รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 14
โจเข้ามาในบ้าน พลางทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อย่างหมดแรง
“เหนื่อยว่ะ ไม่น่ารับคดีนี้แต่แรกเลยไอ้โจเอ๊ย”
ปฐมเคาะประตู พลางเปิดเข้ามา โจพูดโดยไม่ได้หันหน้าไปมอง เพราะนึกว่าเป็นป๋อง
“รู้จักเคาะประตูด้วยเว้ย มารยาทดีขึ้นนี่หว่า”
“ผมเป็นคนมีมารยาทอยู่แล้ว”
โจหันมาเจอปฐม ก็ตกใจ จนหล่นจากเก้าอี้
“ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ ผมเองก็ตกใจกับเรื่องที่คุณพูดที่วัดเหมือนกัน ถือว่าเราหายกัน ตกลงมั้ย”
โจ มองหน้าปฐม “ยังไงก็ได้ ว่าแต่คุณตามผมมาทำไม”
“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงปั้นเรื่องโกหกหลอกตั่วเจ๊ด้วย”
“คุณรู้ได้ไงว่าผมโกหก” โจแปลกใจ
“ก็คุณดึงผมเข้าไปในเรื่องของคุณด้วย”
“อ้อ ผมลืมไป ผมดึงคุณเข้าไปด้วย ตอนแต่งเรื่องที่ผมทำข้าวกล่องขาย”
ปฐมมองหน้าโจยิ้มๆ “คุณกล้ามากนะ”
“ผมเดาว่าคุณจะช่วยผมโกหกตั่วเจ๊ เพราะคุณก็ไม่อยากให้ตั่วเจ๊บวชเหมือนกัน”
ปฐมข้องใจ “คุณรู้ได้ไง”
“ตอนที่ผมกับตั่วเจ๊โดนพวกกุ๊ยไล่ทำร้าย ผมเดาว่าเป็นฝีมือคุณเพื่อใส่ร้ายเสี่ยเพ้งแน่ๆ”
“ผมดูเหมือนคนทรยศงั้นเหรอ”
โจ ส่ายหน้า “เปล่าหรอก คุณทำเพราะหวังดีกับตั่วเจ๊ต่างหาก คุณต้องการให้ตั่วเจ๊ลุยกับเสี่ยเพ้ง
เพราะคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่จนถึงวันนี้สองกลุ่มยังไม่ได้ทำสงครามกัน เสี่ยเพ้งก็ยังอยู่ดี ดังนั้นคุณจะยอมให้ตั่วเจ๊บวชไม่ได้”
ปฐมพยักหน้า
“ถ้าตั่วเจ๊บวช เสี่ยเพ้งจะบดขยี้เรา เสร็จแล้วก็ไปกำจัดตั่วเจ๊ต่อ.คุณอ่านเกมขาดใช้ได้นี่ ขอชม”
“ได้รับคำชมจากคุณ ผมภูมิใจมาก”
“แล้วเรื่องอื่นล่ะ เรื่องทำร้านป้ายให้ตลาดของคุณชายแจ้ล่ะ”
“ผมโกหก” โจสารภาพ “แต่ผมติดสินบนกับผู้จัดการตลาดไปแล้ว”
“เรื่องนายกริชจ้างคุณให้ช่วยจีบตั่วเจ๊ล่ะ”
“อันนั้นเรื่องจริง”
“คุณจ้างอาจารย์เม้ง จิตทิพย์ด้วยรึเปล่า”
โจ ส่ายหน้า “เปล่า ไม่มีใครจ้างเม้งจิตทิพย์ได้ เขาเป็นคนมีสัจจะ “
ปฐมเงียบไป “แล้วฉายาโจตัวซวยของคุณล่ะ”
โจถอนหายใจ พลางทำหน้าเซ็ง
“ เรื่องจริง คุณไปถามใครก็ได้ ในวงการผมมีชื่อเสียงพอสมควรเรื่องนี้”
“ในความคิดคุณ ระหว่างดวงตัวซวยกับดวงกินผัว”
ปฐมยังพูดใม่ทันจบ โจก็รีบแทรกขึ้น
“ผมไม่รู้ เมื่อก่อนผมไม่เชื่อเรื่องดวง แต่ตอนนี้ผมชักสับสน แต่นั่นไม่เกี่ยว ที่ผมพูดและทำวันนี้เพื่อช่วยตั่วเจ๊เท่านั้น แล้วผมก็ทำสำเร็จ”
“แล้วคุณไม่คิดเหรอว่าตั่วเจ๊เขาจะเกลียดขี้หน้าคุณที่ไปโกหก”
“ไม่เป็นไร มีคนเตือนผมว่าถ้าจะช่วยเขา ให้ช่วยด้วยเมตตาไม่ใช่ด้วยเสน่หา ผมยอมให้เขาเกลียด ดีกว่าให้เขาหมดความมั่นใจในตัวเอง”
จากนั้นโจก็เดินออกมาส่งปฐมที่ริมถนน
“ความจริงผมเคยสะกดรอยตามคุณมาถึงที่นี่”
“ตอนนั้นผมรู้ตัว เอาตัวรอดได้แบบเฉียดฉิวเหมือนกัน คุณปฐม ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมมีเรื่องนึงอยากถามคุณ”
ปฐมพยักหน้า
“ทำไมคุณถึงจงรักภักดีต่อตั่วเจ๊ คนอย่างคุณ ถ้าจะกำจัดตั่วเจ๊คิดฮุบแก๊งเอาไว้เองก็ทำได้”
