xs
xsm
sm
md
lg

สาปพระเพ็ง ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สา่ปพระเพ็ง ตอนที่ 5

รัดเกล้าในชุดนอนกำลังจะเดินออกมา เจอคทารัตน์ที่วิ่งพรวด ตรงรี่มาถาม
"ยายเกล้า ฉันไปหาคุณนรสิงห์ชุดนี้จริงๆหรือเปล่า"
"พี่วิกกี้คะ"
"หยุดคำถามของแกไว้ก่อน แล้วตอบฉัน...แกไม่ได้ฝันว่าไปบ้านคุณนรสิงห์"
"ฝันค่ะ เกล้าเห็นพี่วิกกี้ด้วย"
"ฉันใส่ชุดนอนสุดเซ็กซี่ วิกตอเรีย ซีเคร็ท"
"ชุดนอนยับ เยิน ยุ่ย ย้วยชุดนี้แหละค่ะ"
"ไม่จริง ฉันไม่มีวันยอมให้ใครเห็นสภาพฉันแบบนี้"
"เห็นไปแล้วค่ะ ผู้กองไผ่กับพี่วิวก็เห็น"
"นั่นแหละ ที่ฉันทนไม่ได้ ไม่จริง ฉันตายดีกว่าที่จะให้ไอ้สองคนคู่หูนั่นมันเห็น"
คทารัตน์ทำท่านึกได้
"เดี๋ยว...แกฝันเหมือนฉัน เราฝันว่าไปบ้านคุณนรสิงห์"
"ถ้าไม่ใช่ความฝันละคะ พี่วิกกี้ไม่รู้สึกว่ามันเหมือนเราไปอยู่ตรงนั้นจริงๆเลยเหรอคะ"
"มันจะจริงได้ไง ยายเกล้า กลางดึกกลางดื่น ใครจะยกโขยงไปบ้านคุณนรสิงห์ในสภาพชุดนอน"
รัดเกล้าไม่รู้จะอธิบายยังไงกับพี่สาว

ภายในสนง.สืบฯ คทารัตน์เดินมาตรงหน้าโต๊ะวิวรรธน์ เห็นตำราวิจัยภาษาอังกฤษต่างประเทศตั้งอยู่ รัดเกล้าตามมาทางด้านหลัง คทารัตน์ดึงตำราออก เห็นวิวรรธน์นอนหลับพับอยู่กับโต๊ะ เธอเอาหนังสือเคาะหัว วิวรรธน์ตื่นขึ้นมา
"เจ็บนะ เจ๊ ทำร้ายร่างกายกับหัวใจผมตลอดเลย"
รัดเกล้าอมยิ้ม มองวิวรรธน์บิดขี้เกียจ
"ฉันจะทำมากกว่านี้อีก ทุเรศ มาหลับที่ทำงาน เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไง"
คทารัตน์สบตารัดเกล้าแล้วแกล้งถาม
"หรือว่ามัวแต่ฝัน"
วิวรรธน์หันมองหน้าคทารัตน์อย่างมึนๆ
"ฝัน...ฝันอะไร"

ในบ้าน สถบดีเดินมาดักหน้าพัทธยาที่กำลังชงกาแฟ
"ฝันที่ประหลาด บ้าบอที่สุดในชีวิตฉัน"
พัทธยายิ้ม
"แสดงว่าแกฝันถึงเพศเดียวกัน"
"ฉันฝันถึงรัดเกล้า"
"เฮ้ย...งั้นฝันดี"
"มีเจ๊วิกกับวิวด้วย"
"อันนี้ฝันประหลาด"
พัทธยายิ้มตบไหล่เพื่อน
"แกเครียดกับคดีมากไปแล้วว่ะ ไผ่"
"นรสิงห์... ฉันเห็นนรสิงห์ในฝันด้วย"
พัทธยาจิบกาแฟมองเพื่อนที่พูดน้ำเสียงจริงจัง ก่อนรีบหันไปคว้ามือถือ

คทารัตน์สายตาคาดคั้นจ้องวิวรรธน์
"เมื่อคืนแกไม่ได้ฝันอะไรประหลาด ๆ อย่างว่าไปบ้านคนอื่น"
"บ้านใคร... ไม่มีนะ เจ๊ หลับสนิท รวดเดียว จบ เช้าเลย"
คทารัตน์ถอนใจเฮือก เสียงมือถือดังขึ้น วิวรรธน์กดรับ
"ครับๆ โอเคครับ ผมไปเดี๋ยวนี้เลย"
วิวรรธน์ปิดสาย ลุกขึ้นเร็ว รัดเกล้ามองสงสัย
"ไปไหนคะ พี่วิว"
"ผู้กองไผ่ตามตัวไปช่วยงานด่วนน่ะครับ"
วิวรรธน์รีบเดินออกไป แต่ทำเป็นหันหลังกลับมา
"ฝันอะไรยังไง ผมไม่รู้... แต่ผมว่าเข็มขัดใหญ่ยักษ์กับชุดนอนกรุยกราย มีระดับของเจ๊ มันแมทช์กันมาก สวยล้ำ เหมาะกับคนอย่าง วิกกี้เจ้าแม่เก๋โก๊ะที่สุด"
เขายิ้มทำตาล้อเลียน แล้วพุ่งออกไป คทารัตน์แทบกรี๊ดเมื่อรู้ว่าวิวรรธน์เห็นชุดนอน
"ไอ้วิว กลับมาให้ฉันฆ่าเดี๋ยวนี้"

สถบดีหันมาบอกเพื่อนรักด้วยสีหน้าจริงจัง
"ฉันว่านรสิงห์อาจจะใช้พลังอำนาจบางอย่างหลอนประสาทพวกเรา"
"ไหนแกบอกว่าฝัน"
"เมื่อคืนน่ะใช่ แต่ที่ผ่านมา เวลาอยู่ที่นั่น ในบ้านนรสิงห์...มันเหมือนเราครึ่งหลับ ครึ่งตื่น... แกไปกับฉันมั้ย พัทธ์"
"ไปไหนวะ"
"บ้านนรสิงห์"
สถบดีเสียงเข้ม แววตาสงสัย ต้องการหาคำตอบ

เวลาต่อมา ประตูรั้วบ้านนรสิงห์ที่ถูกผลัก เปิดออกอย่างช้าๆ สถบดีกับวิวรรธน์เข้าประตูมา มองบรรยากาศบ้านลึกลับ เงียบ เหมือนไร้สิ่งมีชีวิต ทั้งสองเดินเข้าไปอย่างเงียบกริบ มองสำรวจ ตรงไปกำลังจะเปิดประตูบ้าน
อยู่ๆ มีลมพัดวูบเข้ามาทางด้านหลังไผ่ เขาหันขวับ ยกมือเล็ง วิวรรธน์สีหน้าตระหนก
ร่างนรสิงห์ในรูปมวลสีดำพุ่งเข้าหาสถบดี เสียงคำรามดังกึกก้อง ผู้กองหนุ่มเห็นนรสิงห์ที่โถมตัวเข้าหา ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนอสูรร้ายจ้องเอาชีวิต วิวรรธน์ยืนตะลึง ด้วยสัญชาติญาณตำรวจ เขายกปืนเหนี่ยวไกออกไป เสียงปืนดังปัง!

ในสนง.สืบฯ คทารัตน์ เสียงสูงถามพัทธยา
"ผู้กองไผ่ไปบ้านคุณนรสิงห์ทำไมคะ"
พัทธยายังไม่ทันตอบ รัดเกล้าใจหายวาบ ความห่วงแล่นพุ่งสู่ใจอย่างรุนแรงจน หลุดปากพูดออกมา
"พี่ชาย"
คทารัตน์หันขวับมองรัดเกล้าด้วยสายตาดุ เข้มทันทีที่ได้ยินคำว่าพี่ชายจากปากรัดเกล้า

ในบ้านนรสิงห์ สถบดีลดปืนมองไปรอบๆ
"นรสิงห์"
วิวรรธน์ที่อยู่ด้านหลัง เข้ามามองอย่างตกใจ
"ผู้กองจะยิงใครครับ"
"วิว นายเห็นนรสิงห์ใช่มั้ย"
"ไม่เห็นครับ เอ่อ...เห็นแต่เงาดำๆวูบมา"
"เมื่อกี๊นรสิงห์พุ่งออกมา"
"ไม่มีนะครับ... ผมยังไม่เห็นประตูเปิดเลย เห็นแต่ผู้กองจะยิงปืน"
สถบดีปลดแม็กปืนออกมาดู กระสุนยังอยู่ครบ เขาพยายามดันประตูที่ปิดอยู่ แต่ประตูไม่ขยับ วิวรรธน์มองผู้กองอย่างงงๆ
"นรสิงห์... คุณนรสิงห์"
เขาทุบประตูเรียก
ที่ด้านหลัง นรสิงห์ยืนมองทั้งคู่อยู่
"นรสิงห์ ผมเอง ผู้กองไผ่ เปิดประตูหน่อย"
"เงียบใบไม้ยังไม่กระดิก คงไม่มีคนอยู่มั้งครับ"
สถบดีและวิวรรธน์หันหลังกลับมา แต่ไม่มีนรสิงห์
"เอาไงครับ ผู้กอง"
"กลับ"
สถบดีเดินนำวิวรรธน์ออกไป ที่หน้าประตูบ้าน นรสิงห์ยืนมองคนทั้งคู่
"คราวหน้าพารัดเกล้ามาด้วย"
สถบดีเหมือนจะได้ยินเสียงนรสิงห์ หันขวับกลับไปมอง แต่ไม่เห็นใครเลย วิวรรธน์เริ่มกลัวกับท่าทางประหลาดๆของสถบดีกับบรรยากาศรอบๆ
"อะไร ... อะไรครับ ผู้กองมองหาใคร"
เขาเดินหงุดหงิดออกไป วิวรรธน์ขนลุก รีบเอามือลูบแขนแล้ววิ่งตามไปทันที
ในสนง.สืบฯ คทารัตน์ดึงรัดเกล้าออกมาถามที่มุมหนึ่ง
"พี่ชาย พี่เชยอะไรกัน สนิทสนมถึงขาดนับญาติกันแล้ว แกพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า"
"เกล้าไม่รู้ตัวจริงๆค่ะ แล้วเกล้าก็ไม่เคยเรียกผู้กองว่าพี่ชาย"
รัดเกล้าสีหน้าไม่รู้ตัวจริงๆ
"ก็ฉันได้ยินเต็มสองรูหู อย่าคิดจะโกหกฉัน แกกับผู้กองไผ่ไปสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกันตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ไม่เคยสนิทเลยค่ะ พี่วิกกี้ จริงๆนะคะ"
"แกมีแต่พี่สาวนะ ยายเกล้า... อย่าให้ฉันได้ยินแกเรียกผู้กองไผ่สนิทสนมแบบนั้นอีกเป็นอันขาด"
คทารัตน์จ้องคาดคั้น จนรัดเกล้าหน้าจ๋อย

สถบดีเดินมาที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าบ้าน วิวรรธน์ถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ผู้กองว่าบ้านคุณนรสิงห์มี ...ผี หรือเปล่าครับ"
"แกเชื่อเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ด้วยเหรอวะ วิว"
"ไม่เคยเชื่อครับ แต่ผมว่าบ้านมันเงียบ วังเวง มีอะไรประหลาดๆ เหมือนมีวิญญาณวนเวียนอยู่ที่นั่น"
"ไม่ใช่วิญญาณหรอกที่ทำให้เรากลัว นรสิงห์ต่างหาก เค้าตั้งใจทำให้เรากลัว ตั้งใจทำตัวมีอำนาจเหนือพวกเรา"
สถบดีสีหน้าครุ่นคิดเรื่องที่เจอในบ้านนรสิงห์

ในห้องทำงานพัทธยา คทารัตน์ รัดเกล้า พัทธยา ยืนมองสถบดีกับวิวรรธน์ที่ยืนอยู่ตรงข้าม
"นี่ผู้กองไผ่เห็นคุณนรสิงห์เป็นคนร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าคุณนรสิงห์โกรธขึ้นมา พยานสำคัญจะหายไปปากนึง แย่จริง ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลยนะคะ"
"จะให้ปรึกษาว่าอะไรครับ ผมก็จะไปสอบปากคำคุณนรสิงห์ของเจ๊เหมือนคนอื่นๆ ถ้าไม่ผิด ก็ไม่ควรจะต้องหลบหน้าหลบตา"
คทารัตน์ถลึงตาจะเถียง พัทธยาถามขึ้น
"นั่นสิครับ นรสิงห์เค้ารู้อะไรเกี่ยวกับคดีนี้บ้าง นอกจากเรื่องฆาตกรเป็นผู้หญิง บ้านอยู่ใกล้กันซะขนาดนั้น คืนวันเกิดเหตุก็น่าจะได้ยินเสียงปืน แล้วธรรมชาติของคนนะครับ ย่อมอยากรู้อยากเห็น"
"นี่แหละค่ะ ที่วิกกี้กำลังแคะออกมาให้ได้ วิกกี้อยากให้ผู้กองไปเจอคุณนรสิงห์สักครั้ง บางทีเราอาจจะได้หลักฐานเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมด"
"คราวที่แล้ว คุณนรสิงห์ก็ไม่ได้บอกอะไรเราเพิ่มเติมค่ะ เหมือนกับว่าเค้าอยากให้เราไปหาบ่อยๆ" รัดเกล้าบอก
รัดเกล้าพูดขึ้น หนุ่มทั้งสามมองหน้า คทารัตน์จ้องน้องสาว
"หรือไม่เค้าก็พยายามทำให้เราเจอวิญญาณ เพื่อจะบอกอะไรบางอย่าง" วิวรรธน์บอก"เดี๋ยวๆ วิว... นายกำลังจะบอกว่าที่ผ่านมา ทุกคนไปคุยกับวิญญาณ"
"ไม่ค่ะ ไม่ใช่วิญญาณ" รัดเกล้าบอก
"วิกกี้ก็ขอยืนยันว่าคุณนรสิงห์ไม่ใช่วิญญาณค่ะ"
"แล้วที่ผมเห็น ผู้กองไผ่เห็น เจ๊เองก็เคยเห็น...คืออะไร" วิวรรธน์ว่า
"ฉันเห็นอะไร ไอ้วิว แกอย่ามาหาพวก แกเองต่างหาก เห็นอะไรวูบวาบก็ตกใจไปเอง"
"งั้นเจ๊ช่วยอธิบายเรื่องที่เราฝันเหมือนกัน 4 คน... ไปนั่งอยู่ในบ้านคุณนรสิงห์ กับเข็มขัดรัดหน้าท้องอันใหญ่ยักษ์ของเจ๊ให้ฟังหน่อย"

