ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 7
ชโยดมกำลังจะเดินมาในร้านดอกไม้ของปองฤทัย เห็นเจ้าของร้านกำลังจัดดอกไม้ให้กับลูกค้า จึงยังไม่เข้าไป ยืนแอบดูปองฤทัยอยู่ด้านนอกเพลินๆ
ปองฤทัยจัดการผูกโบที่ช่อดอกไม้ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะส่งช่อดอกไม้ให้กับหญิงสาวที่รอรับดอกไม้
“เสร็จแล้วค่ะ”
“น่ารักจังเลยค่ะ”
ลูกค้าพูด พร้อมส่งเงินให้ปองฤทัย
“ขอบคุณค่ะ” ปองฤทัยยื่นนามบัตรของร้านให้ลูกค้า “นามบัตรของร้านปองค่ะ ถ้าคราวหน้าโทรมาสั่ง
ล่วงหน้าได้เลยนะคะจะได้ไม่ต้องรอนาน ปองเกรงใจน่ะค่ะ”
“ไว้คราวหน้าจะโทรสั่งนะคะ ไปก่อนนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ”
ลูกค้าถือช่อดอกไม้ยิ้มแย้มเดินออกไป ปองฤทัยมองเงินในมือด้วยความดีใจ พลันเหลือบไปเห็น ชโยดมยืนมอง อมยิ้มอยู่หน้าร้าน ปองฤทัยชะงักตกใจคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะมาที่ร้าน ชโยดมยิ้มให้ ปองฤทัยรีบออกมาต้อนรับ
“คุณหมอมายืนอยู่หน้าร้านตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย”
“อืม ก็ตั้งแต่ที่คุณเริ่มจับช่อดอกไม้ครับ”
ปองฤทัยยิ้มเขินๆ “เชิญข้างในดีกว่าค่ะ”
ชโยดมเดินตามปองฤทัยเข้ามาในร้าน
“ขอบคุณนะครับสำหรับช่อดอกไม้สวยๆที่ส่งให้ผมนะครับ ความจริงน่าจะเป็นผมมากกว่าที่ส่งดอกไม้
ให้คุณ”
“ปองอยากจะตอบแทนคุณที่ช่วยแม่ปองไว้ แต่ก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี เลยส่งดอกไม้ไปแทนคำขอบคุณจะดีกว่า”
“วันนี้ผมเลยโดนแซวทั้งวันเลย” ชโดมยิ้มเขิน
ปองฤทัยตกใจ “ อุ๊ยจริงเหรอคะ ปองต้องขอโทษจริงๆที่ทำให้คุณต้องอายคนอื่นเขา”
“ ไม่เป็นไรหรอกครับน่ารักดี”
ป้อมเดินยกถาดใส่ถุงคุ้กกี้จากในบ้าน มองเห็นชโยดม ก็ตรงเข้ามาทัก
“สวัสดีครับพี่หมอ”
ชโยดมรีบหันมารับไหว้ ปองฤทัยแอบโล่งอก เพราะชโยดมเอาแต่จ้องหน้าเธอตลอดเวลา“สวัสดีครับ”
ปองฤทัย หันไปถามน้องชาย “แม่นอนแล้วเหรอป้อม”
ป้อม ส่ายหัว “แม่ไม่ยอมนอน ลุกมาเย็บผ้าต่ออีกแล้ว ป้อมห้ามก็บ่น พี่ปองต้องไปดูเองอ่ะ”
ป้อมถือถาดขนมแยกไปที่ตู้ขนม ชโยดมหันถามปองฤทัย
“คุณน้าหายดีแล้วเหรอครับ”
“ค่อยยังชั่วแล้วล่ะค่ะ แต่แม่เป็นคนดื้อชอบทำนั่นทำนี่ไม่ยอมพัก ปองกับน้องห้ามยังไงก็ไม่ฟัง”
“ผมขออนุญาตไปเยี่ยมคุณน้าหน่อยได้ไหมครับ”
ปองฤทัยยิ้มให้ชโยดม
“เชิญเลยค่ะ คุณแม่อยู่ข้างในบ้านน่ะค่ะ ป้อมฝากหน้าร้านเดี๋ยวนะ”
“ได้ครับ”
ปองฤทัยเดินนำชโยดมเข้าไปในร้าน ป้อมมองตามยิ้มๆ
