แค้นเสน่หา ตอนที่ 7
ที่โรงเรียนราชนารีวันนี้ มีการซ้อมการแสดง รุ้งซ้อมรำอยู่กับครูผู้ฝึกการรำ และมีครูผู้ช่วยผู้หญิงอยู่ด้วย นักเรียนที่รอซ้อมชุดต่อไป คือการแสดงระบำสเปญ ซึ่งมี จริมา ทอแสงรัศมี อรสา และเด็กผู้หญิงอีก 3 คน และนอกจากนี้ยังบรรดาเพื่อนๆ เด็กสาวๆ นั่งรอดูอยู่ประปราย
รุ้งซ้อมรำอวยพร โดยมีครูฝึกคอยจับท่าทางให้ รุ้งตั้งอกตั้งใจมาก
สักครู่หนึ่ง มีเสียงหญิงทอแสงกับเพื่อนคุยกันเสียงดังมาก ดังเข้ามาแว่วๆ ถ้อยคำประมาณว่าตนชักชวนพี่ชายเดียวมางาน พี่ชายบอกจะมาแน่ๆ เพราะจะมาดูฉันเต้นระบำสเปญ เพื่อนบอกว่าไม่ชวนเพื่อนคุณชายมาด้วยหรือ ทอแสงถามว่าให้ชวนเหรอ ชวนมาทำไม เพื่อนว่า แหมอยากรู้ว่าเพื่อนคุณชายจะหล่อเหมือนคุณชายมั้ย ประมาณอย่างนี้
จริมาทนไม่ไหวที่เห็นถูกรบกวนสมาธิ เลยพูดขึ้นลอยๆ
“เสียงดัง ไม่รู้จักเกรงใจใคร”
ทอแสงรัศมีหันขวับมาทันที “ว่าใคร”
จริมาตอบทันทีเหมือนกัน “ว่าเธอนั่นแหละ”
“ยุ่งอะไรด้วย หน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยเหรอ” หญิงทอแสงย้อน
“ไม่ต้องมีหรอก คนทำหน้าที่นั้น วิญญูชนควรจะรู้ด้วยตัวเอง” จริมาโต้
“เชอะ วิญญูชน” ทอแสงรัศมีกระซิบถามเพื่อนคนหนึ่ง “แปลว่าอะไร”
“คนดี” เพื่อนบอก
จริมาสวนทันที “คนรู้ผิดรู้ถูก”
“แล้วมันผิดตรงไหน” หญิงทอแสงย้อนอีก
“อรสา เธอบอกเค้าไปเถอะ ชั้นขี้เกียจพูดกับคนไม่มีความคิด” จริมาบอกอรสา
ทอแสงรัศมีปราดเข้าหา ยืนประจันหน้า “มากไปแล้วนะจริมา”
“มากแค่ไหนล่ะ ทอแสงรัศมี”
ตอนนี้เพื่อนๆ ของทั้งสองคนดึงๆ กันไว้บ้าง
“เธอไม่ใช่ครูจะมาว่ากันแบบนี้ไม่ได้”
“ก็ได้....ฉันถอนคำพูดที่ว่าเธอไม่มีความคิด”
“ไม่ได้...เธอต้องขอโทษฉันก่อน”
“เอางั้นเชียว”
“ขอโทษมา”
จริมาพึมพำ “ยากตรงไหน” แล้วเสียงดังขึ้น “ขอโทษที่ฉันว่าเธอไม่มีความคิด”
ทอแสงรัศมีมองหน้าจริมานิ่งๆ ชักงงว่าจะไปยังไงต่อ
“พอใจแล้วนะคุณหญิง”
อรสาลากแขนจริมาออกมา “แค่นี้พอ ยายทอแสงกำลังงง”
หญิงทอแสงยังหน้างงๆ อยู่ “ชั้นไม่ชอบหน้าตาเค้าเลย ขอโทษชั้นแต่ทำหน้าอย่างนั้น”
“หน้ายังไงเหรอ” เพื่อนชื่อประไพถาม
“เธอเห็นว่าหน้าเค้าสำนึกผิดมั้ย วนิดา” ทอแสงรัศมีถามทางวนิดา
“ไม่เห็น เห็นแต่สำนึกถูก” วนิดาบอก
ทอแสงรัศมีตาเขียว “แน่ใจนะคือคำตอบ งั้นปากกาที่ว่าจะให้เปลี่ยนใจแล้ว”
วนิดามองจ้อง สีหน้าผิดหวังมาก
“ให้ตอบใหม่ได้” หญิงทอแสงว่า
“ใช่...เค้าไม่สำนึกผิดเลย จริมานิสัยไม่ดีจริงๆ” วนิดาบอก
หญิงทอแสงเหล่นิดหน่อย “พอยอมรับได้ พรุ่งนี้เอาปากกามาให้”
รุ้งรำถึงบทสุดท้ายพอดี ครูสอนระบำสเปญออกมาเรียกว่า
“ระบำสเปญ...ซ้อมได้”
ไม่นานต่อมาพวกนักเรียนที่ระบำสเปญ กำลังยืนเตรียมพร้อม ดนตรีขึ้น และเริ่มเต้นกัน ครูคอยบอกท่าทาง
ทอแสงรัศมีและจริมา เต้นอยู่ใกล้กัน บางทีหันไปกระทบกัน หญิงทอแสงมองตาเขียว แต่จริมานั้น สุขภาพจิตดีเยี่ยม หันไปท่าทำขอโทษแบบไม่อยากให้มีเรื่อง แต่คราวหนึ่ง ทอแสงรัศมีเกเร กระแทกอรสาเข้าอย่างจังและอย่างจงใจ อรสาคะมำไปข้างหน้า เกือบล้ม
“โอ๊ย....เต้นดีๆ สิ” อรสาบ่น
“ไม่เห็น” หญิงทอแสงบอก
“ไม่จริง ฉันรู้ว่าเธอเห็นเธอจงใจนิสัยไม่ดี” อรสาไม่เชื่อ
“เอ๊ะ..ยายผมม้าปิดหน้าปิดตาจะบอดแล้ว รู้ได้ไงว่าชั้นเห็น”
“ต่อให้ชั้นหลับตาชั้นก็เห็นย่ะ”
ครูสอนรำยืนเหล่มอง สีหน้าเบื่อๆ
“ช่างเธอสิ ชั้นไม่เห็นจริงๆ นี่น่า” หญิงทอแสงว่า
จริมา มองแบบคาดโทษเดี๋ยวเถอะคอยดู
“เอาล่ะ...ทะเลาะกันเสร็จแล้วใช่มั้ย...ซ้อมต่อ” ครู่เอ่ยขึ้น
นักเรียนทั้งหมดหันมาดูครูงงๆ
“ถ้าชั้นตัดสินพวกเธอจะเลิกทะเลาะกันมั้ย ก็ไม่....ชั้นเห็นเธอทะเลาะกันตั้งแต่ ม.1 แล้วมั้ง กี่ปีแล้วล่ะ ไม่เห็นมีแววว่าจะเลิกทะเลาะ ก็ทะเลาะไปอย่าให้ถึงกับทำร้ายกัน....เข้าใจมั้ย”
เด็กทุกคนหน้าจ๋อย
“คนเราไม่ชอบกันเป็นธรรมดาที่จะพูดจาขัดแย้งกัน แต่จำไว้อย่าถึงขั้นทำร้ายกันอย่างนั้น มันคือจิตใจที่มืดบอด ดำสนิท ถึงขั้นทำร้ายกันได้อาจจะต่อไปถึงทำผิดศีลธรรมได้...เข้าใจนะทุกคน” ครูอบรม
เด็กๆ พยักหน้าน้อยๆ พนมมือรับคำทุกคน
“อีกอย่าง นักเรียนตีกันมันเป็นภาพที่น่าเกลียดเหลือทน อย่าให้ชั้นเห็นเป็นอันขาด ชั้นเป็นครูพวกเธอ ชั้นทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกศิษย์ตีกัน”
โรงเรียนเลิกแล้ว รุ้ง จริมา อรสา พี่ตุ๊ และพี่เหน่ง เดินมาที่หน้าโรงเรียนด้วยกัน เห็นทอแสงรัศมีกับพรรคพวกเดินไปข้างหน้า
“แหม..ไม่งั้นล่ะ สวย” จริมาเอ่ยขึ้น
“อะไร” อรสางง
พี่ตุ๊ก็งง “นั่นสิอะไรสวย”
พี่เหน่งเย้า “ชมพี่ว่าสวยเหรอจ๊ะ ริมา”
“ชมเราทุกคนเลยว่าสวย แต่กะอีกคน สวยอีกแบบ” จริมาว่า
“รุ้งยังใจหาย คิดว่าเดี๋ยวคุณหญิงต้อง...”
“ล้มหน้าคะมำ...แน่นอน วางแผนไว้แล้ว เอาให้ปากแตกเลย เพราะยายผมม้าเนี่ยได้แต่...นิสัยไม่ดี..นิสัยไม่ดี” จริมาทำเสียงเล็กเสียงน้อย “แค่เนี้ย...คุณหญิงเธอจะเจ็บแค่ไหนเชียว”
“พูดอะไรอย่างอื่นไม่ออก...โกรธ” อรสาบอก
จริมามองหญิงทอแสงไปพูดกับรุ้งไป “ยายคุณหญิงคนนี้...ริมาจะคอยดูต่อไปว่าที่ครูสอนเมื่อกี้น่ะเข้าหัวเค้าแค่ไหน”
“เข้าสิ ริมา...เขาต้องเข้าใจรุ้งเชื่อ” รุ้งว่า
เย็นนั้น ขนาดมาบ้านปัณณธร สองสาวยังคุยกันเรื่องหญิงทอแสงไม่เลิก จริมาพูดต่อ
“โธ่เอ๋ย....คิดว่าคนอย่างยายทอแสงรัศมีจะรับอะไรดีๆ อย่างนั้นเข้าสมองเหรอ คอยดูไปแล้วกัน”
“รุ้งว่าเข้า”
“ตัวเล็ก ตัวน่ะมองอะไรสวยงามไปหมด...เอาไว้อีก 5 ปี ชั้นจะชี้ให้ตัวเห็นว่า คนอย่างทอแสงรัศมี” จริมายักไหล่ จริมากับรุ้งเดินผ่านหน้าประตูห้องพจน์ ได้ยินเสียงพจน์ไอแรงๆหลายที
ฝ่ายจันทร์กับยอด เดินคุยกันมาถึงใกล้ๆท่าน้ำของบ้านปัณณธร
“ฉันจะไปที่ครัว คุณพจน์ไม่ค่อยสบาย ต้องทำอาหารอ่อนๆ ให้เธอ”
“ผมเห็นคุณพจน์ไอมาก..น่ากลัว” ยอดบอก
“เห็นที่ไหน”
“บางครั้งคุณพจน์มานั่งอ่านหนังสือที่ท่าน้ำ”
“ฉันไม่เคยได้ยิน”
“น่ากลัวคุณพจน์จะพยายามปิดบังทุกคน”
พจน์ อยู่ในห้องนอน ไอโขลกๆ อย่างรุนแรง สีหน้าครุ่นคิด กังวลมาก มีเสียงเคาะประตู พจน์ไปเปิด เป็นจันทร์ที่เคาะ
“คุณพี่คะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ น้องได้ยินเสียงไอ”
“อ๋อ” พจน์พูดเสียงปกติมาก “สำลักน้ำ อ้อ จันทร์ วันเสาร์นี้พี่จะมีแขกพิเศษมารับประทานอาหารที่บ้านนะ ช่วยจัดเตรียมด้วย”
“กี่คนคะ”
“คนเดียว แขกพิเศษคนเดียว ให้ริมา รุ้ง ฉัตต์ นั่งโต๊ะด้วย”
สีหน้าพจน์ดูเป็นกังวล แต่ได้ตัดสินใจแล้วจะทำยังไงต่อไป
ถึงคืนวันเสาร์ ครอบครัวปัณณธรต่างคอยแขกสำคัญกันอย่าพร้อมหน้าในห้องโถงใหญ่
“พ่อพจน์ ไหนบอกแม่ซิว่า วันนี้เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไร แล้วใครเป็นแขกพิเศษของพ่อพจน์” คุณหญิงเพ็งนึกสงสัย
“คุณแม่คอยดูนะครับ” พจน์อมพะนำ
“ใคร แล้วทำไมต้องให้เด็กเล็กมาคอยยืนเฝ้ารับเสด็จด้วย เขาจะได้ไปทำการบ้านกัน” คุณหญิงสงสัยมาก
“สักครู่เดียวครับ”
“เอ้า...สาวๆ คุยอะไรกัน เสียงรถแล้วกระมัง ต้องเข้าแถวด้วยมั้ยจ๊ะพ่อพจน์”
“คุณแม่” พจน์หัวเราะประจบๆ
หลวงวิเศษก้าวเข้ามา แล้วไหว้คุณหญิง ขณะที่จันทร์ตกตะลึง คาดไม่ถึง
“คุณหลวงวิเศษนี่เอง พ่อพจน์ทำแม่นอนไม่หลับว่าแขกพิเศษเป็นใคร” คุณหญิงทักทาย
“ไม่ได้พบคุณหญิงนาน สบายดีนะขอรับ” หลวงวิเศษทักตอบ
“ตามประสาคนแก่ค่ะ ลูกหลานเขาคอยเอาใจดีอยู่”
“อ้อ นี่หลานๆ” หลวงวิเศษรับไหว้ฉัตต์ จริมา และรุ้ง “เอ๊ะ ของคุณพจน์มีสามหรือนี่ คิดว่าสอง”
“นั่นหลานยายค่ะ ลูกของลูกสาว” คุณหญิงเพ็งหมายถึงจันทร์
จันทร์ไหว้หลวงวิเศษซึ่งมองอย่างตะลึงแล “อ๋อ...” พลางหันไปทางพจน์
“ครับ แม่จันทร์ น้องสาวผมครับคุณหลวง” พจน์มองตาคุณหลวงเป็นนัย รู้กัน
“อ้อ... ครับคุณพจน์... เห็นแล้ว” หลวงวิเศษลดเสียงลงหน่อย
“รับประทานอาหารกันก่อนเถิดนะครับ” พจน์ว่า
ทั้งหมดนั่งทานอาหารกันอย่างเรียบร้อย คุยกันเบาๆ รุ้ง ฉัตต์ จริมา นั่งเรียบร้อยตามประสาเด็กๆ สำลี และอ่อนคอยเสิร์ฟอาหาร หลวงวิเศษ คุยอย่างสุภาพกับคุณหญิง มีบางครั้งเหลือบชำเลืองมองดูจันทร์
หลวงวิเศษ เห็นภาพจันทร์สงบงาม ยิ้มน้อยๆ ดูเป็นผู้ดี คุณหลวงเพ่งมองในอาการพิศวง
ไม่นานต่อมา ทุกคนอยู่ตรงทางออกจากห้องอาหาร พจน์เอ่ยขึ้น
“ฉัตต์ ริมา รุ้ง ลาคุณหลวงได้แล้วลูก จะได้ไปทำการบ้าน”
ทั้งหมดมาลา หลวงวิเศษยิ้มแย้มกับฉัตต์และริมา จนถึงรุ้ง คุณหลวงมองอย่างเพ่งพิศ
“หนูรุ้งหรือ...” หลวงวิเศษหันมาทางจันทร์ “รุ้งเฉยๆ หรือว่า มีอะไรนำหน้าอีก”
“รุ้งเฉยๆ ค่ะ” จันทร์ตอบเสียงแผ่วเบา
หลวงวิเศษพยักหน้าช้าๆ “อือม์! เจริญสุขนะคะลูก”
“ขอบพระคุณค่ะ” รุ้งไหว้
“ไป ย่าพาไปลูก” คุณหญิงเพ็งบอก
หลวงวิเศษไหว้คุณหญิง ทั้งหมดเดินออกไป
“เชิญดื่มกาแฟทางนี้ครับ คุณหลวง”
สามคนอยู่ในห้องพักผ่อน จันทร์รินกาแฟส่งให้พจน์ ส่งให้หลวงวิเศษ หลวงวิเศษรับมาจ้องหน้าจันทร์
“ขอบคุณครับ หม่อมบุหลัน”
จันทร์สะดุ้งนิดๆ พจน์ไม่แสดงกิริยาผิดปกติ
“จันทร์ ตามที่น้องอนุญาต พี่ได้เล่าให้คุณหลวงฟังทุกอย่าง”
หลวงวิเศษถามขึ้น “หนูรุ้งคือ...”
