รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 13
คุณยายรางค์กับโจ นั่งคุยกันอยู่ที่ร้านไอติมใกล้ๆ คอนโดของวนิษา
“ขอโทษนะที่ทำลับๆล่อๆแบบนี้ อยากคุยแบบเห็นหน้าแต่ไม่อยากให้วนิษารู้เรื่อง”
“คุณยายมาหาผมแบบนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นดีเหมือนกัน”
คุณยายวรางค์หัวเราะ
“ก็เป็นเรื่องภารกิจลับๆอ่ะนะ คนอื่นอาจจะตื่นเต้นแต่เธอคงจะชินอยู่แล้วล่ะ”
“ลองบอกมาก่อนสิครับว่าเรื่องอะไร”
คุณยายวรางค์ ถอนหายใจ
“บอกตรงๆว่าฉันไม่เห็นด้วยที่วนิจะบวช แต่ฉันไม่อยู่ในฐานะที่จะไปขัดขวางอะไรเขาได้”
“ทำไมล่ะครับ” โจแปลกใจ
“เราบวชเพื่อแสวงหาการหลุดพ้น เราบวชเพราะเราเห็นแล้วว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้เรา
มัวเมาลุ่มหลง เราบวชเพราะเราในศรัทธาในพระธรรมของพระพุทธเจ้า เราไม่ได้บวชเพื่อหนีปัญหา”
“คุณยายไม่เห็นด้วยที่คุณวนิจะบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สามีทั้งสามของเธอเหรอครับ”
คุณยายวรางค์ พยักหน้า
“ที่ผ่านมาวนิษาทำบุญมากมายให้บรรดาสามีของเธออยู่แล้ว คำว่าบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลน่ะ
เป็นเพียงข้ออ้าง เธอแค่จะใช้วัดเป็นที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกที่เธอกลัวและไม่กล้าที่จะอยู่อีกต่อไป”
“หลายคนก็ทำแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่ แต่พวกเขาจะไม่ได้พบความสุขสงบอะไรหรอก การบวชแบบนั้นเป็นแค่การหลอกตัวเอง”
“ผมเห็นด้วยกับคุณยายครับ”
คุณยายวรางค์ ฟังคำตอบของโจ ด้วยความแปลกใจ
“ผมเป็นเด็กวัดครับ แบบที่คุณยายพูดผมเห็นมามากแล้ว”
“ฉันไม่อยากให้วนิษาเป็นแบบนั้น”
“แล้วคุณยายจะให้ผมทำอะไร”
“ล้มงานบวชของวนิษาซะ”
โจหัวเราะเบาๆ
“ยากไปมั้งครับ ในเมื่อตอนนี้ใจเขาอยากบวชเต็มแก่ ส่วนผมก็เป็นแค่คนขับรถ คุณยายจะให้ผมทำยังไงเหรอครับ”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนเก่ง เอางี้ถ้าเธอทำสำเร็จ ฉันมีค่าจ้างให้”
วรางค์หยิบกล่องกระดาษเล็กๆออกมา เปิดฝากล่องให้โจดู
“นี่มัน”
คุณยายวรางค์ปิดฝากล่อง
“เธอคงเข้าใจความหมายของมันดี ฉันไม่ได้เชียร์เธอ แต่ฉันให้โอกาสเธอ”
“ผมยอมรับว่าคุณยายดูไม่ผิด แต่คุณยายเก็บมันไว้เถอะครับ ผมมีฉายาโจตัวซวย ใครเป็นนายจ้างผมน่ะ ซวยตลอด”
“ฉันไม่เชื่อแล้วก็ไม่กลัว ฉันให้เธอทำงานฉันก็ต้องมีค่าจ้างให้ ตกลงเธอจะรับงานนี้ไหม”
โจเงียบไป
“ช่วยวนิด้วยเถอะนะ นายดาว”
โจนิ่งเงียบ พลางคิดถึงคำพูดของวนิษา
“ก็ดี ฉันจะบวช”
สีหน้าวนิษาดูเศร้ามาก
โจตัดสินใจ “ขอผมคิดดูก่อนนะครับ”
โจกลับมาถึงบ้าน แล้วก็เอาแต่นั่งเงียบ จนป๋องทนไม่ได้
“พี่กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”
“ถ้าวนิษาเป็นกาลกิณี เป็นผู้หญิงกินผัว ก็ถือว่าเธอเป็นฆาตกรทางอ้อม การบวชก็ถือเป็นการชดใช้ให้เหยื่อ ถือว่าทำถูกต้องแล้ว แต่ถ้าวนิษาไม่มีดวงกินผัว การตายของผัวสามคนก็ไม่เกี่ยวกับวนิษา ดังนั้นบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลก็ถือว่าไม่ถูกต้อง”
“แต่เราพิสูจน์เรื่องดวงไม่ได้นี่ครับ”
“ไม่แน่” โจพูดอย่างมั่นใจ “เช่นถ้าฉันหาหลักฐานได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการฆาตกรรม เป็นฝีมือของคน เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดวงอีกต่อไป”
“แต่จนป่านนี้เราก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเรื่องฆาตกรรม”