ปองฤทัยพาชโยดมเดินมาหลังร้าน พลางมองแม่ที่นั่งเย็บผ้าม่านอยู่ แล้วถอนหายใจ รีบเข้าไปหาแม่
“แม่คะ คุณหมอมาเยี่ยมค่ะ”
ประนอมเงยหน้ามาเห็นชโยดมยกมือไหว้ รีบยกมือรับไหว้
“สวัสดีครับคุณน้า”
ประนอมยิ้มอย่างดีใจ “ไหว้พระเถอะค่ะคุณหมอ”
“เป็นไงบ้างครับ ยังมีอาการเหนื่อยหอบอยู่บ้างไหมครับ”
ประนอมยิ้มๆ “มีบ้างนิดๆค่ะแต่ทนได้”
ปองฤทัยหันมาบอกกับชโยดม
“แม่ก็เป็นแบบนี้ตลอดเลย ปองอยากให้แม่พักผ่อนมากๆ แม่ก็ มานั่งเย็บผ้าอยู่แบบนี้ เกิดหน้ามืด
ขึ้นมาปองจะทำยังไงล่ะจ๊ะ”
“ก็แม่ชอบทำนี่ แล้วอีกอย่างแม่ก็เบื่อไม่อยากนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ แค่เย็บผ้านิดๆหน่อยๆเองไม่ได้ใช้
แรงอะไรมากมายสักหน่อย จริงไหมคะคุณหมอ”
ชโยดมหันมองปองฤทัย ที่ทำท่างอนแม่แล้วยิ้มๆ
“ถือว่าเป็นการออกกำลังนิดๆหน่อยๆได้ครับ”
ประนอมดีใจที่ชโยดมเห็นด้วย “นั่นไง คุณหมอยังไม่ว่าอะไรเลย”
“แต่อย่าหักโหมนะครับ พอรู้สึกเหนื่อยก็ต้องหยุดนะครับ”
“ได้ค่ะคุณหมอ” ประนอมรับคำ พลางหันมายิ้มให้ปองฤทัย แล้วหันกลับไปเย็บผ้าต่อ
ปองฤทัยมองแม่อย่างขัดใจ ชโยดมมองปองฤทัยขำๆ
ป้อมเดินออกมาจากในบ้านตรงมาที่เคาน์เตอร์ เจอปองฤทัยที่กำลังจะยกกาแฟไปเสิร์ฟ
“พี่ปองป้อมไปมหา’ลัยก่อนนะครับ”
ปองฤทัย ยิ้มให้น้อง “จ้า แล้วรีบกลับล่ะ”
“ไม่เห็นต้องรีบเลยพี่มีเพื่อนอยู่ร้านแล้วนี่”
ป้อมแซวพี่สาว ปองฤทัยหยิกแขนน้องชาย
“โอ๊ย เจ็บนะพี่”
ชโยดมหันมามอง ป้อมรีบเดินออกพร้อมสวัสดีชโยดม
“หวัดดีครับพี่หมอ”
ชโยดมพยักหน้ายิ้มให้ ป้อมเดินออกไป ปองฤทัยเดินถือแก้วกาแฟมาวางที่เคาน์เตอร์ที่ชโยดมนั่งอยู่
“คาปูชิโน่ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ชโยดมยกแก้วขึ้นดื่ม ปองฤทัย ที่จัดดอกไม้ไป พลางเหลือบตาดูสีหน้าชโยดมที่กำลังดื่มกาแฟ ชโยดมแกล้งชักสีหน้า จนปองฤทัยตกใจ
“กาแฟไม่อร่อยเหรอคะ” รีบวางกุหลาบในมือลง “เดี๋ยวปองชง ให้ใหม่นะคะ”
ชโยดมรีบห้าม “ไม่ต้องหรอกครับ”
“มันเข้มไป หรือว่าอ่อนไปคะ”
ชโยดมเห็นสีหน้าจริงจังของปองฤทัย จึงแกล้งตอบหน้าตาย
“มันอร่อยมาก”
ปองฤทัยมองชโยดมอึ้งๆ
“คุณแกล้งชมประชดปองหรือเปล่าคะ”
“ชมจริงๆครับ ผมชอบรสชาตินี้ กินมากี่ร้านก็ไม่ถูกใจเท่ากับฝีมือคุณเลย แบบนี้ผมคงต้องแวะมาทาน
ทุกวันซะแล้ว หวังว่าคุณปองคงไม่รังเกียจนะครับ”
ชโยดมจ้องมอง จนปองฤทัยเขิน
“ปองจะรังเกียจลูกค้าได้ยังไงคะ”
ปองฤทัยสบตาชโยดมที่จ้องมอง พลางรีบจัดดอกไม้ต่อด้วยความเขิน จนเผลอเอากรรไกรตัดก้านดอกกุหลาบตัดเข้านิ้วตัวเอง
“โอ๊ย”
ชโยดมตกใจรีบเข้าไปช่วยดูแผล ที่นิ้วของปองฤทัย ซึ่งมีเลือดไหล ปองฤทัยกระอักกระอ่วนใจ
