ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 14
ประนอมเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด ปองฤทัยกับป้อม นั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ประนอมที่นอนอยู่บนเตียงหันมาหาลูกสาว พลางเปรยออกมาเบาๆ
“ปอง แม่ไม่อยากผ่า”
ปองฤทัยเข้าไปจับมือมารดา
“ทำไมล่ะจ๊ะแม่ ถ้าแม่ผ่า แม่ก็จะหายดีแล้วนะ”
“ผ่าทีเสียเงินตั้งไม่รู้เท่าไหร่ เราจะไหวเหรอปอง”
ประนอมเสียงเครียด ปองฤทัยฝืนยิ้มให้มารดา
“ไหวสิแม่ แค่ผ่าตัดเล็กเอง ไม่ได้เสียเงินเยอะอะไร”
ป้อมลุกเดินเข้ามาข้างๆ เตียงอีกคน
“ใช่ แม่ไม่ต้องห่วง ทำใจให้สบาย เดี๋ยวแม่ก็หายแล้ว เนอะพี่ปอง”
ปองหันไปพยักหน้าให้พี่สาว ประนอมดูสบายใจขึ้น พร้อมๆ กับที่พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง เข็นเตียงประนอมออกไป
ปองฤทัยมอง ด้วยตวามเป็นห่วง ป้อมเข้ามาจับบ่าให้กำลังใจพี่สาว
ปองฤทัย กับป้อม นั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจหน้าห้องผ่าตัด พลันเสียงโทรศัพท์มือถือของป้อมก็ดังขึ้น ปองฤทัยหันไปมอง
“ครับ สักครู่ครับ”
ป้อมรับสาย พลางลุกเดินออกจากที่นั่ง แล้วเดินแยกไปคุยไกลๆ ปองฤทัยมองตาม นึกแปลกใจอยู่ครามครัน
“แม่เข้าห้องผ่าตัดไปแล้วครับคุณรบ”
ป้อมรีบรายงาน หลังจากที่เดินพ้นจากปองฤทัยมาแล้ว
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“เรียบร้อยดีครับ”
“ดี งั้นนายทำตามที่ฉันบอกไปคราวก่อนนะ”
ป้อมเงียบไปสักพัก แล้วตัดสินใจ
“ผมขอยังไม่ตกลงนะครับ”
“ทำไมล่ะ?” ศึกรบข้องใจ
“พี่ปองบอกผมว่าเรายังมีวิธีที่จะหาเงินมาได้อยู่ครับ แล้วผมก็ไม่อยากรบกวนคุณด้วย”“อืม ตามใจนาย แต่ถ้าเปลี่ยนใจบอกฉันได้ทุกเมื่อ”
ศึกรบวางสายไป ป้อมกำโทรศัพท์แน่น ด้วยความรู้สึกลำบากใจ
จากนั้นป้อมเดินย้อนกลับมานั่งข้างๆ พี่สาว สีหน้ายังเป็นกังวล ปองฤทัยสังเกตเห็นโทรศัพท์เครื่องใหม่ในมือของน้องชาย
“ป้อม เปลี่ยนมือถือตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ป้อมตกใจรีบเก็บเข้ากระเป๋า
“เก็บตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ”
ป้อมชะงัก ยอมเอามือถือออกมาให้ปองฤทัยดู
“รุ่นใหม่เลยนี่ ไปซื้อมาเมื่อไหร่ แล้วเอาเงินที่ไหนไปซื้อ มันแพงไม่ใช่เหรอ?”
“ถามยาวเชียว ตอบไม่ทันแล้วเนี่ยพี่ปอง”
ปองฤทัยจ้องหน้าน้องชาย
“ตามใจ อยากตอบอันไหนก่อนก็ตอบมา แต่ต้องตอบ”
ป้อมพยายามตอบแบบติดตลก
“โธ่ ว่าจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์ซะหน่อย ดันเห็นก่อน”
“ยังไง?”
“คืองี้ พอดีมันเซลส์พี่ปอง แต่ว่าต้องไปรอต่อคิวซื้อที่ศูนย์ ป้อมอยากได้ เลยลงทุนเอาเงินเก็บไปซื้อมา ไปรอต่อคิวตั้งแต่ตีห้าเลยนะ”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะอะไรเลย ทำไมไม่บอกพี่”
“ก็ไม่อยากให้พี่กับแม่เป็นห่วง แถมตอนนี้สถานการณ์ที่บ้านเป็นอย่างนี้ ถ้าพี่รู้ว่าไปซื้อโทรศัพท์ ป้อมกลัวพี่จะดุเอาน่ะสิ”
ป้อมแก้ตัว พลางยิ้มให้ปองฤทัย ที่มองมาเหมือนจะจับผิด
“ซื้อไปแล้วก็ช่างมันเถอะ แต่วันหลังทำอะไรต้องบอกกัน รู้ไหม”
“ครับ วันหลังจะบอกทุกอย่างเลย”
พูดพลางปองฤทัยก็หันกลับไปมองหน้าห้องผ่าตัด ป้อมถอนหายใจ โล่งอก
ระรินรีบกดโทรศัพท์โทรหาศึกรบ แต่ศึกรบไม่รับสาย ระรินเริ่มร้อนใจ
“คุณรบ รับสายสิ ทำไมไม่รับ”
จากนั้นก็พยายามกดโทรหาศึกรบอีกหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครมารับ ระรินเดินวนไปมา กระวนกระวาย
ศึกรบเดินออกจากห้องประชุม ไอวี่เดินมาเห็น ทำทีเป็นเข้าไปชนโดยบังเอิญ
“อุ๊ย” พลางเงยหน้าขึ้น “พี่รบ”
ไอวี่ทำเป็นตกใจมาก ศึกรบทักไปตามมารยาท
“ไง ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ”