“หม่อมราชวงศ์หญิงวิมลโพยม รังสิยา” จันทร์บอก
“หม่อมมีลูกแฝด คุณชายศักดินา กับ...”
“ค่ะ ลูกหญิงคลอดในเรือ ไม่มีใครที่วังรู้เรื่อง”
“เรื่องเป็นอย่างไรครับ” พจน์ถาม
หลวงวิเศษตรึกตรอง “ตัวการคือนางเฟือง ทั้งแต่งเรื่อง ทั้งสั่งฆ่าแต่นางเฟืองก็ชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน ก่อนตายฆ่านายแคล้วด้วย หม่อมและเจ้ายอดหายไปด้วยกัน”
“ท่านชายคงจะทรงคิดว่าดิฉันหนีไปกับนายยอด”
“มิได้ครับ ผมขอยืนยันว่าท่านชายไม่เคยทรงคิดอย่างนั้นเลย ท่านตรอมพระทัยประชวรหลายครั้ง สุดท้ายเกิดอุบัติเหตุท่านตกบันไดเป็นอัมพาตครึ่งตัว”
“ดิฉันไม่รู้ข่าวที่วังอีกเลย”
“ผมสงสัยว่าเมื่อหม่อมสามารถเอาชีวิตรอดมาได้แล้ว นายยอดก็เป็นพยานปากสำคัญได้ ทำไมถึงไม่พึ่งกฎหมาย” หลวงวิเศษถาม
“ความกลัวไงคะ” อดีตหม่อมบุหลันตอบทันควัน พอสบตาพจน์ เขาก็พยักหน้าให้กำลังใจ “ดิฉันไม่ทราบว่านางเฟืองตาย ถ้าดิฉันกลับ นางเฟืองไม่มีวันปล่อย มันแค้นแทนท่านหญิง”
“เสียดายเหลือเกินที่ท่านชายไม่ทรงทราบว่ายังมีลูกหญิง”
“ป่านนี้อาจจะทรงรับรู้แล้ว” พจน์ว่า
“ขอบพระคุณค่ะคุณพี่ ขอบพระคุณคุณหลวง ดิฉันเป็นหนี้บุญคุณร่มไม้ชายคาของบ้าน “ปัณณธร” ได้กินอิ่มนอนหลับ ลูกหญิงมีการศึกษา ลูกชาย...” เสียงจันทร์สะดุดเล็กน้อย กล้ำกลืนความรู้สึกภายใน “แม้ไม่ได้รู้จักว่าเป็นแม่ลูก แต่เมื่อเขามีความสุข ดิฉันก็ดีใจและไม่ต้องการเรียกร้อง เพราะมันอาจเป็นการดึงเขาให้ตกต่ำ เขาอาจโกรธดิฉัน”
“หม่อมไม่คิดถึงว่าคุณหญิงควรจะ...” หลวงวิเศษพูดไม่ทันจบ
จันทร์บอกทันที “ลูกเป็นผู้หญิง วันหนึ่งไม่ช้าไม่นานเธออาจออกเรือนไปใช้สกุลอื่น ก็แล้วทำไมจะต้องทำให้เรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น”
พจน์โน้มตัวมาตบหลังมือจันทร์เบาๆ ด้วยความชื่นชมแล้วกล่าวกับหลวงวิเศษ
“ที่เรียนเชิญคุณหลวงมาที่บ้าน ก็เพื่อให้เป็นสักขีพยานด้วยอีกคน ชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน หากผมมีอันเป็นไปผมก็ไม่ต้องการให้ความจริงทั้งหลายตายไปกับผม ต่อจากนี้ผมขอมอบความลับของหม่อมบุหลันฝากไว้ในความยุติธรรมของคุณหลวงด้วยขอรับ”
จันทร์สะดุดคำพูดของพจน์
“คุณพี่หมายความว่ายังไงคะ”
“ไม่มีอะไร พี่แค่ไม่อยากประมาทเท่านั้น”
เวลาต่อมา พจน์อยู่ในห้องหนังสือ ไอโขลกๆ เอาผ้าเช็ดหน้าที่ปิดมาดู เห็นเลือดสดๆ พจน์ไม่ตกใจ มีเสียงเคาะประตู พจน์หันไป รู้ทันทีว่าเป็นใคร พจน์มองอย่างใจเย็น เอาผ้าผืนนั้นใส่กระดาษห่อมิดชิด เสียงเคาะประตูดังอีก
“จันทร์หรือ”
“ค่ะ”
พจน์เปิดประตู จันทร์ถามทันที
“ได้ยินเสียงคุณพี่ไออีกแล้ว”
“อ๋อ มีตัวแมลงตัวหนึ่งเข้าไปในคอ ฉันสำลัก ไอเสียมากมาย”
จันทร์มองอย่างเพ่งเล็ง “จริงนะคะ”
พจน์พูดด้วยท่าทีสบายๆ “จริงสิน้อง...ยังไม่นอนอีกหรือนี่”
“คุณพี่สัญญาก่อน ถ้าไม่สบายเป็นอะไรคุณพี่ต้องบอกดิฉัน”
“สัญญาสิจ๊ะ...พี่จะบอกใครล่ะนอกจากน้อง”
จันทร์มองหน้าพจน์นิ่งๆ สายตาห่วงใยเต็มที่ พจน์มองตอบ แล้วนิ่งงันไปทั้งคู่ จ้องกันอย่างลืมตัว
“จันทร์”
“คุณพี่”
พจน์เดินเข้ามาใกล้ จับบ่าจันทร์ทั้งสองข้าง
“พี่ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องกลัว หรือถ้าเป็น พี่ก็จะเตรียมทุกอย่างไว้ ไม่ให้ใครต้องยุ่งยากเลย”
จันทร์ไม่สบายใจเอาเลย มั่นใจว่าพจน์ปิดบังบางอย่างแน่นอน
แค้นเสน่หา ตอนที่ 7 (ต่อ)
คืนนั้นสองแม่ลูกอยู่ในห้องนอน รุ้งเอ่ยขึ้นถึงงานของโรงเรียน
“งานแซยิดท่านอาจารย์ จะมีเจ้านายเสด็จหลายองค์เลยจ้ะแม่จันทร์ คุณชายเดียวก็ไป ท่านแม่คุณชายก็เสด็จด้วย”
จันทร์นิ่งงัน
“คงเป็นวันรวมเจ้านายเยอะที่สุดมั้ง” รุ้งว่าอีก
“แต่แม่ไม่ไปนะลูก” จันทร์ตัดสินใจบอก
“ไม่ไป” รุ้งตาโต แปลกใจ “ทำไมจ๊ะ”
“วันนั้น แม่ต้องทำน้ำอบไทย สั่งของไว้หมดแล้ว”
“ไม่นะ แม่จันทร์ ทำไมล่ะจ๊ะ”
“แม่ขอโทษ ลืมไปว่าเป็นวันเดียวกัน”
“ลูกไม่ทราบจะพูดยังไง ลูกอยากโกรธแม่จันทร์จริงๆ โกรธได้มั้ย”
“ไม่เป็นไร ถึงแม่ไม่เห็นรุ้งวันนั้น วันต่อๆ ไปรุ้งก็จะรำให้แม่ดูอีกใช่มั้ยลูก”
รุ้งยิ้มใบหน้าแจ่มแจ๋ว
วันงานฉลองประจำปี โรงเรียนราชนารีมาถึง บริเวณงานรอบๆ โรงเรียน ตบแต่งสวยงาม
ส่วนการแสดงจัดขึ้นในห้องประชุมใหญ่ เวทีประดับตกแต่งพร้อมมีม่านปิดเอาไว้ ด้วยยังไม่ถึงเวลา และที่นั่งคนดู มีคนทยอยเข้ามามีที่นังตอนหน้าสำหรับเจ้านาย ส่วนห้องแต่งตัว ถูกจัดเตรียมไว้ด้านหลังเวที
รุ้งอยู่ในเครื่องแต่งตัวรำถวายพระพร ใบหน้าสวยหยด กรอบกระบังทำให้หน้าสวยเด่น
“เติมแป้งนะลูก” จันทร์แตะแป้งลงแถวจมูก “เสร็จแล้ว” เชยคางดูความเรียบร้อย
“ขอกระจกดูหน่อยได้มั้ยจ๊ะแม่จันทร์” รุ้งยิ้มยั่ว “เนี่ย ถ้าลูกไม่ให้อาจารย์เชิญแม่จันทร์มาช่วยแต่งหน้า ไม่มีวันยอมมา คิดดูลูกรำละครทั้งทีไม่ยอมมาดู”
กระจกถูกเลื่อนเข้ามาให้รุ้งดู รุ้งดูแล้วยิ้มน่ารัก
“วันนี้ลูกแม่สวยจริงๆ”
“ลูกสวยเหมือนใครล่ะจ๊ะ” รุ้งมองหน้าแม่เป็นเชิงว่าสวยเหมือนแม่
มือสองข้างของจันทร์ประคองใบหน้ารุ้ง มองนัยน์ตา เสียงท่านชายดังก้องขึ้นในหู
“ถ้าเป็นลูกหญิง ให้ชื่อ หม่อมราชวงศ์หญิงวิมลโพยม”
“คุณหญิงวิมลโพยม รังสิยา” จันทร์พูดคล้ายพึมพำ
ตรงซอกหลืบข้างเวที เห็นรุ้งคอยอยู่จะเปิดฉาก กิริยาท่าทีตื่นเต้นนิดหน่อย
เสียงศักดินาดังขึ้นมา “รำถวายพระพร ผมคิดว่าผมอยากดูรำถวายพระพรที่สุด”
เสียงเหน็บของฉัตต์ดังตามมา “คงรำจนสุดฝีมือล่ะสิ มีคนอยากดูเหลือเกินนี่”
ส่วนห้องแต่งตัว มีผู้คนเยอะแยะ คือพวกระบำสเปญ แต่งตัวแต่งหน้ากันไป
จันทร์แต่งตัวให้จริมา มีเด็กๆ รุ่นน้อง สองคนมาคอยถ่ายรูป
“ยิ้มหน่อย พี่ริมา ยิ้ม” รุ่นน้องบอก
“เฮ้ย ยังแต่งไม่เสร็จ” จริมาโวย จันทร์ทาปากอยู่ “ยังสวยไม่พอ”
“สวยแล้ว...สวยแล้ว...ยิ้ม...ม”
จริมาหัวเราะชอบใจ “เอ้า ยิ้ม...ม แล้ว...ว”
“จวนได้เวลารึยังคะ คุณริมา” จันทร์ถาม
“ป่านนี้รุ้งคงตื่นเต้นมาก”
รุ้งที่จันทร์ห่วง แอบดูอยู่ตรงม่านข้างๆ เวที เห็นคนมาดูพร้อมพรั่ง
เจ้านายฝั่งวังรังสิยามี ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส คุณชายศักดินา และผ่องนั่งหลบๆ อยู่ด้านหลัง
ส่วนวังท่านหญิงเล็ก มีท่านหญิงเล็ก ท่านชายวรจักร และพระญาติ 2-3 คน
และบ้านปัณณธร คุณหญิงเพ็ง มากับพจน์ และละเมียด ส่วนแขกคนอื่นๆ แต่งตัวภูมิฐานทุกคน
จันทร์แต่งเสร็จแล้ว
“เสร็จแล้วค่ะ”
“เอ้า ไอ้พวกนี้ยังถ่ายไมเสร็จอีก...เสร็จยัง” จริมาถามรุ่นน้อง
“นี่...ใส่ฟิล์มรึเปล่า ถ่ายจัง ฟิล์มแพงนะยะ ถ่ายยังกะพิมพ์แบงค์ได้เอง” อรสาบ่น
“เสียงเพลงถวายพระพร...รุ้งรำแล้วล่ะ น้าจันทร์ไปดูสิคะ” จริมาบอก
“ไปได้หรือคะ” จันทร์ถาม
“อรสา พาน้าจันทร์ไปดูรุ้งหน่อย แอบดูตรงประตูนะ”
“อ้าว หนูอรสาก็ต้องเต้นระบำสเปญนี่คะ” จันทร์ท้วง
“ชุดสเปญอยู่เกือบท้ายรายการ น้าจันทร์ไปดูก่อนเถอะ”
ส่วนรุ้งรำอยู่บนเวที คนดูในโรง ต่างก็จ้องดูเป็นตาเดียว ซุบซิบกันบ้างว่างามจริง จันทร์ ซุ่มดูอยู่ตรงประตูมุมมืดๆ สายตาซาบซึ้งขณะมองลูกสาว
รุ้งร่ายรำ ยิ้มหวาน จันทร์มองไปทางที่นั่งคนดู ไล่สายตาไปแต่ละคน จนเห็นท่านหญิงแขไข เห็นคุณหญิงเพ็ง แล้วเห็นศักดินา จันทร์ สายตารอนๆ ดูลูกชาย แล้วหันไปดูลูกสาว จนน้ำตาซึม
ขณะเดียวกันท่านหญิงแขไขจ้องที่รุ้งเขม็ง แล้วหันมาลอบมองดูศักดินา