“คุณปองรีบล้างน้ำสะอาดก่อนดีกว่าครับ”
ชโยดมกดห้ามเลือดที่นิ้วแล้วพาไปที่ก๊อกน้ำเปิดน้ำล้าง ปองฤทัยกลัวๆ ชโยดมตั้งใจล้างแผลด้วยความใส่ใจ ปองฤทัยมองดูชโยดมจนลืมเจ็บ ชโยดมดึงกระดาษทิชชู่มากดปิดบาดแผลไว้
“เดี๋ยวผมไปเอายาในรถมาใส่แผลให้นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แผลไม่ใหญ่มากเดี๋ยวก็หายค่ะ”
ชโยดม ทำหน้าดุ
“ไม่ได้หรอกครับอย่างน้อยก็ต้องฆ่าเชื้อก่อนเพราะกรรไกรอาจมีสนิม เชื่อหมอสิครับ คุณปองกดที่แผล
ไว้ก่อนนะครับเดี๋ยวผมมา”
ชโยดมเอามืออีกข้างของปองฤทัยมากดแทนมือตัวเอง ปองฤทัยเขิน ชโยดมรีบออกไปเอายาที่รถ ปองฤทัยมองตามยิ้มๆ
ชโยดมใช้ผ้าก๊อซพันแผลที่นิ้วปองฤทัยด้วยความนุ่มนวล
“เสร็จแล้วครับ พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำนะครับ ถ้าไม่อยากโดนตัดนิ้ว”
ปองฤทัยหน้าเหวอ “ถึงขนาดตัดนิ้วเลยเหรอคะ”
ชโยดแอบขำ แล้วแกล้งพูดต่อ
“ใช่ครับ แผลนิดหน่อยก็เป็นบาดทะยักได้นะครับ วันนี้ผมคงต้องกลับก่อน พรุ่งนี้ผมจะแวะมาทำแผล
ให้ก่อนเข้าโรงพยาบาลนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปองทำแผลเองได้ เกรงใจหมอน่ะค่ะ”
ชโยดมยิ้มให้
“ถ้าเกรงใจผม งั้นผมทำแผลให้แลกกับกาแฟแล้วกันนะครับ ถ้าไม่ได้กินกาแฟคุณผมคงไม่เป็นอัน
รักษาคนไข้แน่ๆ นะครับ”
ปองฤทัยยิ้มเขิน “ก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เชิญค่ะ”
จากนั้นชโยดมก็เดินออกไป ปองฤทัยมองตาม พลางก้มมองมือที่มีแผลยิ้มๆ
ทางด้านศึกรบ ที่กำลังนั่งเซ็นเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน พลันเสียงสัญาณไลน์ ก็ดังขึ้น ศึกรบเอื้อมหยิบ
มือถือขึ้นมาดูเห็นไลน์ของระริน
“คุณริน”
ศึกรบกดไลน์ดู เป็นภาพระรินที่ใบหน้าช้ำ ศึกรบมองด้วยความสงสาร แล้วเสียงมือถือก็ดังขึ้น ศึกรบกดรับ
“เห็นสภาพรินแล้วใช่ไหมคะ”
“คุณเจ็บมากไหม” ศึกรบแสดงความห่วงใย
“เจ็บตัวมันไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่มันเจ็บที่ใจมากกว่า” พลางทำเสียงสะอื้น “คุณก็เห็นว่าภรรยาคุณ
ทำร้ายรินแต่ทำไมคุณไม่ปกป้องรินเลย ปล่อยให้เขาไล่รินเหมือนหมูเหมือนหมา คุณไม่รักรินเลย”
“เพราะผมรักคุณไงริน ผมถึงต้องนิ่งไว้” ศึกรบหาข้ออ้าง
“รักเหรอคะ” ระรินย้อนถาม “ รินไม่เชื่อคุณหรอก ตั้งแต่เกิดเรื่องคุณไม่เคยคิดจะโทร.มาถามไถ่รินเลย
ว่าเป็นยังไง นี่ถ้ารินไม่ส่งรูปมาให้คุณดู คุณก็คงจะลืมรินไปแล้ว”
“รินครับคุณฟังผมนะครับ ผมแค่ไม่ต้องการให้เขามาระรานกับคุณอีก ผมเลยต้องรอให้ขวัญกลับมา