“ตอนนี้ฉันถึงลังเลว่าดวงกินผัวมีจริง แต่ว่าถ้าดวงกินผัวมีจริง โจตัวซวยก็มีจริง แต่ฉันรับเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะคนที่มีพระคุณที่สุดในชีวิตของฉัน คนที่เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน บอกฉันว่าโลกนี้ไม่มีโจตัวซวย”
“หมายถึงหลวงพ่อเหรอครับ”
โจ พยักหน้า
“ใช่ ท่านย้ำสอนฉันมาตั้งแต่เด็กๆ จนฉันรู้สึกว่า ถ้าฉันเชื่อเรื่องนี้ฉันจะเป็นคนเนรคุณต่ำช้าสามานย์ไปทันที”
“แล้วพี่จะเอายังไงครับ” ป๋องย้อนถาม
“เฮ้อ สับสนมากเลยว่ะ”
โจถอนหายใจ พลางหยิบหนังสือบนโต๊ะมาเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเรื่อง “ตรวจกรรมระดับนาโน โดย เม้ง จิตทิพย์”
“หมอนี่อาจจะแก้ปัญหาให้เราได้”
“เม้ง จิตทิพย์ พี่จะไปหาเขาเหรอ”
โจพยักหน้า
ออฟฟิศของ อ. เม้ง ซึ่งเป็นตึกแถวคูหาเดียว ค่อนข้างเรียบร้อย ดูทันสมัย ไม่มีของแปลกๆอะไรมาก มีเพียงโต๊ะหมู่บูชาและพระพุทธรูปธรรมดา แต่มีหนังสือเยอะมาก
อ. เม้งเปิดประตูเข้ามาในออฟฟิศ โจกับป๋องที่ซุ่มรออยู่ รีบหยิบหน้ากากไอ้โม่งมาสวม โจรีบปราดเข้าประกบ ขณะที่ป๋องไปปิดประตู แขวนป้าย CLOSED
โ“ถ้าไม่อยากตายอย่างี่เง่า”
อ. เม้งพยักหน้า โจรีบผลักลงไปนั่งที่โซฟา
“นี่ปืน 9 มม. กระสุนหัวอ่อน ถ้าฉันยิงแกระยะแค่นี้ หัวกระสุนจะพุ่งเข้าไปป่นกระดูกของแกจนเละ แล้วพุ่งออกอีกด้าน พร้อมกับตีคว้านเนื้อของแกหลุดออกมาด้วยแผลเท่ากำปั้น เข้าใจมั้ย”
อ. เม้งหน้าเสีย โจพูดเสียงเข้ม
“ฉันถามแกตอบ แกโกหกฉันยิงแก ตกลงไหม”
“ตะ ตกลงครับ”
โจจ้องตา อ. เม้ง
“ใครใช้ให้แกโกหกชาวบ้านเรื่องดวงกินผัวของคุณวนิษา”
อ. เม้งงงไปวูบหนึ่ง
“คุณวนิษา อ๋อ แม่ม่ายพันล้านคนนั้นน่ะเหรอ ใช่ ผมบอกเขามีดวงกินผัวหรือนารีบริโภคภัสดา
แต่ไม่มีใครจ้างผมหรอก”
โจเอาปืนกดหัวเข่า อ. เม้งหน้าเสีย
“ถ้าไม่อยากขาเป๋ก็บอกความจริงมา”
“ผมยืนยันไม่มีใครจ้างผม ดวงเธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“ฉันไม่เชื่อ ฉันจะยิงพุงแกละกัน ยิงตรงนี้แกจะทรมานสุดๆ ก่อนที่จะตาย ลำไส้ของแกจะขาด ไอ้ที่ทะลักออกมา ก็จะบวมพองจนยัดกลับเข้าไปไม่ได้”
โจเอาปืนกดพุง อ. เม้ง ที่กลัวจนตัวสั่น
“อย่ายิงผมเลย ผมพูดความจริง หมอดูอย่างผมต้องยึดสัจจบารมีเป็นที่ตั้ง ผมโกหกไม่ได้ ผิดคำพูดไม่ได้”
โจ แสยะยิ้ม
“เห็นพุงไม่มีค่าใช่มั้ย งั้นตรงกล่องดวงใจนี่ล่ะ”
พลางเอาปืนกดที่เป้ากางเกง แล้วขึ้นไกปืน อ. เม้งกลัวจนแทบจะร้องไห้
“ใครใช้แก”
“ไม่มีจริงๆ ผมดูตามตำราที่ผมเรียนมา อย่าทำอะไรผมเลย”
โจกดปืนลงไปอีก “ฉันจะยิงให้เละเดี๋ยวนี้เลย”
“ผมพูดความจริง ขอร้องล่ะ อย่ายิงผมเลย”
“ใครใช้แก” โจตะคอกถามย้ำ
“ไม่มีจริงๆครับ”
โจถลึงตา แล้วเหนี่ยวไก เสียงดังแชะ อ. เม้งอ้าปากค้าง โจเก็บปืน อ. เม้งรีบก้มดูเป้า โล่งอกสุดๆ รู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
“ขอถามอีกข้อ ดวงกินผัวมีจริงเหรอ”
“ใช่ครับ ตำราว่าไว้ ขอโทษนะ“
อ. เม้งกลัวจนเสียงแห้ง พลางเดินไปกดน้ำอุ่นจากกระติกน้ำร้อนบนโต๊ะ แล้วยกขึ้นจิบ จากนั้นก็เดินไปที่ชั้นหนังสือ ใช้เวลาไล่หาหนังสือเพียงแป๊บเดียวก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่ง เปิดออก ส่งให้โจ โจรับมาดู เห็นภาพที่ถ่ายจากคัมภีร์ใบลาน เป็นลายเส้นยึกยือ รูปผู้หญิง มีตัวอักขระคล้ายๆภาษาขอม ดูขลัง
อ. เม้ง รีบอธิบาย
