xs
xsm
sm
md
lg

สุสานคนเป็น ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุสานคนเป็น ตอนที่ 13 

สวาทถือถาดเครื่องเซ่นมาที่สุสาน ฉ่ำเห็นถาดและปริมาณอาหารมากมายก็อดถามไม่ได้

“แม่หวาดจะเอาไปไหน หรือว่าจะเอามาให้ฉันกิน กำลังหิวอยู่พอดีเลย”
“ไม่ใช่ของเอ็ง ไอ้ฉ่ำ แต่เป็นของคุณผู้หญิง เจอเอ็งก็ดีแล้ว เอาไปที่สุสานทีสิ...”
ฉ่ำสะดุ้งแล้วก็ส่ายหน้า“เฮ่ย ข้ายังตัดกิ่งไม้ไม่เสร็จเลย เอ็งน่ะแหละ คุณผู้หญิงท่านเมตตาเอ็ง ตายแล้วท่านก็ยังคงเมตตาเอ็งอยู่ดี ไม่เหมือนข้าโว้ยข้าน่ะรับใช้แต่คุณชีพ...คุณผู้หญิงเลยไม่ค่อยชอบหน้าข้า”
“เอ็งนี่นะ หาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองอยู่เรื่อย ระวังจะได้นอนนอกบ้านนะไอ้ฉ่ำ..”
สวาทสะบัดหน้าแบกถาดอาหารไป ฉ่ำมองตามแล้วบ่นเบาๆ
“เออ ยอม...ดีกว่าต้องเจอผีคุณผู้หญิง ปากดีนัก ขอให้เจอดี...นังหวาด”


สวาทรีบวางถาดอาหารด้วยความกลัวจนมือสั่น เธอวางถาดแรงไปทำให้น้ำในแก้วกระฉอก
“อุ๊ย...”
สวาทรีบยกมือไหว้เร็วๆ ด้วยความกลัวแล้วรีบเปิดประตูวิ่งออกไป ประตูปิดเองดังปัง สวาทสะดุ้งสุดตัว
“ว้าย..พ่อแก้ว แม่แก้ว กลัวแล้วเจ้าค่ะ...”
ลั่นทมประคองชีพให้นั่งลงที่หน้าถาดเครื่องเซ่น
“น้าหวานทำกับข้าวน่ากินทุกอย่างเลย...ชีพกินซะนะ จะได้มีแรง”
“ไม่ ฉันไม่กิน ฉันอยากออกไปข้างนอก...แล้วถ้าฉันออกไปได้วันไหน ฉันจะเผาสุสานหลังนี้ ศพของแกจะได้ถูกเผาไปด้วยไง...นังลั่นทม...นังปีศาจ”
ลั่นทมมองหน้าชีพอย่างน้อยใจ
“ทมทำดีกับชีพทุกอย่าง ตอนมีชีวิตอยู่ ชีพก็ไม่เคยเห็นใจทมทมตายไป ชีพก็ยังเป็นเหมือนเดิม...”
“เออ รู้ไว้ด้วยว่าฉันเกลียดแก...เกลียดๆๆ ขยะแขยงแกยิ่งกว่าอะไร”
“ดี...ถ้างั้น ชีพจะตายไวไม่ได้หรอก ทมจะต้องทำให้ชีพตายช้าที่สุด จะได้ทรมานที่สุดไง” ลั่นทมเสียงดังทรงอำนาจ “กิน...กินให้หมด...กินสิ”
ชีพกินข้าวเหมือนถูกสะกด ลั่นทมมองชีพด้วยความร้าวรานใจ ชีพฝืนปัดจานข้าวตกหกเรี่ยราด
“ไม่กิน...”
ลั่นทมพูด “กิน”
“ฉันไม่กิน...”
ลั่นทมน้อยใจแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่กินก็อย่ากิน ทมจะให้ชีพตายอย่างทรมานช้าๆ จะได้รู้ว่ารสชาติของคนที่ใกล้ตายมันเป็นยังไง”


สวาทวิ่งหน้าตาตื่นและร้องครางด้วยความกลัวสุดขีด เขาวิ่งมาชนฉ่ำที่เดินอยู่หน้าบ้าน “นังหวาด เป็นอะไรวะ” ฉ่ำถาม
“ผะ...ผี น่ะสิ ข้าว่าต้องใช่แน่ๆ”
วิเวกกับสมพรซึ่งยืนอยู่มุมหนึ่งมองมา
“ถ้ามาจากสุสานจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอกแม่หวาด...ก็ต้องใช่แน่”
“ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ คุณผู้หญิงถึงหลอกเอา...”
“ก็...” สวาทชะงักเมื่อเห็นอุษายืนมองมายังเธออยู่ที่หน้าบ้าน
“ไม่มีอะไร ข้าซ้อมวิ่งว่ะ...” สวาทว่า
“น้าหวาด ตามฉันไปที่ห้อง...”
อุษาเดินหันหลังกลับ สวาทหน้าซีดแล้วบอกกับทั้งสามคน
“ไม่ใช่คุณอุษาไล่ข้าออกนะ ข้าไม่ได้โกหกนะโว้ย ข้าโดนหลอกจริงๆ น่ากลัวว่ะ..ไอ้ฉ่ำ”


อุษามองหน้าสวาทด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ษาไม่อยากให้ใครพูดถึงคุณน้าในทางน่ากลัว”
“แต่นังหวาดเจอดีจริงๆนะคะคุณอุษา ขนาดวิ่งหนีออกมา ประตูยังปิดเองดังปังเลยค่ะ” สวาทบอก
พูดจบประตูของอุษาก็เปิดแล้วปิดเอง สวาทสะดุ้งสุดตัว ลั่นทมยืนอยู่ที่ประตูมองมาที่ทั้งสองคน
“หรือว่าคุณน้า...” อุษาเอะใจ
สวาทกระเถิบเข้าไปหาอุษา “คุณอุษาขา ถ้าต่อไปนี้ใครใช้ให้อิฉันไปที่สุสานอีก อิฉันขอลาออกเจ้าค่ะ”
อุษามองหน้าสวาทพลางครุ่นคิด “ไปได้แล้วน้าหวาด...”
สวาทรีบคลานออกไป อุษากดโทรศัพท์แล้วนิ่งฟังรอเสียงจากปลายสาย
“ลุงหมอ...ษาอยากให้ลุงหมอช่วยษาอีกสักครั้งนะคะ”


ผันพยักหน้าพูดโทรศัพท์อยู่
“แสดงว่าวิญญาณคุณนายลั่นทมอาละวาดแล้วละ...เฮ้อ จะมีใครตายอีกหรือเปล่านะ..ลุงก็ต้องหาวิธีการก่อนนะหนูอุษา”
ธารินทร์เดินออกมายืนฟัง
“เอาเถอะ ลุงรับปากว่าจะช่วย” ผันเห็นธารินทร์ “แค่นี้นะหนู”
ผันวางโทรศัพท์ ธารินทร์ถาม “ษาให้พ่อช่วยทำอะไรอีกล่ะ” ผันอึกอัก “บอกผมมาดีกว่าพ่อ”
ผันถอนหายใจธารินทร์พูดต่อ “ถ้าคิดจะให้หยุดวิญญาณคุณน้าลั่นทมล่ะก็ ผมว่าไม่มีประโยชน์หรอก เพราะคนที่จะทำได้มีแค่สองคนเท่านั้น”
“ใครวะ”
“คุณน้าชีพกับรสสุคนธ์ ถ้าทั้งสองคนยังไม่สำนึกผิด วิญญาณคุณน้าลั่นทมก็ไม่มีวันจะเลิกอาละวาดแน่...”
ธารินทร์เดินออกไป ผันมองตามด้วยสีหน้ามีพิรุธ
“ไอ้หมวด จะให้พ่อทำไงวะ พ่อรับปากหนูอุษาไปแล้วนี่หว่า”

ผันถือโทรศัพท์รอสายอยู่
เสียงจรัลดังจากปลายสาย “ สวัสดีครับผมจรัล”
“คุณจรัลครับผมผัน...เป็นพ่อหมวดธารินทร์แฟนหนูอุษา”
จรัลนึกได้ “อ๋อครับผมเคยได้ยินหนูษาพูดถึงหมอผัน ที่เป็นคนทำให้ คุณนายลั่นทมฟื้นขึ้นมาได้ มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”
“ผมขอปรึกษาหน่อยในฐานะที่คุณติดต่อกับวิญญาณได้ ผมทนหนูษารบเร้าไม่ไหว..ต้องหาทางติดต่อกับคุณนายลั่นทม คุณนายจะเคืองผมมั้ยเนี่ย ขนาดคุณเธอยังไม่ยอมมา”
“คงไม่มั้งครับเพราะคุณลุงดีต่อเธอ”
“ถ้าผมจะขอร้องให้คุณมาที่นี่ เราลองมาช่วยกันจะได้มั้ย”
“ผมติดต่อเธอไม่ได้ครับที่เธอมาก็มาเอง และเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผม เธอขอร้องไม่ให้ผมยุ่งเธอจะจัดการเอง”
ผันทวนคำ “จัดการเอง”
“เธอไม่ฆ่าคุณชีพหรอกครับ แต่เธอจะทำยังไงนั้นผมไม่อาจรู้ได้”
ผันนิ่งอึ้งแล้ววางสายด้วยอาการลังเล เขามองไปที่ธูปเทียนซึ่งวางอยู่มุมหนึ่ง


ผันที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะพระพนมมือ
“เมื่อคุณจรัลติดต่อคุณนายลั่นทมไม่ได้ ผมก็ขอบารมีคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยผมด้วยเถอะ ผมจะนั่งสมาธิติดต่อกับคุณนายช่วยเปิดทางให้ผมด้วยเถิดครับ”
ผันก้มกราบแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิ

ธารินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยมีอุษานั่งอยู่ตรงข้าม บนโต๊ะมีกับข้าวหลายอย่าง หวานกับสวาทยืนอยู่ไม่ห่างหวานกับสวาทสบตากันในบรรยากาศชวนอึดอัด
“ษาสงสารคุณน้า เลยขอให้คุณลุงหมอช่วยติดต่อกับวิญญาณคุณน้าค่ะรินทร์”
“ษาก็รู้ว่าพ่อผมทำแบบนี้ไม่ได้หรอก ท่านเป็นหมอสมุนไพรไม่ใช่หมอผี...” ธารินทร์บอก
“แต่ตอนนี้น้าชีพหายไป รสสุคนธ์ คุณนฤมลและเกือบทุกคนในบ้าน เจอแต่เรื่องแปลกๆ”
“ใช่ค่ะ วันนี้นังหวาดก็เจอ”
หวานส่งสายตาปรามสวาท สวาทก้มหน้ายิ้มแหย“ขอโทษค่ะ...”
“คิดว่าหมอผันจะช่วยได้มั้ยคะ”

ผันสะดุ้งตื่นในท่านั่งสมาธิ ต้อยติ่งที่แต่งชุดนักเรียนนั่งขำ
“กลับมานานหรือยังต้อยติ่ง” ผันถาม
“ก็นานจนได้เห็นพ่อนั่งหลับสัปหงกอยู่ตรงนี้แหละจ้ะ” ต้อยติ่งว่า
“ไม่ได้หลับ แต่ข้านั่งสมาธิโว้ย”
“มีกรนแล้วก็น้ำลายไหลด้วยนะพ่อ นี่มันสมาธิขั้นไหนกันล่ะ”
“เออๆๆ กลับมาแล้วก็ไปอาบน้ำซะ จะได้ทำการบ้าน”
“จ้ะพ่อ...”
ต้อยติ่งเดินออกไปแล้วหันมาส่งสายตาล้อๆ ผันมีสีหน้าไม่สบายใจแล้วก็ยกมือไหว้พระ
“เมื่อไม่เปิดทางให้ผมติดต่อกับคุณนายลั่นทมได้ ผมก็ขอเลิกยุ่งกับเรื่องนี้แล้วละครับ”

ธารินทร์เริ่มต้นกินข้าว แต่อุษายังไม่ยอมกินแล้วเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ไปที่สุสานกันเถอะค่ะ”
ทุกคนตกใจ สวาทถอยฉากออกมาแล้วส่ายหน้า
“นังหวาดไม่ไป นังหวาดยอมตาย”
ธารินทร์วางช้อนแล้วรีบตามอุษาไป
“ไปทำอะไรกันษา นี่มันจะค่ำแล้วนะ”
“ษาเชื่อว่าคุณน้าไม่ทำอะไรพวกเราหรอกค่ะ ษาว่าต้องมีอะไรแปลกๆ สักอย่างแน่...ไม่งั้นคงไม่ดลใจให้น้าหวาดตักข้าวเยอะๆ หรอก...บางทีน้าชีพอาจอยู่ที่นั่นก็ได้”
“ษา...ผมว่า...”
“ใครไม่ไป ษาไป”
อุษาเดินนำไปก่อน ธารินทร์ร้องเรียก “ษา..รอด้วย...”
หวานฉวยมือสวาท “นังหวาดไปที่สุสานกัน”
“ไม่ ฉันไม่ไป น้าหวานจะไปก็ไปคนเดียวสิ” สวาทบอก
หวานไม่สนใจ เธอดึงมือสวาทไป สวาทยื้อไว้แต่ไม่เป็นผล
หวานออกคำสั่ง “ฉันก็อยากไปพิสูจน์เหมือนกันว่าแกโดนคุณผู้หญิงหลอกจริงหรือเปล่า...ไปเดี๋ยวนี้นังหวาด”
สวาทไม่กล้าขัดขืนจึงยอมเดินตามหวานไป รสสุคนธ์เดินนำนฤมลไป
“น้องรสจะไปทำไมกัน...” นฤมลถาม
“ตามมาสิพี่มล ฉันว่าคราวนี้เราได้เบาะแสแน่ว่าคุณชีพอยู่ที่ไหนท่าทางพวกมันมีพิรุธกัน”
ทั้งสองคนเดินไปทางสุสาน