ปฐมเงียบไป แววตาฉายความเจ็บปวด แต่ก็หายไปในเวลาอันรวดเร็ว
“แล้วคุณล่ะ ทำไมต้องช่วยตั่วเจ๊ด้วย”
โจโดนย้อน ก็เงียบไป
“คุณช่วยเขา เพราะคุณรักเขา”
โจเงียบแทนคำตอบ
“ถึงคุณจะปฏิเสธผมก็ไม่เชื่อ แล้วถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมผมภักดีกับตั่วเจ๊นักล่ะก็ คุณก็ต้องหาคำตอบด้วยตัวของคุณเอง ผมไม่ตอบ”
ปฐมตบบ่าโจ แล้วเดินจากไป
วนิษานั่งอยู่บนเตียง เหม่อมองวิวเมืองที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่นอกหน้าต่าง พลางคิดถึงความ ผูกพันระหว่างตัวเธอเองกับโจ
“ในโลกนี้ มีนายคนเดียวที่ฉันอยู่ด้วยแล้วรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดนายดาว อยู่กับนายฉันไม่ต้องเป็นชาววัง ไม่ต้องเป็นนักเลง ไม่ต้องเป็นคนดีด้วยซ้ำ แต่ทำไมนายถึงไม่เป็นตัวของนายเอง นายโกหกฉัตลอดเวลฉันเกลียดนาย ไอ้โจตัวซวย”
พจน์นั่งดูข้อมูลเรื่องหุ้นทางแท็บแล็ตอยู่ ในขณะที่ ม.ร.ว. จันทร์ธิดา นั่งอ่านนิตยสารผู้หญิงหัวนอกอยู่ เมื่อเสียงมือถือดังขึ้น ก็รีบวางหนังสือ แล้วหยิบมือถือมากดรับสาย
“หวัดดีจ้ะ อยู่ที่คอนโดไม่ไป ไปทำไม อะไรนะ จริงเหรอ เออๆ เดี๋ยวรีบโทร. ไปถามแม่ฉันก่อนดีกว่าหวัดดีจ้ะ”
จากนั้นก็หันมาบอกพจน์ ท่าทางตื่นเต้น
“นี่คุณพจน์ เพื่อนฉันโทรมาบอกว่าวนิษาล้มงานบวช ไม่ยอมบวชแล้ว”
“จริงเหรอ ทำไมอ่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวขอโทรเช็คกับแม่ก่อน”
พูดพลางรีบกดโทรออก ในขณะที่พจน์ครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียว
ภาคย์เดินออกมาจากสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง มีหญิงสาวสวยนางหนึ่ง รีบวิ่งตามมา
“พี่ภาคย์ ทำไมต้องหนีมิ้นต์ด้วย”
“รำคาญ จบแล้วทำไมรู้จักจบ”
ภาคย์จะเดินหนีอีก หญิงสาวดึงแขนเสื้อไว้ แล้วร้องไห้
“พี่ภาคย์ มิ้นต์ทำอะไรไม่ดีเหรอ มิ้นต์ขอโทษ อย่าทิ้งมิ้นต์ไปแบบนี้เลย”
“บอกว่ารำคาญไง ชัดหรือยัง”
ภาคย์จับผมหญิงสาวดึงรั้ง หญิงสาวร้องลั่น จนต้องรีบปล่อยมือ ก่อนที่จะถูกผลัก จนลงไปกองกับพื้น
“ฉันจะไปเที่ยวที่อื่นแล้ว ถ้าขืนตามมาอีกจะจัดหนักให้ จะเอาไม่เอา”
หญิงสาวร้องไห้โฮ พลางรีบกระเถิบตัวหนี ภาคย์เดินออกมาท่าทางหงุดหงิด พจน์ที่ลงจากรถมาพอดี เห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะแซว
“โห จะโหดอะไรขนาดนั้นวะ”
“อ้าว พี่พจน์”
ภาคย์ยกมือไหว้พจน์ สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เปลี่ยนแฟนอีกแล้วเหรอ”
“อย่าเรียกแฟนเลย แค่จีบขำๆเอามาใช้แก้เบื่อ แต่ยัยนี่ดิดันคิดจริงจัง เลยต้องเจรจาด้วยของแข็ง
ซะหน่อย”
“ลีลาแบบนี้แกแหละที่ต้องการ หึๆ”
จากนั้นทั้งคู่ก็มานั่งคุยกันในมุมเงียบๆหน้าสถานบันเทิง“วนิษาเหรอ ผมจำได้ พี่เคยคุยเรื่องผู้หญิงคนนี้ให้ฟังทีนึง พี่บอกว่ารวยมาก ถ้าผมจีบได้ก็กลายเป็นเศรษฐีสบายทั้งชาติ แต่จู่ๆพี่ก็เงียบไป”
“ก็พอจะลงมือ เขาดันประกาศจะแต่งงาน ฉันก็เลยต้องพับโปรเจ็กต์ไปก่อน”
“แล้วไงครับ ถ้าเขาแต่งงานแล้วผมจะทำอะไรได้ คงต้องรอให้ผัวตายก่อน”
“ไม่ต้องรอ ตายเรียบร้อยแล้ว”
ภาคย์ตาโต “หา”
“แถมยังทิ้งมรดกให้วนิษารวยกว่าเก่าอีก”