ไอวี่รีบตีหน้าเศร้า พูดเสียงหงอยๆ
“ใช่ค่ะ ไม่เจอกันหลายวัน ไอวี่คิดถึง”
ไอวี่มองอ้อน ศึกรบพยายามไม่สบตา
“งั้นเหรอ”
“ค่ะ ไหนๆเราก็เจอกันแล้ว ไอวี่อยากอยู่กับพี่ สักพักก็ยังดี”
“แต่ตอนนี้ผมไม่ว่าง”
“ตอนไหนก็ได้ค่ะ จะไปที่ไหนก็ได้ จะร้านอาหารจะที่ไหนก็ได้ แค่อยู่ด้วยกันก็พอ นะคะ นะ”
ศึกรบนิ่งคิดสักพัก
“งั้นตอนเย็นแล้วกัน ตอนนั้นเราค่อยมาคุยกันว่าจะไปไหน”
ไอวี่โผเข้ากอดศึกรบด้วยความดีใจ ศึกรบมองไป แอบกังวลใจว่าจะมีใครเห็น
“ผมอยากให้คุณดาวช่วยหาตั๋วเครื่องบินไปสวิสต่อด้วยอิตาลีให้ผมกับคุณขวัญสัก 15 วัน เอาเป็นเดือนหน้านะ”
แสงดาวพยักหน้ารับ พลางรีบจดลงสมุด
“ให้จองโรงแรมให้ด้วยไหมคะ”
“โรงแรม อืม ก็ดี จัดการให้ผมด้วย แต่ถ้าคุณจะจอง เอาโรงแรมมาให้ผมเลือกก่อน”
“ได้ค่ะ”
“สุดท้าย สั่งดอกไม้ให้ผมช่อหนึ่งด้วย”
แสงดาว ยิ้มรับ “ได้ค่ะ”
“แค่นี้แหละ ผมต้องออกไปธุระ ฝากด้วยนะ ขอบคุณมาก”
ศึกรบรีบออกไป แสงดาวมองตามเพ้อๆ
“ทั้งดอกไม้ ทั้งฮันนีมูนยุโรป ถ้าได้ไปบ้างก็ดีสิ เฮ้อ”
ประนอมออกจากห้องผ่าตัดมาพักฟื้นที่ห้องไอซียู ทว่ายังไม่ได้สติ ปองฤทัยนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ใบหน้าเศร้าสร้อย พลางหันมาพูดกับน้องชายด้วยความเป็นห่วง
“หมอบอกว่าให้รอดูผลวันพรุ่งนี้ แม่จะเป็นอะไรไหมป้อม”
“การผ่าตัดก็โอเคนี่นาพี่ปอง ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
“แต่พี่กลัว”
ปองฤทัยพูดพลาง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีก พลันเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา
“ ถึงมือหมอแล้ว ยังไงก็สบายใจไปขั้นหนึ่งแล้วล่ะครับ”
ปองฤทัยหันหลังไป ก็เห็นชโยดมในชุดเสื้อกราวน์เข้ามา โดยมีพยาบาลตามเข้ามาด้วย
“คุณหมอ”
ปองฤทัยลุกไปหาชโยดม พลางมองอย่างแปลกใจ
“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมา แล้วทำไม” พลางปรายตามองการแต่งตัวของชโยดม
“ผมย้ายมาประจำที่นี่แล้วครับ ตอนแรกยังไม่แน่ใจเลยยังไม่บอก พอได้มาก็เลยขอมาดูเคสคุณแม่ของปองด้วย”
ปองฤทัย ยิ้มอย่างดีใจ “ย้ายมาประจำเลยเหรอคะ”
ชโยดมพยักหน้า ป้อมพลอยดีใจไปด้วย
“ดีจังครับคุณหมอ อย่างนี้อุ่นใจขึ้นเยอะเลย”
ชโยดมยิ้มให้ทั้งคู่
“ขอให้คุณแม่แข็งแรงไวๆ นะครับ เชื่อมือแพทย์ที่นี่ได้เลย เราดูแลคุณแม่คุณอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
ปองฤทัยเริ่มสบายใจขึ้น
ปองฤทัยเดินออกมาส่งชโยดมหน้าห้องไอซียู
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณหมอ คุณหมอใจดีกับปองเสมอเลย”
ปองฤทัยพยายามฝืนยิ้ม แต่ชโยดมดูออก
“บางที ถ้าเราไม่รู้สึกมีความสุขจริงๆ การฝืนยิ้มก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนะครับ”
ปองฤทัยหน้าเศร้าลงทันที
“แย่จังค่ะ คุณหมอยังดูออกเลย ปองดูเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ผมแค่รู้ว่าอะไรคือยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ น่ะครับ”
ปองฤทัย ถอนหายใจ “ปองแค่ไม่อยากให้คนอื่นไม่สบายใจ”
“เราไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งในวันที่อ่อนแอก็ได้นี่ครับ”
“แต่ปองต้องเข้มแข็งนี่คะ” ปองฤทัยพยายามทำตัวเข้มแข็ง แต่เสียงเศร้า
“ต้องเป็นที่พึ่งให้ทุกคนได้ ปองร้องไห้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“คนเข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าร้องไห้ไม่ได้นี่ครับ ถ้าคุณเศร้า คุณร้องไห้ออกมาบ้าง คุณอาจจะสบายใจขึ้น”
“แต่”
“เก็บไว้คนเดียวมันไม่มีประโยชน์หรอกครับ ถ้าอยากร้องก็ร้องเถอะ”