ธารินทร์กับอุษายืนอยู่หน้าสุสาน หวานกับสวาทเดินมาถึงโดยที่สวาทยังกล้าๆ กลัวๆ
“มาสิ...” หวานชวน สวาทส่ายหน้า “งั้นก็รอที่นี่ หรือไม่ก็เดินกลับไปซะ”
หวานตามไปข้างใน สวาทเหลียวมองไปรอบๆ แล้วก็นึกหวาดๆ จึงตัดสินใจเข้าไปข้างใน รสสุคนธ์กับนฤมลยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่ง
“เดี๋ยวพวกมันออกมา เราก็รู้เองแหละน้องรส ไม่ต้องตามเข้าไปหรอก”
รสสุคนธ์ไม่ตอบ เธอมองตามเข้าไปด้วยความหงุดหงิด

ธารินทร์รับอุษาเดินเข้ามาในสุสาน หวานกับสวาทเดินตามเข้ามา ธารินทร์เปิดไฟจนสว่างทำให้เห็นโลงศพตั้งอยู่ อุษาเห็นเมล็ดข้าวตกเกลื่อนข้างเตียงนอน
“รินทร์ดูสิคะ...ทำไม”
“ไม่ปกติแล้วละษา นี่ถ้าไม่ใช่แมวก็ต้องมีคนเข้ามาในนี้”
อุษาส่ายหน้าแล้วมองไปที่โลงศพ “เกิดอะไรขึ้นกับคุณน้าคะ...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้”
ชีพนอนหมดแรงอยู่บนเตียงแต่ก็พยายามพูด
“ษา น้าอยู่นี่ มองมาทางนี้สิ ทำไมไม่เห็นน้าเหรอ”
ลั่นทมนั่งอยู่ข้างชีพ เธอจ้องหน้าชีพถมึงทึง
“บอกแล้วไงว่าไม่มีใครได้ยินเราหรอก...เว้นแต่ทมจะทำให้พวกเขาเห็นหรือได้ยิน”
“ก็ทำให้เข้าได้ยินสิ...” ชีพว่า
อุษาเดินออกไปข้างนอก ส่วนธารินทร์เดินวนหาหลักฐาน
“เดี๋ยวอิฉันจะทำความสะอาดให้นะคะ” หวานบอก “นังหวาดช่วยกัน”
“หือ...ไม่เอาหรอก น้าหวานทำเถอะนะจ๊ะ...ฉันไหว้ละ” สวาทยกมือไหว้
“เหลวไหลน่า...”
“หึ ไม่เอา...”
“งั้นแกทำความสะอาดตรงอื่น ข้าทำตรงนั้นเองก็ได้”
หวานชี้ไปที่เมล็ดข้าวแล้วก็อึ้งจึงชี้ค้างไว้อย่างนั้น เพราะหวานเห็นลั่นทมนั่งอยู่ข้างชีพ
“ไม่ต้องบอกใครนะหวาน...” ลั่นทมพูด
“ค่ะๆ” หวานพยักหน้า
“อะไรเหรอน้าหวาน”
“เปล่า...ไม่มีอะไร...”
อุษาสมทบกับธารินทร์มองไปรอบๆ
“รินทร์ว่ามีคนเข้ามาหรือเปล่า”
ธารินทร์ถามสวาท “ตอนที่น้าหวาดมาที่นี่ มาคนเดียวหรือว่า...”
“มาคนเดียวค่ะคุณรินทร์ ชวนไอ้ฉ่ำมา แต่มันไม่ยอมมา...” สวาทบอก
“ถ้างั้นก็คงแมว...ช่วยกันดูซิว่ามีอะไรเสียหายบ้างหรือเปล่า..”
สวาทเดินไปสมทบกับธารินทร์กับอุษา
“คนจะเข้ามาได้เหรอคะ น่ากลัวยังงี้ แล้วคิดว่ามันจะเข้ามาเอาอะไรคะ”
“ผมก็ตอบไม่ได้ครับ..”
หวานใช้ไม้กวาดกวาดเศษข้าวสุกที่เกลื่อนพื้น จานใส่อาหารวางเค้เก้อยู่มุมหนึ่ง หวานเอื้อมไปหยิบ ลั่นทมคว้าข้อมือหวานไว้ หวานตกใจ “อุ๊ย...”
จังหวะเดียวกับที่อุษากับสวาทเดินไปด้วยกัน แต่ธารินทร์หันมามองพอดี ธารินทร์ไม่เห็นลั่นทมแต่เห็นท่าทางของหวาน
ลั่นทมพูดกับหวาน “บอกหลานแม่หวานด้วยว่าให้กลับตัวกลับใจเสีย...ฉันให้อภัยทุกอย่าง แล้วฉันจะปล่อยให้เขาไปครองรักกับคุณชีพ..แต่ถ้าไม่...อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ แม่หวานจะโกรธฉันไม่ได้”
ชีพมองลั่นทมอย่างไม่พอใจ “นังปีศาจ...แกจะทำอะไรรสสุคนธ์ไม่ได้นะ เขาเป็นเมียฉัน”
ลั่นทมจ้องหน้าชีพ แล้วทั้งสองก็หายไป
หวานหลุดสะอื้นออกมา ธารินทร์ปรี่มาหา
“น้าหวานเป็นอะไร”
หวานได้สติ “ปละ...เปล่าค่ะ อิฉันแค่คิดถึงคุณผู้หญิงเท่านั้นค่ะ”
“งั้นแม่หวาดก็ไปช่วยน้าหวานเถอะ จะได้รีบกลับไป...”
สวาทไม่เต็มใจ แต่ก็รีบคว้าไม้กวาดไปช่วย หวานทำความสะอาด ตาของสวาทจ้องไปที่เตียง
ด้วยสีหน้าหวาดๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร ชีพพยายามสะกิดตัวสวาทแต่ก็ไม่ถึง พอจะถึง สวาทก็ขยับตัวออกจนงานเสร็จ
“สะ...สะ...เสร็จแล้ว...ค่ะ...” สวาทบอก
ธารินทร์ปิดไฟ ทุกคนเดินออกไป ลั่นทมกับชีพมองตาม
“ตาบอดกันหรือไงวะ แค่นี้ก็มองไม่เห็น แกล้งกันนี่หว่า..อีพวกใจร้าย...มีแต่คนจ้องทำร้ายฉันกับรสสุคนธ์ ใจร้ายทั้งผีทั้งคน”
ชีพร้องไห้ฮือๆ ลั่นทมมองตามด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ทุกคนเดินมาหน้าบ้านลั่นทม อุษาบอกให้สวาทไปทำงาน
“แม่หวาดช่วยไปอุ่นกับข้าวให้ร้อนๆ ก่อนดีกว่า ษากับคุณรินทร์จะทานข้าวต่อ คุณรินทร์จะได้รีบไปอยู่เวร”
สวาทรับคำ “ค่ะๆ”
สวาทรีบเดินไป อุษากับธารินทร์เดินตามเข้าไป แต่พอหวานจะเข้าไป รสสุคนธ์กับนฤมลก็ออกมาจากมุมหนึ่ง
“น้าหวาน...เจอมั้ย...” รสสุคนธ์ถาม
หวานนิ่งมองรสสุคนธ์อย่างสมเพชแล้วส่ายหน้า
“เจออะไร...” หวานถามกลับ
“ก็คุณชีพไง นังผีลั่นทมมันเอาไปซ่อนไว้โลงศพหรือเปล่า หรือว่าเจอหลักฐานอะไรบ้าง แหม...อยากรู้จังว่าทำไมผู้หมวดธารินทร์ถึงไม่ลงโทษนังลั่นทมบ้าง ข้อหาลักพาตัวคุณชีพ..”
“นังรส เลิกนิสัยแย่ๆ แบบนี้เสียทีเถอะ แล้วก็กลับตัวกลับใจซะไปขออภัยคุณผู้หญิงกับข้า แล้วก็ออกไปจากบ้านนี้ซะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้ดีขึ้น”
“น้าหวานแน่ใจเหรอว่าถ้าน้องรสทำแบบที่น้าหวานบอกแล้วผีลั่นทมจะให้อภัย หรือว่าน้าหวานรู้เห็นเป็นใจสร้างเรื่องสร้างราว สร้างหลักฐานขึ้นมา พอน้องรสไปแล้ว ก็อุปโลกน์ว่าคุณชีพกับน้องรสหายตัวไป...แม่อุษาก็ได้สมบัติไปคนเดียว”
รสสุคนธ์จ้องหน้าหวาน “มันก็น่าคิดนะ...น้าหวานร่วมมือกับนังอุษาหรือเปล่า เอาตัวคุณชีพไปขังแล้วโทษว่าผีนังลั่นทมเอาไป...”
“โอ๊ย...นังรส รู้จักมองโลกในแง่ดีกับเขาบ้าง คนอื่นเขาไม่ได้ชั่วเหมือนเอ็งหรอก...ส่วนนังมล ข้าว่ารู้จักเอาความฉลาดไปทำให้ตัวเองกับลูกมีชีวิตรอดดีกว่ายุแหย่ให้นังรสมันชั่วมากกว่าเดิม จะดีกว่ามั้ย... ไม่รู้นะข้าเตือนแล้ว เมื่อไม่ฟังกันก็กรรมใครกรรมมัน”
หวานเดินเข้าไปในบ้าน “น้าหวานพูดแปลกๆ”
นฤมลพยักหน้าเห็นด้วย

หวานกับสวาทยืนอยู่ อุษาหันมาบอกทั้งสองคน
“น้าหวาน แม่หวาด มีอะไรก็ไปทำเถอะจ้ะ ถ้ามีอะไร ษาจะเรียกเอง...”
“เจ้าค่ะ คุณษา...”
หวานกับสวาทเดินออกไป อุษากับธารินทร์นั่งกินข้าวด้วยกัน ธารินทร์มองหน้าอุษาว่าควรพูดดีหรือไม่ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“ษาจ๊ะ ผมว่าษาควรจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณคุณน้าลั่นทมได้แล้วละ...”
ษาก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนี่คะ แต่ว่าน้าชีพหายไป รินทร์ก็รู้...”
“เชื่อผมเถอะทางเดียวที่จะทำให้วิญญาณคุณน้าสงบสุขก็คือเปลี่ยนรสสุคนธ์ให้เป็นคนดี”
“แล้วน้าชีพล่ะ...”
“ผมให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานอยู่ครับ สุสานคือที่สุดท้ายที่ผมจะเข้าตรวจค้น...ถ้ามีตำรวจมาที่นี่”
“ถ้าทำให้น้าชีพกลับมาบ้านได้ ษายินดีร่วมมือทุกอย่างค่ะ”
อุษามองออกไปข้างนอกแล้วระบายลมหายใจ


หวานยืนล้างจานอยู่ หวานนึกถึงตอนที่ลั่นทมปรากฏร่างให้เธอเห็น ยาใจกับจิ้มลิ้มเดินเข้ามา“น้าหวาน...” ยาใจเรียก
หวานสะดุ้งตกใจจนจานที่กำลังล้างร่วงหล่นจากมือ
“ว้าย...นังพวกนี้ เข้ามาก็ไม่ให้เสียง”
“น้าหวานใจลอยไปไหนกัน...”
“เปล่า...มาช่วยเก็บเศษกระเบื้องแล้วก็มาล้างต่อที...”
หวานล้างมือแล้วเดินออกไป
“เป็นไงนังยา...ทะลึ่ง จะล้อน้าหวานเล่น งานเข้าเลย..” จิ้มลิ้มว่า


