว หมายจะให้อาเร่งกลับไปกำกับราชการแทน”
“น่าเสียดาย ข้าพเจ้าตั้งใจจะสนองคุณอาท่านให้สุขสบายจนถึงวันสมโภชกรุงก็ไม่ทันเสียแล้ว”
“พิธีมหกรรมมงคลนี้อาก็เสียดายที่ไม่ได้อยู่ดู แต่ความเป็นห่วงพระเจ้าแปรก็มีมากเหลือเกิน”
“งั้นข้าพเจ้าจะไม่รั้งท่านอาไว้ให้กังวลดอก จะขอแต่งเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้านรบดีกรุงแปรด้วย”
“เป็นพระมหากรุณายิ่ง”
“จะเด็ดพี่ท่าน จงแต่งขบวนถวายท่านอาด้วย”
“รับด้วยเกล้า แต่…”
“ยังมีอะไรขาดเหลืออีก”
จะเด็ดมองรานองให้ช่วยพูด
“อาว่า จะขอท่านแม่ทัพบุเรงนองเดินทางไปเป็นเพื่อนด้วย”
“เออ…จะเด็ดพี่ท่านจะไปได้อย่างไรในเมื่อจะต้องอยู่อภิเษกด้วยพี่นาง”
“ข้าพเจ้าจะเร่งเดินทางไปกลับไม่ให้เกินสิบสองราตรี”
จะเด็ดบอกแล้วพยายามให้รานองช่วย
“เนื่องด้วยพระเจ้านรบดีทรงคุ้นเคยกับท่านบุเรงนองมาก่อน ข้าพเจ้าจึงอยากให้ไปเยี่ยมพระอาการด้วย หากได้ตรัสต่อผู้รู้ใจพระอาการคงจะดีขึ้นในเร็ววัน และที่สำคัญยิ่งคือ…”
“ท่านอาได้กระทำคุณช่วยตองอูมา จงแจ้งมาเถิด”
“หากได้แม่ทัพบุเรงนองไปส่งข้าพเจ้าถึงแปร จะทำให้ชาวแปรเกิดปิติว่าพระเจ้าตองอูยกย่องข้าพเจ้าเสมอพระญาติผู้ใหญ่ และเพลานี้การศึกก็ได้เรียบร้อยลงแล้ว หากพระองค์คิดถอนทหารตองอูออกจากแผ่นดินแปร โดยให้แม่ทัพบุเรงนองไปรับกลับมาเสียในการนี้ ก็จะยิ่งบังเกิดสิริสง่าแก่ผู้จะเป็นพระพี่เขยในการณ์หน้า การสร้างไมตรีระหว่างตองอูและแปรให้แน่นแฟ้นนี้ ชาวแปรซึ่งเป็นคนอ่อนน้อมก็จะสรรเสริญพระเจ้าตองอูนี้อย่างไม่ลืมคุณสิ้น”
จะเด็ดนำทหารตองอูคุมขบวนเสด็จรานองและกองสัมภาระทหารแปรมาตามเนินเขาไปเรื่อยๆ รานองนั่งม้าไปเรื่อยๆ จะเด็ดย่างม้าไปเรื่อยๆ อย่างกลุ้มใจเมื่อนึกเหตุการณ์ตอนที่จะเด็ดกับกุสุมาเล่นพิณด้วยกันอย่างมีความสุข, จะเด็ดชิงกุสุมาจากเมาะตะมะ, จะเด็ดกับกุสุมาทะเลาะกัน, พระอัครเทวีเหยียดหยามจะเด็ดและภาพสุดท้ายตอนที่
จะเด็ดทะเลาะกับกุสุมาครั้งสุดท้ายก่อนออกจากเมืองแปร
จะเด็ดย่างม้าไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ขณะที่ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน
วันต่อมาขณะที่กุสุมากำลังนั่งบรรเลงพิณอยู่อย่างเหงาๆ ในอุทยาน นางข้าหลวงคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาเฝ้า กุสุมาหยุดเล่นรอฟังรายงานทันที
