ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 12
ภายในในห้องบรรทม มังตราประทับเสวยน้ำจัณฑ์ยิ้มพอใจ นันทวดีประทับอยู่ใกล้ๆคอยปรนนิบัติ
"จะตีเอาหงสาวดีมาถวายเพื่อให้เราหายโกรธ… คงนึกว่าเรารู้ไม่ทันกล ถ้าเราอภัยก็เท่ากับเราเป็นคนโลเล ต่อไปใครจะเชื่อในคำ"
"การที่พระองค์ตัดมิตรไม่นับญาติกับจะเด็ดนั้นข้าพเจ้าเห็นสมควรอยู่ แต่ทหารตองอูทั้งกองทัพที่อยู่กับจะเด็ดนั้น พระองค์จะตัดทิ้งไม่สมควร"
"นี่จะพูดให้เรายอมมันอีกคนหรือ"
"ข้าพเจ้าเพียงแต่เห็นว่า เมื่อจะเด็ดวางกลมาเช่นนี้ เพื่อมิให้สูญประโยชน์พระองค์ควรจะวางกลตอบ"
มังตรานิ่งคิด
"กลของท่านคือสิ่งใด"
วันใหม่ ภายในอุทยานหลวง ตองอู จันทรานั่งพูดอยู่กับนันทวดี โดยมีกันทิมาและเหล่านางข้าหลวงอยู่แวดล้อมอยู่
"พระเจ้าอยู่หัวจะให้ข้าพเจ้าสลักหนังสือไปถึงจะเด็ดอย่างนั้นหรือ"
นันทวดีบอก
"มังตราพระนิสัยเป็นอย่างไรพระพี่นางทรงรู้สิ้นแล้ว จู่ๆจะให้ออกหนังสือไปงอนง้อจะเด็ดนั้นไม่เห็นทาง หากพระพี่นางเป็นคนวอนจะเด็ดกลับตองอูน่าจะเป็นการดีกว่า"
"แต่..จะเด็ดอาจจะไม่ได้ผูกพันด้วยเราแล้ว ตะละแม่เมืองแปรคงได้ยิ้มหัวว่า ในตองอูนี้สิ้นชายแล้วหรือ จึงยังตามไปชิงคืน"
"หากพระพี่นางไม่ปลงใจช่วย เมืองตองอูคงสูญแม่ทัพและกองทหารให้แปร หากจะเด็ดไม่ได้หลงอาลัยในพระราชธิดาแปรจริงก็คงกลับตองอูตามคำวอน แต่ถ้าบิดพริ้วเป็นพิรุธก็จะได้รู้ว่า จะเด็ดนั้นหลงสวาทนางโน้นเสียยิ่งกว่าพระพี่นาง"
จันทรานิ่งคิด..ตัดสินใจไม่ถูก
ภายในห้องบรรทมจันทรา ตำหนักพระราชเทวี กันทิมามาเฝ้าจันทรา ขณะที่ตะละแม่นั่งเขียนจดหมายอยู่ที่ตั่ง
"กันทิมา…เรามีเรื่องจะวานท่านให้ช่วย เพราะมองไม่เห็นใครจะไว้ใจได้แล้ว"
"รับสั่งมาเถิด การใดข้าพเจ้าถวายรับใช้ได้ถือเป็นการสนองคุณสูงสุด"
"เพลานี้ จะเด็ดได้ส่งกองทหารนำหนังสือมากราบทูลพระเจ้าอยู่หัว พักกองอยู่ที่วัดกุโสดอ พรุ่งนี้จะกลับแปร เราจึงอยากฝากหนังสือไปให้จะเด็ด"
"การนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ข้าพเจ้าจะทำไม่ได้"
"แต่เราไม่ได้เพียงอยากฝากหนังสือไปอย่างเดียว เราอยากให้ท่านเดินทางไปในกองทหารด้วย"
กันทิมางง
"จะให้ข้าพเจ้าไปถึงแปรเลยอย่างนั้นหรือ"
"ถ้าท่านเห็นว่าเป็นการหนัก…ไม่ต้องก็ได้"
"หามิได้ ครั้งก่อนรอนแรมไปกลางป่าอันตรายกว่าหลายเท่าข้าพเจ้ายังทำได้ ครั้งนี้มีกองทหารตองอูคุ้มกันไปด้วยจะกลัวอะไร"
จันทราส่งหนังสือให้
"เราอยากขอให้ท่านพิจารณาด้วยตาว่า ถ้าจะเด็ดอยู่แปรเป็นสุขเลือนเราสิ้นแล้ว ขออย่าได้คืนตองอูเลย"
กันทิมารับหนังสือมาแล้วก้มกราบ
กันทิมาในเครื่องแต่งกายชายนาม นาคะตะเชโบ ควบม้าตรงมาที่วัดกุโสดออย่างรวดเร็ว เห็นมหาเถรมังสินธูกำลังพรมน้ำมนต์ให้สีอ่องและเนงบากับหมู่ทหารอยู่
"จงบอกจะเด็ดด้วยว่า หากจะกลับตองอูขอให้หลบมาพบเราก่อน อย่าบุ่มบ่ามเข้าเฝ้ามังตราแต่ผู้เดียว"
นาคะตะเชโบ ลงจากม้าเดินอย่างองอาจเข้าไปที่ลานวัด เนงบา สีอ่องหันมาเห็น นางสบตาเนงบาแล้วสะดุ้งรีบหันหลังหนี
"เฮ้ย...เจ้านั่นจะไปไหน" มหาเถรมังสินธู
"เออ..ข้าพเจ้าได้ข่าวว่ามีกองทหารจะไปกรุงแปรอยู่ที่นี่ เลยคิดจะขออาศัยร่วมทางไปด้วย" นาคะตะเชโบบอก
"ก็ดีซิ…ไปกับกองทหารเนงบา สีอ่องนี่ปลอดภัยดี"
"พระอาจารย์ ใครที่ไหนก็ไม่รู้ จู่ๆจะมาชวนเข้ากองด้วย"
"คนคนเดียวกับทหารทหารทั้งกอง เจ้าจะกลัวอะไรวะ"
"ท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้หรือ เมื่อครั้งท่านจะเด็ดติดอยู่ในคุกแปร ข้าพเจ้าเป็นคนลอบนำสาส์นจากจะเด็ดมาให้ท่านไง"
เนงบาเดินเข้ามาจ้องหน้ากันทิมา แต่นางกลัวเนงบาจำได้จึงพยายามไม่สบตา
"อ๋อ เจ้าเองหรือ ข้าจำไม่ได้ เรื่องมันตั้งนานแล้ว"
"แต่ท่านจะเด็ดต้องจำได้ ข้ารู้ข่าวว่าบัดนี้ท่านจะเด็ดได้เป็นถึงแม่ทัพบุเรงนอง เลยอยากจะมาขอพึ่งบุญ เผื่อได้เป็นทหารอยู่หน้าม้าบ้าง"
"ข้านึกออกแล้ว วันที่จะเด็ดกลับตองอู เจ้าเป็นคนมากราบขอร้องให้ข้าเข้าวังไปช่วยจะเด็ดมัน"
กันทิมาดีใจยกมือไหว้
"พระคุณเจ้าแม้แก่เฒ่า ความจำยังดีกว่าคนหนุ่มหลายเท่า"
"จะเด็ดมันเป็นคนไม่ลืมคุณคนดอก หากเจ้าได้ทำการเช่นนั้นจริง จะเด็ดต้องชุบเลี้ยงเจ้าอย่างดีแน่ รับหนุ่มน้อยผู้นี้ไปด้วยเถอะ เนงบา"
เนงบาเดินสำรวจรอบๆ นาคะตะเชโบอย่างไม่ค่อยวางใจ
"ก็ได้…แต่ถ้าทำตัวไม่ดีมีพิรุธ ข้าสังหารเจ้ากลางป่าแน่"
นาคะตะเชโบยิ้มแหยๆให้เนงบา
วันใหม่ เนงบาเหงื่อโทรมกายควบม้าใต้ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้า