“งามเหลือเกิน ลูกใครคะ พี่หญิงแขไขทราบมั้ยคะ” ท่านหญิงเล็กยิ้มปลื้ม
“หลานคุณหญิงราชปัณณธร แต่หลานลูกใครก็ไม่รู้แน่เหมือนกัน” ท่านหญิงแขไขบอก
ขณะที่จริมาดูความเรียบร้อยของกระโปรง เสียงชัตเตอร์กดอีกแกร๊ก
“เฮ้ย ยังไม่หมดอีกเหรอ” จริมาโวยขำๆ
“ยิ้มหวานๆ หน่อยค่ะ”
“ยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมดแล้วนะน้องเอ๋ย” จริมาว่า
“อุ้ย... หมั่นไส้ นี่แหละน้าคนไม่เคย มีคนมาถ่ายรูปหน่อยก็วางตัวไม่เป็น ทุเรศ” ทอแสงรัศมีแขวะ
จริมาหยุดยิ้ม แล้วค่อยๆ หันไปทางหญิงทอแสงในชุดระบำสเปญเหมือนกัน ยืนมองสีหน้ากวนประสาท
“ว่าใครทุเรศ” จริมาถาม
“เอ๊า...ไม่รู้จริงๆ แฮะ วนิดาบอกเค้าหน่อยสิ”
“ป่านนี้รู้แล้วมั้ง” วนิดาว่า
จริมามองนัยน์ตาคมกริบ
“หญิงว่ายังนะ ดูหน้ายังเซ่อๆ อยู่เลย”
“ถามว่า ว่าใครทุเรศ” จริมาถามเสียงเข้ม
“ของจริง...” หญิงทอแสงพยักเพยิดกับวนิดา “เซ่อจริง”
“ว่าใคร....ทุเรศ” จริมาเสียงเข้มขึ้นอีก
“ก็ว่าเธอนั่นแหละ อุ้ย ไม่รู้จะเซ่อซ่าไปถึงไหน คนเขาว่าใส่หน้ายังไม่รู้อีก” หญิงทอแสงบอก
“ฉันทุเรศตรงไหน” จริมาล่อให้พูด
“อ๋อ...จะบอกให้เอาบุญ ก็ตรงที่ตื่นเต้นเหลือเกินกะอีแค่รุ่นน้องมาขอถ่ายรูปเนี่ย”
“อ๋อ...ยังงั้นเหรอทุเรศ” จริมาว่า
หญิงทอแสงชักเริ่มตะหงิดๆ เห็นความไม่ชอบมาพากล “ทำเป็นเซ่อซ่าตาใส”
จริมาเข้าประชิดตัว พูดใส่หน้า “อย่างนั้นเหรอเรียกทุเรศ”
“ใช่” ทอแสงรัศมีตอบเสียงแข็ง “นั่นแหละ ไป๊...ไปห่างๆ เหม็น...แหวะ”
“อ๋อ....ฉันก็ว่าฉันทุเรศจริงๆ แหละ”
หญิงทอแสงชักงงๆ เพื่อนสองสามคนหน้าเหวอ
“ทุเรศอยู่ตั้งนานแล้ว ไม่เหมือนเธอทอแสงรัศมี ไม่ทุเรศเล๊ย”
“จะบ้า...ไม่อยากพูดด้วย”
“เพราะอะไรเธอถึงไม่ทุเรศรู้มั้ย”
ทอแสงชักเริ่มเห็นอะไรลางๆ พยายามเลี่ยงจะเดินออก
จริมาขวางไว้ “เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป ยังไม่ได้บอก เธอไม่ทุเรศ เพราะไม่มีใครมาขอถ่ายรูปเธอ
เลย...” จริมาพูดแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ยิ้มเยาะ “ซักกะใบ”
ทอแสงรัศมีผลักจริมาออกเต็มแรง จริมาหัวเราะเสียงยียวนกวนโมโห ไล่ตามหลัง
จันทร์เข้ามากับอรสาพอดี ทอแสงรัศมีเกือบชน อรสาดึงแขนจันทร์หลบได้ทัน
“อุ้ย ขอโทษค่ะ”
“ไม่ต้อง มานี่ มาเติมแป้งให้ฉันหน่อย”
“คะ” จันทร์งง
“เห็นมั้ยจมูกมัน...เนี่ย เป็นคนแต่งหน้ายังไง ไม่ดูแล”
“ทอแสงรัศมี นี่คุณน้าฉันนะ” จริมาไม่พอใจ
“แต่เป็นคนแต่งหน้าใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่ แต่มีสติพอที่จะพูดอะไรที่มันเหมาะสมมั่งมั้ยล่ะ”
“ไม่เห็นต้องถามเลยริมา พูดออกมาแล้วแสดงว่าไม่มีสติหรอก” อรสาว่า
“เป็นคนแต่งหน้าไม่เห็นต้องพูดดีเลย เมื่อไหร่เป็นลูกคุณหญิงค่อยพูดกันอีกที”
จริมาโกรธจัดพรวดเข้าไปหาอย่างเอาเรื่อง จันทร์รีบจับไว้ ร้องเสียงดัง
“อย่าค่ะ คุณริมา”
ทอแสงรัศมีสะดุดหู ชะงักทันที “ทำไมต้องเรียกริมาว่าคุณ เป็นน้าไม่ใช่เหรอ”
“เธอไม่ต้องยุ่ง ไปไกลๆ เลยยายอ้วน” จริมาตัดบท
“ว่าใครอ้วน”
“ใครอ้วนก็เอาไป อ้วนแล้วยังปากเสีย ไป....ไป ไปให้พ้น”
ทอแสงรัศมีหน้าคว่ำขณะมองจริมา
“รู้ไว้ด้วย ยายอ้วน น้าจันทร์เป็นน้าของฉัน เธอจะพูดจาดูถูกดูหมิ่นไม่ได้ ถ้าฉันได้ยินอีก...คอยดู เธอเจ็บแน่”
หญิงทอแสงมองอย่างเหยียดหยาม “โธ่เอ้ย...นักเลงโต ไปพวกเราไป”
ทอแสงพาพรรคพวกออกไป
จริมาหันมาทางจันทร์ “ริมาจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกน้าจันทร์ โดยเฉพาะคนอย่างยายทอแสง...ได้ยินอีก ริมาจะต่อยเค้าให้คว่ำ แล้วดึงผมให้กระจุยเลย”
จันทร์ตื้นตันใจมาก จับแขนเด็กสาวปลอบๆ ส่ายหน้าว่าอย่าทำอะไรขนาดนั้น
เด็กรุ่นน้องคนหนึ่งโผล่เข้ามา “จวนถึงแล้วนะคะ ครูโมทย์ให้มาตามค่ะ”
พิธีกรบนเวที ซึ่งแต่งนักเรียนประกาศ
“ชุดต่อไป ระบำสเปญค่ะ แสดงโดย นักเรียนชั้น ม.6”
ม่านค่อยๆ เปิดออก นักแสดงระบำออกมา และเต้นกันอย่างสวยงาม
คนดูชี้ชมกันไปมา
“ไหนคนไหน ....ริมา แม่ตาลาย สวยน่าเอ็นดูกันทุกคน” คุณหญิงเพ็งถาม
“คนนั้นครับ คุณแม่ อยู่กลาง” พจน์บอก
“อุ้ยตาย พ่อพจน์ไม่บอก แม่จำหลานไม่ได้หรอกนะ”
“หญิงเล็กดูหน้าหญิงทอแสงทำไมบึ้งตึงอย่างนั้น” ท่านหญิงแขไขถามน้องสาว
“นั่นสิคะ ไม่ทราบเหมือนกัน ดูสิใครๆ เขาก็ยิ้มแป้นแร้นกันทั้งนั้น”
“หรือว่าไม่พอใจที่ถูกผลักไปเต้นอยู่ริม” ท่านหญิงแขไขว่า
ท่านหญิงเล็กหัวเราะน้อยๆ “อาจจะใช่ พี่หญิงก็ทราบนิสัยหลานสาว แต่ดูท่านพ่อสิคะ ยิ้มปลื้มซะเหลือเกิน”
ท่านหญิงแขไขยิ้มขำๆ มองดูท่านชายวรจักร
จังหวะนี้ เห็นฉัตต์ ค่อยๆ ย่องออกไปนั่งริมๆ ทางออกไว้
พวกเด็กๆ รุ่นน้อง กำลังถ่ายรูปรุ้งรุมกันเต็ม บอกยิ้ม...ยิ้มหน่อย กล้องนี้ค่ะ กล้องนี้
“เมื่อยแก้มแล้วน้า”
“อีกนิดค่ะ อีกนิด”
ฉัตต์ยืนอยู่ ตั้งกล้องรอ
รุ้งยิ้มแล้วหันมาเห็นฉัตต์พอดี รุ้งตกใจนัยน์ตาพิศวง เผยอปากน้อยๆ แต่ดูสวยซึ้งมาก ฉัตต์ถ่ายเสร็จแล้ว ยืนจ้องอยู่อย่างนั้น รุ้งเขินเล็กๆ ยิ้มให้รุ่นน้อง แต่นัยน์ตาชำเลืองไปที่ฉัตต์ สบสายตากันแรงๆ
“พี่รุ้ง...ทางนี้ ยิ้มหน่อย...ยิ้ม”
รุ้งยิ้มเสร็จ หันไปมองทางฉัตต์ แต่ฉัตต์หายไปแล้ว รุ้งใจหายวับ
ระบำสเปญกำลังจะแสดงเสร็จแล้ว ศักดินาจ้องมองจริมาเขม็ง เวลาผ่านไปอีก จนมาถึงตอนจบ นักระบำรวมตัวกันในท่าจบอย่างสวยงาม ก่อนม่านปิดคนดูตบมือเกรียวกราวยาวนาน
พิธีกรดำเนินงานต่อ “ต่อไปเป็นรำดวงดอกไม้ค่ะ นักเรียนชั้น ม.7 ค่ะ เป็นชุดสุดท้าย”
ม่านเปิดออก นางรำออกมารำกันให้เห็นความอ่อนช้อยงดงาม คนดูยิ้มแย้ม สายตาชื่นชม
“เอ๊ะ..ชายเดียวไปไหนแล้วนี่หญิงเล็ก”
ที่แท้ศักดินายกกล้อง ถ่ายรูปทอแสงรัศมีอยู่
“พี่ชายเดียว ถ่ายคู่กับหญิงค่ะ ให้วนิดาถ่ายให้ วนิดา.....วนิดา”
“อย่าเลยหญิง พี่ถ่ายให้หญิงแล้วไง” ชายเดียวบ่ายเบี่ยง
“ไม่ได้...พี่ชายต้องถ่ายกับหญิง”
“หญิง อย่าเลย”
“วนิดา...เร็วๆ สิ”
“หญิงทอแสง อย่าดื้อ พี่ไม่อยากถ่าย”
“ทำไมคะ” ทอแสงรัศมีหน้าเสียมาก
“เราเป็นพี่น้องกัน จะถ่ายคู่กันเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ใครๆ เขาก็ถ่ายคนแสดงทั้งนั้น”
“คนอื่นเขาก็ถ่ายกับคนมาดูนั่นไงคะ” ทอแสงรัศมีไม่ยอมท่าเดียว
“หญิงพูดยากอย่างนี้พี่ไม่พูดด้วยแล้ว” ปลดแขนทอแสงรัศมีออกแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หญิงทอแสงยืนกัดฟัน
ด้านจริมากับพรรคพวกระบำสเปญ 2-3 คนยืนให้รุ่นน้องถ่ายรูป ศศิลักษณาอยู่ตรงนี้ด้วย
“เฮ้ย พอๆ นี่ปากถึงใบหูแล้วนะ เมื่อกี้ในห้องก็ถ่ายกันจนหมดแรง” จริมาโวย
“น่า...นะ เมื่อกี้หญิงยังไม่ได้ถ่ายเลยค่ะ” หญิงศศิขอร้อง
“สุดท้าย เอ้า ยิ้ม” เสียงชัตเตอร์ดังแกร๊ก จริมาทำหน้าตาตลก ฉีกปาก ตาหยี
มีเสียงดังแกร๊ก ตามด้วยเสียงชายเดียว
“ขอบคุณครับ”
“คุณชาย” จริมาตกใจ
“สวยจริง รูปเมื่อกี้” ชายเดียวว่า
“คุณชาย...อัดแล้วเอามาให้ฉันนะ...ได้โปรดเถอะ”
“คุณจะเอาไปทำไม”
“มันน่าเกลียด ฉันจะเอาไปทิ้ง”
“ยังไม่ทันเห็นรูปเลย”
“ไม่เห็นก็รู้”
ศศิลักษณาวิ่งมา “พี่ริมา ขอรูปแบบเมื่อกี้หน่อย”
“แบบไหน” จริมาถาม
“แบบเมื่อกี้ ที่แหกปาก แล้วทำหน้าตลกน่ะ” หญิงศศิบอก
“เฮ้ย ไม่เอาแล้วศศิ มันน่าเกลียด”
“ไม่น่าเกลียด น่ารักมาก เอาหน่อยๆ เร็ว...”