“กองทหารตองอูเดินทางมาถึงกรุงแปรแล้วตะละแม่ เพลานี้ท่านแม่ทัพบุเรงนองเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอยู่”
กุสุมายังนั่งนิ่ง แต่จะดูออกว่าพระนางตื่นเต้นมาก
ที่ท้องพระโรงหน้ากรุงแปร พระเจ้านรบดีประทับอยู่บนบัลลังก์ให้รานองนำจะเด็ดเข้าเฝ้าถวายเครื่องบรรณาการ
“ด้วยบุเรงนองเชษฐภราดาพระเจ้าตองอูผู้นี้ มาเป็นราชทูตจำเริญพระราชไมตรี นำเครื่องบรรณาการมาถวาย” เครื่องบรรณาการที่จะเด็ดนำมาถวายตั้งอยู่กลางหลุดดอ จะเด็ดแต่งเครื่องเต็มยศนั่งเยื้องรานองอีกด้านหนึ่ง
“และได้มอบหมายให้บุเรงนอง มารับทหารตองอูทั้งสิ้นกลับคืนกรุงตองอู สุดท้ายที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง…” รานองเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอพูดไม่ออก จะเด็ดแอบมอง “บุเรงนองผู้นี้ได้รับรับสั่งจากพระเจ้ามังตราและพี่นางตะละแม่จันทรา ให้รับตัวตะละแม่กุสุมาแห่งแปรไปอุปภิเษก พร้อมด้วยพระพี่นางจันทราในคราวเดียว ข้าพเจ้าเห็นโอกาสนี้ประเสริฐสุดแล้ว”
พระเจ้านรบดีนิ่ง แต่พระอัครเทวีไม่พอใจมาก
“ตามระเบียบราชการที่เคยปฏิบัติพระเจ้ามังตราควรจะมีพระราชสาส์นแจ้งสำแดงมา ข้อนี้ไม่มีสำแดงมิใช่หรือ”
จะเด็ดมองรานองอย่างขอความช่วยเหลือ รานองตัวเย็นเฉียบ แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว
“พระเจ้ามังตราทรงเห็นว่า ตำแหน่งตัวบุเรงนองมีน้ำหนักยิ่งกว่าอักขระจารึกและชาวแปรทั้งสิ้นแจ้งความจริงอยู่แล้ว จึงมิได้จำเริญข้อนี้ไว้”
“แล้วจะรับตัวไปเมื่อไหร่” พระเจ้านรบดีถามขึ้นมา
“ข้าพเจ้ากำหนดถวายบังคมลาในเพลาสายพรุ่งนี้”
“การใดจะรีบด่วนปานนี้ ใจจะไม่ให้พ่อแม่ลูกเขาล่ำลากันบ้างรึไง”
“การอภิเษกได้กำหนดไว้ที่กรุงตองอูแล้ว ข้าพเจ้าหมายจะเร่งการเดินทางให้เร็วที่สุด”
“แล้วชาวแปรเล่า ท่านไม่เห็นแก่ความสำคัญหรือ จะให้เรามอบลูกไปโดยไม่มีพิธีที่สมควรได้อย่างไร”
“เราขอให้อยู่อีกสักห้าราตรีเถิด จะได้จัดเครื่องบรรณาการกลับไปถวายพระเจ้ามังตราได้สมใจ ลูกเราเป็นหญิงได้ยินข่าวบุเรงนองมารับตัว ก็อยากให้รับไปให้งามแก่ตัว”
รานองหันมาทำตาให้จะเด็ดระงับใจ จะเด็ดจึงจำนิ่งยอมตาม
จะเด็ดขี่ม้านำขบวนทหารตองอูเข้ามาในค่ายเรือนปลัดทัพ ทหารตองอูที่เข้าแถวรับอยู่พากันเฮ