“ทั้งสวยทั้งรวยขนาดนั้น คนไม่รุมจีบกันแย่เลยเหรอครับ แล้วผมจะแทรกเข้าไปได้ยังไงล่ะครับ”
“ถ้าเข้าทื่อๆน่ะไม่มีทาง เพราะยัยคนนี้เค้าค่อนข้างเก็บตัว แต่ฉันมีข้อมูลเด็ดไว้เป็นทางลัดให้แกได้”
ภาคย์ตาวาว “อะไรครับพี่”
“ถามก่อนว่าสนใจไหม”
“สนสิครับ ถามได้ รวยก็รวย แถมสวยอีกต่างหาก”
พจน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นเราต้องคุยเรื่องผลประโยชน์กันก่อน”
“ไม่มีปัญหาครับ”
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
เสี่ยเพ้งตบโต๊ะเปรี้ยง จนลูกน้องในบ่อนสะดุ้งหัวหดไปตามกัน
“ตั่วเจ๊อีคิดอะไรของอีวะ จะบวชเป็นแม่ชีอยู่แล้ว ดันทะลึ่งเปลี่ยนใจซะได้”
พวกลูกน้องไม่มีใครกล้าพูดอะไร เสี่ยเพ้งตบโต๊ะอีกเปรี้ยง ลูกน้องสะดุ้งหัวหดอีกครั้ง
“อย่างงี้อั๊วเสียแผนหมด ชักรำคาญแล้วนะ ก็ได้ งั้นอั๊วไม่วางแผนอะไรทั้งนั้น ลุยให้มันรู้ดำรู้แดง
ไปเลย”
“ตกลงเจ้านายจะลุยกับตั่วเจ๊แล้วใช่ไหมครับ”
เสี่ยเพ้ง พยักหน้า “ใช่ เดี๋ยวอั๊วจะเขียนสาส์นท้ารบไปบอกมัน นัดเจอกันที่ลานท่าเรือ ไปบอกทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อม งานนี้ใครเจ็บได้รางวัลเป็นเงิน ใครตายได้รางวัลเป็นทอง ไม่ต้องห่วงเรื่องครอบครัว อั๊วจะดูแลให้เป็นอย่างดี”
ปฐมยืนอ่านสาส์นท้ารบของเสี่ยเพ้งอยู้หน้าบ่อน ด้วยสีหน้าเครียด
“ไง อ่านแล้วถึงกับกลัวจนขี้หดตดหายเลยเหรอไง”
ลูกน้องเสี่ยเพ้งที่เป็นคนส่งสาส์นมองหน้ากวนๆ ปฐมยืนนิ่ง
“เจ้านายอั๊วรู้ว่าตั่วเจ๊ลื้ออ่านภาษาจีนไม่ออกแน่ๆ ฝากกำชับมาว่าเวลาแปล แปลให้ถูกๆหน่อย อย่ามั่ว เดี๋ยวจะนึกว่าจดหมายขอแต่งงาน เจ้านายอั๊วยังไม่อยากอายุสั้นว่ะ”.
“กลับไปบอกเจ้านายลื้อให้รอคำตอบ”
ปฐมรอจนลูกน้องเสี่ยเพ้งออกไปแล้ว ก็ถอนใจ สีหน้ายุ่งยากใจ
“เอาไงดีเฮีย ตั้งแต่วันบวชแล้ว ตั่วเจ๊ยังไม่มาทำงานเลย โทรไปก็ไม่รับสาย ที่คอนโดก็ไม่อยู่”
“ใจเย็น เดี๋ยวอั๊วจัดการเอง”
จากนั้นปฐมมากดกริ่งที่หน้าบ้านคุณยายวรางค์
“สงสัยเป็นลูกน้องเสี่ยป๊อก คงมาหายัยวนิ”
คุณยายวรางค์หันมาบอกกับหนุงหนิง
“คุณวนิยังไม่ตื่นเลยค่ะ เมื่อคืนกินยานอนหลับอีกแล้ว”
คุณยายวรางค์ถอนใจเบาๆ
“ช่วงนี้เขาคงไม่อยากเจอใคร แล้วก็ไม่พร้อมด้วย หนุงหนิง เธอไปจัดการที ไหวมั้ย”
หนุงหนิงชะเง้อดูปฐม ที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ท่าทางเก๋าเกมส์เหมือนกัน ต้องลองไฟท์ดูก่อนค่ะ”
ในที่สุดหนุงหนิง ก็เดินมาเปิดประตูให้
“โทษนะครับ ผมมาหาคุณวนิษา”
“คุณวนิษาไม่อยู่ค่ะ”
ปฐม มองหน้าหนุงหนิง
“ผมรู้ว่าคุณคงถูกเจ้านายสั่งให้มาบอกว่าไม่อยู่ แต่ช่วยเข้าไปบอกคุณวนิษาทีว่าผมชื่อปฐม มีธุระด่วนมาก พอรู้ว่าเป็นผมเขาจะให้ผมเข้าไปเอง”
“คุณวนิไม่อยู่จริงๆค่ะ”
ปฐมปรายตามองไปที่รถ “แต่รถเขาจอดอยู่นี่ครับ เธอช่วยไปบอกคุณวนิษาตามที่ผมบอกได้ไหม แค่นั้นเอง ส่วนวนิษาเขาอยากเจอ หรือไม่อยากเจอ ให้เขาตัดสินใจเอง จะดีกว่ามั้ย”
หนุงหนิงมองหน้าปฐมอย่างท้าทาย
“คุณวนิไม่อยู่”
ปฐมกำหมัดแน่น พลางจ้องหน้าหนุงหนิง
“เธอแน่มากยัยตัวดี แต่ฉันจะกลับมาใหม่”
ปฐมเดินกลับไปที่รถอย่างฉุนเฉียว ก่อนที่จะขับรถออกไป