ปองฤทัยนิ่งไปสักพัก แล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา จากนั้นก็เริ่มสะอื้น พลางระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ปอง ปองไม่อยากให้แม่ตาย ปองกลัว กลัวว่าแม่จะไม่อยู่กับปอง พ่อก็ไม่อยู่แล้ว มีแต่แม่คนเดียวที่เลี้ยงปองมา ถ้าแม่เป็นอะไร ปองจะอยู่ยังไง”
ปองฤทัยร้องไห้หนักขึ้น พลางพยายามปาดน้ำตาทิ้ง ชโยดมยืนมองสักพัก ตัดสินใจดึงเธอเข้ามากอด
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
ปองฤทัยกอดตอบชโยดม น้ำตายิ่งไหลนอง
อ่านต่อหน้า 2
ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 14 (ต่อ)
ไอวี่แต่งตัวสวยเตรียมจะออกจากหอพัก เปรี้ยวเดินสวนมาจะกลับเข้าหอพอดี รีบเข้าไปทัก
“อ้าวแก” พลางมองไอวี่หัวจดเท้า “ แต่งเต็มขนาดนี้จะไปไหนจ๊ะ”
ไอวี่จับผมทำท่าเขินๆ “ฉันกำลังจะไปดินเนอร์กับคุณศึกรบ”
เปรี้ยวตาโต ด้วยความดีใจ พลางเข้าไปจับมือแสดงความยินดี
“จริงเหรอ ดีใจด้วยนะแก เริ่ดไปเลย ต้องไปร้านหรูแน่ๆ โอ๊ย อิจฉา”
“แหม คงไม่ขนาดนั้นหรอก ฉันบอกเขาแล้วว่ายังไงก็ได้”
“ระดับคุณรบร้านธรรมดาไม่ได้หรอก โอ๊ยๆๆ ดีใจ ดีใจจริงๆนะ จับคุณรบอยู่หมัดแล้วสิ”
ไอวี่ ส่ายหน้าเบาๆ
“ก็ยังหรอก ตอนนี้ต้องใช้มารยาล่อกันไปก่อน”
“อ้าว หมายความว่ายังไง”
“ก็ฉันรู้น่ะสิว่าเขาต้องคบฉันแบบหลบๆซ่อนๆ ไปก่อน เหตุผลอะไรแกก็น่าจะรู้”
“จริงด้วยสิ”
“ตอนนี้ตามน้ำไปก่อน อย่าเพิ่งไปเรียกร้องมาก”
“นอกจากเงินใช่ไหม”
เปรี้ยวยิ้มมองไอวี่แบบรู้กัน ไอวี่พยักหน้า
“ใช่ นอกจากเงิน”
ไอวี่ชวนศึกรบมาเที่ยวผับ พลางมองศึกรบด้วยความอิ่มเอมใจ
“ไอวี่มีความสุขมากเลยค่ะวันนี้”
ศึกรบยิ้มให้ไม่ตอบอะไร ไอวี่ย้ำ
“จริงๆนะคะ”
“ผมรู้อยู่แล้ว”
บริกรมาเสิร์ฟเครื่องดื่ม ไอวี่จัดการรินให้ศึกรบ ก่อนจะยื่นไปตรงหน้า
“งั้นวันนี้มาดื่มฉลองกัน”
ศึกรบยิ้ม “ได้อยู่แล้ว”
“แต่ต้องดื่มแข่งกันนะ” ไอวี่มองอย่างท้าทาย
“เอาสิ ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ”
ไอวี่ยิ้มพอใจ จากนั้นทั้งคู่ ก็ยกแก้วขึ้นชน ก่อนที่จะเอามือไขว้กัน แล้วแข่งกันดื่มอย่างสนุกสนาน กระทั่งศึกรบเริ่มมึน ในขณะที่ไอวี่ยังดูสบายๆ
“วี่นี่ ดื่มเก่งเหมือนกันนะ”
“แปลกใจเหรอคะ?”
“นิดหน่อย”
ไอวี่หัวเราะอย่างมีจริต “เมื่อก่อนเคยเป็นพริตตี้เบียร์กับเหล้ามาบ้างน่ะค่ะ เลยฝึกไว้”
“งั้นเหรอ ทักษะดีใช้ได้เลยนี่”
ไอวี่หัวเราะอีก แล้วจู่ก็ลุกขึ้น ดึงแขนศึกรบ
“นั่งเฉยๆเบื่อแล้ว ไปเต้นกันดีกว่า”
ไอวี่เต้นด้วยท่าทางที่เซ็กซี่ๆ ยั่วยวน จนคนในผับเริ่มหันมามอง ไอวี่ยิ่งได้ใจเต้นยั่วยวนเข้าไปอีก แถมนัวเนียศึกรบเต็มที่ หนุ่มๆ หลายคนชี้ชวนกันให้ดู ศึกรบเริ่มเคลิ้ม ไอวี่ยิ้มพอใจ
จากนั้นทั้งคู่ก็มาต่อที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ไอวี่ยั่วยวนศึกรบมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะผลักศึกรบลงไปบนเตียง แล้วค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าตัวเองออกที่ละชิ้น ศึกรบยิ้มพอใจ
แจ๊ส ที่นั่งดูทีวีอยู่ในคอนโดของระริน แอบนึกรำคาญใจ เมื่อเห็นระรินลุกเดินไปเหม่อที่ระเบียง แล้ววนกลับมาดูโทรศัพท์วนไปวนมาอยู่หลายเที่ยว
“นี่หล่อน เดินวนไปมาทำไมยะ คอนโดนะคะ ไม่ใช่วงเวียนใหญ่ อยากวนไปวนที่นู่นเอาเลยค่ะ”
ระรินชักหงุดหงิด
“แล้วจะบ่นทำไมล่ะคะ ผู้จัดการ ขอซักวันได้ไหม”
“ก็ถ้าเธอทำตัวสงบเป็นผ้าพับแล้วพับอีก ฉันก็จะสงบให้หรอก นั่งซะที เวียนหัว”
“อือๆ ก็ได้”
ระรินยอมลงมานั่งลงบนเตียงในที่สุด
“ไม่สบายยังมีแรงเดินวนนะ ตกลงเป็นอะไรกันแน่ แม่ดาราใหญ่”
ระรินชะงัก ก่อนจะตอบแบบอ้ำๆ อึ้งๆ
“ยัง ยังไม่รู้”
“อ้าว นี่หมอเขาไม่ได้ตรวจเหรอไง ทำไมไม่รู้ แล้วจะหายไหม พรุ่งนี้จะไปทำงานได้รึเปล่า?”