“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพบุเรงนองมารับทัพเราแล้ว เราจะได้กลับตองอูแล้ว ตองอูจงสุขสวัสดิ์ตลอดไป”
ตะคะญี เนงบา นาคะตะเชโบยืนรออยู่หน้ากระโจม เนงบาทนไม่ได้วิ่งเข้าไปหาจะเด็ด ต่างเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง
“ข้าพเจ้าคิดถึงท่านหรือเกิน อยากจะตามไปช่วยรบใจจะขาดแต่พ่อครูไม่ยอม”
“ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าพเจ้าจะยิ่งห่วงกรุงแปรอีกเป็นร้อยเท่า”
นาคะตะเชโบไม่กล้าสบตาจะเด็ดแอบซุกหลังตะคะญี จะเด็ดเดินมาไหว้ถึงตะคะญี ตะคะญีกอดจะเด็ดไว้
“ขอพระคุ้มครองท่านเถิด ท่านแม่ทัพ”
จะเด็ดซบไหล่อยู่กับตะคะญีแต่สายตาไพล่มาเห็นนาคะตะเชโบที่ยืนหลบหลังอยู่ก็ดีใจ
“ท่านนาคะ ท่านนาคะจริงๆ ด้วย” จะเด็ดรีบเข้ามากอดนาคะตะเชโบ แล้วอุ้มเหวี่ยงไปมา นาคะตะเชโบเขินมากแต่ก็ดีใจ เนงบามองอยู่ “ข้าพเจ้าคิดถึงท่านเหลือเกิน นึกว่าไม่ได้เจอท่านแล้ว ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านหายตัวไปไหนมา รู้ไม๊ข้าพเจ้าคิดถึงท่านมาก”
จะเด็ดกอดนาคะตะเชโบไม่ยอมปล่อย นาคะตะเชโบอายพ่อมากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
เนงบายืนมองอย่างสงสัยกิริยาบางอย่างของนาคะตะเชโบ เนงบาเหมือนคิดอะไรได้
“ท่านลืมแม่นางหนึ่ง ที่เสี่ยงตายฝ่าค่ายหงสาวดีมาถึงแปรเสียแล้วหรือ” จะเด็ดสลดลงทันที
“แม่นางตองสา”
“เพลานี้นางคอยท่านอยู่ที่กระโจมหลังค่ายโน้น”
จะเด็ดรู้สึกผิดขึ้นมาที่ลืมนางสนิท
ในกระโจมพัก หลังค่ายทหาร ตองสานั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่คนเดียว
“ท่านแม่ทัพบุเรงนองมาเยี่ยม แม่นางตองสา”
เสียงทหารดังขึ้น พร้อมกับม่านกระโจมเปิดออก จะเด็ดเดินเข้ามาเหมือนสำนึกผิด ตองสาดีใจโผเข้าไปกอดจะเด็ดแน่น จะเด็ดกอดตอบ
“ท่าน จะเด็ด”
จะเด็ดค่อยๆ ผละออกไม่ให้เสียน้ำใจ
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านครูตะคะญีดูแลข้าพเจ้าดีเหลือเกิน เหล่าทหารก็เคารพยำเกรงข้าพเจ้าอย่างผู้ทำคุณให้แผ่นดิน”
“ข้าพเจ้ามารับท่านกลับบ้าน พาท่านกลับไปหาลูก”
“ลูกข้าพเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“อย่าห่วงเลย ข้าพเจ้าฝากไว้กับคนที่ข้าพเจ้าไว้ใจที่สุด”
ตองสาเอาสองมือจับหน้าจะเด็ดให้หันมาดูให้เต็มตา
“ข้าพเจ้าคิดถึงท่านไม่รู้จะเปรียบกับสิ่งใดแล้ว”