รสสุคนธ์กลัดกลุ้มเพราะไม่มีเงินใช้
“โอ๊ย ไม่มีเงินใช้นี่...มันเหมือนตกนรกชัดๆ เลย นังลั่นทมนะ แกแกล้งฉัน...กะจะให้ฉันอดตายหรือไง”
รสสุคนธ์กวาดตัวไปทั่วห้องแล้วทำท่าฮึดฮัด
“อะไรที่ขายได้ แม่จะขายให้หมดบ้านเลย...ใครหน้าไหนอย่ามาขวางนังรสก็แล้วกัน นังรสเอาตายแน่...”
รสสุคนธ์เริ่มรื้อค้นข้าวของก่อนจะเปิดตู้แล้วรวบเสื้อผ้าของลั่นทมออกมากอง เธอมองดูด้วยความไม่ชอบใจ
“ใช้แต่ของดีๆ ทีเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ จะให้ฉันบ้างก็ไม่มีน้ำใจ โธ่เอ๊ย แกมันก็ดีแต่ปาก จิตใจโสโครก ต่ำยิ่งกว่าสัตว์”
รสสุคนธ์หยิบเสื้อผ้ารสสุคนธ์มาขว้างระบายอารมณ์ หวานเข้ามาพอดีจึงโดนเสื้อผ้าขว้างใส่ตัว
“นังรส เป็นอะไร...”
“น้าหวานเลิกยุ่งวุ่นวายกับฉันซะทีได้มั้ย ...น่ารำคาญ”
“ก็บอกมาก่อนสิว่าเป็นอะไร รื้อข้าวของคุณผู้หญิงออกมายังงี้มันไม่ปกติธรรมดาแล้วโว้ย นังรส เอ็งอย่าปิดข้า...เอ็งจะเอาของพวกนี้ไปไหน”
รสสุคนธ์ถอนใจยาวอย่างอ่อนแรงก่อนจะตัดสินใจอธิบาย
“น้าหวาน...ตอนนี้ฉันไม่มีเงินใช้เลย...ถ้าน้าหวานมีสักแสนสองแสนก็เอามาให้ฉันก่อน ฉันจะได้ไปจากที่นี่ ฉันก็เบื่อเต็มทีแล้ว..”
หวานหัวเราะใส่หน้าแบบหยันๆ “แสนสองแสน...ทุกวันนี้ข้ามีแสนสาหัส เพราะแกไงนังรสนังหลานชั่ว เดินไปทางไหนก็มีแต่คนก่นด่า...”
“ถ้าจะเข้ามาด่ากันก็ออกไปเลย”
“ข้าเดาว่าเอ็งจะเอาข้าวของคุณผู้หญิงไปขาย...”
รสสุคนธ์กระแทกเสียงใส่ “ใช่ มีปัญหาอะไรมั้ย...คนก็ตายไปแล้วนี่ จะเก็บไว้ทำบ้าอะไร...รักนัก หวงนักก็เอาไปนอนกอดสิ”
รสสุคนธ์ขว้างเสื้อผ้าลั่นทมใส่หน้าหวาน
“ออกไป๊...แล้วก็รู้ไว้เลยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างของนังลั่นทมมันต้องเป็นของฉัน...ผัวมันฉันยังเอามาเป็นของฉันได้นับประสาอะไรกับเสื้อผ้าสัปรังเคพวกนี้...”
“แกเอาอะไรมาทำใจวะนังรส...”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าไม่ตอบแต่พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ออกไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ข้าอยากเตือนแกนังรส กลับตัวกลับใจซะเถอะ...เผื่อว่าคุณผู้หญิงท่าน...”
รสสุคนธ์หันกลับมาตะคอกใส่หน้าหวานทันที
“ฉันไม่ฟัง...น้าหวานอย่าทำให้ฉันโมโหไปมากกว่านี้นะ”
“ตามใจแก เกิดอะไรขึ้น จะหาว่าข้าไม่เตือนนะ..”
หวานน้ำตาไหล เธอรีบป้ายน้ำตาเดินออกไปแล้วปิดประตู รสสุคนธ์หอบและสะอื้นไห้จนเห็นแผ่นหลังสะเทือน เสียงสะอื้นดังพร้อมกับเสียงอาฆาตแค้นของรสสุคนธ์
“ชาตินี้ แกไม่...ไม่มีวัน...ชนะฉันหรอก นังลั่นทม...ฮือๆ”


ผันเดินไปเดินมาครุ่นคิดอยู่ในบ้าน เขาเดินไปที่ห้องนอนของต้อยติ่งก็เห็นต้อยติ่งเห็นนอนหลับอยู่ ผันจึงลูบผมต้อบติ่งด้วยความรักและเป็นห่วง ผันเดินออกมานอกบ้าน ผันมองดูดวงจันทร์ ดวงจันทร์สุกสกาวอยู่บนฟ้า
“คุณอุษา ลุงจะลองดูนะ ลุงก็คงต้องใช้วิธีการของลุงแล้วละ..”
ผันหันมาหยิบธูปเทียนที่วางอยู่ข้างตัว

อ่านต่อหน้าที่ 2


สุสานคนเป็น ตอนที่ 13 (ต่อ)

รสสุคนธ์นอนหลับอยู่บนเตียง ขณะที่ชีพก็นอนอยู่ รสสุคนธ์ตื่นแล้วเหลือบมองเห็นชีพ

“ชีพ...คุณกลับมาแล้วเหรอ คุณกลับมาแล้วเหรอ”
รสสุคนธ์กอดและจูบชีพด้วยความดีใจ
“รสคิดถึงคุณ เป็นห่วงคุณแทบขาดใจ คุณหายไปไหนมาคะชีพ”
ชีพนอนนิ่ง รสสุคนธ์ระดมจูบไปทั่วใบหน้า ชีพโอบแผ่นหลังรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ซบไปที่ไหล่ของชีพแล้วพร่ำรำพัน
“คุณไม่อยู่ นังอุษากับพวกมันแกล้งรสสารพัด..ดีแล้วละที่คุณกลับมา...รสรักคุณนะ คิดถึงคุณแทบขาดใจ ทำไมไม่พูดอะไรเลย รักรสบ้างหรือเปล่านี่”
ชีพโอบกระชับมากขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงลั่นทม “รักสิ...”
รสสุคนธ์ชะงักแล้วถอนใบหน้าออก เธอเห็นหน้าชีพมีแต่หนอน รสสุคนธ์กรีดร้องเสียงดังแล้วพยายามดันตัวออก
“ปล่อย ปล่อย แกไม่ใช่ชีพ...”
ชีพพูดเสียงลั่นทม “ไหนว่ารักฉันไง รสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ทั้งกรีดร้อง ทั้งผลักไส เธอทำทุกอย่างเพื่อให้หลุดพ้นจากการกอดรัดของชีพแต่ก็ไม่สำเร็จ
ชีพกลายเป็นลั่นทมที่กำลังหัวเราะสะใจ ดวงตาน่ากลัว
ลั่นทมพูดเป็นเสียงชีพ “ไหนว่ารักฉันไง รสสุคนธ์...”
รสสุคนธ์ชะงักมองลั่นทมอย่างตกตะลึง
“ตกลงแกเป็นใครกันแน่ หา...ปล่อยฉัน...ปล่อย...”


รสสุคนธ์ผวาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ พอรู้ว่าตัวเองฝันไปก็ใจชื้นจึงระบายลมหายใจยาว
“ฝัน...มันก็แค่ความฝัน แกทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนังลั่นทม”


หน้าบ้านลั่นทมตอนกลางคืนเปิดไฟสว่าง ชั้นล่างหน้าสุสาน ตัวเรือนไทยมืดทะมึนในบรรยากาศน่ากลัว ผันลองผลักประตูรั้วดูก็พบว่าปรากฏว่าสามารถเปิดได้ ผันเดินเข้ามามองกราดไปทั่วแต่ก็ไม่เห็นใคร ในมือหมอผันมีธูปเทียนและไม้ขีด เขามองหาดอกไม้ก็เห็นดอกเข็มเขาจึงเด็ดแล้วเดินต่อไป


ประตูหน้าต่างของสุสานปิดหมด ภายในสุสานค่อนข้างมืด ผันเดินเข้ามาเปิดไฟ แล้วก็ต้องชะงักตาเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ
“เอ๊ะ” ผันพูดเบาๆ “ใครเปิดแอร์ทิ้งไว้”
ผันเดินไปปิดแอร์ พอถอยออกมาจะไปที่หน้าโลงศพ แอร์ก็เปิดเองอีก
ผันชะงักก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นแต่เรียบๆ “คุณ..นาย..ผม..มาดี”
ผันรวบรวมสมาธิไปที่หน้าโลงศพแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาจุดธูปปักวางดอกไม้ กราบศพลั่นทมแล้วมาเลือกมุมที่เหมาะเจาะเพื่อที่จะนั่งขัดสมาธิหลับตาเพ่งจิตเพื่อติดต่อสื่อสารกับลั่นทม วิญญาณลั่นทมปรากฏร่างขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาผัน ลั่นทมมีสีหน้าอ่อนโยน
“คุณลุงหมอคะ” ลั่นทมเรียก
ผันลืมตาขึ้น เมื่อเห็นลั่นทมเต็มตาเขาก็ตะลึงไปพักหนึ่งเพราะไม่กล้ากระดิกกระเดี้ย ลั่นทมก้มลงกราบผัน
“ทมขอกราบคืนค่ะ..ต่อไปไม่ต้องไหว้กราบทมนะคะคุณลุงหมอ มีพระคุณ” ลั่นทมพูด ผันขยับถอย “ไม่ต้องกลัวทมค่ะ ทมไม่ทำร้ายคนที่มีบุญคุณ”
ผันตะลึงจนตาค้างและพูดไม่ออก เมื่อได้สติเขาก็ลุกขึ้นเผ่นไปที่ประตูพร้อมกับร้องไม่เป็นภาษา “โฮ้ย”
ผันเปิดประตูออกไปด้วยความลนลาน ลั่นทมนิ่งสงบ ผันทรุดนั่งด้วยความตื่นเต้นมาก เขาจับอกตัวเอง แล้วหายใจลึกๆ
“คุณพระคุณเจ้าช่วย..ของจริงเลย”
ผันเหนื่อยหอบแต่แล้วก็พยายามตั้งสติ
“นี่เราออกมาทำไม..ก็จะเข้าไปเจอคุณนายไม่ใช่หรือ..จริงซี”
ผันตั้งสติใหม่แล้วกลับเข้าไปในสุสานพร้อมทั้งทำท่าฮึดสู้อย่างกลัวๆ กล้าๆ
ผันค่อยๆ เปิดประตูสุสานเข้ามาแล้วปิดประตู โดยไฟยังเปิด เมื่อผันมองไปทางเตียงนอนก็ชะงัก ชีพนอนหลับอยู่บนเตียงในสภาพเสื้อผ้าหน้าตาเนื้อตัวเลอะเทอะน้ำเลือดน้ำหนองจากในโลงเปรอะไปหมด
“เข้ามาซีคะคุณลุงหมอ อย่ากลัวทมเลยค่ะ”
ผันสะดุ้งเหลียวหาก็เห็นลั่นทมอยู่ไกลๆ ผันรวบรวมความกล้าเข้ามามองชีพอย่างตกตะลึง
“คุณชีพ”
“เขาไม่ยอมกินอะไร เลยหิวจัดหมดแรง หลับไป เลย แต่ยังไม่ตายหรอกค่ะคุณลุงหมอตั้งใจมาหาทมไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ใช่..คือเมื่อกี้ตกใจไปหน่อยเลยลืมตัวไป คุณนายครับ..หนูอุษาเป็นห่วง เกรงว่าคุณนายจะมีบาปติดตัว”
“อยากอยู่ใกล้คนที่เรารักเป็นบาปด้วยหรือคะ”
ผันพยายามห้ามความกลัวแต่ก็ยังสั่น
“คือ ใช้วิธีอื่นไม่ดีหรือครับ ชีวิตใครใครก็รัก..เอาตัวมากักไว้แบบนี้ เขาจะยิ่งไม่พอใจ แล้วจะรักกันได้ยังไง”
ลั่นทมน้ำตาไหล “คุณลุงหมอคะ ทมพยายามทุกอย่างให้เขาได้สำนึกให้เขากลับตัว..และให้เขารักทมซักนิด..แต่ทมทำไม่สำเร็จทมต้องใช้วิธีนี้..ขอให้ทมได้มีความสุขสักระยะเถอะค่ะทมจะไม่ทำให้เขาตาย เพราะทมรู้ว่ามันเป็นบาปหนา”
ลั่นทมทรุดลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าผัน ผันมองอย่างงงๆ
“สงสารทมอย่าทำร้ายทมนะคะคุณลุงหมอ..อย่าบอกใครว่าชีพอยู่ที่นี่ ทมอยากอยู่กับเขาค่ะ”
ลั่นทมก้มลงกราบผัน ผันนิ่งอึ้งด้วยความเวทนาลั่นทมจนน้ำตาซึม

ธารินทร์นั่งทำคดีอยู่ที่โต๊ะในโรงพักยามค่ำคืน เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญ”
ตำรวจลูกน้องเปิดประตูเข้ามา
“กาแฟสักแก้วมั้ยครับหมวด”
“ดีเหมือนกันนะ ชักง่วงๆแล้วสิ”
“ได้เลยครับผม”
ตำรวจเดินออกไป ธารินทร์พักบีบนวดต้นคอตัวเอง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ธารินทร์หยิบมาดูเบอร์ แล้วก็พึมพำ
“บ้านพ่อ เอ๊ะมีอะไร” ธารินทร์กดรับ “ครับพ่อ อ้าวต้อยติ่งมีอะไร”
ธารินทร์ตกใจลุกขึ้นยืน“ได้ๆๆพี่จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ธารินทร์หยิบกุญแจรถแล้ววิ่งไปที่ประตูจนเกือบชนตำรวจที่ถือแก้วกาแฟมา
“อึ๊บ..ได้แล้วครับหมวด”
“นายกินไปเลย ฉันยกให้” ธารินทร์บอก
ธารินทร์รีบออกไป ตำรวจมองตามงงๆ


รถจี๊ปของธารินทร์แล่นมาตามถนนที่มืดมิด ไฟหน้ารถเปิดสว่าง ต้อยติ่งเล่าให้ธารินทร์ฟัง
“หนูตื่นมาก็ไม่เห็นพ่อแล้วพี่รินทร์ หาจนทั่วหนูถึงโทรไปบอกพี่”
“คิดให้ดีสิพ่อพูดอะไรหรือเปล่าหรือมีอะไรหายไป” ธารินทร์ถาม
“ไม่เห็นพูดอะไร ของอะไรก็อยู่ครบ อ๋อ ก็แค่มีห่อธูปกับเทียนลงมาอยู่กับพื้นหน้าโต๊ะหมู่ ทุกทีพ่อจะวางไว้บนหิ้งก็แค่นั้น”
ธารินทร์มีสีหน้าเครียด “ธูปกับเทียน !”
“ทำไมต้องตกใจอย่างนั้นด้วยพี่รินทร์ พ่อก็ใช้ธูปเทียนไหว้พระอยู่ทุกวัน วันนี้อาจลืมเก็บก็ได้”
ธารินทร์มีสีหน้าเหมือนรู้ “ไม่ใช่หรอก พี่คิดว่าพ่อไปสุสานมากกว่า”
“หา...ไปสุสาน” ต้อยติ่งตกใจ


อุษาในชุดนอนกำลังจับมือทั้งสองข้างของต้อยติ่งที่วิ่งเข้ามาหาเธอเพื่อถามเธอถึงหมอผัน ตาของอุษามองธารินทร์
อุษาส่ายหน้าขณะที่ตามองธารินทร์ “คุณลุงหมอไม่ได้มานี่คะ”
ธารินทร์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “คิดว่าคุณจะนัดพ่อให้มาทำอะไร”
“ษาเพียงแต่ขอให้ท่านช่วยติดต่อคุณอาจรัลให้เรียกวิญญาณคุณน้าให้ได้ แต่ท่านก็บอกว่าคุณอาจรัลปฏิเสธ”
“เป็นไปได้มั้ยว่าพ่อจะเรียกวิญญาณคุณน้าลั่นทมซะเอง”
ต้อยติ่งตกใจ “พ่อเรียกได้เหรอพี่รินทร์”
ธารินทร์พูดกับอุษา “ผมฝากต้อยติ่งก่อน ผมจะไปดูที่สุสาน”
ต้อยติ่งทำตาโตแล้วอุทาน “ไปสุสาน..”
“ษาไปด้วยค่ะ เดี๋ยวฝากต้อยติ่งไว้กับ” อุษาชะงักมองไปก็เห็นผันเดินโซเซมาทางนี้ “นั่นไงคะ คุณลุงหมอ”
ธารินทร์หันไปมอง “พ่อ..”