สีอ่องและทหารม้าทั้งหมดควบตาม นาคะตะเชโบรู้สึกร้อนเหมือนกัน แต่พยายามอดทนไม่ควบม้าเร็วเกินไป ทั้งหมดควบม้ามาตามตลิ่งริมลำธารกลางป่า ชายแดนตองอู นาคะตะเชโบตามหลังสุด
"พวกเราหยุดอาบน้ำก่อนดีกว่า ร้อนฉิบหาย"
นาคะตะเชโบจูงม้าลงมาตามตลิ่งจนถึงลำธาร เห็นเนงบา สีอ่องกับเพื่อนทหารกำลังถอดเสื้อผ้าออกล่อนจ้อน วิ่งลงน้ำกันอย่างสนุกสนาน นาคะตะเชโบตกใจหันหน้าหนี พวกเนงบาเล่นน้ำอย่างสนุกสนานหันมาเรียก
"ท่านนาคะแก้ผ้าลงมาอาบน้ำกันเร็ว"
นาคะตะเชโบส่ายหน้ารีบจูงม้าหนี
"อ้าวจะไปไหน…ไม่ร้อนหรือ ลงมาอาบน้ำให้คลายร้อนกันก่อน"
นาคะตะเชโบไม่ฟังเสียงรีบจูงม้าหนี เนงบานึกสนุกวิ่งขึ้นจากน้ำมาฉุดให้ลงน้ำ นางตกใจพยายามสะบัดหนี
"ไม่เอา…อย่าเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อาบ ไป..ไปไกลๆ"
"ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไร เถอะน่า…ท่านมีอะไรผิดปกติหรือ พวกเรา เร็ว มาจับท่านนาคะแก้ผ้าโยนน้ำเร็ว"
สีอ่องกับพวกทหารนึกสนุกตามวิ่งขึ้นจากน้ำจะมาฉุด นางตกใจชักดาบออกจากเอวกันไว้ ทุกคนตกใจถอยห่าง
"ออกไปห่างๆข้าพเจ้า…ไปซิ ข้าพเจ้าไม่อาบ"
ทุกคนงง ถอยไปเล่นน้ำต่อ นาคะตะเชโบยืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก
วันใหม่ โถงตำหนัก อเทตยานั่งหน้าซีดเซียวอยู่บนตั่งดูเหม่อลอย ข้าหลวงอเทตยาเดินนำโชอั้วเข้ามา
"ข้าพเจ้าดีใจเหลือเกินที่แม่โชอั้วมาเยี่ยมข้าพเจ้าถึงตำหนัก""การศพบิดาข้าพเจ้าเพิ่งเสร็จสิ้น จึงมีโอกาสมาเยี่ยมท่าน"
"ท่านแม่ทัพปะขันหวุ่น จิตใจเด็ดเดี่ยวนัก ข้าขอสรรเสริญ"
"ก่อนประชุมเพลิงพ่อท่าน แม่ทัพตองอูมาเคารพศพที่บ้าน"
"มันเป็นแค่อุบายให้ท่านเห็นใจ"
"แต่ก็นับว่าเป็นประเพณีของขุนพล...หาได้โกรธแค้นเป็นส่วนตัว" อเทตยาบอก
"ท่านเข้าข้างบุเรงนองได้อย่างไร เขาเป็นเหตุให้พ่อท่านประหารตัวเอง""ก่อนนั้นข้าพเจ้าก็คิดอย่างท่าน แต่พอได้พบตัว เห็นเขาแจ้งแก่ทุกคน จึงรู้ว่าบุเรงนองนี้มีใจเป็นนักรบแท้"
"ท่านหลงคารมคนตองอูอีกคนแล้ว ท่านก็รู้ว่าที่ข้าพเจ้าทุกข์ใจอยู่นี้เพราะอะไร"
"แต่ข้าพเจ้าได้สาบานต่อศพบิดาแล้วว่าจะขอล้างแค้น เพื่อสนองคุณท่านพ่อให้จงได้"
อเทตยายิ้มที่มีพวก
"ท่านสาบานแล้วนะโชอั้ว ท่านผิดคำสาบานไม่ได้นะ"
หน้ากองบัญชาการตองอู กรุงแปร เนงบา สีอ่องควบม้ามากับนาคะตะเชโบและกองทหาร มาหยุดหน้ากองบัญชาการตะคะญี
"ท่านครู ท่านครู ข้าพเจ้ากับเนงบากลับมาแล้ว ท่านครูอยู่ไหน" สีอ่องร้องถาม"ท่านแม่ทัพอยู่ไหน" เนงบาเรียก
"ป่านนี้ก็มีความสุขอยู่กับตะละแม่นะซิ"
นาคะตะเชโบหน้ามุ่ย ตะคะญีเดินออกมาจากกองบัญชาการ ทั้งหมดยกมือไหว้
"เป็นอย่างไรบ้างเนงบา สีอ่อง"
"ตามท่านบุเรงนองมาด่วนเถิดท่านครู มีสาส์นสลักมาจากพระพี่นางจันทรา"
ตะคะญีหันไปเห็นนาคะตะเชโบแล้วตกใจ…ทั้งคู่จ้องหน้ากัน
ในเรือนปลัดทัพ ตะคะญีฉุดมือนาคะตะเชโบเข้ามาอย่างไม่ค่อยพอใจ
"พ่อ…ปล่อย ปล่อยได้แล้ว ข้าพเจ้าอยากเจอท่านบุเรงนองก่อน"
"ยังไม่ต้อง เจ้าอยู่ที่เรือนนี้ไปก่อน พัวพันกับเนงบากับสีอ่องมากๆมันจะจับพิรุธได้"
"เนงบา สีอ่องไม่ใช่คนช่างสังเกตดอก ถ้ารู้ก็รู้ตั้งนานแล้ว"
"ยังไงก็อยู่เรือนนี้ไปก่อน เนงบามันทะลึ่งตึงตังพูดจาลามกไม่ระวังคำ เจ้าอย่าใกล้ชิดมันมาก เดี๋ยวพ่อไปฟังความบุเรงนองก่อน"
ตะคะญีเดินออกไป นาคะตะเชโบเดินวนเวียนอย่างหงุดหงิด
ภายในกองบัญชาการตองอู กรุงแปร จะเด็ดนั่งอ่านสาส์นจันทราอยู่ คนอื่นๆนั่งรอฟังการตัดสินใจอยู่อย่างใจจดจ่อ
"สลักหนังสือถึงท่านก็ด้วยพระเจ้าอยู่หัวมังตรามีดำรัส ข้าพเจ้านี้มิได้หมายบังคับให้ท่านกลับตองอูแต่อย่างไร พระนิสัยมังตราท่านก็ย่อมรู้ดี อารมณ์ที่เครียดแค้นอาจกลับกลายโดยง่าย อาจเป็นภัยในภายหลัง เกี่ยวกับสัญญาที่ต้องมาอุปภิเษกด้วยข้าพเจ้านั้น อย่าถือเป็นคำมั่นต้องรักษา เพราะการทั้งสิ้นเป็นด้วยมังตราประสงค์ให้เป็นเอง ข้าพเจ้าจึงไม่ถือเป็นการผิดคำ ซึ่งท่านเองย่อมเข้าใจในตัวข้าพเจ้าดีว่าพูดจากใจจริง และมั่นว่าพระเจ้าแปรจะต้องเอ็นดูท่านเป็นอันมาก หาไม่คงไม่พระราชทานพระธิดาอันเป็นสุดที่รักแก่คนตองอู ข้าพเจ้ายินดีด้วยยิ่งนักที่มีผู้อุปถัมภ์ท่านอย่างดีแม้อยู่ต่างแดน จึงรู้สึกหมดห่วง และขออวยพรให้ท่านเป็นสุขอยู่ ณ กรุงแปรตลอดไป"
อ่านจบจะเด็ดนั่งนิ่งเงียบ พยายามกลั้นน้ำตาไว้ แต่ละคนนั่งรอฟังว่าจะพูดอะไร