“ข้าพเจ้าอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ข้าพเจ้าเสียอีกเกรงว่าเมื่อท่านพบสอพินยาแล้วจะลืมการข้าพเจ้าสิ้น”
“ข้าพเจ้าทำการให้ท่านสำเร็จแล้ว ท่านยังจำคำสัญญาอยู่หรือไม่”
จะเด็ดรวบมือตองสามากุมไว้
“ข้าพเจ้านี้หนีกรรมไม่พ้นแล้ว เพราะเป็นตัวการพรากคู่ผัวตัวเมียเขาสิ้น หากกรรมจะมีติดตัวก็ขอผัดใช้เวรกัน
ชาติหน้าเถิด อย่าได้มีใครมาพรากเราจากกันในชาตินี้เลย”
ตองสาเข้ากอดซบกับอกจะเด็ด
“ข้าพเจ้าถูกสอพินยาลวงเท็จมาผู้หนึ่งแล้ว หากพบว่าท่านมาลวงอีกคน จะไม่ขออยู่เป็นคนต่อไป”
จะเด็ดเข้าใจความรู้สึกตองสาดี ตั้งมั่นแท้ว่าจะไม่ทำให้นางผิดหวัง
ที่ห้องบรรทมพระเจ้านรบดี พระเจ้านรบดีประทับยืนอยู่ริมพระบัญชรอย่างกลุ้มใจ พระอัครเทวีไม่พอใจเข้ามาต่อว่า
“อนาถเหลือเกินที่พระองค์ไม่ปกป้องลูกแม้แต่น้อย ให้เขารับตัวไปเป็นน้อย คอยน้ำที่เหลือล้นมือมาใต้ศอกรองกิน”
“จะเด็ดทำผิดตรงไหน ลูกเราหมองมาจากสอพินยา แล้วจะเด็ดมารับไปบำรุงลบรอยหมองให้”
“พระองค์ต่างหากที่บังคับให้ลูกหมอง ลูกเราเป็นชายาสอพินยาแล้ว แต่พระองค์ยังจะจัดให้ครองกับชายอื่น รู้หรือเปล่าลูกเรายังไม่เคยถูกจะเด็ดล่วงเกินเป็นสามี เทพยดานั้นแจ้งดี”
พระเจ้านรบดีมองพระอัครเทวีอย่างไม่เชื่อหู
“น้องท่านเอาเรื่องอะไรมาแจ้งเรา”
“ลูกแจ้งแก่ข้าพเจ้าเอง จะเด็ดได้ชื่อว่าเป็นสามีก็เฉพาะสายตามนุษย์ เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ พระองค์ยังจะเสือกไสลูกให้ไปเป็นรองเขาอีกหรือ”
“น้องเราควรยินดี บุเรงนองสมชายนักที่ทำการให้สมหน้าสมประเพณี” พระเจ้านรบดีบอกอย่างดีใจทำให้พระอัครเทวียิ่งโกรธ
“ท่านยกย่องมันทำไม”
“การล่วงมาถึงนี่แล้วน้องท่านอย่าทำจิตนิยมเขยเดิมอยู่เลย ถ้าลูกเราได้เชษฐภรรดาพระเจ้าตองอูเป็นสามี เกลียวสัมพันธ์สองแผ่นดินก็จะสมบรูณ์โดยมีลูกเราพยุงไว้”
“แล้วแผ่นดินหงสาวดีด้อยกว่าตองอูตรงไหน พระองค์ถึงไม่ปรารถนา”
“ลูกเราต่างหากที่ไม่ต้องการ น้องท่านสร้างรอยบาปอันใดกับลูกไว้น่าจะจำได้ดี อย่าทนงตัวว่าศักดิ์เหนือกว่าผู้อื่น อย่าหลงว่าจะได้พึ่งยศผู้สูงศักดิ์ บุเรงนองนี้ดอกสืบไปเราจะพึ่งได้”
“เป็นตายข้าพเจ้าก็ไม่คิดพึ่ง อย่าหมายว่าคนแปรทั้งหมดจะลงให้กับคนบุญหนักเมืองตองอู ยังมีข้าพเจ้าที่เป็นหญิงอีกผู้หนึ่งที่จะไม่เกรงบุญพี่เขยพระเจ้าตองอู”
