สาปพระเพ็ง ตอนที่ 4
มาริษามองกังวลที่สามีทะเลาะกับพี่ชาย เพชรดายืนตัวลีบกับบรรยากาศเครียด
“ผมทำงานให้ครอบครัวเราเหมือนกัน แต่ดูสิ ผมได้อะไร... แค่นักธุรกิจคนนึง ไม่เหมือนพี่ นักการเมืองใหญ่ มีทั้งเงิน อำนาจ บารมี เงินกงสีซื้อให้พี่ได้ทุกอย่าง” อภิวัฒน์บอก
อภิมุขขยับ เพชรดามองตกใจ มาริษาเอ่ยขึ้นทันที
“พี่ดำคะ คุณวัฒน์ไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
“ตั้งใจ แล้วเธอก็ไม่ต้องแก้ตัวแทนฉัน คนอย่างฉันยืนอยู่บนขาของตัวเองได้”
อภิวัฒน์มองท้าทาย ไม่ยอมลงให้พี่ชายเหมือนกัน
“แน่ใจนะว่าไม่ล้ม น้ำหน้าอย่างแกผลาญเงินเพราะการลงทุนโง่ๆของตัวเองมากี่ครั้งแล้ว แกคงไม่มีสมองที่จะคิดหรอกว่า ฉันกำลังซื้อเกียรติยศให้ครอบครัวพ่อค้าอย่างเรา”
อภิมุขด่าจี้จุด แล้วเดินออกไป เพชรดาเดินตามไปเกรงๆ อภิวัฒน์มองตามพี่ชายด้วยความโมโห มาริษามองตำหนิสามี
“ถ้าพูดให้ดีกว่าที่คิดไม่ได้ วันหลังก็อย่าพูดออกมา ตราบใดที่พี่ดำยังต้องเซ็นเช็คให้เรา”
อภิวัฒน์หันมอง มาริษาเชิดหน้า สีหน้าดูถูกสามีอย่างที่สุด
“โธ่โว๊ย”
อภิวัฒน์โมโห คว้าจานปาเปรี้ยงไปโดนผนัง มาริษาถอยออกห่าง... ยังไม่สะใจ เขาปาแก้วน้ำตกแตกกระจายบนพื้น เสียงดัง
อภิมุขสีหน้าโมโหเดินออกมา รถจอดรออยู่ เพชรดาเดินตามมา
“ไอ้วัฒน์ ไอ้ตัวล้างผลาญ ไอ้ตัวทำลาย สมบัติข้าวของตระกูลฉิบหายป่นปี้เพราะมันไม่รู้เท่าไหร่แล้ว พอกันที ฉันจะไล่มันออกไปจากบ้านหลังนี้ ถ้ามันยังดันทุรังไม่ยอมไป ฉันก็จะให้คนโยนข้าวของมันไปซุกหัวอยู่บ้านหลังเล็กโน่น”
เพชรดาสีหน้าตกใจ
“มันต้องไปให้พ้นบ้านนี้ ก่อนวันแต่งงานของฉัน”
เพชรดาถามขึ้นด้วยความเจียมตัว
“แล้วเพชรกับตาหนึ่งละคะ”
อภิมุขยังไม่ทันตอบ สิริรัตน์ในชุดนอนเดินออกมายืนมอง ก่อนเดินนวยนาดเข้ามาทักอภิมุข
“มอร์นิ่งค่ะ พี่ดำ กำลังจะไปทำงานเหรอคะ”
“อย่าแต่งตัวแบบนี้ออกมาให้คนอื่นเห็น สิริรัตน์”
สิริรัตน์แกล้งเท้าแขนที่รถ บิดตัวไปมา
“ไม่ให้คนอื่นเห็น...แล้วให้พี่ดำเห็นได้มั้ยละคะ”
อภิมุขมองเห็นสายตาเพชรดาที่ยืนจ้องอยู่ก็เปิดประตูเข้ารถทันที สิริรัตน์ถอยห่าง รถขับพุ่งออกไปเพชรดามองสิริรัตน์ที่ไม่มีท่าทางอับอายอะไร
“ตั้งโต๊ะแล้วใช่มั้ย”
“เธอควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนเข้าไปกินข้าว”
สิริรัตน์ไม่สนใจเดินเข้าบ้าน เพชรดาเดินเร็วตาม ในห้องกินข้าว เธอเห็นสภาพข้าวของตกแตกกระจายบนพื้น มาริษากับอภิวัฒน์ยืนอยู่คนละด้าน
“ช่วงโละของเก่า เตรียมแต่งบ้านใหม่กันล่ะสิ”
มาริษามองสิริรัตน์หัวจรดเท้า ต่างจากสายตาอภิวัฒน์ที่มองร่างสิริรัตน์แบบเพ่งพินิจไปทุกส่วนสัด
เพชรดาวิ่งตามมา
“สิริรัตน์ ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
“ไม่ไป ฉันหิว”
สิริรัตน์เห็นอภิวัฒน์ที่มองตัวเองอยู่ ก็แกล้งเอาส้อมจิ้มไส้กรอกที่ยังวางในจานอภิวัฒน์มากินต่อหน้ามาริษาอย่างจงใจ เธอแกล้งเดินลงไปนั่งที่เก้าอี้ของอภิมุข ฝ่ายเมียมองตาลุกเป็นไฟ
“ตักข้าวให้ฉันด้วย”
คนรับใช้มองเพชรดาเหมือนจะถามว่าเอายังไงดี
“ฉันว่าเธอไม่ได้หิวข้าวนะ สิริรัตน์”
“อะไรเหรอคะ คุณพี่ไฮโซ”
สิริรัตน์แกว่งส้อมที่มีไส้กรอกแล้วถาม
“กินด้วยกันมั้ยคะ ไส้กรอกดุ้นโตๆ แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้”
“ไม่ต้องหรอก ระดับฉันกินแต่ของเกรดดี ที่เหลือๆในจานนั่นเธอเทรวมๆกัน แล้วก็กินให้หายอยากไปเถอะนะ”
มาริษาดึงแขนอภิวัฒน์เดินออกไปทันที สิรัรัตน์มองตาม กระแทกช้อนลง
“อยากตบปากผู้ดีจริงโว๊ย”
สิริรัตน์หันมาตวาดใส่คนรับใช้
“อ้าว ยืนหน้ามึนเป็นสากกะเบือลืมตาอยู่ได้... ตักข้าวสิ”
เพชรดาพยักหน้า คนรับใช้จำใจไปตักข้าวให้แล้วถอยห่าง ทางด้านหลัง เพชรดามองสิริรัตน์อย่างรังเกียจ
พัทธยา รัดเกล้าและยอดชายมองเพชรดาที่เล่าเรื่องราวแต่หนหลังอ
“พี่ชายคุณสองคนตกลงเรื่องหุ้นส่วนกันยังไง” พัทธยาถาม
“ฉันไม่รู้”
“คุณไม่เคยถามอะไรเค้าต่อเลยเหรอ”
“ฉันถาม ในสิ่งที่ควรถาม”
พัทธยามองอย่างอึดอัดที่เพชรดาไม่ให้รายละเอียดอะไรต่อ แถมเหมือนด่ากลับด้วย เธอเลื่อนสายตามาหยุดที่รัดเกล้าที่ยิ้มให้ตามมารยาท แต่เธอไม่ยิ้มตอบ รัดเกล้ารีบหุบยิ้ม
พัทธยามองจับสังเกตสีหน้าเพชรดาที่มองไปยังรูปครอบครัว
ในบริษัท อภิวัฒน์นั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว มองสถบดีกับมุรธา
“ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พี่ดำจะจัดการเรื่องหุ้นอะไร ยังไง ผมให้สิทธิ์พี่ชายผมเต็มที่”
“โอ้...ยอมถึงขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ที่พูดนี่หมายความว่ายังไง”
“บริษัทนี้เคยเกือบล้มละลาย แต่พอคุณอภิมุขตาย... หุ้นบริษัทคุณก็เหมือนมีนอมินีมากว้านซื้อไปหมด”
“เพราะผมบริหารเก่ง”
“หรือไม่ก็มีแหล่งทุนที่มาซื้อหุ้นในชื่ออื่น เพื่อเตรียมขายคืนในราคาต่ำ”
“นั่นมันความคิดของตำรวจอย่างคุณ”
“ผู้กองไผ่ยังไม่ได้บอกเลยนะคะ ว่าคุณอาจจะโกงเงินพี่ชายมาช่วยพยุงบริษัทตัวเอง”
สถบดีมองมุรธาด้วยสายตาตำหนิจนเธอหน้าจ๋อย อภิวัฒน์ลุกขึ้นมามองสถบดี
“ผมน่ะเหรอ โกง... ใครกันแน่ที่จ้องจะฉวยโอกาสเอาเปรียบพี่น้องอยู่ตลอดเวลา”
ในอดีตของวันใหม่ อภิมุขยืนอยู่หน้าบ้าน คนรับใช้ 4 คนกับยาม 2 คนกำลังขนเสื้อผ้าของอภิวัฒน์กับมาริษาออกมา
“เอาไปบ้านหลังเล็กให้หมด อย่าให้เหลือสักชิ้น”
เพชรดายืนมองด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่ทางด้านหลัง อภิวัฒน์และมาริษาพุ่งออกมาจากในบ้าน ยืนมองข้าวของที่ถูกแบกยกขนออกไป
“นี่พี่บีบผมขายหุ้น แล้วยังไล่ผมออกจากบ้าน”
“ฉันให้แกไปอยู่บ้านหลังเล็ก ก็ถือว่าปรานีมากแล้วนะ”
“ผมทำอะไรผิด พี่ดำ ผมน้องพี่ ผมก็มีสิทธิ์อยู่บ้านพ่อบ้านแม่หลังนี้เหมือนคนอื่นๆ”
“สิทธิ์ของแกหมดตั้งแต่แกเอาเงินกงสีไปผลาญเป็นห้าสิบ หกสิบล้านไม่เคยงอกเงย ไม่เคยได้กลับมาคืน ถ้าแกยังทำงานให้ดีกว่านี้ไม่ได้ ต่อไปที่ซุกหัวนอนของแกกับเมียจะเป็นนอกรั้ว”
อภิมุขเสียงดังลั่น เพชรดาตกใจ สองผัวเมียหน้าตาตระหนก
สถบดีกับมุรธามองอภิวัฒน์ที่มีสีหน้าผิดหวัง
“ผมถูกพี่ชายไล่ออกจากบ้าน เค้ายึดบ้านหลังนั้น ยึดทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของตัวเอง... บอกผมสิ คุณว่าใครกันแน่ที่โกงพี่โกงน้อง”
ในบ้านอภิมุข พัทธยา รัดเกล้า ยอดชายมองเพชรดาที่กำมือเกร็ง เครียดกับเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง
“ก่อนวันแต่งงาน พี่ดำกลับมาบ้าน...กลับมาดูว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับวันที่มีความสุขที่สุด”
ในห้องทำงานอภิมุข เพชรดาวางแก้วน้ำ จานผลไม้ให้อภิมุขที่ยิ้มแย้มหน้าตาสดชื่นตลอดเวลา
“งานแต่งงานของพี่พรุ่งนี้ต้องไม่มีคำว่าพลาดหรือบกพร่องนะ เพชร”
“ค่ะ พี่ดำ เพชรเตรียมทุกอย่างไว้ตามที่พี่ดำสั่งแล้วค่ะ”
“ขอบใจมาก เธอดูแลพี่ ดูแลตาหนึ่ง.. ดูแลทุกอย่างในบ้านหลังนี้มาหลายปี พี่ควรจะตอบแทนอะไรเธอบ้าง”
“เพชรไม่ต้องการอะไรเลยค่ะพี่ดำ เพชรสำนึกอยู่ตลอดว่า ถ้าพี่ดำไม่รับเพชรมาเลี้ยง เพชรก็คงมีชีวิตอดมื้อกินมื้อ”
อภิมุขยิ้มบอก
“ขอบใจมาก เพชร เธอเป็นน้องที่พี่รักที่สุด”
“พี่ดำรีบพักผ่อนดีกว่านะคะ พรุ่งนี้ก็จะถึงวันสำคัญของพี่”
“พี่กำลังจะมีความสุขที่สุดแล้วนะ เพชร”
อภิมุขยิ้มกว้าง ท่าทางกะปรี้กะเปร่าเต็มไปด้วยความหวัง
เพชรดาเล่าเสียงสั่น แววตาแดงก่ำ น้ำตาไหลริน
“ฉันไม่รู้ว่านั่นจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่พี่ดำมีให้ฉัน”
ค่ำคืนนั้น เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เพชรดากำลังนอนอยู่กับอภิสิทธิ์ สะดุ้งขึ้นทันที
“เสียงปืน”
เพชรดาหันไปมองเห็นหลานชายยังหลับจึงลุกออกไปทันที
เพชรดาค่อยๆเดินระวังมาตามบันได สายตามองไปในความมืด ไม่เห็นไฟเปิด ไม่เห็นคนแปลกหน้า เธอมองลงไปที่ด้านล่าง ห้องทำงานอภิมุขเปิดแง้มอยู่ ไฟลอดออกมา เธอวิ่งลงไปอย่างเร็ว
ประตูห้องถูกผลักออก เธอมองเห็นด้านหลังเก้าอี้อภิมุข เธอค่อยๆเดินเข้าไป แต่ละก้าวมีแต่ความหวาดหวั่นจนมาหยุดที่ข้างเก้าอี้ ที่ปลายเท้าเธอยืนอยู่บนหยดเลือดที่ไหลลงบนพรม เธอค่อยๆเลื่อนสายตาไปมองทางเก้าอี้
อภิมุขถือปืนมือซ้ายห้อยอยู่บนตัก สมองกระจายกระเด็นไปเลอะเก้าอี้ บางส่วนเลอะสาดไปบนผนัง
เลือดเต็มแดงฉานจนไม่เห็นสภาพหน้าที่หันไปทางขวา เธอตัวสั่น ช็อกจนพูดอะไรไม่ออก
อภิวัฒน์กับมาริษาวิ่งตามเข้ามา สองคนตะลึง สิริรัตน์ที่เพิ่งกลับจากเที่ยวกลางคืนพรวดเข้ามาคนสุดท้าย พอเห็นสภาพศพ สิริรัตน์ก็กรี๊ดดังยาว
เพชรดาแทบทรงตัวไม่อยู่ ช็อกสุดขีดกับสภาพการตายอย่างสยดสยองของพี่ชาย
เพชรดาบีบมือตัวเองแน่น ตัวสั่นเมื่อต้องนึกถึงภาพพี่ชายคนโตที่ตายอย่างสยดสยอง
“หลังจากนั้นฉันก็แทบจำอะไรไม่ได้ ตำรวจ ใครต่อใครเข้ามาเต็มบ้านไปหมด พี่ดำตาย ถูกฆ่าตาย ตายอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครยื้อชีวิตพี่ดำกลับคืนมาได้” เพชรดาสั่นเครือ สะเทือนใจ
พัทธยามองอย่างเห็นใจ รัดเกล้าหยิบทิชชู่ส่งให้ เพชรดาเงยน้ำตาคลอ แต่ไม่รับทิชชู่จากรัดเกล้า
ยอดชายดึงทิชชู่ไปกำไว้เองด้วยความเกร็งและสงสาร เพชรดามองเหม่อไปด้านนอก แววตาเศร้า
ภายในห้องทำงานของอภิมุขในคืนนั้น เสียงรอบตัวเธอดังอื้ออึง ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกำลังถ่ายภาพทุกมุมของร่างอภิมุข สิริรัตน์จะเข้าไปหายังศพอภิมุข แต่ตำรวจกันไว้
“พี่ดำ พี่ดำ ใครฆ่าพี่ดำ ใคร” สิริรัตน์ฟูมฟาย
มาริษายืนตัวสั่นจนต้องนั่งลง ตำรวจกำลังสอบปากคำอภิวัฒน์ที่ส่ายหน้า แววตาสับสนด้วยความตกใจ
“ผมได้ยินเสียงปืน ไปปลุกเมีย แล้วก็รีบวิ่งมาดู”
เพชรดามองร่างอภิมุข เดินเข้าไปใกล้น้ำตาไหลพรั่งพรู เพชรดาก้มลงกราบที่เท้าอภิมุข
“พี่ดำ พี่ดำขา ใครมันทำชั่วกับพี่ดำได้ถึงขนาดนี้”
เพชรดาพูดได้แค่นั้น สิริรัตน์สะบัดหลุดจากการควบคุมตัวของตำรวจ พุ่งตรงเข้าผลักเพชรดาล้มไปอีกทาง จนตำรวจต้องรีบมาลากตัวสิริรัตน์ออกจากห้องไป เสียงสิริรัตน์ยังกรีดร้องดัง
“พี่ดำ พี่ดำ พี่ดำบอกสิริรัตน์สิคะ ใครฆ่าพี่ดำ”
เพชรดาทรุดลงในห้อง สะอื้นออกมาด้วยความหวาดหวั่นกับการสูญเสียอย่างไม่ทันตั้งตัว มาริษานั่งบีบมือ หน้าเสีย ตกใจ อภิวัฒน์ ยืนตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าทำอะไรไม่ถูก
ในห้องทำงานอภิวัฒน์ สถบดีลุกขึ้นยืน มุรธาลุกตาม อภิวัฒน์มองแล้วเอ่ยขึ้น
“ต่อให้พวกคุณขุดคุ้ย รื้อค้นกันแค่ไหน เรื่องความตายของพี่ดำ มันก็ไม่มีความจริงมากไปกว่าที่ผมเล่า”
“อันนั้นให้เป็นหน้าที่ตำรวจตัดสิน หลังจากรู้ตัวคนลงมือยิงดีกว่าครับ”
สถบดียิ้มใจเย็น ตรงข้ามกับอภิวัฒน์ที่จ้องเขาอย่างเปิดเผยว่าไม่พอใจ
ในบ้านอภิมุข เพชรดามองพัทธยา
“ฉันเล่าทุกอย่างที่คุณอยากรู้ไปแล้ว คุณจะคืนหลานให้ฉันได้หรือยัง”
พชรดาทวงข้อตกลง พัทธ์ยาอึดอัด รัดเกล้า ยอดชายมองว่า พัทธยาว่าจะทำยังไง
“หรือคุณจะปฏิเสธคะ ผู้กองพัทธยา ฉันจะได้รู้ว่า คุณเองก็เป็นคนไว้ใจไม่ได้”
เพชรดาถามเรียบ แต่พัทธยาฟังแล้วหน้าชาเหมือนโดนตำหนิ
ในบ้านนรสิงห์ ทุกอย่างมืด เงียบ วิวรรธน์เปิดไฟฉายพกอันเล็กที่เป็นพวงกุญแจ
“มืดขนาดนี้ คุณนรสิงห์เค้าอยู่ได้ยังไง”
คทารัตน์คว้ามาปิดทันที
“มืดก็มืดไปสิ อยากให้คุณนรสิงห์เค้ารู้หรือไง ว่าเราแอบเข้ามา”
วิวรรธน์ยิ้มแห้ง คทารัตน์เดินนำไปในความมืด ค่อยๆคลำไปตามผนัง เธอไม่ทันเห็นว่าตัวเองกำลังเดินไปใกล้บันได วิวรรธน์รู้สึกวาบๆแปลกๆ อยู่ๆ ก็มีเสียงลมหวีดวิวเข้ามา เห็นเหมือนเงาดำวิ่งผ่านตัวเองไป
“เฮ้ย เงาใคร”
วิวรรธน์ผงะ ไปชนคทารัตน์ที่ก้าวเซเหยียบลงไปที่บันไดไม้ เธอหน้าคว่ำเกือบตกลงไป แต่เพื่อนรุ่นน้องคว้าร่างเธอดึงไว้ทัน ทั้งคู่อยู่ใกล้แค่คืบ
“ขอบใจ”
วิวรรธน์จ้องตา จิตเคลิ้มไปชั่วขณะ
“ไอ้วิว ฉันไม่ใช่ผี ไม่ใช่คนแปลกหน้า จะจ้องตาฉันอีกนานมั้ย”
เขารู้สึกตัวขยับออกห่าง
“เมื่อกี๊แกเห็นเงาใคร”
“ไม่รู้ มันดำมืด แล้วพุ่งวืดทะลุตัวผมไป”
“ตลกแระ ไอ้นี่ ...ผีเข้าสิงซะงั้น วิญญาณน่ะมันมี...”