“ดวงนารีบริโภคภัสดา ท่านว่าลักขณาวิกฤติผิดพื้นเพ ดาวจระเข้กลับหัวหางชี้ พุธ ศุกร์ เสาร์ขี่ซ้อน ล้านสมรหาได้หนึ่งนางเดียว ดวงขบเขี้ยวเคี้ยวผัวตายทุกคน ... ความหมายของมันคือเจ้าของดวงๆนี้หาเจ้าเรือนได้ยาก มีน้อยกว่าน้อย ต้องเกิดตอนดวงดาวทำมุมในลักษณะพิสดาร แต่พลังดวงนั้นรุนแรง ผู้หญิงเจ้าของดวงนี้
อยู่กินกับคู่คนไหน คู่ต้องถึงตาย”
โจวางหนังสือลง “มีทางแก้เคล็ดมั้ย”
“ดวงนี้เป็นหนึ่งในดวงอาถรรพ์โทษทั้งเจ็ด คือหมายถึงเป็น 7 พื้นดวงที่ไม่มีทางแก้เคล็ด ไม่มีทางผ่อนหนักเป็นเบา ถ้าเจ้าของดวงไม่อยากให้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นก็มีทางเดียว คือห้ามมีผัว”
โจถึงกับเงียบไป
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 13 (ต่อ)
โจกับป๋อง เดินคุยกันออกมาตามทาง
“ดูท่าทางแล้วปล่อยให้คุณวนิษาบวชดีกว่ามั้งพี่ ฟังกลอนแล้วขนลุกไม่หายเลย ตรงตามตำราเป๊ะ”
ป๋องพูดพลาง ทำท่าขนลุก
“กลอนนั่นท่าทางจะของเก่า ไอ้หมอเม้งคงไม่ได้แต่งเองแน่ๆ”
“คนสมัยก่อนไม่แต่งกลอนกันเล่นๆหรอกพี่ ผมว่ามันมีจริงนะ เราปล่อยคุณวนิษาบวชไปดีกว่า”
โจพยักหน้า “อืม ถ้าเราขัดขวางก็เหมือนเราปล่อยฆาตกรโรคจิตออกมาเพ่นพ่าน ไม่รู้ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของเธอ”
“ใช่ครับ”
โจหยุดนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ
“ไม่ว่ะ”
“อะไรนะครับ” ป๋องถามย้ำ
“ฉันเชื่อคุณยายว่ะ ฉันว่าเขาไม่อยากบวช เขาอยากให้ใครสักคนช่วยเขา”
ป๋อง ส่ายหน้า
“ใครจะไปช่วยเขาได้ ก็ดวงเขาเป็นอย่างนี้”
“ยัง ฉันยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องดวงกินผัว ถึงเชื่อก็ยังเชื่อครึ่งๆกลางๆ”
“โอ้โห เป็นเด็กดื้อน่าดูนะเนี่ย พี่ไม่เชื่อแล้วจะทำยังไงได้”
โจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันจะไปหาหลวงพ่อ”
โจเดินเข้าไปในวัด พวกศิษย์วัดที่กำลังตัดแต่งกิ่งต้นไม้อยู่เห็นโจก็เข้ามาทัก โจเอาถุงขนมที่หอบหิ้วมาส่งให้ พลางถามหาหลวงพ่อสีสุก ศิษย์วัดชี้บอกทาง
โจเดินเข้าไปยังบริเวณอุโบสถ เห็นหลวงพ่อกำลังกวาดเศษใบไม้อยู่ ก็รีบเดินไปหา พลางคุกเข่าก้มลงกราบ
“สวัสดีครับหลวงพ่อ”
“เจริญพรโจ”
หลวงพ่อดูโจอย่างพินิจพิจารณา “ไปนั่งสมาธิในโบสถ์ไป เดี๋ยวค่ำๆค่อยคุยกัน”
โจเข้ามาไหว้พระประธานในโบสถ์ พลางมองไปรอบๆ แล้วนั่งสมาธิ หลับตา ค่อยๆกำหนดลมหายใจ แต่พอนึกถึงหน้าวนิษา ก็สมาธิหลุด
โจกำลังนั่งกอดเข่าดูรูปเขียนที่ผนังโบสถ์เพลินๆ จู่ๆก็มีไม้เท้าเคาะหัว
“ โอ๊ย”
โจหันมาเห็นหลวงพ่อสีสุก ยืนทำหน้าดุอยู่
“บอกให้นั่งสมาธิ แล้วนี่ทำอะไร
“เอ่อ ผมไม่มีสมาธิน่ะครับ”
หลวงพ่อสีสุกเดินมานั่งตรงข้างหน้าโจ “ทำไมไม่มีสมาธิ”
“ก็มันฟุ้งซ่านครับ”
“ฟุ้งซ่านเรื่องอะไร” หลวงพ่อถามต่อ
“เรื่องคนคนนึง”
“ทำไมเป็นคนคนนี้”
โจเงียบไปพักหนึ่ง “เพราะผมชอบเขา”
“แล้วไง”
“เขากำลังเดือดร้อน ผมอาจจะช่วยเขาได้ แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะช่วยเขาดีไหม ผมเลยตั้งใจจะมาถามหลวงพ่อเรื่องนี้ เรื่องดวงเนี่ย”
“เรื่องที่เธอจะถามฉัน ฉันเคยตอบไปแล้วไม่ใช่หรือ”
โจพยักหน้า
“แล้วจะมาถามซ้ำทำไม”
“ผมเริ่มไม่แน่ใจ”
“คำตอบของฉันเหมือนเดิม ถ้าเธอไม่แน่ใจคำตอบของฉัน ฉันก็จนปัญญา เธอต้องหาคำตอบด้วยตัวเธอเอง”
“ตอบแบบนี้ หลวงพ่องอนผมรึเปล่าครับเนี่ย”
หลวงพ่อ ส่ายหน้ายิ้มๆ “เปล่า ฉันชี้ทางออกให้เธอ”
“งั้นผมถามใหม่ ถามดื้อๆเลยแล้วกัน ผมควรจะช่วยเธอไหมครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าควรจะช่วยหรือไม่ควรจะช่วยดี”
“ทำไมถึงควรจะช่วยเขา” หลวงพ่อย้อนถาม
“ก็ ผมว่าเขาน่าสงสาร”
“แล้วทำไมถึงไม่ควรจะช่วย”