พระเจ้านรบดีรู้สึกหนักใจ
อ่านต่อหน้า 4
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 17 (ต่อ)
คืนนั้นนาคะตะเชโบออกจากกระโจมตรงไปยังห้องอาบน้ำที่จัดไว้เป็นพิเศษ มีทหารยามเดินผ่านไปมา
สักครู่เนงบาก็ย่องมาหาที่แอบมอง เนงบาเห็นนาคะตะเชโบเดินในห้องน้ำ ค่อยๆ ปลดเครื่องแต่งกายออกทีละชิ้นๆ เนงบาหงุดหงิดพยายามมองหารอยใหม่อย่างตื่นเต้น เงารางๆ ของนาคะตะเชโบค่อยๆ ปลดผ้ารัดหน้าอกออก จนกระทั่งหมด แล้วหันมาทางเนงบา
เนงบาตกใจผงะ ตกจากที่ปีนก้นจ้ำเบ้า พยายามกลั้นเสียงร้อง นาคะตะเชโบเองก็ตกใจ รีบคว้าผ้ามาปิด
“ใคร ผู้ใด อยากตายหรือไง”
เนงบาตาค้าง แล้วถอยไปเรื่อยๆ จนหลุดออกไป นาคะตะเชโบวิ่งออกมา มองไม่เห็นใคร
วันต่อมา จะเด็ดจะขี่ม้าออกเห็นเนงบานั่งกินเหล้าท่าทางเมา จะเด็ดลงจากม้าเดินเข้ามาหาเนงบา
“พี่ท่านดีใจจะได้กลับตองอูหรือ ถึงเมาแต่แดดเป็นแสงเพลิง”
“ท่านนี้สร้างกุศลด้วยอะไร เหล่าสตรีจึงพากันยอมพลีชีพให้” จะเด็ดหัวเราะ
“พี่ท่านพูดถึงเรื่องอะไร”
“ข้าพเจ้าริษยาชะตาท่านเหลือเกินบุเรงนอง ท่านจะสวาทนางใดนางนั้นก็มีไมตรีด้วย ส่วนข้าพเจ้านี้สิรักนางใดก็ได้แค่มอง” จะเด็ดหัวเราะเสียงดัง
“ที่แท้ท่านก็ถูกไฟรักสุมอกนี่เอง พี่ท่านไปหลงสวาทสาวแปรผู้ใดกัน ข้าพเจ้าจะอาสาไปทาบทามให้”
“เราภักดีต่อนางหญิงตองอูต่างหาก เพลิงรักลุกฟอนในอกมานานแล้ว”
“ก็ดีซิ ท่านเป็นถึงนายกองตองอู มีศักดิ์เสมอพี่ข้าพเจ้า สตรีตองอูมองหาผู้โอ่จะไปไหนเสีย นางผู้นั้นเป็นใคร ข้าพเจ้ามักคุ้นหรือเปล่า”
“ท่านรู้จักดีทีเดียว” จะเด็ดสงสัย เนงบาเดินออกไปอย่างเศร้าสร้อย
ที่ห้องประทับกุสุมา พระอัครเทวีพระพักตร์กริ้ว กุสุมาประทับใกล้ๆ นางข้าหลวงกำลังเฝ้ากราบทูลอยู่
“ไปบอกแม่ทัพตองอูว่าจะให้พระธิดาแปรออกให้เฝ้าภายใน เป็นการไม่ชอบ และจะออกให้เฝ้าข้างหน้าผู้เดียวก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
กุสุมานั่งนิ่งมองพระมารดา
“แม่ทัพบุเรงนองมาพบข้าพเจ้าเสมอคนคุ้นเคย หาใช่คนแปลกหน้า ข้าพเจ้าไม่เห็นทางที่คนจะค่อนขอดได้เลย และคนทั้งปวงก็แจ้งสิ้นว่าข้าพเจ้าได้ตกเป็นสิทธิ์ขอคนผู้นี้แล้ว หากไม่ออกไปยินดีคนจะยิ่งสนเท่ห์ว่า ภัสดามาหาถึงที่ กระไรผู้เป็นเมียไม่ออกไปชื่นชมเลย”
พระอัครเทวีแทบจะร้องกรี๊ด