สวาทถือถาดกาแฟร้อนมาส่งให้ผันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห้องรับแขก
“ขอบใจ”
ผันยกแก้วขึ้นดื่ม โดยมีธารินทร์นั่งประคองอยู่ใกล้ๆ อุษากับต้อยติ่งนั่งอยู่ตรงข้าม สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างตื่นๆ ผันดื่มกาแฟแล้ววางลง อุษาชะโงกหน้าเข้าไปถาม
“จะ..เจอหรือเปล่าคะ คุณลุงหมอ”
ผันจะตอบแต่แล้วก็ชะงักมองเห็นลั่นทมยืนอยู่ข้างหลังอุษา แต่ไม่มีใครเห็น
“อย่าบอกความจริงนะคะ” ลั่นทมพูด “คุณลุงหมอ ทมขอร้อง”
ลั่นทมมองผันอย่างวิงวอน ผันนิ่งอึ้งและลังเล
“คือ..เอ่อ..”
ต้อยติ่งมองตามสายตาผัน “พ่อมองใครอยู่เหรอ ?”
คนอื่นๆ มองตามสายตาต้อยติ่งแต่บริเวณที่ลั่นทมยืนอยู่นั้นว่างเปล่า ผันอึกอัก ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ที่บ้านก็ดัง
สวาทวิ่งไปรับสาย “บ้านคุณนายลั่นทมค่ะ ได้ค่ะ” สวาทพูดกับอุษา “คุณหมอวัฒนาจะพูดกับคุณอุษาค่ะ”
อุษาพยักหน้ารับแล้วเดินไปพูดสาย
“สวัสดีค่ะษาเองมีอะไรหรือคะคุณหมอ” อุษาฟัง “ค่ะขอบคุณนะคะ”
อุษาวางสายแล้วหันมาบอกทุกคน “นายฉลองให้การได้แล้วค่ะ”
ธารินทร์ลุกขึ้น “ดีงั้นผมจะไปโรงพยาบาล”
“ษาขอไปด้วยค่ะ” อุษาบอก
ลั่นทมรีบเข้ามาหาผันลงนั่งข้างๆ ก่อนจะพูดกับผัน
“บอกอุษาให้ปล่อยมันไปเถอะคะลุงหมอ”
ผันแทบจะกระโดดหนีแต่ก็ยั้งไว้ทันเพราะเกรงว่าทุกคนจะสงสัย
“คนทำผิดปล่อยได้ไง”
ทุกคนตกใจแล้วก็หันมาทางผัน ผันเลิกลั่กทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาซดเครื่องดื่มพยักพเยิดกับแก้วเครื่องดื่ม
“เนอะ..” ผันว่า
“ใครบอกจะปล่อยมันล่ะพ่อ ไปกันเถอะษา พ่อละไปด้วยกันมั้ย” ธารินทร์ถาม
“ ไปซิ แม่หวาดฝากไอ้ต้อยติ่งด้วย” ผันว่า
“ ไม่เอาหนูจะไปกับพ่อ”
“เกะกะน่า..ซักพักพ่อก็กลับ” ผันบอก
สวาทรั้งต้อยติ่งเดินเข้ามา “อยู่กับพี่ดีกว่า เดี๋ยวพ่อมารับ” สวาทพูด
อุษาและธารินทร์เดินออกไป ผันเดินรั้งท้าย ลั่นทมเดินตามผัน
“คุณลุงหมอคะทมไม่อยากให้เขาซัดทอดมาถึงคุณชีพนะคะทมอยากจะสอนเค้าด้วยตัวเอง”
“งั้นก็พูดกับหนูษาเขาเองซี”
ธารินทร์สะดุ้งหันมาทางผันเพราะแปลกใจที่เห็นผันพูดคนเดียว
“อะไรพ่อ” ธารินทร์ถาม
ผันทำไม่รู้ไม่ชี้ “อะไรล่ะก็ไม่มีอะไรนี่”

ต้อยติ่งหาวนอนและขยี้ตา หวานตื่นก็เดินออกมาชะงักมอง สวาทเดินเข้ามาพอดี
“อ้าวนั่น หนูต้อยติ่ง” หวานเหลียวหา “มากับใครคะ”
“ก็เมื่อคืนคุณหมอผันจะมาไหว้วิญญาณคุณผู้หญิง หมวดกับต้อยติ่งก็เลย” สวาทพูด
“อ้าว แล้วอยู่ไหนล่ะ” หวานถาม
“ก็ยังไม่ทันรู้เรื่องทางโรงพยาบาลเขาก็แจ้งมาทางคุณอุษาว่านายฉลองฟื้นแล้ว คุณธารินทร์เลยรีบไปสอบปากคำ”
“แล้วพี่อุษากับพ่อหมอก็เลยไปด้วยค่ะ..”
“เจ้าฉลองฟื้นแล้วเรอะ” หวานครุ่นคิดแล้วเงยหน้าขึ้นข้างบน


วัฒนารอทุกคนอยู่ที่ทางเดินหน้าห้องพยาบาลที่ฉลองพักอยู่ อุษา ธารินทร์ และผันพากันเดินมา วัฒนาไหว้ผันแล้วรับไหว้อุษา ลั่นทมปรากฎตัว ผันชะงัก ลั่นทมเข้ามาพูดใกล้ๆ ผัน
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ไม่มีใครเห็นทม..”
ผันพยักหน้าหงึกๆ ขณะที่วัฒนาพูดกับธารินทร์
“เขาเป็นปกติดีเมื่อซักพักนี่เอง ผมก็เลยรีบโทรไปบอก กลัวจะเป็นอะไรไปอีก”
วัฒนาพาทุกคนเข้าไปในห้องพยาบาล ผันที่เดินรั้งท้ายบอกกับลั่นทม
“ไม่ต้องเข้าไปเดี๋ยวมันช็อค”
ธารินทร์หันมามองผันด้วยความแปลกใจแต่เขาก็ไม่เห็นลั่นทม
“ทำไมจะต้องช็อคล่ะพ่อ ผมไม่ใช่ผีนี่” ธารินทร์สงสัย
ผันทำไม่รู้ไม่ชี้ “คนร้ายเห็นตำรวจมันก็กลัวเป็นธรรมดา”
ทุกคนเดินเข้ามาในห้องพยาบาล ฉลองนอนอยู่บนเตียงพยาบาล ลั่นทมตามเข้ามาด้วย อุษามองฉลองอย่างขุ่นเคือง
“แกทำเองหรือใครใช้..บอกมาเถอะแล้วจะกันเป็นพยาน” ธารินทร์ถาม
ฉลองอ้ำอึ้งแล้วตัดสินใจพูด “คุณรสสุคนธ์กับคุณนฤมลครับ”
“น้าชีพล่ะ ร่วมด้วยหรือเปล่า” อุษาถาม
“ด้วยครับ..เขาให้เงินผมหลบหนี..แต่ผม เจอ..ฮือ..ผีคุณนายลั่นทม” ฉลองเริ่มเสียสติอีก “กลัวแล้ว..”
ลั่นทมพูดกับอุษา “ไม่ต้องเอาเรื่องมัน อุษา ปล่อยไป”
อุษาชะงักหันไปมองแต่ก็ไม่เห็นลั่นทม เธอได้ยินเสียงเพียงในโสตประสาท
อุษากระซิบกับหมอผัน “ยังกับได้ยินคุณน้ามาบอกให้ปล่อยนายฉลองไปไม่ให้เอาเรื่อง”
ผันมองลั่นทมอย่างเคืองๆ “โธ่เอ๊ย..”
ทุกคนคิดว่าผันได้ยินที่ฉลองพูดแล้วไม่เชื่อจึงไม่ได้สงสัย
ธารินทร์พูดกับผัน “นั่นซีพ่อ..พวกนี้มันอ้างผีคุณลั่นทมทั้งแก๊ง”
ผันอุทานออกมา “ไม่ได้อ้าง..ของจริง !”
ลั่นทมเถียงกับผัน “พวกรสสุคนธ์จะต้องได้รับโทษมากกว่าแค่ติดคุกไม่กี่วันนะคะ คุณลุงหมอ ตอนนี้ปล่อย”
“ก็..” ผันจะเถียงลั่นทมแต่ก็ไม่กล้าเพราะเกรงคนอื่นจะสงสัย พออ้าปากคนอื่นๆ ก็จ้องเขม็งจึงได้แต่หลบตาแล้วเบือนหน้าไป
ลั่นทมมาที่อุษาแล้วจ้องสะกด “อุษา..ปล่อย”
อุษาชะงักนิดหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว อุษาพูดกับธารินทร์ “ปล่อยเขาไปเถอะค่ะรินทร์ ษาไม่เอาเรื่อง”
อุษาเดินกลับออกไปด้วยท่าทีรังเกียจฉลอง ธารินทร์งง “ไม่ได้ษา..อะไรกัน”
ลั่นทมสะกดธารินทร์ “ปล่อยเขา..ฉันขอร้อง”
ธารินทร์ที่ถูกสะกดปล่อยแขนอุษาแล้วพูดอย่างไม่รู้ตัว
“ในเมื่อเจ้าทุกข์เขาไม่เอาเรื่องก็ต้องปล่อย”
ฉลองงง เขามองคนโน่นคนนี่อย่างไม่เชื่อ
“ไม่เอาเรื่องผมจริงๆเหรอครับ จะปล่อยผมจริงๆเหรอนี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยครับ เป็นตำรวจพูดแล้วกลับคำไม่ได้นะหมวด”
ลั่นทมรำคาญจึงปรากฏร่างให้ฉลองเห็น “บอกให้ไปก็ไปซี”
ฉลองมองตาค้างแล้วแผดร้องสุดเสียงก่อนจะหล่นลงจากเตียงวิ่งออกจากห้องพยาบาลพลางร้องโหยหวน
“ไปแล้ว..ฮือ..ไปแล้ว กลัว..กลัว..”
วัฒนาวิ่งตามไป “นายฉลองหยุดก่อน หยุด”


รสสุคนธ์กับนฤมลนั่งหน้าซีดหน้าเซียวอยู่กับข่าวที่หวานมาบอก หวานเข้ามากระซิบถามรสสุคนธ์
“แกเป็นตัวการใช่ไหมนังรส...”
รสสุคนธ์ไม่อยากตอบคำถามและลุกหนี “ไม่ต้องถามได้มั้ยน้าหวาน”
หวานมองตามอย่างไม่พอใจ “ยังไงเจ้าฉลองมันก็ต้องซัดทอดแกแน่ๆเตรียมตัวเข้าไปนอนในคุกเถอะ”
หวานเดินออกไป รสสุคนธ์กับนฤมลมองหน้ากันอย่างกลัวๆ


อุษา ธารินทร์ และผันพากันเดินมาที่หน้าบ้าน
อุษารั้งผันไว้ “คุณลุงคะ...เรื่องคุณน้าลั่นทม..คุณลุงยังไม่ได้บอกเลยว่าติดต่อคุณน้าได้มั้ย”
ผันอ้ำอึ้งแล้วก็ตัดสินใจไม่บอก “เอ้อ..ไม่มีหนู ลุงไม่เห็นอะไรเลย..” ผันพูดไม่เต็มเสียง
อุษาไม่เชื่อ เธอมองนิ่งแต่ก็จำต้องเงียบ ผันพูดต่อ “ไม่มีวิญญาณคุณนายหรอกครับ ท่านไปดีแล้ว...”
“ษาก็อยากให้ท่านไปดีค่ะ เกรงแต่ว่า..ถ้าหากท่านมีห่วงกังวลก็อยากให้คุณลุงหมอส่งวิญญาณท่านให้ไปสู่สุขคติเสีย”