แจ๊สยังเป็นห่วงงาน
“คิดถึงแต่งานกับเงินอยู่นั่น ไม่เห็นใจคนอื่น”
“ต๊าย ทำไมพูดงั้นล่ะยะ ฉันจะเห็นใจถ้าฉันรู้ว่าเธอเป็นอะไร คงไม่ได้ป่วยการเมืองหรอกนะ”
“ใครมันจะป่วยการเมือง เจ๊ก็เห็นว่าฉันเป็นอะไร”
“งั้นก็บอกมาสิว่าเป็นอะไร” แจ๊สย้อนถาม
“โอ๊ย จะคาดคั้นอะไรนักหนา” ระรินชักรำคาญใจ
“บอกมา ไม่งั้นงานทั้งหมดที่คุยกัน ฉันจะแคนเซิลทิ้งให้หมด ไม่ต้องทำมันแล้ว คนทำป่วยไม่รู้สาเหตุนี่นะ”
“ทำไมต้องเล่นวิธีนี้กับฉันด้วยเล่า”
“บอกมา เร็ว เป็นอะไร” แจ๊สเร่ง
ระรินส่ายหน้า หงุดหงิด
“เจ๊อย่าเพิ่งรู้เลย”
พูดพลางก็พะอืดพะอมเหมือนจะอาเจียน แต่พยายามกั้นไว้
“เดี๋ยวมานะเจ๊”
ระรินวิ่งไปห้องน้ำ แจ๊สตาเหลือก มองตาม นึกรู้ได้ทันที
ระรินมาเกาะขอบโถอาเจียน แจ๊สตามมา
“ระริน นี่หล่อน หล่อนท้องใช่ไหม บอกมาซิ”
ระรินเงียบ พลางเลี่ยงมองไปทางอื่น แจ๊สโวยวาย
“ตายแล้ว เธอไม่ป้องกันเหรอ ท้องได้ยังไง ท้องกับใคร”
ระรินหันกลับมา เชิดหน้าตอบ
“จะใคร ก็ต้องเป็นคุณศึกรบสิ ไม่งั้นฉันจะเดินวน จนเจ๊รำคาญแบบนี้เหรอ”
“อะไร ยังไง โอ๊ย ขอตั้งสติแป๊บ งงไปหมดแล้ว”
“เขาไม่รับโทรศัพท์ฉัน ฉันไม่ยอมนะเจ๊ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างให้เขารู้เรื่องลูก เขาจะมาทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้”
“แล้วเธอจะทำยังไง”
“ฉันมีวิธีแล้วกัน”
ระรินพูด สีหน้าเอาจริง
ศึกรบค่อยๆ เดินย่องเข้ามาในบ้าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของสู่ขวัญ ทักขึ้น
“ไปไหนมาเหรอคะรบ”
ศึกรบหันไปเห็นสู่ขวัญนั่งรออยู่ ก็ตกใจ
“อ้าว ขวัญ ยังไม่นอนอีกเหรอ”
สู่ขวัญ ลุกเดินเข้ามาหาศึกรบ
“ขวัญโทรไปที่ออฟฟิศคุณ คนที่นั่นบอกว่าคุณออกมาตั้งนานแล้ว ว่าไงคะ?”
“ผมไป กับไอ้ธรไง”
“งั้นเหรอ”
ศึกรบ พยักหน้า “ใช่ แต่ผมยอมรับนะว่าผมไปดื่มมา”
สู่ขวัญทำหน้าเหมือนไม่พอใจ ศึกรบรีบแก้ตัว
“แค่ไปดื่มเป็นเพื่อนไอ้ธรเอง คุณอย่าโกรธผมเลยนะขวัญ”
พูดพลางเดินเข้ามาใกล้ภรรยา
“แล้วก็คุณเตรียมปิดร้านของคุณได้แล้วนะ”
สู่ขวัญตกใจ
“ ปิดร้าน? อะไรกันคะรบ ร้านยังดีๆ อยู่จะให้ปิดทำไมกัน”
ศึกรบชูแพคเกจทัวร์ขึ้นมา
“ผมจองแพคเกจทัวร์อิตาลีกับสวิสแบบส่วนตัวไว้ 15 วัน เราไปด้วยกันนะขวัญ”
ศึกรบคิดว่าสู่ขวัญจะดีใจ แต่คาดผิด
“นานขนาดนั้น ขวัญไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะขวัญ” ศึกรบข้องใจ
“ปิดร้านตั้ง 15วัน ใครจะจัดการพวกออเดอร์ลูกค้าล่ะคะ ยัยมีนาทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”
“โธ่ แค่สองอาทิตย์เอง คุณอย่าคิดมากสิ ไม่รู้ล่ะ ยังไงคุณต้องไปฮันนีมูนรอบสองกับผม เราจะได้มีลูกด้วยกันเร็วๆ นะขวัญ”
พูดพลางเข้าไปกอดสู่ขวัญ ที่ยิ้มแห้งๆ อย่างลำบากใจ
ไอวี่ออกมาเดินห้างกับเปรี้ยว เมื่อเดินผ่านร้านกระเป๋าแบรนด์เนม ก็รีบลากแขนเปรี้ยวเข้าไปทันที
“ดูใบนั้นสิสวยมากเลยแก ไปดูกันเถอะ”
ไอวี่พุ่งเข้าไปหากระเป๋าที่เล็งไว้ หยิบมาดูตาวาววับ พลางพลิกป้ายราคามาดู เปรี้ยวเห็นราคาก็ตกใจ
“ซื้อใบนี้แทบจะดาวน์รถได้เลยนะแก จะซื้อจริงเหรอ”
ไอวี่ ไม่ตอบ แต่เดินยิ้ม พลางยื่นกระเป๋าให้พนักงานขาย
“เอาใบนี้ค่ะ”
“ชำระเป็นบัตรเครดิตหรือเงินสดคะ?”
“เงินสดค่ะ”
ไอวี่ควักเงินเป็นปึกออกมาจ่าย พนักงานยิ้มรับ แล้วเอากระเป๋าไปใส่ถุงให้
เปรี้ยวมองไอวี่แบบตกตะลึง
“แกเอาเงินมาจากไหนมากมายเนี่ย”
ไอวี่ ยิ้มกว้าง “ฉันก็เพิ่งได้จากคุณรบมาใหม่ไง ราคากระเป๋าแค่นี้ สบายมาก”
“แต่แกน่ะแหละที่จะไม่สบาย เงินขนาดนี้จ่ายค่าหน่วยกิตแกเทอมสองเทอมยังไหว ทำไมแกไม่เก็บไว้”
เปรี้ยวเตือนด้วยความเป็นห่วง พร้อมๆ กับที่พนักงานขาย เดินเอาถุงกระเป๋ามาส่งให้ ไอวี่รับถุงแล้วเดินเชิดๆออกไป ไม่สนใจคำเตือนของเปรี้ยว
อ่านต่อหน้า 3
ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 14 (ต่อ)
ไอวี่ถือกระเป๋าใบใหม่ เดินเชิดๆ อยู่ในมหาวิทยาลัย 3 สาวไฮโซ เห็นไอวี่เดินเข้ามา พลางมองไปที่กระเป๋า ด้วยความหมั่นไส้
“นี่เธอ คนบางคนก็มีความพยายามดีนะ” แทมเปิดประเด็น
“ยังไงเหรอ” เมเม่แกล้งถาม พลางปรายตามองไอวี่ แบบเยาะๆ
“ก็ดูบางคน ปกติถือแต่กระเป๋าแพลตตินั่ม ดูซิวันนี้ลงทุนหิ้วของก็อปเกรดเอมาเรียนเชียวนะ”
แองจี้ รีบสนับสนุน
“แต่แหม ก็อปซะเหมือนของจริงเชียว ไม่รู้ไปซื้อที่ไหนเนอะ”
จากนั้นทั้ง 3 สาวก็หัวเราะกันคิกคัก ไอวี่เดินเข้าไปหาตบโต๊ะเสียงดัง
“นี่ก่อนจะว่าคนอื่นช่วยแหกตาดูก่อนด้วย ว่าอะไรเป็นอะไ”ร
พลางชูกระเป๋าให้ดู
“นี่มันของจริงนี่” เมเม่มองตาค้าง
ไอวี่ตบโต๊ะอีกที 3 สาวไฮไ ตกใจเกาะแขนกันแน่น
“ใช่ ของจริง คนก็จริงด้วยเหมือนกัน บอกไว้เลย ฉันไม่ชอบพวกพูดจาไม่มีมูล เอาแต่ว่าไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าอยากมีเรื่อง ฉันก็เอาจริงเหมือนกัน ลองไหม”
จากนั้นก็ยกกระเป๋าทำท่าจะฟาด แก๊งไฮโซร้องกรี๊ด รีบลุกหนี พลางตะโกนด่าไล่หลังกลับมา
“ยัยบ้า ป่าเถื่อนที่สุด”
ไอวี่มองตาม สะใจที่เอาคืนได้
จากนั้น 3 สาวไฮโซ ก็หลบมาคุยกันมุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย
“กระเป๋าที่ยัยไอวี่ถือมันของจริงนี่” เมเม่ยังข้องใจ
แองจี้ พยักหน้า
“ใช่ ซื้อจากช็อปในห้างแน่นอน ฉันมีแบบนี้อยู่ที่บ้านใบนึง”
“แต่ราคานี่คนแบบยัยไอวี่ไม่มีทางซื้อได้ในวันสองวันนี้แน่ๆ แล้วไปเอามาจากไหน?”