"เจ้าจะเด็ดแม้จะชั่วในสายตาผู้อื่น แต่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อตะละแม่ตองอูอยู่เสมอ พระพี่นางให้ข้าพเจ้าอ้างความโกรธของพระเจ้ามังตราเพื่อจะได้ไม่ต้องกลับตองอู แต่ข้าพเจ้าจะกลับ ขอท่านครูเตรียมทหารให้ข้าพเจ้าภายในเจ็ดวันนี้เถิด"
ตะคะญีบอก
"คิดให้รอบครอบอีกหน่อยไม่ดีหรือบุเรงนอง"
เนงบาตกใจ
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เนงบาตกใจ
"แต่ถ้าไม่กลับตามรับสั่งตอนนี้ ยิ่งหาทางกลับไม่ได้เลย"
"ข้าพเจ้าว่าท่านสั่งทหารบุกหงสาวดีดีกว่า จะได้อ้างว่าติดพันศึกหงสาอยู่ ยังกลับตองอูไม่ได้"
"การกลับตองอู ข้าพเจ้าไม่ได้กลัวพระเจ้าอยู่หัวลงทัณฑ์ดอก แต่ที่ต้องกลับเพราะอยากให้พระพี่นางแจ้งในใจข้าพเจ้าว่า ความภักดีต่อพระพี่นางนั้นมีค่ายิ่งกว่าชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับตองอู ใครที่
ไหนก็อย่ามาห้าม"
ทุกคนเงียบกริบ
"ไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านกลับตองอูเพียงคนเดียว พวกข้าพเจ้าขอไปด้วย" เนงบาบอก
"ใช่…เราเป็นเพื่อนน้ำสาบานกันมา ออกศึกร่วมเป็นร่วมตายกันไม่รู้กี่ศึก เมื่อท่านกล้ากลับไปให้พระเจ้าอยู่หัวมังตราตัดคอได้ พวกข้าพเจ้าก็ยินดีให้ประหารเหมือนกัน" สีอ่องว่า
จาเลงกาโบบอก
"พวกเราได้ดิบได้ดีก็เพราะท่านส่งเสริม มียศมีศักดิ์ให้คนกราบไหว้ก็เพราะท่าน ยามท่านมีทุกข์ทำไมเราจะต้องมาอยู่สุขสบายกันที่กรุงแปรนี่"
จะเด็ดมองทุกคนอย่างซาบซึ้ง
"ข้าพเจ้าตื้นตันใจท่านพี่นัก บุญคุณที่ข้าพเจ้าให้พวกพี่ท่าน ยังน้อยกว่าที่ข้าพเจ้าได้รับตอบแทน ข้าพเจ้าคงห้ามใจท่านไม่ได้ ฉะนั้นกรุงแปรนี้ข้าพเจ้าขอมอบให้เป็นสิทธิ์ขาดแก่ครูท่านแต่ผู้เดียว"
"อย่ากล่าวโทษว่าข้าพเจ้าขัดคำสั่งนายทัพเลย ในเมื่อทุกคนไปหมด ทำไมข้าพเจ้าต้องอยู่ บุเรงนอง หลานท่านจงหาผู้อื่นมาดูแลกรุงแปรแทนข้าพเจ้าเถิด"
จะเด็ดนิ่งคิดหนัก
"กรุงแปรยามนี้ หงสาวดียังแค้นหนัก หากพวกเรารามือไปคงเป็นเหยื่อให้ราชสีห์มาขย้ำ ท่านครูโปรดให้คำชี้แนะแก่ข้าพเจ้าเถิด ผู้ใดควรจะมาเป็นหลักแทนครูท่านคอยคุ้มครองแปร"
"ท่านตองหวุ่นญีซิหลานท่าน แม่ทัพตองอูผู้นี้แม้จะชราไปบ้าง แต่แผ่นดินนี้ฝีมือไม่เป็นสองรองใคร"
ภายในอุทยานหลวง กรุงแปร ท้องฟ้ามีเพียงดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ จะเด็ดนั่งซึมนิ่งอยู่ ขบวนเสด็จกุสุมาเข้ามาหา ลงนั่งข้างๆ
"ท่านมีทุกข์ใดจึงไม่เข้านอน ข้าพเจ้ากับท่านหาใช่บุคคลแปลกหน้า การใดท่านเดือดร้อนทำไมไม่แจ้งข้าพเจ้าให้ช่วยดับทุกข์ แจ้งข้าพเจ้ามาเถิด"
"ข้าพเจ้าต้องกลับตองอูภายในเจ็ดราตรีนี้ เพื่อไปอุปภิเษกกับตะละแม่จันทราตามที่พระเจ้ามังตราพระราชทานยศไว้ หากปฏิเสธก็เหมือนข้าพเจ้าหมิ่นศักดิ์ตะละแม่ตองอู พระนางจะสบตาผู้ใดในตองอูได้"
กุสุมานิ่งเงียบ น้ำตาคลอ จะเด็ดรีบกุมมือไว้
"แต่ข้าพเจ้าไม่อาจทิ้งท่านได้ จะขอพาท่านไปตองอูด้วย"
"ท่านจะพาข้าพเจ้าไปให้พวกตองอูเหยียบย่ำซ้ำเติมอย่างนั้นหรือ"
"ตะละแม่จันทรานั้นข้าพเจ้ารู้นิสัยดีว่าเป็นผู้มีเมตตา เอื้ออารีต่อผู้อื่น การจะทำร้ายน้องท่านเป็นไม่มี และยิ่งรู้ว่าน้องท่านเป็นที่รักของข้าพเจ้าด้วยแล้ว พระนางจะยิ่งถนอมดังดวงใจ ตองอูนั้นเป็นบ้านเกิดเมืองตาย จะอย่างไรก็จะขอกลับไปตายอย่างคนตองอู"
"ข้าพเจ้าเข้าใจในความรักต่อปฐพีเกิดของท่านดี เพลานี้ข้าพเจ้าก็เหมือนตัดทุกอย่างจากแปรแล้ว หากต้องตามท่านไปตองอูจะต่างกันตรงไหน แต่ว่าเมื่อถึงตองอูแล้ว ท่านจงอย่าทิ้งข้าพเจ้าเหมือนของไร้ค่า ให้นึกถึงน้ำใจที่ข้าพเจ้าได้สละสิ้นแปรนี้ด้วย"
จะเด็ดกอดกุสุมาแน่นน้ำตาคลอ
"ขอบน้ำใจน้องท่านนัก ชีวิตนี้ข้าพเจ้ามอบให้น้องท่านสิ้นแล้ว นอกจากเดือนดาวบนอากาศเท่านั้นที่ข้าพเจ้าหามาให้ท่านไม่ได้"
จะเด็ดกอดกับกุสุมามองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า
เวลากลางคืน ภายในเรือนปลัดทัพ นาคะตะเชโบตกใจ มองหน้าตะคะญีอย่างไม่พอใจ
"ไม่ได้นะพ่อ ขืนปล่อยให้จะเด็ดกลับตองอูตอนนี้ ก็เหมือนเร่งให้พระเจ้าอยู่หัวประหารเร็วขึ้นเท่านั้น เราต้องช่วยกันห้าม"
"พ่อก็ห้ามไปแล้ว จะเด็ดฟังใครที่ไหน"
"แต่ข้าพเจ้าต้องห้าม พ่อ บอกทางไปเรือนพักท่านแม่ทัพบุเรงนองให้ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะไปพบจะเด็ดเดี๋ยวนี้"
"ดึกป่านนี้ทหารไม่ให้เจ้าขึ้นเรือนดอก"
"งั้นพ่อก็ออกหนังสือให้ข้าพเจ้าซิ พ่อเป็นถึงปลัดทัพ"
"ถึงเป็นปลัดทัพก็ออกหนังสือสุ่มสี่สุ่มห้าให้เจ้าไปพบดึกๆไม่ได้ เจ้าต้องรู้ตัวนะว่าตอนนี้เจ้าคือคนอาศัยมากับกองทัพ ไม่มีสิทธิพิเศษใดใดที่จะเข้าพบแม่ทัพกลางคืน รอตอนเช้าเถอะ"