ผันพยักหน้า “ถ้าเจอลุงจะทำอย่างที่หนูบอก”
รสสุคนธ์ นฤมล และหวานพากันลงมาจากชั้นบน อุษามองรสสุคนธ์เคืองๆ
หวานรีบถา “ฉลองมันว่าไงบ้างคะคุณอุษา”
“นายฉลองบอกว่ารสสุคนธ์กับนฤมลเป็นตัวการค่ะ”
รสสุคนธ์กับนฤมลหน้าซีด หวานหันมาจ้องอย่างเกลียดชัง
“พวกสารเลว แกทำได้ยังไงหึ ไปเลยไสหัวไปอยู่ในคุกเสียให้เข็ด”
ธารินทร์รีบพูดต่อ “แต่ษาไม่เอาเรื่อง”
“รีบกราบขอโทษแล้วก็ขอบคุณคุณอุษาเสียสิ”
รสสุคนธ์พูดหน้าตาเฉย
“ที่เขาไม่เอาเรื่องก็เพราะคนมันบ้า เชื่อถือไม่ได้ ขึ้นศาลก็หลุดเสียเวลาเปล่าๆไม่ใช่ว่าเขามีจิตเมตตาอะไรหรอกน้า แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้สั่ง ฉันไม่รู้เรื่อง ถ้าคิดจะเล่นงานฉันก็หาหลักฐานดีๆ ที่ไม่ใช่ คนบ้าก็แล้วกัน”
รสสุคนธ์เดินลอยชายขึ้นข้างบน นฤมลรีบเดินตาม
“รอพี่ด้วยสิคะน้องรส”
นฤมลเดินตามไป หวานส่ายหน้า ผันพูดตามหลังรสสุคนธ์ “ใครก่อเวรอะไรไว้หนีไม่พ้นหรอก..รู้ตัวก็หยุดซะก่อนจะสาย”
อุษาพูดกับหวาน “น้าบอกรสสุคนธ์ให้ไปทำงานนะคะ จะได้มีเงินใช้จะได้ไม่ เดือดร้อนจนต้องคิดบ้าๆ อีก”
หวานยกมือไหว้อุษา “อิฉันขอโทษแทนมัน แล้วก็ขอบพระคุณค่ะที่ไม่ลากคอมันเข้าตะราง”
หวานรีบเดินตามรสสุคนธ์ขึ้นข้างบน
สวาทพูดกับอุษา “คุณษาระวังจะเป็นชาวนากับงูเห่านะคะ คนอย่างนังรสไว้ใจไม่ได้หรอกค่ะ”
อุษาเงียบถอนใจเหนื่อยหน่าย

รสสุคนธ์เดินเข้ามาในห้องนอนด้วยความโกรธเกรี้ยวฮึดฮัด นฤมลเดินตามเข้ามา
“ฉันรู้ทันมันหรอกน่า ไอ้ฉลองมันไม่ได้ซัดทอดมาที่เราหรอก..โธ่เอ๋ยถ้าซัดทอดมีหรือมันจะปล่อยเราไว้ ทำเอาบุญคุณ ทุเรศ”
หวานเดินเข้ามามองรสสุคนธ์ด้วยความเกลียดชัง
“ยัง..ยังไม่สำนึก ถ้าไม่อยากอดตายพรุ่งนี้แกไปทำงานนะยะนังรส คุณอุษาเธอมีเมตตาให้โอกาสแก จะได้ไม่อดตาย”
“ไม่ทำ......”
“นี่นังรสจนเขาให้อภัยยังไม่รู้สำนึกก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วนะ”
“ให้อภัยเชอะ..คิดซิน้าหวาน...จะมีมนุษย์คนไหนดีได้ขนาดนี้ น้าอย่าโง่ไป หน่อยเลย เป็นเพราะมันไม่มีหลักฐานต่างหาก” รสสุคนธ์ว่า
“ถ้างั้นแกจะเอายังไงต่อไป ผัวแกก็หายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“นั่นสิ ถ้าคุณชีพตายจริงก็ต้องเจอศพ หรือถ้าอยู่ในสุสานก็ต้องเจอตัว หรือว่าน้องรสจะไปตามคุณชีพที่คอนโดอีก แต่คราวนี้พี่ไม่ไปด้วยหรอกนะ บอกตรงๆว่ากลัวต้องไปนอนในป่าช้ารถยนต์อีก”
หวานนึกได้ “พูดถึงในสุสาน ตกลงไอ้ข้าวของที่แตกกระจายมันฝีมือใครแกหรือเปล่านังรส”
“โอ๊ยน้าเนี่ยขยันหาเรื่องให้ฉันเสียจริงๆ ไปนอนเถอะไปรำคาญ”
“เออข้าก็รำคาญแกเกลียดขี้หน้าด้วย”
หวานเดินออกไป รสสุคนธ์มองตามตาขวางด้วยความหงุดหงิด
“โธ่เว้ย แล้วนี่คุณชีพเขาตายแล้วหรือยังอยู่กันเนี่ย ทำไมหายเงียบไปแบบนี้โอ๊ยอยากจะบ้า อยากจะบ้า”


ชีพนอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงในสุสาน ลั่นทมเดินเข้ามานอนเคียงข้างอย่างเป็นสุขพร้อมทั้งโอบกอดชีพไว้ ชีพหมดแรงจะบ่ายเบี่ยงแต่สายตาหวาดหวั่นอย่างเต็มที่
“ไม่..อย่า”
“ชีพขา..”
ชีพพยายามเบี่ยงหนีแต่ลั่นทมกอดรัดไว้แน่น
“กอดทมซี กอด..ถ้าไม่กอด คุณจะไม่มีวันได้หลับ”
ชีพจำใจต้องกอดลั่นทมไว้เพราะหมดทางขัดขืน เขาแค้นสุดแค้นแต่ความกลัวมีมากกว่าทำให้ไม่กล้าลุกหนีไปไหน ลั่นทมซบอย่างเป็นสุข
“ชีพคุณสำนึกรึยัง? ทมอยากให้ชีพสำนึก..”
เสียงหมาหอนจากที่ไกลๆ ในบรรยากาศวังเวง ชีพอึดอัดหวาดกลัว น้ำตาไหลพราก


บ้านลั่นทมในตอนกลางคืนเงียบและน่ากลัว ฉลองหลบๆ ซ่อนๆ เข้ามาด้วยท่าทางหวาดหวั่น ฉลองต้องการมาหานฤมลและรสสุคนธ์ เขาหยุดเงยหน้ามองไปบนตึก ห้องชีพที่อยู่ชั้นบนเปิดไฟสว่าง
“คุณชีพ..คุณรส ต้องช่วยผมได้”
ฉลองทำท่าจะเดินไปหาแต่แล้วเมื่อเดินไป 2-3 ก้าวเขาก็ชะงักหยุดแล้วหลบเข้าพุ่มไม้ อุษาเดินมากับต้อยติ่งที่หน้าบ้าน ตามด้วยผันกับธารินทร์ ทั้งหมดเดินมาที่รถ อุษาส่งต้อยติ่งขึ้นรถ ผันตามขึ้นไปนั่งข้างหน้า ธารินทร์เดินมาจะขึ้นรถ อุษาเดินตามมาส่ง พอถึงรถธารินทร์ก็หันกลับมาจับมืออุษาแล้วดึงเข้ามากอด
“ระวังตัวให้ดีนะษา ผมเป็นห่วงคุณ”
อุษาเขินจึงพยายามเบี่ยงตัวออก “อุ๊ย ปล่อยค่ะ เดี๋ยว..” อุษาเหลือบมองไปที่รถ “เห็น..”
ต้อยติ่งกับผันที่อยู่ในรถมองอยู่ ผันดึงต้อยติ่งไว้ไม่ให้มอง
ผันกระซิบ “เฮ้ย อย่ามองๆ” ผันว่า ต้อยติ่งชะโงกมองจนได้ “บอกว่าอย่า”
อุษาเขิน “ต้อยติ่งมองอยู่ค่ะ”
ธารินทร์กระซิบ “ผมไม่อยากจากคุณไปเลย ไม่ไว้ใจคนในบ้านนี้”
“ไม่ต้องห่วงค่ะษาจะระวังตัวค่ะ”
ฉลองแอบมองอยู่ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ฉลองเห็นธารินทร์ดึงตัวอุษาไปกอดอย่างรักใคร่ เขาชะเง้อแล้ว
เหลือบมองไปบนตึก ฉลองเห็นรสสุคนธ์แอบดูอยู่ รสสุคนธ์มองดูด้วยสายตาริษยา รสสุคนธ์เห็นรถธารินทร์ขับออกไปจากบ้าน
อุษาเดินเข้าบ้าน รสสุคนธ์ปรายตามองแล้วย้อนกลับมาที่รถเคยจอด ฉลองยืนแอบอยู่ที่พุ่มไม้
ฉลองเงยหน้าขึ้นมาพอดี รสสุคนธ์ตะลึง

อ่านต่อหน้าที่ 3


สุสานคนเป็น ตอนที่ 13 (ต่อ)

นฤมลผลักฉลองเข้ามานั่งในห้องมืดๆ ฉลองเซแซดๆ ลงนั่งด้วยท่าทางไม่อยากอยู่และหวาดกลัว นฤมลเดินตามเข้ามา รสสุคนธ์นั่งคอยอยู่แล้วเอื้อมมือไปจับฉลองให้นั่งนิ่งๆ

“ฉลอง ตั้งสติหน่อยซิแก” รสสุคนธ์กระแทกฉลองให้หยุด
“กลัว กลัวคุณนายเจ้าของบ้านนี้ ผมจะมาขอเงินแล้วจะไป” ฉลองบอก
“ถ้าอยากได้เงิน ต้องทำงาน !”
“เรากำลังแย่ ถ้าฉลองทำตามเรา เราจะมีเงินเยอะแล้วฉลองก็จะสบาย”
ฉลองเงยหน้ามอง รสสุคนธ์และนฤมลจ้องขู่อยู่
“จะให้ผมทำอะไรแต่ปล้ำคุณอุษาไม่เอาแล้วนะ” ฉลองบอก
“ไม่ใช่หรอกน่า”
รสสุคนธ์ครุ่นคิด


รองเท้าส้นสูงสีแดงของสายใจเดินมาที่หน้าโรงพัก สายใจเดินมาฉับๆ สายใจมีรูปร่างสวยเปรียวแต่งตัวเปรี้ยวขึ้นมาบนโรงพัก แล้วหยุดชะงักมอง
“ขอพบหมวดธารินทร์ค่ะ”
ตำรวจคนหนึ่งรีบชี้ไปที่ห้องสอบสวน สายใจเดินไปทันที ธารินทร์ในชุดเสื้อยืดตำรวจกำลังยืนหันหลังหน้าตู้เอกสาร เขาหันมาเบิกตากว้าง
สายใจเดินเข้ามา “หมวดธารินทร์ใช่มั้ยคะ”
ธารินทร์พยักหน้างงๆ สายใจหันไปทางตำรวจที่ทำท่าจะเข้ามาแนะนำแล้วชิงพูด “ขอบคุณค่ะ ฉันขอพบธุระส่วนตัว”
ตำรวจผู้นั้นชะงักแล้วถอยออกไป สายใจเดินเข้ามาหาธารินทร์ด้วยท่าทางยั่ว
“สายใจจะมาแจ้งความค่ะ สายใจพักที่โรงแรมพอตื่นกระเป๋าเงินหายหมดเลย”
สายใจเข้ามายืนเผชิญหน้าธารินทร์อย่างใกล้ชิดมากเพราะจงใจยั่วหน้าต่อหน้าเกือบจะชิดกัน
“ช่วยไปที่ห้องนอนสายใจหน่อยนะคะ”
หน้าทั้ง 2 เกือบจะแนบชิดกัน สายใจโอบรอบคอธารินทร์เพื่อหว่านเสน่ห์เต็มที่ ธารินทร์ก้มลงหาสายใจอย่างตกตะลึง


รสสุคนธ์ยิ้มอย่างหมายมาด เธอชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบกับฉลองจนติด
“ฉันต้องการแบบนี้แหละฉลอง เราต้องหาคนมายั่วให้อุษากับธารินทร์แตกกันให้ได้”
“ถ้าทำสำเร็จ แกสบาย แฟนที่บ้านนอกแกสวยไม่ใช่เล่นนี่นา”


บ้านลั่นทมยามเช้ามืดยังไม่สว่างนัก ฉ่ำออกมาปฎิบัติหน้าที่ตามปกติดูแลสนาม ลั่นทมนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งยังมืดสลัวอยู่ ฉ่ำเดินเข้ามาใกล้โดยไม่เห็น
ลั่นทมพูดขึ้น “ตั้งแต่ฉันตายนายฉ่ำยังไม่เคยเอาอะไรให้กินเลย ทำบุญตักบาตรก็ไม่เคยคิดจะทำให้”
“ก็มันไม่ค่อยว่าง..”
ฉ่ำตอบแล้วก็ชะงักเหมือนได้ยินเสียงในโสตประสาทแต่เมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร ฉ่ำกุมหัวแล้วก็นึกได้จึงมองซ้ายมองขวาแล้วพึมพำเบาๆ
“เสียงเหมือนคุณนาย”
ลั่นทมหันมาพูดกับฉ่ำแต่ฉ่ำไม่เห็น
“ก็ฉันเองแหละ ฉันอยากได้เครื่องเซ่นมากกว่าเดิมจะได้มั้ย” ลั่นทมว่า
ฉ่ำตาเหลือกแล้วทำท่าเหมือนได้ยิน เขาตบหูเบาๆ แล้วมองไปรอบๆ
“ได้ยินไปเองหรือเปล่าวะ”
“ฉันถามว่าจะเอาไปให้ฉันได้มั้ย”
ฉ่ำรีบตอบ “ได้ครับ ได้”
ฉ่ำตอบแล้วมองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร เขาทิ้งกรรไกรตัดหญ้าแล้วรีบจ้ำอ้าวเข้าข้างในบ้าน