“โอ้ย...เอ้า” ปากว่าไม่เอา แต่จริมาทำตลกกว่าเมื่อกี้ “เร็ว”
เสียงชัตเตอร์ดังแกร๊ก...จริมาทำหน้าปกติ
“ขอบคุณครับ” ชายเดียวบอก
“คุณชาย มาแอบถ่ายอีกแล้ว”
“รูปนี้น่าเกลียดกว่าเมื่อกี้อีก”
จริมา จ้องหน้าชายเดียวตาคว่ำ ชายเดียวจ้องแล้วยิ้มๆ ขำๆ ชูกล้องให้เป็นเชิงล้อๆ แล้วเดินไป
“ฮึ อีตาคุณชาย ร้ายจริงๆ”
เวลาต่อมา ทั้งหมดเดินมาที่บริเวณหน้าตึกบ้านปัณณธร จริมาและรุ้งยังอยู่เสื้อผ้าชุดสวย หน้าตาแต่งตั้งแต่แสดงยังไม่ได้ล้าง บรรดาคนครัวและบ่าวมาออกันอยู่หน้าตึก คุณหญิงเพ็งถามสองสาว
“รุ้งเหนื่อยมั้ยลูก”
“ไม่ค่ะ คุณย่า”
“รุ้งรำสวยมากลูก จริงมั้ยฉัตต์” พจน์ว่า
“ผมไม่ทราบครับ ไม่ค่อยได้ดู” ฉัตต์ปด
รุ้งนิ่ง จันทร์มองลูกสงสาร คุณหญิงเพ็งรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เชื่อมั้ย ย่าจำริมาไม่ได้ นึกในใจว่าเด็กคนนี้ลูกใคร หน้าตาสะสวย”
“แสดงว่าริมาตัวจริงขี้เหร่มาก ต้องแต่งถึงจะสวยเหรอคะคุณย่า”
“สองคนฟังย่านะ ตอนนี้เราสองคนเหมือนดอกไม้ที่กำลังแย้ม เขาเรียกว่าแรกผลิ หรือแตกเนื้อสาว เราต้องงามแบบธรรมชาติอย่าไปตบไปแต่งให้มาก” คุณหญิงถือโอกาสอบรม
“เมื่อกี้คุณย่ายังชมว่าสวยอยู่เลยค่ะ” จริมาท้วง
“สวยแต่ง ยังไงๆ ก็สู้สวยธรรมชาติไม่ได้” ผู้เป็นย่าบอก
บรรดาคนในครัว ออกันอยู่
“นี่ มาออกันอยู่ทำไมแถวนี้” คุณหญิงหันไปถาม
ทุกคนตอบเซ็งแซ่ “มาดูคุณริมา” / “มาดูคุณรุ้ง” / “อุ้ย สวยเหลือเกิน”
“เมื่อกี้สำลีบอกว่าสวยเหมือนใครนะ” อ่อนถาม
สำลีบอกทันที “อ๋อ..สวยเหมือนบุษบากับนางละเวง”
ละเมียดเห็นด้วย “ไม่ใช่ ฉันว่าสวยเหมือนรจนากับนางพิม”
“แต่ฉันว่า เหมือนรัตนาภรณ์กับวิไลวรรณ” สำเนียงท้วง
บรรดาคนครัวทั้งหลาย หันไปเหล่สำเนียง มีร้อง อู้ ค่อยๆ
“ทำไม เวลาชมคนก็ต้องชมเหมือนดาราสิ ถึงจะรู้ว่าสวยยังไงไม่งั้นจะนึกออกเหรอ เวลานี้ใครดังเท่าสองคนนี้ล่ะ รัตนาภรณ์น่ะนางเอกแก่น วิไลวรรณก็นางเอกเจ้าน้ำตา” สำเนียงโต้
ฉัตต์เดินพรวดไปทันที บรรดาคนในครัวเงียบกริบ หน้าเหรอหรา ค่อยๆ ถอยกันออกไป
“เฮ้อ...จนใจจริงๆ” คุณหญิงว่า
“รุ้งพาคุณย่าไปห้องสิลูก” จันทร์บอก
“ค่ะ...คุณย่า” รุ้งยื่นมือให้ย่าเกาะ
คุณหญิงเพ็งจับมือรุ้งแล้วดึงเข้ามาใกล้ กอดเบาๆ ตบหลังปลอบโยนแล้วเชยคาง
“จะเหมือนใครดีนี่ รัตนาภรณ์ หรือ วิไลวรรณดี....วิไลวรรณแล้วกัน สวยซึ้ง ใครไม่เห็นย่าเห็น อย่าไปสนใจใครจะว่าอะไร”
รุ้งกราบที่อกคุณหญิงเพ็ง สองคนเดินไปด้วยกัน
“จันทร์ พี่ขอโทษแทนฉัตต์” พจน์เอ่ยขึ้น
จันทร์ถอนหายใจยาว “เมื่อไหร่คุณฉัตต์จะหายโกรธเสียที”
“ไม่ได้โกรธหรอกค่ะ เชื่อริมานะคะ ใครจะรู้ใจพี่ฉัตต์เท่าริมาไม่มีแน่ค่ะ” จริมาเดินไป
สองคนมองตากัน ฉงนทั้งคู่
ขณะเดียวกันที่วังรังสิยา ท่านหญิงแขไขเตรียมบรรทมแล้ว
“ท่านแม่เหวยยาก่อนนะคะ ยาบำรุงค่ะ” ชายเดียวป้อนยา
ท่านหญิงอาการซึมนิดๆ “ขอบใจ” อ้าปากทานน้ำทานยา
“ผ่อง มีอะไรให้ท่านแม่เหวยนิดหน่อยก่อนบรรทมมั้ย”
“มีซุปมังคะท่านหญิง” ผ่องว่า
“ไม่...ไม่กินหรอก...ไม่หิว แม่จะนอนเลยนะชาย”
“ค่ะ ชายพาไปนะคะ”
ท่านหญิงเกาะแขนชายเดียว ลงนอน ชายเดียวห่มผ้าให้ ผ่องเดินออกไป
“ชาย...สนุกมั้ยวันนี้” ท่านหญิงถาม
“ค่ะ ท่านแม่สนุกมั้ยคะ”
“หลานสาวคุณหญิงราชปัณณธรสวยมั้ย”
“คนไหนคะท่านแม่”
“ชายว่าคนไหนสวย”
“ก็....สวยทั้งสองคน ความจริงคืนนี้ทุกคนก็สวยหมดเพราะแต่งตัวกันเต็มที่ เหมือนดอกไม้”
“ชายเห็นแม่ของเขามั้ย มารึเปล่า”
“มาค่ะ ชายเห็นมายืนดูลูกสาวรำ”
“ได้พูดกันรึเปล่าลูก”
“เปล่าค่ะ ชายว่า เขาแปลกๆ เวลาพบชาย น้าจันทร์จะอึกอักไม่ค่อยพูด ได้แต่มอง”
ท่านหญิงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วโบกมือให้ชายเดียวออกไป ชายเดียวจูบแก้มท่านหญิงเบาๆ พอชายเดียวออกไปลับตัวแล้ว ท่านหญิงนอนลืมตามองเพดานสักครู่ น้ำตาก็รื้นขึ้นมาเต็มตา พลิกตัวนอนตะแคง น้ำตาไหลลงปลายตา
“เฟือง ถ้าเป็นอย่างที่คิด หญิงคงทนไม่ได้...เฟือง ได้ยินหญิงรึเปล่า...อยู่ไหน ได้ยินมั้ย”
ท่านหญิงพลิกตัวนอนคว่ำหน้า ยินเสียงสะอื้นเบาๆ
ผีนางเฟืองคุกเข่าข้างเตียง มือลูบไล้แขนท่านหญิงแผ่วเบาอย่างปลอบโยน
แค้นเสน่หา ตอนที่ 7 (ต่อ)
ทุกคนรวมตัวอยู่ในห้องโถงบ้านปัณณธรแล้ว ที่สุดพจน์เอ่ยขึ้น
“ถึงเวลาที่ฉัตต์ต้องไปเรียนต่อแล้วลูก”
ฉัตต์มีสีหน้าเคร่งขรึม ตรึกตรอง คิดอะไรลึกซึ้ง เหลือบสายตามามองสบตาจริมา แล้วหันไปมองสบตารุ้ง สายตานั้นบอกอะไรหลายอย่าง รุ้งหลบตาวูบ
“ฉัตต์” พจน์เรียก
ฉัตต์นิ่ง
“เออ...พ่อเขาพูดเรื่องสำคัญขนาดนี้...นิ่งเฉยจะว่ายังไงล่ะลูก” คุณหญิงเพ็งถาม
“ครับ คุณย่า”
“เออแน่ะ เขาทำเอาคนแก่งงไปเลย ครับ คุณย่า หมายความว่าไง”
พจน์บอกแทน “ฉัตต์ไม่ขัดข้องครับคุณแม่”
“ยังงั้นเรอะฉัตต์”
“ครับ คุณย่า”
“ต่ออีกหน่อยเถอะพ่อเอ๊ย ย่ายังไม่หายงง”
ทุกคนยิ้มๆ ขำไปตามๆ กัน
“ผมไม่ขัดข้องครับ ผมทราบมานานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง ผมพร้อมแล้วครับที่จะไปเรียนต่อ จะได้กลับมาเป็นเกียรติเป็นศรีกับวงศ์สกุล แล้วก็จะได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติครับ”
คราวนี้คุณย่าเอ๋อมาก มีเสียงหัวเราะของพจน์ และจันทร์ เบาๆ
จริมานั้น หัวเราะกิ๊ก ส่วนรุ้ง มองฉัตต์ ยิ้มแย้มแจ่มใส
ฉัตต์ยิ้มน้อยๆ แต่พอสบตากับรุ้ง ก็หุบยิ้มหน้าบึ้งอย่างเดิม
“เอ....ฉันว่าเคยได้ยินบ่อยๆ นะ คำพูดแบบนี้”
ฉัตต์แตะมือคุณย่า กำไว้แน่น มองนัยน์ตาคุณหญิงเพ็ง
คุณหญิงผู้เป็นย่าคิดย้อนถึงความหลังครั้งอดีต
เหตุการณ์ครานั้น คุณหญิงเพ็งป้อนขนมให้เด็กชายฉัตต์ ที่กำลังทำการบ้านกองเต็มโต๊ะ
“ตั้งใจเรียนนะลูก วันหนึ่งฉัตต์ต้องไปเรียนต่อ จะได้กลับมาเป็นเกียรติเป็นศรีกับวงศ์สกุล ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ เข้าใจมั้ยลูก”
“เข้าใจครับคุณย่า”
รุ้งมองฉัตต์ตาแป๋ว มีแววชื่นชมประสาเด็กๆ ฉัตต์หันมองแล้วทำหน้าดุใส่
“ริมาล่ะคะคุณย่า ริมาต้องเรียนต่อรึเปล่าคะ” จริมาถามเสียงแจ๋วๆ
คุณหญิงเพ็งนึกขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ริมาก็ต้องไปเมื่อเรียนจบ”
“อ้าว ! ทำไมคะ ริมาไม่เกี่ยว...ริมาเป็นผู้หญิงนะคะ”
“อย่า..อย่าอ้างเรื่องผู้หญิง การศึกษาไม่มีผู้หญิงผู้ชาย เกลียดนักคนที่คิดว่าลูกชายต้องเรียนมากกว่าลูกสาวเนี่ย ได้ยินเมื่อไหร่โมโหขึ้นสมองทุกที ว่าไงริมา”
จริมาฟังซะเพลิน “อุ๊ย”
“เรียนจบชั้น ม.8 ก็ต้องไป...เข้าใจมั้ยริมา” คุณหญิงบอก
“เปลืองตังค์”
“พ่อเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว มีพอสำหรับรุ้ง ถ้ารุ้งอยากไปเรียนต่อ ประเทศใกล้ๆ นี้” พจน์ว่าแล้วหันมาทางรุ้ง
“รุ้งจะเรียนพยาบาลค่ะ เรียนในเมืองไทย”
ทุกคนหันขวับมาทางรุ้ง เว้นจันทร์ที่รู้แล้ว
จริมารู้เหตุผลทันที “ตัวเล็ก....โธ่ ไม่ต้องหรอกนะ คุณย่า คุณพ่อไม่สบายก็มีโรงพยาบาล มีหมอ ตัวเล็กเรียนมหาวิทยาลัยเถอะ อย่างที่เคยฝันไว้ไงล่ะ”