ในขณะที่คอปบร้านั่งกินข้าวแกงอยู่ที่ร้าน พลางหยิบ นสพ.บันเทิงมาอ่าน แล้วก็สะดุดตากับพาดหัวข่าว
“แม่หม้ายชื่อดังเลิกบวชกลางคัน หลังคนขับรถยอมรับเป็นตัวซวยตัวจริง”
คอปบร้ารีบพลิกเปิดต่ออ่านข่าวต่ออย่างรวดเร็ว สักครู่ก็วางหนังสือลง
“ไอ้โจ ลงแกทำถึงขนาดนี้แปลว่าแกคงรักยัยแม่หม้ายนี่มากเลยสินะ หึๆ ดีใจด้วยนะ ที่แกมีความรักอีกแล้ว ฉันจะได้ทำลายมันอีกครั้ง”
คอปบร้าหัวเราะ อย่างสะใจ
ป๋องมาที่บ้านโจ เห็นมีซองจดหมายอยู่เต็มตู้
“อะไรของเขานะ ไม่เข้าบ้านตั้งหลายวันแระ หรือว่าโดนรถชนตายข้างทางไม่มีใครรู้ใครเห็น”
จู่ๆ ลมพัดกรรโชกแรง ป๋องชักใจคอไม่ดี มองไปรอบๆหวาดๆ
โจนั่งอยู่ศาลาริมน้ำภายในวัดของพ่อสีสุก มองดูชาวบ้านให้อาหารปลา ป๋องเดินเข้ามาดูใกล้ๆ พลางเอานิ้วจิ้มๆ
“ทำอะไรวะ” โจมองป๋องงงๆ
“ดูว่าเป็นคนใช่มั้ย โล่งอก ผมกลัวพี่จะตายไปแล้ว เห็นหายหน้าไปเลย”
โจส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ขี้เกียจทำงาน”
“ไม่ไปช่วยคุณวนิษาหน่อยเหรอพี่”
โจหันขวับทันที “ทำไม มีอะไรเหรอ”
“ปลายฝนมาหาผม บอกที่บ่อนกำลังวุ่นเพราะคุณวนิษาหายหน้าไป ติดต่อไม่ได้เลย”
“ที่บ่อนมีอะไร”
“เขาไม่ได้บอกปลายฝนตรงๆ แต่ปลายฝนแอบรู้มาว่ามีคนมาท้าตี”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง “เสี่ยเพ้ง เรื่องใหญ่นะเนี่ย”
“แล้วพี่จะทำยังไงอ่ะ”
โจเงียบไป
ปฐมอยู่ในบ่อน กำลังคุยกับพวกลูกน้องสามสิบกว่าคน
“ในเมื่อตั่วเจ๊ไม่อยู่ ฉันขอทำหน้าที่ผู้นำแทน พวกเราจะลุยกับเสี่ยเพ้ง ใครไม่กล้าเสี่ยงตายก็ขอให้ออกไปจากแก๊งของเราเลย ฉันไม่ห้าม แต่ไปแล้วไปลับอย่ากลับมาอีก”
ลูกน้องคนหนึ่งรีบบอก
“เมียผมเพิ่งมีลูก ผมไม่อยากให้ลูกเมียผมลำบาก”
“ฉันเห็นใจแก แกไม่ต้องไปก็ได้ แต่แกต้องออกจากแก๊ง”
ลูกน้องส่ายหน้า
“ที่นี้คือบ้านของผม ทุกคนคือพี่น้องของผม ผมทิ้งทุกคนไม่ได้”
ลูกน้องคนอื่นพยักหน้าเป็นเชิงสนับสนุน อีกคนหนึ่งรีบพูดเสริม
“ถ้าต้องเสี่ยงเพื่อปกป้องแก๊ง พวกเรายินดี ถึงตายก็ไม่ว่า แต่ศึกครั้งนี้ ผมว่า”
ปฐมมองหน้าทุกคน สีหน้าจริงจัง
“ถ้าเราถอย มันจะได้ใจ ศึกครั้งนี้เป็นเรื่องจำเป็น ฉันขอย้ำคำเดิม ใครไม่ไปก็ให้ลาออกไปซะ”
“ตั่วเจ๊อยู่ไหนครับเฮีย”
ลูกน้องอีกคนเอ่ยถาม ปฐมส่ายหน้า
“ไม่รู้ แต่ถึงไม่มีเขาเราก็ต้องลุย คืนพรุ่งนี้ เจอกัน”
ลูกน้องส่งเสียงพึมพำ ก่อนที่จะสลายตัวกันไป ปฐมหน้าเครียด
“ไอ้พวกรุ่นใหม่นี่มีแต่พวกขี้ขลาด รักตัวกลัวตาย ไม่ได้เรื่องเล้ย”
คุณยายวรางค์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เฉลียงหน้าบ้าน หนุงหนิงนั่งอยู่ข้างๆ พลันเสียงกริ่งก็ดังขึ้น
“สงสัยมีคนมาหาคุณวนิอีกแล้วมั้งคะคุณยาย”
หนุงหนิงหันมาบอกคุณยายวรางค์
“แล้ววนิล่ะ”
“นั่งเล่นในสวนหลังบ้านน่ะค่ะ”
คุณยายวรางค์ถอนหายใจ “งั้นคงยังไม่ได้ยินเสียงกริ่ง รีบๆไปไล่เขากลับไปซะ”
หนุงหนิงรับคำ
พอหนุงหนิงเปิดประตูออกมา ก็เห็นโจยืนอยู่ ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร หนุงหนิงก็รีบตัดบท
“คุณวนิไม่อยู่”
“คือว่าผม”
“บอกแล้วไงว่าไม่อยู่”