แทมอดสงสัยไมได้
“นั่นสิ สงสัยมีเสี่ยเลี้ยง”
แองจี้เดา ไอวี่แอบฟังอยู่ ก็ยิ้มอย่างภูมิใจ ป้อมเดินมาเห็น มองมาทางไอวี่ด้วยความสงสัย
ไอวี่นั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่ ป้อมที่เดินตามมา รีบเข้ามาทัก
“กระเป๋าใหม่สวยดีนี่”
“อ้าว ป้อม” พลางมองกระเป๋าในมือ “สวยเหรอ? สนใจพวกกระเป๋าด้วยรึไง”
“ก็ไม่ค่อยรู้หรอก แค่ดูรูปทรงมันสวยดี เหมาะกับเธอนะ”
ไอวี่ยิ้มปลื้ม
“แน่อยู่แล้ว ฉันเลือกเองกับมือ มันก็ต้องเหมาะกับฉัน”
“ถ้าเป็นเธอ ต่อให้ถือกระเป๋าถูกกว่านี้ร้อยเท่า มันก็เหมาะอยู่ดี”
“นายหมายถึงอะไร?” ไอวี่จ้องหน้าป้อม
“เธอไม่จำเป็นต้องซื้อกระเป๋าแพงๆ มาหิ้วเพื่อแข่งกับยัยพวกนั้นหรอกรู้ไหม ของที่เหมาะกับเราอาจจะไม่ใช่ของแพงก็ได้ ถ้ามันใช่ ราคาเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญหรอก”
ป้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สอนใหญ่เลยนะ เป็นครูฝ่ายปกครองรึไง ฉันไม่ใช่เด็กมัธยมแล้วนะ”
“ฉันแค่อยากเตือน เธอแข่งกับเขายังไงก็เสียเปรียบ”
ไอวี่ เชิดหน้า
“ทำไมฉันต้องเสียเปรียบ ไม่เห็นเหรอ ว่ายังไงฉันก็มีปัญญาหาเงินมาซื้อ”
“ฉันรู้ แต่มันน่าเสียดาย น่าจะเก็บไว้เรียน ราคามันจ่ายค่าเทอมได้สองสามเทอมเลย”
“เธอจะไปรู้อะไร เธอไม่ใช่ผู้หญิง แล้วอีกอย่างมันก็คนละส่วนกันด้วย”
ไอวี่ฮึดฮัดไม่พอใจ ป้อมขยับจะพูดต่อ แต่โทรศัพท์มือถือดังเข้ามาขัดจังหวะ
“ว่าไงพี่ปอง”
ปองฤทัย ยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้องคนป่วย ที่โรงพยาบาล
“ป้อม มาเฝ้าแม่ให้พี่หน่อย”
“อ้าว แล้วพี่ปองจะไปไหน?”
“พี่จะไปธุระ เดี๋ยวมา รีบมานะ”
“ได้ๆ เดี๋ยวป้อมเฝ้าแม่ให้ ไปถึงแล้วจะโทรหา”
ป้อมวางสายไป ก่อนจะหันกลับมามองไอวี่
“เดี๋ยวเราจะไปเฝ้าแม่ วี่ไปเยี่ยมแม่ด้วยกันไหม”
ไอวี่อิดออด
“ แม่นายผ่าตัดไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่แม่ยังพักอยู่โรงพยาบาล ไปด้วยกันสิ เราอยากให้แม่รู้จักวี่”
ไอวี่ มองหน้าป้มงงๆ “อ้าว ทำไมต้องรู้จักกันด้วย”
“ก็ ไม่มีไรหรอก ไปด้วยกันเถอะน่า แม่เราจะได้มีกำลังใจ”
ไอวี่ท่าทางเซ็งๆ ไม่ค่อยอยากไป
ในที่สุด ป้อมก็พาไอวี่เข้ามาเยี่ยมประนอม ไอวี่ยกมือไหว้ ประนอมรับไหว้ พลางหันมาถามลูกชาย
“ใครน่ะป้อม แฟนเราเหรอ?”