รุ้งส่ายหน้า เหลือบไปสบตากับฉัตต์ที่มองมาอยู่แล้ว ฉัตต์แม้จะสีหน้าบึ้งแต่สายตาลึกซึ้งยิ่งนัก สบตารุ้งเต็มๆ
อีกวันหนึ่ง รุ้งตัดใบตองอยู่ตรงบริเวณสวนในบ้าน ยอดวิ่งมาทำท่าว่าจะตัดเอง แต่กิริยานอบน้อมกับรุ้ง
“ฉันทำเอง ยอดไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
ยอดส่ายมืออยู่ไปมา ขอมีด
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่สิ”
ยอดลงนั่ง แล้วพนมมือ
“ยอด อย่าไหว้ฉัน” รุ้งส่งมีดให้ “ตามใจ เอ้า...อยากทำก้อ”
ยอดคุกเข่ารับมีดมา สายตาเทิดทูนมองรุ้ง กิริยานอบน้อมมาก
“ขอบใจนะยอด แล้วเอาใบตองให้ยายเนียงด้วย”
ยอดทำท่ารับคำ
ครู่ต่อมา รุ้งเดินมาบริเวณใกล้ ได้ยินเสียงนกร้องในพุ่มไม้ จึงเข้าไปดู อุ้มนกออกมา ด้วยท่าทางทะนุถนอม
ฉัตต์ หอบหนังสือจะไปที่ท่าน้ำ มองไป เห็นรุ้งนั่งพยาบาลนก ที่เจ็บขาหัก
ฉัตต์เพ่งมองภาพรุ้งตรงหน้า สถานที่สวยๆ ช่างเป็นภาพที่ตรึงใจนัก
มือของรุ้ง เอาไม้อันเล็กๆ ทำเป็นเฝือก พันให้นก พูดกับนก
“ขาเจ้าหัก ฉันใส่เฝือกให้นะ...ไม่เจ็บหรอก ไม่ต้องร้องสิ ฉันเอาไม้ทำเป็นเฝือกนี่ไง แล้วเอาผ้าเนี่ย...ผ้าเช็ดหน้าฉันเลยนะ” รุ้งฉีกผ้าเป็นริ้วยาว “ผูกไว้ไงแล้วเจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่นะ อยู่โรงพยาบาลกลับบ้านไม่ได้ เจ้าต้อง admit”
รุ้งประคองนกไว้ในอุ้งมือ ลุกรวดเร็วหันมา เห็นฉัตต์ยืนอยู่ สองคนจ้องมองกัน รุ้งขยับตัวจะหนี
“อยากเป็นพยาบาลนักเหรอ” ฉัตต์ถาม
“เป็นก็ได้ค่ะ”
“หมายความว่ายังไง อ้อ...แสดงว่าจำยอมเพราะตอบแทนถึงต้องจำใจเรียนเหรอ”
รุ้งมองตาฉัตต์ถามตรง ๆ “ทำไมชอบหาเรื่องคะ”
“จริงมั้ยล่ะ”
“คุณฉัตต์จะต้องแคร์ทำไมคะ รุ้งอยากดูแลคุณย่าคุณลุงอย่างดี รุ้งก็ต้องเรียนให้รู้วิธี จะเพราะอะไรสำคัญแค่ไหนคะ”
“สำคัญ เพราะถ้าไม่เต็มใจ ทำโดยเป็นภาระจำยอมฉันก็ไม่ต้องการให้ทำ”
“ถ้ารุ้งบอกว่าเต็มใจคุณฉัตต์จะเชื่อมั้ยคะ”
“ก็ไม่แน่เพราะเธอมันเจ้าคารม พูดอะไรออกมาทีนึง ฉันก็ต้องคิดว่าหมายความว่ายังไง”
“เพราะรุ้งพูดอะไรตรง ๆ ไม่ได้ไงคะ”
“เห็นมั้ย....ฉันก็ต้องถามอีกว่าหมายความว่ายังไง”
“ไม่เหมือนคุณฉัตต์ นึกอยากจะพูดว่าเกลียดใครก็พูด...พูด...พูด...วันละ 3 เวลาหลังอาหาร”
ฉัตต์อึ้งไปนิดหนึ่ง
“แต่รุ้งพูดไม่ได้ไงคะ”
ฉัตต์จ้องมองนัยน์ตาตรง ๆ
“เธอเกลียดฉันมากใช่มั้ย”
รุ้งยิ้มด้วยนัยน์ตาขำ ๆ
ฉัตต์คาดคั้น “ว่าไง”
“รุ้งจะไม่เกลียดคนที่เกลียดรุ้งได้ไงคะ” รุ้งตั้งใจเลี่ยง คือไม่พูดว่าจะรักคนที่เกลียดได้ไง
ฉัตต์นัยน์ตาเป็นประกายดุ “แล้วไม่เกลียดใคร”
รุ้งอึกอัก “ก็...”
ฉัตต์จับสองแขนเขย่าแรง ๆ รุ้งอึด ไม่ร้อง
“กวนประสาท”
“ไปเมืองนอกก็ไม่มีคนกวนแล้วค่ะ”
ฉัตต์ปล่อยแรงๆ จนรุ้งเซ “กวนตลอดเวลา...เกลียดจริง”
รุ้งมองสายตานิ่งลึกซึ้ง ความเสียใจเต็มหน้า ไม่มีน้ำตา ฉัตต์มองสบตา แล้วใจหายวับ สายตานั้นตัดพ้อต่อว่า แล้วเจ้าของสายตาก็หันหลังกลับ เดินจากไป
“เดี๋ยว”
รุ้งออกวิ่งทันที ฉัตต์วิ่งตาม พรวดเดียวทันจับแขนให้หันมาเผชิญหน้าต่างคนต่างมองกัน ความในใจอัดแน่น วินาทีนี้เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง โลกไม่เคลื่อนไหว
รุ้งปลดมือฉัตต์ออกอย่างละมุนละม่อม มือฉัตต์ตกลง ท่าทีอ่อนแรง
“รุ้งดีใจกับคุณฉัตต์ จะได้ไปไกลจากคนที่เกลียด”
รุ้งพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งฉัตต์ให้ยืนอึ้งคาที่
รุ้งนั่งอยู่ที่ท่าน้ำ มองไปตามสายน้ำ จันทร์นั่งพับกระทงใบตองอยู่ข้างๆ ได้สัก 5 ใบแล้ว
“เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง คุณฉัตต์จะไปเรียนเมืองนอกพรุ่งนี้แล้ว”
“เรามาจากไหนกันนะแม่จันทร์” รุ้งถามขึ้น
จันทร์มองลูก ยอดเอาใบตองที่ตัดไว้เรียบร้อยแล้วมาให้จันทร์
“ลูกไม่ได้จะให้แม่เล่าหรอก แค่รำพึงเท่านั้นว่าสายน้ำที่พัดพาเรามาติดที่ท่าน้ำนี้มาจากไหน”
จันทร์ทำงานไปพูดไป “แม่บอกแล้ว่าวันหนึ่งแม่จะบอกลูก”
รุ้งมองยอด “เสียดายที่นายยอดเป็นใบ้ ลูกมองตาเขา ลูกรู้สึกว่าเขาอยากเล่ามาก”
ยอดโบกมือโบกไม้ว่าไม่ใช่
“ยอด ไม่เป็นไร รุ้งไม่ได้อยากรู้ตอนนี้หรอก”
“ยอด เดี๋ยวหาผ้าขาวบางมาปิดกระทง เสร็จหมดแล้วเหลือแต่ใส่ดอกไม้ เดี๋ยวไปเก็บเตรียมไว้ คืนนี้จะได้ลอยกระทง เลือกดอกหอมๆ นะยอด”
ยอดทำท่ารับคำ
จันทร์ลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมยอด รุ้งยังนั่งมองสายน้ำ ถือหนังสือเล่มหนึ่งในมือ
เวลาต่อมา รุ้งหลับสนิทอยู่บนเก้าอี้ที่นอน ซึ่งเป็นเก้าอี้ผ้าใบ มีหนังสืออยู่บนอก ฉัตต์ยืนมองนิ่งอยู่ ภาพความหลังหลายเหตุการณ์ วนเวียนเข้ามาในความคิดราวสายน้ำ
เหตุการณ์ครั้งนั้นฉัตต์วัยเด็กนอนที่เก้าอี้ผ้าใบ มีหนังสือในมือเหมือนกัน
รุ้งเข้ามาวางถาดขนมและน้ำให้ “คุณฉัตต์”
“เอากลับไป ไม่กิน”
“คุณฉัตต์ดูหนังสือตั้งนานต้องหิวแล้วค่ะ”
อีกเหตุการณ์ฉัตต์เปิดประตูห้องตัวเองออกมา
รุ้งถือเสื้อ “เสื้อที่ให้รีดค่ะ”
“ฉันให้สำลีรีด”
“สำลีรีดไม่เรียบหรอกค่ะ”
“แต่ฉันไม่ต้องการให้เธอรีด” ฉัตต์เสียงดัง “เข้าใจมั้ย”
“ทำไมอยากใส่เสื้อยับๆ ล่ะคะ” รุ้งย้อน
ฉัตต์อึ้งพูดไม่ออก
เหตุการณ์ต่อมาเด็กชายฉัตต์ ปัณณธร ลงจากรถ เพิ่งกลับจากโรงเรียน รุ้งและจริมาลงมาก่อน
ฉัตต์ตามลงมา รุ้งยื่นกระเป๋าหนังสือให้ ยิ้มประจบประแจง ฉัตต์ฉวยกระเป๋ามาจนรุ้งคะมำ
อีกเหตุการณ์ฉัตต์วิ่งวิ่งเล่นที่สนาม กระโดดโลดเต้น ตีลังกา รุ้งวิ่งมาถือแก้วน้ำมาส่งให้ ฉัตต์วิ่งเลยไป ไม่สนใจ
ตอนที่เด็กชายฉัตต์ไม่สบาย นอนซม รุ้งถือถาดใส่น้ำใส่ยามาให้
“ไม่เป็นอะไร ไม่กิน”
“คุณฉัตต์ไม่สบาย ไม่ยอมไปหาหมอ ทานยาแทนก็ได้”
ฉัตต์ตวาด “ไม่กิน อย่ามาเซ้าซี้”
“ต้องกินค่ะ ไม่งั้นตายด้วยนะ”
“เรื่องของฉันอย่ามายุ่ง”
“กินยา...” รุ้งบอกอีก
“ไม่” ฉัตต์เสียงอ่อนเพลียเต็มที่ ส่ายหัวไปมา
รุ้งช้อนคอป้อนยาจับคางให้เงยขึ้น จนยาลงไปในท้องเรียบร้อย
“ยุ่ง”
“รุ้งไม่เห็นอยากยุ่งเลย กลัวคุณฉัตต์ตายต่างหาก”
และเหตุการณ์เดิมตอนรุ้งเอาขนมกับน้ำมาให้
“ฉันจะเป็นคนบอกเองว่า เมื่อไหร่ฉันจะหิว”
“ตามใจ....อยากเป็นโรคกระเพาะก็ตามใจ” รุ้งลุกขึ้น
“มาทำดี คิดว่าจะลบล้างความผิดของพวกตัวเองเหรอ อย่าหวังเลย” ฉัตต์บอกอย่างเคียดแค้น
รุ้งลืมตาตื่นสายตามีแววเสียใจ สีหน้าเครียด ลุกขึ้นโดยแรง จะเดินไป
“เป็นอะไร”
รุ้งหันขวับมา “จะโกรธไปจนตายมั้ย เรื่องไม่เป็นความจริง เมื่อไหร่จะเลิกเอาความผิดใส่คนอื่นเสียที”
“อะไรกัน”
“คุณฉัตต์พูดอย่างเนี้ยเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง...เบื่อที่สุด”
“พูดว่าไง”
“มาทำดี คิดว่าจะลบล้างความผิดของพวกตัวเองเหรอ อย่าหวังเลย”
“ฉันพูดเหรอ”
“คิดว่าไม่ได้พูดเหรอคะ....คิดว่ารุ้งพูดเองเหรอคะ”
“ฉันพูดเมื่อกี้เหรอ”
“คุณฉัตต์คิดว่าพูดเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“พูดเมื่อไหร่ไม่รู้แต่ไม่ได้พูดเมื่อกี้แน่นอน” ฉัตต์เถียง
“แต่พูด...”