“เจรจาออกมาไม่ละอายปาก อย่ามาเรียกตัวว่าเป็นเมียเราไม่ได้เป็นเมีย จะเอาราคีมาทาตัวเองทำไม”
“ความจริงจะเป็นอย่างไรใครจะรู้ แต่ที่คนรู้คือข้าพเจ้านี้เคยร่วมห้องบรรทมกับบุเรงนองแล้ว”
พระอัครเทวีทำท่าอยากจะกรี๊ด แต่กรี๊ดไม่ออก ได้แต่กระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว
“ถ้าจะพบกัน ต้องให้แม่อยู่ด้วย แม่ไม่ยอมให้พบกันสองต่อสองเด็ดขาด”
โขลนเดินนำจะเด็ดเดินเข้ามาในอุทยาน จะเด็ดเข้ามากราบพระบาทพระอัครเทวีที่ประทับอยู่ในพลับพลา พระอัครเทวีประทับบนพระแท่นไว้ตัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนกุสุมาประทับอยู่ข้างๆ จะเด็ดมองกุสุมาด้วยความคิดถึง
กุสุมามองจะเด็ดด้วยสายตาคิดถึงเช่นกัน
“ข้าพเจ้านั่งม้าฝ่าลมทุ่งและไอแดดมาหลายวัน หมายจะได้เห็นหน้าตะละแม่ให้ชื่นใจ ตะละแม่เป็นสุขดีหรือ”
“ข้าพเจ้าเป็นสุขดี ถือเป็นคุณที่ท่านยังระลึกถึง”
“ผู้มีบุญหนักจากตองอูปรารถนาจะเฝ้าเรา จนกระทั่งมานั่งให้เฝ้าพบ ทำไมไม่พูดกับเรา” พระอัครเทวีถามอย่างไม่พอใจ
“ข้าพเจ้าขอเฝ้าพระแม่เจ้าอยู่หัว เพราะหวังจะพบตะละแม่ธิดาโดยเสด็จด้วย ไม่ได้มีการใดโดยตรงต่อพระแม่เจ้าอยู่หัวดอก”
พระอัครเทวีโกรธจนตัวสั่น
“กุสุมา ไปปักสะดึงที่ค้างให้สำเร็จเถิด ไม่มีประโยชน์อะไรต้องมานั่งอยู่ที่นี่”
กุสุมาพยายามให้สัญญาณห้ามไม่ให้จะเด็ดทะเลาะกับแม่ แต่จะเด็ดไม่ฟัง
“ข้าพเจ้ายังไม่ได้สนทนากับน้องท่านให้สมใจ จะมาขับไล่ให้จากกันได้อย่างไร”
“ยามนี้เราเป็นใหญ่นั่งอยู่ที่นี่ แม้เป็นหญิงก็มีอำนาจดุจพระเจ้าอยู่หัว กุสุมานี่ก็ลูกเรา เราไม่อนุญาตให้พบกับผู้ใดก็ได้ อย่าอวดกล้าให้เกินการ”
“ข้าพเจ้ากับน้องกุสุมามีสัมพันธ์กันเช่นผัวเมีย ยามพลัดกันไปหลายเพลาแล้วมาพบกันอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็อยากจะกอดเสียให้หายคิดถึง หากพระแม่อยู่หัวไม่หลบไปก็เหมือนบังคับให้ข้าพเจ้ากอดน้องกุสุมาต่อหน้าคนทั้งปวง ข้าพเจ้าจะยอมสิ้นอาย”
พระอัครเทวีทั้งแค้นทั้งอาย
“ไป ไป นางพวกนี้จะนั่งอยู่ทำไม ตามเรามา”
พระอัครเทวีรีบออกไป นางข้าหลวงรีบตามออกไป กุสุมาแอบยิ้ม จะเด็ดขยับเข้าใกล้จนชิดกุสุมาที่หลังม่าน
“น้องท่านไม่เสด็จตามแสดงอัธยาศัยว่ายินดีให้ข้าพเจ้าจูบ อุทิศแก้มมาให้ข้าพเจ้าพอให้รู้กลิ่นเสียดีๆ”