ไอวี่ตกใจรีบปฏิเสธใหญ่
“ไม่ใช่นะคะ หนูเป็นแค่เพื่อนเขา”
ป้อมหน้าเจื่อนไป แต่ก็รีบทำเป็นยิ้มแย้ม
“เพื่อนจริงๆแม่ ป้อมน่ะยังโสดอีกนาน นี่เขาแค่มาเยี่ยม”
“อ้าวเหรอ งั้นขอบใจมากนะหนู แม่ไม่ค่อยเห็นป้อมพาผู้หญิงมาบ้าน เลยเข้าใจผิดไป”
ไอวี่ ยิ้มแหยๆ “ไม่เป็นไรค่ะ หายไวๆนะคะคุณป้า”
“จ้ะหนู”
“ป้อมยังมีแฟนไม่ได้หรอกแม่ ยังหาคนดีเท่าแม่ไม่เจอเลย รักแม่ดีกว่า สบายใจ”
พูดพลางเข้าไปกอดประนอม ไอวี่มองแล้วรู้สึกซึ้งตาม นึกถึงแม่ตัวเองที่ไม่เหมือนแบบนี้ น้ำตาเริ่มคลอนิดๆ แต่พอป้อมหันกลับมา ก็กลับมา ก็รีบทำตัวร่าเริง
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายขี้อ้อน”
“เปล่าอ้อนนะ ที่บ้านเราคุยกับแม่แบบนี้แหละ”
ไอวี่พยักหน้า ยิ่งรู้สึกสะท้อนใจมากขึ้น
“ก็ดีนะ งั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนดีกว่า”
“อ้าว มาแป๊บเดียวจะกลับแล้วเหรอ ว่าจะชวนไปกินข้าวโรงพยาบาล”
ไอวี่ ส่ายหน้า
“ไม่เอาหรอก จืดจะตาย ฉันนึกได้ว่ามีธุระน่ะ ไปก่อนนะ”
พลางหันมาบอกกับประนอม “ ไปก่อนค่ะคุณป้า”
ไอวี่ยกมือไหว้ประนอม แล้วเดินออกไป ป้อมมองตามงงๆ
ไอวี่เดินมาถึงหน้าบ้านของตัวเองในสลัม เห็นพ่อนั่งดวดเหล้าอยู่หน้าบ้านคนเดียว นายสมพรหันมาเห็นไอวี่ก็แปลกใจ
“อ้าว นังวี่ รู้จักกลับบ้านเป็นกะเขาด้วยเรอะ”
“พ่อกินเหล้าแต่วันเลยนะ เพิ่งหายป่วยไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องของกูอย่าเสือก” พลางตะโกนบอกสุนีย์ที่อยู่หลังบ้าน “เฮ้ยนังนีย์ ลูกมาเยี่ยม ออกมาหามันหน่อย เร็ว”
สุนีย์เดินออกมาจากในบ้าน ทำหน้าเนือยๆ
“สงสัยฝนจะตกซะล่ะมั้ง ลูกสาวมาหาได้เนี่ย”
ไอวี่เดินเข้าไปนั่งข้างสุนีย์ พลางควักกระเป๋าหยิบเงินยื่นให้
“ฉันเอานี่มาให้”
สุนีย์รีบคว้าเงินไปนับดู ทำหน้าไม่พอใจ
“ทุกทีมันเยอะกว่านี้นี่หว่า ทำไมเหลือแค่นี้ จะไปพอยาไส้อะไร”
“ฉันไม่มีจะให้หรอกแม่ นี่ก็เยอะจะตายแล้ว เดือนนี้ไม่มีงานเข้ามาเลย”
สุนีย์หันกลับมาจ้องหน้าลูกสาว
“เมื่อก่อนก็เห็นงานเยอะดีไม่ใช่เหรอ แล้วจู่ๆมันจะหายไปได้ยังไง” พลางมองกระเป๋าไอวี่ “แล้วไอ้กระเป๋านี่ทำไมซื้อมาได้ล่ะ”
ไอวี่รีบเอากระเป๋ามากอดไว้ สุนีย์เข้ามาดึงกระเป๋า ไอวี่ยื้อไม่ยอม แต่สุดท้ายสุนีย์ ก็ดึงมาจนได้
“นี่มันของมียี่ห้อไม่ใช่เหรอ? เงินไม่มีทำไมมีปัญญาถือกระเป๋าแพงขนาดนี้ หา?!”
ไอวี่มองไปรอบๆ คนเดินผ่านไปมาเริ่มมอง
“แม่ ไปคุยกันในบ้านเถอะ อายเขา”
ไอวี่พยายามจะดึงแม่เข้าไปในบ้าน สุนีย์ขืนตัวไว้ พลางด่าไอวี่เสียงดัง
“อ๋อ นี่แกอายเหรอ แค่นี้ทำมาอาย ทีพ่อแม่ไม่เคยให้เงินไม่รู้จักเลี้ยงดูล่ะไม่อาย แกกะฮุบเงินไว้ซื้อไอ้กระเป๋าบ้านี่ไว้อวดพวกเพื่อนไฮโซใช่ไหม นังลูกไม่รักดี”
สุนีย์อ้าปากจะด่าต่อ ไอวี่เริ่มทนไม่ไหว
“โอ๊ย แม่หยุดก่อน เอ้านี่”
ไอวี่ก้มลงไปหยิบเงินในกระเป๋า สุนีย์ชะงัก แล้วก็ยิ้มออก
“ฉันให้เพิ่มก็ได้ แต่ฉันมีแค่นี้ จะเอาไหม”
สุนีย์คว้าเงินมานับ แล้วก็หน้าเบ้อีก
“แค่นี้มันจะไปพออะไร แค่ค่ายาพ่อแกยังไม่ได้เลย”
ไอวี่ชักสีหน้า
“ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้มีแค่นี้ แม่เอาไปก่อนเถอะน่า แล้วเดี๋ยวฉันส่งให้เพิ่ม”
“แน่นะ แล้วถ้าแกเงียบไปไม่ติดต่อมาฉันจะทำไง”
“ไม่เงียบ ฉันสาบาน”
สุนีย์ไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมโดยดี
“เออ ก็ได้ อย่าลืมนะ”
สุนีย์นั่งนับเงินอย่างไม่ค่อยพอใจ
อ่านต่อหน้า 4
ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 14 (ต่อ)
ศึกรบอยู่ที่ทำงาน พลันโทรศัพท์ ก็มีเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า ศึกรบหยิบมาดู เห็นเป็นข้อความของระริน
“ออกมาคุยกับรินหน่อยนะคะ รินมีเรื่องสำคัญมากอยากคุยกับคุณ ทุ่มนึงมาเจอกับรินที่ร้านเดิมนะคะ รินจะรอ แต่ถ้าคุณไม่มา รินจะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับคุณสู่ขวัญแทน แล้วเจอกันนะคะ ระริน”
ศึกรบเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ สีหน้าเริ่มเครียด