“ก็ได้ แต่...ไม่ใช่เมื่อกี้”
“จะพูดเมื่อไหร่ก็เหมือนกัน พูดจนใครตายไปข้างหนึ่งซึ่งคงจะเป็นรุ้ง ความคิดแบบนี้ก็ไม่หายไป รุ้งหมดปัญญาที่จะทำให้คุณฉัตต์เปลี่ยนความคิดแล้วค่ะ หมดปัญญาแล้วจริงๆ” รุ้งน้ำตาไหลริน “พยายามแล้วแต่ทำไม่ได้” พูดแล้วสะอื้นออกมา “ทำไม่ได้”
รุ้งวิ่งพรวดจะไป ฉัตต์คว้าแขนสะบัดตัวมา ยืนประจันหน้ากัน สองคนมองตากัน
สักครู่ รุ้งเบี่ยงตัว ฉัตต์ปล่อยแขน...ช้าๆ รุ้งก้มหน้านิ่ง แล้วขยับตัว
“อย่าเพิ่งไป”
รุ้งชะงัก
“คืนนี้เราจะลอยกระทงกัน พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางแล้ว กลับจากโรงเรียนเร็วๆ นะ ชาย
เดียวจะมาทานข้าวด้วย เลี้ยงอำลา ฉันจะออกเดินทางประมาณสองทุ่ม”
รุ้งฟังอย่างเดียวจ้องหน้าฉัตต์ตลอด
“ก่อนไป ฉันมีอะไรจะพูดกับเธอ”
รุ้งกระซิบถาม “อะไรคะ”
“เธอจะรู้ก่อนฉันไป”
สองคนมองตากันนิ่งนาน
แค้นเสน่หา ตอนที่ 7 (ต่อ)
คืนวันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง ทุกคนในบ้านปัณณธรอยู่กันพร้อมหน้าที่บริเวณท่าน้ำหลังบ้าน คนทั้งหลายถือกระทงกันคนละใบ พวกในครัวยืนกันอยู่อีกทาง
คุณหญิงเพ็งพนมมือ อธิษฐานดังเสียงนุ่มนวล
“แม่คงคาสายนี้หล่อเลี้ยงผู้คนในบ้านนี้มา หลายชั่วคน วันนี้พระจันทร์เต็มดวงลูกทุกคนมาคารวะต่อแม่ ขอจงรับกระทงและแสงเทียนสักการะจากพวกเราด้วย” พลางยกกระทงขึ้นจบเหนือหัว แล้วลอยกระทงไป
พจน์ ก้าวลงไป แล้วหันมาเรียกฉัตต์กับจริมาสามคนลอยกระทงคู่กัน
ก่อนลอยพจน์อธิษฐานเสียงแผ่วๆ “ขอให้ลูกสองคนมีชีวิตที่สดใสเหมือนแสงเทียนในกระทงนี้” พจน์ลดเสียงเบาลงไปอีก “แม้ว่า...” สีหน้าดูเจ็บลึก “ผมจะไม่มีชีวิตอยู่ก็ตาม”
จริมาหันขวับมาได้ยินแว่วๆ “คุณพ่อว่าอะไรนะคะ”
พจน์โอบจริมาไว้พิงตัวเอง ปล่อยกระทงลอยไปสามกระทง
จันทร์จบกระทง อธิษฐานในใจ “ขอให้ลูกสองคนเจริญรุ่งเรือง มีชีวิตดีงามอย่ามีอุปสรรคใดๆ เหมือนตัวลูกเลย”
รุ้งอธิษฐานเสียงเบาๆ “รุ้งขอให้ทุกคนในบ้านนี้มีความสุขมากๆ ไม่ให้มีความทุกข์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”
กระทงสองใบของแม่และลูกลอยเคียงคู่กันไปตามสายน้ำ
ทุกคนจบกระทงอธิษฐานแล้วลอยกระทงไป
หมู่กระทง ลอยตามกันไป เป็นภาพสวยงาม
ฉัตต์มองรุ้งตลอดเวลา รุ้งหันมาเห็นสายตาฉัตต์ ก็อึ้งๆ กลัวๆ ก่อนแล้วเริ่มยิ้มจน ยิ้มให้แจ่มใส่แต่แฝงความเกรงๆ อยู่ด้วย
จริมาลอบมองเห็นสองคนก็ออกอาการยิ้มกริ่ม
เวลาเดียวกัน ท่านหญิงแขไข คุณชายศักดินา ผีนางเฟือง และคนในบ้านทุกคนซึ่งมองไม่เห็นผี อยู่ที่ท่าน้ำวังรังสิยา
“ชายมาลอยกระทงพร้อมแม่”
ชายเดียวยืนเคียงคู่ท่านหญิง “ท่านแม่อธิษฐานนะคะ ชายลอยให้ค่ะ
“ไม่ได้ ลอยกระทงเขาไม่ฝากกัน ต้องลอยเอง แม่จะอธิษฐานนะ” ท่านหญิงจบกระทงอธิษฐานเบาๆ “ขอให้ทุกชีวิตในวังรังสิยาเป็นสุขสงบ ขอให้วิญญาณทุกดวงถ้ายังอยู่ ณ ที่นี้ได้ไปสู่สุคติและถือกำเนิดตามวาระอันควรด้วย”
ชายเดียวหันมามองท่านแม่ สีหน้าแปลกใจ “วิญญาณทุกดวงหรือคะท่านแม่”
“วังเก่าแก่อย่างนี้ ชายคิดว่าไม่มีหรือ”
“ค่ะ ชายจะอธิษฐานเหมือนท่านแม่นะคะ” ชายเดียวจบกระทงอธิษฐานในใจ
มือของท่านหญิง กำลังจะปล่อยจากกระทง โดยมีมือผีนางเฟืองเอื้อมมาแตะกระทง
ท่านหญิงน้ำตาคลอเต็มตาพึมพำชื่อ “เฟือง” เบาๆ เหลือบไปข้างๆ เหมือนกำลังมองดู สบตานางเฟืองที่นั่งอยู่ข้างๆ ในสภาพเรียบร้อยเหมือนมีชีวิต
“ลอยความทุกข์ไปมังคะ...ท่านหญิงลอยพร้อมคุณชาย” นางเฟืองกระซิบ
ท่านหญิง พยักหน้าน้อยๆ ปล่อยกระทงไป พร้อมชายเดียว
“ขอให้วิญญาณของเฟืองไปสู่สุคติ”
กระทงสองใบลอยเคียงคู่กันไป
ท่านหญิงสบตากับนางเฟือง ใกล้มากๆ
“หม่อมฉันไม่ไป”
ชายเดียวโอบท่านแม่ไว้ในอ้อมแขน จูบที่แก้มเบาๆ ไม่มีนางเฟืองอยู่ตรงนั้นแล้ว
“ชายรักท่านแม่”
“ขอบใจนะลูก” ท่านหญิงสีหน้าไม่ยิ้มแย้ม ด้วยไม่สบายใจจากคำพูดนางเฟือง
บรรดาคนอื่นๆ ทุกคนจบกระทงเหนือหัวแล้วปล่อยให้ลอยไปตามสายน้ำ
ที่ท่าน้ำ บ้านปัณณธร ทุกคนยืนมองกระทงที่ลอยไปตามสายน้ำ จู่ๆ ใบหนึ่งพลิกคว่ำลง เสียงคนในบ้านร้องกันเบาๆ
“กระทงของใคร” คุณหญิงเพ็งเสียงสั่นเครือ
ของพจน์นั่นเอง พจน์สะเทือนใจมาก
คืนนั้นพจน์อยู่ในห้องทำงาน ไอโขลกๆ มองผ้าเช็ดหน้า เห็นเลือดสดๆ เต็มผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
จันทร์ยืนตะลึง อยู่ด้านหลัง
“คุณพระช่วย”
“จันทร์” พจน์สะดุ้งหันขวับมา
จันทร์ตกใจ ตะลึงงัน “ทำไมคะ ทำไม”
“พี่ไม่เป็นไร”
“ถ้าคุณพี่ยังพูดว่าไม่เป็นไร ดิฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ จะไม่พูดกับคุณพี่อีกเลย”
“จันทร์”
“คุณพี่ปิดบังทำไมคะ ไม่ทราบหรือคะว่าทุกคนเป็นห่วง ดิฉันเตือนให้คุณพี่ไปหาหมอตั้งหลายครั้งแล้ว คุณพี่ไม่ฟังกันเลย” จันทร์มีเสียงสะอึกขึ้นมา
พจน์ ไออีก จนหอบตัวโยน จันทร์พยุงให้นั่ง
“คุณหลวงแพทย์รักษาอยู่ ไม่อยากให้คุณแม่ไม่สบายใจ และฉัตต์พะวักพะวงไม่อยากไปเรียนต่อ จันทร์ น้องต้องไม่พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งตาฉัตต์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาจะรู้ไม่ได้เป็นอันขาด พี่ต้องการให้เขาเรียนจนจบ ไม่ให้กลับบ้านจนกว่าจะจบ”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” จันทร์ฉุกคิดทวนคำ แล้วหน้ามืดราวกับจะเป็นลม
“จันทร์ สัญญากับพี่”
จันทร์ปาดน้ำตาทิ้ง สัมผัสได้ในน้ำเสียงของพจน์ไม่ต้องการให้ตนอ่อนแอ
“จันทร์ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่น้องต้องเข้มแข็ง เป็นหลักให้ทุกคนในบ้านเข้าใจไหม”
พจน์ รีบลุกไปเปิดลิ้นชักโต๊ะอันสุดท้าย หยิบถุงกระดาษออกมาใส่ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือด
“ให้ดิฉันเถอะค่ะ”
“ขอบใจ พี่ยังไม่เป็นอะไรง่ายๆ”
“ดิฉันก็จะไม่ยอมให้คุณพี่เป็นอะไรง่ายๆ เหมือนกัน ต่อไปนี้ดิฉันจะคอยดูแลคุณพี่ให้มากกว่าเดิม คราวหน้าถ้าคุณพี่ไปหาคุณหลวงแพทย์ ดิฉันจะตามไปด้วย จะได้รู้วิธีรักษาพยาบาล ดิฉันจะไม่ยอมทอดทิ้งความหวังหรืออยู่ในความทุกข์โศก ตัวดิฉันยังผ่านความตายมาได้ แล้วทำไมคุณพี่จะอยู่ต่อไปไม่ได้”
“อย่าตกใจมากเกินไป หมอที่ชำนาญทางโรคปอดโดยเฉพาะดูแลพี่อยู่ พี่ไม่ได้เป็นฝีในท้อง หมอสมัยใหม่เรียกโรคนี้ว่า ไมโครแบคทีเรียอะไรนี่แหละ ไม่ใช่โรคติดต่อ”
“คุณพี่คงคิดว่าดิฉันกลัว ไม่หรอกค่ะ เพราะดิฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่จะไม่หนีคุณพี่ไปไหน”
พจน์ตื้นตัน “จันทร์”
“คุณพี่กรุณารับดิฉันและลูกเป็นคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นดิฉันไม่มีวันทิ้งคุณพี่”
พจน์โน้มกายมาข้างหน้า กุมมือจันทร์ไว้ทั้งสองข้าง น้ำเสียงที่พูดตื้นตัน
“พี่เป็นคนโชคดีที่ในชีวิตได้พบผู้หญิงที่ดีพร้อมถึงสองคน ราตรีกับจันทร์ พี่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
“ดิฉันต่างหากควรเป็นคนที่กล่าวคำนั้น” จันทร์น้ำตารื้น สัมผัสของพจน์ช่างอบอุ่นชำแรกถึงหัวใจ
สองคนอยูในท่านั้นนิ่งๆ ใจถึงใจ โดยที่กายยังอยู่ห่างกันอย่างเดิม
วันรุ่งขึ้น เสียงกระดิ่งเลิกเรียนดังก้อง นักเรียนออกมากันเป็นกลุ่มๆ ทั้งเด็กเล็กเด็กโต แล้วทุกคนต้องหันไปดู
จริมาวิ่งนำออกมาก่อน ตามด้วยรุ้ง วิ่งซิกแซกหลบผู้คน
“หลบด้วย.....หลบๆๆๆ...เรารีบ”
“ริมา ไม่ต้องบอกนะว่ารีบทำไม”
“เรารีบ” จริมาเพิ่มเสียง “เพราะวันนี้พี่ชาย....อุ๊บ”
รุ้งปิดปากจริมาทันที ส่ายหน้าแล้วลากแขนวิ่งกันต่อไป
“หลบด้วย....เจ้าข้าเอ้ย...หลบ” จริมาหยุดกึก
เป็นทอแสงรัศมีมายืนขวางทาง จริมาไปซ้าย ก็ย้ายไปซ้าย จริมาไปขวา หญิงทอแสงก็ย้ายขวา
จริมาเท้าสะเอวฉับ สองข้าง “จะเอายังไงไม่ทราบ”
บรรดานักเรียนค่อยๆ ทยอย เข้ามามุง
“ถามใคร” หญิงทอแสงแกล้ง
“ถามเธอนั่นแหละ อย่าทำไขสือ”
“ไม่ได้ไขสือ เรื่องอะไรมาถามฉัน”
จริมาพรวดเข้าไปเผชิญหน้า อรสาคว้าแขนลากกลับมา