“ที่ข้าพเจ้าไม่ขยับไปเพราะจะขอสัญญากับท่านว่า เมื่อท่านพาข้าพเจ้าไปตองอู ท่านมีสิ่งใดประกันความสุขให้ข้าพเจ้าบ้าง”
“กุสุมา เรื่องของท่านกับข้าพเจ้าเมื่อพบกันที่เมาะตะมะ ข้าพเจ้าได้เล่าถวายพระพี่นางและพระเจ้าตองอูสิ้น พอพระพี่นางออกปากหนุนเพียงนิด พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ก็เร่งให้ข้าพเจ้ามารับท่านกลับไปเร็ววัน อัธยาศัยราชวงศ์ตองอูเมตตาน้องท่านถึงเพียงนี้ ยังจะมีสิ่งใดค้ำประกันความกลัวสูงได้กว่านี้อีก” กุสุมาได้แต่นั่งอ้ำอึ้ง ขณะนั้นอเทตยายืนแอบดูอยู่ “ข้าพเจ้าอยากจะร้องขอตะละแม่ว่าในห้าราตรี ก่อนกลับตองอูนี้ อยากวอนน้องท่านให้ห่างพระอัครเทวีเถิด”
“ทำไม”
“พระอัครเทวีเดียร์ฉันท์ข้าพเจ้าว่าต่ำศักดิ์ จะหาทางกีดกันไม่ให้เข้าพบ ข้าพเจ้าก็คุ้นกับการรบ อาจแสดงกิริยาไม่งามขึ้นอีกและน้องท่านอย่าลืมว่าในพระราชฐานแห่งนี้ ยังมีราชวงศ์แปรอีกผู้หนึ่งที่ไม่ปรารถนาให้เราได้รักกัน”
“อเทตยา” อเทตยาแอบฟัง ร้องไห้ด้วยความเสียใจ “ข้าพเจ้านี้ไม่ปฏิเสธว่ารักท่านจริง แต่หากไม่ได้ร่วมเรือนที่ตองอูในปี ขอเห็นหน้าท่านเฉพาะฤดูแล้งหนหนึ่งก็เต็มใจแล้ว”
“อย่าชั่งใจให้กังวลอีก ฟังข้าพเจ้าให้ดี ครั้งนี้ข้าพเจ้ามาแปรอย่างเปิดเผย เพราะถือรับสั่งพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ให้มารับตัวน้องท่านไป หากน้องท่านมาขัดขืนเสียพระเจ้าตะเบงชะเวตี้จะตำหนิได้ ด้วยพระนิสัยวู่วามจะคิดไปว่าพระเจ้าแปรเป็นต้นคิดทำให้เกิดผิดใจกันขึ้นทั้งสองเมือง”
กุสุมาไม่มีทางเลือก
“ถ้าอย่างนั้น เมื่อใดข้าพเจ้าทุกข์ใจอยากคืนแปร ขอท่านอย่าหน่วงเหนี่ยว ปล่อยให้คืนแปรแต่โดยดีนะ” จะเด็ดยิ้ม
“ข้าพเจ้าสัญญา และน้องท่านช่วยจำไว้ด้วยว่าน้องท่านจากแปรไปแต่ผู้เดียว หากถึงตองอูแล้วให้กำเนิดลูกน้อย ข้าพเจ้าจะถือว่าลูกน้อยนั้นเป็นชาวตองอู ท่านจะเอากลับมาแปรไม่ได้นะ”
กุสุมาอายทุบตีเจะเด็ด จะเด็ดหาทางรวบมือกุสุมาไว้แล้วจูบแก้มทำโทษ อเทตยาร้องไห้อยู่คนเดียวอย่างน่าสงสาร
บริเวณลานเรือนปะขันหวุ่นญี่ว่างเปล่าเงียบเหงาไร้บ่าวไพร่ มีแต่ใบไม้แห้งล่วงหล่นเต็มพื้นเหมือนไม่มีคนดูแลมานาน ยิ่งยามเย็นแสงแดดอ่อนทอแสงเฉียงอย่างนี้ยิ่งดูเศร้าหมองมาก จะเด็ดควบม้าเข้ามาแล้วแปลกใจ
“ผู้ใดมาหรือนั่น” เสียงโชอีปถาม
“ข้าพเจ้าบุเรงนอง น้าท่านยังจำได้หรือเปล่า”