โจถอนหายใจ “เพราะเขาอาจจะเป็นฆาตกร ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม”
“ถ้าใครคนหนึ่งเป็นฆาตกร เราสงสารคนคนนั้นไม่ได้หรือ”
“ผมว่าได้ครับ”
“เราจะช่วยคนที่เป็นฆาตกรไม่ได้หรือ”
โจพยักหน้า “เอ่อ ได้ครับ”
“ได้คำตอบรึยัง จะช่วยหรือไม่ช่วย”
“ผมจะช่วยเธอครับ ขอบคุณหลวงพ่อมากครับ”
หลวงพ่อ ยิ้มอย่างมีเมตตา
“ฉันยังไม่ได้บอกอะไรเธอเลยนะ ฉันแค่ถาม ทุกคำตอบมาจากตัวเธอเอง”
“แปลว่าผมคงสับสนจริงๆน่ะครับ”
หลวงพ่อถอนใจ
“ปกติเธอเป็นคนมีสตินะโจ แต่ฉันก็เข้าใจ รัก โลภ โกรธ หลง มันทำให้ขาดสติได้เหมือนกัน งั้นฉันจะแนะนำอะไรเธอสักอย่าง ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว”
“ครับ”
“ถ้าจะช่วยเขา จงช่วยด้วยเมตตา อย่าช่วยด้วยเสน่หา”
โจนิ่งคิดตามคำพูดของหลวงพ่อ
ทางด้านปฐม กำลังนั่งคุยอยู่กับใครคนหนึ่งในร้านก๋วยเตี๋ยว
“หาคนได้รึยัง เอามือเจ๋งๆ”
“ได้ประมาณ 3 - 4 คนเฮีย”
ปฐมพยักหน้า
“3-4 คนก็ได้ ฟังนะ ให้ลงมือในวันบวชของตั่วเจ๊ ลูกน้องลื้อต้องปลอมตัวเป็นลูกน้องเสี่ยเพ้ง เข้ามาป่วนให้เละ บอกว่าตั่วเฮียของอั๊วติดหนี้พวกลื้อ 50 ล้านบาท ตั่วเจ๊ต้องรับผิดชอบ แล้วอั๊วจะช่วยเสริมให้มันดูน่าเชื่อถือ ถ้าวัดเขาเชื่อว่าตั่วเจ๊ติดหนี้ตามที่ว่า เขาก็จะไม่ให้ตั่วเจ๊บวช”
“ครับ”
“ถ้ามีอะไรผิดแผน ลื้อด้นสดเลย ที่สำคัญที่สุด อย่าให้งานสำเร็จแค่นั้นพอไปได้ หัวเด็ดเท้าขาด ตั่วเจ๊ก็บวชไม่ได้ เข้าใจไหม”
“ไม่ต้องห่วงครับเฮีย เชื่อมืออั๊วเหอะ”
ปฐมพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม
“ฉันเห็นด้วยกับพี่โจว่าแม่เลี้ยงฉันน่ะ จริงๆแล้วไม่อยากบวชหรอก ฉันแอบได้ยินเขาร้องไห้ทุกคืน”
ปลายฝนบอกกับป๋อง ขณะที่ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ในฟาสต์ฟู้ด
“พี่โจก็ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยคุณวนิษาด้วยการทำลายงานบวชซะ”
“แล้วเขาจะทำยังไง”
ป๋องส่ายหน้า
“เห็นเขาคิดแผนมาหลายคืนแล้ว ยังคิดไม่ออก เรื่องของเรื่องคือต่อให้วางระเบิดถล่มวัดให้ราบ
แม่เลี้ยงเธอก็บวชวัดอื่น วันอื่นได้อยู่ดี”
“ใช่ หรือว่า พี่โจจะหาผู้ชายมาจีบเขา ให้เขาอยากมีแฟน”
“ฉันก็คิดเหมือนเธอเลย แต่พี่โจบอกคุณวนิษาตอนนี้น่ะ ยังไงก็ไม่มีทางคิดเรื่องผู้ชายหรอก”
ปลายฝน พยักหน้า “ก็จริง ผัวตายสามคนรวด แล้วเขาจะทำยังไงล่ะ”
“ไม่รู้ แต่เดี๋ยวเขาก็คงมีวิธีของเขานั่นแหละ”
ปลายฝนดูนาฬิกา พลางมองซ้ายมองขวา แล้วก็ยิ้ม
“มาแล้ว”
ปลายฝนลุกเดินออกจากร้าน ป๋องนั่งงง ปลายฝนย้อนมาจับมือป๋อง ดึงออกไปกับเธอ เห็นชายหนุ่มหล่อ มาดดี ยืนอยู่หน้าร้าน
“นี่พี่เอ็ม รุ่นพี่ฉัน ไง เท่มั้ย”
ปลายฝนแนะนำ ป๋องยิ้มแห้งๆ ให้
“หวัดดีครับ”
“สวัสดีครับ ป๋องใช่มั้ย”
“ครับ”
“ไปดูหนังด้วยกันมั้ย”
ป๋องส่ายหน้า แววตาเศร้า
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมต้องทำงานต่อ”
“อ้าวเหรอ”
“งั้นเราไปกันเถอะค่ะพี่เอ็ม เดี๋ยวไม่ทันดูหนัง”
“ไม่ต้องรีบก็ได้ฝน ไปตอนนี้ก็ต้องไปดูโฆษณาในโรงหนังเปล่าๆ”
ป๋อง รีบบอก
“สนุกออกครับ โฆษณาในโรงหนังน่ะดี๊ดี เสียเงินค่าดูหนังแล้วเขายังใจดีแถมโฆษณาให้เราดูอีกตั้งครึ่งชั่วโมง คุ้มสุดๆเลยครับ ไม่ดูนี่เสียสิทธิ์นะครับ”
เอ็มหัวเราะ “เพื่อนฝนนี่ตลกดีนะ”
“ค่ะ นิสัยดีด้วย”
“ยินดีที่รู้จักครับ” เอ็นยิ้มให้ป๋องอย่างเป็นมิตร
“เช่นกันครับ”
“ไปกันเถอะค่ะ”
ปลายฝนจับมือ พลางดึงเอ็มไป ป๋องมองตามไป พลางทรุดลงนั่งริมถนน คอตก ตี๋อ้วนเดินมากอดคอ