“แต่ว่า”
หนุงหนิง จ้องหน้าโจ “ไม่อยู่คือไม่อยู่”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณวนิษาไม่ได้อยู่ที่นี่”
หนุงหนิงงง “อ้าว แล้วคุณมาทำไม”
“ผมมาหาคนอื่นต่างหาก”
โจส่งตาหวานให้หนุงหนิง
“จะมาหาใคร”
“มาหาผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง”
“หมายถึงใคร”
“คุณไง คุณหนุงหนิง”
“มีอะไรกับฉัน” หนุงหนิงย้อนถาม
“คุณวนิษาให้ผมมาตามคุณไปหาที่คอนโดของผมเดี๋ยวนี้เลย เรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามบอกใครรวมทั้งคุณยายวรางค์ด้วย”
“จริงง่ะ”
โจพยักหน้า “จริงครับ ไปหาคุณวนิษากันเถอะ เดี๋ยวเขารอนาน”
“ผู้ชายเจ้าเล่ห์ คิดจะหลอกฉันไปโจ๊ะไข่แดงล่ะสิ รู้ทันหรอกน่า แหม ทำมาอ้างคุณวนิซะด้วย”
โจแกล้งทำสีหน้าจริงจัง
“ผมพูดจริงๆ คุณวนิษายังบอกอีกว่าให้ผมพาคุณไปดูหนังกินข้าวด้วยกันก่อนก็ได้”
“อย่ามามั่ว คุณวนิเขาอยู่บ้านย่ะ จะไปบอกให้คุณพาฉันไปดูหนังได้ไง เห็นฉันโง่เหรอไง”
โจยิ้ม “จ้ะ เธอฉลาด งั้นฉันไปหาคุณวนิษาก่อนนะ”
“เดี๋ยว”
“เดี๋ยวอะไร ก็เมื่อกี้เธอบอกเองว่าเขาอยู่ในบ้าน”
หนุงหนิงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ในขณะที่โจรีบเดินเข้าไปในบ้านไปทันที
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
คุณยายวรางค์มองโจ ที่เดินนำหนุงหนิงเข้ามาอย่างแปลกใจ
“สวัสดีครับคุณยาย”
คุณยายวรางค์ยิ้มรับ “สวัสดีโจ มาหาวนิเหรอ”
“ครับ”
“ฉันยังไม่ได้ขอบใจเธอเลยที่ช่วยเปลี่ยนความคิดของวนิ”
“ไม่เป็นไรครับ”
คุณยายวรางค์ส่ายหน้า
“อย่าพูดว่าไม่เป็นไร สิ่งที่เธอทำให้วนิน่ะ เป็นเรื่องยากมาก แล้วที่สำคัญ เธอต้องเสียสละชื่อเสียงตัวเองให้กลายเป็นตัวซวย ฉันขอบใจเธอจริงๆ”
โจยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”
“เรื่องค่าจ้างล่ะ จะรับไปเลยไหม”
โจฝืนยิ้ม
“เก็บไว้เถอะครับ ผมบอกแล้วผมไม่เอาค่าจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าจ้างแบบนั้น ไม่รู้จะเอามาทำไม”“งั้นถือว่าฝากไว้ที่ฉันก่อน ส่วนเรื่องวันนี้ เธอกลับไปก่อนได้ไหม ฉันว่าวนิยังไม่พร้อมจะเจอใคร”
โจสบตุณยายวรางค์
“ถ้ามัวรอให้เขาพร้อม คุณยายอาจจะต้องรออีกนาน อาจจะนานเกินไป”
“เธอแน่ใจเหรอ”
“ไม่แน่ใจครับ แต่เชื่อว่าวิธีนี้ดีที่สุด”
คุณยายวรางค์ยิ้มให้โจ “ฉันจะเชื่อเธอ หวังว่าเธอจะเป็นฝ่ายถูกนะ เขาอยู่ในสวนหลังบ้าน”
“ขอบคุณครับ”
โจขยับตัวจะเดินต่อไป คุณยายวรางค์รีบเรียกไว้
“เดี๋ยว”
“ครับ”
“เตือนไว้ก่อนว่า เขาไม่อยากเจอใคร โดยเฉพาะเธอ”
โจพยักหน้า “ผมเข้าใจครับ”
ในขณะที่หน้าบ่อน มีกระดาษใบใหญ่แปะตรงด้านหน้า มีข้อความทั้งภาษาไทยและภาษาจีนเขียนว่า “ปิด”
ปฐมเดินมาที่โต๊ะทำงาน พลางเปิดลิ้นชัก หยิบของในลิ้นชักออกมาวางไว้ แล้วหยิบกล่องไม้ที่ถูกวางไว้ลึกสุดออกมา เป็นกล่องไม้เก่าๆ แต่สวย และดูขลัง ปฐมเปิดกล่องออกช้าๆ แล้วหยิบกรรไกรขาเดียวอันใหญ่ออกมา เริ่มต้นควงช้าๆ แล้วเร็วขึ้นๆอย่างชำนาญ
จากนั้นก็นำพวกลูกน้องจำนวนหนึ่ง มาจุดธูปไหว้เทพกวนอู
สีหน้าทุกคนดูเคร่งเครียด