ป้อมเดินออกมาที่ร้านอาหารของโรงพยาบาล เห็นปองฤทัยกำลังยืนคุยกับผู้ชายแปลกหน้า ป้อมรีบเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ พลางหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน บังหน้าตัวเองไว้ พลางแอบฟังว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน
“ฉันขอที่แปดแสนค่ะ”
“ผมให้คุณได้เต็มที่ห้าแสนถ้วน ราคานี้สำหรับคุณก็เยอะกว่าเจ้าอื่นอยู่แล้วนะครับ”
“แต่ว่า” ปองฤทัยอ้าปากจะต่อรอง
“ผมจะซื้อในราคานี้เท่านั้น” อานนท์ยืนยัน
“ตอนนี้ฉันยังมีหนี้ต้องรับผิดชอบอยู่ ฉันจำเป็นต้องขายราคานี้จริงๆนะคะ”
“ผมให้ราคาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้นของคุณ ถ้าไม่ตกลง ผมก็ไม่เหมือนกัน”
อานนท์ทำท่าจะลุกไป ปองฤทัยรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ห้าแสนก็ได้ค่ะ ฉันตกลง”
อานนท์หันมายิ้มพอใจ ในขณะที่ป้อมตกใจ
ระรินนั่งรอศึกรบอยู่ในร้านอาหาร พลางชะเง้อมองอย่างร้อนใจ พอเห็นศึกรบเดินเข้ามาที่โต๊ะ ก็ยิ้ม ดีใจ รีบลุกขึ้น พุ่งเข้าไปกอดศึกรบ
“คุณรบ คุณรบมาแล้ว รินคิดถึงคุณที่สุดเลย”
ศึกรบไม่ตอบ แต่ค่อยๆ ดันตัวระรินออก
“อย่าทำแบบนี้ มันไม่เหมาะ”
“ไม่เหมาะอะไรกันคะ”
“คนอื่นเห็นเข้ามันจะไม่ดี คุณก็รู้”
ระริน ยักไหล่
“รินไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะอีกหน่อย เราก็น่าจะคบหากันเปิดเผยได้แล้ว”
ศึกรบงง พลางมองระรินแบบไม่เข้าใจ
“หมายความว่ายังไง ผมนึกว่าเราเคลียร์กันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คุณฝ่ายเดียวต่างหากที่ตกลง รินยังไม่ยอมหรอกนะคะ”
“คุณต้องการอะไรกันแน่”
เห็นระรินเงียบไป ศึกรบจึงตัดสินใจควักเงินออกมา
“รินไม่ได้ต้องการเงิน”
ศึกรบชะงัก
“แต่รินต้องการทะเบียนสมรส”
ศึกรบอึ้ง ในขณะที่ระรินมองจ้องกลับมา ด้วยท่าทางเอาจริง
ปองฤทัยกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของมารดา แต่ก็ไม่ก่อน ที่ป้อมจะโผล่ออกมาขวาง
“ป้อม พี่ตกใจหมดเลย”
ป้อมสวนขึ้นมาทันที “พี่ปองจะขายร้านเหรอ?”
ปองฤทัยหน้าซีด แต่ก็พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ
“ป้อมพูดเรื่องอะไร”
“พี่ไม่ต้องมาปิด ผมรู้หมดแล้ว ทำไมพี่ปองต้องขายร้าน”
“ป้อมรู้ได้ยังไง”
“ผมเห็นพี่คุยกับคนนั้นที่ร้าน”
ปองฤทัยชักสีหน้า “ป้อมแอบฟังพี่เหรอ”
“พี่ทำตัวน่าสงสัยเองนี่ พี่ยังไม่ตอบผมเลย ทำไมต้องขาย พี่ขายร้านไม่ได้นะ”
“ทำไมพี่จะขายไม่ได้” ปองฤทัยย้อนถาม
“พี่ขายไปแล้วเราจะเอาอะไรกิน ร้านนั่นมันเป็นทุกอย่างของพี่ไม่ใช่เหรอ”
ปองฤทัยอึ้ง แต่ยังพยายามใจเย็น
“พี่ไม่มีทางเลือก”
“เพราะเรื่องแม่เหรอ? พี่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้นี่” ป้อมโต้พี่สาว เสียงเข้ม
“ถ้าไม่ทำแบบนี้จะให้ทำยังไง เราจะเอาเงินมาจากไหน”
“เดี๋ยวมันก็มีทางออกเอง พี่น่ะแหละที่คิดเองเออเอง พี่ไม่ถามผม ถามแม่ซักคำ”
“ทางออกมันคือทางไหน พี่คิดอะไรไม่ออกแล้ว เป็นป้อมจะทำยังไง”
เสียงปองฤทัยเริ่มสั่น
“ยังไม่รู้ แต่มันต้องไม่ใช่การขายร้าน”
“อย่าดีแต่พูด ถ้ามีหนทาง พี่จะไม่ทำแบบนี้ พี่ไม่ได้อยากขาย แต่ถ้าไม่ทำ เราก็ไม่มีเงิน ป้อมมีทางอื่นไหมล่ะ”
“เออ ป้อมรู้ ป้อมทำอะไรไม่ได้ ร้านมันก็ไม่ใช่ชื่อป้อม มันเป็นสิทธิ์ของพี่นี่ พี่จะคิดจะทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว”
“ป้อมอย่าประชดพี่ได้ไหม”
“ก็พี่ปองพูดเอง ถ้าป้อมทำอะไรไม่ได้ ช่วยคิดก็ยังไม่ได้ งั้นป้อมก็ไม่รู้ด้วยแล้ว เชิญพี่รับผิดชอบสิ่งที่พี่ตัดสินใจไปเองแล้วกัน”
พูดจบ ป้อมก็ผลุนผลันเดินออกไป ปองฤทัยถึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
ชโยดมกำลังจะเดินเข้าไปเยี่ยมประนอม เห็นปองฤทัย ที่เดินใจลอย ทำหน้าเครียดอยู่แถวหน้าห้อง ก็รีบเข้ามาทัก
“คุณปอง”
ปองฤทัยไม่ทันมอง ชโยดมเลยคว้าแขนไว้
“คุณปองครับ”
ปองฤทัยตกใจจะสะบัดแขนออก พอหันมาเจอชโยดมก็แปลกใจ
“คุณหมอ”
“เป็นอะไรครับ ผมเรียกคุณก็เหมือนไม่สนใจ”
ปองฤทัยอึกอัก“ปอง เปล่าหรอกค่ะ ไม่มีอะไร”
“นี่คุณร้องไห้มาเหรอ” พลางมองหน้าปองฤทัย