นาคะตะเชโบหงุดหงิดทำอะไรไม่ได้
เช้าวันใหม่ นาคะตะเชโบนั่งคอยจะเด็ดอยู่หน้าเรือนพักบุเรงนอง จนจะเด็ดออกมาจากเรือนจึงรีบวิ่งมาหา
จะเด็ดรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ จึงสวมกอดเอาอย่างแรง นาคะตะเชโบตกใจผลักจะเด็ดจนกระเด็น
"ท่านเป็นอะไร ข้าพเจ้าคิดถึงท่านมากจึงอยากจะกอดท่านให้หายคิดถึงไงเล่า"
จะเด็ดเข้ามากอดอีก คราวนี้นางเอามือกอดตอบด้วยความคิดถึงเช่นกัน"พอกลับถึงตองอูท่านก็หายไป ข้าพเจ้าต้องรีบจัดทัพมาแปรจึงไม่ได้สนองคุณท่าน"
"พบท่านครั้งนี้ ท่านก็จะกลับตองอูอีกแล้ว"
"พวกเนงบาคงแจ้งท่าน"
"ข้าพเจ้าติดตามกองทหารเนงบามา ก็เพื่อจะขอเป็นทหารนำหน้าท่านออกศึก แต่ท่านกลับละศึกยอมตายเพื่อตะละแม่เมืองแปร"
"ท่านคงยังไม่เข้าใจข้าพเจ้าดี"
"การหนึ่งที่มาแปรก็เพราะเป็นธุระให้แม่นางแห่งตองอูW
"กันทิมาใช่ไม๊ ที่ท่านเคยแจ้งว่าป่วยหนัก ข้าพเจ้าได้พบพ่อครูตะคะญีได้สอบถามแล้วว่า ปลอดภัยดี ขอท่านอย่าเป็นห่วง"
"แต่การนี้เป็นของตะละแม่จันทรา"
จะเด็ดงง
"ท่าน...มักคุ้นกับตะละแม่จันทราด้วยหรือนี่"
"ก็ด้วยแม่กันทิมานี่แหละได้อุปถัมภ์ข้าพเจ้าเมื่ออยู่ตองอู นางได้เป็นข้ารับใช้ในพระพี่นาง จึงฝากความมาถึงท่านด้วย"
"ฝากความมาว่าอย่างไร"
"พระพี่นางให้มาแจ้งแก่ท่านว่าอย่ากลับตองอูเลย"
จะเด็ดเสียงแข็งทันที "ไม่"
"ฟังความที่ฝากมาให้สิ้นก่อนท่านบุเรงนอง ตะละแม่จันทรานั้นเป็นห่วงท่านนัก และไม่อยากร่วมกรรมกับเจ้าอยู่หัวพระอนุชา สั่งให้ข้าพเจ้ามาดูท่านให้เห็นกับตาว่า หากเห็นท่านเป็นสุขแล้วจงวอนอย่าให้ท่านกลับตองอูให้ได้ยาก ความทุกข์ของท่านจะทำให้ตะละแม่ต้องช้ำใจตาม หากรู้ข่าวสุขของท่านจะทำให้ตะละแม่เป็นสุขกว่า ความทั้งสิ้นนี้ไม่ได้สั่งด้วยน้อยใจ แต่สั่งมาเพราะรักท่านยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น"
"ท่านนี้เป็นเพื่อนน้ำมิตรข้าพเจ้ายิ่ง ด้วยเคยช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ดอก ข้าพเจ้าจะแจ้งความให้ฟัง ตะละแม่จันทรานั้นดุจสิ่งที่บูชา แต่หาได้บูชาทุกวันไม่ หากเป็นเครื่องเตือนสติอยู่ในใจเสมอ ส่วนตะละแม่
กุสุมานี่เล่าเหมือนดังบุตรในอุทร ต้องเฝ้าเลี้ยงถนอมอยู่ทุกวัน และนางก็ยินดีจะไปได้ยากกับข้าพเจ้าที่ตองอู"
"ท่านจะพาตะละแม่เมืองแปรไปตองอูด้วยหรือ แล้วถ้าพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ให้ท่านทิ้งตะละแม่เมืองแปรเข้าอภิเษกกับตะละแม่จันทรา ท่านจะทำอย่างไร"
จะเด็ดอึ้ง เงียบ นึกไม่ถึง
ในห้องนอน นางข้าหลวงป้อนยาให้อเทตยา นางปัดทิ้งอย่างโมโห โชอั้วนั่งโกรธแค้นเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
"ท่านว่าจะเด็ดจะกลับตองอูอย่างนั้นหรือ"
"ใช่…แล้วจะพาตะละแม่กุสุมาไปด้วย"
อเทตยาร้องไห้โฮ
"โชอั้ว…ชาติที่แล้วบุญวาสนาข้าพเจ้าสร้างด้วยอะไร ถึงสู้ตะละแม่กุสุมาไม่ได้เลย"
อเทตยาแค้นกรีดร้องจนไอออกมาเป็นเลือด นางข้าหลวงต้องรีบเข้าไปเช็ด โชอั้วมองอย่างสมเพช
"ข้าพเจ้าเห็นใจท่านนัก ตะละแม่กุสุมาเหมือนฟ้าประสงค์ให้เกิดมาเพื่อให้บุเรงนองรัก แต่ท่านนั้นเกิดมาเพื่อรักบุเรงนอง ใยฟ้าดินไม่เอื้อเอ็นดู"
อเทตยายิ่งเสียใจ ลงนอนร้องไห้อย่างน่าสงสาร โชอั้วยิ่งโกรธหนัก
"ถ้าท่านนอนร้องไห้อยู่อย่างนี้ มีหรือจะได้เห็นหน้าบุเรงนองอีก"
"แม่โชอั้วจะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร ขอตามไปตองอูด้วยอย่างนั้นหรือ"
"ถ้าเราตามไปตองอูไม่ได้ ทำไมเราไม่ฉุดรั้งบุเรงนองไว้ที่แปรนี้เล่า ตะละแม่กุสุมาเป็นคนกรุงแปรแท้ ถ้าเราไม่ยอมให้ไปไหนเลย บุเรงนองจะกลับตองอูได้ผู้เดียว"
อเทตยาค่อยๆมีสติ หยุดร้อง หันมองหน้าโชอั้ว แต่ยังไม่เข้าใจ
"ถ้าข้าพเจ้าแจ้งการให้ท่านรู้ ท่านจะปฎิบัติตามคำข้าพเจ้าหรือไม่ล่ะ"
อเทตยาเหมือนไม่มีทางเลือก และคิดว่าโชอั้วคือผู้ที่นางไว้ใจที่สุด โชอั้วมองอเทตยาอย่างเย้ยหยันในความอ่อนแอ แต่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ในการแก้แค้นจะเด็ด
อัครเทวีประทับอยู่บนพระแท่นท่าทางแค้นใจ
"เมื่อลูกเราไม่รักดีพึงใจกับคนสามัญ จะตามชู้สวาทไปถึงตองอูก็แล้วแต่กรรมบันดาล"
อเทตยากับโชอั้วหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ อเทตยาเจ็บปวดหัวใจ แต่โชอั้วเคียดแค้นมาก
"แต่ข้าพเจ้าสงสารตะละแม่กุสุมาที่ต้องไปรับกรรมถึงตองอู เพราะตองอูนั้นยังมีพระพี่นางพระเจ้าตองอูอีกองค์หนึ่ง ไหนเลยคนตองอูจะยกย่องตะละแม่เสมอเราชาวแปรด้วยกัน"