เงานรสิงห์ พัดวูบเข้ามาจากด้านหลัง
“อยู่ทุกอณูในบ้านหลังนี้ และทั่วพื้นพิภพ”
ร่างสูงของนรสิงห์ยืนค้ำทั้งสองไว้
“คุณนรสิงห์” วิวรรธน์โพล่งขึ้น
คทารัตน์หันตามทันที นรสิงห์ยืนตระหง่าน จ้องทั้งคู่ด้วยสายตาโกรธที่ถูกคุกคาม เธอรีบยิ้มกว้าง กลบเกลื่อนด้วยการทักทายเสียงใส วิวรรธน์ฝืนยิ้มไปด้วย
“สวัสดีค่ะ คุณนรสิงห์ คือวิกกี้เห็นประตูหน้าปิด เลยมาเข้าทางด้านหลัง... แสงมันสลัวไปนิ้ด วิกกี้เลยเกือบตกบันได”
นรสิงห์พูดขึ้นอย่างคนที่หยั่งรู้ในใจทั้งคู่
“นานแค่ไหน ความอยากรู้อยากเห็น อยากเอาชนะ... ก็ไม่เคยเปลี่ยน”
นรสิงห์หันหลังเดินเข้าไปด้านใน
“คุณนรสิงห์คะ อย่าเพิ่งโกรธวิกกี้สิคะ ให้วิกกี้อธิบายนะคะ”
คทารัตน์รีบเดินเร็วตามนรสิงห์ไป วิวรรธน์ตามติดไปด้วยทันที
“วิกกี้รู้ตัวนะคะ ว่าไม่ควรเข้ามารบกวนคุณนรสิงห์ วิกกี้อยากจะขอโทษ”
คทารัตน์หยุดมองกลางบ้าน ไม่เห็นนรสิงห์ วิวมองไปรอบๆ เธอทำท่าจะขึ้นไปชั้บน แต่วิวรรธน์ดึงไว้สุดแขน
“เจ๊ พอเถอะ ขืนขึ้นไปอีกก้าว... เจอข้อหาบุกรุกแน่”
“คุณนรสิงห์เค้าไม่ใช่คนใจร้ายอย่างที่แกคิด”
“เจ๊จะรู้ใจเค้าได้ยังไง พูดยังกับรู้จักกันดี”
“เออ... ฉันรู้จักคุณนรสิงห์ก็แล้วกันน่ะ” คทารัตน์เถียง
“ตลกละ ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”
“พันปีก่อนมั้ง ถามอะไรไม่ได้เรื่อง”
คทารัตน์ตอบน้ำเสียงกึ่งประชด ตามนิสัยไม่ยอมแพ้ นรสิงห์วูบเข้ามาด้านหลัง ทั้งสองคนตกใจ
"อุ๊ย... มาเงียบๆอีกแล้ว"
"ทำไมยังไม่ไป" นรสิงห์ถาม
"วิกกี้อยากจะ ..."
วิวรรธน์พูดแทรกขึ้นทันที
"มาลาน่ะครับ"
วิวรรธน์ไม่ยอมให้คทารัตน์พูดต่อ รีบบอกนรสิงห์
"เรารู้ว่าเสียมารยาทที่เข้ามาโดยพละการ ก็เลยอยากจะมาขอโทษ ...แล้วก็ลาคุณนรสิงห์"
"แต่เรามาหาคุณนรสิงห์ได้อีกใช่มั้ยคะ"
คทารัตน์รีบหยิบมือถือ
"วิกกี้ขอเมมเบอร์คุณนรสิงห์ไว้หน่อยนะคะ"
"วันไหนจะมากันอีก ฉันรู้"
"จะได้โทรมานัดเวลาก่อนไงคะ"
"ไม่จำเป็น"
"งั้นวันนี้ลานะครับ"
วิวรรธน์รีบไหว้ คทารัตน์ยังไม่อยากไป นรสิงห์มองไปเบื้องหน้า ประตูเปิดอออก
"ประตูรุ่นนี้ออโต้ดีนะคะ สั่งด้วยสายตา ลานะคะ แล้วเจอกันอีกนะคะ คุณนรสิงห์" คทารัตน์หันมาไหว้นรสิงห์
นรสิงห์มองเข้ม ๆ หลังทั้งคู่ไหว้ลาแล้ว วิวรรธน์รีบดันหลังคทารัตน์ เธอสะบัด เดินเชิด คอระหงออกไป เขาหันกลับมามอง เห็นนรสิงห์ยืนจ้องอยู่ เขารู้สึกเกรงในสายตาคู่นั้น
เมื่อทั้งคู่ก้าวออกไป ประตูปิดลง เสียงดัง ปัง! ทันที
ทั้งคู่ต่างตกใจกับเสียงปิดประตูดัง
"ไงล่ะ เจ๊ บุรุษลึกลับที่เจ๊รู้จักมาเป็นพันๆปีน่ะ ปิดประตูไล่หลังเราซะ เออ ... แต่ที่จริงจะบอกว่าคุณนรสิงห์ปิดประตูเองก็ไม่น่าใช่"
วิวรรธน์หันมามองคทารัตน์
"เหมือนกับที่เจ๊พูดเมื่อกี๊ ... คุณนรสิงห์เค้าสั่งด้วยสายตา"
"ฉันเปรียบเทียบย่ะ คนที่ไหนจะสั่งด้วยสายตา หรือว่าสายตาแกออกเสียงได้"
วิวรรธน์จ้องลึกลงไปในดวงตา จนเธออึดอัด
"ไอ้บ้าวิว จะจ้องทำไม"
"เจ๊ไม่รู้สึกเลยเหรอว่าผมกำลังพูดกับเจ๊"
"พูดอะไรของแก"
"เจ๊ควรไป ทำสปา นวดหน้า ไม่ก็โบท๊อกซ์ได้แล้ว"
เธอชกอั๊กเข้ากลางอกเขาจนตัวงอ
"วันหลังไม่ต้องตามติดเป็นเห็บเหาฉลามมากับฉันเลยนะ ไอ้วิว ไม่ได้เรื่อง น่ารำคาญ ถ้าแกเป็นผู้ชายคนสุดท้ายของโลก ฉันจะขอฆ่าตัวตาย เพื่ออยู่เป็นโสดไปอีกพันๆชาติ"
"เจ๊เกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ"
คทารัตน์กระแทกเสียง
"เออน่ะสิ... เกลียด ถ้าไม่ต้องพบไม่ต้องเจอสักชาติ จะเป็นบุญมาก"
วิวรรธน์หน้าเจื่อน แววตาสลดลง คทารัตน์มองเห็นแต่ไม่แคร์ แถมด่าซ้ำอีกต่างหาก
"ไม่ต้องมาทำตาหมาเหงา ขอความเห็นใจ นี่ถ้าฉันมากับผู้กองพัทธ์ รับรองต้องได้อะไรกลับได้มั่ง ไม่กลับไปมือเปล่าแบบนี้ ฮึ่ย"
เธอคำรามแบบเคืองมาก เดินฉับๆออกไป วิวรรธน์ถอนใจเบา
" เกิดเป็นไอ้วิว หายใจก็ผิดแล้ว"
" ถึงไม่ผิดก็ต้องยอม เบื้องบนบัญชามาให้ยอม ก็ต้องยอมไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ"
เขาหันขวับ มองไปรอบๆ
"คุณนรสิงห์" วิวรรธน์พึมพำ
วิวรรธน์มองหาต้นเสียง คทารัตน์ที่เดินไปไกลหันมามอง
"ไอ้วิว แกจะยืนเป็นหมาเฝ้าบ้านคุณนรสิงห์อีกนานมั้ย"
ยิ่งกว่าคำสั่ง วิวรรธน์วิ่งเร็วออกไปทันที
สิงห์ยังมองอยู่ในแสงสลัว แววตาเต็มไปด้วยความหลังมากมายที่รอการชดใช้ ร่างของเขาเคลื่อนไปข้างหน้าหายลับกลืนไปกับความมืดดำ
ในบ้านอภิมุข เวลาเย็นต่อเนื่องมา เพชรดาที่โผเข้ากอดอภิสิทธิ์ที่ถูกพาตัวมาส่งโดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
"คิดถึงอามั้ยครับ"
หลานชายกอดเพชรดาแน่นเป็นคำตอบ พัทธยา รัดเกล้า ยอดชายมองเธอยิ้มกอดหลาน
"คุณเพชรเธอมีความสุขมากเลยนะครับ... ผมว่าถ้าจะมีใครในบ้านหลังนี้ ที่รักคุณหนึ่งอย่างจริงใจ ก็คงเป็นคุณเพชรคนเดียว"
"โชคดีของเด็กนะคะ ขาดพ่อขาดแม่ แต่ก็ยังมีคุณอาที่รักเค้าที่สุด" รัดเกล้าบอก
พัทธยาทอดสายตามองเพชรดาที่ยิ้มกับหลาน เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งๆ เมื่อเธอหันหลับมามอง
"ผมทำตามสัญญาแล้ว"
เพชรดาแค่มองพัทธยา แล้วหันพาหลานเดินเข้าบ้านไป เขาชักสีหน้า เพราะคิดว่าจะได้รอยยิ้มหรือคำขอบคุณกลับมาบ้าง
ในห้องทำงานพัทธยา เวลาเย็นต่อเนื่องสถบดีกอดอกมองเพื่อนที่หน้าตาเซ็งๆ
"คุณเพชรเค้าต้องประทับใจแกอยู่ลึกๆเลยว่ะ"
"ลึกมากไปมั้ย... ขอบใจสักคำก็ได้"
"แกไม่ควรหวังแค่คำว่า ..ขอบใจ แกควรจะหวังอย่างอื่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น"
พัทธยาหันมามองเพื่อนที่ทำตาเจ้าชู้
"เฮ้ย...ไอ้นี่ ฉันไม่ได้เจ้าชู้สิ้นคิดอย่างแกนี่ ยังไงคุณเพชรเค้าก็เป็นผู้ต้องสงสัย"
"โอเค งั้นปิดคดีนี้ได้เมื่อไหร่ แกก็จีบเค้าได้ล่ะสิ เพราะยังไงคุณเพชรเค้าก็ไม่น่าสงสัยมากเท่าคุณอภิวัฒน์ ทั้งเรื่องถูกไล่ออกไปอยู่บ้านหลังเล็ก ทั้งเรื่องเงินกงสีที่เอาไปละลายในธุรกิจ เรื่องต้องยอมขายหุ้น เหตุผลรอบตัวๆผู้ชายคนนี้ พุ่งไปที่เรื่องๆเดียว ...เงิน !"