เชื่อใจผมก่อน หลังจากนั้นเราสองคนค่อยกลับมาคบกันตามเดิม คุณรอผมได้ไหมครับ”
ระรินแกล้งปล่อยโฮ
“แล้ว แล้วรินต้องรอคุณไปจนถึงเมื่อไหร่คะ คุณคงรอให้รินทนไม่ไหวแล้วไปจากคุณเองใช่ไหมคะ”
“ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะครับริน”
ระรินทำเสียงออดอ้อน “ถ้างั้นคุณก็ต้องทำให้รินเชื่อก่อน”
“ต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อผมล่ะครับ”
“รินอยากเจอคุณค่ะ คุณมาหารินได้ไหมคะ”
ศึกรบคิดหนัก “เอ่อ คือ”
“หรือคุณจะให้รินไปหาคุณก็ได้นะคะ มาหารินนะคะ นะคะ รินคิดถึงคุณมาก อยากให้คุณมาเยี่ยมริน
เจียดเวลามาอยู่ปลอบใจรินสักชั่วโมงก็พอแล้ว”
ศึกรบคิดหนัก
อ่านต่อหน้า 2
ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 7 (ต่อ)
ศึกรบจอดรถที่หน้าร้านอาหาร ก่อนที่จะก้าวลงจากรถ พลางมองรอบๆ อย่างระแวดระวังแล้วค่อยๆ เดินหายเข้าไปในร้าน
ระรินนั่งรออย่างหงุดหงิดอยู่ที่โต๊ะ ศึกรบเดินตามหลังบริกรเข้าจนถึงโต๊ะของระรินที่อยู่ในสุด ระรินไม่ทันเห็นศึกรบ เห็นแต่บริกรจึงพูดลอยๆด้วยอารมณ์หงุดหงิดใส่
“จะเดินมาทำไมนักหนา ถ้าฉันจะสั่งอะไรจะบอกเองเข้าใจ ไหม ออกไปได้แล้ว”
บริกรเดินออกไปแล้วระรินหันมามองเห็นเท้าก้าวเข้ามา ยิ่งโมโหหนักจะหันมาต่อว่า
“พูดไม่รู้เรื่องรึไง”
แต่พอเห็นว่าเป็นศึกรบ ระรินรีบปรับน้ำเสียงทันที
“คุณรบ”
ศึกรบเดินเข้ามาใกล้ ระรินลุกขึ้นสวมกอดทันที
“รินนึกว่าคุณจะไม่มาหารินซะแล้ว”
ศึกรบถอดแว่นดำออก “ผมรับปากคุณแล้วก็ต้องมาสิครับ”
ระรินคลายอ้อมกอดออกมามองหน้าศึกรบ
“รินคิดถึงคุณใจจะขาดอยู่แล้ว คุณไม่คิดถึงรินบ้างเหรอคะ”
ระรินแกล้งงอน ศึกรบเข้ามาคลอเคลีย
“คิดถึงสิครับ และก็คิดถึงมากด้วย”
ระริน ทำงอน แล้วหันหน้าหนี “แต่ก็คงน้อยกว่าภรรยาคุณใช่ไหม”
ศึกรบอึ้งๆ แล้วรีบปรับสีหน้า ทำทีเครียดทันที
“ผมมาหาคุณ เพราะผมอยู่กับคุณแล้วสบายใจมีความสุข แต่ถ้าคุณเอาแต่พูดถึงคนอื่นแบบนี้ผมกลับ
ดีกว่า”
ศึกรบทำท่าจะเดินออก ระรินตกใจรีบห้าม
“อย่าเพิ่งสิคะ รินขอโทษค่ะ รินจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว อยู่กับรินก่อนนะคะรินไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”
ระรินสวมกอดศึกรบจากทางด้านหลัง แล้วแกล้งบีงน้ำตา ศึกกรบแอบยิ้มนิดๆก่อนหันมาหาจับบ่าทั้ง
สองข้างของระริน
“ผมอยากอยู่กับคุณ แต่ผมยังทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะความจำเป็นบางอย่าง เชื่อใจผมนะครับ ยังไงผม
ก็ไม่ทิ้งคุณไปไหนแน่”
ศึกรบดึงระรินเข้ามากอด ระรินแอบยิ้มดีใจที่สามารถดึงศึกรบให้อยู่ต่อได้