สถบดีหลุดหัวเราะก๊าก รัดเกล้ากลั้นยิ้ม คทารัตน์เสียหน้าจ้องวิวรรธน์แทบจะให้ละลายหายไปจากตรงนั้น
"ไอ้วิว"
"พอก่อน วิว วิกกี้" พัทธยาปราม
ทั้งคู่สะบัดหน้ากันไปคนละด้าน
"ก็ไม่รู้สินะ ผมเองก็ไม่ถึงหลงใหลไปกับเรื่องไสยศาสตร์หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ หรือพวกเรื่องลี้ลับ แต่ผมคิดว่านรสิงห์มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง"
ทุกคนมองพัทธยาที่พูดต่อ
"เหมือนนักมายากลเล่นกับภาพลวงตา ทำให้พวกคุณมึนงง ส่วนเรื่องที่พวกคุณฝันอาจจะเป็นการอุปาทานหมู่"
"อย่ารวมวิกกี้เข้าไปด้วยค่ะ รับรองว่าคนอย่างวิกกี้ไม่มีวันร่วมวงอุปาทานหมู่ จิตวิกกี้แข็งกว่านั้นเยอะ"
"ใช่ครับ อันนี้ผมเห็นด้วย ไม่ใช่จิตคุณวิกอย่างเดียวที่แข็งโป๊ก ทั้งนิสัย หน้าตา ผมว่าแข็งระดับคานทองไม่มีวันพังลงมา ชัวร์ !"
วิวรรธน์หัวเราะพรึ่ด เธอจ้องทั้งคู่แบบคู่อามาต
"ขำมากมั้ยคะ"
"มากครับ" สถบดีบอก
"ดีค่ะ รีบขำนะคะ เผื่อจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ได้หัวเราะ"
รัดเกล้ารีบเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางความโมโหของทุกคนที่สาดใส่กัน
"เกล้าว่าเรากลับมาเรื่องคุณนรสิงห์มั้ยคะ"
"ว่ามาเลยครับ"
คทารัตน์หมั่นไส้สถบดีที่มีท่าทางตั้งใจฟังรัดเกล้าเกินกว่าเหตุ
"คุณนรสิงห์คงไม่ได้มาทำลายชีวิตใคร เกล้ารู้สึกว่าคุณนรสิงห์คงมีอะไรอยากที่จะบอกเรา เพียงแต่ว่าจะพูดออกมาทั้งหมดเลยไม่ได้"
"ใช่ครับ ผมว่า... คุณนรสิงห์พยายามจะเชื่อมโยงพวกเราไว้ด้วยกัน เพื่ออะไรสักอย่าง" วิวรรธน์เห็นด้วย
"บางทีนรสิงห์อาจจะโผล่มาในคดีนี้ เพื่อเบนความสนใจของเราจากฆาตกรตัวจริง" สถบดีบอก
"เพราะผู้กองเชื่อว่าฆาตกรคือผู้ชายน่ะสิ ทั้งๆที่..." คทารัตน์ว่า
"ทั้งๆที่ไม่มีอะไรบอกว่าจะเป็นผู้หญิงอย่างสิริรัตน์ คุณจะปักใจหลงเชื่อคำพูดของนรสิงห์ก็ได้นะ คุณวิก แต่ช่วยหาข้อพิสูจน์มาให้ผมด้วย ว่าสิริรัตน์คือคนที่กล้าเหนี่ยวไก ยิงในระยะเผาขน แล้วก็จัดการเก็บกวาดหลักฐานหมดจดได้ระดับมืออาชีพ"
ทุกคนมองสถบดีที่เอ่ยด้วยความมั่นใจว่า สิริรัตน์ไม่ใช่ฆาตกร

ในบ้านอภิมุข เพชรดา เดินลงมาจากชั้นบน ถือกระเป๋าพร้อมจะออกไปซื้อของนอกบ้าน สิริรัตน์ยืนรออยู่
"ชั้นมาเอาเงินเดือน"
"ฉันเพิ่งให้เธอไปเมื่ออาทิตย์ก่อน" เพชรดาบอก
"ก็ใช้หมดแล้ว"
"งั้นก็ต้องรอเดือนหน้า"
เพชรดาไม่สนใจจะเดินออกไป สิริรัตน์โมโห เอื้อมมือไปปัดแจกันตกแตกพื้น เสียงดัง เพชรดาหันมาทันที
"เธอเป็นแค่คนอาศัย สิริรัตน์ อย่าทำลายทรัพย์สินของบ้านหลังนี้"
"แปลว่าฉันทำลายชีวิตคนแทนไอ้แจกันโบราณคร่ำครึนั่นได้ใช่มั้ย"
เพชรดามองสิริรัตน์ที่ยิ้มร้าย แววตาข่มขู่
"เธอจะแลกกับอะไรล่ะ สิริรัตน์ เงิน สมบัติ หรือว่า...ตำแหน่ง"
สิริรัตน์พูดสวนอย่างเร็ว
"คุณผู้หญิงของบ้านหลังนี้"
"ตำแหน่งนั้นมันมีไว้สำหรับคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ภรรยา ซึ่งมันก็คงจะสูง สุดเอื้อมมือเธอ"
"ทำไม แกรอจะเข้าข้าง ประจบประแจงนังมาริษาล่ะสิ เผื่อว่าจะได้เศษเงินจากนายหญิงคนใหม่"
คนรับใช้โผล่หน้ามามอง สิริรัตน์ตวาด
"ขี้ข้า สะเออโผล่หน้ามาทำไม เจ้านายจะคุยกัน"
คนรับใช้รีบผลุบหายไป เพชรดายังคุมสติ มองสิริรัตน์ด้วยสายตาเรียบลึก
"อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนไปมากกว่านี้เลย สิริรัตน์ เธอควรรู้ตัวว่าที่ผ่านมา เธออาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาได้เพราะความเมตตาจากพี่ชายฉัน ทั้งสองคน"
สิริรัตน์ตรงเข้าบีบคอเพชรดาทันที เพชรดาตกใจไม่ทันตั้งตัว
"ทวงบุญคุณแบบนี้ แกคงอยากตาย ตามไปเป็นทาสรับใช้พี่ดำ"
สิริรัตน์บีบแรง เพชรดาหายใจไม่ออก พยายามสะบัดแก
"สิริรัตน์ อย่า..."
เพชรดาผลักเต็มแรง แต่สิริรัตน์เหวี่ยงอีกฝ่ายไปล้มลงทางแจกันที่แตกอยู่ หน้าเกือบโดนเศษแจกันทิ่ม สิริรัตน์ตามมากดหน้าลงแนบลงไปกับพื้น เพชรดาพยายามบิดหน้าหนี
"สิริรัตน์ อย่าทำอะไรบ้าๆ"
"กลัวตายเหมือนพี่ชายนักหรือไง ฮ้า นังเพชรบ้า ฉันถามว่ากลัวตายนักใช่มั้ย กลัวก็เอาเงินมา"
สิริรัตน์จับหัวเพชรดาโขกแรงกับพื้น
"เธอฆ่าคนได้เพื่อเงินอย่างเดียวเหรอ สิริรัตน์"
"ใช่ เพราะคนอย่างฉัน เกิดมาไม่เคยเสียเปรียบใคร เงินล่ะ เอาเงินมาหรือแกอยากตาย ตายทั้งบ้านเลย เอามั้ย"
สิริรัตน์กำลังจะจับเพชรดาโขกหัวกับพื้นอีกที อภิวัฒน์พุ่งเข้ามาดึงสิริรัตน์ออก
"คุณวัฒน์"
"อย่าทำอะไรโง่ๆ"
"แต่สิริรัตน์..."
อภิวัฒน์บีบแขนแรง สั่งเฉียบขาด
"ออกไป... เดี๋ยวฉันจัดการทุกอย่างเอง"
อภิวัฒน์จ้องจนสิริรัตน์ต้องยอมออกไป เพชรดายังลุกไม่ขึ้นด้วยความตกใจ อภิวัฒน์เอ่ยเสียงเรียบ
"เลิกสำออย แล้วก็ลุกขึ้น แต่ก่อนแกอาจจะเป็นน้องคนโปรดของพี่ดำ แต่ตอนนี้ ที่นี่ ฉันเป็นใหญ่ ใครที่มันอวดดี ไม่เชื่อฟัง ฉันก็จะจัดการตามวิธีของฉัน"
อภิวัฒน์มองเพชรดาด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้ความสงสาร เพชรดาประคองตัวขึ้นเอง

ในห้องทำงาน พัทธยาสีหน้าครุ่นคิดข้อกับสันนิษฐานจากทั้งคทารัตน์และสถบดี
"วิธียิง วิธีจัดการกับศพ ไม่น่าจะเป็นฝีมือผู้หญิง ผมเห็นด้วยกับผู้กองไผ่นะ"
"ทำไมคะ ผู้หญิงนี่ต้องเลิ่กลั่ก ลนลาน จะวางแผนฆ่าคนแบบเรียบกริบ ไร้ร่องรอย ไม่ได้เลยหรอคะ"
"คือถ้าเป็นผู้หญิงอย่างคุณนะครับ ผมว่าทำได้และสุดยอดด้วย"
คทารัตน์รู้ว่า สถบดีกำลังแว้งมากัด
"เพราะความเลือดเย็นของเจ๊วิกมันอยู่ในทุกอณูขุมขน ตรงดิ่งออกจากหัวใจและสายตา พร้อมจะเชือดอย่างไม่ปรานี"
"ดีค่ะ เอาไว้ถ้าฉันอยากลองเชือดรอบหน้า ขอยืมร่างผู้กองหน่อยนะคะ"
"ถ้าถึงกับต้องพลีร่าง ผมขอเสนอ... วิวก่อนเลยครับ ตอนควักหัวใจวิวก็เบาๆ มือหน่อยนะครับ แค่นี้มันก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว"

วิวรรธน์แกล้งจับอกรับลูกทันที
" โอ๊ย... ถ้าเป็นเจ๊ ถึงเจ็บก็พอใจ เจ็บเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ เจ็บจนหัวใจคะมำ ยอมให้ขยำแรงๆ"
รัดเกล้ายิ้มขำ สถบดีมองยิ้มรัดเกล้าเพลิน
"ฉันไม่ขยำให้เสียมือหรอกวิว... แค่เข็มเล่มเดียวแทงเข้าลูกตา รอดูจนกว่าจะขาดใจตาย น่าจะเพลินกว่าเยอะ"
คทารัตน์พูดเสียงเรียบ แต่จริงจัง ทุกคนเงียบ เกรงในน้ำเสียง บรรยากาศกลับมาซีเรียสอีกครั้ง รัดเกล้าคลายบรรยากาศด้วยการเอ่ยขึ้น
"เกล้าว่าเรามีทั้ง 2 ทฤษฎีที่เป็นไปได้ค่ะ ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ลงมือได้ดีพอๆกัน เพราะในคฤหาสน์หรูหราสวยงาม อาจจะซ่อนจิตใจที่อำมหิตที่สุดอยู่ก็ได้"

ในบ้านอภิมุข เพชรดามองอภิวัฒน์ด้วยสายตาเกรงๆ
"เพชรรู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ ไม่สมควรให้คนนอกรับรู้"
"ดีที่แกรู้ซะมั่งว่า ทำความเดือดร้อนให้ทุกคนมามากแค่ไหน"
"เพชรแค่ต้องการความยุติธรรมให้พี่ดำ"
"ความยุติธรรมคือฉันเป็นคนต้องเป็นคนดูแลทุกอย่างในบ้านหลังนี้ต่อจากพี่ดำ ไม่ใช่แก"
"เพชรไม่เคยคิดจะแตะต้องสมบัติของที่นี่เลยนะคะ พี่วัฒน์"
"งั้นแกก็ทำให้ตำรวจพวกนั้นมันเลิกมาวุ่นวายกับคดีนี้สักที แล้วก็เอาเงินมาให้ฉัน"
"เพชรไม่มีเงิน"
"อย่ามาโกหก ตราบใดที่คดียังไม่จบ ทุกบัญชีก็ยังถูกอายัด แต่คนอย่างพี่ดำ รู้ว่าตัวเองไม่ได้ขาวสะอาดอะไรนักหนา มันต้องมีบัญชีที่ซุกๆไว้ให้เอาเงินออกมาใช้ได้ ยามจำเป็น"
อภิวัฒน์เดินเข้าหาเพชรดาที่ถอยไปไหนไม่ได้
"บัญชีนี้พี่ดำให้เงินไว้แค่เบิกถอนมาใช้เรื่องในบ้าน กับเรื่องของตาหนึ่ง มันไม่ได้มีเงินมากมายอย่างที่พี่วัฒน์เข้าใจ"
"มีเท่าไหร่ฉันก็จะเอา พวกคนดูแลบ้านอย่างแก มีเงินแค่กินใช้ไปวันๆ มันไม่เดือดร้อน แต่นักธุรกิจอย่างฉัน เงินขาดมือเมื่อไหร่ ธุรกิจฉันก็ชะงัก"
"เพชรไม่เคยเห็นบริษัทของพี่วัฒน์ได้กำไร ที่ผ่านมาพี่ดำต่างหากที่เอาเงินไปช่วยพยุงไว้ทุกครั้ง"
อภิวัฒน์เลือดขึ้นหน้าที่โดนจี้จุด
"ที่สิริรัตน์ทำกับแกเมื่อกี้ มันจะกลายเป็นแค่คำขู่ ถ้าความอดทนของฉันหมดลงเมื่อไหร่"
"พี่วัฒน์ จะทำอะไรเพชร"
" ฉันก็มีวีธีที่จะทำให้แกทรมานที่สุด... ก่อนตาย"
อภิวัฒน์เดินออกไป เพชรดาที่เริ่มหวาดหวั่นกับคำขู่

พัทธยามองไปที่ทุกคนในห้อง
"เมื่อคนที่รวยที่สุดถูกฆ่า ประเด็นที่เราต้องพุ่งไปก่อนเป็นอันดับแรก ...เงิน มรดก ผลประโยชน์ ผมเชื่อว่าฆาตกรยังอยู่ในบ้านหลังนั้น ไม่ว่าเป็นใคร เราต้องลากตัวออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคนที่เหลือ"
คทารัตน์ยิ้มบอก
"เชื่อมือวิกกี้นะคะ"
"หวังว่าคงไม่ต้องให้คุณนรสิงห์ขา มาเข้าฝันชี้ตัวฆาตกรให้"
สถบดีท้าทาย วิวรรธน์สยอง คาดว่าระเบิดคงจะลงแน่ แต่ผิดคาด คทารัตน์กลับคลี่ยิ้ม ทั้งริมฝีปากและแววตาเชือดเฉือนออกทีละน้อย
"วิกกี้ขอรับคำท้าของผู้กองไผ่ค่ะ ไม่ใช่เพราะความดันทุรัง หรือกลัวเสียหน้า แต่วิกกี้มั่นใจในสายตาและความสามารถของตัวเอง ว่าไม่เคยดูคนผิด ใครเก่งแท้ เก่งเทียม หรือดีแต่อวดเก่ง วิกกี้ขอพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นกันชัดๆ จากคดีนี้"
ทุกคนรับรู้ได้ถึงบรรยากาศการท้าทายระหว่างคนคู่นี้ คทารัตน์สะบัดสายตากลับมาหยิบแฟ้ม หันหลังเดินตัวตรงออกไป วิวรรธน์เดินตามออกไปอีกคน รัดเกล้าสีหน้ายุ่งยากใจเดินออกไป
สถบดีสีหน้าหมอง พัทธยาเตือนเพื่อน
"ไอ้ไผ่..เอ็งจะเป็นศัตรูกับใคร ทำไมไม่หัดดูหน้าดูหลังซะก่อน"

ในบ้านอภิมุข เพชรดาที่พยายามรวบรวมสติที่กำลังหวาดหวั่น คว้ามือถือแล้วกดเบอร์พัทธยา เสียงมือถือดัง พัทธยาเห็นชื่อหน้าจอว่า เพชรดา ก็รีบกดรับ
"สวัสดีครับ คุณเพชร"
สถบดีมองเพื่อนทันที พัทธยาถามน้ำเสียงห่วงใย
"ที่บ้านมีอะไรหรือเปล่าครับ"

เพชรดากำลังจะเล่าเรื่องทั้งหมด เธอเห็นอภิวัฒน์ยืนมองลงมาจากด้านบน สายตาอภิวัฒน์ทำให้เธอตัดสินใจปฏิเสธ
"ไม่มีค่ะ ไม่มีอะไร ขอโทษค่ะ... ฉันโทรผิด"
เพชรดารีบวางสาย อภิวัฒน์ ค่อยๆเดินออกไป เพชรดาสีหน้าหวาดหวั่น รู้สึกว่าตัวเองกำลังอาจจะกลายเป็นศพต่อไปได้ทุกนาที

พัทธยาสีหน้านิ่งลงทันที สถบดีสีหน้าอยากรู้
"คุณเพชร เธอโทรผิด"
"แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรที่นั่น อยากไปดูหรือเปล่า ฉันไปเป็นเพื่อนแกได้นะ"
"ไม่ต้องหรอก ก็คุณเพชรเธอบอกเองว่า... โทรผิด"
"ตั้งใจโทรผิดมาที่แกเนี่ยะนะ"
"แกไม่ต้องพยายามเชียร์เรื่องฉันกับคุณเพชรเลย แกก็เห็นผู้หญิงเย็นชาอย่างคุณเพชร เธอไม่พร้อมจะเปิดใจรับความหวังดีจากใครทั้งนั้น"
พัทธยาพลิกแฟ้มอ่านอย่างไม่สนใจเรื่องเพชรดาอีก

อ่านต่อหน้าที่ 2


สาปพระเพ็ง ตอนที่ 5 (ต่อ)