โจเดินเข้ามาในสวน เห็นวนิษานั่งอยู่คนเดียว ก็กระแอมเบาๆ วนิษาหันหน้ากลับมา แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“กลับไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“ผมรู้ แต่ผมก็ต้องมา”
“มีธุระอะไร”
โจจ้องหน้าวนิษา
“ผมจะมาลากคุณออกจากกระดองเต่า”
“พูดดีๆนะ ที่นี่ บ้านยายฉัน ไม่ใช่กระดองเต่าอย่างที่คุณว่า”
โจยิ้มเหยียดๆ
“ใช่สิ ใครบอกไม่ใช่ ที่นี่เป็นทั้งกระดองเต่า เป็นทั้งเปลือกหอยทาก เป็นกระดองกิ้งกือ เป็นหลังตู้ให้แมลงสาปซ่อนตัว เป็นซอกหูหมาให้เห็บหลบ เป็น”
“พอแล้ว ยิ่งพูดยิ่งแหวะเข้าไปทุกที”
“แต่คุณก็เข้าใจใช่ไหมว่าผมหมายถึงอะไร”
วนิษาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“เออ แล้วทำไม มันหนักศีรษะใครเหรอ ฉันจะเป็นเต่า เป็นหอยทาก กิ้งกือ แมลงสาป เอ่อ ยกเว้นแมลงสาปละกัน มันก็เรื่องของฉัน”
“แน่ใจเหรอ” โจย้อนถาม “เรื่องของคุณคนเดียวใช่ไหม หม่อมจันไม่มีคุณก็ได้ใช่ไหม พวกคนงานที่บ่อนไม่มีคุณก็สุขสบายดีใช่ไหม ปลายฝนไม่มีคุณก็สดใสราบรื่นปลอดภัยดีใช่ไหม”
วนิษาเงียบไป
“แล้วผมล่ะ”
วนิษาสวนกลับทันที “คุณทำไม”
“คุณไม่เคยคิดถึงผมเลยใช่ไหม”
วนิษากัดริมฝีปากตัวเองแน่น
“ไม่มีคุณ ผมอยู่ไม่ได้หรอกนะคุณวนิ”
“นายดาว เอ๊ย โจ”
โจมองหน้าวนิษา ด้วยสายตาจริงใจ
“คุณจะเรียกผม ชื่อไหนก็ได้ ผมยังเป็นคนเดิมสำหรับคุณ จริงๆนะ พอคุณไม่อยู่ ผมถึงรู้ว่าคุณสำคัญกับผมแค่ไหน”
วนิษาอึ้งไป นึกไม่ถึงว่า จู่ๆ โจจะสารภาพความในใจออกมา
“คุณมาอยู่ที่นี่ ผมก็สืบเรื่องคุณไม่ได้ คนที่เขาจ้างผมเขาก็คงไม่จ่ายเงินให้ผมแน่ๆ แล้วผมจะเอาอะไรกิน”
“อ๋อ ที่พูดมานี่กลัวไม่ได้เงินค่าจ้างใช่มั้ยคุณโจ”
โจพยักหน้า “ครับ ทำงานแล้วไม่ได้เงินนี่แหละน่ากลัวที่สุด”
วนิษาหน้าเศร้า “เหตุผลมีแค่นี้ใช่มั้ย”
“ยังมีอีกนี้ดนึง”
“ว่ามา”
“ถ้าคุณกลับมา ผมจะเป็นคนขับรถให้คุณเหมือนเดิม ก็ได้ค่าจ้างเพิ่มอีกส่วน
“ทุเรศ กลับไปซะเดี๋ยวนี้”
“กลับไปด้วยกันสิครับ ผมมานี่ผมมาแท็กซี่นะ กะว่าขากลับจะทำหน้าที่คนขับรถให้คุณ ขับกลับไปด้วยกัน”
วนิษามองซ้ายมองขวาหาอาวุธ พลางคว้าได้กิ่งไม้หักๆขนาดเหมาะมือ ก็คว้าปาใส่โจ
โจกระโดดหลบ
“เฮ้ย พูดแต่ปากสิ ทำไมต้องลงมือกันด้วย”
“ยังไม่ไปใช่มั้ย หนุงหนิง เอาปืนมา”
หนุงหนิงโผล่พรวดมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ วนิษากับโจตกใจ
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
“แอบฟังอยู่ค่ะ นี่ หนูเตรียมมาแล้ว เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
หนุงหนิงชูปืนลูกซองกระบอกโตให้
“ยิงไล่เขาไป”
หนุงหนิงตั้งท่าจะยิง แต่เปลี่ยนใจ วิ่งเอาปืนมาให้วนิษา
“คุณยิงเองเถอะค่ะ หนูกลัวติดคุก”
“เอาจริงง่ะ”
วนิษาง้างนกแทนคำตอบ โจรีบวิ่งพรวดพราดออกไป วนิษาส่งปืนคืนให้หนุงหนิง
“เชอะ ไม่แน่จริงนี่”
วนิษาหยิบกระเป๋าเดินสะบัดตรงเข้าไปที่ตัวบ้าน ที่มีขวดยานอนหลับหล่นอยู่ แต่วนิษาไม่สนใจ
คุณยายวรางค์โผล่หน้าออกมาจากที่เดียวกับที่หนุงหนิงซ่อนตัวอยู่
“ท่าจะแย่กว่าเก่านะคะคุณยาย”
“ใครบอกเธอล่ะ”
พลางมองที่ขวดยาที่พื้น แล้วยิ้มพอใจ