“รินจะเชื่อคุณค่ะ”
ระรินยิ้มอ้อน ในขณะที่ศึกรบแอบกังวล
“วันนี้คุณอยู่เป็นเพื่อนรินได้ไหมคะ เพราะรินจะย้ายกลับเข้า ไปอยู่ที่คอนโดเดิมน่ะค่ะ”
ศึกรบแปลกใจ
“แล้วคนที่คุณหนีเขามา เขาจะไม่ไปก่อกวนคุณเหรอครับ”
“เขาคงไม่กล้ามายุ่งกับรินแล้วล่ะค่ะ แล้วอีกอย่างรินก็มีคุณอยู่ด้วยแล้ว รินไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
ศึกรบหนักใจ ระรินยิ้มมีความสุข
ศึกรบขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถคอนโด ก่อนที่จะเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้ระริน ระรินเดินลงจากรถ ศึกรบขนกระเป๋าออกมาจากหลังรถ แล้วมายืนคุยกับระริน
“รีบขึ้นไปข้างบนเถอะค่ะ เดี๋ยวรินหาอะไรเย็นๆให้ทาน”
“เอ่อ จริงๆแล้วผมมีงานค้างอยู่เยอะมากถ้า”
ศึกรบยังพูดไม่ทันจบ ระรินก็รีบใช้มือแตะที่ปากศึกรบ เป็นเชิงห้ามพูด
“คุณสัญญาแล้วนะคะว่าจะ อยู่เป็นเพื่อนรินก่อน ไม่งั้นรินไม่ยอมนะคะ”
ศึกรบ แอบหนักใจ แต่ก็พยักหน้ารับ “งั้นก็ได้ครับ”
“ต้องแบบนี้สิคะ รินรักตายเลย ไปค่ะ”
ระรินควงแขนศึกรบลากกระเป๋าขึ้นคอนโดไป โดยที่ไม่รู้ว่าภาพทั้งหมดถูกบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว
ระรินถือแก้วเครื่องดื่มเย็นๆ มาส่งให้ศึกรบที่นั่งอยู่โซนรับแขก แล้วนั่งข้างๆ ศึกรบมองเห็นแก้มที่ช้ำๆของระริน พลางเอามือมาจับด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมากไหมครับ”
“ยังระบมอยู่ค่ะ ช่วงนี้รินต้องแคนเซิลงานเกือบหมด เพราะหน้ายังบวมอยู่ รินไม่กล้ารับงาน กลัว
นักข่าวถามน่ะค่ะ”
ศึกรบนิ่งไปนิดก่อนที่จะหยิบกระเป๋าเงิน พลางหยิบเงินขึ้นมาจำนวนหนึ่งส่งให้ระริน
“ผมอยากช่วยอะไรคุณบ้าง”
ระรินนิ่วหน้ามองเงินแล้วมองศึกรบ
“คุณทำให้รินรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงขายตัวแลกเงินนะคะ”
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ ผมให้คุณเพราะผมต้องการรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงมันจะเป็นเงินไม่มาก
แต่ผมอยากให้คุณรับมันไว้ใช้จ่ายช่วงที่ยังไม่มีงาน รับไว้เถอะนะครับ”
ระรินแกล้งทำท่าอิดออด ศึกรบดึงมือระรินมาแล้วเอาเงินใส่มือระริน
“ขอบคุณค่ะ”
ระรินรับเงินไว้แล้วเอาวางลงที่โต๊ะ หยิบแก้วเครื่องดื่มเย็นๆป้อนให้ศึกรบดื่ม ศึกรบดื่มระรินยิ้มยั่วยวน
“งั้นให้รินได้ทำอะไรตอบแทนคุณนะคะ”
ศึกรบ ยิ้มๆ “อืม ตอบแทนด้วยอะไรดีล่ะครับ”
ระริน เอียงหน้ามาพูดใกล้ๆหู “ด้วยตัวของรินไงคะ”