จะเด็ดมองขึ้นไปบนเรือน แต่ไม่มีผู้ใดออกมา จะเด็ดจึงเดินขึ้นไป
บนเรือนปะขันหวุ่นญี โชอีปนั่งอยู่บนฟูกท่าทางไม่สบายใบหน้าซีดเซียว จะเด็ดนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความเป็นห่วง โชอั้วยกปั้นน้ำชามาให้จะเด็ดอย่างนอบน้อมลงกว่าเดิม
“ตั้งแต่ท่านปะขันสิ้น บารมีต่างๆ ก็หมดไป ยิ่งมาเกิดสงคราม ข้าทาสก็หายหมด เพลานี้น้าก็มาเจ็บออดๆแอดๆ เป็นห่วงแต่ลูกอยู่ผู้เดียวว่าจะอยู่อย่างไร”
“ข้าพเจ้าอยู่ได้ อดอยากปานใดก็จะขอขุดหัวเผือกหัวมันกิน” โชอั้วบอก
“ข้าพเจ้าฟังแล้วให้สำนึกว่า ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้ทำให้บ้านน้าท่านระส่ำระสาย มีการใดที่ข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงให้คลายทุกข์บ้าง ขอน้าท่านจงแจ้งมาอย่าได้เกรงใจ”
“ไม่มี” โชอั้วตอบแทน
“โชอั้ว เบากิริยาเถิดเห็นแก่แม่บ้าง แม่จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้อย่าทำให้แม่ตาไม่หลับเลย”
“การใดที่น้องท่านเห็นในยามศึกว่าโหดเหี้ยมนั้น เกิดขึ้นโดยฝืนสันดานข้าพเจ้าเป็นที่สุด น้ำเนื้อในดวงจิตแล้วไม่ได้นิยมเลย”
“เพลานี้น้ามีลูกผู้เดียวที่เป็นทรัพย์ที่มีค่าที่สุด จะฝากผู้ใดก็ไม่หมดห่วง หากท่านแม่ทัพบุเรงนองจะเมตตาเพื่อเห็นแก่ท่านปะขันขอจงรับโชอั้วไปทำนุเยี่ยงน้องสาวด้วยเถิด”
“ท่านแม่ ข้าพเจ้า”
“รับปากให้น้าท่านสบายใจเถิดน้องท่าน ข้าพเจ้าจะดูแลน้องท่านดั่งเกิดร่วมแม่เดียวกัน”
โชอั้วหันมองแม่ที่อาการไม่ดีแล้วจึงเงียบ
คืนนั้นอเทตยานอนซมด้วยความอาฆาตแค้นอยู่บนแท่นบรรทม โชอั้วนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
“ดี ไปๆ กันเสียให้หมด เรามันไม่มีบารมีให้ผู้ใดพึ่งพิงได้”
“ท่านช่างไม่เข้าใจข้าพเจ้าเลย มันเป็นกลลวงเพื่อให้จะเด็ดตายใจดอก เพลานี้เมืองแปรเองก็ภักดีต่อตองอูแล้ว หากข้าพเจ้าได้ไปอยู่ตองอูยังมีทางล้างอาฆาตได้”
“อย่ามาเป่าหูให้เราพอใจ”
“ข้าพเจ้ายังภักดีต่อแคว้นแปรไม่เคยเปลี่ยน ตราบใดท่านพ่อข้าพเจ้าไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ ความแค้นในใจไม่มีวันจาง”
“เราไม่เชื่อๆ ทุกคนหลงคารมลิ้นบุเรางนองทั้งสิ้น จะไปไหนก็ไป ไป ไป”
โชอั้วยังนั่งนิ่ง มองอเทตยาด้วยความเหยียดหยามอย่างที่สุดที่มีแต่ความอ่อนแอ
อ่านต่อตอนที่ 18