“ดูออกเลยเหรอคะ”
“คุณตาบวมขนาดนี้ แถมเดินเหม่อจนผมเรียกก็ไม่ได้ยิน เดาไม่ยากหรอกครับ”
“อ้อ แย่เลย แต่ปองไม่เป็นอะไรจริงๆนะคะ”
ปองฤทัยฝืนยิ้มให้
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า บอกผมได้นะ”
“ไม่เป็นจริงๆค่ะ ปองแค่เครียดๆ เป็นห่วงแม่ด้วย”
“ความเจ็บป่วย นอกจากใช้ยากับผ่าตัดแล้ว มันก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นให้ร่างกายปรับสภาพทั้งนั้นครับ ตอนนี้อาจจะยังไม่ดี แต่ยังไงต้องดีขึ้นๆแน่ๆ”
“คุณหมอปลอบใจปองอีกแล้วนะคะเนี่ย”
ชโยดม มองปองฤทัย แล้วพูดออกมาอย่างจริงใจ
“ในฐานะเพื่อนก็ให้ได้แค่กำลังใจแหละครับ แต่ผมอยากให้คุณปองมีกำลังใจ ถ้าคุณเข้มแข็ง คุณแม่ก็คุณกำลังใจก็ดีตามไปด้วย นะครับ”
ชโยดมยิ้มให้ พลอยทำให้ปองฤทัยยิ้มออก
“ไม่มีทาง ผมให้คุณไม่ได้ ผมมีภรรยาอยู่แล้วคุณก็รู้”
ศึกรบตอบปฏิเสธเรียบๆ ระรินเชิดหน้า พลางย้อนถาม
“มีแล้วยังไงคะ”
“ทำไมคุณถึงพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้นะริน” ศึกรบเริ่มหัวเสีย
“อ๋อ เดี๋ยวนี้รินทำอะไรก็ผิดไปหมดแล้วเหรอคะ คุณกำลังรำคาญรินใช่ไหม”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“ก็คุณพูดเหมือนรำคาญจริงๆ”
“ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ผมจะไม่คุยด้วย ผมกลับล่ะ”
ศึกรบลุกขึ้น พลางขยับตัวจะเดินออกไป
“แต่รินกำลังท้อง”
ศึกรบตกใจ หันกลับมาทันที
“ท้อง? เป็นไปได้ยังไง ไหนคุณบอกว่าป้องกันทุกครั้งไม่ใช่เหรอ”
ระรินแกล้งตีหน้าเศร้า
“บางทีก็ลืมกันได้นี่คะ รินก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้”
“ลืม? เหตุผลแค่นี้น่ะเหรอ”
“ทำไมคะ ต้องหาเหตุผลอะไรเหรอคะ ในเมื่อเรื่องของเรา คุณก็รู้อยู่แก่ใจ”
“มันก็ใช่ แต่” ศึกรบพูดอะไรไม่ออก
“รินเป็นดารา ถ้ารินท้อง ซักวันคนอื่นก็จะรู้ แล้วไม่ว่ายังไง รินจะไม่ยอมทำแท้ง รินจะเก็บเขาไว้ ถึงพ่อเขาจะไม่ต้องการก็เถอะ”
ระรินแกล้งพูดดักคอ
“ผมยังไม่ได้บอกว่าผมไม่ต้องการเขา”
“งั้นคุณก็รับผิดชอบทั้งริน ทั้งลูกสิคะ รินขอแค่ทะเบียนสมรส คุณให้ไม่ได้เหรอ คุณกับคุณขวัญก็ยังไม่มีลูกด้วยกัน แต่เรากำลังจะมีลูกของเรานะคะ คุณรบ”
ศึกรบถอนหายใจ พลางคิดหนัก
ป้อมเดินหน้าเครียด ออกมากจากห้อง ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พลางนิ่งคิด เหมือนกำลังชั่งใจ
ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจกดชื่อศึกรบแล้วโทรออก แต่โทรไปแล้วไม่มีคนรับสาย ป้อมร้อนใจ พยายามกดโทรอีก
ระรินจ้องหน้าศึกรบนิ่ง ในที่สุดศึกรบตัดสินใจพูดออกมา
“ผมจะคิดดูก่อน”
“ไม่ค่ะ” ระรินเสียงแข็ง
“ทำไมล่ะ”
“รินอยากได้คำตอบ พรุ่งนี้”
ระรินพูดอย่างเป็นต่อ ศึกรบยิ่งลำบากใจขึ้นไปอีก
“ผมขอเวลาสองวัน”
ระริน มองศึกรบยิ้มๆ
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงต้องพรุ่งนี้เท่านั้น”
“แต่ผมมีหลายเรื่องต้องจัดการ”
“จะอะไรนักหนาคะ ทำไมตัดสินใจเลยไม่ได้ หรือว่าคุณจะไม่รับผิดชอบ”
ศึกรบเริ่มโกรธ
“ผมตัดสินใจได้ แต่ผมไม่ชอบให้ใครมาบังคับ หรือบอกให้ผมทำอะไร มันกะทันหันมาก ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม เข้าใจไหมริน”
ระรินรู้ว่าศึกรบเริ่มโกรธ ก็เลยอ่อนลง พลางเข้าไปจับมือศึกรบไว้
“เข้าใจ ก็ได้ค่ะ สองวันนะคะ รินจะรอ”
ศึกรบมองหน้าระริน ด้วยความลำบากใจ ในขณะที่ ระรินไม่พอใจ แต่ก็ฝืนยิ้มออกไป
ศึกรบเดินหน้าเครียดออกจากร้าน กลับมาที่รถ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมา พลางกดดู เห็นเบอร์ป้อมโทร. เข้ามาหลายครั้ง ศึกรบนึกแปลกใจ แต่ก็รีบโทรกลับ
“คุณรบเหรอครับ”
“เกิดอะไรขึ้นป้อม ทำไมโทรมาเยอะขนาดนี้” ศึกรบถามอย่างร้อนใจ
“คุณรบครับ พี่ปองกำลังจะขายร้าน”
ศึกรบตกใจ “อะไรนะ ขายร้านดอกไม้เหรอ”
“ใช่ครับ ผมไม่อยากให้พี่ปองขายมันไป ช่วยผมด้วยเถอะ ผมจะยอมรับข้อเสนอของคุณ”
“ได้ นายไปห้ามพี่สาวนายไว้ เดี๋ยวเรื่องร้าน ฉันจัดการเอง”
ศึกรบวางสาย หน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม
อ่านต่อตอนที่ 15