ระรินค่อยๆบรรจงปลดกระดุมที่เสื้อเชิ้ตของศึกรบ พร้อมกับส่งสายตายั่วยวน ทำเอาศึกรบเริ่มเคลิ้มตาม แต่พอศึกรบจะจูบ ระรินก็แกล้งใส่จริตเอามือดันศึกรบไว้
“เดี๋ยวก่อนสิคะ คุณยังดื่มไม่หมดเลย ดื่มอีกนิดนึงนะคะ”
ระรินยกแก้วคะยั้นคะยอจนศึกรบดื่มหมดแก้ว
“ผมดื่มหมดแล้ว แต่คุณสิยังไม่เห็นดื่มเลย”
“ดื่มหมดแก้วนี่รินคงเมาแย่เลย คุณช่วยรินดื่มสิคะ”
รินยกแก้วส่งสายตายั่วยวน พลางยกขึ้นจิบเล็กน้อย แล้วเอาแก้วไล้แตะริมฝีปากลากมาจรดปลายคางแล้วเทไวน์ลงราดที่เนินอก
“ช่วยรินดื่มไวน์ทีสิคะ”
ศึกรบมองระรินที่ยั่วยวน ด้วยสายตาหื่น
ทางด้านสู่ขวัญ เดินลงมาจากชั้นบน พลาง.เดินมาที่หน้าบ้านมองดูรถศึกรบ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา สู่ขวัญถอนหายใจ ก่อนที่เดินกลับมาที่โถงห้องนั่งเล่น ในจังหวะที่พรเดินออกมาพอดี
“พี่พรคะ คุณรบโทรกลับมาบ้างหรือเปล่าคะ”
“ไม่นี่คะ”
สู่ขวัญ สีหน้าเป็นกังวล
“เลยเวลาเลิกงานมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ถึงบ้านอีก หรือว่ารบจะแอบไปหานังดาราหน้าโบท็อกซ์นั่น”
สู่ขวัญยังไม่คลายกังวล พรสงสาร เลยขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ
“คุณลองโทรหาคุณรบหรือยังล่ะคะ”
สู่ขวัญส่ายหน้า
“ขวัญไม่อยากโทรหาเขา ไม่อยากให้รบรู้สึกว่าขวัญแคร์เขามากเกินไปน่ะค่ะ เพราะเขาก็ทำเหมือนไม่
แคร์ขวัญเหมือนกัน”
“แล้วถ้าเขายังกลับไปหานังดารานั่นล่ะคะ” พรหนักใจแทน
“ขวัญมีวิธีของขวัญค่ะ แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา ขวัญจะให้โอกาสเขาได้คิดเองก่อน ถ้าเขายังคิด
ไม่ได้ ขวัญจะคิดและจัดการให้เขาเอง”
สู่ขวัญพูดอย่างมั่นใจ แต่สายตาแต่แอบกังวล พรลอบมองด้วยความเป็นห่วง
ระรินค่อยๆเอนตัวลงนอนที่โซฟา มือก็เหนี่ยวรั้งคอศึกรบตามลงมา ระรินเผลอทับรีโมท ทีวีเปิดขึ้นมาขัดจังหวะ เป็นช่วงข่าวภาคค่ำ ทำเอาศึกรบชะงักกึก
ศึกรบรีบถอนตัวขึ้นมาดูเวลาที่ข้อมือ
“มีอะไรเหรอคะคุณรบ”
ศึกรีบจัดแจงเสื้อผ้ากลับเข้าที่
“ผมขอโทษครับ วันนี้ผมคงต้องกลับก่อน ไว้วันหลังผมจะแวะมาหาใหม่นะครับ”
ระรินลุกพรวดขึ้นมา “ทำไมล่ะคะ นี่ยังไม่ดึกซักหน่อย อยู่กับรินต่ออีกนิดนะคะ”
ศึกรบมองระรินด้วยสายตาละห้อย “ไม่ได้หรอกครับไว้วันหลังนะ”
ระรินแกล้งทำน้อยใจ
“ก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ ถึงรินห้ามไม่ให้คุณไปคุณก็ไปอยู่ดี ริน เข้าใจค่ะว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร”
“ไม่เอาครับ อย่าพูดถึงตัวเองแบบนี้สิไม่น่ารักเลย ไม่ว่าจะอยู่ ในฐานะอะไร คุณก็คือคนที่ผมรัก