หวานกับสวาทกำลังจัดเครื่องเซ่นใส่ถาดให้อุษา ยาใจกับจิ้มลิ้มจัดอาหารเช้าอยู่ใกล้ๆ อุษาที่ยืนคอยอยู่เงยหน้ามอง ฉ่ำวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นแล้วมองถาดเครื่องเซ่น
“เครื่องเซ่นคุณผู้หญิงใช่มั้ย”
“ใช่ ทำไม”
ฉ่ำก้มลงมอง “น้อยไป เอาให้มากๆ กว่านี่ หรือว่าจัดอีกถาด
อุษามองฉ่ำด้วยอาการแปลกใจ “ทำไมล่ะคะลุงฉ่ำ ทุกทีก็เคยให้แค่นี้”
“เครื่องเซ่นน่ะไม่ต้องมากหรอก ตาฉ่ำ เอ๊ะ หรือว่า...”
สวาทจ้องหน้าฉ่ำ “แต่คุณผู้หญิงสั่งว่า..” สวาทชะงักแล้วก็ปิดปากเพราะตกใจ
ทุกคนมองฉ่ำงงๆ อุษาสงสัยจึงรีบถาม “สั่งว่าไงลุงฉ่ำ”
“สั่งให้เอาไปมากๆ”
พวกสวาทเข้ามาหากันทันทีด้วยความกลัว อุษามองหน้าสวาท
“เหมือนเมื่อครั้งก่อนใช่มั้ยสวาท..”
สวาทอึ้งแล้วก็ส่ายหน้าเพราะไม่กล้าพูด อุษาหันมาทางฉ่ำ
“ลุงฉ่ำเจอคุณน้าที่ไหน บอกมาสิ...”
ยาใจ สวาท และจิ้มลิ้มยืนเกาะกันอยู่ด้วยความกลัว หวานสำทับฉ่ำ
“ตาฉ่ำ ห้ามพูดเล่นนะ เห็นมั้ยว่าเขากลัวกัน”
“ไม่ได้พูดเล่น แต่ว่า..ฉันได้ยินแว่วๆ เหมือนเสียงคุณผู้หญิงสั่งแต่ไม่เห็นตัว ก็..ก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่าสมควรเพิ่มมั้ย !”
ทุกคนมองตากันเพราะกลัวมาก อุษานิ่งคิดเพราะตรงกับที่ตนสงสัย
“ตักไปให้พอกินสำหรับคนสองคน...”
ทุกคนมองหน้าอุษา แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม

อุษากับฉ่ำพากันเดินเข้ามาในสุสาน ฉ่ำยกถาดเครื่องเซ่นเข้ามาเป็นถาดใส่อาหารถ้วยใหญ่กว่าเดิม
ผันมองไปที่เตียงแล้วก็ชะงักมองแต่ไม่กล้าพูดอะไร ชีพนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง โดยมีลั่นทมนั่งอยู่ข้างๆ ลั่นทมจ้องสะกดโดยไม่ให้ใครเห็น หมอผันเห็นลั่นทมกับชีพก็นิ่งอึ้ง ลั่นทมยิ้มกับหมอผัน
“ไม่ต้องตกใจค่ะคุณลุงหมอ” ลั่นทมพูดกับชีพ “อาหารเช้ามาแล้วค่ะชีพ” ลั่นทมมองที่ถาด “วันนี้ถาดใหญ่เชียวค่ะ แล้วก็น่ากินกว่าวันนั้นชีพทานซะนะคะ”
ฉ่ำกับอุษาเดินมาที่หน้าโลงศพ อุษาถวายอาหารด้วยการจุดธูปแล้วไหว้
“ษาเอาอาหารมาให้แล้วนะคะ”
ฉ่ำพึมพำ “ผมทำตามสั่งแล้วนะครับคุณผู้หญิง”
“ขอบใจ”
ฉ่ำสะดุ้งตาเหลือก เขามองไปก็ไม่เห็นลั่นทมจึงเริ่มหน้าซีด
ลั่นทมพูดกับผัน “ให้พวกเขาออกไปเร็วๆ ซีคะคุณลุงหมอ ชีพจะได้ทานอาหาร..แล้วอย่าบอกใครนะว่าชีพอยู่กับทม”
ผันเผลอพูด “ครับ..ครับคุณนาย”
ทุกคนหันมาทางผัน ผันทำไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่มีอะไรลุงพูดคนเดียว” ผันพูดกับอุษา “อ้าวๆ คุณหนูษาอย่าเพิ่งปิดแอร์”
ลั่นทมพูดกับผัน “ให้เขามาไหว้ตอนกลางวันและเย็นด้วยนะคุณลุงคุณชีพจะได้มีอะไรทานทั้งวัน เอามามากๆ ด้วย”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจัดมาเอง”
“อะไรนะคะ คุณลุง..”
“เปล่าๆลุงบอกว่า ลุงจะมาที่นี่บ่อยๆ เอาละเสร็จเรื่องแล้วไปกันได้...”
“เดี๋ยวครับ ผมขออนุญาตถวายด้วย”
ฉ่ำนั่งพนมมือถวายแล้วหลับตา
“เจ้าประคู๊ณ คุณนายครับ ผมขออาศัยของเซ่นพวกนี้ถวายส่งไปให้คุณนายด้วย”
ลั่นทมหัวเราะ “นายฉ่ำนะนายฉ่ำ ชาตินี้ก็อาศัยเขาตลอดไปอยู่แล้ว”
ฉ่ำลืมตามองทันทีแล้วก็ตกใจ “คุณษาพูดอะไร”
“เปล่านี่..”
ฉ่ำมองโลงด้วยความกลัวมากก่อนจะยกมือไหว้และกราบแล้วกราบอีก
“วันหลังผมจะหาอาหารมาเองครับ” ฉ่ำบอก
“ไปกันได้แล้ว” ผันว่า
ผันมองควันธูปที่ลอยอยู่ในสุสานแล้วก็เกิดสำลักและไอออกมา
“เปิดหน้าต่างดีมั้ยครับ”
อุษากวาดตาไปทั่วด้วยสายตาสงสัยว่าชีพจะอยู่ข้างในสุสาน
“ดีค่ะ ช่วยกันเปิดหน้าต่างดีกว่าค่ะ ควันธูปจะได้ระบายออกไป”
ทุกคนช่วยกัน อุษาเปิดหน้าต่างใช้สายตามองกวาดไปทั่ว แต่ก็มองไม่เห็นอะไร ผันต้อนทุกคนออกไป โดยที่ก่อนออกหมอผันหันมามองทางลั่นทมกับชีพแล้วปิดประตู แต่อุษากลับเข้ามา ผันจึงตกใจ
“เข้ามาทำไมอีกครับคุณอุษา” ผันถาม
“คุณลุงหมอแน่ใจนะคะว่าไม่เห็นใครเลย..” อุษาถามกลับ
ผันอึกอักแล้วส่ายหน้าอุษาพูดต่อ “ษากลัวว่าคุณน้าชีพจะอยู่กับคุณน้าลั่นทมด้วย..
ผันอึ้ง มองไปที่ลั่นทม ลั่นทมส่ายหน้า”
“มะ...ไม่...ไม่มีครับ”
“ให้พวกเขาออกไปกันได้แล้ว...”
“ออกไปข้างนอกเถอะครับ ควันธูปจะทำให้หายใจไม่ออก”
ลั่นทมประคองชีพให้ลุกขึ้น “ชีพคะ...ทานได้แล้วค่ะ”
ชีพแทบจะสิ้นเรี่ยวแรง หน้าตาเนื้อตัวมอมแมมแล้วก็รู้สึกตัว
“ไม่..ไม่กิน.. ช่วยด้วย..”
“กินเถอะคะชีพ”
“ร้อน..ฉันร้อน อึดอัดเหลือเกิน”
ลั่นทมมองที่แอร์ แอร์เปิด ลั่นทมใช้สายตาไล่ปิดหน้าต่างทีละบานทำให้หน้าต่างไล่ปิดเรียงเอง


ผัน อุษา และฉ่ำกำลังเดินกลับ เสียงหน้าต่างปิดไล่เรียงกันไปทุกบาน ฉ่ำสะดุ้งสุดตัว อุษาตกใจ ผันนิ่ง แล้วทั้งหมดก็หันไปมองช้าๆ
“เฮ้ย..หน้าต่างปิดเอง !” ฉ่ำว่า
ฉ่ำสั่นพั่บๆ อุษาหน้าซีดแล้วก็หันมาทางผัน ผันปลอบ
“ไม่ต้องตกใจ ทำเฉยๆ ไม่มีอะไร”
อุษามองดูผันอย่างคาดคั้น
“ไม่มีแล้วทำไมหน้าต่างปิดเองได้ตั้งหลายบานยังงั้นคะคุณลุงหมอทำไมคุณลุงไม่แปลกใจเลย”
อุษาจ้องผันอย่างคาดคั้น ผันหลบตาแถมไอออกมาอีกต่างหาก
“ไม่มีอะไรน่าไปทำงานเถอะหนู..ลมคงจะพัดปิด”
อุษามองผันอย่างข้องใจ อุษาน้ำตาซึมแล้วก็หันกลับไปทางสุสาน
“ษาว่ามันต้องมีอะไรแน่ ษาจะเข้าไปดูในสุสาน”
ผันร้องเสียงหลง “อย่าหนูอุษา”
อุษาจะเดินไป ฉ่ำรีบขวาง “รีบกลับเถอะครับคุณษา ผมกลัว”
“กลัวก็หลีกไปนายฉ่ำ ษาต้องรู้ให้ได้ษาสงสัยอยู่แล้วเชียวษาจะไม่ยอมให้คุณน้าทำบาป”
อุษาเดินอย่างว่องไวตรงกลับไปที่สุสาน ฉ่ำหันมองผันประมาณว่าจะเอายังไงดี ผันไม่ตอบแต่รีบเดินตามไป ฉ่ำมองซ้ายมองขวาแล้วก็วิ่งตามไปติดๆ


อุษาผลักประตูเข้าไปแล้ววิ่งดูไปรอบๆ ขณะนั้นลั่นทมกำลังป้อนข้าวชีพ ชีพอ้าปากกินเหมือนเด็ก ตาลอยและเหมือนคนไม่มีความรู้สึก ชีพเหมือนมองไม่เห็นอุษา อุษาตะโกนเรียก
“น้าชีพคะ อยู่ที่นี่ใช่มั้ย น้าชีพส่งเสียงให้ษาได้ยินหน่อย”
ผันเดินตามเข้ามา ฉ่ำลับๆล่อๆ อยู่ที่ประตู ผันมองอุษาแล้วมองลั่นทมที่ป้อนชีพอยู่
“คุณน้าคะ ถ้าคุณน้าเอาตัวน้าชีพไว้ก็ปล่อยเขาออกมาเถอะค่ะอย่าทำบาปเลยษาขอร้อง”
ภายในสุสานเงียบสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อุษาอึ้ง
“เห็นมั้ยก็บอกว่าไม่มีอะไร”
อุษาถอนใจแล้วเดินออกมาจากสุสานด้วยท่าทางซึมๆ ผันจะปิดประตูมองลั่นทม ลั่นทมที่ปรนนิบัติชีพอย่างเต็มอกเต็มใจด้วยท่าทางมีความสุขมาก ลั่นทมหันมามองผันน้ำตาซึม
“นานแล้วที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ ทมมีความสุขเหลือเกินอย่าให้ใครมาพรากชีพไปจากทมนะคะลุงหมอ”
ลั่นทมกอดชีพไว้ ชีพมีสภาพเหมือนคนไร้สติ ไร้ความรู้สึก ผันตัดใจปิดประตู เสียงลั่นทมร้องเพลงกล่อมชีพดังออกมาอย่างเยือกเย็นและวังเวง

จรัลมองหน้าอุษาอย่างแปลกใจ จรัลพยักหน้าช้าๆ
“ถ้าเป็นอย่างที่เล่า ผมก็เชื่อว่าหมอผันต้องพบอะไรแน่ ไม่งั้นแกคงไม่กลับเข้าไปอีกครั้งหรอก”
อุษาน้ำตาซึม “ษาก็มั่นใจคะ ษาถึงต้องมารบกวนคุณอาแต่เช้าคุณอาขา ช่วยษาด้วย ษารู้ว่าคุณอาไม่อยากยุ่ง แต่แค่ให้คุณอาช่วยบอกคุณน้าให้ไปผุดไปเกิดเสียที อย่าเพิ่มบาปอีกเลย ปล่อยน้าชีพเถอะ”
“ก็ได้ ผมจะลองไปสัมผัสดู”
อุษาดีใจมาก “ขอบคุณค่ะขอบคุณคุณอามากจริงๆ”
จรัลลุกขึ้น “ไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวนี้”
“ใช่..มีปัญหาอะไรเหรอ”
“คือ..ษาต้องต้อนรับลูกค้าจากต่างประเทศค่ะเขาจะมาชมโรงงาน”
“ไม่เป็นไรงั้นผมจะไปคนเดียว”
อุษาดีใจมาก


จรัลมองสำรวจเรือนไทยด้านนอก เขายืนมองนิ่งๆ ก่อนจะยกมือไหว้พึมพำ

“ผมไม่ได้มาลองดีหรือท้าทายอะไร ผมขออนุญาตนะครับ”
จรัลเดินเข้าไปภายในสุสาน


จรัลเข้ามาในสุสานก่อนจะมองภายในอย่างตกตะลึงแล้วก็เดินไปจุดธูปแล้วถอยมานั่งหลับตานิ่งสงบรวบรวมสมาธิ ชั่วครู่ของร่างลั่นทมและชีพก็ปรากฏขึ้นบนเตียง ชีพนอนลืมตาโพลง ลั่นทมที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ มองมาที่จรัล จรัลลืมตามองแล้วก็ตกใจเล็กน้อยจึงผงะ
“คุณชีพ !”
ลั่นทมเดินเข้ามาหาจรัล จรัลลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ถอยไปใกล้ประตูเพราะกลัวเหมือนกัน ลั่นทมมีท่าทางอ่อนโยนโดยไม่มีวี่แววว่าจะทำร้ายจรัล
“คุณทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติมากคุณลั่นทม รีบปล่อยคุณชีพออกไปเถอะ”
“ไม่ค่ะ”
จรัลอึ้ง “ถ้าอย่างนั้นผมเห็นทีต้องนิมนต์หลวงพ่อมาที่นี่”
“อย่าให้พระเจ้าต้องมาเดือดร้อนด้วยเลยคุณจรัล”
“แต่คุณเอาเขามาทรมานคุณกำลังทำบาป”
“ทมยอมชดใช้หนี้กรรมแม้จะยาวนานเพียงไหนก็ตามชีพเคยสัญญาว่าจะอยู่กับทมก็ต้องอยู่ ขอร้องนะคะอย่าบอกใคร”
จรัลมองไปที่ชีพที่กำลังสิ้นเรี่ยวแรงแต่ก็พยายามขอให้ช่วย
ชีพพูดโดยไม่มีเสียง “ช่วยด้วย”
“อย่าทำร้ายเขามากกว่านี้เลยครับคุณลั่นทม”
ลั่นทมมองขู่ “ไปได้แล้วคุณจรัล ทมจะอยู่กับชีพ เวลาทมมีน้อยทมจะไม่ยอมให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด กลับไปซะ”
จรัลมองลั่นทมนิ่งอึ้งเพราะรู้ว่าพูดกับลั่นทมไม่รู้เรื่องจึงค่อยๆ ถอยหลังไป


อุษาวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากโรงงานจนมาถึงจรัลที่ยืนพิงรถรออยู่ อุษามีสีหน้าตื่นเต้น
“คุณอาคะเป็นยังไงบ้าง”
จรัลลังเล “ผม..เอ้อ..ผมสัมผัสอะไรไม่ได้เลยจริงๆ”
อุษาพูดด้วยเสียงไม่เชื่อ เธอจ้องจรัล แต่จรัลหลบตาแล้วถอนใจ
“คุณอาแน่ใจหรือคะ” จรัลพยักหน้า “ถ้างั้นษาก็ต้องหาวิธีอื่นขอบพระคุณค่ะคุณอา”
จรัลตกใจ “วิธีอื่น วิธีไหนเหรออุษา”
อุษานิ่งและมีสีหน้าครุ่นคิด จรัลมองอย่างหนักใจปนสงสัย

ธารินทร์รีบเดินออกมาจากโรงพักแล้วมองหา ธารินทร์เห็นอุษานั่งรออยู่ในรถ ธารินทร์รีบวิ่งมา อุษาลงจากรถมาคุยด้วย
“ษา..ได้เรื่องมั้ย”
“คุณอาจรัลบอกษาว่าไม่พบอะไร แต่ษาไม่เชื่อ” อุษาว่า
“อาจไม่มีอะไรจริงๆก็ได้นะ ทั้งพ่อทั้งคุณจรัลก็พูดตรงกัน”
“รินทร์คะแล้วทำไมเครื่องเซ่นถึงกระจายอย่างนั้น และทำไมคุณลุงหมอผันถึงกลับเข้าไปในสุสานอีก ท่านเอาอาหารไปอีกชุดไงคะ ลุงฉ่ำก็เพิ่มอาหาร แล้วอาหารก็หายไปหมด”
“ษา เราพูดกันหลายหนแล้วนะ...”
“แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ไม่เป็นไรษาจะหาคำตอบด้วยตัวษาเอง”
“ษาจะทำยังไง”
“ษาจะไปหาหมอผี”
ธารินทร์อ้าปากค้างแต่ร้องไม่ออก อุษาทำท่าเอาจริง
“หมอผี !”
อุษาขึ้นรถจะขับออกไป ธารินทร์เคาะกระจกอย่างร้อนรน
“ษาครับ ฟังผมก่อน เปิดกระจกหน่อย ษา...”
อุษานิ่งแล้วตัดสินใจเปิดกระจก “มีอะไรคะษาจะรีบไป”
“ผมขอร้องอย่าไปหาหมอผีเลย”
“แล้วจะให้ษาทำยังไง ก็ษาไม่มีทางเลือก”
“ให้ผมปรึกษากับพ่ออีกที” ธารินทร์ขอร้อง “นะครับษา นะ”
อุษามองหน้าธารินทร์แต่ไม่ตอบ ธารินทร์มองอย่างอ้อนวอนสุดๆ

ผันเดินครุ่นคิดไปๆมาๆ เพราะเป็นห่วงชีพและคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง
“ถึงคุณชีพแกจะทำไม่ดี แต่ถ้าเห็นอยู่ว่าแกถูกบังคับให้ตายทั้งเป็นแบบนั้นแล้วไม่ช่วยแกออกมา เราก็บาปเหมือนกัน”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผันรับ “ฮัลโหล อ้อ ว่าไงไอ้หมวด” ผันฟัง “อ๋อๆ เออแล้วค่อยคุยกัน”
ผันวางหูแล้วถอนใจก่อนจะเดินครุ่นคิด “แล้วจะเอายังไงดีวะ หนูอุษาก็จะให้ไปหาหมอผีอีก คุณนายก็ขอร้องไม่ให้ยุ่ง โอ๊ยปวดหัว จะทำยังไงดี”
ผันไปนั่งกุมขมับด้วยท่าทางคิดหนัก สุดท้ายผันก็ผุดลุกขึ้นยืน
“เอาวะเป็นไงเป็นกัน จะปล่อยให้คุณชีพตายทั้งเป็นยังงั้นไม่ได้”
ผันตัดสินใจเดินออกไป


ฉ่ำนอนหลับอยู่มุมหนึ่งในบ้าน หมอผันเดินเข้ามาปลุกเบาๆ “ฉ่ำ..เฮ้ย..ฉ่ำ..ตื่นๆ”
ฉ่ำงัวเงียแล้วลงนอนต่อ
“อะไรอีกล่ะครับ กลางคืนดูลาดเลากลางวันของีบมั่งซี”
ผันมองฉ่ำอย่างเกรงใจแล้วก็เห็นด้วย
“เออ..จริงของเอ็ง” ผันบ่นเบาๆ อยู่คนเดียว “แต่ข้าเห็นว่ามันสายแล้วมัวมานอนอยู่ยังงี้ มันน่าเกลียด นี่ดีนะคุณนายตายแล้ว ถ้าคุณนายยังอยู่ล่ะก็..”
ฉ่ำกลิ้งจากที่นั้นด้วยแรงที่ไม่ปรากฏ ผันสะดุ้ง
“โอ๊ย..ลุง..อะไรกันนี่ พูดกันดีๆก็ได้”
“ข้าเปล่านะโว้ย”
ผันมองไปรอบๆ แล้วก็รู้ว่าลั่นทมอยู่แถวนี้ ผันพูดเบาๆ
“อย่าเล่นแรงซีคุณนาย” ผันพูดกับฉ่ำ “คือข้าอยากจะขอให้เอ็งไปสุสานกับข้าหน่อย”
ฉ่ำลืมตาตื่นทันที “โอ๊ย ไปทำไมอีกล่ะ”
“เออน่า แต่ข้าต้องขอสัญญากับเอ็งอย่างหนึ่ง เจ้าฉ่ำ”
ฉ่ำงัวเงีย “สัญญาอะไรครับคุณลุงหมอ”
“สัญญาว่าถ้าข้าพาเอ็งไปในสุสานแล้ว ถ้าเอ็งเห็นคุณ...”
ผันชะงักแล้วก็มองไปข้างหน้าอย่างตกตะลึงที่เห็นลั่นทมยืนอยู่ ฉ่ำไม่เห็น ลั่นทมหน้าบึ้ง
ลั่นทมดุ “ทมบอกแล้วไงคะว่าห้ามไม่ให้บอกใคร”
“แต่คุณนายทำไม่ถูก..”
ฉ่ำสะดุ้งแล้วก็หายงัวเงีย เขามองหาแต่ไม่เห็นใครจึงมองผันอย่างกลัวๆ
ลั่นทมพูดต่อ “ไม่ถูกยังไงคะ ตอนมีชีวิตอยู่ เขาทิ้งทมไป ทมบังคับเขาไม่ได้ก็เพิ่งจะมีความสุขสมใจที่เขาอยู่กับทมตอนนี้”
“แต่เขายังไม่ตาย ไปอยู่ยังงั้น ก็เท่ากับตายทั้งเป็น”
ฉ่ำถลาเข้ามาหาผันแล้วพูดหวาดๆเสียงสั่นๆ “ใครลุงผัน ลุงพูดกับใคร ?”
“เอ็งเฉยๆ ก่อน”
ลั่นทมเดินมาใกล้ฉ่ำก่อนจะผลักฉ่ำให้หลีกไป ฉ่ำเซแซดๆ ลงไปนั่งก้นกระแทกอย่างงงๆ ลั่นทมพูดกับผัน
“ทมก็เคยตายทั้งเป็นมาแล้ว ทำไมชีพจะเป็นบ้างไม่ได้”
“มันบาป บาปทั้งคุณนาย บาปทั้งผมที่รู้แล้วไม่ช่วย” ผันว่า
“แต่ถ้าใครไปช่วย ทมจะถือว่ารังแกทม แล้วจะว่าทมใจร้ายไม่ได้นะคะ”
ลั่นทมหายไป ผันเรียกอย่างลืมตัว “คุณนาย..คุณนายลั่นทม”
ฉ่ำตาเหลือกแล้วปากก็พะงาบๆ เขามองดูผันก่อนจะเป็นลมล้มหงายไป


รสสุคนธืกับนฤมลนั่งปรับทุกข์กันอยู่
“พี่ว่าทางรอดตอนนี้คือน้องรสต้องไปทำงาน จะได้มีทางได้เงินใช้บ้าง..”
“เรื่องอะไรฉันต้องไปเหนื่อย”
รสสุคนธ์มองไปเห็นชามเบญจรงค์เป็นชุดอยู่ในตู้โชว์ รสสุคนธ์เดินเข้าไปมอง นฤมลตามไปใกล้ๆ“มองอะไรน้องรส”
“นี่ไงทางรอดชั่วคราวของเรา ของพวกนี้เป็นของเก่าคงได้ราคามากอยู่เหมือนกัน ตอนแรกฉันว่าจะขนเสื้อผ้านังลั่นทมไปขายต่อให้ไอ้พวกขายเสื้อผ้าเก่าๆ แต่คงไม่มีราคา สู้ของพวกนี้ไม่ได้”
“แต่พี่ไม่เห็นด้วย เดี๋ยวพอไปถึงร้านมันก็คงกลายเป็นชามสังกะสีเก่าๆอีกแน่ๆ”
ลั่นทมมองดูรสสุคนธ์ด้วยความสังเวชแล้วก็ผลักอย่างแรงจนรสสุคนธ์เซไปล้มก้นกระแทกพื้น รสสุคนธ์ลุกขึ้นมองนฤมลอย่างไม่พอใจ
“พี่มลไม่เห็นด้วยก็ช่าง ทำไมต้องมาผลักฉันด้วย มันเจ็บนะ”
รสสุคนธ์ผลักไหล่นฤมลอย่างแรงก่อนจะเดินสะบัดไปด้วยความโมโห
นฤมลงงจึงพึมพำ “พี่ไม่ได้ผลักเธอสักหน่อย” นฤมลมองไปรอบๆ ด้วยอาการหวาดๆ “ว้าย..หรือว่า”
นฤมลวิ่งออกจากห้องไปอย่างหวาดกลัว


วิเวกกับสมพรหลับกันสบายอยู่ใต้ร่มไม้ ผันยืนมองด้วยอาการผิดหวัง
“จะอาศัยบ้างก็ดันหลับไปอีกแล้ว เจ้าฉ่ำก็เป็นลมไม่ยอมฟื้นเลยจะให้ใครช่วยดีล่ะ”
ลั่นทมปรากฏกายขึ้นขวางหน้า “ทมให้พวกนี้หลับเองค่ะ”
ผันชะงักจนเกือบเผ่น “โอ๊ะ โธ่คุณนาย..ให้สุ้มให้เสียงมั่งซีครับ”
ลั่นทมไหว้ขอโทษผัน “ขอโทษค่ะ..ทมขอร้องอีกครั้งลุงหมอกลับไปเสียเถอะ”
“ก็ได้ แต่คุณนายต้องปล่อยคุณชีพให้กลับมาซิ”
วิเวกยังหลับสนิท แต่สมพรงัวเงีย
“ทมยังไม่ปล่อยค่ะ” ลั่นทมบอก
“ถ้าไม่ปล่อยผมต้องไปช่วย เป็นอะไรก็เป็นกัน” ผันบอก
“ทมเตือนลุงหมอแล้วนะคะ”
ผันเสียงดังเพราะตกใจ “นี่คิดจะทำร้ายผมเหรอ”

อ่านต่อหน้าที่ 4


สุสานคนเป็น ตอนที่ 13 (ต่อ)

สมพรลุกพรวดขึ้นมองด้วยความตกใจก่อนจะรีบปลุกวิเวก วิเวกตื่น ทั้งสองคนมองผันที่ยืนพูดคนเดียวด้วยความแปลกใจ

“คุณลุงหมอพูดกับใคร” สมพรงง
ผันหันมาหาวิเวกกับสมพร “พูดกับคนรู้จักกันน่ะ เออสมพร วิเวก ตื่นแล้วก็ดี ไปสุสานกันหน่อย”
ลั่นทมลืมตัวปรากฏร่างให้สองคนเห็นแล้วก็พูด “อย่าไป !”
สมพรกับวิเวกสะดุ้งแผดร้องพร้อมกันสุดเสียง “เฮ้ย..คุณนาย”
ลั่นทมหายไป ผันรีบบอกทั้งสองคน “ไปสุสานกันหน่อย”
ผันออกเดิน ทั้งสองคนกลัวจึงรีบตามผันไปติดๆ
ลั่นทมลอยตามมาข้างๆ ก่อนจะสะกดทั้งสอง “ไม่ต้องไปกับคุณลุงหมอ”
ทั้งสองคนหยุดเดินพูดเรียบๆห้วนๆ “ผมคงไปกับลุงหมอไม่ได้” สมพรบอก
“ผมก็เหมือนกัน” วิเวกว่า
ทั้งสองคนหันกลับแล้วเดินหนีไป ผันรีบตะโกนเรียก
“เฮ้ย เดี๋ยว...เดี๋ยวสิเว้ย”
ผันมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นลั่นทม เขาได้ยินแต่เสียงลั่นทมหัวเราะแผ่วๆแล้วก็เงียบหายไป ผันถอนใจทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยท่าทางเซ็งๆ