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
“พวกเราไม่ใช่พี่น้องแต่ก็เหมือนพี่น้อง แม้ไม่ได้เกิดวันเดียวกัน แต่ขอตายวันเดียวกัน เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของพวกเรา วันนี้ มันไม่ตายเราก็ม้วย” ปฐมพูดต่อหน้าบรรดาลูกน้อง ส่วนหนึ่งทำท่าฮึกเหิม ในขณะที่บางคนหน้าจ๋อย
“มีบางคนยังไม่เคยออกลุยก็อาจจะยังกลัวๆ ในฐานะอั๊วที่มีประสบการณ์มานักต่อนักแล้ว ของอย่างนี้อยู่ที่ใจ ถ้าเรากลัว มือไม้มันจะอ่อน เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติไว้ว่าห้ามกลัวเด็ดขาด”
พวกลูกน้องพยักหน้า ปฐมตะโกนถาม
“กลัวมั้ย”
“ไม่กลัว”
ทันใดนั้นประตูห้องด้านหลังเปิดผลัวะออก พวกลูกน้องตกใจสะดุ้งโหยง วนิษาเดินเข้ามา พวกลูกน้องตั้งสติได้ยิ้มดีใจ รีบโค้งคำนับ
“ตั่วเจ๊”
ปฐมยิ้มให้วนิษา “ตั่วเจ๊”
วนิษามองปฐมและลูกน้องที่ยืนรอรับคำสั่ง
“ทำอะไรกันเนี่ยคุณปฐม”
“เอ่อ กำลังจะไปลุยกับเสี่ยเพ้งครับ”
จากนั้นปฐมก็เอาจดหมายท้ารบของเสี่ยเพ้งให้อ่าน วนิษากำหมัดแน่น พลางทุบโต๊ะเปรี้ยง
“ไม่ได้”
“ยอมไม่ได้ใช่ไหมครับ เราต้องลุย”
วนิษาหน้าเจื่อน “อ่านไม่ได้ ฉันอ่านภาษาจีนไม่ออก คุณปฐมอ่านให้ฉันฟังทีนะคะ”
ปฐมหยิบจดหมายมาอ่านเสียงดัง
“ตั้งฉัวจีมกเหมี่ยว ฮกหลงเส็งเป้งกุ่ยจั้งเป่ยเป่ย”
วนิษา รีบยกมือให้หยุด
“คุณปฐม ขอโทษที ฉันผิดเองที่บอกให้คุณอ่าน เอาเป็นว่าคุณแปลให้ฉันฟังเลยดีกว่าค่ะ ไม่ต้องอ่าน
ก็ได้”
“ครับ ถึงไอ้พวกเศษสวะหมาขี้เรื้อน พรุ่งนี้เที่ยงคืน เจอกันที่ตรอกตระกูลจ้าว วัดกันแบบลูกผู้ชาย ใช้มีดดาบไม่ใช้ปืน ใครดีใครอยู่ ด้วยศักดิ์ศรีของเพ้ง ลูกเตี่ยกิม คำไหนคำนั้น จบแล้วครับ”
วนิษาเงียบ พลางใช้ความคิด
“เอาไงดีครับตั่วเจ๊”
“ในเมื่อมันคิดจะลุยกับเรา ก็ดี ฉันก็รอเวลานี้อยู่เหมือนกัน”
ปฐมยิ้มดีใจ
เสี่ยเพ้งนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางซอย ด้านหลังเป็นลูกน้องจำนวนมาก ถือพวกปังตอ มีด ดาบ ครบมือ เสี่ยเพ้งดูนาฬิกา แล้วกระดิกนิ้ว เรียกลูกน้องเข้ามาหา
“ทุกคนเตรียมพร้อมรึยัง”
“พร้อมครับ จิตใจทุกคนฮึกเหิม พร้อมลุยครับ”
“ไม่ใช่โว้ย อั๊วหมายถึงปืน บอกทุกคนให้ปลดเซฟ เตรียมยิงได้เลย ถ้าชักปืนออกมา แล้วมัวแต่ขลุกขลัก เดี๋ยวมันรู้ตัว หนีไปได้”
ลูกน้องพยักหน้า
“อ๋อ เรียบร้อยครับ ผมบอกทุกคนไว้แล้ว ชักปุ๊บ ยิงปั๊บ เลยครับ”
“ดีมาก แต่อย่าทำปืนลั่นใส่เป้าตัวเองก่อนล่ะ”
ครู่หนึ่งลูกน้องที่ดูต้นทาง ก็วิ่งกลับมาบอก
“พวกมันมากันแล้วครับ สงสัยยกกันมาทั้งบ่อน”
“ดีมาก จะได้เก็บกวาดให้ราบคาบในทีเดียว”
เสี่ยเพ้งยิ้มเหี้ยม พลางลุกขึ้นปรบมือ
“ตั่วเจ๊ไม่เสียทีเป็นเมียตั่วเฮีย กล้ามาตามนัด อั๊วนับถือๆ”
แต่คนที่นำหน้าเดินเข้ามาใกล้ หาใช่วนิษาอย่างที่เสี่ยเพ้งคิด กลับกลายเป็นตำรวจ
“พวกคุณมาทำอะไรกลางดึกแบบนี้”
เสี่ยเพ้งชะงัก รอยยิ้มหายไป
“เราได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีการซ่องสุมผู้คนเพื่อก่อความวุ่นวาย”
“พวกลื้อของจริงรึเปล่าวะเนี่ย”
เสี่ยเพ้งจ้องหน้าตำรวจ ลูกน้องรีบเข้ามากระซิบ
“ของจริงครับ ผมเคยเห็นหน้าบน สน.”