เสียงเคาะประตูดัง ทั้งคู่หันไปมอง รัดเกล้าเดินเข้ามาวางสรุปรายงานลงบนโต๊ะ
"เกล้าถอดเทปสอบปากคำคุณเพชรวันนี้เสร็จแล้วค่ะ"
พัทธยาพลิกเอกสารดู สถบดีหันไปยิ้มกับรัดเกล้า เธอไม่ยิ้มด้วย เขาอดปากไม่ไหว
"พี่สาวห้ามยิ้มกับคนหล่อๆด้วยเหรอ รัดเกล้า"
พัทธยาเงยขึ้นมองเพื่อนที่แหย่รัดเกล้า รัดเกล้าพูดสีหน้าเรียบ
"พี่วิกกี้ไม่ห้ามหรอกค่ะ แต่ครอบครัวเราสอนกันมาดี... ว่าใครสมควรจะเชิดใส่ ใครสมควรจะยิ้มด้วย"
พัทธยาหัวเราะ สถบดีหันขวับไปมองเพื่อนที่รีบทำหน้าขรึมๆ
"ทำงานเรียบร้อยมาก ขอบคุณนะ รัดเกล้า"
รัดเกล้ายิ้มให้ แล้วเดินออกไป สถบดีหันมาเห็นสายตาล้อเลียนของพัทธยา
"แกสินะ ที่เค้าควรจะยิ้มให้"
"ช่วยไม่ได้ว่ะ ... ถ้าเค้าจะชอบแมนๆเข้มๆจริงใจ ไม่กะล่อน"
"ขอออกไปอ้วกก่อนว่ะ"
"ออกไปอ้วกหรือไปจีบเค้าต่อ"
พัทธยาแซวไล่หลังเพื่อนที่เดินเร็วออกไป
รัดเกล้ากำลังเก็บกระเป๋า ยอดชายรออยู่ มุรธามองเพื่อนแล้วพูดอวดๆ
"วันนี้ไปสอบปากคำกับผู้กองไผ่ ได้อะไรเจ๋งๆเยอะเลย"
"เจ๋ง หรือว่าไปทำเค้าเจ๊ง" ยอดชายถาม
"เจ๋งโว๊ย บอกว่าเจ๋ง ของแกสิเจ๊ง... ไอ้ยอดบ้า"
มุรธาเดินสะบัดออกไป รัดเกล้าเก็บของเสร็จ หันมาถามยอดชาย
"แกจะไปกวนมุให้ได้อะไร เดี๋ยวมันก็สะบัดผมนกกระจอกของมัน ไล่จิกแกหรอก ไป....กลับบ้าน"
ยอดชายหัวเราะกับรัดเกล้า สถบดีเดินออกมา
"ยังไม่ค่ำเลย รีบกลับไปไหน รถติด"
สถบดีเดินมาขวางตรงหน้า แล้วทำมองไปที่ยอดชาย
"ว่าไง... ยอด อยากกินอะไรอร่อยๆ มั้ย"
"ผู้กองจะเป็นเจ้ามือใช่มั้ยครับ"
"ชัวร์ เลี้ยงไม่อั้น"
"เกล้าไม่ไป"
"กลัวอะไรผมนักหนา รัดเกล้า... กลับบ้านช้านิดช้าหน่อย พี่สาวจะเอาแส้หวดก้นหรือไง"
รัดเกล้าทำหน้าเคืองๆ เขายังแหย่ต่อ
"กล้าๆหน่อยสิ ลูกแหง่... ยังไงวันนี้พี่สาวก็ไม่ได้คอยเช็คชื่ออยู่แล้ว"
สถบดีทำหน้ากวนอย่างจงใจใส่รัดเกล้า
อ่านต่อหน้าที่ 2
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ในผับแห่งหนึ่ง คทารัตน์จิบพันซ์สีสวยนั่งมองไปที่โต๊ะสิริรัตน์กับกลุ่มเพื่อนราว 5-6 คน วิวรรธน์นั่งตรงข้ามกับคทารัตน์
"คุณสิริรัตน์นี่เธอรักปาร์ตี้เป็นชีวิตจิตใจเลยนะเจ๊ ออกจากร้านโน้น ก็มานั่งต่อ ร้านนี้"
"แกถ่ายรูปเพื่อนๆเค้าไว้หรือยัง"
"มืดขนาดนี้ ถ่ายไปก็เห็นแต่วิญญาณล่องลอย รอไปถ่ายแถวลานจอดรถดีกว่า"
"อย่าให้พลาดนะ ไอ้วิว วันนี้ฉันต้องได้อะไรกลับไปรายงานผู้กองพัทธ์บ้าง"
"แหม... เรื่องขยันทำงานเอาใจผู้ชายนี่ ไม่มีใครเก่งเกินเจ๊"
คทารัตน์กระแทกแก้วลงบนโต๊ะ มองจ้องวิวรรธน์ที่ยิ้มอยู่
"ฉันทำงานเพื่อความก้าวหน้าของตัวฉันเอง แล้วสิ่งที่มันจะตามมาคือผลงานที่ทุกคนเห็น ยกย่อง แล้วก็สรรเสริญ พูดไป ก็คงเข้าหูซ้ายทะลุขวา ปัญญาทึบอย่างแกไม่เข้าใจหรอกวิว เพราะตอนฉันอายุเท่าแก ฉันก็ขึ้นเป็นระดับหัวหน้า ไม่ต้องทำงานเป็นลูกน้องระดับล่างๆ ให้ใครโขกสับอีกแล้ว"
คทารัตน์ปรายตามองวิวรรธน์อย่างหยามๆ แล้วเชิดหน้ามองไปทางเวที เขาเทพันซ์ลงคอพรวดเดียวหมดแก้ว
ที่โต๊ะ สิริรัตน์จ้องคทารัตน์อย่างจำได้
ในบ้านอภิมุข เวลาเดียวกัน เพชรดาเดินลงมาเห็นอภิวัฒน์ยืนรออยู่ด้านล่าง
"วันนี้แกให้การกับตำรวจไปว่ายังไง"
"เพชรก็พูดเรื่องจริง เหมือนที่เคยพูด"
"แกบอกหรือเปล่าว่า ฉันกับพี่ดำมีเรื่องทะเลาะอะไรกันบ้าง"
อภิวัฒน์เดินเข้าหาเพชรดา
"บางเรื่องมันก็เรื่องส่วนตัวของฉัน แกต้องรู้นะว่า ไม่ควรจะบอกคนนอก"
"เช่นเรื่องอะไรบ้างคะ ที่พี่วัฒน์อยากปิดบัง"
อภิวัฒน์บีบไหล่เพชรดาทันที
"อย่าท้าทายฉันให้มากนัก เพชร คิดว่าบุญคุณคนตายจะคุ้มหัวแกได้นานแค่ไหน อีกหน่อยบ้านหลังนี้มันก็ต้องเป็นของฉัน พอถึงวันนั้น แกจะไม่มีที่ซุกหัวนอน"
"น้องสาวอย่างเพชรไม่มีสิทธิ์อยู่ แต่คนนอกอย่างสิริรัตน์มีสิทธิ์เต็มที่ใช่มั้ยคะ"
อภิวัฒน์ชูมือจะตบ เพชรดามองนิ่ง สายตานั้นทำให้อภิวัฒน์ชะงัก ลดมือ และผลักเธอออกห่างเหมือนไม่อยากจะทนเห็นหน้าอีก
"เมื่อไหร่ที่ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะตาย ก็ต้องฟังคำสั่งฉันคนเดียว"
อภิวัฒน์มองจ้องเพชรดาด้วยสายตาวางอำนาจเต็มที่
ในผับ สิริรัตน์กับพวกเดินมาที่โต๊ะคทารัตน์
"มาตามฉันทำไม"
คทารัตน์กับวิวรรธน์หันมา พวกสิริรัตน์ล้อมโต๊ะไว้
"อ้าว... คุณสิริรัตน์นี่เอง มาฟังเพลงที่นี่เหมือนกัน รสนิยมดีนะคะ" คทารัตน์ยิ้มตอบใจเย็น
"หน้าด้าน แกมาตามฉัน"
คทารัตน์ข่มอารมณ์ ลุกขึ้น ยิ้มให้อย่างใจเย็น วิวรรธน์ลุกตาม เริ่มกังวลว่าจะมีเรื่องปะทะ
"ถ้าจะเมาแล้วพูดพล่อย ฉันว่าไปหาเรื่องกับคนอื่นดีกว่า"
"ฉันจะคุยกับแก ฉันมองแวบเดียวก็รู้ คนอย่างแกมันทำงานเอาหน้า ถึงได้เที่ยวมาหาแพะคดีพี่ดำ หวังจะสร้างกระแสให้ตัวเอง"
คทารัตน์เหลืออด หันมาจ้องด้วยแววตาโกรธ
"ก็แล้วทำไม ฉันจะสร้างโพรไฟล์ตัวเองด้วยความสามารถในด้านดี ไม่ใช่เกาะกินแทะเล็มอยู่ในบ้านคนอื่นยังกับแมลงสาบ ดูท่าจะไล่ไม่ไปซะด้วย ต่อให้เหยียบจนบี้แบนไส้เละก็คงหนังเหนียว ตายยาก"
"แก !"
สิริรัตน์โมโห กรี๊ดเสียงดัง ผลักโต๊ะคทารัตน์ล้ม แก้วหล่นแตกกระจาย วิวรรธน์รีบเข้ามายืนข้างๆ
โต๊ะรอบๆตกใจ สิริรัตน์ตะโกน
"มีตังค์จ่าย คนอื่นอย่าเสือก"
สิริรัตน์หันกลับมา เจอคทารัตน์หยิบแก้วปากแตกขึ้นมาถือไว้ เพื่อนกลุ่มสิริรัตน์พากันถอย ไปหลบข้างหลังสิริรัตน์กันจนหมด
"เจ๊ ใจเย็น" วิวรรธน์เตือน
"คนอย่างวิกกี้ไม่รู้จักคำว่า ขู่ .. เล่นจริง แทงจริง เจ็บจริง... ลองมั้ย"
สิริรัตน์เห็นอีกฝ่ายกำแก้วไว้ ก็เริ่มถอย
"ฉันจะแจ้งตำรวจ"
" ดี... ฝากฉันไปแจ้งก็ได้ ฉันนี่แหละทำงานกับตำรวจ"
เพื่อนๆพากันดึงสิริรัตน์ คทารัตน์ตวาดเสียงดัง
"ว่าไง ตกลงจะแจ้งความมั้ย จะแจ้งว่าอะไร เร็วๆ พูดมา"
เพื่อนๆพากันดึงสิริรัตน์ออกไป เธอมองแค้น ตะโกนด่า
"คอยดู ฉันจะฟ้องแก... ฉันจะเอาแกออกจากคดีนี้ แกข่มขู่พยาน คนอย่างแกไม่มีวันเกาะกระแสคดีพี่ดำดังขึ้นมาได้"
คทารัตน์ยืนกำแก้วแน่น วิวรรธน์มอง
" อย่าฟังนะ เจ๊"
คทารัตน์ตัดสินใจพรวดออกไป วิวรรธน์วิ่งตามอย่างเร็ว
คทารัตน์เดินเร็วออกมายังลานจอดรถหน้าผับ ปาแก้วในมือลงพื้น วิวรรธน์ตามหลังมา เธอใส่เป็นชุด
"ทำไมถึงคิดว่าผู้หญิงจะต้องทำงานเอาหน้า ความเป็นผู้หญิงมันดูโง่ ไร้สติ สมองไม่ได้มีไว้คิดเลยใช่มั้ย"
"เจ๊จะเก็บคำพูดคนอย่างงั้นมาทำร้ายตัวเองทำไม"
"ไม่ใช่แค่ผู้หญิงอย่างสิริรัตน์ แกเองก็ด้วย แกก็คิดว่าฉันทำงานเพราะบ้าผู้กองพัทธ์"
วิวรรธน์พุ่งเข้าจับไหล่ จ้องมองอย่างจริงจัง
"คุณวิกกี้เก่งแค่ไหน ผมรู้ดี"
เธอมองแววตาวิวรรธน์ที่ไม่มีแววขี้เล่นหลงเหลือเหมือนเคย แต่กลับเป็นแววตาชายหนุ่มที่มองเธอด้วยความศรัทธาชื่นชม อย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
"ผมรู้ว่าคนอย่างคุณวิกกี้จะทำทุกงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน คุณวิกกี้จะไม่มีวันก้มหัว ยอมแพ้"
เธอฟังแล้วรู้สึกได้ถึงคำชมจากใจจริงของหนุ่มรุ่นน้อง เธอยิ้ม
"ขอบใจนะ วิว"
"วันนี้เจ๊ขอบใจผมสองครั้งแล้ว"
คทารัตน์หัวเราะบอก
"แกนี่จุกจิกคิดเล็กคิดน้อยเหมือนผู้หญิงเลย นับด้วยว่าฉันขอบใจกี่ครั้ง"
"เค้าไม่ได้เรียกจุกจิก เค้าเรียก..."
เขานิ่งมองนาน
"ใส่ใจ"
เธออึ้งไปกับสายตาอ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้สึกของวิวรรธน์ที่ส่งมา เขารู้สึกตัว ปล่อยมือที่จับไหล่ของเธอ แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงขี้เล่นเหมือนเดิม
"กลับบ้านเหอะ เจ๊ เดี๋ยวเกิดคุณสิริรัตน์เธอเปลี่ยนใจ เอาพวกมารุมส่งถึงรถ"
"แกกลัวเหรอ"
"ไม่ได้กลัว แต่ยังไม่อยากนอนกรามหักแถวนี้"
คทารัตน์หัวเราะออกมา ทั้งสองคนยิ้มให้กัน
เวลากลางคืน รัดเกล้านั่งเซ็งอยู่ที่โต๊ะในร้านอาหาร ยอดชายกำลังเชียร์บอลกับสถบดี ที่ฉายบนทีวีจอยักษ์ในร้าน
"ไอ้ยอด"
ยอดชายยังตะโกนเฮอยู่กับผู้กอง รัดเกล้าลุกขึ้น
"ไอ้ยอด บ้านแกไม่มีทีวีหรือไง"
"มี... แต่เผอิญจน เชยนะแกเนี่ยะ ไม่รู้เหรอสมัยนี้เค้าไม่มีแล้วฟรีทีวี เยาวชนอย่างฉันต้องซื้อกล่องดำมาดูบอล"
ยอดชายหัวเราะ รัดเกล้าคว้ากระเป๋า สถบดีดึงไว้ รัดเกล้าดึงกลับ
"จะรีบไปไหน"
"เกล้ามันต้องรีบกลับไปนอนน่ะครับ มันชอบฝันถึงอดีตปรัมปรา โบราณลึกลับพันปี" ยอดชายบอก"ฝันถึงอดีต... จริงเหรอ รัดเกล้า"
"ปากเสียน่ะ ยอด"
รัดเกล้าเดินพรวดออกไป ผู้กองหันมาบอกยอด
"มื้อนี้พี่เลี้ยง มื้อหน้าด้วย... รักน้องยอดที่สุด เอาค่าแท๊กซี่ไปด้วย ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ไปส่งเพื่อนน้องเอง"
สถบดีวางแบงค์ห้าร้อยให้ยอด ยอดรีบรับมา ยกมือไหว้
"ขอบคุณคร๊าบ ดูแลเกล้ามันดีดีนะครับ ผู้กอง"
ยอดชายอมยิ้มมองตาม
"ผู้ชายโบราณในฝันของแก จะสู้ผู้กองไผ่ในความจริงได้ไงวะ ไอ้เกล้า"
รัดเกล้าเดินเร็ว มาโบกเรียกแท๊กซี่ แท๊กซี่จอดพรึ่ด กดกระจก รัดเกล้ากำลังจะเปิดประตู สถบดีเข้ามาโบกบอกคนขับ
"ไปเลย ทะเลาะกับเมีย"
แท็กซี่ยังมองไม่แน่ใจ ตามวิสัยพลเมืองดี สถบดีตะโกน
"เป็นตำรวจ"
คนขับรีบบึ่งออกไป รัดเกล้าหันมาทางเขาทันที
"อย่าเข้ามาใกล้"
"โอเค... ห่างแค่นี้พอแล้วใช่มั้ย รัดเกล้า คุณฝันเห็นอดีตเหรอ"
รัดเกล้ามองยังไม่ตอบ เขาพูดขึ้น
"ผมก็เคยฝันนะ ตื่นมาก็จำไม่ได้ค่อยได้หรอก มันคลับคล้ายคลับคลา แต่ผมดีใจที่เราฝันเหมือนๆกัน"
"อย่าพูดประโยคต่อมานะ ว่าใจเราตรงกัน เพราะมันเลี่ยนมาก"
"เลี่ยน แต่มันก็เป็นความจริง คุณกับผม เรามีอะไรคล้ายๆกัน"
"ใช้บ่อยมั้ย มุขนี้"
"ไม่บ่อย เพิ่งใช้กับคุณคนแรก"
รัดเกล้ามองเห็นสายตาหวานๆของเขาที่มองมา ก็หันไปทางอื่น
"เกล้าจะฝันอะไร มันก็เรื่องของเกล้า ต่อให้เราฝันเรื่องเดียวกัน มันก็แค่ความบังเอิญ"
"คุณคิดว่าที่เราเจอกัน คุณเจ็บตัว มีอาการแปลกๆ มันแค่เรื่องบังเอิญ"
รัดเกล้ารีบยืนยันเสียงแข็ง เพื่อกลบเกลื่อนความคิดรบกวนจิตใจ
"ใช่ค่ะ หรือผู้กองมีคำอธิบายดีดี ที่พิสูจน์ได้"
"ไม่มี แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญ"
"ยังไงชีวิตเกล้าก็ไม่เกี่ยวกับผู้กองหรอกค่ะ ผู้กองไม่ต้องสนใจเกล้าเลยยิ่งดี"
"คุณห้ามผมไม่ได้หรอกนะ รัดเกล้า"
รัดเกล้าหันมามอง เขามองสบตาเธอจริงจัง
"ผมห่วงคุณ ต่อให้คุณเกลียดหน้าผมแค่ไหน ผมก็ยังเป็นห่วงคุณ"
สถบดีมองลึกลงไปในดวงตารัดเกล้า เต็มไปด้วยความรู้สึกผูกพัน
ในบ้าน พัทธยากำลังรอสายมือถือ สัญญาณติด
"ผมเองครับ พัทธยา"
ปลายสาย เพชรดารับสายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
"ค่ะ"
เพชรดาตอบสั้น พัทธยาทำหน้าไปต่อไม่ถูก พยายามจะบอก
"คือที่ผมโทรมาจะบอกว่า เผื่อที่นั่นมีอะไรผิดปกติ คุณโทรมาเบอร์ผมได้ตลอดนะครับ"
"ค่ะ ขอบคุณค่ะ"
พัทธยายิ้ม กำลังจะชวนคุยต่อ
"ส่วนวันนี้ ..."