“จะตีเค้าเหรอ ครูเอาตาย ครูสั่งตลอดว่าไม่ให้ตีกัน” อรสาบอก
“ก็ดูสิ...กวนประสาทมั้ยล่ะ”
วนิดาวิ่งเข้ามาถือไอติมมาด้วย 2 แท่ง
ทอแสงรัศมีรับไอติมแท่งจากวนิดามาดูดหน้าตาเฉย “ของเธอล่ะ ฉันให้เงินไปตั้งเยอะ”
“กินแล้ว” วนิดาบอก
“จะมีเรื่องไปทำไม กินไอติมมั้ยจริมา”
จริมาพรวดเข้าไป โดยพรรคพวกไม่ทันคิด ขยุ้มไอติมของทอแสงรัศมีแล้วเขวี้ยงไปเต็มแรง
“นึกแล้ว” หญิงทอแสงแบมือ วนิดาวางไอติมมาอีกแท่ง กินต่อยิ้มเยาะ “ไม่กินจริงเหรอ”
จริมาจ้องมองนิ่ง รู้ว่าทอแสงรัศมีจงใจยั่ว
รุ้งกระซิบบอก “เขายั่วอย่าหลงกล”
จริมากระซิบตอบ “รู้แล้ว”
“รู้แล้ว แล้วเอาไงล่ะ” พี่ตุ๊ถาม
พี่เหน่งเร่ง “เร็วสิ ไอติมจะหมดแท่งแล้ว”
จริมาโวย “เฮ้ย พี่เหน่ง ช่างไอติมสิ”
“จะรีบไปไหนจริมา วันนี้เวรเธอนะ ไม่ทำพรุ่งนี้ยืนกางแขนหน้าห้องเมื่อยตาย” ทอแสงรัศมีว่า
“ตัวเล็ก ยายทอแสงกลัวอะไรนึกเข้า....เร็ว แล้วไปเอามา”
รุ้งร้อง “อ๋อ...อ” แล้วหันหลังกลับหลบแวบไปอย่างเร็ว
“สนุกนักเหรอจ๊ะ หญิงทอแสงมาเล่นขวางทาง บ้านช่องมีทำไมไม่กลับไปซะ”
“เธอล่ะ...ทำไมไม่กลับล่ะ” ทอแสงรัศมีย้อนถาม
“อ๋อ กลับเดี๋ยวนี้” จริมาเดินลุยออกไป
หญิงทอแสงเดินขวางทุกฝีก้าว “ถ้าเธอเงื้อมือตีฉันแค่ปลายนิ้ว รู้ใช่มั้ยว่า ท่านพงศ์จะทรงทำ
โทษยังไง ท่านรับสั่งเด็ดขาดไม่ให้นักเรียนตีกัน ความผิดขั้นร้ายแรงที่สุดนะจะบอกให้”
“ตัวเล็กมารึยังวะ” จริมาพึมพำ “อ๋อ ฉันรู้แล้วน่าว่าเราเป็นนักเรียนตีกันไม่ได้”
รุ้งพรวดเข้ากระซิบบอก “มาแล้ว”
จริมาไม่ได้หันมา แต่แบมือมาด้านหลัง รุ้งวางกบตัวหนึ่งบนมือจริมากำแน่น
“ว่าไงจ๊ะ จริมา” หญิงทอแสงคาดคั้น
จริมาหัวเราะเยาะหยัน “เอาเลยนะ ทอแสงรัศมี”
“หัวเราะอะไร” ทอแสงรัศมีแปลกใจ
“เอายัง” จริมาแกล้งหัวเราะ
“จะบ้า...พวกเราดูคนบ้า”
จริมาเดินตรงไปเรื่อยๆ ทอแสงรัศมีขวางไม่ให้ไป เพื่อนๆ ด้านหลัง ส่งเสียงเชียร์
จริมาชูกบตรงหน้าทอแสงรัศมีพอดี
หญิงทอแสงตาค้าง มือยังถือไอติมที่กินจนเกือบหมด แล้วเสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นก้องโรงเรียน
พรรคพวกโห่ร้อง ชอบใจกันใหญ่ ทอแสงรัศมีหันหลังกลับ ถูกจริมาคว้าคอเสื้อไว้ จะไปก็ไปไม่ได้ จริมาเอากบชูตรงหน้า กบดิ้นกระแด่วๆ
ทอแสงรัศมีร้องสุดเสียง จริมาแก่วงกบไปมา อ้าปากหัวเราะอย่างเมามันส์
กลับมาถึงบ้าน จริมาหัวเราะตัวโคลงไปโคลงมา ขณะเดินนำรุ้งขึ้นตึกมา แล้วต้องชะงัก เพราะฉัตต์ยืนหน้าบึ้งตึงรออยู่
“มาแล้วค่ะ” จริมาทัก
“บอกให้มาเร็วๆ มาทำไมป่านนี้” ฉัตต์ตัดพ้อต่อว่า
“พี่ฉัตต์ ริมาขอโทษค่ะ พอดีมีเรื่องที่โรงเรียนค่ะ”
“พูดไปเถอะ แก้ตัวไปเถอะ พรุ่งนี้ฉันก็ไม่อยู่ฟังแล้ว” ฉัตต์หน้าบูดหันหลังกลับเดินไปทันที
จริมาน้ำตาคลอ เสียใจ นั่งลงทำอะไรไม่ถูก
“รุ้งไปพูดกับคุณฉัตต์เอง” รุ้งตามเข้าไป
จริมา น้ำตาไหล สองมือปิดหน้า สะอื้นฮักๆๆ จังหวะนี้มือชายเดียวยืนมาแตะเบาๆ แต่จริมาสะบัดแรง ลุกพรวด
“ใคร”
“ผมเอง” ศักดินาบอก
จริมาไม่พอใจเอามืออีกมือชูมือข้างทีโดนแตะขึ้น “ทำไมทำงี้ล่ะ”
“โธ่เอ้ย...คิดว่าผมแต๊ะอั๋งเหรอ ผมเปล่านะ”
“อย่ามาพูด”
“อ้าว...ไม่พูดคุณก็คิดว่าผมจงใจน่ะสิ”
“ก็ใช่น่ะสิ...ฉันรู้หรอก”
“อย่ามัวหาเรื่อง รีบตามเข้าไปหาพี่ฉัตต์เถอะ”
“เดี๋ยวโดนดุอีก” จริมาบ่ายเบี่ยง
“จะเป็นไรไป เนี่ยอีกไม่ถึง 4 ชั่วโมง พี่ฉัตต์ก็ต้องเดินทางแล้วนะ ไม่ได้เห็นกันเป็นปีๆนะคุณ” ชายเดียวว่า
รุ้งกำลังอธิบายให้ฉัตต์ฟัง
“เรามากันไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณฉัตต์ เพื่อนที่โรงเรียนหาเรื่องขัดขวางกว่าจะฝ่าด่านเขามาได้ตั้งนาน รีบมาแทบตาย”
ฉัตต์นิ่งไปอึดใจ
“คุณฉัตต์อยู่บ้านคอยอย่างเดียว รุ้งกับริมาสิผจญภัยกันแทบตายยังโดนโกรธอีก ไม่ยุติธรรมเลย”
ฉัตต์พยักหน้านิดๆ “ไปทานข้าวเถอะ ทุกคนรอกันทั้งนั้น”
ครอบครัวปัณณธรนั่งทานข้าวกันในห้องอาหาร พูดคุย หัวเราะสนุกสนาน
ฉัตต์ มองรุ้ง เห็นรุ้งคุยหัวเราะกับชายเดียว ฉัตต์หน้าเข้ม จันทร์สงบเสงี่ยม รักษากิริยา ดูแลตักอาหารให้ชายเดียว มองชายเดียวด้วยความรักเต็มหัวใจ คุณหญิงเพ็งพูดอะไรขำๆ ขึ้น ทุกคนหัวเราะกัน ฉัตต์เข้ากอดคุณย่าเพราะนั่งอยู่ใกล้กัน
สำลีกับอ่อน คอยดูแลเสิร์ฟอาหาร สำเนียงกับละเมียดคอยสั่งสำลีกับอ่อน ให้รินน้ำ ตักข้าว
เวฃลาต่อมา ภายในห้องนั่งเล่น แต่ละคนยังคุยๆ กันต่ออยู่ในห้องนี้ แนบกับสารภีขนกระเป๋าเดินทางผ่านห้องไป
“ตั้งใจเรียนนะฉัตต์ เรียนให้จบ แล้วค่อยกลับ” พจน์สั่งเสีย
“ผมรับปากคุณพ่อว่าจะไม่กลับจนกว่าจะเรียนจบครับ”
“จำไว้ มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ต้องกลับเด็ดขาด”
“ครับคุณพ่อ ผมจะปฏิบัติตามครับ”
จันทร์มองพจน์ สงสารเป็นที่สุด พจน์โอบลูกชายมาไว้ในอ้อมอก ซบหน้ากับหัวของฉัตต์ หน้าเศร้ามาก
“พ่อพจน์ ลูกไปเล่าเรียนอย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้น ไม่ดีนะลูก” คุณหญิงท้วง
“คุณฉัตต์ไปแต่งตัวเถิดนะคะ จวนเวลาแล้ว” จันทร์บอก
“ชายเดียวอยู่คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวมา” ฉัตต์ออกไป “ริมา ตามพี่มาหน่อย”
ฉัตต์สั่งเสียจริมาอยู่หน้าห้องตัวเอง
“ส่งข่าวถึงพี่บ้าง จำไว้นะพี่คงเหงาถ้าอยู่ทางโน้น น้องขี้เกียจเขียนจดหมายก็วานตัวเล็กเขียนได้นี่...ยาวๆ นะ”
จริมาลอบทำหน้ารู้ทันแล้วแกล้งพูด
“โอ๊ย..ไม่ได้หรอก น้องรู้ว่าพี่ฉัตต์เกลียดตัวเล็กจะตาย ขืนให้ตัวเล็กเขียน ความดันขึ้นเส้นเลือดแตกตาย น้องจะทำยังไง มีพี่ชายกับเขาอยู่คนเดียวเท่านั้น”
“ตามใจ ขอแค่นี้ไม่ได้ก็ตามใจ” ฉัตต์งอน
“โอ๋...โอ๋ งอนอีกแล้ว เจ้าค่ะ จะทำตาม อย่าร้องไห้นะ”
ฉัตต์นิ่งไปสักครู่ กลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ จริมาเข้ามากอดพี่ชาย ตื้นตันใจมาก
สองพี่น้องกอดกันแน่นด้วยสีหน้าเศร้าซึม
แค้นเสน่หา ตอนที่ 7 (ต่อ)
ฉัตต์เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสากลสำหรับเดินทางแล้ว โดยสมาชิกบ้านปัณณธรทุกคนอยู่กันครบในห้องโถงใหญ่ มีคุณชายศักดินาที่มาร่วมกลุ่มเตรียมไปส่งด้วย
บรรยากาศดูเศร้าๆ แต่ละคนยืนกันบ้าง คุยกันบ้าง หัวเราะกันเบาๆ ทุกคนมารวมกลุ่มเพื่อรอส่ง
“คุณน้าจันทร์ครับ” ศักดินาเอ่ยขึ้น
จันทร์ซึ่งกำลังมองลูกชายอย่างซาบซึ้ง สะดุ้งนิดๆ “คะ”
“ทำไมคุณน้าไม่ไปส่งพี่ฉัตต์ละครับ คุณรุ้งกับคุณริมาก็ไม่ไปกันหมด”
“เด็ก 2 คนกลัวไปร้องไห้หยุดไม่ได้ค่ะ ส่วนดิฉันต้องดูแลคุณหญิงก็เลย...ลากันตรงนี้”
ฉัตต์เดินไปหารุ้ง ที่เดินไปอยู่ตรงมุมห้อง
“คุณฉัตต์”
“อย่าลืมเหลาไม้เรียวไว้ตีฉันเวลาฉันกลับมา”
รุ้งยิ้มเขินนิดๆ ขณะส่งกล่องให้
“อะไร”
“ขนมทองเอก ที่คุณฉัตต์ชอบค่ะ”
มือฉัตต์รับกล่องขนมจากมือของรุ้ง นัยน์ตาสองคู่มองกันนิ่งๆ อยู่สักครู่ นัยน์ตาลึกซึ้งแต่ซ่อนเร้นความรู้สึกกันทั้งคู่
ฉัตต์รู้สึกตัวก่อน พูดเสียงปกติ
“ขอบใจ ฉันมีอะไรให้เธอเหมือนกัน”
“อะไรคะ”
“อยู่ห้องหน้ามุข...ใช้มันบ่อยๆ นะ”
รุ้งไหว้ “ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ขอบคุณค่ะ”
“ตอนนี้ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“เล่นเปียโนให้ฟังสักเพลง ร้องด้วยนะ”
“คุณฉัตต์อยากฟังเพลงอะไรคะ”
“ฉันวางโน้ตไว้บนเปียโนแล้ว”
“เล่นเดี๋ยวนี้เหรอคะ” รุ้งแปลกใจระคนฉงน
ฉัตต์พยักหน้า รุ้งเดินไปทันที ฉัตต์มองตาม หน้าหมองเศร้า
รุ้งเดินไป หันหน้ามายิ้มน้อยๆ แล้วเดินลับตัวไป
รุ้งเดินเข้า ในห้องหน้ามุขแล้วต้องตกใจมือทาบอก เมื่อเห็นแกรนด์เปียโน ตัวงามวางสงบนิ่งอยู่ แทนเปียโนที่เคยมี
“คุณฉัตต์...” เด็กสาวลูบไล้เปียโนเบาๆ แล้วหยิบโน้ตดู ลงนั่ง มือเล่นร้องเพลงที่ฉัตต์ขอไปด้วย
“โอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย
พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ดึกแล้วหนอ พี่ขอลาล่วง....”