ในร้านกาแฟ จานขนมวางโครมลงบนโต๊ะ วิกกี้นั่งลง
"โอ๊ย ทำไมฉันโกรธ แล้วฉันต้องกินด้วยเนี่ยะ"
วิวรรธน์ตามมานั่งลงตรงหน้า
"ถ้าเจ๊จะโกรธเกลียดใครสักคน ผมว่าอย่าเป็นผู้กองไผ่เลย ยังไงเราก็ทีมเดียวกัน"
คทารัตน์มองวิวรรธน์ด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่โมโหเหมือนทุกครั้ง
"แกจะเข้าข้างผู้กองไผ่ก็ได้นะ วิว ฉันไม่โกรธแกหรอก คนอย่างฉันแฟร์ๆ ทำงานคนเดียว หนักกว่านี้ก็ไม่เคยต้องมีผู้ช่วย"
"ไปกันใหญ่ละ ผมไม่ได้เลือกข้าง"
"ก็เลือกซะสิ"
วิวรรธน์อึ้งไป คทารัตน์น้ำเสียงเรียบ แต่มีอำนาจ
"เพราะฉันไม่มีวันเข้ากันได้กับผู้กองไผ่ ไม่ใช่ฉันว่าไม่นับถือคนเก่งกว่า แต่ผู้กองไผ่ไม่ได้เก่งจริง เค้ากำลังเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับงาน"
"แล้วเจ๊ไม่เป็นหรือไง เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับงานน่ะ"
คทารัตน์รู้สึกแปลกๆ กับสายตาวิวรรธน์
"แกหมายถึงเรื่องอะไร พูดมาเลย ไอ้วิว"
"ก็เจ๊เข้าข้างคุณนรสิงห์ทุกอย่าง"
"แกอย่ามาทำน้ำเสียงน่าขนลุกน่ะ"
"น้ำเสียงยังไง"
"เหมือนหมาหวงเจ้าของ"
"ถ้าใช่ล่ะ"
"แกไม่ใช่หมาของใครนะ วิว"
คทารัตน์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีแววตำหนิ แต่เป็นเหมือนการสั่งสอน
"ชีวิตเรา อย่าทำตัวให้คนอื่นจูงจมูก เอาปลอกคอมาล่ามแกไว้"
"ทำไมล่ะ เจ๊ ก็ถ้าผมอยากจะเป็นหมามีปลอกคอ ใครๆก็รู้ หมามันซื่อสัตย์ รักเจ้าของมัน ... จนวันตาย"
สายตาวิวรรธน์จริงจังกับทุกคำพูด
"อย่าอย่าอย่า อย่านะแก อย่ามาดราม่ากับฉัน เดี๋ยวฉันกินไม่ลง เสียดายตังค์"
คทารัตน์พูดแล้วตักขนมกิน ไม่สนใจสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะบอก

นรสิงห์ยืนอยู่ในแดดที่บ้าน รู้ได้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
"กรรมที่กระทำต่อกันไว้เหมือนกงล้อที่หมุนเวียนไป เป็นเงาตามตัวใต้กฎของธรรมชาติ ไม่มีใครหนีกรรมพ้น"
นรสิงห์มองไกล นึกถึงตนเองก็เอ่ยด้วยเสียงขมขื่น สมเพช
"ต่างแค่เวลาที่ต้องชดใช้ ...จะเร็วหรือช้า สิ้นสุดหรือรอคอย...ทุกข์ทน...ทรมาน"
เงาของนรสิงห์หดสั้นลงแล้วกลืนหายไปในกระดานไม้

รัดเกล้าปั่นจักรยานมาจอดลงหน้ารั้วบ้าน และกำลังจะไขกุญแจบ้าน สถบดีขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดทางด้านหลัง เขาดับเครื่องรถที่ครางกระหึ่มเดินลงมาหา
"ผมอยากคุยเรื่องพี่สาวคุณ"
"ไว้คุยที่สำนักงานเถอะค่ะ พี่วิกกี้ยังไม่กลับ"
"จะให้เค้าเห็นว่าเราคุยกันไม่ได้เลยเหรอ รัดเกล้า แค่คุย... เราไม่ได้ทำอะไรผิด"
"ถึงไม่ผิด เกล้าก็ไม่อยากทำให้พี่วิกกี้ไม่สบายใจค่ะ"
"คุณคงไม่โกรธเรื่องที่ผมกับพี่สาวคุณ ... ทะเลาะกัน"
"พี่วิกกี้ทำอะไรมีเหตุผลนะคะ เกล้ามั่นใจว่าที่พี่วิกกี้เชื่อคุณนรสิงห์ เพราะคุณนรสิงห์ต้องรู้อะไรมาจริงๆ"
"แสดงว่าคุณก็เชื่อ นรสิงห์ คุณไม่สงสัยเลยเหรอ รัดเกล้า นรสิงห์ทำให้เราฝันเห็นกันและกันได้ยังไง"
"ไม่ได้มีแค่เราค่ะ มีพี่วิกกี้กับพี่วิวด้วย"
สถบดีขยับตัวใกล้รัดเกล้า
"คุณก็รู้สึกใช่มั้ยว่าเราไม่ได้ฝัน นรสิงห์พาคุณกับผมไปที่นั่นจริงๆ"
รัดเกล้าไม่อยากอยู่ใกล้ไผ่ขนาดนี้ ก็รีบปฏิเสธ
"ตราบใดที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือฝัน เราก็อย่าไปคิดถึงมันให้เสียเวลาเลยค่ะ คนเราควรอยู่กับปัจจุบัน"
รัดเกล้าเปิดประตูจูงจักรยานเข้าบ้าน เขาขยับเหมือนจะตามเข้าไป
"ใจจริงคุณเองก็เชื่อใช่มั้ย รัดเกล้า เชื่อว่าเราไม่ได้ฝัน ถ้ามันเป็นความผูกพัน คุณคิดว่าในอดีต เราเคยผูกพันอะไรร่วมกันบ้างมั้ย"
รัดเกล้ามองหน้าสถบดี
"ไม่ค่ะ เกล้าไม่รู้สึกว่าเราผูกกันอะไรกันมา ตั้งแต่อดีต... ไม่เคยแล้วก็คงไม่มี ไม่ว่าจะตอนนี้ เวลานี้ หรืออนาคต"
รัดเกล้าปิดประตู ตัดบทแบบไร้เยื่อใยจูงจักรยานเดินเข้าบ้าน ทิ้งให้สถบดีมองตามด้วยสีหน้าเศร้า

รัดเกล้าจูงจักรยานมาจอดในบ้าน เธอยืนพิงผนังสีหน้าเศร้า เงาดำที่ค่อยๆคืบคลานมาข้างเธอ ... เธอมองอย่างประหลาดใจ แต่ไม่เห็นใคร
ภายในบ้าน ที่เก้าอี้มุมห้อง ร่างของนรสิงห์ยืนเป็นเงาดำทะมึน
"คุณนรสิงห์ คุณมาที่นี่ได้ยังไง"
รัดเกล้าถามด้วยความอยากรู้
"คุณทำให้เราฝันได้ยังไง... คุณจะบอกอะไรพวกเรา"
นรสิงห์เคลื่อนกายเข้ามาหารัดเกล้าตรงหน้า
"อดีตอันขมขื่น ทรมาน เจียนตายแต่ยังไม่ตาย ต้องทนอยู่ ทนรับรู้ความเจ็บอย่างแสนสาหัส"
"คุณพูดเรื่องอะไร"
"เรื่องของฉัน"
นรสิงห์จ้องมองตารัดเกล้าด้วยพลังอำนาจแรงกล้า
"เรื่องของเรา"
รัดเกล้าเจ็บแปลบที่อก นรสิงห์เอื้อมมือไปรับศีรษะของรัดเกล้าไว้ เธอหมดสติดับวูบลง ร่างของเธอล้มลงนอนเหยียดยาวบนพื้น เงาดำของนรสิงห์ทาบทับร่างรัดเกล้าเหมือนจะบดบังให้หายไปจากโลกปัจจุบัน

ทางเดินขึ้นวิหารหลวง มรันมา เจ้านางจันทเทวีและมีข้าหลวง 4 คนถือพานดอกไม้เดินตามหลัง
มรันมาที่อาการดีขึ้น สีหน้ายิ้มละมุน จันทเทวีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส
"น้องว่าคนที่ดีใจที่สุด ที่พี่หญิงพ้นจากตำหนักเจ้านางอินยามาได้ ต้องเป็นแม่ทัพติสสา นักรบรูปงาม สูงใหญ่ ใจดี๊ดี"
มรันมาอมยิ้มเขินอาย
"อย่าล้อข้าเลยเจ้านาง"
"อย่าเรียกเจ้านางสิ พี่หญิงต้องเรียกว่าน้อง"
"มันไม่สมควร ข้ายังเป็นทาส"
"พี่หญิงไม่ใช่ทาสของใครอีกแล้ว พี่หญิงกำลังจะได้เป็นน้องนางองค์ใหม่ แล้วหลังงานสถาปนา พี่หญิงก็จะเป็นเจ้าสาว เจ้าสาวที่โชคดี มีความสุขที่สุดแห่งศรีพิสยา"
น้ำเสียงจันทเทวีตื่นเต้นประสาเด็กสาว มรันมาอมยิ้ม ความสุข ความสมหวังที่รอคอยกำลังเบ่งบานเต็มหัวใจ
ในเรือน ติสสาเดินลงจากเตียง แววตาเร่าร้อน เพราะต้องมนตร์ดำสะกดจากแม่เฒ่า น้ำเสียงของเขาละเมอเพ้อหา
"เจ้านางอินยา"
ติสสางุ่นง่าน ในใจคิดเพียงจะออกไปหาเจ้านางอินยา เขาเปิดประตูห้องทันที

ติสสาเห็นเมฆากับมารุตเดินตรวจตราไปรอบๆ เรือน เขาก้าวลงจากเรือน
"แม่ทัพ ท่านจะไปไหน"
ติสสาไม่ตอบ แต่เดินเร็ว มารุตวิ่งตามมาดักหน้า
"ข้ายังไม่เห็นคนจากวังเจ้าปรันมามาตามท่านเลย"
ติสสาผลักมารุตกระเด็นให้พ้นหน้า
"บอกเราเถอะ ท่านจะไป..."
"ไม่ต้องตาม"
ติสสาเสียงแข็ง เมฆากับมารุตฟังแล้วต้องหยุด ได้แต่มองกัน ติสสาเดินเร็วห่างออกไปไม่สนใจใครทั้งนั้น

ในถ้ำ แสงเทียนวับแวม แม่เฒ่ากำลังร่ายมนต์ดำ เพ่งพินิจถึงภาพติสสาที่กำลังหลงละเมอ
แสงเทียนวูบไหวเป็นเงาบนใบหน้าแสยะยิ้ม ดูน่าสะพรึงกลัว

ภายในวิหารหลวง เวลากลางคืน มรันมา จันทเทวีถวายพานดอกไม้ต่อหน้ารูปบูชาพระเพ็ง
เมืองมาสและนักบวชมองด้วยสายตาชื่นชม มรันมากับจันทเทวียิ้มสงบ สีหน้าเปี่ยมศรัทธา ทั้งคู่หลับตาสวดมนต์บูชาพระเพ็ง

ติสสาเดินผ่านเข้ามาในตำหนักเจ้านางอินยา เทียนหอมถูกจุด แสงวับแวมตลอดทางที่ประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศเย้ายวน ติสสาเดินผ่านเข้าไปสู่เขตชั้นใน ไม่มีข้าหลวงหรือทหารสักคนที่จะเข้ามากั้นขวาง ทุกคนพากันหายไปจากตำหนักตามคำสั่งเจ้านางอินยาทั้งหมด เพื่อต้อนรับการมาของแม่ทัพหนุ่ม
"เจ้านางอินยา"
ติสสาสีหน้ากระวนกระวาย อยากจะพบเจอกับเจ้าของตำหนัก

แม่เฒ่ากำลังสาดซัดของบูชาสกปรกลงไปในภาพติสสาที่มองเห็น เสียงแม่เฒ่าหัวเราะ ล่องลอย หวีดวิว เหมือนเสียงหัวเราะของปีศาจในสายลม

รันมากับจันทเทวีลืมตาขึ้น
"กลับกันเถอะ พี่หญิง"
"เชิญเจ้านางกลับก่อน ข้าขออยู่ที่นี่สักพัก อยากสวดมนต์ให้แก่พระเพ็งที่ช่วยให้ข้ารอดชีวิต ได้มาพบความสุข"
จันทเทวียิ้มรับคำ ลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมข้าหลวง เมืองมาสและนักบวชค่อยๆ ถอยออกไปทางด้านหลัง มรันมายิ้มสงบอยู่ตามลำพัง

ติสสาที่ผลักประตูห้องนอนของเจ้านาง แล้วเดินเข้ามาในห้องที่ประดับประดาด้วยเทียนและดอกไม้หอมรัญจวนใจ ติสสามองเจ้านางอินยาทอดกายเอนร่างอยู่บนเตียงกว้าง แล้วเดินเข้าหาอย่างหลงละเมอ
"เจ้านางอินยา"
เจ้านางอินยาล่วงรู้และรอคอยการมาถึงของติสสา แย้มยิ้มทีละน้อย
"มาหาตอนนี้ คงเป็นธุระสำคัญมาก"
เสียงเจ้านางถามขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจต้องการคำตอบ หัวใจติสสากระวนกระวายด้วยอำนาจแห่งมนต์ดำ
"ข้าไม่มีธุระ"
"งั้นเจ้าก็จงรีบกลับไปก่อนข้าจะเรียกทหารมาลากตัวเจ้า นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าสมควรจะมายืนต่อหน้าข้า ตรงนี้ ที่นี่"
"ให้พวกมันมา ต่อให้ทหารทั้งวัง ก็ไม่มีทางเอาตัวข้าไปจากภาพเจ้านางผู้งดงาม... งามเป็นหนึ่งยิ่งกว่าหญิงทั้งหมดของศรีพิสยา"
อินยาหัวเราะเสียงขบขัน เต็มไปด้วยจริตมายาแห่งหญิง
"จะให้ข้าเชื่อหรือว่าเจ้าพูดจากใจ ในเมื่อวันก่อนเจ้ายังเห็นข้าเป็นเจ้านางผู้โหดเหี้ยม"
"ข้าเองที่โง่เง่า ดวงตามืดบอด มองไม่เห็นความดีของเจ้านาง"
"แล้ววันนี้เจ้าเห็นแล้วหรือ ติสสา"
"ข้าเห็นแล้ว... ตรงหน้าข้าคือเจ้านางอินยาผู้งดงาม สูงส่ง"
อินยายื่นมือไป ติสสาแตะมืออินยาอย่างแผ่วเบา
"โปรดให้อภัยหัวใจที่โง่เขลาดวงนี้ด้วยเถิด"
"แน่ใจหรือ ติสสาว่านี่คือสิ่งที่ออกมาจากใจนักรบอย่างเจ้า"
อินยาทำเป็นเลื่อนมือจะดึงออก ติสสารวบไว้แล้วจูบลงที่มือแผ่วเบา เจ้านางยิ้มสมใจ สายตาแม่ทัพหนุ่มเงยขึ้นมองอย่างเว้าวอน
"ข้าพูดด้วยหัวใจ"
ติสสาเลื่อนตัวขึ้นมาบนเตียงมองเจ้านางด้วยความลุ่มหลงเหมือนจะกลืนกินไปทั้งร่าง ติสสากุมมืออินยาวางลงที่อก
"ได้ยินหัวใจข้าไหม เจ้านาง"
"มีข้าอยู่ในใจเจ้าหรือ ติสสา"
แววตาติสสาระยับไปด้วยความปรารถนา
"เจ้านางไม่เพียงอยู่ในใจ เจ้านางคือผู้ครอบครองทั้งหัวใจ ขอให้เจ้านางได้รู้ว่า หัวใจติสสาเป็นของเจ้านางอินยา"
อินยาเลื่อนมือไล้ใบหน้าของติสสาอย่างแผ่วเบา แววตาเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างรุนแรง
"เจ้าจะเป็นของข้า ติสสา ของข้าคนเดียว นับตั้งแต่วินาทีนี้"
ติสสาโน้มตัวไปจูบอินยา

ในถ้ำแม่เฒ่ากำลังร่ายมนตร์ ภาพติสสากับเจ้านางอินยาเคียงคู่กันเด่นชัด

ภายในวิหารหลวง มรันมาสายตาแน่วแน่ จ้องมองรูปบูชาพระเพ็ง แววตามีแต่ความสุข
"ขอพระเพ็งประทานความสุขให้กับความรักของข้าและพี่ชาย"

ติสสาดันร่างอินยาเอนลงบนเตียงกว้าง ม่านพริ้วสีนวลสวยและลูกปัดไหวหยอกล้อ อินยาที่โน้มร่างติสสามาใกล้ สองร่างกอดเกยแนบชิด หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้เปลวไฟแห่งเทียน