“ผมเข้าใจหัวอกคุณดี”
ป๋องหันไปมองหน้าตี๋อ้วนงงๆ “เรื่องอะไรวะ”
“เรื่องอกหักไงครับ ความร้าวรานแบบนี้ ไม่เคยโดนย่อมไม่เข้าใจ คุณชิงเธอไปจากผม วันนี้ก็มีคนอื่นชิงเธอไปจากคุณ โลกเรามันก็แบบนี้แหละเพื่อนเอ๊ย”
ป๋องฝืนหัวเราะ “อย่าบอกนะว่าจะชวนไปกินเหล้าให้เมาแบบคนอกหักน่ะ”
“ไม่ครับ ป๊าสอนว่าอย่ากินเหล้าตอนอกหัก”
“ป๊าแกท่าทางเป็นคนดีนี่”
ตี๋อ้วน ยิ้มอย่างภาคภูมิ
“ป๊าสอนว่าถ้าอกหัก ให้ไปจีบผู้หญิงคนอื่นแล้วก็ทิ้งเขาซะ เราจะได้รู้สึกดีขึ้น”
“โห เลวโพดเลย”
“ครับ ผมก็ว่าป๊าผมไม่ใช่คนดีหรอก เรื่องนี้ผมไม่เชื่อเขาหรอกครับ”
ป๋องหัวเราะ พลางจับหัวตี๋อ้วนขยี้เบาๆ
“ชักอยากรู้จักป๊าแกซะแล้ว”
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 13 (ต่อ)
โจกำลังหน้าเครียด เพราะยังหาวิธีล้มงานบวชไม่ได้ ขณะเดียวกันวนิษานุ่งขาวห่มขาวอยู่ในอุโบสถ กำลังสวดมนต์ไหว้พระประธาน ห่างออกมาวลัย ยืนคุยกับคุณยายวรางค์ และหนุงหนิง
“ไอ้ลูกคนนี้ มันเห็นแม่เป็นอะไรเนี่ย จะบวชวันนี้ โทรบอกเมื่อคืน เจริญจริงๆ มันคิดอะไรของมัน
กันแน่นะ”
วลัยบ่นอุบ คุณยายวรางค์ถอนหายใจ
“ฉันก็ไม่รู้หรอก เขาคิดของเขาเอง”
“แม่น่าจะห้ามหลาน วนิยังสาวอยู่แท้ๆ จะรีบบวชไปทำไม ผู้ชายดีๆมีในลิสต์ของหนูอีกเพียบ ดีๆหล่อๆรวยๆทั้งนั้น”
หนุงหนิงตาวาว “จัดให้หนูสักคนสิคะคุณวลัย หนูอยากมีผัวแล้วค่ะ”
“ทะลึ่งน่ะยัยหนุงหนิง”
คุณยายวรางค์หันไปเห็นหม่อมจันจิรา เดินมามาตามลำพัง ก็รีบเดินเข้าไปหา
“สวัสดีค่ะหม่อม”
“สวัสดีค่ะคุณวรางค์ ดิฉันไม่ได้มาสายใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอกค่ะ ยังสวดมนต์อยู่”
หม่อมจันจิราหน้าเศร้า
“สงสารวนิจัง โชคร้ายจริง เจอแต่เรื่องแย่ๆโถมซัดใส่ชีวิตจนแทบไม่ได้ตั้งหลัก”
“แปลว่าหม่อมก็ไม่เห็นด้วยกับการบวชเหรอคะ”
หม่อมจันจิราพนักหน้า
“ค่ะ แต่ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนใจเขาได้ยังไง และคิดว่าคงไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้ด้วย”
“อาจจะมี”
“ใครเหรอคะ”
“คนขับรถ”
หม่อมจันจิรางง คุณยายวรางค์มองไปรอบๆ แต่หาไม่เจอโจ ในขณะที่ อ.เม้งเดินเข้ามาในบริเวณ งาน หนุงหนิงรีบออกไปต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“หมอดูเม้งใช่ไหมคะ ไม่ทราบใครเชิญมาคะ”
อ. เม้ง ส่ายหน้า “ผมไม่ใช่หมอดูครับ ผมเป็นคนวิเคราะห์กรรมครับ”
หนุงหนิง เบ้ปาก “แหม ประดิษฐ์คำกันเหลือเกินนะ มันก็ไอ้หมอดูนั่นแหละว้า”
“คุณพูดจาแย่มาก ไปตามเจ้านายคุณมาคุยกับผมดีกว่า ว่าเชิญผมมาทำไม”
“เจ้านายฉันไม่ได้เชิญคุณมาแน่ๆ”
“นี่งานบวชคุณวนิษาใช่ไหม” อ. เม้งถามย้ำ
“ใช่ แต่คุณวนิไม่อยากให้คนอย่างคุณมางานนี้หรอก”
“เอ่อ มีคนโทรมาบอกให้ผมมางานนี้”
“แล้วคุณก็มา?” หนุงหนิงย้อนถาม
“ก็เขาบอกให้ค่าตัวดี เอ๊ย ไม่ใช่ เขาบอกมีอะไรดีๆให้ผมดู”
“ฉันไม่รู้ว่าใครโทรตามคุณมา ถ้าอยากอยู่ในงานก็อยู่ไป นี่งานบุญงานกุศล ฉันไม่อยากไล่ตะเพิดใครออกไป แต่กรุณาเก็บสุนัขไว้ในปาก อย่าปล่อยออกมาส่งเสียงระคายหูในงานนี้ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันโหดนะ”
หนุงหนิงชี้หน้า แล้วเดินจากไป อ. เม้งแค่นหัวเราะ พลางมองไปรอบๆ งงว่าใครเป็นคนโทร.เชิญ
อีกด้านหนึ่ง ระรินกับเพ็ญแขเดินเข้ามาในอุโบสถ มองซ้ายขวา เห็นวนิษานั่งสวดมนต์อยู่
“อุ๊ยตายละ มันเอาจริงเหรอเนี่ย ตอนแรกที่ได้ข่าวมานึกว่าพูดเล่นๆ”
เพ็ญแข ยิ้มเยาะ
“อาจจะบวชตอแหลก็ได้ แค่บวชไปงั้นๆแต่แอบเล่นเน็ตเข้าเว็บสยิวกิ้ว ดึกๆก็โทรเรียกพิซซ่ามากินแกล้มเบียร์อะไรเงี้ย”