รสสุคนธ์เดินไปมาชะเง้อมองหน้าบ้าน
“ชีพนะชีพนี่คุณจะไม่กลับมาจริงๆเหรอ”
นฤมลเดินตามออกมาด้วยสีหน้าตื่นๆ
“น้องรส น้องรส”
รสสุคนธ์รำคาญ “อะไรอีกล่ะ”
“เมื่อกี้นี้พี่ว่าเราคงโดนวิญญาณคุณนายลั่นทมผลักแน่ๆ เลย พี่ว่า...”
รสสุคนธ์มองนฤมลด้วยความรำคาญ ธารินทร์เดินเข้ามาพอดี
“หมวดมาก็ดีแล้ว ฉันอยากแจ้งความเรื่องคุณชีพหาย”
“ผมกำลังตามหาเขาอยู่ คิดว่าน่าจะเจอเร็วๆนี้”
อุษาเดินไปทางสุสาน ธารินทร์เดินตามไปติดๆ โดยไม่สนใจรสสุคนธ์
“หมายความว่ายังไงแล้วสองคนนั่นไปทำไมที่สุสาน” รสสุคนธ์สงสัย


ผันเดินเข้ามาในสุสาน
“ข้ามาคนเดียวก็ได้”
ผันมองไปรอบๆ ลั่นทมปรากฏร่างแล้วพูดเสียงดุ
“รู้ใช่มั้ยที่ทมไม่ทำอะไรคุณลุงหมอเพราะคุณลุงหมอมีบุญคุณ”
“ขอบใจครับคุณนาย ผมขอโทษ ผมต้องช่วยคุณชีพ”
“แต่ถ้าคุณลุงไปช่วยเขา”
ผันไม่กลัว “จะเอาชีวิตผมเหรอ”
“ไม่ค่ะแต่ทมจะเอาชีวิตเขา”
ผันชะงักตกใจ ลั่นทมเริ่มมีท่าทีดุร้าย “ทมพูดจริง”
เสียงธารินทร์ดังขึ้น “พ่อ”
ผันสะดุ้งหันไป ลั่นทมหายวับ ธารินทร์กับอุษาเดินนำหน้าฉ่ำ วิเวก และสมพรเข้ามา ฉ่ำ วิเวกและสมพรกลัวๆ จึงเดินเกาะหลังกันมา ผันเดินมาหาธารินทร์กับผันต่อว่ากลุ่มฉ่ำ
“เอ้า ไหนว่าจะไม่มาไง”
“ก็ไม่อยากมาหรอกคุณลุงหมอ แต่ขัดหมวดไม่ได้”
“เมื่อกี้ผมก็ว่าจะมาแต่ทำไมอยู่ๆก็ไปนั่งอยู่ที่บ้านจนหมวดไปตามนี่ละครับ”
“เจอน้าชีพหรือยังคะ” อุษาถาม
“ยัง”
ธารินทร์เข้ามาเผชิญหน้ากับผัน “พ่อก็คิดเหมือนผมใช่มั้ยว่าคุณชีพอาจอยู่ในสุสานนี่”
ผันอึกอักไม่กล้าบอก ธารินทร์ตัดบท “เอางี้ก็แล้วกัน พวกลุงฉ่ำแยกย้ายกันหารอบนอก”
ทุกคนดีใจ “ดี !”
“ผมจะหาในสุสานนี้กับพ่อและษา”
ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันหาชีพตามที่ตกลงกัน


รสสุคนธ์ครุ่นคิดตามองไปทางสุสาน หวานเดินนำพวกสวาทออกมาจากบ้านก่อนจะมองรสสุคนธืด้วยความรำคาญ
“ตกลงแกไม่ยอมไปทำงานใช่มั้ย” หวานถาม
“น้าหวาน..น้ารู้อะไรบ้าง” รสสุคนธ์ย้อนถาม
“รู้อะไรพูดถึงอะไรล่ะ”
“เรื่องคุณชีพนะสิน้า”
“คุณผู้ชายทำไม เจอตัวแล้วเหรอ”
“ยัง..เมื่อกี้ไอ้ตำรวจนั้นพูดแปลกๆบอกว่าตามหาชีพอยู่น่าจะรู้เร็วๆนี่แล้วมันก็วิ่งไปทางสุสาน”
รสสุคนธ์ชะงักแล้วก็นึกได้จึงร้องด้วยความตกใจ “ว้าย..ชีพ”
รสสุคนธ์รีบวิ่งไปทางสุสาน หวานตกใจแล้วก็วิ่งตาม ทุกคนพลอยวิ่งตามกันไปหมดเพราะอยากรู้

ธารินทร์ อุษากับผันพยายามตามหาชีพ ผันไปนั่งทำสมาธิแต่ก็ไม่เห็น ลั่นทมยืนบังชีพอยู่ไม่ให้ใครเห็นแม้แต่ผัน ชีพกระดิกกระเดี้ยอะไรไม่ได้ เขามองเห็นธารินทร์ อุษาและหมอผันที่พยายามหาเขาก็ดีใจจึงร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่เป็นผล ไม่มีเสียงลอดออกมาจากลำคอของชีพเลย
ชีพไม่มีเสียง “ฉันอยู่นี่หมอผัน อุษา ธารินทร์ ช่วยด้วย”
ลั่นทมเสียงกร้าว “บอกแล้วไงถ้าทมไม่ให้เห็นก็ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินคุณหรอก” ชีพอยากจะพูดมากกว่านี้ แต่สิ้นเรี่ยวแรงจึงนั่งหมดสภาพ
“ปล่อยฉันไปลั่นทม ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่”
“ทำไม..ทมอุตส่าห์พาชีพมาอยู่อย่างสบาย กินแล้วก็นอนยังไม่ชอบอีกหรือคะ..งานก็ไม่ต้องทำ”
ชีพร้องแต่ไม่มีเสียง “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ธารินทร์มองไปทางภาชนะใส่เครื่องเซ่นก็เห็นอาหารหมดเกลี้ยง ธารินทร์มองจนแน่ใจแล้วก็ปราด
เข้ามาดูใกล้ๆ เขาจับช้อนส้อมมาดูเห็นเปื้อนอาหารจึงบอกผัน
“มีคนกินอาหารนี้แน่ๆ”
“คุณน้าปล่อยน้าชีพออกมาเถอะค่ะอย่าทำอย่างนี้เลยคุณน้า ษาขอร้อง” อุษาอ้อนวอน
ผันยืนมองเฉย ธารินทร์แปลกใจ “พ่อ ไม่ตื่นเต้นบ้างเหรอ นี่เป็นหลักฐานว่าคุณชีพอยู่ในนี้”
อุษามองผัน “คุณลุงหมอรู้แล้วใช่มั้ยคะ”
“คุณนายครับปล่อยคุณชีพออกมาเถอะ”
ธารินทร์ไม่รอรีบเข้าไปค้นหาทุกซอกทุกมุม
“คุณชีพ อยู่ไหนครับ ได้ยินแล้วตอบด้วย”
ชีพร้องเสียงแหบ “ฉันอยู่นี่ ช่วยฉันด้วย”


ฉ่ำ วิเวก สมพรกำลังหาอยู่รอบๆ รสสุคนธ์วิ่งนำเข้ามา นฤมล หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจวิ่งมาถึงก็หอบ
“ไหนๆคุณชีพอยู่ไหน”
รสสุคนธ์วิ่งพรวดเข้าไปในสุสาน ธารินทร์ อุษา และผันชะงักหันไปมอง
“ชีพอยู่ในนี่เหรอ” รสสุคนธ์ถาม
ธารินทร์ชี้ให้ดูที่ถาดใส่เครื่องเซ่น
“เราเจอหลักฐานพวกนี้ข้าวเกลี้ยงถาด ช้อนส้อมก็เปื้อน น้ำดื่มผลไม้ก็หมด ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นคุณชีพที่กิน”
ทั้งหมดตามเข้ามามองอย่างตื่นเต้น ธารินทร์ถามทุกคน
“ก่อนผมจะมาเคยมีใครเข้ามาก่อนผมบ้าง”
ทุกคนส่ายหน้าตอบ “ไม่มีๆ”
“ไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอกค่ะ”
“เครื่องเซ่นนี้ คุณษามาให้ตอนเช้า แล้วก็ไม่มีใครมาอีก”
“งั้นก็ช่วยกันหาสิ หาให้ทั่ว ชีพ ชีพให้เสียงหน่อยสิชีพ”
ผันตั้งสมาธิอีกครั้งแล้วมองไปรอบๆสุสานก่อนจะไปหยุดที่ลั่นทมซึ่งกำลังบังตัวชีพไว้ ลั่นทมจ้องอย่างดุร้าย
“อย่าบอกนะคะลุง ไม่อย่างนั้นทมไม่รับรองความปลอดภัยของทุกคน”
รสสุคนธ์หาชีพจนทั่ว เธอเดินผ่านหน้าชีพ ชีพตะโกนเรียกแต่รสสุคนธ์ก็ไม่เห็น รสสุคนธ์เข้าไปดูจานอาหารแล้วก็พึมพำ
“เขาต้องอยู่ในนี้แน่ คุณชีพ คุณกำลังคิดทำอะไรอยู่นะ ถึงแอบเข้ามาซ่อนอยู่ในนี้ คุณชีพ”
“แบบนี้คงต้องพึ่งทางไสยศาสตร์แล้วละน้องรส”
ลั่นทมตกใจจึงรีบบอกผัน
“อย่าให้เขาใช้เวทมนต์หาคุณชีพนะคะลุงหมอ”
ผันอ้ำอึ้ง รสสุคนธ์หันมาถามธารินทร์“ตกลงแน่ใจใช่มั้ยว่าเป็นชีพกิน”
ธารินทร์จะตอบ ผันรีบตอบแทน “อาจจะเป็นหนูมั้ง”
“หนูอะไรจะกินจุขนาดนี้” อุษาว่า
“มันคงมากันหลายตัวมั้ง”
“พ่อ.. หนูมันกินข้าวด้วยช้อนส้อมเหรอ”
ผันอึ้งพูดไม่ออก ชีพตะโกนด้วยเสียงแหบแห้ง “รสไปเอาหมอผีมาช่วยฉันที”
ลั่นทมจ้องตาชีพเขม็งด้วยสายตาดุร้าย

ทุกคนพากันเข้ามาในบ้านหลังจากที่ค้นหาชีพไม่เจอ รสสุคนธ์กับนฤมลนิ่งเงียบอยู่ทางหนึ่ง
“อาจจะเป็นคุณผู้ชายกินจริงๆ นะ”
“แล้วทำไมเราไม่เห็นล่ะ”
“ก็ทำไมล่ะ ?”
“ผีคุณนาย” จิ้มลิ้มบอก
ทุกคนเข้ากอดกัน รสสุคนธ์กัดฟัน “พวกมันจะเล่นตลกอะไรอีก”
“แล้วเอายังไง ไปทำงานก่อนดีมั้ย จะได้มีเงินใช้”
“พี่มลเนี่ยห่วงแต่เงิน ถ้าเราเจอคุณชีพเรื่องเงินนะเรื่องเล็ก ฉันชักจะแน่ใจว่าคุณชีพต้องอยู่ในสุสาน” รสสุคนธืจับมือนฤมล “มานี่”
รสสุคนธ์กับนฤมลพากันเดินหลบขึ้นไปชั้นบน
ฉ่ำ วิเวก และสมพรเกาะกลุ่มกันแน่นแล้วซุบซิบ สมพรพูดกับฉ่ำ “เอ็งเคยเห็นคุณผู้หญิงไหมฉ่ำ..ตะกี้ข้าก็เจอที่สวน”
“ฉันด้วย” วิเวกบอก
หวานยื่นหน้าเข้ามาเพราะอยากรู้
“อะไรกัน..ซุบซิบอะไรกัน”
พวกฉ่ำแตกฮือ “เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
หวานมึนงงกับเหตุการณ์ในสุสานจึงเข้าไปหาธารินทร์
“คุณธารินทร์คะ..หนูมันจะกินหมดเรียบร้อยยังงั้นได้ยังไงคะอิฉันว่าต้องเป็นคุณผู้ชายแน่ๆ”
ธารินทร์กับอุษาอึ้ง อุษาหันไปมองผัน ผันมองเมินไปทางอื่นแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้


รสสุคนธ์พานฤมลเข้ามาในห้องนอนแล้วปิดประตูก่อนจะดึงมือไปใกล้ๆ
นฤมลงง “มีอะไรหรือน้องรส”
“ฉันมั่นใจว่าคุณชีพต้องโดนนังลั่นทมเอาตัวไปขังไว้ในสุสานมันคงพรางตาพวกเราไม่ให้เห็นชีพ ฉันเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาตอนอยู่บ้านเก่า”
นฤมลเข้ามาใกล้รสสุคนธ์ด้วยความหวาดกลัว
นฤมลหน้าเสีย “น้องรส..พี่อยากย้ายจากที่นี่ ท่าทางไม่ค่อยดี”
ฟังนะถ้าคุณชีพยังไม่ตาย เราต้องช่วยเขาออกมาให้ได้ ถ้าสำเร็จเราก็สบาย”
“ถ้าไม่สำเร็จล่ะน้องรส เราไม่ต้องเป็นศพเหรอ พี่กลัว”
“ถ้าพี่มลอยากสบายก็ต้องกล้า ดูรสสิรสไม่กลัวเลยเห็นมั้ย รสมีวิธีที่จะช่วยคุณชีพแล้ว”
รสสุคนธ์มองนฤมล นฤมลเข้าใจ “หมอผี !”
รสสุคนธ์ยิ้มและมีสีหน้าท่าทางมั่นใจมากว่าจะสำเร็จ

อ่านต่อตอนที่ 14


กำลังโหลดความคิดเห็น