เช้าวันใหม่ ,รันมากับจันทเทวีที่เดินชมดอกไม้ ด้านหลังมีข้าหลวงคอยถือตะกร้าติดตาม
"เช้านี้พี่หญิงหน้าตาสดชื่นกว่าใครในศรีพิสยา"
"เจ้านางหมายความว่าอะไร"
"ก็ผู้หญิงทั้งศรีพิสยา ไม่มีใครหรอกที่จะมีแม่ทัพส่วนตัว คอยดูแลเฝ้าหัวใจกับรอยยิ้มเหมือนพี่หญิง ...จริงมั้ย"
มรันมายิ้มอาย จันทเทวีแกล้งแหย่ต่อ
"อยากรู้จริงๆเลยนะจ๊ะว่า เมื่อคืนพี่หญิงอธิษฐานขอสิ่งใด"
"ข้าขอให้ศรีพิสยาร่มเย็น เป็นสุขเช่นนี้ตลอดไป"
"และ..."
" ไม่มีและ..."
"ไม่จริง...พี่หญิงต้องอธิษฐานเรื่องความรักด้วย อย่าง... ขอให้เคียงคู่กับติสสาตลอดไป ขอให้ ..."
จันทเทวีทำท่านึก มรันมาอมยิ้มต่อให้
" หัวใจสองดวงรวมเป็นหนึ่งเดียว"
จันทเทวีพยักหน้าว่า ใช่ สองคนยิ้มให้กันอย่างสดชื่น

ในห้องนอนอินยา ติสสานอนอยู่เคียงข้างเจ้านางอินยา สองร่างกอดกันแน่น หลับอยู่ในนิทราที่สุขสม

มรันมายิ้มกับจันทเทวี เดินคุยกันไปในบริเวณทางเดินขึ้นเขตพระราชฐาน
"วันนี้เป็นวันดีของศรีพิสยา เพราะตั้งแต่นี้ต่อไป พี่หญิงจะมีแต่รอยยิ้ม"
มรันมามองเห็นรอยยิ้มสดชื่นของจันทเทวี ก็พลอยยิ้มหวานไปด้วย
ทางด้านหลังกลุ่มทหารกำลังเดินเรียงแถวเข้ามา มรันมากับจันทเทวีหันไปมองด้วยความแปลกใจ
"ทหาร นำตัวใครมา"
สีหสา วาเร ไพลิน ที่ถูกนำตัวเข้ามาที่ทางขึ้นบริเวณซึ่งทอดยาวขึ้นสู่เขตพระราชฐาน"แม่ทัพต่างแคว้นถูกพาไปพบพี่ชาย น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก" จันทเทวีว่า
สองสาวต่างมองกันด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

ในท้องพระโรง เจ้าปรันมา ปันแสง และทหารของศรีพิสยาทุกคนที่ยืนอยู่ มารุต เมฆา นำสีหสา วาเรเข้ามายืนตรงหน้า สีหสาแววตาหยิ่งทะนง ก้มลงคำนับเพียงนิดเดียวตามมารยาท วาเรกับไพลินทำตาม
"ถือว่าเป็นข่าวดีที่องค์นรสิงห์มีประสงค์จะมาเยี่ยมเยียนทักทายเรา เพื่อนบ้านแคว้นเล็กๆอย่างศรีพิสยา และตามธรรมเนียมผู้ปกครองที่ดี พึงกระทำสืบต่อกันมา จงไปบอกกษัตริย์ของเจ้า ว่าข้าเจ้าปรันมา เหนือหัวแห่งศรีพิสยา ไม่มีข้อขัดข้องอะไรที่จะออกไปนอกกำแพงเมืองเพื่อต้อนรับแขกผู้นอบน้อมอย่าง
องค์นรสิงห์"
"เป็นคำตอบที่น่ายินดี เพราะกษัตริย์นรสิงห์สั่งจัดกองทัพนักรบมุ่งสู่ศรีพิสยา มากกว่าทุกครั้ง เพื่อให้สมเกียรติ" สีหสาบอก
ปรันมายิ้มน้อยๆ
"อืมม มาพร้อมแสนยานุภาพน่าเกรงขามนะ ศรีพิสยายินดีจะรับเกียรตินั้นด้วยการจัดทหารให้มากเสมอกัน"
ปันแสงที่ยืนอยู่ มองแล้วเอ่ยขึ้น
"เสียดายที่วันนี้แม่ทัพสีหสาไม่ได้ทักทายแม่ทัพติสสาของเรา"
"แม่ทัพติสสาคงกำลังรีบจัดเตรียมทหารวุ่นวาย" สีหสาว่า
"เห็นจะจริง...ใช่มั้ย เจ้าเหนือหัวศรีพิสยา"
ปรันมาได้ยินน้ำเสียงและเห็นแววตาแฝงนัยของปันแสง แต่ไม่ต้องการเอ่ยความภายในให้ทางสีหสารู้ จึงหันมาทางสีหสา
"หมดเรื่องแล้ว รีบนำความกลับไปได้"
สีหสาหันไปทางปันแสง
"ฝากความระลึกถึงของข้าไปให้แม่ทัพติสสาด้วย โอกาสหน้าคงได้เจอกัน"
สีหสาคำนับ วาเร กับไพลินคำนับตาม มารุตเดินนำสีหสา ไพลิน วาเรออกไป
ปรันมามองจนสีหสากับทหารออกไป แล้วหันมาจ้องหน้าปันแสงด้วยความโกรธ
"ปันแสงไม่ฉลาดเลยนะ ที่พูดเรื่องภายในให้คนนอกรู้"
ปันแสงไม่ใส่ใจ เบือนหน้าหนี
"ติสสาอยู่ที่ไหน งานราชการสำคัญขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มา"
เมฆาอ้ำอึ้ง ตอบไม่ได้ ปันแสงยิ้มรู้ดีว่า ติสสาอยู่ที่ตำหนักของเจ้านางอินยา

ในห้องนอนอินยา ติสสาที่กำลังกอดประคองเจ้านางอินยาอยู่บนเตียงกว้าง ติสสามองด้วยสายตาหลงใหล เพียงเจ้านางอินยาแค่สัมผัสปลายนิ้วแตะใบหน้า ติสสาก็รวบมือมาจูบ เจ้านางอินยายิ้มพอใจ
เขาเลื่อนตัวขึ้นบรรจงจูบลงไปที่หัวไหล่เปลือยเปล่า แล้วค่อยๆใช้มือเลื่อนอาภรณ์ที่ปิดร่างเจ้านางลงต่ำ
ติสสาที่โน้มตัวเอนกายกอดเจ้านางไว้แนบแน่น ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สนใจความเป็นไปใดใดของโลกภายนอก

ในท้องพระโรง ปรันมามองเมฆาที่เอ่ยบอก
"แม่ทัพหายไปตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ยอมให้พวกข้าตามไปด้วย หาทั้งเขตพระราชฐานก็ไม่มีใครเห็น"
น้ำเสียงเมฆากังวลมาก ตรงข้ามกับปันแสงที่ยิ้มในหน้าอยู่คนเดียว
"ข้าต้องการตัวติสสา ทำไมถึงไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน"
มรันมาเดินตามจันทเทวีเข้ามา
"มีเรื่องด่วนอะไรหรือพี่"
"พี่ต้องออกไปเจรจาศึกกับกองทัพนรสิงห์"
น้องสาวทั้งสองมีสีหน้าตกใจ มรันมาหันไปบอกปรันมา
"พี่ชาย... เช้านี้ข้าก็ยังไม่พบท่านแม่ทัพติสสา"
"นี่คือเวลาแห่งชะตาบ้านเมือง นรสิงห์ไม่ต้องการให้ศรีพิสยาเป็นหนึ่งเดียว แต่ต้องการให้เราเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งในอาณาจักรปุระอมร ซึ่งลูกหลานแห่งบัลลังก์ศรีพิสยาทุกคนจะไม่มีวันยอม"
ปรันมามองไปที่ปันแสงที่ยิ้มเหยียดอยู่
"แน่นอน สายเลือดกษัตริย์ย่อมหวงแหนบัลลังก์ ข้าเห็นด้วย แต่คราวนี้ แม่ทัพคู่ใจของท่านคงไม่คิดอย่างนั้น ถึงหดหัว หายหน้าหายตา ไม่ยอมออกมาอวดความเก่งกล้าเหมือนทุกครั้ง"
มรันมาร้อนใจ
"พี่ชายไม่มีวันละทิ้งหน้าที่แม่ทัพ พี่ชายอาจจะกำลังทำ เรื่องสำคัญอยู่ที่ไหนสักแห่ง"
"นั่นสินะ และคงจะต้องสำคัญมากเสียด้วย"
ปันแสงมองปรันมา จันทเทวี และหยุดสายตายิ้มเยาะที่มรันมา ก่อนที่เธอจะเดินเร็วออกไป
สีหสา วาเร ไพลินถูกมารุตคุมตัว กำลังพาลงจากเขตพระราชฐาน มรันมาก้าวออกมามองสีหสาเดินห่างออกไปอย่างหวั่นเกรง เธอเดินกึ่งวิ่งลงมาอย่างเร็ว เพื่อตามหาติสสาทันที

ในตำหนักเจ้านาง ติสสานั่งอิงแอบกับเจ้านางอินยาในมุมที่แมกไม้บดบังสายตาจากคนด้านนอกทั้งหมด ปันแสงก้าวเข้ามามองพร้อมคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ อสุนีอยู่ด้านหลัง
"นี่คือเวลาที่เจ้านางกับข้ารอคอย เวลาที่หัวใจของพวกมันตกอยู่ในกำมือเรา"

มรันมาที่วิ่งเร็วผ่านทหารวังในบริเวณนั้น ข้าหลวงกลุ่มหนึ่งถือพานผลไม้เดินผ่านมา "เห็นแม่ทัพติสสาบ้างมั้ย" มรันมาถาม
ข้าหลวงส่ายหน้า มรันมาวิ่งหาต่อด้วยความกังวล

ในท้องพระโรง ปรันมาลุกพรวดขึ้นด้วยความโมโหต่อหน้าจันทเทวี เมฆากับมารุต
"แม่ทัพของข้าหายไปทั้งคน ทำไมป่านนี้ยังไม่มีใครตามเจอ"

มรันมาเดินเร็วมาถึงริมบึงก็ตะลึงยืนตัวชาเหมือนถูกสาปกับภาพตรงหน้าที่เห็น กลางบึงมรกต ติสสาโอบกอดอินยาไว้ในอ้อมแขนลอยเรืออยู่ พลางคิดถึงอดีต ที่ติสสาเคยให้คำมั่นไว้
"ที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่แห่งรักของเขา เช่นเดียวกับอ้อมกอดพี่ชาย .. ที่จะมีไว้เพื่อน้องน้อยคนเดียว"
มรันมายืนน้ำตาคลอ เจ้านางอินยาเหลือบมองเห็นร่างมรันมาที่ริมฝั่ง ก็ยิ้มสะใจ ขยับตัวเบียดไปในอกของแม่ทัพหนุ่ม
"ติสสา ลมแรงเหลือเกิน ... ข้าหนาว"
มรันมาเห็นติสสาโอบอินยาไว้แน่นกว่าเดิม น้ำตาก็ร่วงพรู
ในเรือ อินยาช้อนตามองติสสา
"ข้ายังไม่อุ่น ติสสา"
ติสสาก้มลงจูบประทับ อินยายื่นหน้ารับจูบติสสาอย่างเต็มใจ มรันมาน้ำตานองหน้า เจ็บปวดยิ่งกว่าเข็มร้อยพันเล่มที่กำลังทิ่มแทงลงที่ใจ
ติสสาจูบอินยาอ้อยอิ่งเนิ่นนาน อินยาวางมือลงบนอกแข็งแกร่ง สายตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
"ติสสา เจ้าทำให้หัวใจโหยหารักของข้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข"
ติสสาโอบกอดอินยาไว้อย่างลุ่มหลงจากมนตร์ดำ
มรันมาน้ำตาท่วม วิ่งหนีไปจากภาพตรงหน้าอย่างเร็ว อินยาแย้มยิ้ม เอนกายลงซบในอกกว้าง อย่างมีความสุขที่ได้ครอบครองคนรักของมรันมา

มรันมาวิ่งเร็วมาจนหมดแรง ล้มลงสะอื้นที่บริเวณทางเดินด้านนอกวิหาร ปันแสงที่ก้าวมายืนตรงหน้า
"ติสสา เจ้านางอินยาแม่ของข้า เป็นไปได้หรือนี่ ข้านึกไม่ถึง" ปันแสงยิ้มเยาะ พลางพูดด้วยสำเนียงเย้ยหยัน
มรันมาเงยขึ้นมอง น้ำตาอาบแก้ม ปันแสงย่อตัวลง เอื้อมมือจะไปเช็ดน้ำตา เธอหน้าหนี แต่ปันแสงบีบคางมรันมาไว้แน่นเหมือนคีมเหล็ก
"อย่าร้องไห้ไปเลย มรันมา ต่อให้น้ำตาเจ้าเป็นสายเลือด ติสสาคนรักของเจ้าก็ไม่มีวันกลับมา"
ความเสียใจท่วมท้นจนมรันมาไม่อาจจะนึกถ้อยคำมาตอบโต้ได้ทันที
"อ้อมอกติสสาก็กลายเป็นที่พักพิงของเจ้านางอินยาไปแล้ว"
"พี่ชายเป็นคนจิตใจมั่นคง"
"น่าสงสารเจ้าเหลือเกิน...ทั้งน่าสงสาร น่าเวทนา"
ปันแสงเลื่อนมือมาประคองแก้มมรันมาไว้ แววตาช่างดูปรานี
"ข้าเคยเตือนแล้ว ทาสอย่างเจ้ามันก็เป็นได้เพียงของเล่น ... พอหมดความหอมหวาน ใครจะไยดี"
"ไม่จริง พี่ชายรักข้า"
"รัก... รักทาสอย่างเจ้าแล้วได้อะไร อ้อ..ตำแหน่งสามีน้องนางคนใหม่"
"พี่ชายรักข้าจากใจจริง"
"ความรัก... ความจริงใจ ช่างฟังอ่อนหวาน ปลอบประโลมหัวใจเพ้อฝัน ใฝ่สูง"
มรันมามองปันแสงที่มีท่าทีเวทนา
"คนอย่างติสสา แข็งแกร่ง ฉลาด ที่เค้าดีกับเจ้าไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะรู้ว่า สายเลือดครึ่งของเจ้ามาจากเจ้าศรีพิสยา แต่เมื่อไม่มีอะไรมาล้างมลทินของ อเลยา แม่เจ้าที่ลักลอบคบชายชู้ ตำแหน่งน้องนางแห่งศรีพิสยาก็ห่างไกลออกไปทุกที แล้วคนฉลาดอย่างติสสาจะรักเจ้า ทำดีกับเจ้าต่อไปเพื่ออะไร"
มรันมาสะอื้นเมื่อถูกจี้จุดมืดดำที่สุดของชีวิต
"สู้ทำตามหัวใจตัวเองไม่ดีกว่าหรือ"
"ข้าไม่เชื่อท่าน พี่ชายรักข้า พี่ชายเกลียดเจ้านางอินยา"
"คงเกลียดมากสินะ เกลียดจนต้องปิดห้อง ลงโทษกันสองต่อสองทั้งคืน"
"ท่านโกหก เจ้าปันแสง ท่านกำลังหลอกข้า"
"ข้าไม่เคยเป็นคนดีในสายตาใครอยู่แล้ว ไม่เป็นไร มรันมา ถ้าเจ้าอยากเห็นความจริงที่ข้าพูด ก็ไปถามคนรักของเจ้า ว่าเมื่อคืนติสสาอยู่ที่ไหน... ในเรือนตัวเองหรือห้องนอนเจ้านางอินยา"
ปันแสงมองเหยียดอย่างสะใจ แล้วเดินออกไป มรันมาสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด
"ไม่จริง พี่ชายรักข้า พี่ชายเกลียดเจ้านางอินยา"

บึงมรกต เจ้านางอินยาอิงแอบอยู่ในอกติสสา เอ่ยถามเสียงอ่อนหวาน

"เจ้าอยากไปจากข้าหรือยัง"
"ไม่ ข้าไม่ไปไหน ข้าจะอยู่กับเจ้านาง ข้าจะไม่ยอมห่างกายเจ้านาง"
ติสสากอดกระชับร่างเจ้านางแนบอก เจ้านางอินยายิ้มอย่างสมใจอย่างที่สุด