ระรินนิ่งคิด
“จริงๆแล้วทางที่ดีที่สุดสำหรับคนอย่างมันคือฆ่าตัวตายไปซะ แต่เอาเถอะ ถ้ามันอยากบวช จะบวชจริงหรือบวชเก๊ก็ได้ สำคัญว่าบวชแล้วอย่าสึกแล้วกัน”
“เสียดาย ก่อนมันโกนผมอยากจิกหัวมันแล้วตบมันให้สะใจก่อน”
ระรินมองไปที่วนิษา แววตาแค้น
“เธอควรจะบวชมาตั้งแต่ตอนคุณชายแจ้ตายแล้วด้วยซ้ำ”
ปฐมจอดรถรออยู่หน้าวัด พลางมองดูนาฬิกา เริ่มกระสับกระส่าย พลันก็มีรถตู้คันหนึ่งมาจอดเทียบ เสี่ยเพ้งยื่นหน้ามา
“รอใครเหรอวะปฐม”
“เสี่ยไม่เกี่ยว”
“รอไอ้พวกนี้รึเปล่า”
เสี่ยเพ้งพูดจบ ประตูรถตู้ก็เปิดออก เห็นชายคนที่ปฐมติดต่อไว้ โดนซ้อมและถูกจับมัดพร้อมกับลูกน้องอีก 3 คน
“ผมขอโทษครับคุณปฐม พวกมันมาจากไหนไม่รู้ ผมไม่ทันตั้งตัวเลย”
ปฐมหน้าเสีย
“อั๊วกะอยู่แล้วว่าจะมีใครมาป่วนงานบวชของตั่วเจ๊ เลยหาป้องกันอยู่ห่างๆ แล้วก็เจอไอ้พวกนี้
คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะเป็นฝีมือลื้อนะ ปฐม”
“เสี่ยปล่อยพวกมันไปเถอะ พวกมันเป็นพวกรับจ็อบ มาจากต่างจังหวัด ไม่ใช่คนของอั๊ว”
เสี่ยเพ้ง จ้องหน้าปฐม
“อั๊วรู้ เดี๋ยวงานบวชเสร็จเรียบร้อยอั๊วก็ปล่อย แต่ที่มาเนี่ย อยากมาบอกให้ลื้อรู้ไว้ ยังไงงานบวชก็ต้องสำเร็จ จะบอกว่าอั๊วเป็น รปภ.ให้ตั่วเจ๊ของลื้อก็ได้ บอกพวกลื้อด้วยนะ ถ้ายังมีเหลือ ว่าอย่าลงมืออีกเลย เดี๋ยวจะเจ็บตัวเหมือนไอ้พวกนี้”
“อั๊วไม่มีพวกแล้ว”
เสี่ยเพ้งหัวเราะเบาๆ
“ดูเหมือนเราจะอ่านเกมส์ทางเดียวกันนะ พอตั่วเจ๊บวช แก๊งของตั่วเฮียก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ลื้อถึงต้องทำแบบนี้ใช่ไหม”
ปฐมยืนเงียบ เสี่ยเพ้งพูดต่อ
“อั๊วชอบลื้อนะ อั๊วว่าลื้อเก่ง พอแก๊งตั่วเฮียเจ๊ง อั๊วอยากได้ลื้อมาเป็นลูกน้อง นี่อั๊วพูดจริงๆนะ ขอจองตัวลื้อก่อนเลย”
เสี่ยเพ้งพูดพลางรีบปิดประตูรถ ทิ้งปฐมยืนทำหน้าเซ็งอยู่คนเดียว
แขกเหรื่อรวมกลุ่มกันบนศาลา หนึ่งในนั้นมีเสี่ยเพ้งรวมอยู่ด้วย ในขณะที่ปฐมนั่งอยู่อีกทาง
พิธีการเชิญวนิษามานั่งที่เก้าอี้ที่เตรียมไว้
“อันดับต่อไปจะเป็นการปลงผมคุณวนิษานะครับ ขอเรียนเชิญญาติๆและเพื่อนสนิทมิตรสหาย
มาช่วยกันตัดผมให้คุณวนิษาด้วย เพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งต่อตัวคุณวนิษาและทุกๆคนด้วย. อันดับแรก ขอเชิญ
คุณวรางค์ครับ”
คุณยายวรางค์เดินมา เจ้าหน้าที่ยื่นพานใส่กรรไกรให้
“วนิ เธอแน่ใจนะ”
วนิษาพยักหน้า “ค่ะ”
“ถ้าเธอยังยืนยันอย่างนั้น ยายก็ขออนุโมทนาด้วย”
“ค่ะ”
วนิษาหลับตาลง คุณยายวรางค์หยิบกรรไกร พลางจับผมวนิษา หนุงหนิงถือกระทงใบตองรอรับเส้นผม วนิษาตัวสั่น ทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“วนิ”
วนิษาพูดเสียงเครือทั้งๆที่ยังหลับตา
“ตัดเถอะค่ะ”
คุณยายวรางค์พยักหน้า
“เดี๋ยวครับ”
วนิษา และทุกคนในงานหันไปมอง เห็นโจเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณยายวรางค์
“มีอะไร”
ปฐมเดินเข้ามาดักหน้า แต่โจไม่สนใจ พลางมองไปที่วนิษา
“คุณวนิษา คุณไม่ต้องบวชหรอก”
วนิษา มองหน้าโจงงๆ “ทำไม”
“เพราะสามีคุณทั้งสามคนไม่ได้ตายเพราะดวงกินผัวของคุณ แต่เขาตายเพราะผม”
เสียงฮือฮาดังไปทั่ว ระรินกับเพ็ญแข เพ่งมองโจ
“หน้ามันคุ้นๆนะ”
ระรินมองโจอย่างไม่เชื่อสายตา“เป็นไปไม่ได้ หนูตามหาเขามาตลอด”
“หมายความว่ายังไง นายดาว”
“สามคนนั่นตายเพราะผม พวกเขาทั้งสามคนคือนายจ้างผม ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่า วันที่คุณบวชผมจะบอกความจริงกับคุณว่าผมเป็นใคร ผมคือ”