เพชรดาตัดบทพูดเร็ว
"วันนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติค่ะ ฉันจะเมมเบอร์คุณไว้ แต่คิดว่าคงไม่มีความจำเป็นต้องโทรไปรบกวนเวลาพักผ่อน สวัสดีค่ะ"
เพชรดาวางสาย ไม่สนใจจะคุยต่อ พัทธยาสีหน้าหงุดหงิด ที่โดนตัดบท แถมทิ้งท้ายเหมือนด่าตัวเองเข้าด้วย
"ผู้หญิงอะไรวะ... เย็นชาได้อีก"
บริเวณตรอกทางเข้าบ้านรัดเกล้า เธอเดินมากับเขา สถบดีทอดสายตาอ่อนหวานมองเธอ
"โชคดีที่คุณยอมให้ผมมาส่งถึงบ้าน ไม่กลัวพี่สาวเอาไม้เรียวตีก้น"
"เกล้าไม่ได้กลัวพี่วิกกี้นะคะ แล้วพี่วิกกี้ก็ไม่ได้ดุอย่างที่คุณพูดด้วย ถึงเป็นพี่น้องคนละแม่ เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน ตรงกันข้าม รักกันมากด้วยซ้ำไป พี่วิกกี้เข้มงวดก็จริง แต่ก็เพราะเป็นห่วงเกล้าค่ะ"
สถบดียิ้มเอ็นดู
"คุณเคยว่าใครบ้างมั้ย รัดเกล้า"
"ก็คุณไงคะ ผู้กองไผ่...คนแรก"
"นึกแล้ว ซวยได้ถ้วยจริงจริ๊ง ยอม ยอม งั้นผมขอเป็นคนเดียวได้มั้ย คนแรก และคนเดียวในชีวิตคุณ"
รัดเกล้ามองอึ้งกับแววตามีความหมายของสถบดี เธอยิ้มเจ้าเล่ห์บอก
"ได้ค่ะ แต่ขอเกล้าถามพี่วิกกี้ก่อนนะคะ"
สถบดีหัวเราะ
" งั้นผมก็คงถูกพี่วิกกี้ของคุณเหยียบ ขยี้ บี้ เตะโด่งไปอยู่ท้ายแถว"
รัดเกล้าหัวเราะ สถบดีมองจริงจัง
"ผมอยากให้เราคุยกันดีๆนะ รัดเกล้า ถ้าคุณไม่กลัวผม อาการเจ็บประหลาดๆ ของคุณจะได้หายไปสักที ผมก็รู้ว่า ผมมันชอบแกว่งปากหาเรื่อง เข้ากันไม่ค่อยได้กับพี่สาวคุณ... คุณเองก็อาจจะไม่ชอบหน้าผม แต่ถึงยังไง... ขอให้ผมไม่ใช่ฝันร้ายของคุณก็พอนะครับ"
สถบดีมองรัดเกล้าด้วยสายตาอ่อนโยนมีความหมาย ทั้งคู่เปิดใจ ยิ้มให้กันในบรรยากาศดีดี มองดาวบนฟ้าที่มืดสนิท
ในห้องนอนรัดเกล้า เธอนอนกระสับกระส่าย
ภาพที่มรันมากำลังหายใจไม่ออกเพราะน้ำหอมพิษ ผ่านเข้ามาในความฝัน...
"พี่ชายช่วยน้องน้อยด้วย...พี่ชาย"
รัดเกล้าดิ้นอึกอัก ทรมานกับภาพในความฝันที่นรสิงห์ทำให้เห็น
"พี่ชายช่วยน้องน้อยด้วย...พี่ชาย"
คืนเดียวกัน นรสิงห์อยู่ในห้องที่มืดสนิท ไร้แสงจันทร์ส่องเข้ามาได้ แสงเดียวในห้องคือ แสงจากแววตานรสิงห์ที่เสมือนมีเปลวไฟลุกอยู่ในนั้นตลอดเวลา
"ไม่มีใครช่วยลบล้างบาปกรรมของอีกคนได้ ทุกคนมีบุญกรรม บาปกรรม เป็นตัวกำหนดชีวิต สืบต่อมาจากอดีตที่เนิ่นนาน นานจนแทบนึกไม่ถึงว่าความยาวนานใดใดจะเทียบได้"
นรสิงห์แววตาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย จากเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นและจดจำได้ทั้งหมด
"ทุกคนต้องตามมารับผลจากกรรมที่ผูกพันกันไว้ ไม่ว่าจะหนีไปไหน สูงสุดฟ้าหรือลึกที่สุด ต่ำช้าในนรก ก็ไม่มีอะไรคุ้มครองให้พ้นจากการชดใช้บาปกรรมได้ ไม่มี... ไม่มีจริงๆ"
ในสนง.สืบฯ เช้าวันใหม่ ทุกคนที่กำลังประชุมสรุปผลการสอบปากคำเมื่อวาน ให้กับภูมิธรรม หัวหน้าชุดฟัง ยอดชายรายงานขึ้นคนแรก
"รายงานจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานในห้องทำงานคุณอภิมุข ไม่มีอะไรต่างไปจากผลตรวจครั้งแรก"
"ผลดีเอ็นเอทั้งหมด ที่ปืน บนของทุกอย่างทุกชิ้นในห้อง ไม่มีของคนอื่นเลยค่ะ นอกจากคุณอภิมุข" รัดเกล้าบอก
"แต่เรายังหาข้อสรุปเรื่องมือซ้ายยิงตัวตายไม่ได้" คทารัตน์บอก
"นอกจากว่าถูกยิง แล้วฆาตกรบิดเบือนหลักฐานเอาปืนใส่มือผู้ตาย เพื่อให้มีเขม่าดินปืนที่มือศพ" ยอดชายว่า
"วิถีกระสุนก็เป็นของปืนกระบอกนั้น ยิงในระยะเผาขน... ต้องเป็นคนที่รู้จักถึงยอมให้เข้ามาใกล้ตัว" สถบดีว่า
"คนที่มีปัญหาที่สุดกับคุณอภิมุข คือ น้องชาย ... นายอภิวัฒน์" มุรธาบอก
"แต่วิกกี้ว่าบางทีคนที่ไม่มีปัญหามากที่สุด ก็เป็นผู้ต้องสงสัยได้"
ทุกคนหันมามองคทารัตน์
"วิกกี้หมายถึงใครครับ" พัทธยาถาม
"สิริรัตน์ค่ะ เธอใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย สุขสบายเหมือนญาติคนนึง ทั้งๆที่ไม่ใช่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่น่าจะมีส่วนแบ่งในมรดก คำถามคือ... อยู่เพื่อหวังอะไร"
"ถ้าสิริรัตน์จะได้ทรัพย์สมบัติ ก็คงได้น้อยกว่าอภิวัฒน์หลายเท่า หรือแม้กระทั่งคุณเพชรก็คงได้มากกว่า" สถบดีว่า
"นั่นแหละ ผู้หญิงอย่างสิริรัตน์ถึงยอมไม่ได้"
"เท่าที่เมื่อวานคุณวิกกี้กับผมตามดู คุณสิริรัตน์น่าจะกล้าแลกทุกอย่าง เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ" วิวรรธน์บอก
"ดนัย ศิริธร แยกกันตามอภิวัฒน์กับสิริรัตน์ไว้ ผมอยากได้รายงานว่า สองคนนี้ทำอะไรที่ไหน กับใครบ้าง" พัทธยาสั่ง
ดนัยและศิริธรรับคำสั่ง
"ครับ/ ค่ะ ผู้กอง"
"พวกคุณทำงานละเอียดดีมาก พัทธ์ ไผ่เร่งมืออีกนิด ยิ่งช้า หลักฐานจะยิ่งหายาก เราต้องได้ผลสรุปที่ทุกคนยอมรับ ไม่มีใครคัดค้านได้ ปิดประชุม" ภูมิธรรมบอก
ภูมิธรรมสีหน้าพอใจมาก ลุกออกไป ทุกคนลุกขึ้นยืนส่ง แล้วปิดแฟ้ม แยกย้ายจะออกไป
พัทธยามองคทารัตน์แล้วเรียกขึ้น
"คุณวิกกี้"
"ขา"
"ผมขอคุยกับคุณ"
อรนุช ศิริธร มุรธาหันขวับมองคทารัตน์ที่ยิ้มเชิดเป็นตาเดียว
"วิวด้วย"
คทารัตน์หุบยิ้ม วิวรรธน์หันมามองแปลกใจ
ในห้องทำงาน พัทธยามีสีหน้ากังวล มองวิกกี้กับวิวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
"คุณอภิวัฒน์โทรมาหาผมเรื่องคุณไปตามสิริรัตน์เมื่อคืน เค้าบอกว่ามีการข่มขู่"
"ข่มขู่เลยเหรอคะ"
"ก็มีปากเสียงกันครับ คุณสิริรัตน์ล้มโต๊ะเราก่อน พวกเค้าหก พวกเราแค่สอง"
"ยังไงผมก็ไม่อยากให้มีเรื่องแบบนี้อีก ระหว่างการสอบสวน"
"วิกกี้ไม่ทำใครก่อนนะคะ"
พัทธยามองสายตาเข้ม คทารัตน์จำยอม
"ก็ได้ค่ะ เพื่อเห็นแก่ผู้กอง แต่เดี๋ยว .. เมื่อกี๊ผู้กองว่าใครโทรมานะคะ"
"คุณอภิวัฒน์"
"อึ้ม..ค่ะ ยืมปากคุณอภิวัฒน์มาฟ้อง"
"คงเห็นว่าคุณอภิวัฒน์เป็นผู้ใหญ่ของบ้านหลังนั้น" วิวรรธน์บอก
"หรือไม่ก็กำลังมีที่เกาะใหม่"
"หมดพี่ชายคนโต ก็ยังเหลือพี่ชายคนรองให้สูบเลือดสูบเนื้อ ไม่งั้นคงไม่ทนอยู่ ถ้าไม่หวังอะไรเลย"
วิกกี้ยิ้มมั่นใจ
"วิกกี้สันนิษฐานตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ยคะ ฆาตกรน่าจะเป็นผู้หญิง"
คทารัตน์ยิ้มมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองสงสัย...สิริรัตน์
ใน สนง.สืบฯ สถบดีกอดอก นิ่งคิด เอ่ยขึ้นต่อหน้าทุกคน
"ต้องเป็นผู้ชาย... คนที่จะใจนิ่ง ยิงระยะเผาขน แล้วก็ไม่สะทกสะท้าน จัดการเก็บกวาดหลักฐานทุกอย่างได้หมดจด ต้องควบคุมอารมณ์และสติตัวเองได้ดีมาก มันไม่ใช่ท่าทางผู้หญิงเหวี่ยงโลกแตกอย่างสิริรัตน์"
"ผู้กองพูดเหมือนรู้จักคุณสิริรัตน์ดีมาก"
ยอดชายทำสายตาล้อเลียน รัดเกล้ามองเขาสายตาหมิ่นๆกับเรื่องความกะล่อน เขาเห็นสายตารัดเกล้าก็ร้อนตัวเอาแฟ้มยัดใส่อกยอดชาย
"เลอะเทอะ ไอ้ยอด โต๊ะทำงานอยู่ไหน"
ยอดชายรีบวิ่งไปที่โต๊ะ สถบดีเดินมาทางรัดเกล้า
"เมื่อคืนฝันอะไรหรือเปล่า"
"ไม่ฝันค่ะ"
"แล้วที่เจ็บหน้าอก"
รัดเกล้าหันมามอง เขารีบปฏิเสธ
"ห่วงล้วนๆครับ ไม่มีหื่น"
รัดเกล้ายังไม่ได้ตอบ
คทารัตน์เดินออกมาจากห้องพัทธยา วิวรรธน์เดินตามหลัง เห็นสถบดีอยู่ใกล้น้องสาวพอดีก็ตรงรี่มา
"จำเป็นต้องชิดขนาดนั้นมั้ยคะ ผู้กองไผ่ จะใช้อะไร สั่งห่างๆก็ได้ค่ะ น้องฉันไม่ได้หูตึง ผู้กองก็ไม่ได้เป็นใบ้หรือลิ้นไก่สั้น"
คทารัตน์ก้าวมายืนตรงหน้าผู้กองหนุ่มพอดี
"ผมมิบังอาจใช้น้องสาวเจ้าแม่เก๋โก๊ะหรอกครับ กลัวโดนพี่สาวกัด"
"เสียปากเปล่าๆค่ะ อย่างคุณกัดเท่าไหร่ ก็ไม่สะทกสะท้าน กร้านเกินพิกัด"
พัทธยาตามมาออกมา ทุกคนหันไปมอง
"ผมจะไปบ้านคุณอภิมุข วิกกี้ไปกับผม"
คทารัตน์ยิ้มพราย
"รับทราบค่ะ หัวหน้า"
พัทธยาเดินนำออกไป คทารัตน์รีบหันมา
"ไปกับฉัน ยายเกล้า"
ยอดชายรีบลุกมาบอก
"เกล้า แฟ้มที่ผู้กองพัทธ์สั่งให้หาอยู่ไหน เร็วด่วนเลย ด่วน ด่วน"
"งั้นแกอยู่ที่นี่ ทำงานไป ระวังตัวด้วย อย่าเข้าใกล้พวกฉีดยาไม่ครบคอร์ส"
คทารัตน์แขวะสถบดีซึ่งหน้า ก่อนรีบคว้าแฟ้มบนโต๊ะ สะบัดหน้าพรึ่ดเดินออกไป รัดเกล้าเดินมาหายอดชาย
"แฟ้มอะไร ไอ้ยอด"
"อ๋อ... แฟ้มสรุปการประชุม"
"ฉันส่งไปแล้ว"
"เหรอ ๆ ฉันคงลืมว่ะ" ยอดชายบอก
รัดเกล้ามองยอดชายที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ วิวรรธน์มองสถบดีแบบรู้ทัน
"ได้ยอดชายเป็นพวกร่วมด้วยช่วยกันอย่างงี้ ระวังเจ๊แกโกรธจัดหนักถึงตายนะครับ"
"ช่างเจ๊แกก่อน วิว ทำไมไอ้พัทธ์ออกมา ก็รีบร้อนไปบ้านคุณอภิมุข" สถบดีถาม
"ก็เมื่อวานเจ๊แกก่อวีรกรรมไว้กับคุณสิริรัตน์น่ะสิครับ"
สถบดีมองด้วยสายตาอยากรู้
ในบ้านอภิมุข สิริรัตน์สีหน้าบึ้งตึง มีอภิวัฒน์อยู่ข้างๆ เพชรดากับมาริษายืนมองอยู่ด้วย
พัทธยายืนข้างคทารัตน์ที่หน้าตาติดจะมีรอยยิ้มในหน้า ไม่เดือดร้อนอะไร
"ลูกน้องผู้กองน่ะป่าเถื่อน ใช้อำนาจผิดๆ ฉันไม่ยกโทษให้หรอกนะ"
"วิกกี้ไม่ได้มาขอโทษนะคะ กรุณาเข้าใจซะใหม่"
"ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง พวกคุณจะกร่างมากไปแล้ว" อภิวัฒน์บอก
"ผมขอดูวงจรปิดในร้าน เห็นคุณสิริรัตน์กับพวกล้มโต๊ะที่คุณวิกกี้นั่ง ผมว่า.. เรื่องเข้าใจผิดมันคงเริ่มตรงนี้ใช่มั้ยครับ คุณสิริรัตน์"
สิริรัตน์เชิดหน้าไม่ยอมรับผิด อภิวัฒน์หันไปทางสิริรัตน์
"เธอไปล้มโต๊ะใส่เค้าก่อน"
"อ้าว ..เล่าไม่หมดเหรอคะ มิน่าคุณอภิวัฒน์ถึงโมโหแทนซะ ยังกะคู่กิ๊ก"
คทารัตน์เหลือบมองมาริษาที่เก็บอาการนิ่ง ไม่โวยวายต่อหน้าคนอื่น
"มันมาตามเฝ้าสิริรัตน์ สิริรัตน์รู้ สิริรัตน์ไม่ยอม"
"เอาไงดีคะ ตำรวจก็อยู่นี่ทั้งคน แจ้งความเลยมั้ยคะ"
"อย่านึกว่ายืนข้างตำรวจแล้วฉันต้องกลัว"
"พอเถอะ สิริรัตน์ แค่นี้ครอบครัวเรายังอายไม่พอหรือไง" มาริษาพูดขึ้น
"มีอะไรต้องอาย"
อภิวัฒน์แววตาแข็งกร้าวบอก
"สิริรัตน์ หุบปากซะที จะไปไหนก็ไป"
สิริรัตน์โมโหสะบัดจะเดินออก พัทธยาพูดขึ้น
"วันนี้ผมมาขอคุยกับคุณสิริรัตน์"
"ไม่ว่าง"
"คุยไปเถอะน่า จะได้จบๆ" อภิวัฒน์บอก
"ก็ถามแบบเดิมๆซ้ำ ตอบไปร้อยรอบแล้ว น่าเบื่อ"
สิริรัตน์มองอภิวัฒน์แล้วกระแทกก้นนั่ง อภิวัฒน์จะนั่งลงด้วย แต่คทารัตน์พูดขัดขึ้น
"เราขอคุยกับคุณสิริรัตน์ตามลำพังค่ะ"
เพชรดามองสบตาพัทธยาแล้วออกไปก่อน มาริษาขยับเดินตาม อภิวัฒน์จำใจเดินออกไปอีกคน
สิริรัตน์ไม่ชอบขี้หน้าคทารัตน์อย่างเปิดเผย
เพชรดากับมาริษาเดินเข้ามาในห้องทานอาหาร อภิวัฒน์เดินตามมา ก่อนจะหันไปมองในห้องรับแขก มาริษามองตามสายตาสามี
"กลัวสิริรัตน์จะให้การไม่ตรงกันเหรอคะ"
"พูดมากน่า ฉันอยากให้เรื่องนี้มันจบ ฉันต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลามาต้อนรับตำรวจทุกวัน"
"ห่วงธุรกิจก็ไปทำงานสิคะ ไม่ใช่มาคอยเฝ้าพยานปากสำคัญ"
"คิดซะมั่งนะ มาริษา... ถ้าสิริรัตน์ตอบคำถามตำรวจไม่ได้ คนเดือดร้อนจะเป็นเรา"
"ถ้าไม่ได้ทำผิด ก็ไม่ต้องเดือดร้อนอะไรหรอกค่ะ" เพชรดาบอก
"ฉันไม่ผิดอยู่แล้ว ถ้าจะมีคนที่ผิดที่สุดในเรื่องนี้ ก็คือเธอนั่นแหละ เพชร เธอเป็นคนลากชื่อเสียงครอบครัวออกมาประจาน"
"หรือเพราะความโง่ของผู้หญิงชั้นล่าง สมองสิ้นคิดกันแน่คะ"
เพชรดามองพี่ชาย ย้อนถามด้วยสายตาเรียบนิ่ง
อ่านต่อหน้าที่ 3
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 4 (ต่อ)
สิริรัตน์ที่นั่งอยู่หน้าพัทธยากับคทารัตน์โวยขึ้น
"ก็เล่าไปหมดแล้วไง กลับมาจากปาร์ตี้ เข้าบ้านก็เห็นพี่ดำตายอยู่ในห้องทำงาน จะถามกี่รอบก็บอกได้แค่นี้ เรียนกันมาสูงๆ ก็หัดเข้าใจง่ายๆ บ้างได้มั้ย"
พัทธยายังถามต่อน้ำเสียงเรียบๆ
"หลังจากงานศพ มีการคุยกันบ้างมั้ยครับว่า ใครจะแยกย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้"
"จะถามว่าทำไมฉันถึงไม่ออกไปจากบ้านใช่มั้ย นึกเหรอว่าอยากอยู่"
"นั่นน่ะสิคะ ไม่อยากอยู่แต่ก็อยู่ พี่น้องก็ไม่ใช่ ท่าทางคุณเพชรเค้าก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับคุณมากมาย ไหนจะคุณมาริษาอีก" คทารัตน์ว่า
สิริรัตน์ไม่รู้ว่าเธอโดนแหย่ ก็อารมณ์ขึ้น ลุกพรวดทันที
"ทำไม มาริษามันเล่าถึงฉันว่าไง"
คทารัตน์ทำเป็นลากเสียง
"ก้อ..."