ในวิหารปุระอมร นรสิงห์มองสุเลวินที่เอ่ยขึ้นด้วยนิมิตรที่เห็น
"นักรบแห่งศรีพิสยาไร้แรงต้านทาน สมควรเคลื่อนทัพออกจากปุระอมรเวลานี้ อำนาจแห่งฟ้าดินเปิดทางแล้วเพื่อรับอาทิตย์ทรงกลด พลังขององค์กำลังแผ่ไพศาล"
นรสิงห์ก้าวลงจากบัลลังก์ ทีละก้าว ทีละก้าว แต่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในพลังอำนาจ สีหสา ไพลิน คชา วาเรทุกคนเตรียมพร้อม
"ศรีพิสยา ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องแหลกละเอียดยิ่งกว่าฝุ่นผงใต้อุ้งเท้าข้า"

อ่านต่อหน้าที่ 3


สาปพระเพ็ง ตอนที่ 5 (ต่อ)

ในท้องพระโรง นันทวดีทรุดเข่าลงหน้าปรันมา จันทเทวีมองอยู่ด้านหลัง
"ข้าไม่รู้จริงๆว่าลูกชายข้าอยู่ที่ใด"
"นี่จะต้องให้ทหารทั้งหมดของข้ารอแม่ทัพคนเดียวอีกนานแค่ไหน"
จันทเทวี นันทวดี เมฆา มารุต ทุกคนในที่นั้นรู้ว่า ปรันมาโมโหเต็มที่
"ข้าหาจนทั่วหมดแล้ว" เมฆาบอก
"เรายังไม่เจอท่านติสสา ... แม้แต่เงา" มารุตว่า
"ยังมีอีกที่นึงแต่เป็นไปไม่ได้... ติสสาไม่น่าจะไปที่นั่น" จันทเทวีบอก
ปรันมามองสีหน้าน้องสาว แล้วพูดขึ้นมาทันที
"ตำหนักเจ้านางอินยา"

มรันมาวิ่งมาที่หน้าตำหนัก อุตลากับข้าหลวงอีก 4 คน ยืนรออยู่แล้ว
"ข้ามาหาพี่ชาย"
"ใคร พี่ชายเจ้า มาตามหาพี่ชายคนไหน"
อุตลากับพวกกรีดหัวเราะ
"ปล่อยข้าเข้าไป อุตลา"
"ไม่ได้ อยากออกไปจากตำหนักนี้นักไม่ใช่เหรอ ไปแล้วก็ไปให้พ้นๆ จับมันโยนออกไป"
อุตลาสั่ง ข้าหลวงพากันเข้ามาจับตัวมรันมาลากออกไป
"พี่ชาย... พี่ชาย" มรันมาตะโกนเรียก

ในห้องนอนเจ้านาง ติสสาที่กำลังกอดเจ้านางอินยาสะดุ้งขึ้นมาทันทีที่หูได้ยินเสียงมรันมา สติวาบขึ้น
"น้องน้อย"
อินยาชักสีหน้าเอื้อมมือไปแตะที่ชายผ้า ฝุ่นผงที่ซ่อนอยู่ในชายผ้าติดมือเจ้านางอินยาออกมา เจ้านางเป่าผงเล็กๆละเอียดสีดำที่ได้จากแม่เฒ่าไปที่ติสสา ทันทีที่ผงสีดำแตะโดนแก้ม ติสสาก็มีอาการแววตาละเมอ ลืมเรื่องมรันมาไปจนหมดสิ้นเพราะฤทธิ์แห่งมนต์ดำ
อินยาเอื้อมมือไปประคองใบหน้าติสสา
"ตรงนี้มีแต่เจ้ากับข้า"
"พี่ชาย พี่ชาย" เสียงมรันมายังตะโกนเรียก
ติสสาหันไปทางนอกห้องอีก เจ้านางอินยาโกรธอย่างรุนแรง

มรันมายังตะโกนเรียก ทั้งๆที่โดนยื้อยุดจากอุตลาและข้าหลวง
"พี่ชายอยู่ในนั้นหรือเปล่า พี่ชาย พี่ชายจ๋า ได้ยินเสียงน้องน้อยมั้ย พี่ชาย ออกมาหาน้องน้อยเถอะ พี่ชาย"

อินยาเป่าผงมนต์อีกครั้ง ติสสาชะงัก อินยาคว้าแขนเบียดร่างกระซิบข้างหู
"ติสสาของข้า"
ติสสาเปลี่ยนแววตากังวลกลายเป็นหลงใหลเคลิบเคลิ้มในตัวเจ้านาง เขานั่งลงอย่างเชื่อฟัง อินยายิ้มโอบกอด
"ไหนบอกว่าจะอยู่กับข้า"
"ข้าจะอยู่กับเจ้านางคนเดียว"
ติสสากอดตอบเจ้านาง เขาที่ถูกครอบงำด้วยมนต์ดำเช่นเดิม

มรันมาที่กำลังถูกอุตลากับพวกลากออกไป ปันแสงเดินออกมามอง อสุนีอยู่ด้านหลัง เธอดิ้นไม่ยอม สะบัดจนอุตลากระเด็น
"เอามันออกไปให้พ้นจากที่นี่ จะเอาไปโยนตรงไหนก็เอาไปเลย ไป้" อุตลาสั่งข้าหลวงด้วยความโมโห
มรันมาถูกลากไป แต่ยังตะโกนเรียก
"พี่ชาย ... พี่ชาย พี่ชายอยู่ข้างในหรือเปล่า ออกมาเถอะ พี่ชาย"
ปันแสงยืนมองมรันมาที่ถูกลากห่างออกไป อสุนีถามขึ้น
"จะให้ข้าไปเอาตัวมันกลับมาที่ห้องท่านหรือไม่"
"ไม่ต้อง มันต้องกลับมาทวงคนรักคืนอีกแน่ๆ ถึงตอนนั้นข้าจะรอให้มันคลานมากอดแทบเท้าข้าเอง"
ปันแสงยิ้มร้าย สะใจกับความทุรนทุรายของมรันมา

มรันมาถูกข้าหลวงเหวี่ยงไปกองกับพื้นทางเดินรอบนอกวิหาร ข้าหลวงพากันเดินออกไป มรันมาน้ำตาไหลพรั่งพรู
"พี่ชายไม่ได้อยู่ที่ตำหนักเจ้านางอินยา... ถ้าพี่ชายได้ยิน พี่ชายต้องออกมาหา น้องน้อย"
มรันมาไม่อยากยอมรับว่า เรื่องของติสสากับเจ้านางอินยาเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

ในห้องนอนเจ้านาง ติสสาที่นอนซบอยู่ในอกเจ้านางอินยา ประตูห้องแง้มออก อินยาหันไปเห็นอุตลาโผล่หน้าเข้ามา
"ข้าสั่งว่าไม่ให้ใครรบกวน"
"คนนี้ห้ามไม่ได้จริงๆ"
"หน้าไหนข้าก็ห้ามเข้ามา"
"เจ้าปรันมามาตามติสสา"
ติสสาพอได้ยินชื่อเจ้าปรันมาเหมือนเรียกสติถูกเรียกคืนมา
"เจ้าปรันมา"
ติสสาผละจากออกจากเจ้านาง อินยารู้ว่า ไม่ควรรั้งติสสาไว้เหมือนตอนมรันมา

เจ้าปรันมายืนจ้อง ติสสาที่เดินออกมากับเจ้านางอินยา เมฆา มารุตอยู่ด้านหลังเจ้าปรันมา มองแบบไม่อยากจะเชื่อสายตา
"เจ้ามัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ติสสา"
"ข้ามาหาเจ้านาง"
"มาหาเรื่องอะไร รู้หรือไม่ว่าทุกคนแทบจะพลิกแผ่นดินหาตัวเจ้า"
ติสสารู้ว่าไม่ควรตอบออกไป ได้แต่ก้มหน้ารับฟัง อินยาเอ่ยขึ้นเองอย่างไม่สะทกสะท้านกับความโกรธของปรันมา

"ข้าเองที่มีเรื่องจะถามติสสา"
"ท่านน่ะหรือเจ้านาง มีเรื่องอะไรที่ต้องเรียกหาแม่ทัพของข้า"
"อย่าคิดว่าเจ้าห่วงบ้านเมืองได้คนเดียว ติสสาเป็นแม่ทัพของศรีพิสยา ถ้าเจ้านางจะถามเรื่องกิจการบ้านเมืองจากแม่ทัพ มันผิดกฏข้อไหน"
"เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะมาแสดงความห่วงใยบ้านเมือง เพราะข้าต้องการตัวติสสาไปทำหน้าที่ที่สำคัญกว่ามาให้คำปรึกษาแก่เจ้านางถึงในตำหนัก"
ปรันมามองติสสาด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ต้องเก็บคำต่อว่าทั้งหมดไว้ก่อน เอ่ยสั่งเรื่องที่สำคัญที่สุด
"ข้าจะออกไปเจรจาศึกกับนรสิงห์"
เสียงอำนาจแห่งธรรมและคุณความดีของเจ้าปรันมา เรียกสติติสสา แววตาแม่ทัพกลับคืนมา
"ขอให้ข้านำทหารออกไปกับท่าน"
"มันเป็นหน้าที่ทหารกล้าอย่างเจ้า ติสสา ทหารที่จะสละเลือดเนื้อเพื่อรักษาทุกตารางนิ้วของแผ่นดิน"
"นรสิงห์จะยกทัพมาตีเราหรือไม่" อินยาถาม
"ขึ้นอยู่กับการเจรจาศึกวันนี้"
ปรันมามองเจ้านางอินยาแล้วหันหลังเดินเร็วออกไป ติสสาขยับเดินตามออกไป อินยามองแล้วเอ่ยเรียก
"ติสสา"
เจ้านางอินยาเอ่ยเรียกเพียงเบาๆ แต่ทำให้ติสสาหันกลับมาทันที
"เจ้าจะต้องปลอดภัย ...กลับมาหาข้า"
เจ้านางอินยาทิ้งรอยยิ้มยั่วยวน สีหน้าติสสากำลังกลับไปหลงใหลอีกครั้ง มารุตเอ่ยเตือนขึ้น
"อย่าให้เจ้าปรันมารออีก"
ติสสาละสายตาจากเจ้านางอินยาพุ่งตามปรันมาออกไป อินยามีสีหน้ากังวลทั้งเรื่องติสสาและเรื่องนรสิงห์

มรันมาเดินเร็ว ลัดเลาะมาทางด้านหลังตำหนักเจ้านาง กาหลงกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน เธอเห็นพอดีก็เอ่ยเรียก
"กาหลง"
กาหลงหันมา มรันมายิ้มดีใจ

กาหลงลอบนำมรันมาที่สวมผ้าคลุมบังหน้าเข้ามา กาหลงมองซ้ายขวา ดูต้นทาง
"รีบเข้าไปเถอะ มรันมา"
"ขอบใจมาก กาหลง"
กาหลงกำลังจะเดินแยกไปอีกทาง เธอจับข้อมือถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เมื่อคืน พี่ชายมาที่นี่หรือเปล่า"
"ข้าไม่เห็น เจ้านางสั่งให้ทุกคนออกไปจากตำหนัก"
อีกด้านอุตลาเดินมากับข้าหลวง กำลังสั่งกำชับทุกคน
"เจ้านางสั่งว่าอย่าเข้าไปยุ่งในห้องนอนเด็ดขาด"
กาหลงดันมรันมาให้รีบหลบวิ่งหนีไปอีกทาง ฝ่ายกาหลงกำลังจะเลี้ยวหลบ อุตลามองเห็นพอดี
"กาหลง"
อุตลาวิ่งมามองไม่เห็นใคร กาหลงทำหน้าตาปกติ ไม่มีพิรุธใดๆ
"มาทำอะไรแถวนี้"

รันมาเปิดประตูแง้มห้องนอนเจ้านางอินยาเข้ามามอง ในห้องว่างไม่มีคน ขณะที่เธอกำลังจะปิดประตู เสียงอินยาก็ดังขึ้น
"ถ้าจะมาตามหาคนรัก ทำไมไม่เข้ามาดูให้ทั่วๆก่อนล่ะ มรันมา"
เจ้านางอินยาเดินออกมาจากมุมหนึ่ง ทั้งคู่ประสานสายตากัน
"คงอยากมาให้เห็นว่ามีร่างของติสสากอดข้าอยู่หรือไม่"
"เจ้านางทำอะไรพี่ชาย"
"ข้าน่ะเหรอจะหักหาญทำอะไรพี่ชายเจ้า เห็นข้าเป็นยักษ์เป็นมารหรือไง พี่ชายของเจ้าตัวออกใหญ่โต อกผึ่งผายให้ความอบอุ่น"
มรันมาพยายามสะกดกลั้นความโกรธ ความน้อยใจไว้ ตรงข้ามกับเจ้านางอินยาที่เปิดเผยทั้งน้ำเสียง แววตาวิบวับเหมือนได้ของถูกใจ จงใจกรีดลงที่ใจมรันมา
"ข้าซุกซ่อนพี่ชายเจ้าไว้หรือเปล่า ถึงได้มาร้องเรียกหาให้รำคาญหู แต่ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆ ข้าก็จะเวทนาบอกให้"
อินยาหันไปหยิบผ้าห่มผืนบางที่คลุมร่างบนเตียงมายื่นให้ตรงหน้า
"ได้กลิ่นกายพี่ชายเจ้ามั้ย"
เธอเบือนหน้าหนี อินยาขยี้ผ้าลงไปที่หน้าเธออย่างแรง
"ดมสิ...กลิ่นกายติสสา คนรักเจ้า"
มรันมาตัวชา ผ้าหล่นพื้น อินยาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนหวาน
"กลิ่นกายติสสา มีทุกหนแห่งในห้อง"
อินยาเอามือลูบไปที่เตียง
"โดยเฉพาะที่นี่"
มรันมาน้ำตาคลอ อินยายิ้ม มองไปที่บนเตียง หยิบแหวนประจำตัวติสสาขึ้นมา มรันมาจ้องไม่คลาดสายตา น้ำตากำลังจะไหลออกมาด้วยความเจ็บช้ำ
"ตายจริง นี่ติสสารีบร้อน หรือตั้งใจมอบของแทนกายไว้ให้ข้า"
อินยาหยิบแหวนมาสวมติดนิ้ว แล้วยื่นตรงหน้ามรันมา
"เจ้าคงจำได้ แหวนคนรักเจ้า"
เธอมองแหวนแล้วสุดกลั้น น้ำตาร่วงพรู อินยายิ้มอย่างอ่อนหวาน เคลือบความร้ายกาจไว้เต็มที่
"ร้องเถอะ มรันมา... ร้องให้สาสมกับความเจ็บปวดที่ถูกคนรักหักหลัง ข้าไม่ได้ตั้งใจเลยที่จะพรากติสสามาจากเจ้า แต่เจ้าก็เห็น ติสสาทำเป็นเกลียดชังข้าต่อหน้าทุกคน แต่ในเวลาส่วนตัวที่สุด เวลาที่ไม่มีเจ้า ไม่มีคนอื่น ติสสากลับเอาอกอุ่นมาให้ข้าพึ่งพิง สรรหาคำหวานมาปลอบประโลมใจข้า"
มรันมาน้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของเจ้านาง
"เจ้าอุตส่าห์ไปนอนทอดร่างให้คนรักถึงในเรือน แต่ติสสากลับหนีออกมาเอนกายพักลงหาความสำราญใจที่เตียงของข้า มรันมา ... ใช้สายตากับหัวใจของเจ้าดูเอาเองเถอะว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ข้าบอกได้เพียงติสสากระซิบพร่ำคำรักกับข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจติสสาเป็นของเจ้านางอินยาคนเดียว"
มรันมาสุดจะทนฟัง หันหลังวิ่งออกไป อินยาคลี่ยิ้มสะใจที่สุดกับความเจ็บปวดของอีกฝ่าย