นะครับริน”
ระรินยังแกล้งทำน้อยใจก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร ศึกรบเข้ามาใกล้เชยคางขึ้นมาจูบหน้าผากระริน
“เดี๋ยวผมแวะมาหาใหม่นะครับคนดี ผมไปก่อนนะครับ”
ศึกรบตัดใจลุกขึ้นหยิบเสื้อสูท พลางหันมามองดูระรินที่ยังคงแกล้งนั่งทำหน้าเศร้าอยู่ที่โซฟา ศึกรบถอนหายใจ ก่อนที่จะเดินออกไป
ทันทีที่ศึกรบออกไประรินก็เลิกทำท่าน่าสงสาร
“โธ่เอ๊ย เอะอะ เอะอะก็กลับก่อน เซ็งเป็นบ้า ฮึ “
แต่แล้วระรินยิ้มกริ่มที่ทำอะไรบางอย่างสำเร็จ
ปองฤทัยกำลังจะปิดร้าน เดินออกมากลับป้ายที่แขวนประตูจาก open เป็น close ศึกรบขับรถเข้ามาจอดที่หน้าร้าน ปองฤทัยหันมอง ศึกรบรีบลงมาจากรถเดินเข้ามาหาปองฤทัยที่หน้าร้าน แสงไฟจากหน้ารถส่องสว่างอยู่ด้านหลังของศึกรบทำให้ปองฤทัยเห็นหน้าศึกรบไม่ชัด
“อย่าเพิ่งปิดร้านได้ไหมครับ”
ปองฤทัยงง ศึกรบรบเดินเข้ามาใกล้ พลางหลบแสงไฟ เพราะรู้ว่าปองฤทัยมองไม่เห็นหน้าเขา เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้า ไฟจากหน้ารถส่องมาด้านข้างทำให้ปองฤทัยเห็นศึกรบเต็มตา ปองฤทัยตะลึงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะถามออกไปด้วยความประหม่า
“เอ่อรับดอกไม้หรือกาแฟดีคะ อ่อ ไม่ใช่สิ เชิญข้างในก่อนดีกว่าค่ะ เชิญค่ะ”
ปองฤทัยเปิดประตูผิดๆ ถูกๆ เพราะความเขิน ศึกรบมองปองฤทัยยิ้มๆ
ปองฤทัย เดินนำศึกรบเข้ามาในร้าน ศึกรบตามเข้ามองดูรอบๆร้านแล้วยิ้ม เมื่อเห็นดอกไม้หลากชนิดในถัง
“ผมอยากได้ดอกกุหลาบขาวสักช่อ คุณช่วยจัดให้ผมหน่อยได้ ไหมครับ”
ปองฤทัยแอบมองหน้าศึกรบแล้วใช้ความคิดว่าเคยเห็นที่ไหนสักแห่งเลยไม่ทันได้ฟังที่ศึกรบพูด
ศึกรบเดินเข้ามาใกล้
“เอ่อ คุณครับ”
ปองฤทัยสะดุ้ง “อ๋อ ได้ค่ะ รับกาแฟอะไรนะคะ”
ศึกรบยิ้มขำ “ผมสั่งดอกกุหลาบขาวจัดช่อน่ะครับ”
ปองฤทัยอาย รีบเข้าไปหยิบกำกุหลาบในถังไปที่เคาน์เตอร์ ศึกรบมองดูขำๆก่อนจะเดินไปนั่งรอที่โต๊ะมองดูปองฤทัยจัดช่อดอกไม้
ปองฤทัยแกะห่อหนังสือพิมพ์ที่คลุมดอกกุหลาบออก เห็นกรอบข่าวสังคมมีรูปนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่น่าจับตา ในนั้นมีรูปของ ศึกรบอยู่พร้อมคำบรรยาย กรรมการผู้จัดการโรงแรม เลอวิมาน คุณศึกรบ เลิศอริยาภา
ปองฤทัยจ้องมองหนังสือพิมพ์แล้วเงยหน้ามองศึกรบอย่างไม่เชื่อสายตาแล้วอุทานเบาๆ
“คุณศึกรบจริงๆด้วย”
ปองฤทัยแทบจะกรี๊ดออกมา ศึกรบหันมามอง ปองฤทัยรีบเก็บอาการ
“ขอโทษนะครับ เห็นคุณบอกว่าขายกาแฟด้วยใช่ไหมครับ”
“ค่ะ ใช่ค่ะ”
“งั้นผมขออเมริกาโน่ร้อนแก้วนึงครับ”
“รอสักครู่นะคะ”