เสี่ยเพ้ง หน้าซีด “อั๊ว .เอ่อ อั๊วจัดงานวันเกิด”
“แล้วทำไมต้องถือมีด”
“เอาไว้ตัดเค้กวันเกิดไง” เสี่ยเพ้งแก้ตัวข้างๆ คูๆ
“ผมขออนุญาตตรวจค้นพวกคุณด้วย ค้น”
ตำรวจทั้งขโยงช่วยกันออกค้นตามตัวสมุนเสี่ยเพ้ง แล้วก็รีบรายงานเสียงดังลั่น
“พวกมันมีปืนด้วยครับ”
“ทุกคนระวังตัว”
ตำรวจทุกคนชักปืนออกมาทันที ลูกน้องเสี่ยเพ้งชักปืนตาม พลางหันมามองเสี่ยเพ้ง
“เอาไงครับเสี่ย สู้พวกมันเลยมั้ยครับ”
เสี่ยเพ้งกับตำรวจมองหน้าเหมือนวัดใจกัน ในที่สุดเสี่ยเพ้งก็ตัดสินใจ
“ทุกคน วางปืนลง”
พวกลูกน้องเสี่ยเพ้งวางปืนลงกับพื้น
“ตัดสินใจถูกแล้ว ขอเชิญทุกคนไปที่ สน.ด้วยครับ”
เสี่ยเพ้งพยักหน้าเซ็งๆ “ยัยตั่วเจ๊ ฮึ่ม”
ตำรวจพาพวกลูกน้องเสี่ยเพ้ง เดินออกมาจากตรอก ห่างออกมาพอสมควร วนิษากับปฐม และลูกน้องอีก 3 คน ซุ่มดูอยู่
“เรียบร้อย เป็นไปตามแผน”
วนิษายิ้ม แต่ปฐมหน้าเสีย
“แต่แบบนี้มันเสียศักดิ์ศรีนะครับ ผมอยู่วงการนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยมีใครแจ้งตำรวจจับอีกฝ่ายเลย เราเป็นนักเลงต้องสู้กันด้วยใจล้วนๆ”
“แต่วิธีนี้ไม่มีใครตายไม่มีใครเจ็บ คุณปฐมคิดว่าพี่น้องเราสำคัญกว่าหรือศักดิ์ศรีสำคัญกว่า”
“ผมยอมตายเพื่อปกป้องศักด์ศรีของพวกเราครับ”
“คุณปฐมมีลูกมีเมียรึเปล่า” วนิษาย้อนถาม
“ไม่มีครับ”
“คุณหันไปถามพวกเขาสิ”
วนิษาหันไปทางลูกน้องที่มาด้วย ปฐมหันมามองตาม
“เอ่อ เมียผมเพิ่งคลอดลูกอ่ะครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากอยู่ให้ได้ยินลูกเรียกผมว่าพ่ออ่ะครับ”
“แม่ผมป่วยอยู่ครับ ผมต้องคอยดูแล”
ปฐมยกมือห้าม “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว”
พลางหันมาทางวนิษา
“แต่ทำแบบนี้มันไม่ลูกผู้ชาย เสี่ยเพ้งมันต้องหาทางเอาคืนแน่ๆ”
“แล้วการที่เขาพกปืนมามันลูกผู้ชายหรือไง”
ปฐมพูดไม่ออก
“กลับเถอะ”
วนิษาเดินออกไป ลูกน้องทั้งสามรีบตามไป ปฐมเดินรั้งท้ายตามไป
ปฐมอยู่คนเดียวในห้องทำงาน พลางดูตะไกรขาเดียวในมือ
“หรือว่าเราจะตกยุคไปแล้ว ตั่วเฮีย ถ้าตั่วเฮียยังอยู่ ตั่วเฮียจะเห็นด้วยกับตั่วเจ๊มั้ย”
ปฐม เปิดลิ้นชักเก็บกรรไกรขาเดียว พลางรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย พอหันไป ก็เห็นโจยืนอยู่
“คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นานแล้วครับ”
“มีอะไร”
“ผมอยากรู้ว่าเป็นไงบ้าง”
“เป็นห่วงตั่วเจ๊เหรอ”
ปฐมย้อนถาม โจพยักหน้า
“แล้วทำไมไม่มาช่วย”
“มิกล้า ได้แต่ดูห่างๆอย่างห่วงๆ”
ปฐมหัวเราะ “คุณไม่ต้องห่วงเค้าหรอก เขาเก่งกว่าที่เราคิด วันนี้มันพิสูจน์แล้วว่าที่ตั่วเฮียยกตำแหน่งตั่วเจ๊ให้เขาไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นเมียหรอก แต่เพราะเขาเหมาะสมจริงๆ”
“ขอบคุณมากครับ ผมต้องการรู้แค่นี้แหละครับ”
โจทำท่าจะเดินออกไป
“แล้วคุณจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วเหรอ”
“ครับ เราคงไม่ได้เจอกันอีก”
“อย่าหาว่าผมเชยเลยนะ”
ปฐมพูดพลางหันหลังไปเปิดตู้ หยิบแก้วสองใบออกมาตั้ง
“ตรงกันข้าม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
ปฐมหยิบขวดออกมา พลางเทใส่แก้ว โจยิ้ม พลางยื่นมือไปรับ
“ในฐานะผู้เยาว์ ผมขอคารวะคุณปฐมก่อนแล้วกัน”
“คุณช่วยตั่วเจ๊หลายครั้งก็เหมือนช่วยผม ผมขอคารวะเช่นกัน”
อ่านต่อตอนที่ 15