"มันด่าจิกหัวฉันว่ายังไง"
"เอ่อ..."
"นังไฮโซนั่นมันคิดว่าเป็นเจ้าของทุกอย่าง มันก็ไอ้แบมือขอเงินผัวเหมือนกัน ลองผัวไม่เซ็นเช็คให้ทุกเดือน มันจะเอาที่ไหนไปชุบตัว อวดความรวย"
คทารัตน์สบตาพัทธยาแล้วมองจับสังเกตอาการสิริรัตน์
"แต่ยังดีนะคะ ที่คุณมาริษาเค้ามีสามีเลี้ยง"
"ฉันก็มี"
"คะ มีสามีเลี้ยงเหมือนกันเหรอคะ"
สิริรัตน์นึกได้ รีบตอบอีกอย่าง
"ฉันหมายถึงฉันก็มีเงิน... เงินกงสีที่พี่สาวฉันต้องได้ส่วนแบ่ง พี่สาวฉันเป็นเมียพี่ดำ เป็นแม่ตาหนึ่ง ฉันต้องอยู่รับเงินส่วนแบ่งของพี่สาวฉันอยู่แล้ว"
คทารัตน์ยิ้มน้อยๆแต่ตาเป็นประกายวับ
"อ๋อ... ในฐานะน้า"
สิริรัตน์โกรธจะอ้าปากตอบโต้ พัทธยาแทรกขึ้นทันที
"ทุกวันนี้คุณสิริรัตน์ได้เงินค่าใช้จ่ายจากใครครับ"
"ก็นังเพชรบ้าน่ะสิ พี่ดำไว้ใจให้มันเป็นคนจัดการเรื่องเงินในบ้านอยู่คนเดียว มันถึงอยากไล่ฉันนัก แต่ฉันไม่ไปหรอก จะอยู่ป่วนประสาทมันเล่นๆอย่างงี้แหละ"
สิริรัตน์ที่หน้าตาสะใจ พัทธยากับคทารัตน์จับสังเกต
บริเวณสวนบ้านอภิมุข เพชรดายืนรอส่ง อภิวัฒน์กับมาริษายืนห่างออกมา สิริรัตน์เดินออกมายิ้มให้มาริษาอย่างจงใจป่วนอารมณ์ พัทธยากับคทารัตน์เดินตามมา อภิวัฒน์มองไว้เชิง ไม่เริ่มถามให้เป็นพิรุธว่าอยากรู้ มาริษาเห็นรอยยิ้มสิริรัตน์ก็อดไม่ไหว เริ่มถามขึ้นเอง
"ได้เรื่องได้ราวอะไรบ้างมั้ยคะ คุยกับน้องเมียพี่ดำ"
"คิดว่าฉลาดตอบอยู่คนเดียวเหรอคะ คุณพี่มาริษา"
อภิวัฒน์ปราม
"สิริรัตน์"
สิริรัตน์ลอยหน้าไม่สนใจ พัทธยาหันไปทางมาริษา
"คราวหน้าผมจะมาคุยกับคุณมาริษา"
มาริษามองเพชรดากับสิริรัตน์
"นัดเวลาก่อนก็ดีนะคะ ฉันไม่ใช่ประเภทว่างงาน อยู่บ้าน หรือเที่ยวใช้เงินไร้สาระไปวันๆ"
"ต้องคอยไปเข้าสังคมประสาผู้ดีจมไม่ลง ลืมไปว่าตัวเองตกยากมาอาศัยผัวรวย"
สิริรัตน์กรีดเสียงหัวเราะ มาริษายังควบคุมอารมณ์ได้ หันไปยิ้มกับพัทธยา
"จะกลับก็เชิญเลยค่ะ อยู่ฟังก็รังแต่รกหู รำคาญใจ สิริรัตน์เค้าก็พูดจาน่าเกลียดได้เก่งอย่างงี้เองค่ะ เป็นความสามารถอีกอย่างนึงของเค้า นอกจากเรื่องรับใช้"
"ฉันไม่ใช่คนรับใช้"
สิริรัตน์จ้องมาริษาที่ยิ้มหยามๆ จนเธออยากจะเข้าไปตบ
"พวกคุณจะกลับเลยใช่มั้ย"
"ครับ ผมลา"
พัทธ์มองไปเพชรดาที่เฉยจนพัทธยาอึดอัด
รถของอภิวัฒน์ที่พุ่งพ้นประตูรั้วใหญ่ออกไป โดยผ่านพัทธยากับคทารัตน์ที่กำลังเดินมาที่รถ
เขามองตาม เธอถามขึ้น
"ผู้กองคะ"
คทารัตน์ถามอย่างกระตือรือล้น
"ก่อนกลับ เราแวะไปบ้านคุณนรสิงห์กันมั้ยคะ"
ประตูบ้านเปิดออกช้าๆ นรสิงห์ก้าวออกมาจากในบ้าน ลมแรงพัดกิ่งไม้ ต้นไม้ปลิวไป รอบๆตัวของนรสิงห์แทบจะไม่มีส่วนใดของร่างกายหรือเสื้อผ้าเคลื่อนไหว เขามองไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน ประตูรั้วเปิดออก เหมือนกำลังรอคอยการมาของคนคู่หนึ่ง
คทารัตน์ถามซ้ำ
"ไปหาคุณนรสิงห์กันนะคะ ผู้กอง"
พัทธยาเหมือนเพิ่งได้สติ
"ไว้วันหลังนะครับ"
คทารัตน์แอบหน้าเซ็งเดินไปขึ้นรถ พัทธยาหันกลับไปในบ้าน เห็นเพชรดาที่มองมาจากในบ้าน
เธอนิ่งมองจนเขาอึดอัด เขาจำใจละสายตาขึ้นรถ ไปนั่งข้างคทารัตน์
นรสิงห์ที่ยืนอยู่ สีหน้านิ่งลง ก่อนร่างนั้นจะกลืนหายไปกับความมืดในบ้าน ประตูบ้านปิดลงช้าๆ
ในห้องรับแขกบ้านสถบดี เขามองพัทธยาที่สีหน้าครุ่นคิด
"ทุกคนในบ้านมีสิทธิ์เป็นฆาตกร ทุกคนมีแรงจูงใจที่จะอยู่เพื่อเงิน ยกเว้นคุณเพชร ที่สนใจแต่เรื่องหาตัวฆาตกรกับดูแลหลานชาย"
"ยังไม่น่าจะตัดเค้าออกไปจากผู้ต้องสงสัย" สถบดีบอก
"ถึงพยานหลักฐานวันเกิดเหตุมันไม่เหลือให้เราค้น แต่ฉันเชื่อว่า ยิ่งทอดเวลาคดีนี้ออกไป ฆาตกรตัวจริงจะทนไม่ได้ แล้วก็ต้องทำอะไรสักอย่างให้คดีปิดเร็วที่สุด ถึงตอนนั้นคนร้ายจะเผยตัวออกมาให้เราเห็น"
พัทธยามองเพื่อนด้วยสายตามั่นใจ
ภายในบ้าน รัดเกล้ากำลังทำความสะอาดจักรยาน ในขณะที่คทารัตน์นั่งจิบชาผลไม้ อ่านแฟ้มคดีอยู่ริมหน้าต่าง
"พี่วิกกี้เคยคิดมั้ยคะว่าบางทีอาจจะเป็นคุณมาริษา"
"ถ้ามาริษาจะฆ่า ฆ่าอภิวัฒน์ ผัวตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ยังไงก็ได้ส่วนแบ่งของผัวเห็นๆ"
"งั้นสิริรัตน์ทำไมต้องฆ่าคุณอภิมุขละคะ ในเมื่อเป็นแค่พี่เขย"
"มันอาจจะไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียวน่ะสิ ถ้าสิริรัตน์..เป็นมากกว่าน้องเมีย"
"พี่วิกกี้หมายความว่า... มันจะเป็นไปได้เหรอคะ"
"ถ้ามันเป็นไปแล้วล่ะ น้องเมียที่ไหนจะอาละวาดใส่น้องสาวเจ้าของบ้านได้ฉอดๆ ฉันว่าสิริรัตน์น่ะอยู่ในบ้านหลังนั้นเกินฐานะน้องเมีย แล้วถ้าเราสมมติต่ออีกหน่อย ผู้หญิงอย่างสิริรัตน์จะยอมให้ผู้ชายมั่งคั่งมหาศาลหลุดมือไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นมั้ย... หักหลังกันชัดๆ"
คทารัตน์มองน้องสาวด้วยสายตามั่นใจในสมมติฐานของตัวเอง
ในห้องสำราญในบรรยากาศแสงสลัว อภิวัฒน์โอบสิริรัตน์ไว้ ก้มลงจูบเบาๆที่ไหล่
"ไหนเล่าสิ วันนี้คุยอะไรกับตำรวจบ้าง"
สิริรัตน์หัวเราะคิกคัก ดึงอภิวัฒน์ไปที่ประตูห้อง
"จะให้สิริรัตน์เล่าหมด ... ก็นานนะคะ"
อภิวัฒน์หัวเราะ ผลักสิริรัตน์เข้าประตูแล้วเข้าตามไป ปิดประตูลง
บานประตูที่ปิดสนิท เพชรดามองอยู่แล้วที่ตรงสุดปลายทางเดิน เธอสมเพชกับสิ่งที่พี่ชายกับสิริรัตน์ทำในบ้าน ที่ประตูใหญ่ มาริษายืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดในบ้านอยู่ในเงามืด ใบหน้าเธอเรียบสนิท มีเพียงแววตาที่แสดงออกให้เห็นชัดว่าเกลียดชังในสิ่งที่สามีกำลังทำ
ในห้องนอน รัดเกล้าในชุดนอนผ้าฝ้าย กางเกงเข้าชุดสวดมนต์ กราบพระแล้วล้มตัวลงนอน
เธอผ่อนลมหายใจ ยิ้ม แล้วหลับตาลง ทั้งห้องที่มืดลงกว่าเดิม มืดจนเห็นเพียงใบหน้ารัดเกล้าเท่านั้นที่เด่นชัด
"ทุกคนต้องตามมารับผลจากกรรมที่ผูกพันกันไว้ ไม่ว่าจะหนีไปไหน สูงสุดฟ้าหรือลึกที่สุด ต่ำช้าในนรก ก็ไม่มีอะไรคุ้มครองให้พ้นจากการชดใช้บาปกรรมได้ ไม่มี... ไม่มีจริงๆ"
ควันดำลอยวืดเข้าพุ่งผ่านใบหน้ารัดเกล้า
รัดเกล้าเหมือนสะดุ้งตื่น มองไปรอบๆในความมืด เสียงสวดมนต์โบราณดัง ควันกำยานลอยอบอวล เธออยากจะขยับตัวลุก แต่ร่างเหมือนถูกตรึงที่เก้าอี้ ได้เพียงแค่หันหน้า เธอมองไปข้างๆแล้วตกใจ
ที่เห็นสถบดี คทารัตน์ วิวรรธน์นั่งอยู่ เรียงกันเหมือนที่เคยนั่ง ทุกคนหลับตาเหมือนกำลังนอนหลับอยู่
สถบดีในชุดนอนเสื้อยืดลายหมีพูห์สีชมพูเก่าเปื่อย กางเกงกีฬาขาสั้นสะท้อนแสง
คทารัตน์ในชุดนอนเสื้อยืดยาวตัวโคร่งชายเปื่อยยุ่ย กางเกงบ๊อกเซอร์ มีเข็ดขัดรัดหน้าท้องอันใหญ่คาดไว้
วิวรรธน์ใส่เสื้อกล้ามนอน พร้อมกางเกงสี่ส่วน
เงาจากเปลวเทียนทอดให้เห็นแค่ใบหน้าของทุกคน
นรสิงห์เผยกายตรงหน้า รัดเกล้าหันกลับมา
"ถึงเวลาหลั่งเลือด ชำระแค้นของทุกคนแล้ว"
รัดเกล้าใจวูบ ภาพมรันมาที่ล้มลงเพราะน้ำหอมพิษจากเจ้านางอินยา ผ่านเข้ามา เธอเผลอถามออกมาด้วยความรู้สึกที่ติดค้างในใจ
"น้องน้อย ... น้องน้อยตายหรือเปล่า"
รัดเกล้าถามได้แค่นั้นแล้วนิ่งไป ด้วยสายตานรสิงห์ที่สะกดทุกอย่างไว้
บริเวณอุทยานหิน มรันมาที่กำลังดิ้นรนสูดอากาศเข้าปอด แต่ติดๆขัดๆเพราะพิษยาที่กำลังทำลาย
ระบบทางเดินหายใจ น้ำค้างเข้าประคอง หน้าตาตกใจ
"มรันมาเป็นอะไร มรันมา ใครอยู่แถวนี้ ช่วยด้วย"
มรันมาเสียงแผ่ว
"ช่วยด้วย... ช่วยน้องน้อยด้วย พี่ชาย"
ในหอขวัญเมืองติสสาตัดสินใจพุ่งไปที่ประตู เมืองมาสลืมตามองจากด้านหลัง
"ทำจิตให้นิ่ง"
"ข้าได้ยินเสียงมรันมาเรียกให้ช่วย"
"จิตของท่านที่ภาวนาแก่พระเพ็ง จะทำให้มรันมารอด"
ติสสามอง เมืองมาสและนักบวชทุกคนหลับตาภาวนาต่อ แม่ทัพหนุ่มหันไปมองพระเพ็งที่กำลังสุกสว่าง สาดแสงไปทั่ว
"พระเพ็งช่วยน้องน้อยด้วย"
ติสสากลับมานั่งลงภาวนาด้วยท่าทางขรึมขลังเข้าสู่สมาธิ เสียงสวดดังก้องไปได้ยินล่องลอยทั่วหอขวัญเมือง แสงจันทร์สาดส่องทาบทับร่างติสสา
เขตพระราชฐาน พระจันทร์สว่างเหนือยอดไม้ ปรัมพิธีของเจ้าปรันมาที่มีเครื่องคาวหวานอาหารดอกไม้เพื่อบูชาพระเพ็ง ทั่งบริเวณตกแต่งด้วยดอกไม้งาม
จันทเทวีนั่งอยู่ข้างปรันมา นันทวดีนั่งนำข้าหลวงสาวสวยใบหน้าผ่องใสทั้งมวล เมฆาและมารุตเป็นหน่วยอารักขา นางรำกำลังร่ายรำขอพรพระเพ็งด้วยลีลาอ่อนช้อย เสียงกลองดังเป็นจังหวะ ปรันมา จันทเทวียกพานบูชาดอกไม้สูงขึ้นเหนือศีรษะ บูชาพระเพ็งที่กำลังสว่างเต็มดวง
มรันมาเฮือกขึ้นทั้งร่างเหมือนจะขาดใจ น้ำค้างก้มมอง
"มรันมา มรันมาได้ยินข้ามั้ย"
"พี่... ชาย... ช่วย... น้องน้อย...ด้วย"
น้ำค้างตัดสินใจ เอาร่างมรันมาพิงต้นไม้ไว้
"อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ มรันมา เดี๋ยวข้าไปตามคนมาช่วย"
น้ำค้างวิ่งออกไปทันที มรันมาสีหน้าทรมานไม่ได้สติ
ในตำหนักเจ้านาง อินยาและปันแสงแต่งตัวสวยงาม ยืนอยู่หน้าพระจันทร์กลมโต อุตลากับข้าหลวงหมอบอยู่ด้านหลัง แววตาและสีหน้าอินยาเปี่ยมสุขสมหวัง ทุกคำพูดเปล่งออกมาอย่างรื่นรมย์
"ขอพระเพ็งประทานพรประเสริฐสุดแก่ข้า... ไม่ว่าใครที่คิดเป็นศัตรูแก่เจ้านางอินยา มันจะต้องหมดสิ้นทั้งชีวิต และลมหายใจ ทุกชีวิต"
มรันมากำลังทุรนทุราย พยายามสูดอากาศเข้าปอด
"ใครก็ได้ ช่วย...ด้วย ..."