"ก็ดี…เราเฝ้าเลี้ยงดู ถนอมดั่งดวงใจ ยังคิดทิ้งเราไปตองอูให้ดูเวทนา ปล่อยให้คนอื่นกระทำหยามเหยียบเอาบ้าง จะได้นึกถึงคุณเรา"
"พระเจ้าป้าเพลานี้ยังพิโรธในอารมณ์ ครู่หนึ่งคงหายเพราะความเป็นพระมารดา แต่เบื้องหน้าถ้าพระธิดาเจ็บช้ำกลับมาใครเลยจะช้ำพระทัยเท่าพระองค์"
"แล้วจะให้ป้ารั้งกุสุมาได้อย่างไร เคยเรียกไปหลายหน ไม่เคยยอมเข้ามาเฝ้าเลยสักครั้ง"
"การนี้พี่นางกุสุมากำลังหลงเสน่ห์แม่ทัพบุเรงนอง คงทำการตรงไป ตรงมาไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าอยากให้สมเด็จป้ายกให้แม่นางโชอั้วเป็นผู้ดำเนินการสนองเถิด นางมีไหวพริบจะช่วยสมเด็จป้าได้"
อัครเทวีนิ่งคิดเหมือนจนหนทางแล้ว โชอั้วหันมายิ้มให้กับอเทตยา…
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 12 (ต่อ)
จาเลงกาโบกับสีอ่องกำลังฝึกทหารแปรให้ขี่ช้าง ขี่ม้าอยู่
ตะคะญีเดินเข้ามาดู จนมาถึงเนงบาที่กำลังสอนทหารแปรกับนาคะตะเชโบต่อสู้เพลงดาบอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ทหารแปรทุกคนถอดเสื้อหมดยกเว้นนาคะตะเชโบอยู่ในชุดทหารตองอูเต็มยศ
"เอา...ทั้งหมดพักก่อน ทีนี่จะให้สู้ทีละคู่ เจ้านาคะก่อนกับเจ้ายักษ์นั่น ออกมา"
นาคะตะเชโบออกมายืนกลางวงกับทหารรูปร่างสูงใหญ่ น่ากลัว นางโชว์ลีลาเต็มที่เตรียมพร้อมทหารอื่นๆแยกตัวออกไป ปล่อยให้นาคะตะเชโบสู้กับทหารร่างยักษ์ 1 ต่อ 1
พอเริ่มสู้ได้ 2-3 เพลง ตะคะญีก็ถอนตัวออกไปอยู่ข้างจาเลงกาโบ
"เจ้าดูเพลงดาบเจ้านาคะซิว่าเป็นอย่างไร"
"เพลงดาบมันคุ้นๆ เหมือนศิษย์สำนักเราเลยนะพ่อ" จาเลงกาโบบอก
"เจ้าจำกันทิมาไม่ได้หรือ"
จาเลงกาโบตกใจ
"อะไรนะพ่อ"
"เจ้านาคะตะเชโบนี่คือกันทิมา กันทิมานี่คือเจ้านาคะ"
"มันเกิดอะไรขึ้นนี่พ่อ"
"ตะละแม่จันทรา สั่งให้กันทิมาปลอมมาดูสภาพความเป็นอยู่ของจะเด็ดในแปร เจ้าต้องช่วยพ่อดูไม่ให้ผู้อื่นเกิดความสงสัย เจ้าต้องระวังกันทิมาให้ห่างๆเนงบาไว้ อย่าให้มั่วสุมกันได้"
จาเลงกาโบมองดูการต่อสู้อย่างพอใจ กันทิมาสู้กับทหารร่างยักษ์อย่างคล่องแคล่วจนทหารพากันเชียร์สนุกสนาน
ห้องบรรทมอัครเทวี อัครเทวีนอนหันพระปฤษฎางค์อยู่บนพระแท่น มีนางข้าหลวงหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ กุสุมาเดินเข้ามาทรุดลงหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
"ถ้าไม่แสร้งว่าจะสิ้นใจ ลูกก็คงไม่มาให้เห็นหน้าใช่ไม๊"
กุสุมาเงียบ อัครเทวีพูดต่อ
"จะไปตองอูกับผู้สมัครรักยังไม่คิดจะมาบอกกล่าว แม่นี้เลี้ยงมาเกือบยี่สิบปีไม่มีอนาทร แต่นายทัพตองอูรู้จักกันเพียงปีกลายกลับจะไปร่วมตายด้วย"
กุสุมาร้องไห้
"ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ายอมทนทุกข์อยู่หงสาวดีเพื่อสนองคุณสมเด็จแม่ บุเรงนองเป็นผู้ได้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ อภัยข้าพเจ้าเถิด ถ้าต้องยึดบุเรงนองเป็นที่พึ่ง"
อัครเทวีร้องไห้ตาม
" มาโกรธแม่ แล้วทิ้งไปสนองคุณคนใหม่ ไม่เหลือเยื้อใยให้แม่แล้วหรือไง"
"สมเด็จแม่นั้นถ้าเป็นผู้ยาก ลูกนี้ยินดีอยู่สนองคุณ แม้จะรักบุเรงนองแค่ไหนก็จะตัดใจทิ้ง แต่นี่สมเด็จแม่เป็นถึงพระอัครเทวีแห่งกรุงแปร ไฉนจะมีอะไรต้องห่วง ลูกขอกราบลา ขอไปตายยังเบื้องหน้าเอง"
กุสุมาเข้ากราบเท้า อัครเทวีลุกขึ้นมายืน กุสุมาโผเข้ากอด
"ลูกนี้อยู่แปรไม่อาจมองหน้าผู้ใดได้ ขออย่าให้ลูกอยู่ทำลายพระเกียรติสมเด็จพ่อกับสมเด็จแม่เลย"
"แล้วไปอยู่ต่างแคว้นแดนอื่น ใครจะมายกย่องให้เสมอหน้าเท่าแปร ตรองให้ดีนะลูก"
"หากเป็นผู้อื่นมาเหยียบย่ำ ลูกนี้คงหาวิธีตอบโต้จนสุดแค้น แต่หากถูกผู้ที่เรารักมาซ้ำเติม ลูกคงหมดแรงจะสู้ ทางเดียวที่จะเลือกคือขอสิ้นใจตาย"
พระอัครเทวีใจอ่อนทรุดลงกอดกุสุมาร้องไห้…ดูเวทนาทั้งคู่
อเทตยานั่งเหม่อลอยอยู่บนพระแท่นไม่มีเรียวแรง โชอั้วนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
"พระอัครเทวีพระทัยอ่อน ไม่อาจรั้งตะละแม่ให้อยู่แปรได้ ข้าพเจ้าละอายเหลือเกินที่จะบอกท่านว่าถ้าไม่ได้พบบุเรงนอง ชีวิตข้าพเจ้านี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน"
"ความอาลัยนี้ข้าพเจ้าสงสารท่านนัก แต่ท่านอย่าเพิ่งสิ้นหวังข้าพเจ้ายังมีทางช่วยอื่น"
"ท่านจะช่วยข้าพเจ้าได้อย่างไร"
"เพลานี้ตะละแม่พำนักยังตำหนักพระอัครเทวี ที่เรือนพักมีแต่บุเรงนองผู้เดียว"
อเทตยาตกใจ
"จะให้ข้าพเจ้าไปหาถึงเรือนหรือ"