“แล้วนายเป็นใคร” วนิษาารีบถาม
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 13 (ต่อ)
“แล้วนายเป็นใคร” วนิษาารีบถาม
“ผม คือโจตัวซวย”
ระรินตกใจ “โจ”
วนิษา มองหน้าโจนิ่ง “ฉันไม่เข้าใจ”
“ผมมันไอ้โจตัวซวยเกิดมาพร้อมกับดวงซวยๆ ทำงานกับใคร นายจ้างมีอันต้องเป็นไป หรือไม่ก็วิบัติวายวอดหมดตัว และสามีทั้งสามของคุณคือนายจ้างของผม ก่อนหน้านี้ ปีก่อนช่วงที่ผมตกงาน ผมได้เปิดร้านทำป้ายขึ้นมา คุณชายแจ้ทายาทเจ้าของตลาด วาสุวงศ์ คือลูกค้าใหญ่คนหนึ่งของผมได้มาว่าจ้างให้ผมทำป้ายให้ใหม่ทั้งตลาด พอผมติดตั้งป้ายเสร็จเรียบร้อย ทางตลาดก็จ่ายเช็คที่มีลายเซ็นคุณชายแจ้ให้ผม ผมเอาเช็คเข้าบัญชีตอนเช้าตกเย็น สามีคนแรกของคุณก็ตาย”
ทุกคนมองโจอย่างประหลาดใจ โดยเฉพาะหม่อมจันจิรามองโจตาเขม็ง
“ต่อมาผมก็ต้องเปลี่ยนงานอีก คราวนี้ผมรับทำข้าวกล่องส่งออฟฟิศกับโรงงาน กำลังจะเจ๊งแต่โชคช่วยมีลูกค้ารายใหญ่มาสั่งข้าวกล่องให้ผมทำส่งวันละห้าร้อยกล่อง ผมแค่ทำข้าวกล่องอย่างเดียว ลูกค้ามารับเองถึงที่ ผมมารู้ทีหลังว่าข้าวกล่องของผมส่งไปที่บ่อนเสี่ยป๊อกแจกจ่ายกันกินกันทั้งพนักงาน ทั้งคนเล่น คุณปฐมเป็นคนจ่ายเงินค่าข้าวให้ผม และเงินนั่นก็มาจากซองที่ตั่วเฮียใส่มากับมือด้วยตัวเอง ผมรับงานส่งข้าวกล่องให้บ่อนได้แค่ไม่กี่วัน เสี่ยป๊อกก็เสีย ผมเปลี่ยนอาชีพอีกครั้ง คราวนี้ผมเป็นนักสืบ สืบหมดทุกอย่างตั้งแต่เมียหลวงจ้างสืบเมียน้อย เมียน้อยจ้างสืบว่าผัวเป็นเกย์รึเปล่า สารพัดคดี จนกระทั่งมีคนมาจ้างให้ผมสืบคุณ”
“สืบฉัน” วนิษาตกใจ ระคนประหลาดใจ
“ครับ สืบว่าคุณคือฆาตกรที่ฆ่าคุณชายแจ้กับเสี่ยป๊อกรึเปล่า”
“งั้นที่ผ่านมา”
“ผมหลอกคุณมาตลอด”
วนิษาจุกจนพูดไม่ออก พลางมองหน้าโจ ด้วยความโกรธและเสียใจ
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไป”
โจหน้าสลด “คุณวนิ ผมขอโทษ”
“ฉันไม่อยากได้ยินคำขอโทษ คุณนักสืบ คุณออกไปซะ”
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะพูดให้จบ”
วนิษาจะร้องไห้ แล้วก็รีบวิ่งออกนอกศาลา โจ และคนอื่นๆ รีบวิ่งตามไป
โจวิ่งตามมา พลางคว้าแขนวนิษาไว้
“ปล่อย”
โจไม่ปล่อย วนิษาตบหน้าฉาดใหญ่ โจไม่สนใจ พลางพูดต่อ
“ผมตั้งใจทำคดีของคุณเป็นพิเศษ เพราะถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าคุณคือฆาตกร ก็แปลว่าผมไม่ใช่โจตัวซวย”
วนิษากัดฟันพูดทั้งน้ำตา ขณะที่คนอื่นๆตามมา บางคนด้วยความห่วง บางคนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แล้วไงคะคุณนักสืบ”
“แต่ผมพิสูจน์ไม่ได้ว่าคุณคือฆาตกร ผมก็ต้องยอมรับความจริงว่าผมคือโจตัวซวย ผมทำให้คุณชายแจ้กับเสี่ยป๊อกต้องตาย รวมทั้งคุณกริชด้วย”
วนิษา ที่ยังโกรธอยู่ อดแย้งไม่ได้
“แต่คุณกริชไม่ใช่นายจ้างคุณ”
“คุณไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ คุณกริชจ่ายเงินให้ผม จ้างผมอำนวยความสะดวกให้เขาจีบคุณ หลังจากนั้นอาทิตย์นึง เขาก็ตาย”
วนิษามองหน้าโจ
“คุณรับเงินคุณกริชแล้วช่วยเขาจีบฉันงั้นเหรอ”
“ใช่”
วนิษากำหมัดแน่น รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด
“ดีมาก”
วนิษาตบหน้าโจอีกฉาด พลางหันไปหาปฐม
“คุณปฐม เขาพูดจริงหรือเปล่าคะ”
“จริงๆแล้วผมจำเขาไม่ได้หรอกครับ แต่รายละเอียดเรื่องการส่งรับข้าวกล่องนั้นถูกต้อง ทั้งเรื่องซองเงิน ทั้งเรื่องที่ผมไปจ่ายเงิน”
วนิษามองหน้าโจ
“แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นนายจ้างคุณ ทำไมฉันยังไม่ตาย”