ติสสาเดินตามเจ้าปรันมาลงจากเขตพระราชฐานด้วยบันไดหลายขึ้นที่ทอดยาว ด้านหลังคือเมฆา มารุตและขบวนทหาร ทุกคนในชุดเกราะพร้อมรบ มีอาวุธครบในมือ ทั้งหอก ธนู ดาบ ติสสาเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว จิตใจจดจ่ออยู่แต่เพียงเรื่องไปเจอทัพนรสิงห์ ทุกคนในกองทัพสีหน้าห้าวหาญ อัดแน่นด้วยพลังใจและพละกำลังเยี่ยงทหารกล้าทุกคน
มรันมาวิ่งมาถึงด้านบนสุดของบันได เห็นติสสาเดินห่างออกไปไกลทุกทีทุกที ในจิตใจมีแต่ความผิดหวัง ปวดร้าว กองทัพทหารศรีพิสยาเดินอย่างองอาจ ไปสู่ด้านนอกที่เป็นเขตนอกกำแพงเมือง มรันมาทรุดลงร้องไห้

ในบ้าน รัดเกล้าที่นอนหลับตาอยู่ สะอื้นไปทั้งร่าง คทารัตน์เขย่าร่างน้อง
"เกล้า ... รัดเกล้า"
รัดเกล้ารู้สึกตัว สะดุ้งลุกขึ้น
"เป็นอะไร มานอนร้องไห้อยู่ตรงนี้"
รัดเกล้าเอามือแตะแก้ม คราบน้ำตาเปียกติดมือ
"นี่แกเสียใจอะไรนักหนา ถึงขนาดร้องไห้จนสลบ...อย่าบอกนะว่าเรื่องผู้กองไผ่"

ในบ้านผู้กอง สถบดีมองวิวรรธน์ด้วยสีหน้าจริงจัง พัทธยายืนมองอยู่อีกด้าน
"ฉันว่าเราไม่ได้ฝัน เราไปบ้านนรสิงห์กันจริงๆ"
"ไปกันทั้งๆชุดนอน" พัทธยาถาม
"ใช่...ในชุดนอน แกก็รู้สึกว่ามันจริงใช่มั้ย วิว" สถบดียืนยัน
"รู้สึกว่าจริงครับ จริงมาก จริงแบบไม่ได้ฝัน แต่ยังไม่รู้เหตุผลว่ามันเป็นไปได้ยังไง"
"เหลือเชื่อว่ะ" พัทธยารำพึง
"ใช่ครับ มันเหลือเชื่อ หรือว่าจะเป็นพวกคุณไสย มีวิชาอาคม"
"อ้อ... ก็เลยใช้วิชาเสกคน 4 คน เหาะข้ามทางด่วนไปนั่งอยู่ในบ้านนายนรสิงห์"
"มันไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ ผู้กองพัทธ์... โลกนี้ยังมีสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้อีกเยอะ"
" แล้วฉันก็ต้องพิสูจน์ให้ได้"
ทั้งคู่มองพัทธยาสีหน้าจริงจัง
"เราต้องรู้ให้ได้ ว่านรสิงห์ทำอะไรกับพวกเรา" สถบดีบอก

รัดเกล้าหลบตาคทารัตน์ที่คาดคั้น
"อย่างแกเนี่ยะคงไม่มานอนเปลืองน้ำตาเพราะคิดถึงไอ้ผู้กองไผ่ใช่มั้ย"
"ไม่ค่ะ"
"ตอบใหม่ แกไม่ได้คิดถึงผู้กองไผ่"
"ไม่ค่ะ ไม่ได้คิดถึง"
"ดีมาก เพราะน้องเขยฉันต้องเป็นคนที่ฉันเลือกแล้วว่าคู่ควรกับแก ซึ่งหมายความว่า ชื่อแรกที่จะถูกกาทิ้งอย่างไร้เยื่อใย คือ ไอ้ผู้กองไผ่ !"
รัดเกล้าไม่สบายใจ แต่พยายามฝืนยิ้ม
"พี่วิกกี้ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้เลยค่ะ เกล้าออกไปหาไอ้ยอดก่อนนะคะ"
รัดเกล้ารีบคว้าจักรยานออกไปทันที คทารัตน์ค่อยผ่อนลมหายใจโล่งขึ้นมาบ้าง แต่สายตาก็ยังวางใจเสียทีเดียว

ในสนามกีฬาเวลาเย็น รัดเกล้ากับยอดชายกำลังปั่นจักรยานแข่งกันมา ยอดชายจะปั่นแซง แต่รัดเกล้าแกล้งปั่นฉวัดเฉวียน แล้วแซงเข้าไปจอดนำ ยอดชายหอบน้อยๆตามมาหยุด
"โกรธเกลียดใครมาวะ เกล้า ถึงได้บ้าพลังอย่างงี้"
รัดเกล้ายิ้มส่งขวดน้ำให้เพื่อน
"ไม่รู้เหมือนกันว่าโกรธหรือเกลียดมากกว่า"
"หมายถึงใคร อ๊ะอ๊ะ ... ไม่ต้องตอบ ฉันมองตาแก รู้เลย ผู้กองไผ่"
"เออ...วันหลังก็ไม่ต้องถาม"
"ไปโกรธไปเกลียดผู้กองเค้าทำไม เค้าออกจะส่งสายตาหวานๆให้แกทุกห้านาที"
"ไอ้บ้า อย่าลามก"
"หยุดเลย หยุด หยุดปฏิเสธ หน้าแดงถึงติ่งหูแล้ว"
รัดเกล้าเตะเข้าที่ขายอดชาย
"เฮ้ย เล่นแรง"
"จะแรงกว่านี้ ถ้าแกพูดมากนะไอ้ยอด"
"ฉันแค่แซว รับรองไม่เอาไปบอกใครว่าแกกับผู้กองไผ่... แอบได้เสียกันแล้ว ถึงกับนอนร่ำไห้ กระซิก กระซิก"
ยอดชายแกล้งทำท่าล้อเลียน รัดเกล้ายิ้มแล้วเตะเข้าขาเพื่อนอีกทีจนกระเด็น
"ไอ้บ้าพลังรัดเกล้า นี่เพื่อนนะเว้ย"
รัดเกล้าพูดจริงจังขึ้น
"นี่ก็เตะแบบเพื่อน ฉันไม่ได้คิดอะไรกับกับผู้กองไผ่แบบที่แกพูด มันตรงข้ามกันหมด ฉันกลัว ฉันอึดอัดเวลาเค้าเข้ามาใกล้ บางครั้งก็เกลียด เกลียดแบบบอกไม่ถูก พอรู้สึกเกลียด ฉันก็ยิ่งฉันยิ่งเจ็บที่หน้าอก เหมือนถูกแทง"
รัดเกล้าที่สีหน้าจริงจัง
"ศรรักปักอกของผู้กองไผ่นี่คงจะใหญ่มากเลยว่ะ ทำแกเจ็บขนาดนี้"
รัดเกล้ายกขาจะเตะ ยอดชายกระเด้งห่าง
"โอเค เล่าต่อ ฟังอยู่... ไม่ต้องเข้ามาใกล้"
"เรื่องไม่น่าเชื่อก็คือ คืนก่อน ฉัน พี่วิกกี้ ผู้กองไผ่ วิว เราฝันว่าไปเจอกันที่บ้านคุณนรสิงห์"
"หา ! ฝันพร้อมกัน 4 คน"
ยอดชายหน้าตาไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องที่เพื่อนเล่า
ในบ้านผู้กอง เวลาเย็น พัทธยาผิวปาก หยิบกระเป๋า มือถือ กุญแจรถ กำลังจะออกไปข้างนอก
"นี่ไอ้พัทธ์ ฉันเครียดนะเว้ยเรื่องที่ฝันว่าไปบ้านนรสิงห์กับรัดเกล้า ไอ้วิว เจ๊วิกเนี่ย"
"เครียดมากแกก็ต้องไปเดินห้างกับฉัน ไปซื้อชุดนอนใหม่ซะ คราวหน้าจะได้ไม่โดนหัวเราะ"
วิวรรธน์หัวเราะ สถบดีหันไปตบกะโหลก
"ขำมากมั้ย"
"ที่สุดในชีวิตเลยครับ ให้ผู้กองพัทธ์เลือกชุดนอนให้ก็ดีนะครับ เฮีย.. เผื่อจะดูดีมีสไตล์กว่ากางเกงบอลเน่าๆยานๆ"
"สไตล์ใครสไตล์มันเว้ย หล่อคนละแบบ"
"แบบว่า...แย่มาก ขายขี้หน้า อุบาทว์"
พัทธยาด่าตรง วิวรรธน์ระเบิดหัวเราะ ในขณะที่สถบดีหน้าเซ็ง

รัดเกล้ากับยอดชายเดินมาหยุดที่ร้านขายจักรยาน รัดเกล้ามองจักรยานสวยด้านในด้วยสายตาอยากได้ อีกด้าน พัทธยา วิวรรธน์ สถบดีเดินถือป๊อบคอร์น คุยกันมา ยอดชายหันไปมองเห็น
"ฮิ้ว... โลกกลมอีกแล้ว"
วิวรรธน์รีบหันไปบอกสถบดีที่เดินมาด้วยกัน
"รัดเกล้าครับผู้กอง"
สถบดียิ้มกว้าง
"เออ...เห็นแล้ว ตาไม่บอด"
ไนึกว่าบอด เห็นกำลังมีความรัก"
"นั่นมันแก บอดสนิทแล้วหัวใจยังพิการซ้ำซ้อน"
วิวรรธน์ทำท่าตายไปเลย สถบดีเดินตรงมาหยุดหน้ารัดเกล้า
"ไปไหนมา รัดเกล้า"
"ออกกำลังค่ะ"
"ไม่เห็นชวนมั่งเลย"
"ค่ะ ก็ตั้งใจไม่ชวน"
พัทธยากับวิวรรธน์หัวเราะ สถบดีหน้าแตก ยอดชายรีบพูดขึ้นเปิดทางเชียร์
"สปอนเซอร์ใหญ่มาพอดี ไอ้เกล้ามันกำลังบอกว่าอยากได้คันที่โชว์อยู่น่ะครับ"
"คันไหน"
"ผู้กองไผ่จะซื้อให้เกล้าเหรอครับ"
รัดเกล้าตาดุ
"ทะลึ่งน่ะ ไอ้ยอด"
"ทำไมล่ะ ซื้อให้ก่อนก็ได้"
"แล้วค่อยผ่อนจ่าย คิดดอกเบี้ยเป็นหัวจาย" ยอดชายบอก
"พอเหอะ...เลี่ยนว่ะ ยอด" วิวรรธน์ว่า
"รัดเกล้าหิวหรือยังครับ ไปกินอะไรด้วยกันมั้ย" พัทธยาชวน
"ไปสิครับ ผมไม่เคยปฏิเสธเจ้ามืออยู่แล้ว" ยอดชายชิงตอบ
"ชื่อรัดเกล้าตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ยอด" วิวรรธน์ถาม
"เกล้าขอไม่..."
ยอดชายรีบพูด
"เพื่อนผมก็ไม่ปฏิเสธ"
สถบดีทำเก๊ก
"อยากกินอะไรล่ะ"
"ถามใครครับ ถามผมหรือว่า เพื่อนผม"
"ก็ทั้งคู่ อยากกินอะไรแพงๆ...บอกเลย เต็มที่ ผู้กองพัทธ์เลี้ยง"
พัทธยาหันมามองเพื่อนแบบอะไรนะ วิวรรธน์รีบดึงรัดเกล้าเดินออกไปหาร้านทันที

ภายในบ้าน คทารัตน์กำลังโทรศัพท์ตามน้อง
"แกอยู่ไหนน่ะยายเกล้า จะกลับบ้านหรือยัง ฉันจะฝากซื้อข้าวขาหมู"

รัดเกล้าคุยมือถือ ทุกคนกำลังจะเข้าร้านตามยอดชายกับวิวรรธน์ พัทธยากับสถบดีเดินตามมา
"เกล้ากำลังจะกินข้าวค่ะ พี่วิกกี้ ผู้กองพัทธ์เป็นเจ้ามือ"

คทารัตน์แววตาตื่นเต้นขึ้นมาทันที
"ผู้กองพัทธ์เหรอ"
คทารัตน์นิ่งคิดแวบเดียว แล้วเปลี่ยนเสียง
"อ๋อ เหรอ แกกินไปเถอะ...โอย... ไม่ต้องห่วงฉันนะ ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร แค่ปวดกระเพาะโอย... แค่นี้นะ"
คทารัตน์แกล้งตัดสายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

รัดเกล้าเก็บมือถือ อีกมือดึงแขนยอดชายลากออกมาจากร้าน
"เฮ้ย ไรวะ เพื่อน"
วิวรรธน์หันมามอง ที่ด้านหลังพัทธยากับสถบดีมาถึงหน้าร้านพอดี
"เกล้าขอกลับบ้านก่อนนะคะ"
"อะไรอีกวะ เกล้า ซูชิกำลังจะเข้าปากแล้ว"
"พี่วิกกี้ไม่สบาย เสียงไม่ดีเลยค่ะ"
สีหน้ารัดเกล้าห่วงใยพี่สาวมากจนทุกคนกังวลไปด้วย
"เหรอครับ วิกกี้เป็นอะไรไป"

เวลาต่อมา คทารัตน์นอนอยู่ที่โซฟา มีมือเลื่อนมาแตะหน้าผาก เธอหลับตาทำเสียงระทวย
"วิกกี้ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ ผู้กอง"
เธอชะมดชะม้อยลืมตาขึ้นมาเห็นมือวิวรรธน์ยื่นมือมาแตะ
"ไอ้วิว"
คทารัตน์ปัดมือวิวรรธน์ออกห่างทันที ด้านหลังเห็นพัทธยา รัดเกล้า สถบดี ยอดชายยืนกันครบ
"หายเป็นปลิดทิ้งเลยเหรอเจ๊"
คทารัตน์หันไปทางพัทธยา
"ยังไม่หาย แต่ดีขึ้น พอเห็นหน้าผู้กองพัทธ์"
"ทานอะไรหรือยังครับ พอรู้ว่าวิกกี้ไม่สบาย ไผ่เค้าซื้อบะหมี่มาฝาก"
สถบดียืนเก๊ก ยอดชายยกถุงบะหมี่ให้ดู
"เอาไปทิ้งถังขยะเลยจ้ะ ยอด พี่ไม่ชอบบะหมี่"
"กินเถอะคร้าบ รับรองผมไม่วางยาพิษ รุ่นเจ๊นี่ทนทาน ต่อให้ยาเบื่อช้างก็ล้มเจ๊ไม่ได้"
สถบดีหัวเราะ พัทธยากระทุ้งเพื่อนเมื่อเห็นแววตาคทารัตน์
"ผมเอาบะหมี่ไปไว้ในครัวก่อนนะครับ"
ยอดชายเดินออกไปทางด้านหลังทันที รัดเกล้าลงนั่งข้างพี่สาว
"ผู้กองพัทธ์เป็นห่วงพี่วิกกี้มากเลยนะคะ"
"ขอบคุณมากค่ะ วิกกี้ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ผู้กองลำบากมาถึงนี่"
"ไม่เป็นไรครับ ถือว่าโชคดี ได้มาบ้านสวยๆของวิกกี้"
คทารัตน์ยิ้มหยอด
"มาแล้วต้องมาอีกนะคะ เดี๋ยวบ้านหลังเล็กๆของวิกกี้จะน้อยใจ"
สถบดีมองรัดเกล้าที่ไม่ยิ้มให้ วิวรรธน์ถามขึ้น
"บ้านน่านอนจริงๆ"
"เตียงที่บ้านไม่มีเหรอจ๊ะ วิว"
วิวรรธน์รีบเอนตัวลงนอนกอดหมอน พูดเล่นๆ
"เตียงน่ะมีครับ แต่นอนที่นี่น่าจะสะดวก เผื่อคืนนี้ต้องไปบ้านคุณนรสิงห์พร้อมหน้าพร้อมตากันอีก"
วิวรรธน์พูดเล่น แต่รัดเกล้าไม่เล่นด้วยหน้านิ่งลงเหมือนสถบดี คทารัตน์ถลึงตามอง

อ่านต่อหน้าที่ 4


สาปพระเพ็ง ตอนที่ 5 (ต่อ)

เวลากลางคืน นรสิงห์ที่อยู่ในความมืด มืดสนิท มองไปไกล
"กรรมทั้งหมด มีฉันคนเดียวที่จะกำหนดให้ ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะเป็นเวลารับรู้แล้วก็ชดใช้"