"ข้าพเจ้าไม่ให้ท่านเสื่อมเกียรติเช่นนั้นดอก จะหาทางให้บุเรงนองออกมาพบกับท่านเอง การใดที่สตรีทำแล้วขยะแขยง การนั้นจะสำเร็จได้โดยง่ายเสมอ"
โชอั้วยิ้มเยือกเย็นให้ อเทตยาดึงมือโชอั้วมากุมไว้ด้วยความตื้นตันใจ
"ขอบใจท่านมากอเทตยา ข้าพเจ้าไม่มีเพื่อนผู้ใดดีเสมอท่านอีกแล้ว"
โชอั้วเดินมาที่สะพานหน้าเรือนพักบุเรงนองเพียงคนเดียว ทหารยามเข้ามาขวางไว้
"ยามสงัดอย่างนี้เข้าไปยังเรือนพักไม่ได้"
"ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งจากตะละแม่พระธิดาให้มาพบท่านแม่ทัพบุเรงนอง"
บุเรงนองเดินออกมาจากเรือนพักเห็นจึงตะโกนถาม
"มีเรื่องอะไรกัน"
"แม่นางโชอั้วแจ้งว่า มีรับสั่งมาจากตะละแม่กุสุมา"
"ให้เข้ามาเถิด"
โชอั้วสะบัดหอกทหารออกไป แล้วตรงไปหาบุเรงนอง
"มีการอันใดสำคัญถึงมาพบข้าพเจ้ายามดึก"
"ตะละแม่ร้อนใจมีเรื่องจะเจรจากับท่านเป็นเรื่องด่วน แต่พระอัครเทวีกักตัวไว้ไม่อาจออกมาพบท่านได้ จึงให้ข้าพเจ้าลอบมาแจ้งท่านให้ไปพบเดี๋ยวนี้"
"ที่ไหน"
จะเด็ดเดินลัดเลาะมาตามต้นไม้ใหญ่มองหากุสุมา
เสียงอเทตยาดังบอก
"จะเด็ดพี่ท่าน ข้าพเจ้าอยู่นี่"
จะเด็ดเหลียวมองตาม อเทตยาเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ จะเด็ดแปลกใจ
"เออ…ตะละแม่กุสุมาอยู่ไหน"
"ข้าพเจ้าอยากสิ้นใจลงไปตรงนี้ เป็นสตรีต้องมาแอบลักเขากินอย่างไม่รู้อาย ยอมทำผิดประเพณีเพราะรักท่านเพียงอย่างเดียว"
อเทตยาโผเข้ากอดจะเด็ด
ปอละเตียงกับเชงสอบูจะเดินกลับตำหนักมาเห็นพอดีจึงหลบแอบดู
อเทตยากอดจะเด็ดแน่น ร้องไห้อยู่กับอก
"จะให้ทำอย่างใดถึงจะได้รักตอบจากท่านบ้าง"
จะเด็ดเริ่มเข้าใจ
"ข้าพเจ้าเป็นชายก็ใช่จะทำตามใจตัวได้ เพลานี้คนทั้งลุ่มน้ำอิระวดีรู้สิ้นว่า ข้าพเจ้ากับกุสุมาผูกพันสวาทแก่กัน หากต้องมาลักลอบเป็นใจกับท่านอีก คนทั้งแคว้นคงได้หมิ่นศักดิ์แม่ทัพตองอูว่า ไร้สิ้นศักดิ์ชาย เห็นแก่โลกีย์ ข้าพเจ้านี้แม้รักน้องท่านแค่ไหนก็ต้องตัดใจ"
"อีกไม่กี่เพลาท่านต้องจากข้าพเจ้าไปแล้ว ชาตินี้จะได้พบกันอีกเมื่อไหร่มองไม่เห็นทาง อยากจะขอท่านเป็นคำสุดท้ายจะได้ไม๊"
"รักข้าพเจ้านี้มีให้น้องท่านไม่น้อยกว่ากุสุมา สิ่งใดจะทดแทนให้น้องท่านเป็นสุขก่อนจาก ข้าพเจ้าจะทำให้"
"ข้าพเจ้าอยากมีบุตรกับท่านไว้ดูต่างหน้า"
จะเด็ดตกตะลึงนึกไม่ถึง ผละออกมาทันที ปอละเตียงกับเชงสอบูรีบผลุบหน้าหลบเข้าไปในพุ่มไม้
บริเวณตำหนักพระอัครเทวี กุสุมาเดินออกมาจากห้องบรรทม เห็นโชอั้วหมอบเฝ้าอยู่ก็แปลกใจ
"มีการด่วนอันใดมาเฝ้าเรายามดึกอย่างนี้"
"ข้าพเจ้าหาเพลาเข้าเฝ้าตะละแม่ โดยไร้เงาท่านบุเรงนองมาหลายเพลาแล้ว ยามนี้เห็นเหมาะจึงตัดสินใจมาเฝ้าก่อนเสด็จจากแปร"
"มีการใดเกี่ยวกับท่านบุเรงนอง"
"เกี่ยวกับแม่นางอเทตยาด้วย"
"เกี่ยวกับอเทตยาได้อย่างไรกัน"
"ตะละแม่คงมิได้เฉลียวว่า แม่นางอเทตยาป่วยด้วยเหตุอันใด นางกับแม่ทัพบุเรงนองรักกัน"
กุสุมางง
"นางหลงคารมแม่ทัพตองอู เมื่อครั้งทลายกำแพงเมืองแปรเข้ามาได้ช่วยปลอบคลายเหงายามหว้าเหว่ แต่พอรู้ว่า ตะละแม่อยู่เมาะตะมะ บุเรงนองก็ทิ้งนางไป นางเสียใจจนล้มป่วย"
"เราจะช่วยอเทตยาได้อย่างไร อีกไม่กี่เพลาเราก็จะต้องเดินทางไปตองอูแล้ว"
"นี่คือสาเหตุที่ข้าพเจ้าจำเป็นต้องทูล แม่ทัพบุเรงนองจะนำแม่นางอเทตยาไปตองอูด้วย"
"บุเรงนองไม่เคยเอ่ยให้ได้ยิน"
"ถ้ามิจริง ข้าพเจ้ามิอาจนำความมาแจ้งให้ตัวเป็นผู้เสีย ตะละแม่ควรจะทำการให้เด็ดขาด ตัดไฟแต่หัวลม ถึงตองอูแล้วจะได้ไม่ต้องผิดใจกับคนแคว้นเดียวกันให้อายตะละแม่ตองอู"
กุสุมาโกรธด้วยความหึง...จนตัวสั่น
จะเด็ดแก้ผ้าพันหัวออกห่มให้อเทตยา แล้วนั่งกอดกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้อุทยาน มีหิ่งห้อย
บินไปมาระยิบระยับ
"ครั้งนี้ ข้าพเจ้าเล็งเห็นชัดแจ้งว่า น้องท่านรักข้าพเจ้าด้วยใจจริง แต่ความปรารถนาน้องท่านใหญ่หลวงเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะทำตามได้"
"ข้าพเจ้าเพียงหวังได้ของรักแทนตัวท่าน"
ปอละเตียงกับเชงสอบูตาโตแอบฟังอยู่ จนต้องรีบเอามือปิดปากตัวเอง
"ถ้าชาวแปรสงสัยว่า ทารกนี้ผู้ใดเป็นพ่อ น้องท่านจะแก้อายว่าอย่างไร"
"ก็ช่างประไร เป็นลูกมหาดเล็กของสมเด็จลุงคนไหนก็ได้ ข้าพเจ้าไม่กังวล"
อเทตยาขยับหน้าเข้ามาใกล้จะเด็ด
"ท่านอย่ารังเกียจว่า ข้าพเจ้าใจชั่วเลย เร่งให้ข้าพเจ้าสมปรารถนาเถิด"
อเทตยาระดมหอมไปทั่วหน้า จะเด็ดพยายามห้าม
"อเทตยา ปล่อยข้าพเจ้าเถิด หาไม่ข้าพเจ้าจะกลับเดี๋ยวนี้ อย่า..."