พระเพ็งที่สาดแสงส่องมาที่ปรันมา จันทเทวี สว่างเรืองเด่นชัดกว่าคนอื่นๆ ปรันมามองพระเพ็งและเอ่ยด้วยเสียงทรงอำนาจ
"ข้าเจ้าปรันมา เจ้าเหนือชีวิตแห่งศรีพิสยา ขอบูชาพระเพ็งเต็มดวงในคืน 15 ค่ำ ขอแสงแห่งพระเพ็งสุกสว่าง สาดส่องความร่มเย็น รุ่งเรืองแก่ข้าทั้งหลาย ภยันอันตรายอย่าได้กล้ำกราย เสนียดจัญไรทั้งปวงขอให้หมดพ้นไปจากแผ่นดิน"
มรันมาที่กำลังรวบรวมแรง คลานไปตามพื้น เพื่อหาคนช่วย แต่ร่างอ่อนแรงจากพิษจนแทบจะไปไม่ไหว
เจ้านางอินยาสีหน้ายิ้มแย้ม ยืนอาบไล้แสงจันทร์ เจ้าปันแสงที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ไม่ยินดียินร้าย อารมณ์ขุ่นมัวเพราะเรื่องมรันมา ลมพัดแรง พานดอกไม้ที่วางอยู่หล่นพื้น เสียงดัง อุตลากับข้าหลวงตกใจ
รอยยิ้มอินยาหายไปจากหน้าชั่วเสี้ยวนาที ปันแสงหันมองพานดอกไม้ที่หล่นเกลื่อนพื้น แล้วมองแม่ อินยามองจ้องที่พระเพ็งด้วยใบหน้าวูบด้วยความกังวลขึ้นมาทันที
มรันมาคลานไปได้เพียงนิดเดียว ก็ครางออกมาด้วยเจ็บปวด บิดกายเร่า เหมือนร่างกำลังจะแตก
ออกเป็นเสี่ยงๆ
ปรันมาที่ยังอธิษฐานของพรแก่พระจันทร์ ด้วยสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสุขและศรัทธา
"ความสุขจงบังเกิดแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์แห่งศรีพิสยา"
ความเจ็บปวดจากพิษกำลังแล่นไปทั่วกาย จนมรันมาทนไม่ไหว พลิกร่างด้วยความทุรนทุราย
ในหอขวัญเมืองติสสายังคงสวดมนต์อยู่ด้วยจิตแน่วแน่
"คุณธรรม ความดีงามจะเป็นดั่งเกราะกำบังอันเข้มแข็ง ต่อสู้ความชั่วร้าย"
ปรันมายังอธิษฐานของพร ท่ามกลางสีหน้าเชื่อมั่นศรัทธาของทุกคน
"ความรักบริสุทธิ์จะเป็นหยาดน้ำอันผ่องใสปลอบประโลมจิตใจผู้คน"
มรันมาเกร็งไปทั้งร่าง สำลักอากาศขึ้นอีกครั้ง
" ศรีพิสยาจะบูชาพระเพ็งดั่งมารดาแห่งชีวิต แสงพระเพ็งคือแสงนำชีวิต" เสียงอธิษฐานของปรันมายังคงดังต่อไป
ปรันมาและจันทเทวีรวมถึงทุกคนในที่นั้น ค้อมหัวบูชาพระเพ็งด้วยจิตแน่วแน่ ปรันมายังคงเปล่งเสียงขอพรดังก้องกังวาน
"ชาวศรีพิสยาจะไม่ให้ใครลบหลู่พระเพ็ง จะขอเอาชีวิต เลือดเนื้อ และวิญญาณปกป้องแผ่นดินแห่งพระเพ็งตราบนี้จนชั่วลูกชั่วหลาน ชั่วกาลนานสืบไป"
เสียงกลองดังขึ้นเหมือนส่งเสียงแห่งสัญญาชาวศรีพิสยาดังกึกก้อง ให้สดับไปทั่วทุกแห่งแคว้น
มรันมาสำลักเลือดออกมา ก้อนเลือดสีแดงคล้ำ เกือบดำสนิทเพราะถูกพิษ หน้าตาเธออ่อนแรง สติใกล้ดับ เหมือนกำลังจะเข้าสู่วาระสุดท้ายแห่งชีวิต
เสียงกลองดังมาไกล ได้ยินถึงตำหนักเจ้านาง พิธีบูชาพระเพ็งเสร็จสิ้นแล้ว เจ้านางอินยาหันไปสั่งนางข้าหลวง
"อุตลา"
อุตลาคลานมาใกล้เงยมองรอคำสั่ง ปันแสงมองหน้าแม่
"ไปดูสิ ว่าศพของมรันมามันนอนอุจาดตาอยู่ที่ใด"
อุตลาสีหน้ากลัวขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่า ศพ แต่พอเห็นสายตาเจ้านางที่เหนือกว่าทุกสิ่ง จึงต้องรีบถอยแล้วลุกเดินเร็วออกไป ปันแสงมองแม่
"ไม่ต้องมองเหมือนข้าโหดร้ายนักหรอก ปันแสง ... สิ่งที่ข้าทำ ก็เพื่อเจ้า"
"ไม่ใช่เลย... ความตายฆ่ามรันมา คือความพอใจของเจ้านางคนเดียว"
ปันแสงเดินออกไปอีกคน อินยามองตามอย่างขัดเคืองใจ แต่ก็เชิดหน้าไม่ไยดีในสิ่งที่ลูกพูด เพราะถือว่าได้กำจัดคนที่เกลียดไปได้อีกคนหนึ่ง ก็เพียงพอแล้ว
มรันมาพยายามรวบรวมกำลังที่เหลือน้อยเต็มที พยุงร่างขึ้น สำนึกสุดท้ายเอ่ยเรียก
"พี่ชาย"
มรันมาเจ็บปวดจนสุดจะทานทน ร่างทรุดล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้น
ติสสาลืมตาขึ้นพร้อมกับเมืองมาสและนักบวช ประตูหอขวัญเมืองเปิดออก ติสสาหันไปมองเมืองมาสที่ยิ้มให้ สีหน้าเป็นเชิงอนุญาต
"ไปเถิด ไปสู่อ้อมแขนของคนรักเจ้า"
ติสสาลุกขึ้น เดินออกไปอย่างเร็ว ผ่านแสงจันทร์ที่สาดส่องนำทาง
ร่างมรันมานอนนิ่ง ไม่ได้สติ ติสสาวิ่งมาเห็น
"น้องน้อย"
ติสสาอุ้มร่างมรันมา เลือดเลอะมือติสสา ติสสาแทบเป็นบ้ากับภาพที่เห็น
"น้องน้อย น้องน้อย"
น้ำค้างวิ่งมาจากอีกด้าน
"แม่ทัพ ติสสา"
"มรันมาเป็นอะไร น้ำค้าง เป็นอะไร"
"ข้าไม่รู้ พอมรันมาดมน้ำหอม"
"น้ำหอมอะไร"
"น้ำหอมเจ้านางอินยา"
"เจ้านางอินยา" ติสสาเสียงดังราวคำราม
ติสสาสีหน้าโกรธมาก อุ้มร่างมรันมาไว้แนบอก ก้มลงใกล้เอ่ยเรียก
"น้องน้อย... น้องน้อยได้ยินพี่ชายมั้ย"
มรันมายังสลบไม่ได้สติในอ้อมกอดติสสา เขาอุ้มเธอออกไปจากตรงนั้นอย่างเร็ว น้ำค้างวิ่งตามไปทันที อุตลาที่วิ่งมาเห็นติสสาอุ้มมรันมาออกไปก็หน้าตาตื่น
ในตำหนักเจ้านาง อินยาลุกพรวดขึ้นมองอุตลาที่หมอบอยู่แทบเท้า
"ข้าไม่ทันเห็นว่าเป็นหรือตาย แต่ติสสาเอาตัวมรันมาไปแล้ว"
"ทำไมไม่ตามไป"
"ข้ากลัวติสสาจะรู้ว่าเป็นเจ้านาง"
"มันไม่เกี่ยวกับข้า น้ำหอมนั่นก็ไม่ใช่ของข้า"
"น้ำค้างมันต้องพูด"
"คิดว่าข้าจะโง่ ให้ข้าหลวงคนเดียวมาใส่ร้ายข้าหรือไง"
อุตลาเงียบ ก้มด้วยความกลัว อินยาสีหน้าเจ็บใจมองไปด้านนอก
"พระเพ็งรักข้า พระเพ็งเห็นใจข้า พระเพ็งต้องช่วยข้า... คืนนี้ติสสาต้องนอนกอดศพมรันมา"
ภายในเรือน ติสสามองมรันมาที่ยังไม่ได้สติ นันทวดีมองใกล้ น้ำค้างยืนห่างออกมา
"มรันมาถูกพิษ"
น้ำค้างที่ยืนหน้าตาตื่นกลัว
"จากน้ำหอมเจ้านางอินยา"
"ร้ายกาจจริงๆ... หมอหลวงกำลังมา ใจดีๆนะลูก" นันทวดีปลอบ
ติสสาบีบมือมรันมาที่ยังไม่ได้สติ
"น้องน้อย ได้ยินพี่ชายมั้ย"
บัวเงิน ข้าหลวงในเรือนติสสานำหมอหลวงถือล่วมยาเข้ามา เขามองอย่างฝากความหวัง
"ช่วยน้องน้อยด้วย หมอ .. อย่าให้ใครเอาชีวิตมรันมาไปจากข้า"
หมอจับชีพจรมรันมา สีหน้าเป็นกังวล
ในเขตพระราชฐาน ปรันมาหันขวับ ถามเสียงดัง
"ใครมันกล้าทำเรื่องชั่วช้ากับน้องนางของข้า"
เจ้านางจันทเทวีที่ยืนอยู่ใกล้ สีหน้าตกใจ มองเมฆา มารุตที่อยู่ด้านหลัง
"น้ำค้าง ข้าหลวงตำหนักเจ้านางอินยาอยู่ตอนที่มรันมาดมน้ำหอมแล้วก็หมดสติไป"
"พี่หญิงมรันมาดมน้ำหอมของใคร ... เจ้านางอินยา"
เมฆาก้มหน้ารับคำ
"เจ้านางอินยาแน่ๆที่จะฆ่าพี่หญิงมรันมา เจ้านางจงใจฝ่าฝืนคำสั่งพี่"
"กักตัวข้าหลวงคนนั้นไว้ ข้าจะให้มันเป็นพยาน"
มารุตรีบออกไปทันที
แม่ทัพกุมมือมรันมาไว้แน่น หมอกำลังกรอกยาสมุนไพรแก้พิษ นันทวดีกับติสสาคอยช่วยพยุงร่างไม่ได้สติของมรันมา น้ำค้างเดินออกมาด้านนอก ด้วยสีหน้าหวาดกลัวว่า มรันมาจะไม่รอด
มารุตวิ่งนำทหารวังมาอย่างเร็ว เพื่อรีบไปคุมตัวน้ำค้าง
น้ำค้างกำลังจะนั่งลง ก็ต้องตกใจ เมื่ออสุนียื่นมือมากระชากน้ำค้างออกไปจากตรงนั้นในทันที ติสสาดึงร่างมรันมาแนบอกไว้
"น้องน้อย... พี่ชายอยู่ตรงนี้ ได้ยินพี่ชายมั้ย น้องน้อย"
นันทวดีมองลูกชายด้วยแววตาสงสาร
มารุตเดินเร็วเข้ามาในเรือน ติสสา นันทวดี หมอหลวงหันไปมอง
"เจ้าปรันมาให้ข้ามาจับตัวน้ำค้าง"
ไม่เห็นน้ำค้างอยู่ในห้อง ทุกคนมองกันด้วยความหวั่นใจว่า อาจจะสายไปเสียแล้ว
อสุนีผลักน้ำค้างทรุดไปตรงหน้าเจ้านางอินยา เธอแสดงอาการกลัวลนลาน เจ้านางรับมีดมาจากอุตลา
"เจ้านาง....อย่าทำข้าเลย ข้าจะไม่พูดอะไร"
อ่านต่อหน้าที่ 4
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 4 (ต่อ)
น้ำค้างยกมือขอชีวิตแต่ไม่ทัน เจ้านางอินยาจิกผมน้ำค้างเงยหน้าขึ้น แล้วปาดมีดเข้าที่คอ ร่างน้ำค้างล้มลงตายแทบปลายเท้าเจ้าปรันมากับเมฆาที่ก้าวมาในตำหนักพอดี
"ข้าลงโทษคนที่คิดลอบฆ่ามรันมาให้แล้ว"
ปรันมาโมโห เจ้านางอินยา
"ข้าไม่เคยอนุญาตให้มีการหลั่งเลือดในคืนบูชาเพ็ง ท่านกำลังท้าทายอำนาจศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพระเพ็ง"
อินยามองเจ้าปรันมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้าน หลังส่งมีดเปื้อนเลือดให้อุตลา เจ้าปันแสงเร้นกายเข้ามาเงียบๆ มองสภาพศพน้ำค้างแล้วนึกรู้ได้ในทันที
"และข้าก็สั่งแล้วว่าห้ามคนตำหนักนี้ทำร้ายมรันมา"
ปันแสงมองปรันมาแล้วเอ่ยขึ้น
"แม่ข้าถึงต้องยอมมือเปื้อนเลือดในคืนศักดิ์สิทธิ์ยังไงเล่า เพราะไม่อยากให้คนเอาไปพูดว่า ตำหนักเจ้านางอินยาคิดร้ายกับน้องนางคนใหม่แห่งศรีพิสยา" น้ำเสียงปันแสงเต็มไปด้วยความดูแคลน
ปรันมามองแม่ลูกด้วยความเจ็บใจ แต่เมื่อไม่มีพยานก็ลงโทษอะไรไม่ได้
"เจ้านางอินยา ท่านอยู่กับขนบประเพณีโบราณมาช้านาน แต่กลับทำลายสิ่งดีงามในชั่วพริบตา"
"ข้ากระทำการลงโทษทาสชั่วคนนี้เพื่อรักษาความยุติธรรม แต่เจ้า ...ปรันมา กำลังจะสถาปนานางทาสอีกคนขึ้นไปยืนบนที่ๆบรรพบุรุษสร้างไว้เป็นเกียรติยศ บัลลังก์ศรีพิสยาหมองมัวเพราะความเหิมเกริมในอำนาจของเจ้า ไม่ใช่ข้า"
"ข้าใช้อำนาจเพื่อรักษาชีวิต ไม่ใช่เพื่อทำลายชีวิตอย่างที่ท่านทำ ถึงหมดสิ้นพยานไปคนหนึ่ง เรื่องนี้ก็ไม่จบลงง่ายๆ เพราะใครที่มีส่วนทำให้มีการหลั่งเลือดในคืนบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ พระเพ็งจะต้องลงโทษ โดยเฉพาะท่าน ... เจ้านางอินยา"