คทารัตน์ดึงวิวรรธน์ที่กำลังนอนขึ้นมาอย่างแรง
"แกจะตลกก็ตลกไปคนเดียวเถอะเรื่องฝันพร้อมกัน 4 คนที่บ้านคุณนรสิงห์น่ะ มุขนี้ฉันไม่ฮา"
"ไม่ฮาเพราะเจ๊ใส่ชุดนอนไม่เร้าใจใช่มั้ยล่ะ แต่ผมว่ามันก็โอเคนะ อีกลุคนึงของเจ๊ ไพรเวท ส่วนตัวสุดๆ ไม่มีใครเคยได้เห็น"
ขาดคำ คทารัตน์ก็ซัดเข้าหลังดัง พลั่ก!
"โอ๊ย เจ๊ มือหรือหิน หนักได้อีก"
"ฉันจัดหนักให้เฉพาะพวกปากไอ้ด่างอย่างแก"
"ที่จริงก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าเราลองอยู่พร้อมๆกัน ดูสิว่าเราจะฝันว่าไปบ้านนรสิงห์ได้อีกหรือเปล่า" สถบดีว่า
คทารัตน์ประชด
"ดีสิ ... คราวนี้ผู้กองพัทธ์จะได้ไปด้วย"
ยอดชายถือชามก๋วยเตี๋ยวโผล่หน้ามา
"ผมว่าฟังคล้ายๆจะนั่งไทม์แมชชีนหรือยานแม่ย้อนอดีตกันเลยนะครับ"
ทุกคนหันขวับไปมอง ยอดชายถือชามบะหมี่หลบกลับไปกินเงียบๆ
"คราวหน้าถ้าต้องไปบ้านนรสิงห์จริงๆ ผมอยากให้ทุกคนระวังตัว เค้าน่าจะสะกดจิตทุกคนให้ฝันเหมือนๆกัน เพื่อผลอะไรสักอย่าง" พัทธยาบอก
"ฉันจะเอาปืนจ่อกบาลมันถามความจริง"
"นี่ ผู้กองไผ่ คุณจะจ้องจับผิดอะไรคุณนรสิงห์หนักหนา เราไปบ้านคุณนรสิงห์บ่อยๆ มันก็เก็บมาฝันกันได้"
"ผมว่าไม่ใช่ฝัน เพราะความรู้สึกผมมันเหมือนจริงมาก ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายมันด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ยังไง แต่ผมเชื่อว่าที่เราอยู่ในบ้านนรสิงห์พร้อมกัน 4 คนในชุดนอน ... ไม่ใช่ความฝัน" วิวรรธน์บอก
"เกล้าก็รู้สึกเหมือนพี่วิวค่ะ ทุกอย่างมันเหมือนจริง เกล้ารู้สึกว่าทุกครั้งที่เราเจอคุณนรสิงห์ เค้ามีพลังประหลาด ควบคุมจิตวิญญาณเรา"
"คุณนรสิงห์ทำให้เราไม่ต้องเดิน ไม่ต้องลุกจากเตียง แต่ไปอยู่ที่บ้านเค้าได้" วิวรรธน์บอก
"ยิ่งฟังยิ่งเหมือนพวกเรื่องลี้ลับ"
พัทธยามองไปที่รัดเกล้า
"แล้วเรื่องฝันนี่มันคงไม่เกี่ยวกับอาการเจ็บของเกล้าใช่มั้ย"
"เกล้าก็ไม่แน่ใจค่ะ ผู้กอง... เกล้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณนรสิงห์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง ทั้งเรื่องพยานในคดี เรื่องความฝัน แล้วถ้าทุกอย่างคุณนรสิงห์มีส่วนเกี่ยวข้อง จะมีใครที่ขัดขวางเค้าได้"
สายตารัดเกล้าเปล่งประกายความอยากรู้อย่างแรงกล้า

นรสิงห์นั่งรอในความมืด เอ่ยขึ้นด้วยแววตาหยั่งรู้
"ฉันจะทำอะไร... ใครก็ขวางไม่ได้ ไม่ว่าพันปีที่ผ่านมา หรือว่า เวลานี้ ถ้าฉันสั่ง ทุกคนต้องมา"

รัดเกล้าตรงไปที่จักรยาน เอ่ยบอกพี่สาวที่กำลังจิบกาแฟอยู่ด้านหลัง
"เกล้าจะไปบ้านคุณนรสิงห์"
"ฮ้า ..ไปทำไม ไปตอนนี้น่ะเหรอ"
"ค่ะ เกล้าอยากรู้ว่าทำไมเราถึงไปบ้านคุณนรสิงห์ในชุดนอนได้"
"แกจะย้ำทำไม เรื่องชุดนอน ฉันว่าจะลืมๆไปแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าไอ้สองคู่หูนรก ผู้กองไผ่กับวิวนั่นมันเห็นฉันในสภาพโทรมสุดขีด"
"งั้นเราไปถามคุณนรสิงห์กันนะคะ ไปถามว่าทำได้ยังไง นะคะ พี่วิกกี้ ไปหาคุณนรสิงห์กัน"
รัดเกล้าจับมือเร่งรัดขอร้องจนพี่สาวมองอย่างแปลกใจ

นรสิงห์นั่งรอ สีหน้าหยั่งรู้ว่า สองพี่น้องกำลังจะมาหาตามที่ต้องการ

สถบดีกับวิวรรธน์กำลังเดินมาด้วยกันในบริเวณทางเดินในสนง.สืบฯ ทั้งคู่กำลังจะขึ้นลิฟต์ไปทำงาน
"เจ๊เหรอฮะ"
คทารัตน์กับรัดเกล้าที่อยู่หน้าบ้านนรสิงห์ รับโทรศัพท์
"โทรมาทำไม"
วิวรรธน์มองสถบดีที่กำลังกดลิฟท์
"เจ๊มาถึงสำนักงานหรือยัง ช่วยเอาข้อมูลที่เจ๊บอกว่ายืมไปอ่านที่บ้านมาให้ผมด้วย แหม... ทำไมต้องทำเสียงยังกะซุ่มนัดเดทหนุ่มๆ"
คทารัตน์เสียงดังขึ้นทันที รัดเกล้ามอง
"เดท แดดอะไร ฉันมาบ้านคุณนรสิงห์"
"บ้านคุณนรสิงห์ ไปทำไม"
วิวรรธน์เสียงดัง สถบดีหันมามองทันที ลิฟต์เปิดรออยู่
"รัดเกล้าไปด้วยหรือเปล่า"

สองพี่น้องมองไปที่ประตูบ้าน
"เกล้าไปกดออดนะคะ"
"ไม่ต้องหรอก คนอย่างคุณนรสิงห์ เค้ารู้ว่าเราจะมา"
คทารัตน์พูดขำขำ แต่ประตูเปิดออก
"เห็นมั้ย ฉันบอกแล้ว"
"พี่วิกกี้ไม่คิดว่า บ้านนี้มี..วิญญาณบ้างเหรอคะ ทำไมคุณนรสิงห์เค้าถึงรู้ว่าเรามา"
"หัดใช้สมองซะมั่ง ยายเกล้า บ้านนี้มันต้องมีกล้องวงจรปิด คุณนรสิงห์เค้าถึงเห็นตลอดทุกซอกทุกมุม ทุกรูขุมขน"
"ไหนละคะ กล้อง"
"นี่แกจะมายืนหากล้อง หรือแกจะมาหาคุณนรสิงห์ ไม่ต้องมอง ทำตัวปกติ เค้าจะไม่ได้รู้ว่าเราสงสัยเค้า"
คทารัตน์มองเข้าด้านใน ส่งเสียงไปก่อน
"คุณนรสิงห์ขา วิกกี้มาหาค่ะ"
คทารัตน์ดึงตัวรัดเกล้าเข้าประตูไป ประตูที่ปิดลงเองเบาๆ

บนถนนสถบดีขับมอเตอร์ไซค์ มีวิวรรธน์ซ้อนท้าย สองคนใส่หมวกกันน็อก เขาเร่งเร็ว ด้วยความเป็นห่วงรัดเกล้า

สองพี่น้องเดินเข้ามาในบ้าน นรสิงห์นั่งรออยู่ที่ระเบียง
"วันนี้ไม่ได้มาเงียบๆนะคะ วิกกี้ส่งเสียงมาก่อน คุณนรสิงห์ได้ยินใช่มั้ยคะ"
"รู้แล้วว่าจะมา"
"ก็เลยแต่งบ้านใหม่รอวิกกี้"
คทารัตน์ยิงมุข แต่นรสิงห์ไม่ขำ นรสิงห์มองรัดเกล้า
"แน่ใจหรือว่าอยากรู้"
"อุ๊ย ... วิกกี้ยังไม่ได้พูดเลยนะคะ"
"ค่ะ เกล้าอยากรู้"
คทารัตน์มองรัดเกล้ากับนรสิงห์
"เอ๊ะๆ ไปแอบคุยอะไรกันตอนไหนหรือเปล่าคะ"
"อยากรู้ก็เงียบ นั่ง แล้วรอ"
คทารัตน์อดปากถามไม่ไหว
"เล่าเลยได้มั้ยคะ ทำไมต้องรอ"
"ยังมีคนอยากฟัง"
"ใครคะ"
นรสิงห์เงียบจนคทารัตน์สังหรณ์ใจ
"ผู้กองไผ่น่ะเหรอคะ งั้นไม่ต้องรอค่ะ คุณนรสิงห์เล่าเลย"
"หัดรอเสียบ้าง"
"วิกกี้รอได้ทุกคนค่ะ ยกเว้นผู้กองไผ่ คุณนรสิงห์รู้ใช่มั้ยคะว่าฆาตกรที่ยิงคุณอภิมุขเป็นใคร"
"ถามเรื่องนี้อีกแล้ว"
"เกล้าอยากรู้เรื่อง..."
"เรื่องนี้ก่อนค่ะ คุณนรสิงห์แง้มหน่อยได้มั้ยคะ ใครเป็นฆาตกรตัวจริง"
คทารัตน์แววตาคาดคั้นอยากรู้มาก

ในบ้านอภิมุข พัทธยาเดินตามคนใช้เข้ามาในบ้าน เพชรดานั่งอยู่ตามลำพัง
"ผู้กองพัทธ์"
คนรับใช้เดินออกไป พัทธยาหน้าตาจริงจัง มองเพชรดา
"ผมรู้ว่าคุณไม่ได้โทรผิด เลยมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า"
เพชรดาเห็นความห่วงใยในแววตาของพัทธยา เธอยังไม่ทันตอบ อภิวัฒน์กับมาริษาเดินออกจากด้านในพอดี
"วันนี้ผู้กองไม่ได้นัดว่าจะเข้ามา"
มาริษาเข้ามาก่อน คุยกับเพชรดา
"เพชรโทรไปเรียกผู้กองมาเหรอคะ ไม่รู้จักเกรงใจบ้างเลย"
"เปล่าครับ"
"เมื่อกี๊ผมได้ยินว่าเพชรโทรหาผู้กอง"
สองผัวเมียจ้องมองเพชรดา
"คุณเพชรเธอโทรผิดครับ แต่ผมเองที่อยากมาดูอะไรรอบๆบ้านอีกสักหน่อย"
"แล้วเจออะไรมั้ย ก็ไม่เจอสินะ... หัดเกรงใจกันบ้างสิ ผู้กอง ไม่ใช่จะนึกจะมาก็มา เราก็มีเวลาส่วนตัวของครอบครัว" อภิวัฒน์บอก
"จริงสินะครับ เวลาของครอบครัว แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกในบ้านจะขาดไปคนนึง"
"สำหรับสิริรัตน์ เราไม่นับเป็นคนในครอบครัวค่ะ"
อภิวัฒน์หันขวับมองมาริษาที่ปฎิเสธอย่างรวดเร็ว เพชรดาที่สีหน้ามีความกังวลขึ้นมาเมื่อมาริษาเอ่ยชื่อสิริรัตน์

คทารัตน์จ้องนรสิงห์อย่างอยากรู้ เหมือนอยากจะให้หลุดอะไรออกมาบ้าง รัดเกล้าอึดอัดหายใจแรงบีบมือตัวเองแน่น นรสิงห์มองอาการปั่นป่วนของรัดเกล้าแล้วถามขึ้น
"ถ้าไม่สบาย จะนอนพักก่อนก็ได้"
"ที่นี่เหรอคะ ไม่เอาดีกว่าค่ะ มันวังเวง เรามาแค่คุย รบกวนเดี๋ยวเดียวแล้วกลับดีกว่า"
"เกล้าทนได้ค่ะ"
รัดเกล้ากัดฟันบอก คทารัตน์หันไปถามเสียงลอดไรฟัน
"เป็นอะไรอีก ยายเกล้า"
"อึดอัด...เจ็บที่หัวใจ เหมือนถูกแทง" นรสิงห์บอก
"คุณนรสิงห์รู้"
"รักษาได้มั้ยคะ อาการประหลาดๆของยายเกล้านี่ต้องรักษายังไง หรือว่าคุณนรสิงห์มีตำรับยาผีบอก จะแผนไหน ไทย จีน ฝรั่ง แขกบอกมาได้เลยค่ะ วิกกี้อยากให้น้องหาย"
"เป็นห่วงน้อง หรือกลัวจะขาดลูกไล่"
"ห่วงน้องสิคะ วิกกี้ไม่ใช่ผู้หญิงร้ายๆขนาดห่วงใครไม่เป็นนะคะ วิกกี้ก็มีหัวใจเหมือนกันค่ะ"
นรสิงห์หันมามองคทารัตน์ด้วยแววตาจ้องลึกเหมือนล้วงเข้าไปในหัวใจ
"มีหัวใจที่ห่วงแต่ชัยชนะของตัวเอง"
เหมือนนรสิงห์มานั่งอยู่กลางใจของคทารัตน์ เธออึ้ง เงียบ เถียงต่อไม่ถูกไปชั่วขณะ

เพชรดามองพัทธยา อภิวัฒน์ขัดหูขัดตา ไม่อยากให้พัทธยาอยู่ต่อตรงนั้นก็เอ่ยขึ้น
"ตรงนี้ไม่มีใครให้คุณห่วงหรอก ผู้กอง พวกเราดูแลตัวเองกันได้"
"คุณสิริรัตน์อยู่มั้ยครับ"
"จะถามถึงทำไม สิริรัตน์เค้าไม่ใช่พวกวันๆเก็บตัวอยู่กับบ้าน ไม่ทันโลก ไม่ทันมนุษย์มนา"
"ผมว่าคุณวัฒน์น่าจะห่วงน้องสาว มากกว่าคุณสิริรัตน์นะครับ"
"คุณวัฒน์เค้าก็จิตใจเอื้อเฟื้อมีเมตตากับคนในปกครองทุกคนอย่างงี้แหละค่ะ"
พัทธ์มองมาริษาที่ซ่อนความขมขื่นในหน้าไว้มิดชิด
"ถ้าคุณสิริรัตน์อยู่ วันนี้ผมจะได้คุยกับเธอซะเลย"
อภิวัฒน์สีหน้าอึดอัดไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่อยู่ นัดมาวันหลังแล้วกัน ถ้าไม่มีธุระด่วน วันนี้ก็เชิญกลับได้แล้ว"
พัทธยาลุกขึ้น หันไปทางอภิวัฒน์
"ผมลาครับ"
อภิวัฒน์แค่พยักหน้ารับรู้ มาริษายิ้มน้อยๆ พัทธยาหันมาทางเพชรดา
"ฉันไปส่งค่ะ"
พัทธยาเดินนำออกไป อภิวัฒน์มองเพชรดา แล้วเอ่ยปรามขึ้น
"อย่าช่างฟ้องอีกล่ะ"
เพชรดามองอภิวัฒน์ที่แววตาเอาเรื่องแล้วเดินออกไปเงียบๆ

มอเตอร์ไซค์มาจอดลงหน้าบ้านนรสิงห์ ทั้งคู่รีบถอดหมวกกันน็อก
"ขอให้เรามาทันทีเถอะ"
สถบดีเปิดรั้ว พุ่งเข้าไปอย่างเร็ว วิวรรธน์รีบตามไปทันที