"ข้าพเจ้ารักท่าน รู้แต่ว่ารักท่าน"
จะเด็ดเริ่มอ่อนแรงคิดจะจูบตอบ เสียงกุสุมาดังขึ้นพอดี
"ทำอะไรกัน บัดสีเหลือเกิน"
จะเด็ดและอเทตยาสะดุ้ง รีบผละออกจากกัน ปอละเตียงกับเสงสอบูมองหน้ากันทำท่าว่าตายแน่ๆ
กุสุมาวิ่งมาหยุดใกล้ๆ
"ข้าพเจ้านี้หลงนับถือท่านเสมอเกล้า หวังจะไปร่วมตายยังตองอู แต่ลับหลังท่านมาทำเสียอย่างนี้"
"ฟังข้าพเจ้าก่อนน้องท่าน" จะเด็ดบอก
"เห็นตำตาอย่างนี้ยังมีข้อแก้ตัวอยู่หรือ นี่ยังไม่พ้นแปรยังกล้าหยามถึงเพียงนี้ ถ้าเหยียบตองอูแล้วข้าพเจ้าคงเป็นแค่ธุลีดิน"
จะเด็ดเดินเข้ามาหมายจะปรับความเข้าใจ
"เย็นพระทัยก่อน น้องท่าน"
กุสุมาตบหน้าจะเด็ดเต็มแรง
อ่านต่อหน้า 4
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 12 (ต่อ)
กุสุมาตบหน้าจะเด็ดเต็มแรง
"น้องท่าน..ใจน้องท่านเป็นไฟดังนี้ พรุ่งนี้เราค่อยพูดกันดีกว่า อเทตยา ท่านกลับขึ้นตำหนักเถิด"
อเทตยาตกใจยังไม่กล้าไป
"ข้าพเจ้ายอมให้ผู้คนประนามทั้งอิระวดี เพราะเชื่อว่าท่านคือเทพบุตร ไม่นึกว่าจะกลายเป็นผีร้ายได้"
กุสุมาห้ามใจไม่อยู่ตรงเข้าตบตีจะเด็ดอุตลุด จนอเทตยาต้องเข้ามาห้าม
"หยุดเถิดพี่นางกุสุมา หยุด ข้าพเจ้าผิดเอง ข้าพเจ้าเป็นผู้ชักชวนท่านจะเด็ดออกมาพบเอง"
"กรุงแปรมีกำแพงหนาป้องกันยังอุบายทลายเข้ามาได้ ถ้าไม่มีใจจะยอมมาถึงนี่หรือ รักกันชอบกันก็จงพากันไปตองอูเถิด อย่านำข้าพเจ้าไปให้ขวางหูขวางตาเลย"
"พูดอะไรอย่างนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาน้องท่านคนเดียวจริงๆ"
"ถึงกำหนดจงเดินทางเทอญ อย่าคิดคอยสอพินยา แม้ร่างเป็นผีร้ายยังคิดยกย่องเรามากกว่าท่าน"
จะเด็ดโมโห
"นี่คงถูกพระอัครเทวีเป่าหูมาซิ คนใจโลเล ใครพูดอะไรก็เชื่อตามหมด คิดจะอยู่คอยสวาทจากสอพินยาก็เชิญ ถ้ามั่นใจว่าจะอยู่ข้างสอพินยาก็ตามใจ ข้าพเจ้ากลับตองอูคนเดียวก็ได้"
กุสุมาสะเทือนใจมาก ปิดหน้าร้องไห้วิ่งกลับทันที
จะเด็ดจะตาม แต่อเทตยาจับไว้ จะเด็ดสะบัดมือออกเดินไปอีกทาง ปล่อยให้นางยืนร้องไห้อยู่คนเดียว
ปอละเตียงและเชงสอบูมองหน้ากัน ทำท่าว่า สมน้ำหน้าอเทตยา แล้วหลบออกไป
อเทตยาทรุดลงร้องไห้อยู่ที่โคนต้นไม้เหมือนจะขาดใจตาย
เช้าวันรุ่งขึ้น ทหารกำลังตรวจความเรียบร้อยเครื่องแต่งกายให้จะเด็ดอยู่ที่ชานเรือนพัก ท่าทางเศร้าหนัก ตะคะญียืนคอยส่งอยู่ห่างๆ
"ขอครูท่านจงอยู่ต้อนรับขุนพลตองหวุ่นญีที่แปรนี้เถิด ข้าพเจ้าขอกลับตองอูแต่เพียงพี่ทั้งสามพอ"
"แล้ว…ตะละแม่กุสุมาล่ะ"
จะเด็ดคิดก่อนบอก
"ตะละแม่จะขออยู่แปร ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อถึงตองอูแล้ว รูปการไม่เป็นทางร้ายก็จะขอกลับมารับตะละแม่กุสุมาไปอยู่ด้วย ข้าพเจ้าจึงขอฝากท่านครูดูแลตะละแม่ให้ข้าพเจ้าอีกสิ่งหนึ่ง นอกจากกรุงแปร"
ตะคะญียิ้มพอใจ
"การนี่ข้าพเจ้าจะรับผิดชอบเอง"
"ขอบน้ำใจครูท่านนัก ขอเชิญท่านครูจงไปเร่งพี่ทั้งสามออกเดินทางเถิด"
ตะคะญีรีบออกไปกับทหารติดตาม .จะเด็ดยังคงนั่งเศร้าอยู่คนเดียว จาเลงกาโบที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอาการห่อเหี่ยวเหมือนหมดอาลัยในชีวิต มีเนงบากับสีอ่องนั่งท่าทางสนุกสนานด้วยกัน เนงบาชี้ให้สีอ่องดูจาเลงกาโบ
"เจ้าช่วยเป็นหูเป็นตาดูจาเลงกาโบหน่อยนะ ข้ากลัวว่าจะมีชีวิตไม่ถึงตองอู"
สีอ่องบอก
"นั่นซิ...ตั้งแต่เห็นกันมาแต่เล็ก ข้าไม่เคยเห็นจาเลงกาโบซึมเศร้าอย่างนี้เลย เป็นอะไร เจ้ารู้เหตุไม๊"
"คงไม่อยากกลับตองอูนะซิ"
"เป็นห่วงพ่อครูตะคะญีหรือ"
เนงบาเขกหัวสีอ่อง
"ห่วงพ่อกับห่วงหญิง เจ้าว่าผู้ชายเศร้าเรื่องอะไร"
สีอ่องเขกหัวคืน
"ห่วงหญิง"
เนงบาเขกหัวคืน
"เจ้าว่าหญิงคนไหน"
"ไม่รู้"
สีอ่องจะเขกหัวคืน แต่เนงบา เอามือกันไว้
"แน้ะ...ไม่รู้อย่าเขก"
สีอ่องเขก
"รู้ ตะละแม่กุสุมาไง"
เนงบาเขกหัวคืน
"นี่...ตะละแม่กุสุมานะคนนู้น"
เนงบาชี้ไปที่จะเด็ด
สีอ่องถาม "งั้นใคร"
จาเลงกาโบรำคาญเต็มแก่ลุกพรวดขึ้นมา
"นั่งกันเงียบๆได้ไม๊ หยุกหยิกๆๆ รำคาญ"
เนงบา สีอ่องทำหน้าเป็น
"ใคร...ใครทำให้แม่ทัพช้างตื่นมัน เอ้ย ตกมันได้"
"พอ..พอๆแล้ว ถ้าอยากคุยไร้สาระกันก็ไปนั่งลำอื่น" จาเลงกะโบบอก
สีอ่องกระซิบ "เฮ้ย...เอาจริง"
เสียงปอละเตียง เชงสอบูตะโกนเรียก
"ท่านจะเด็ด ท่านจะเด็ด รอข้าพเจ้าด้วย รอด้วย"
จาเลงกาโบหน้าง้ำ หันขวับไปมองตามเสียงทันที เห็นปอละเตียงกับเชงสอบูซ้อนท้ายม้าควบมาหยุดอยู่ที่ตลิ่ง
สีอ่องเขกหัวคืน
"รู้แล้ว อมพะงำเสียตั้งนาน ไอ้เสือใบ้"
จาเลงกาโบดีใจลิงโลด ทำอะไรไม่ถูก ลุกยืนตะโกนไปที่เรือจะเด็ด
"บุเรงนอง…บุเรงนอง แม่ปอละเตียงกับแม่เชงสอบูมา แม่ปอละเตียงมา แม่ปอละเตียงมา"
ปอละเตียงกับเชงสอบูลงจากม้ามาอย่างทุลักทุเล
"ขอบน้ำใจท่านมากที่มาส่ง"
ชาวบ้านพร้อมม้า 2 ตัวที่มาส่ง ควบกลับไป จะเด็ดมองอย่างงงๆ นาคะตะเชโบมองอย่างไม่พอใจ
จาเลงกาโบลอยคอเกาะเรือมองอย่างปลื้มใจ จะเด็ดอยู่บนฝั่งกับปอละเตียง เชงสอบู
ปอละเตียงบอก
"ข้าพเจ้ากับน้องไม่อาจอยู่แปรโดยไม่มีท่านได้"
"เราสองคนไม่ใช่คนแปร การได้เข้าไปอยู่สุขสบายในวังหลวงก็เพราะ บารมีท่านดอก หากท่านไม่อยู่แปรแล้ว ข้าพเจ้าสองคนพี่น้องก็จะขอไปตายที่ตองอูกับท่านด้วย" เชงสอบูว่า