ปรันมาเดินออกไป สองแม่ลูกสะท้านไปกับคำพูดของปรันมา เจ้านางอินยายืนนิ่ง ไม่แสดงความกลัวออกมาให้ใครเห็น
ติสสานั่งจ้องมรันมาที่ยังไม่ได้สติ จันทเทวี นั่งตรงข้ามเตียง มีนันทวดีอยู่ใกล้
"พี่หญิงมรันมาต้องฟื้น หมอหลวงให้ยาแก้พิษจากดอกจันทน์กะพ้อวังหลวงไปแล้ว"
"ข้าหวังอย่างนั้นอยู่ทุกลมหายใจ"
"เจ็บใจจริงๆ... ถ้าข้าหลวงคนนั้นไม่ถูกฆ่าปิดปาก เจ้านางอินยาจะต้องโดนลงโทษ" จันทเทวีบอก"เจ้านางอย่าพูดอย่างนี้อีกเลย" นันทวดีว่า
"ทำไมล่ะ นันทวดี เจ้านางอินยาเป็นผู้หญิงจิตใจโหดเหี้ยมที่สุดในศรีพิสยา ใครๆก็รู้"
ทุกคนมอง ปรันมาที่เดินเข้ามามองมรันมาด้วยแววตาห่วงใย
"น่าสงสาร มรันมา... ลูกกวางน้อยที่ต้องเติบโตใต้กรงเล็บเสือ"
"ข้าอยากเห็นพี่หญิงพ้นจากตำหนักเจ้านางอินยาเหลือเกิน" จันทเทวีบอก
"ติสสา ข้าอยากให้งานสถาปนามีขึ้นเร็วที่สุด รีบสืบเรื่องสนมอเลยาให้ข้า"
"มรันมาอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ ข้าจะลากเอาความผิดของคนหยาบช้าทั้งหมด ทุกคนมาให้ท่านชำระความ เจ้าปรันมา... ข้าขอสาบาน ข้าจะทำทุกอย่างให้มรันมาพ้นความทารุณที่ต้องเจอมาทั้งชีวิตเสียที"
ทุกคนฝากความหวังไว้ที่ติสสา ว่าจะเป็นคนช่วยมรันมาได้ เขากุมมือเธอไว้ ด้วยสายตาห่วงใยมาก
ในวิหารปุระอมร เวลากลางคืน องค์นรสิงห์ สุเลวินที่ยืนมองพระจันทร์เต็มดวง คชา วาเรอยู่ด้านหลังคอยอารักขา แม้ใบหน้านรสิงห์จะถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ แต่ไม่ได้ดูนุ่มนวลลงเลย ยังคงเต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง กระหายแต่อำนาจ
"นี่จะเป็นการบูชาเพ็งครั้งสุดท้ายของศรีพิสยา"
ในเวลาเดียวกัน ตำหนักเจ้านาง อินยาสีหน้าครุ่นคิด ปันแสงเดินเข้ามาใกล้
"พวกมันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ปล่อยให้มรันมาเจ็บตัวเหมือนทุกครั้ง มันจะทำทุกอย่างเพื่อบอกกับประชาชน ว่าเราคือคนฆ่ามรันมา"
"มันไม่มีวันทำสำเร็จ"
"ถ้าตราบใดพ่อค้าน้ำหอมกลายเป็นศพไปแล้ว"
อินยาเห็นแววตาปันแสงร้ายกาจไม่ต่างกัน
ในตลาดสรีพิสยา เช้าวันใหม่ อุตลามอง ไปรอบๆ อสุนีเดินตามติด สีหสากับไพลินซุ่มมองอยู่ด้านหนึ่ง เห็นอุตลาเข้าไปถามชาวบ้านแถวนั้น
"พ่อค้าน้ำหอมตรงนี้ หายไปไหน"
ชาวบ้านส่ายหน้าไม่รู้ อุตลาหยุดมองหา อสุนีเร่ง
"เร็วๆเข้า หาให้เจอ"
"ตามข้ามา หามันให้ทั่วทั้งตลาด"
อุตลาเดินเร็วออกไป อสุนีตาม สีหสาก้าวออกมากับไพลิน
"มันมาตามหาเรา" ไพลินบอก
"แสดงว่าพวกมันลงมือฆ่าคนๆนั้นไม่สำเร็จ ข้าอยากรู้นักผู้หญิงที่รอดตายเป็นใคร"
สีหสาแววตาสงสัยเป็นอย่างมาก
ในเรือนติสสา มรันมาที่ติสสากุมมือไว้ นันทวดี บัวเงินคอยดูอยู่ห่างๆ เมฆา มารุตคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเรือน
"น้องน้อย... ฟื้นขึ้นมายิ้มให้พี่ชายเถอะนะ พี่ชายรอน้องน้อยอยู่ตรงนี้ น้องน้อยสัญญาแล้วว่าจะเป็นเจ้าสาวของพี่ชาย"
ติสสาไม่ยอมละสายตาไปจากมรันมา ทุกคนมองอย่างเป็นห่วงคนทั้งคู่
เหมือนมรันมาจะได้ยินคำขอจากใจติสสา เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
"น้องน้อย"
นันทวดีดีใจ เดินเข้ามาใกล้
"น้องน้อยฟื้นแล้ว"
ติสสา นันทวดีและทุกคนพลอยยิ้มดีใจไปด้วย
"พี่ชาย"
ติสสคลี่ยิ้มอย่างอ่อนแรง
"น้องน้อย...พี่ชายอยู่ตรงนี้"
"พี่ชาย...ช่วยน้องน้อย"
"บัวเงินรีบไปบอกเจ้านางจันทเทวี มรันมาฟื้นแล้ว" นันทวดีบอก
บัวเงินลุกขึ้นจะออกไป
ที่ประตู ปันแสงเดินเข้ามาหยุด เมฆา มารุตขยับทันที
"ข้ามาเยี่ยมทาสของข้า"
ติสสาลุกพรวดด้วยความแค้นอัดแน่น พุ่งเข้าไปหาปันแสง ใบหน้าห่างกันแค่คืบ ดวงตาติสสากราดเกรี้ยวดั่งไฟ ในขณะที่เจ้าปันแสงยิ้มเหยียดหยันอย่างผู้ที่เหนือกว่า
"ทำไม คิดจะทำอะไรข้า ติสสา ต่อให้ตำแหน่งสูงถึงแม่ทัพ เจ้าก็ยังเป็นแค่ไพร่ใต้ฝ่าเท้าของข้า... เจ้าปันแสง เข้ามาเลย ถ้าอยากหัวหลุดจากบ่าต่อหน้าคนรัก"
ติสสาคั่งแค้น มองจ้องปันแสง ห่างกันแค่คืบ
"วันนึง... ท่านต้องได้เจอเวลานั้น เจ้าปันแสง เวลาที่...ไม่มีใครคุ้มครองท่านได้ ไฟชั่วในใจมันจะแผดเผาร่างผู้เป็นเจ้าของให้มอดไหม้ มีจุดจบอย่างน่าอนาถ"
"อาฆาตข้าเหรอ คิดจะขู่ฆ่าข้าเพื่อนังทาสหญิงคนเดียวเลยหรือ ติสสา ช่างน่าบูชา... หัวใจของชายผู้ยอมตายเพื่อคนรัก รออีกไม่นานหรอก ข้านี่แหละจะทำให้เจ้าได้ตายสมใจ"
ปันแสงเหยียดยิ้ม แล้วหันไปทางมรันมา
"ยังเจ็บกาย เจ็บใจอีกหรือไม่ มรันมา... เจ้านางอินยาฝากความอาทร ความห่วงใยมาให้เจ้านะ รับเอาไว้ในอกของเจ้าด้วย"
ติสสาฟังแล้วอยากเข้าไปขย้ำคอปันแสง แต่ทำไม่ได้ มรันมากลัวว่าจะมีเรื่องกันจนติสสาเดือดร้อนอีก ปันแสงยิ้มเหยียดมองติสสาอย่างสาแก่ใจ
ในวิหารปุระอมร สีหสาก้าวเข้ามาตรงหน้านรสิงห์ ไพลินอยู่หลังสีหสา วาเรยืนอยู่ใกล้นรสิงห์ สุเลวินยืนถัดมา
"ผู้หญิงที่จะถูกฆ่า มันต้องสำคัญมากพอที่จะทำให้ศรีพิสยาแตกเป็นเสี่ยงๆ"
"ข้าไม่ต้องการคำตอบจากเจ้าอีกแล้ว ว่านางคนนั้นเป็นใคร มันช้าไปแล้ว สีหสา"
สีหสาหยุด นรสิงห์มอง
"ข้าให้เวลาศรีพิสยามันรื่นเริงพอแล้ว ข้าไม่ต้องการให้มันมีคืนบูชาเพ็งครั้งต่อไป ถึงเวลาของคมดาบและคาวเลือด"
"เช่นนั้น ... กองทัพมหาศาลของท่านก็พร้อมแล้ว"
สีหสาถามด้วยแววตาเป็นประกาย สุเลวินพูดเตือนขึ้น
"ธรรมเนียมศึกแต่โบราณจำหลักไว้ หากต้องการให้ทุกแคว้นน้อยใหญ่เลื่องลือ ว่าองค์นรสิงห์คือจอมทัพที่สมควรแก่การเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ชอบเพียงการประหัตประหารเข่นฆ่า องค์ต้องสำแดงทั้งพระเดชพระคุณ"
"ไม่ต้อง... ให้มันทำไมพระคุณ กับเมืองเล็กๆที่บังอาจแข็งขืนอย่างศรีพิสยา มันต้องใช้พระเดช อำนาจ การทำลายล้าง ฆ่า สังเวยชีวิตพวกมันให้กับความผิดที่กล้าท้าทายกษัตริย์แห่งเรา"
"สีหสา ความกระหายเลือด บ้าบิ่นของเจ้ามันใช้การได้ดีในสนามรบ แต่เจ้าใช้ไม่ได้เลยนะกับการฑูต หากเจ้าต้องการให้ไพร่ฟ้าสรรเสริญเกียรติแห่งองค์นรสิงห์ สืบต่อยาวนานมากกว่าชั่วชีวิตของเจ้า ควรต้องใช้ทั้งความรอบคอบและปัญญา"
"เจ้าด่าว่าข้าไร้ปัญญา"
สุเลวินยิ้ม
"เจ้าได้ยินอย่างนั้นหรือ"
ทั้งคู่ปะทะกันทางสายตา สีหสาแทบจะเข้าไปขย้ำคอสุเลวินได้ นรสิงห์เอ่ยปรามขึ้น
"ใจเย็นก่อน สีหสา... ครั้งนี้ข้าเห็นควรว่า เราต้องทำตามธรรมเนียมศึก ข้าเองก็อยากจะไปหยั่งเชิงรบของมันดู ข้าจะให้โอกาสศรีพิสยา มันรอดตายอีกครั้ง"
นรสิงห์ประกาศเสียงก้องด้วยสีหน้าของผู้ทะนงในความยิ่งใหญ่ของตน
ติสสายืนเผชิญหน้ากับปันแสง
"ที่นี่ไม่ต้อนรับคนบาปหยาบชั่ว กลับไป ในตอนที่ท่านยังกลับได้"
"ระวังปากเจ้าไว้ ติสสา ข้ามีน้ำใจมาเยี่ยมทาสถึงเรือนหลังนี้ ก็เป็นบุญของเจ้า"
"คงอยากมาให้เห็นว่า มรันมายังไม่ตายสมใจ"
"ดีจริง"
ปันแสงมองเลยไปที่มรันมาที่นั่งพิงอยู่
"น้องนางคนใหม่ถูกพามานอนทอดกาย เหมือนเป็นหญิงบรรณาการจากเจ้าศรีพิสยามอบให้กับแม่ทัพ"
ปันแสงหันกลับมามองติสสา
"ไม่ต่างจากรองเท้าสกปรก แปดเปื้อนราคี ถูกใช้เหยียบ ย่ำยีจนยับเยิน แล้วก็เอามาขัดล้างยกยอว่าเป็นรองบาทอันสูงค่า เพื่อส่งต่อให้เป็นของกำนัลแก่คนโง่เง่า"
ติสสาทนไม่ไหว ขยับเข้าหาปันแสงที่ดูถูกมรันมา
"คงมีเพียงคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ที่จะคิดได้เลวถึงเพียงนั้น"
ทุกคนหันไปมองเสียงนั้น เมฆา มารุตก้มตัวคำนับแล้วถอยให้ทุกคนเห็น เจ้าปรันมา จันทเทวีกับข้าหลวงและทหารวังมายืนหน้าเรือนติสสา ติสสา นันทวดีคำนับ มรันมาก้มต่ำ
"เป็นบุญคุ้มหัวทั้งแม่ทัพและน้องนางคนใหม่... คนโปรดของเจ้าปรันมาทั้งคู่ อีกหน่อยคงจะยกเมืองทั้งเมืองให้เป็นของขวัญแต่งงาน"
"ข้าเพิ่งเห็นเจ้ามีความคิดก็วันนี้"
ปันแสงโมโหที่ปรันมาย้อน
"นี่หรือเกียรติแห่งน้องนางที่จะให้คนศรีพิสยากราบไหว้ มาทำมารยาเจ็บป่วยเพื่อนอนในเรือนผู้ชาย"
"เจ้าพูดถูก ข้าต้องมาที่นี่เพื่อรักษาเกียรติแห่งน้องนาง ฝากบอกเจ้านางอินยาด้วย ปันแสง"
ปรันมาจ้องปันแสง และออกคำสั่งให้ทุกคนได้ยิน
"มรันมาจะไปรักษาตัวที่ตำหนักเจ้านางจันทเทวี ห้ามให้ใครพาตัวออกไปไหน จนกว่าข้าจะอนุญาต ใครขัดขืน ข้าจะไม่สอบสวน โทษตายสถานเดียว"
ติสสาก้มลงคำนับปรันมา ทุกคนในนั้นมองปันแสงด้วยแววตาสมเพช รังเกียจ และดูถูก เขาอ่านสายตาทุกคนออก ก็ยิ่งแค้นใจ
ในตำหนักเจ้านาง อินยามองปันแสงพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ
"ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว ปรันมามันดูถูกข้าต่อหน้าพวกมัน ข้าก็เป็นลูกพ่อเหมือนๆ มัน ความเป็นกษัตริย์ของข้าก็ไม่ต่ำชั้นกว่ามัน แต่ปรันมามันย่ำศักดิ์ข้ายิ่งกว่าฝุ่นผงใต้ตีน"