หน้าบ้านอภิมุขพัทธยายืนรอ เพชรดาเดินออกมา
"ระวังตัวด้วยนะครับ ถ้าต้องการเจ้าหน้าที่มาช่วยดูแลความปลอดภัย ก็บอกผมได้ทันที"
"ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ"
"ผมรู้ว่าคุณไม่ได้โทรผิด"
พัทธยามองลึกลงไปในแววตา แต่เพชรดาก็ไม่กล้าพูดอะไร
"คุณอาจจะไม่อยากพูด ไม่อยากเล่าตอนนี้ เมื่อไหร่ที่คุณไว้ใจ ผมพร้อมจะฟังคุณทุกเรื่อง... อย่าประมาทนะครับ คุณเพชร ผมไม่อยากให้มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นบ้านหลังนี้อีก"
"มันน่าอายใช่มั้ยคะ ครอบครัวที่เหมือนถูกสาป"
"อย่าลงโทษตัวเองสิครับ ผมรู้ว่าคุณอยากให้คดีนี้จบลงอย่างถูกต้องที่สุด"
เพชรดาเห็นแววตาห่วงใย พัทธยายิ้มให้
"ผมเป็นห่วงนะครับ"
เพชรดาวูบไหวกับคำสั้นๆแต่เจือน้ำเสียงห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยมของพัทธยา เธอยืนมองส่งเขา ในบ้าน อภิวัฒน์กับมาริษามองจ้องด้วยสายตาไม่วางใจ

ในบ้านนรสิงห์ คทารัตน์ขยับตัวอย่างอึดอัด เจ้าบ้านยังคงนั่งนิ่ง เธอมองไปรอบบ้าน
"คุณนรสิงห์หลับหรือเปล่าคะ อย่าเงียบสิคะ เงียบแล้วมันยิ่งหวิวๆ"
"เคยกลัวอะไรด้วยหรือ"
"แหม คุณนรสิงห์ถามแต่ละคำนี่... แทงฉึกๆ เหมือนเราเคยรู้จักกันมาแต่ชาติปางไหน"
"นั่นสิคะ คุณนรสิงห์ พวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า"
นรสิงห์จ้องรัดเกล้า รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากแต่เพียงนิดเดียว
"จำเรื่องอะไรได้บ้าง" นรสิงห์ถาม
"จำเรื่องอะไรคะ" คทารัตน์ถาม
"เจ๊... ผมมาแล้ว"
คทารัตน์หน้าตาขัดใจมากที่ได้ยินเสียงวิวรรธน์มาก่อนตัว สองพี่น้องหันกลับไป สองหนุ่มพรวดเข้าบ้านมา สถบดีมองและถามรัดเกล้าทันที
"นรสิงห์ไม่ได้ทำอะไรคุณใช่มั้ย"
"นี่ ฉันพี่สาวยายเกล้านั่งสวยอยู่ตรงนี้ทั้งคน คงไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชายหน้าไหน ข้ามหัวมาทำอะไรน้องสาวคนเดียวของฉัน"
สถบดีจะมานั่งข้างรัดเกล้า คทารัตน์จ้องสั่งวิวรรธน์ให้รีบมานั่งประกบรัดเกล้าให้ทันที

ในสนง.สืบฯ พัทธยาเดินเข้ามาเห็นยอดชายกำลังเปิดคอมพิวเตอร์
"มากันครบรึยัง ทำไมวันนี้เงียบๆ"
"ยังไม่มีใครมาเลยครับ"
พัทธยาสีหน้าแปลกใจ ถามหา
"วิกกี้ วิว"
ยอดชายส่ายหัว
"รัดเกล้า ผู้กองไผ่ ยังไม่เห็นใครมาส้ากคน"
"หายไปไหนกันหมด"
พัทธยาสีหน้าสงสัยเหมือนยอดชาย

ในบ้านนรสิงห์ ทุกคนหันมาโต้เถียงกันเอง นรสิงห์ที่ยืนมองอยู่
"ฉันไม่เชื่อว่าผู้กองบริสุทธิ์ใจกับน้องสาวฉัน"
"เจ๊ครับ .. ผมว่าเรื่องส่วนตัวไปเถียงกันที่อื่นดีมั้ยครับ" วิวรรธน์บอก
"ไม่ต้อง ฉันถือว่าคุณนรสิงห์ไม่ใช่คนนอก มาบ้านเค้าขนาดนี้ สนิทจนจะเป็นคนในครอบครัวแล้ว"
"เหรอ ไม่ยักรู้ว่าคุณวิกทำตัวสนิทสนมกับพยาน" สถบดีว่า
คทารัตน์เถียง
"ฉันไม่ถือว่าคุณนรสิงห์เป็นพยาน คุณนรสิงห์เป็นคนพิเศษ... คนพิเศษของฉัน"
"อ้อ... คนพิเศษที่เรียกเมื่อไหร่คุณก็ต้องมา"
"ผู้กองไผ่"
คทารัตน์เสียงดุเข้ม แววตาวาบ วิวรรธน์เห็นแล้วยังตกใจ เสียงนรสิงห์หัวเราะขึ้นเบาๆ ขบขันกับการทะเลาะเบาะแว้งของคนทั้ง 4
"ไม่มีใครยอมแพ้ใคร ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน แรงด้วยกันทั้งคู่"
นรสิงห์เดินมองกวาดไล่ไปตั้งแต่คทารัตน์ สถบดี
"รบ ... ไม่ยอมเลิกรา"
คทารัตน์ยิ้ม
"คุณนรสิงห์นี่พูดเหมือนรู้จักพวกเราถึงก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณ"
"มากเกินจิตวิญญาณ ฉันรู้จักพวกเธอมากกว่านั้น"
"คุณรู้จักเรามานานแค่ไหนคะ รู้จักมาตั้งแต่อดีตพันปีแล้วใช่มั้ย"
"รัดเกล้า" สถบดีเรียก
นรสิงห์ยิ้ม
"แน่ใจแล้วหรือว่าทนได้ ถ้ารู้ว่าในอดีตมีทุกข์ มีความเจ็บปวด จองล้างจองผลาญ เข่นฆ่ากันถึงตาย"
เสียงนรสิงห์ดังกังวานสะเทือนไปในใจทุกคน
"ทุกคนเชื่อมั้ยล่ะว่า เคยผูกพันกันมาแต่อดีตชาติ"
"คุณนรสิงห์รู้อะไรที่เราไม่รู้เหรอคะ เล่าให้เราฟังบ้างได้มั้ยคะ รัดเกล้าอยากรู้"
สายตารัดเกล้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น รอคอยสิ่งที่นรสิงห์จะเล่า

ในสนง.สืบฯ พัทธยามองยอดชายที่เดินเข้ามารายงาน
"โทรหาทุกคนแล้วครับ แต่เป็นสัญญาณติดต่อไม่ได้ทั้ง 4 คน"
พัทธยายิ่งสงสัย

สิงห์ที่กวาดตามองทุกคนแล้วพูดต่อ
"อดีตสร้างปัจจุบัน ไม่มีกรรมต่อกัน ก็ไม่ต้องเวียนว่ายมาเจอกัน"
"วิกกี้ไม่อยากรู้อดีตค่ะ อดีตแก้ไขไม่ได้ มันไม่จำเป็น... ถ้าจะเล่า วิกกี้ขอรู้ว่าเมื่อไหร่ วิกกี้จะหมดเวรหมดกรรมไม่ต้องทำงานร่วมกับคนบางคน" คทารัตน์บอกพลางหันไปทางไผ่
รัดเกล้าไม่ยอม
"เรื่องในอดีตมันสำคัญมากนะคะ พี่วิกกี้ ถ้าเราไม่รู้อดีตว่าเป็นยังไง แล้วเราจะแก้ไขสิ่งที่ติดตัวมาจากอดีตได้ยังไงละคะ"
"อย่ามาพูดเรื่องผูกเรื่องแก้เวรกรรมที่มองไม่เห็นกับฉันนะ ยายเกล้า กรรมมันแก้กันได้ที่ไหนเล่า"
"ฟังไว้ก็ไม่เสียหายนะเจ๊" วิวรรธน์บอก
"ไม่เสียหายแต่เสียเวลา เรากำลังทำอะไรอยู่ คดีฆาตกรรมใช่มั้ย ถ้าจะย้อนอดีต ฉันขอย้อนตอนที่ฆาตกรลั่นไก"
นรสิงห์ยิ้มที่คทารัตน์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง รอยยิ้มนั้นรบกวนจิตใจสถบดีมาก
"ยิ้มอะไร นรสิงห์ สนุกมากหรือไงที่ลากพวกเรามาทะเลาะกันตรงนี้"
"เงียบก่อนได้มั้ยคะ ผู้กอง" รัดเกล้าบอก
"ผมไม่เงียบ คุณกำลังหลงนรสิงห์เหมือนพี่สาวคุณนะ รัดเกล้า"
"ฉันไม่ได้หลง ฉันอยากรู้ความจริง"
นรสิงห์ยิ้มบอก
"ความจริงก็อยู่ตรงหน้า"
"คุณนรสิงห์เล่าเลยครับ ความจริงเรื่องอะไรบ้าง...ความแค้น จองล้างจองผลาญเข่นฆ่ากันทำไม" วิวรรธน์บอก
"ฉันว่าแกยอมรับมาดีกว่า นรสิงห์ แกกำลังทำอะไรกับพวกเรา อย่ามาใช้วิชามารมนตร์ดำกับฉัน"
นรสิงห์หัวเราะในลำคอ สถบดีฉุน หยิบปืนข้างเอวขึ้นมาทันที
"หัวเราะมากนักก็ล่อกันง่ายๆเลย ลูกปืนซะหน่อยเป็นไง จะพูดหรือไม่พูด"
"อย่าบ้านะ ผู้กองไผ่" รัดเกล้าบอก
นรสิงห์หันมามองวาบเดียว เหมือนไฟที่ลุกออกมาจากตา ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไผ่ถือปืนค้าง ทุกคนนิ่งไปในท่าทางตื่นตระหนก นรสิงห์จ้องมองทุกคน เสียงนรสิงห์เอ่ยขึ้น ดึงทุกคนล่องลอยกลับไปในเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญที่สุดในอดีต
"ความแค้น จองล้างจองผลาญ เข่นฆ่าเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา แม้กระทั่งความรัก พลังที่แข็งแกร่งที่สุด ยังถูกทำลายลงด้วยความแค้นและคาวเลือด"

ทุกคนกลับไปยังอดีตอีกครั้ง องค์นรสิงห์สีหบดีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
"อากาศยามนี้ของศรีพิสยา ช่างหอมหวลบริสุทธิ์ เป็นอากาศที่เราอยากสูดเข้าไปเช่นนี้ทุกเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมา... ไร้กลิ่นซากศพคาวเลือด ไร้กลิ่นควันไฟของสงคราม"
ที่ราบกว้างเขตติดต่อดินแดนของศรีพิสยากับแคว้นมินโลที่ตกเป็นของปุระอมรไปแล้ว กองทัพของนรสิงห์ตั้งทัพเผชิญหน้ากับกองทัพของปรันมา ต่างฝ่ายต่างมีทหารที่อาวุธครบมือ ตั้งแถว เผชิญหน้ากันเหมือนต่างวัดกำลังของแต่ละฝ่าย
ติสสายืนด้านหลังปรันมา เช่นเดียวกับสีหสาที่อยู่หลังนรสิงห์ ทั้งคู่อยู่ในชุดเกราะอย่างนักรบ สีหสามีอาวุธประจำกายคือดาบคู่ ติสสามีทั้งธนูและดาบยาวในฝักข้างเอว วาเร ไพลิน ยืนลำดับถัดมา เหมือนเมฆากับมารุต นักรบของทั้งสองเมืองยืนตรง แววตานิ่ง อาวุธในมือพร้อม
ปรันมากับนรสิงห์นั่งเผชิญหน้ากัน สีหน้ายิ้มแย้มให้กันตามมารยาท
"ศรีพิสยาเป็นแคว้นเล็ก รักสงบ ถนัดเพียงเรื่องค้าขาย กองทหารที่มีก็เพียงปกป้องตัวเอง ไม่ได้มีไว้เพื่อรุกรานแคว้นใด"
"เราก็ได้ยินมาอย่างนั้น ศรีพิสยาร่ำรวยจากการค้าขาย ถนนในเมืองปูลาดด้วยเหรียญเงิน บ้านเมืองไม่มีขโมย ขนาดเหรียญเงินตกลงพื้น ยังไม่มีใครก้มลงเก็บเพราะว่าร่ำรวยกันทุกคน" นรสิงห์ว่า
"ไม่ใช่เพราะความร่ำรวย แต่เพราะเรายึดมั่นในศีลธรรม ไม่โลภ อยากได้ของๆผู้อื่น เราเคารพศักดิ์ศรีทุกอย่าง ดินแดนถึงจะเล็กแค่ไหน แต่ทุกแคว้นก็มีเกียรติที่บรรพบุรุษสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองมาเป็นร้อยๆปี ไม่ควรที่จะถูกฉกฉวยแย่งชิงไปง่ายๆ"
ปรันมาเอ่ยตอบอย่างไม่หวั่นเกรงกับบารมีของราชันย์อย่างนรสิงห์
"ปุระอมรของเราก็ไม่เคยถือว่าเป็นดินแดนกว้างใหญ่ที่สุด แล้วจะมีอำนาจเหนือแคว้นเล็กๆ สิ่งที่เรากำลังทำ คือการต่อสู้เพื่อส่วนรวม เราต้องผนึกแคว้นทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อความเข้มแข็งของดินแดนแถบนี้ เพื่อต่อสู้กับอาณาจักรอื่นๆที่คิดจะรุกรานพวกเรา"
"เจตนาท่านน่าชื่นชม แต่ศรีพิสยาเราดูแลตัวเองมาได้เป็นร้อยๆปี แล้วเวลาที่การค้ารุ่งเรืองไปทั่วคาบสมุทร คงไม่มีอาณาจักรไหนคิดก่อสงครามให้เดือดร้อน"
"สมกับเป็นบ้านเมืองรักสงบ ใช้ชีวิตกันอย่างเพลิดเพลิน มีแต่ความสุข ถึงได้มีงานฉลองบูชาพระเพ็งกันไม่ขาด"
"พระเพ็งทรงประทานความสุข ความร่มเย็น และความรุ่งเรืองให้เรา"
"ทหารกล้า มีฝีมือด้วยหรือเปล่าที่พระเพ็งประทานให้ศรีพิสยา"
"เราคงไม่ตัดสินว่าทหารฝีมือเก่งกล้าแค่ไหน เพราะฝีมือพวกทหารพวกนี้จะสำแดงแต่ในสนามรบ"
"งั้นเราก็ขอให้แผ่นดินตรงนี้เป็นคล้ายสนามรบ เพื่อชื่นชมฝีมือหอกของทหารกล้าศรีพิสยา"
"ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง"
ติสสามองไปที่เมฆา สีหสามองวาเร ทั้งคู่ต่างรู้กัน ก้าวออกมา นรสิงห์กับปรันมาต่างยิ้มให้กัน
"ยังไงวันนี้ขอให้ถือว่าเป็นแค่การออกกำลังพอให้ได้เหงื่อของเหล่าทหาร"
วาเรกับเมฆาก้าวออกมาที่ลานกว้างระหว่างสองฝ่าย ทุกสายตาจับจ้องไปที่นักรบทั้งคู่ เมฆากับวาเรเตรียมพร้อม วาเรเริ่มพุ่งเข้าหาก่อน เมฆารับฝีมือหอกที่รุนแรง รวดเร็ว การต่อสู้ด้วยหอกของวาเรกับเมฆาผลัดกันรุก ผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร
ติสสากับสีหสาต่างมองลูกน้องของตนด้วยไม่ต้องการให้เพลี่ยงพล้ำจนพ่ายแพ้
วาเรกับเมฆาดวลกันดุเดือด วาเรอาศัยจังหวะ ฟาดจนเมฆาล้มลง หอกหลุดมือ เมฆาคว้าหอกได้ จะลุก แต่เจอวาเรเอาหอกจ่อที่คอ ทหารของนรสิงห์เฮเสียงกึกก้อง สีหสายิ้มไปทางติสสาที่รู้ว่าทหารของตนแพ้แล้ว เมฆาลุกขึ้นกลับมาที่แถว สีหสามองเย้ยติสสาที่สีหน้ายังนิ่ง ขรึม
นรสิงห์ยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
"นี่แค่อาวุธชนิดเดียว ยังตัดสินไม่ได้ ศรีพิสยาคงมีมือดาบเก่งๆมาด้วยใช่มั้ย"
มารุตก้าวออกมา อีกด้านไพลินเดินออกมาเผชิญหน้า สองฝ่ายต่างมองนักรบของตนที่มีดาบในมือ พร้อมจะพุ่งเข้าหากัน

จบตอนที่ 5

กำลังโหลดความคิดเห็น