จาเลงกาโบดีใจชูมือโห่ร้องอย่างลืมตัว เนงบากับสีอ่องหัวเราะกันคิกๆ
"ของพรรค์นี้ ผู้ชายเหนียมอายยังเก็บไม่มิด"
นาคะตะเชโบบอก
"ดีใจอะไรนักหนากับการที่จะต้องพาหญิงอื่นไปให้ถูกกุดหัวที่ตองอูอีกสองคน"
ปอละเตียง เชงสอบูเกาะแขนจะเด็ดเขย่าไปมา
"อย่าผลักไสเราสองคนให้กลับแปรหรือหงสาวดีเลย ไม่มีท่านไหนเลยตะละแม่กุสุมาจะเมตตาเรา นะ นะ ให้เราไปด้วยนะ"
จะเด็ดนิ่งคิด มองสองคนพี่น้องอย่างเห็นใจ
ภายในอุทยาน กุสุมานั่งเงียบอยู่ที่พลับพลาคนเดียว มีพิณวางอยู่ข้างๆตัว อัครเทวีเดินมากับอเทตยา กุสุมายังคงนั่งนิ่ง
"อเทตยา แจ้งความสัตย์กับแม่สิ้นแล้ว เรื่องเมื่อคืนนี้ แม่ไม่โทษอเทตยาดอก เพราะเป็นคนนอก บุเรงนองเป็นชาย ตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพ ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ จะเป็นผู้นำแผ่นดินได้อย่างไร"
กุสุมาเริ่มร้องไห้ออกมาอีก แต่ไม่สะอึกสะอื้น
"ก็ดีที่เราจะได้รู้น้ำใจชาย ถ้าลูกไปพบเมื่อถึงตองอูแล้วหัวใจจะยิ่งช้ำมากกว่านี้ แม่ปลื้มใจนักที่ลูกตัดใจไม่ไปตองอู"
กุสุมาสะอื้นขึ้นอย่างสุดทน อัครเทวีเข้ามากอด
"บุเรงนองแม้ครั้งหนึ่งจะเคยรักลูกแรงกว่าชายอื่น แต่ฮึดไปดั่งกะลาพลุถีบตัวสูงหมดแรงดินหูกะลาก็ร่วงลงมาเกลื่อนดิน อย่าเสียดายเลย วันหน้าหากบุเรงนองรักลูกแม่จริงคงย้อนมา ถ้าเขากลับมาง้ออีกที แม่จะไม่ห้าม"
กุสุมากอดอัครเทวีร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
อัครเทวีส่งสาส์นให้ทหารที่หมอบเฝ้าอยู่
"เจ้าจงรีบนำหนังสือนี่ไปถวายพระอุปราชสอพินยาแห่งหงสาวดีให้ถึงองค์ อย่าให้ผู้ใดในแปรรู้โดยเด็ดขาด"
นางข้าหลวงนำถุงเงินถวายให้ อัครเทวีส่งให้ทหารต่อ
"นี่คือรางวัลของเจ้า...รีบไป"
ทหารรับแล้วคารวะรีบออกไป อัครเทวีดีใจมาก
วันใหม่ ท้องพระโรงหงสาวดี พระเจ้าสการะวุฒพีประทับบนบัลลังก์ เสนาอำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่เต็มท้องพระโรง สอพินยายืนถือสาส์นพระอัครเทวี แล้วหัวเราะอยู่กลางท้องพระโรง
"ฮะๆๆ เป็นโอกาสเหมาะของหงสาวดีแล้ว ที่เพลานี้แม่ทัพใหญ่ตองอู มิได้อยู่เฝ้าแปร ทหารตองอูก็คงขาดผู้บัญชาการ ตะคะญีก็แก่ชราร้างศึกไปนาน คงต้านทัพเราไม่ได้ ฤกษ์ดียิ่งแล้วพระเชษฐา รับสั่งให้จัดกองทัพ บุกยึดกรุงแปรคืนมาเถิด"
พระเจ้าสการะวุฒพี เหลือบดูเสียงโคนสุคญีที่นั่งนิ่ง จนเราเดาใจไม่ถูก
"ท่านเห็นควรจะทำสงครามตามที่สอพินยาเสนอนำมาหรือ ท่านแม่ทัพเสียงโคน"
สอพินยาเหลือบมองเสียงโคนสุคญีอย่างไม่สบายใจ
"เมื่อตองอูหมายยึดแปรเป็นฐานมาตีเราในแล้งหน้า ข้าพเจ้าจึงเล็งเห็นว่า เราน่าจะยกไปตีตองอูเสียก่อน น่าจะเป็นการดีกว่า"
สการะวุฒพีบอก
"แต่เราไม่เห็นการว่า แปรจะเป็นคนเข้าข้างเราฝ่ายเดียว เพราะแปรนั้นตองอูคุมอยู่คงจะไม่ปักใจว่าจะเลือกคบข้างใดข้างหนึ่ง หวังพึ่งเชื่อใจได้ยาก"
สอพินยาลนลานบอก
"แต่ข้าพเจ้ามีแผนการไว้แล้วพระเจ้าพี่"
"น้องท่านอย่าหมายแต่การจะชิงตัวหญิงคนรักกลับคืนถ่ายเดียว โดยไม่นึกถึงการได้ยากของเหล่าทหาร"
สอพินยายกมือไหว้
"ข้าพเจ้าขอสาบานต่อพระเสื้อเมืองทรงเมือง ข้าพเจ้าหวังขยายอาณาเขตหงสาวดีให้ไพศาลด้วยสัตย์จริง หากคิดนำภัยมาทำให้กรุงหงสาวดีย่อยยับเพราะอารมณ์ส่วนตัว ขอให้ให้ตัวจงพินาศ พระเจ้าพี่จงเชื่อใจ"
"งั้นจงแจ้งแผนมาให้เราฟัง"
"การจะยกพลไปตีแปร แล้วตามตีไปถึงตองอู เพียงกำลังหงสาวดีอย่างเดียวคงทำไม่ตลอด ข้าพเจ้าหมายพึ่งกรุงอังวะช่วยสนับสนุนอีกทัพหนึ่ง"
สการะวุฒพีหันไปมองเสียงโคนสุคญี
"เพลานี้โสหันพวาเจ้าเมืองโมนยิน เข้ายึดกรุงรัตนบุระอังวะเป็นสิทธิ์ขาดแล้ว และถือตองอูเป็นแค้นเก่าอยู่ หากเราจะเจริญสัมพันธไมตรีด้วย คงจะได้รับประโยชน์ไม่น้อย"
"เมื่อครั้งทัพโมนยินเข้าตีแปร จะเด็ดได้กุดหัวแม่ทัพโมนยินทหารเอกของพระเจ้าโสหันพวาถึงสองคน แค้นนี้พระเจ้าโสหันพวาคงไม่ลืมเด็ดขาด" สอพินยาบอก
"จะให้หงสาวดีที่สืบทอดวงศ์พระเจ้าฟ้ารั่วมากว่า 16 ชั้น ลดตัวไปพึ่งโสหันพวาคนป่าที่เพิ่งนั่งเมืองเป็นมิตรอย่างนั้นหรือ"
"ข้าพเจ้าจะไม่ทำให้พระองค์เสื่อมพระเกียรติได้ เพียงพระองค์พระราชทานเศวตรฉัตร ราชกกุธภัณฑ์ อำนวยแก่โสหันพวาขึ้นเป็นเจ้าเท่ากับเป็นการแผ่พระบารมีเหนือรัตนบุระอังวะแล้ว แคว้นไหนจะ
กล้าดูแคลน" สอพินยาบอก
สการะวุฒพีหันไปฟังเสียงโคนสุคญีต่อ
"ถ้าท่านอุปราชคิดเช่นนั้น เมื่อเรายกทัพออกจากหงสาวดี ก็ให้ทัพอังวะของโสหันพวาเข้าประชิดตองอูไว้ ปรามไม่ให้ตองอูลงมาช่วยแปร เมื่อเราตีทัพตองอูที่แปรสำเร็จ ก็มุ่งตะลุยตามตีเตลิดไปให้ถึงตองอู จากนั้นทั้งทัพหงสาวดีและทัพอังวะก็จะช่วยกันล้อมตีตองอูพร้อมกัน มีหรือตองอูจะรอดเงื้อมมือเราได้"
สการะวุฒพีมองไปรอบท้องพระโรง
"หากเราคิดประกาศสงครามครั้งนี้ มีท่านใดจะคัดค้านหรือไม่ หากทุกท่านมั่นใจในการสงครามนี้จงจัดเศวตรฉัตร ราชกกุธภัณฑ์ ไปพระราชทานแก่โสหันพวา ยังกรุงรัตนบุระอังวะเถิด"
เสียงกังสดาลเป็นสัญญาณสิ้นสุดการว่าราชการ
เหล่าเสนาฯทั้งหมดถวายบังคม
"ขอพระเจ้าหงสาวดีทรงศรีสวัสดิ์เจริญยิ่งยืนนานเทอญ"
สอพินยามองเสียงโคนสุคญีแล้วยิ้มอย่างขอบใจ
อ่านต่อตอนที่ 13