เสียงเปียโนผสานเสียงร้องของรุ้งดังเข้ามาในห้องโถง บ้านปัณณธร ซึ่งตอนนี้มียอดเข้ามาสมทบ
“อกพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย
สีหน้าฉัตต์ สะท้อนสะเทือนใจมาก ได้แต่ทอดถอนใจยาว
เสียงเพลงยังดังอยู่เรื่อยๆ
“ไปเถอะลูก ได้เวลาแล้ว” พจน์บอก
ฉัตต์ยังไม่ละสายตาที่มองตามรุ้ง
“ฉัตต์”
“ครับ”
ฉัตต์เดินไปที่จันทร์ ไหว้นอบน้อมเป็นครั้งแรก
“ผมลา”
จันทร์น้ำตารื้นเต็มตาทันที พยักหน้ารับพูดไม่ออก
“ริมา”
จริมาสะอื้นเฮือกๆ เดินเข้ามากอดกัน พอฉัตต์ปล่อย จริมาก็ปล่อยเสียงสะอื้นออกมาเต็มแรง ชายเดียวยืนหน้าไม่ดีอยู่ด้วย
“อย่าร้อง...ไม่นานพี่ก็กลับ” ฉัตต์บอก
“5 ปีแป๊บเดียวเอง” ศักดินาบอกอีกคน
“นาน ไม่แป๊บหรอก”
“แป๊บ”
จริมาเถียง “ไม่แป๊บ” ทั้งที่ยังสะอื้น “อย่าเถียงนะ”
ชายเดียวหัวเราะเบาๆ จริมามองนัยน์ตาคว่ำ
ฉัตต์เข้าไปกราบลาคุณหญิงเพ็ง คุณย่ากอดหลาน น้ำตาซึมๆ
“ขวัญเอ๊ย ขวัญอยู่กับตัวนะลูก เรียนหนังสือจบเร็วๆ แล้วกลับมาหาย่า”
“ครับ”
ฉัตต์เดินไปจะออกจากประตู คนในครัวยืนส่งอยู่ตรงนั้น ฉัตต์ร่ำลาทุกคน จนถึงยอด ฉัตต์เข้าไปจ้องหน้า
ยอดหลบตา แล้วไหว้ ฉัตต์ปัดมือยอด ไม่ให้ไหว้ตนด้วยเด็กกว่า
“ฝากดูแลบ้านด้วย” ฉัตต์มองลึกเข้าไปในดวงตาของยอด
ยอดรับคำด้วยนัยน์ตา
ด้านรุ้งร้องเพลงมาถึงท่อนสุดท้าย
“จะหาไหนมาเทียม โอ้เจ้าดวงเดือนเอย”
ยินเสียงสตาร์ทรถ รุ้งสะดุ้ง ลุกพรวด แล้ววิ่งออก
รุ้งโผล่พรวด เห็นฉัตต์และชายเดียวยืนอยู่ข้างรถกำลังจะขึ้นกัน ฉัตต์หันมาสบตารุ้ง ชายเดียวเลยหันมาดูบ้าง
รุ้งยามนี้นัยน์ตาพร่าพราย ยกมือไหว้ ฉัตรรับไหว้ แล้วค้างอยู่นิ่งนาน ต่างคนต่างมองกัน ฉัตต์ ขึ้นรถก่อน ชายเดียวตาม พจน์เป็นขับไปส่งลูกชายด้วยตัวเอง
แล้วรถก็แล่นออกไป เห็นไฟท้ายแดงจนลับตัวไป
วันรุ่งขึ้น รุ้งหน้าหมองเศร้า ยืนมองสายน้ำ โดยจริมานั่งกินขนมอยู่ด้วย
“โกรธพี่ฉัตต์หรือตัวเล็กที่เขาไม่ลา”
รุ้งนิ่งไปนิด แล้วพยักหน้า
“ทำไม”
“อยู่บ้านเดียวกันนะ เกลียดแค่ไหนไปตั้งหลายปีก็ควรจะลา...รุ้งอยากลาคุณฉัตต์ ทำไมเขาไม่ให้ลา”
“บางทีนะ...” จริมาทอดเสียงนิดหน่อย “ที่ไม่ยอมให้ลาก็ไม่ใช่เพราะเกลียดก็มี้...” จริมาเสียงสูงตอนท้าย
รุ้งนิ่งอึ้ง จริมามองด้านหลังแล้วหัวเราะเบาๆ พูดกำกวม
“จิตมนุษย์นี่ไซร้ยากแท้หยั่งถึง”
รุ้งหันมาจ้องหน้าจริมาซึ่งยักคิ้วให้พูดกวนๆ “อย่างที่พูด”
รุ้งยังคงจ้องหน้าจริมานิ่งๆ
“ไปดีกว่า...” จริมาหลบฉาก แล้วเบรกพรืดหันมายิ้มขำๆ “เศร้าทำไม้ เดี๋ยวเดียวจดหมายก็มา”
หลายเดือนต่อมา
แนบขับรถเข้ามาที่หน้าตึกใหญ่ ยอดวิ่งปุเลงๆ มาแต่ไกล รุ้งลงรถ
“อะไรจ๊ะ นายยอด”
ยอดทำมือในอากาศเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
“อะไร...ไม่รู้เรื่อง ทำใหม่” จริมาบอก
ยอดทำมือแบบเดิม
“สีเหลี่ยมอะไรเหรอ” จริมาทายใหญ่ “โต๊ะ เก้าอี้ กระดานดำ กระเป๋า โอ๊ย ไม่รู้อะไรฮึนายยอด ตัวเล็กรู้มั้ย อ้าว”
รุ้งลับตัวไปแล้ว
รุ้งถึงห้องโถง ถือจดหมายฉัตต์ชูขึ้น
“ทำไมรู้...ฮึ เราดูแทบตายไม่รู้พูดถึงอะไร” จริมารับจดหมาย “อ๊ะ จ่าหน้าซองถึงริมาซะด้วย แต่ยังไม่อ่านหรอก ยังไม่อยากรู้ว่าเรื่องอะไร”
รุ้งหยิบที่ตัดกระดาษ ตัดซองทันที
จริมาแกล้งโวย “ได้ไง จดหมายริมานะ”
รุ้งส่งให้อ่านก่อน
จริมารับมาอ่านเร็วปรื๋อ
“ถึงแล้ว รายงานตัวที่โรงเรียนประจำ นักเรียนเข้ากันได้แต่ชอบขอของกิน ให้บ้างเพราะสงสาร แต่ขนมทองเอกใครอย่ามาขอไม่ให้เด็ดขาด อร่อยชื่นใจ ริมาเป็นไง...คุณย่าและทุกคนทางบ้านสบายไหม เพิ่งรู้ว่าการคิดถึงบ้านเป็นไง แต่สัญญากับคุณพ่อแล้วว่าจะไม่กลับจนกว่าจะจบ” จริมาอ่านจบแล้วบ่น “ว้า...ไม่เห็นมีอะไรเลย อ้อ...บอกให้เขียนตอบ...ไม่เอา เขียนจดหมายไม่เป็น ตัวเล็กตอบแทนแล้วกันนะ”
รุ้งถอยกรูด “ไม่หรอกค่ะ รุ้งก็เขียนไม่เป็น คุณฉัตต์รู้เข้าคงโกรธแย่ แล้วในนี้คุณฉัตต์ไม่ได้พูดถึงรุ้งเลย”
“อยู่ไกลขนาดนั้น โกรธก็ทำอะไรไม่ได้ กลัวอะไร ถือว่าช่วยริมาแล้วกัน เป็นน้องไม่ตอบก็น่าเกลียด ตัวเล็กเขียนแทน ทำว่าเป็นริมาเขียนนะ นะ” จริมาคะยั้นคะยอ
“ไม่ได้ค่ะ” รุ้งเสียงแข็ง “รุ้งไม่เขียนเด็ดขาด”
ไม่นานต่อมารุ้งกำลังนั่งตอบจดหมายฉัตต์ อ่านจดหมายซ้ำก่อน
“ขนมทองเอก ใครอย่ามาขอไม่ให้เด็ดขาด อร่อยชื่นใจ” รุ้งมีสีหน้ายิ้มๆ ขำๆ แล้วลงมือเขียน
พอเขียนเสร็จรีบเอามาให้จริมาในห้อง
“เอ๊ะ ใครเขียนเนี่ย” จริมาแกล้งอำ
รุ้งหน้าตาเฉย
“อ๋อ ลายเซ็นริมา...เราเขียนเองเหรอเนี่ย...จำไม่ได้”
รุ้งมองจริมาที่อ่านจดหมายอยู่ “ใช้ได้มั้ยคะ”
จริมาอ่านปราดๆ ออกเสียงนิดหน่อย “เทอมนี้น้องทำคะแนนไม่ดี เอ๊ะ ริมาต้องบอก
ด้วยเหรอ…พี่ฉัตต์ต้องรักษาตัวนอนห่มผ้าหนาๆ น้องไม่อยากให้พี่ฉัตต์ไม่สบายเพราะอยู่คนเดียวจะไม่มีใครดูแล พี่ฉัตต์ต้องเชื่อนะคะ...โอ้โฮ้...ริมานี่ห่วงพี่ฉัตต์เอาจริงๆ นะเนี่ย”
รุ้งพยายามทำหน้าปกติอย่างสุดความสามารถ
“ตัวเล็กเก่งนะ เขียนจนลายมือเหมือนเลย แต่เราลายมือคล้ายกันอยู่แล้วนี่ หยิบปากกามาซิตัวเล็ก”
จริมารับปากกา แล้วเขียนแทรกบนลายเซ็นชื่อตัวเองว่า “รัก”
“มันต้องงี้...รู้มั้ย แม่รุ้งกินน้ำ ทุกครั้งต้องเขียนว่า รัก...รักพี่ฉัตต์...รักเท่าฟ้า ยังไงก็ได้” พูดแล้วชี้หน้ารุ้ง “อย่าลืม”
สารภีเคาะประตูเข้ามา “คุณรุ้งคะ”
รุ้งเหลียวไป “คะ”
“คุณชายเดียวมาค่ะ” สารภีบอก
“จะหาใคร บอกรึเปล่า” จริมาถามออกไป
“หาคุณรุ้งค่ะ” สารภีตอบ
จริมานิ่งไปนิด “งั้นริมาไปดูคุณพ่อ ตัวเล็กไปได้แล้ว อย่าให้เขาคอยนาน”
รุ้งออกไปแล้ว จริมานิ่งคิด ยักไหล่ ไม่เห็นจะแคร์
ครู่ต่อมาสายตาจริมาผู้ไม่แคร์ มองเขม็งไปที่ชายเดียวซึ่งนั่งคุยกับรุ้งอยู่ในสวนสวย ดูท่าทางสนิทสนมกัน
จริมามองอยู่ที่หน้าต่าง สายตาตรึกตรองอย่างคนฉลาดคิด ในที่สุดตัดใจ สะบัดหน้าหันไปอีกทางเดินออกจากห้องไป
สองคนอยู่ในห้องพจน์ จันทร์ส่งยา พจน์รับมาทาน
“พรุ่งนี้หมอนัดใช่มั้ยคะ”
พจน์กำลังจะกลืนยา พยักหน้า สำลัก ไอ...ไออยู่อย่างนั้น
จันทร์รีบหยิบผ้ามาให้ เลือดเต็มผ้า
จริมาเข้ามาเห็นพอดี ตกใจมาก “คุณพ่อ”
สองคนตกใจเหมือนกันหันไปมองเด็กสาว
“คุณพ่อทำไมไอเป็นเลือด เป็นอะไรคะ น้าจันทร์”
จริมามองผ้าเช็ดหน้าปนเลือด สลับกับมองพ่อมองน้าจันทร์อย่างตกใจ
อ่านต่อตอนที่ 8