“ผมแกล้งเป็นลูกจ้างของคุณเพื่อการสืบสวน แปลว่าจริงๆ แล้วแล้วคุณไม่ใช่นายจ้างผม”
“อ้อ นายจ้างคุณคือคนที่จ้างคุณสืบเรื่องฉันสินะ เขาเป็นใคร”
“เรื่องนั้นผมบอกไม่ได้”
“ฉันอยากรู้ว่าเขาตายรึยัง”
โจส่ายหน้า
โจส่ายหน้า“ยัง แต่ใครจะไปรู้ เขาอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้”
วนิษาร้องไห้เสียใจที่ถูกโจเปลี่ยนความไว้วางใจเป็นเรื่องผลประโยชน์
“ผมชวนคนคนนึงมา เพื่อมายืนยันเรื่องนี้”
พลางหันมาทาง อ. เม้ง “ผมเป็นคนโทรตามคุณมาเอง อาจารย์เม้ง”
อ. เม้งดูงงๆ แต่พอเห็นว่าทุกคนมองมา ก็ยิ้ม
“สวัสดีครับทุกท่าน ผม เม้ง จิตทิพย์ เชื่อว่าทุกท่านนี่นี่คงไม่มีใครไม่รู้จักผมนะครับ”
“อาจารย์เม้งคะ เขาเป็นตัวซวยจริงหรือเปล่าคะ”
“โลกนี้มีทั้งคนดวงดีและคนดวงซวย มีทั้งตัวนำโชคและตัวขัดลาภ และใช่ครับ โลกนี้มีคนที่เป็นตัวซวยอยู่จริงๆ แต่ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นตัวซวยจริงหรือเปล่าเนี่ย”
อ. เม้งเดินเข้ามาดูโจอย่างใกล้ชิด พลางพินิจพิจารณา โจหยิบบัตรประชาชนออกมาให้ดู
“นี่วันเดือนปีเกิดผม”
อ. เม้งดูบัตร แล้วส่งคืนให้ พลางหลับตานับนิ้วคำนวณครู่หนึ่ง ก็ลืมตาขึ้น
“ใช่ ชายคนนี้คือตัวซวย ไม่ใช่ตัวซวยธรรมดานะ คุณน่ะมีลักษณะบ่าวพิฆาตนาย ตำราว่าไว้
บ่าวพิฆาตนาย ดวงร้ายต้องโทษ บุรุษชะตาโฉด ใช้บาปบูชาคุณ แม้นรับอุปการะ จะพินาศสิ้นสูญ อาดูรจนตาย ใครรับเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำคุณหรือเป็นเจ้านายเป็นนายจ้าง ต้องเจอแต่ความหายนะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“เห็นรึยังครับ”
วนิษาหันมาถาม อ. เม้ง
“ถ้าอย่างนั้น สามีทั้งสามคนของฉัน ตายเพราะฉันหรือตายเพราะเขา”
“ปกติดวงอาถรรพ์ของผู้ชายจะแรงกว่าผู้หญิงหลายเท่า สามีคุณทั้งสามคนน่าจะตายเพราะดวงของเขามากกว่า”
“ไม่ใช่เพราะดวงกินผัวเหรอ”
อ. เม้ง ส่ายหน้า “ไม่น่าจะเกี่ยวกับดวงของคุณ”
“งั้นที่วนิษาบวชอุทิศส่วนกุศลก็ไม่จำเป็นน่ะสิ” คุณยายวรางคืถามขึ้นมาบ้าง
“การบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลนั้นถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่เรื่องจำเป็น ถ้าจะมีใครสักคจำเป็นต้องบวช ก็น่าจะเป็นตัวต้นเหตุมากกว่า ดวงบ่าวพิฆาตนาย หรือไอ้ตัวซวยนั่นเอง”
อ. เม้งหันมาชี้นิ้ว แต่โจหายไปแล้ว
โจก้มหน้าก้มตาก้มตาเดินจ้ำอ้าวออกมา ระรินเร่งฝีเท้าตามมาติดๆ
“คุณคะ คุณคะ รอก่อนค่ะ”
โจรีบจ้ำเร็วขึ้น ระรินตัดสินใจถอดรองเท้าวิ่งตาม
“บอกให้รอก่อน รอด้วยค่ะ”
โจเดินพ้นจากซอยแคบๆ สู่ถนนกว้าง พร้อมๆ กับที่ป๋องขี่มอเตอร์ไซค์มารับพอดี โจขึ้นไปซ้อน
“รีบไปเลย”
ระรินวิ่งมาถึงปากซอย รีบตะโกนไล่หลัง
“เดี๋ยวก่อน โจ”
ปฐมที่เดินตามมา แอบมองตาม
วนิษายืนคว้างอยู่กลางศาลา พลางมองดูพระพุทธรูป และข้าวของเครื่องใช้ที่เตรียมไว้สำหรับพิธี
คุณยายวรางค์เดินเข้ามาหา
“วนิ เธอจะเปลี่ยนใจมั้ย”
วนิษาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจ “หนูไม่บวชแล้วค่ะยาย”
คุณยายวรางค์ยิ้ม พลางสวดกอดวนิษา
“แต่ไหนๆก็มาแล้ว เดี๋ยวทำบุญใหญ่ ถวายสังฆทานให้ทั้งสามคนนั้นแทนดีกว่านะคะ”
“แบบนั้นน่ะดีแล้ว”
วลัยเห็นวนิษาตัดสินใจแบบนี้ ก็โล่งอก ในขณะที่เสี่ยเพ้งหงุดหงิด
“หาเรื่องเดือดร้อนซะแล้ว ยัยตั่วเจ๊”
วนิษาถวายสังฆทาน จากนั้นก็กรวดน้ำ ก่อนที่จะเทน้ำลงบนใบไม้ที่โคนต้นไม้ใหญ่ ใบหน้ายังดูเศร้าสร้อย
“ขออุทิศส่วนกุศลให้คุณชายแจ้ ตั่วเฮีย แล้วก็คุณกริชค่ะ”
อ่านต่อตอนที่ 14