อินยาลูบหน้าปันแสงด้วยกิริยาอ่อนหวาน
"ยิ้มไว้ ปันแสง... เจ้าจะต้องเข้มแข็ง และ ยิ้ม รอยยิ้มของเราจะทำให้ศัตรูหลงทาง แล้วเมื่อนั้นค่อยหยิบดาบของเจ้า เสียบตัดขั้วหัวใจพวกมันทีละคน"
"ข้าใจเย็น ทนยิ้มเหมือนท่านไม่ได้"
"ก็แล้วเจ้าจะโวยวายให้พวกมันล่วงรู้ความในใจไปทำไม... ปล่อยให้ปรันมา มันคิดว่าความเป็นเจ้าเหนือชีวิตจะทำให้มันควบคุมเราได้ ทำให้เราหวาดกลัวได้ แล้วถึงวันนั้น .. เราก็จะทำให้มันจะสูญสิ้นหมดทุกอย่าง"
"กระทั่งชีวิต... ก็ต้องไม่เหลือ"
สองแม่ลูกยิ้มร้ายให้กันกับความหวังที่อยากโค่นปรันมาให้พ้นบัลลังก์ อุตลาเข้ามารายงาน
"ไม่รู้พ่อค้าน้ำหอมสองคนนั่น มันมุดดินหายหัวไปได้ยังไง เจ้านาง ไม่มีใครเห็นมันเลยตั้งแต่เมื่อคืน"
"เจ้ามันโง่ หามันให้เจอสิ งานแค่นี้ทำไมต้องทำให้เจ้านางต้องมีโมโหด้วย"
อินยาหยิบแส้ อุตลาหมอบแทบติดพื้นด้วยความกลัว ปันแสงเอ่ยห้าม
"แต่จะฆ่ามันก็ตายเปล่า เก็บไว้รองมือรองเท้า ยังพอสนุกได้บ้าง"
ปันแสงหันไปสั่งอสุนี
"เอาทหารของข้าไปเฝ้าไว้ พ่อค้าน้ำหอมกลับมาเมื่อไหร่ ตัดหัวโยนให้แร้งกิน"
อสุนีก้มรับคำแล้วออกไป อุตลาจะคลานหลบไปด้วย
"จะออกไปไหน" ปันแสงถาม
อุตลาแนบตัวติดพื้น กลัวจับใจ
"เจ้ารู้จักข้าหลวงคนไหนในตำหนักจันทเทวี"
"ไม่รู้.. ข้าไม่รู้จัก"
"หาเข้าสิ หาให้เร็วที่สุด"
"จะให้วางยาพิษมรันมาอีกครั้งหรือท่าน"
เจ้านางอินยาโมโห ตบเข้าให้ อุตลาหน้าสะบัด เจ็บจนร้องไม่ออก ได้แต่กุมแก้ม
"ข้ากับปันแสงต้องรู้ว่ามรันมามันทำอะไรบ้างในตำหนักจันทเทวี"
อุตลารีบออกไป ปันแสงมองเจ้านางอินยา
"พวกมันเอาตัวมรันมาไปจากเราจนได้"
"มันเอาของเล่นเราไป เราก็ต้องควักหัวใจพวกมันออกมาเล่นสนุกบ้าง" อินยาบอกก่อนเดินเร็วออกไปทันที ปันแสงมองสงสัย
สวนในตำหนักจันทเทวีติสสายืนคิดเรื่องเจ้านางอินยาอยู่ มรันมาค่อยๆเดินเข้ามา
"น้องน้อย ออกมาจากตำหนักทำไม"
ติสสาสีหน้ายิ้มแย้มรีบเข้ามาประคองมรันมาไว้
"อย่าเดินเลยน้องน้อย ให้พี่ชายอุ้มน้องน้อยดีกว่า"
มรันมาห้ามไม่ทัน ติสสายกตัวเธอนั่งในตักของตัวเอง
"พี่ชายดีใจที่สุดที่เห็นรอยยิ้มน้องน้อย"
ติสสาแตะใบหน้านวลของมรันมาด้วยแววตาห่วงใย
"พี่สวดอ้อนวอนภาวนา ขอให้พระเพ็งคุ้มครองน้องน้อย อย่าให้น้องน้อยต้องทิ้งพี่ชายไป"
"พี่ชายห่วงน้องน้อยเหลือเกิน"
"ห่วงที่สุด ห่วงมากกว่าชีวิตตัวเอง"
ติสสากุมมือขึ้นจูบลงแผ่วเบา
"โชคดีที่เจ้าปรันมาพาตัวน้องน้อยมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นพี่คงต้องฆ่าเจ้านางอินยา"
มรันมาตกใจ
"พี่ชาย"
"จริงๆนะ น้องน้อย พี่ทำได้ พี่จะฆ่าคนที่มันทำร้ายน้องน้อยทุกคน"
แววตาติสสาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
ด้านหน้าถ้ำ เวลาเย็นต่อเนื่อง เจ้านางอินยาประทับบนเสลี่ยงที่ประดับประดาสวยงาม มีทหารแบกมา ทหารคุ้มกันและข้าหลวง ฝ่ายละ 6 คนเดินตามรอบเสลี่ยง ขบวนเสลี่ยงมาหยุดลงหน้าปากถ้ำ ทหารวางเสลี่ยงวางลง เจ้านางอินยาเดินมองไปด้านใน
ข้าหลวงและทหารทุกคนหมอบรอด้านหน้า เห็นเจ้านางอินยาเยื้องย่างเดินเข้าไปในถ้ำอย่างคุ้นเคย
เรือน้อยที่ลอยลำอยู่กลางบ่อมรกตสวย ติสสากอดมรันที่สีหน้าสดชื่นระบายรอยยิ้มสวยไว้แนบอก
"ณ ที่ตรงนี้คือสวรรค์ส่วนตัวของน้องน้อยกับพี่ชาย ขอบใจพี่ชายเหลือเกินที่พาน้องน้อยมา"
"ที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่แห่งรักของเรา เช่นเดียวกับอ้อมกอดพี่ชายที่จะมีไว้เพื่อน้องน้อยคนเดียว ... พี่ชายสัญญา"
"น้องน้อยเกรงว่าเจ้านางอินยาจะต้องหาทางเอาตัวน้องน้อยไปจนได้"
"เจ้านางก็จะได้ศพพี่ชายไปแทน"
"พี่ชาย... น้องน้อยไม่อยากได้ยิน"
มรันมาซุกลงในอกติสสาด้วยความกลัว
"ถ้าไม่มีพี่ชาย น้องน้อยก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว"
"วันใดไม่มีน้องน้อย พี่ชายก็ไม่ขอมีลมหายใจเหมือนกัน"
ทั้งคู่กอดกันด้วยความรัก นุ่มนวล และอบอุ่น
ในถ้ำ แสงเทียนส่องวับแวมตรงหน้าอินยา
"ช่วยข้าชำระแค้นในใจด้วยเถิด แม่เฒ่า"
แม่เฒ่าผู้มีอาคม ใบหน้าหยาบกร้าน เต็มไปด้วยริ้วรอย แววตาเจ้าเล่ห์ ดวงตาดุจปีศาจ รอยยิ้มแสยะของแม่เฒ่านั้น ไม่ได้ทำให้เจ้านางอินยาหวาดกลัว กลับเพ่งมองอย่างเป็นที่พึ่ง
"ท่านต้องช่วยข้า... ข้าอยากให้มันทรมาน"
"ใคร ชายหรือหญิง"
"นังทาสชั่ว มรันมา"
แม่เฒ่าแสยะยิ้ม ดึงมือเจ้านางอินยามาลูบไล้เบาๆ
"อเลยา แม่มันเคยแย่งความรักของข้าไป ลูกมันจะต้องชดใช้ ข้าอยากทำลายความรักของมัน ให้มันเจ็บปวดร้อยเท่าพันเท่า ให้ความทรมานสิงสถิตอยู่ในชีวิตของมัน"
ชั่วเสี้ยวนาที แม่เฒ่าดึงมีดอาคมข้างกายออกมาปาดลงที่แขนเจ้านางอินยา เป็นแผลยาว เลือดกระฉูดออกมาข้อมือขวา แม่เฒ่าพลิกแขนลงในน้ำมนต์อามคมสีดำสนิท ปากพึมพำมนต์ดำ เลือดเจ้านางอินยาวิ่งไปรวมกันเป็นก้อนแล้วตกผลึก
เจ้านางอินยาเพ่งมอง
"ไม่เกินคืนถัดไป มันจะต้องมาวิงวอนขอความรักจากเจ้า"
เจ้านางอินยาสีหน้าเปี่ยมสุข น้ำมนต์สีดำ ใจกลางคือเลือดของเจ้านางอินยาที่ซึมพรวดหายวับลงไปในภาพติสสา
ติสสาที่กำลังหลับ ลืมตาขึ้นเหมือนถูกมนต์สะกด เอ่ยขึ้น น้ำเสียงทอดหวานเหมือนกำลังอยู่ในห้วง หลงละเมอเพ้อถึงเจ้าของชื่อ เจ้านางอินยา...
สถบดีลืมตาขึ้นเหมือนตื่นจากฝันก็ตกใจที่เห็นนรสิงห์อยู่ตรงหน้า
"นรสิงห์"
เขาเห็นรัดเกล้า คทารัตน์ วิวรรธน์ นั่งกันอยู่
"นรสิงห์ คุณทำอะไรพวกเรา"
นรสิงห์หัวเราะในลำคอ เสียงนั้นดูหยามหยันกับความงุนงงของสถบดี
"ถ้าข้าทำ พวกเจ้าหรือจะขัดขืนได้"
เสียงนรสิงห์เหมือนปลุกทุกคนตื่น รัดเกล้า คทารัตน์ วิวรรธน์ต่างลืมตาขึ้น ทันทีที่คทารัตน์เห็นสถบดีก็ใส่ทันที
"อะไรเนี่ยะ... ฉันฝันถึงผู้กองไผ่ได้ยังไง"
"ฝันเหรอ" วิวรรธน์ว่า
"ฝันน่ะสิ ฝันชัดๆ"
คทารัตน์หยิกเข้าที่แขนวิวรรธน์
"โอ๊ย"
"นี่ไง... ไม่เจ็บ"
"ก็แน่สิ เจ๊ หยิกคนอื่น ตัวเองจะเจ็บได้ยังไง"
คทารัตน์ลุกพรวด หันไปมองนรสิงห์
"ดีจัง ฝันเห็นคุณนรสิงห์ด้วย เหมือนมาปาร์ตี้เลยนะคะ"
รัดเกล้ามองพี่สาวเต็มๆตา แล้วเรียก
"พี่วิกกี้คะ"
"เอ้า... ยายเกล้า มาอยู่ในฝันฉันด้วยเหรอ มิน่าไอ้ผู้กองไผ่ถึงพ่วงมาด้วย"
คทารัตน์หันไปมองสถบดีแล้วระเบิดหัวเราะ เขาก้มมองตัวเอง
"เฮ้ย"
สถบดียืนขึ้นในชุดนอนเสื้อยืดลายหมีพูห์สีชมพูเก่าเปื่อย กางเกงกีฬาขาสั้นสีสะท้อนแสง
"น่ารักมาก ผู้กอง น่ารักสมวัย"
รัดเกล้าเผลออมยิ้ม
"เจ๊ก็น่ารักมาก สมเป็นเจ้าแม่เก๋โก๊ะ"
คทารัตน์มองเห็นสายตาล้อเลียนของสถบดีกับวิวรรธน์ ก็ก้มมองดูตัวเอง
"ว๊าย"
เธอใส่ชุดเสื้อยืดยาวตัวโคร่ง ชายเปื่อยยุ่ย กางเกงบ๊อกเซอร์ มีเข็มขัดรัดหน้าท้องอันใหญ่คาดไว้
"แฟชั่นใหม่จากแคทวอล์คเลยอ่ะ เจ๊"
"ไอ้บ้าวิว เดี๋ยวแม่ตบฝันกระจาย นี่มันความฝัน... ความฝันว่าเรามาปาร์ตี้ชุดนอนใช่มั้ยคะ คุณนรสิงห์"
"แล้วทำไมต้องให้เราฝันเหมือนกัน"
รัดเกล้าเอ่ยถาม นรสิงห์มองสะกดทุกคนจนนิ่งไป
"รัดเกล้า...เราไม่ได้ฝัน"
รัดเกล้านิ่งไปแล้วอีกคน สถบดีลุกพรวดจะเข้ามาหานรสิงห์
"คุณทำอะไร...พวกเรา นรสิงห์"
สถบดีพยายามสู้ตานรสิงห์ ฝืนตัวเองไว้
"ให้เห็นกรรมที่รอวันชำระ"
สถบดีที่กำลังจะหมดสติ ร่างกายกำลังเสียการควบคุม เขาเห็นนรสิงห์ล่องลอยในความมืดไปรอบห้อง เขาพยายามหันมองตาม
"กรรม...ของ... ใคร...ใคร...ใน...อดีต"
เขาโงนเงนฝืนตัวเองไม่ไหว
"ผู้หญิงคนนั้น เจ้านาง ทำอะไร เรา"
เขากำลังจะหลับไปอีกครั้ง แต่ก็ฝืนตัวเองไม่ให้ถูกสะกดทับ ด้วยการจ้องแววตานรสิงห์ที่เก็บเรื่องราวทุกอย่างมากมายไว้ เขายื่นมือไปข้างหน้าเพื่อคว้าร่างนรสิงห์ แต่มือของเขากลับผ่านทะลุร่างนรสิงห์ที่หายวับไป
สถบดีล้มลง หมดสติลงไปกับพื้น
เช้าวันใหม่ สถบดีลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง เห็นพัทธยากำลังเปิดม่าน แสงแดดแยงตาผ่านทะลุม่านเข้ามา
"เชิญเสด็จลงจากเตียงบรรทมไปทำงานได้แล้ว...ไอ้เวร หนักมากเหรอเมื่อคืน"
สถบดีมองชุดนอนตัวเอง ลูบคลำ นึกถึงความฝันที่ไปบ้านนรสิงห์
"แกเห็นมั้ย ไอ้พัทธ์"
"เห็นดิวะ... นอนลูบไล้ตัวเองอยู่เนี่ย ลามกสิ้นดี"
"ไม่ใช่ แกเห็นกางเกงฉัน"
"ไอ้บ้า ถามอะไร ข้าไม่ได้ลวนลาม ลักหลับเอ็งนะโว๊ย"
"ไม่ใช่... ฉันหมายถึง กางเกงกับเสื้อชุดนี้ ฉันใส่ไปบ้านนรสิงห์"
"บ้าแล้วไอ้ไผ่ เอ็งจะไปบ้านนรสิงห์ทั้งชุดนอนมีสไตล์ขนาดนี้ได้ไง ไปตอนไหน ... ข้าเข้ามาก็เห็นเอ็งนอนแบอยู่บนเตียงเนี่ยะ"
"ฝัน... นี่ฝันจริงๆเหรอวะ"
สถบดีมองตัวเองในชุดนอนยู่ยี่อย่างไม่ค่อยแน่ใจ
คทารัตน์พรวดมายืนหน้ากระจก มองเห็นตัวเองในชุดนอน แล้วทำหน้าตาเหมือนโลกกำลังจะแตก
"ไม่ฝัน ไม่จริง ไม่ใช่ ฉันไม่มีวันใส่ชุดนอนแบบนี้ไปบ้านคุณนรสิงห์"
คทารัตน์วิ่งพรวดออกไปจากห้องนอนทันที
จบตอนที่ 4