ปองฤทัยรีบวิ่งออกไปทางหลังร้าน ศึกรบมองดูปองฤทันที่มีท่าทีเลิ่กลั่ก พลางยิ้มขำ
ในขณะที่ป้อมกำลังเอาลังของเก็บเข้าที่ชั้นวางของด้านหลังร้าน ปองฤทัยวิ่งพรวดเข้ามา“ป้อม เขามาร้านเราจริงๆด้วยล่ะ ทำไงดีล่ะป้อม”
ป้อมเห็นอาการตื่นเต้นของพี่สาว ก็ตกใจ นึกว่าใครเข้ามาทำร้ายในร้าน
“ไหนใครที่ไหนพี่ ป้อมไปจัดการมันเอง”
พูดพลางคว้าไม้ม็อบที่พื้นขึ้นมาเตรียมไว้ ปองฤทัยรีบห้าม
“ไม่ใช่โจรแต่เป็น คนนั้นไง คนนั้นน่ะ”
ปองฤทัยเขินอายไปมา ป้อมมองพี่สาว ที่หน้าแดงซ่านแบบงงๆ
“อะไรกันพี่ปอง โจรก็ไม่ใช่ เขาเป็นใครเหรอบอกมาเลยดีกว่า”
ปองฤทัยยิ้มเขินน้องแล้วค่อยๆพูด
“คุณศึกรบ นายแบบสุดเท่คนนั้นไง”
ปองฤทัยยืนบิดไปมา ป้อมนึกอยู่สักพัก
“อ๋อนึกออกแล้ว เมื่อสมัยก่อน ที่พี่เอารูปเขาแปะจนเต็มข้างฝา นั่นน่ะเหรอ”
ปองฤทัย ยิ้มเขิน
“ก็ใช่น่ะสิ เขายังหล่อเหมือนเดิมเลยล่ะ ดูภูมิฐานกว่าเดิมอีกต่างหาก เขามาสั่งดอกไม้แล้วก็สั่งแกแฟ
ด้วย แต่ตอนนี้พี่คงชงกาแฟไม่ได้แล้วล่ะ มือมันสั่นๆกลัวจะไม่อร่อย ป้อมช่วยชงให้พี่ที่นะ นะป้อมนะ”
ปองฤทัยดึงน้องเข้าไปในร้านเพื่อให้ช่วยชงกาแฟ
“โอ๊ะอะไรของพี่เนี่ย คนกำลังเก็บของอยู่”
“ไปชงก่อนเดี๋ยวค่อยมาเก็บ เร็วดิ”
ป้อมวางมือจากงานที่ทำ “อ่ะก็ได้ แต่เดี๋ยวพี่ปองต้องมาช่วยป้อมเก็บนะ”
“สบายมาก ไปก่อนเร็ว”
ปองฤทัยท่าทางตื่นเต้นมาก ป้อมมองพี่สาว พลางส่ายหัวเบาๆ แล้วยิ้มขำ
อ่านต่อหน้า 3
ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 7 (ต่อ)
ป้อมเดินมาชงกาแฟที่เคาน์เตอร์ ในขณะที่ปองฤทัยจัดดอกไม้ไปมองศึกรบไป ก่อนจะรวบรวมความกล้า ถามออกไป
“คุณต้องการดอกกุหลาบขาวล้วนๆไม่แซมดอกอื่นเลยเหรอคะ”
“ผมไม่ค่อยรู้เรื่องดอกไม้หรอกครับ แต่รู้แค่ว่าเขาชอบกุหลาบขาวน่ะครับ”
ปองฤทัย ถามแบบเขินๆ “แฟนเหรอคะ”
ศึกรบยิ้มๆ “ภรรยาครับ”
ปองฤทัยแอบผิดหวังนิดๆ แต่ก็ดีใจที่ได้ทำให้ชายในฝัน
“วันเกิดของภรรยาคุณเหรอคะ”
ศึกรบส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่วันเกิดหรอกครับ แต่เป็นวันที่ผมต้องไปง้อให้เธอหายโกรธผมน่ะครับ”
ปองฤทัย มองหน้าศึกรบอย่างเห็นใจ “ ตายจริง งั้นเดี๋ยวปองจะจัดให้คุณสวยๆเลยนะคะ”
“ขอบคุณครับคุณ....”
“ปองฤทัยค่ะ เรียกว่าปองเฉยๆก็ได้ค่ะ”
ศึกรบยิ้มให้อย่างสุภาพ“งั้นผมเรียกว่าคุณปองแล้วกันนะครับ”
ปองฤทัยแอบเขินเล็กๆที่ศึกรบจ้องมอง
“จริงๆแล้วน่าจะเพิ่มสีสันของดอกไม้อื่นให้กับช่อดอกกุหลาบขาวสักนิดนะคะ ดอกกุหลาบขาว แสดง
ถึงความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ ถ้ามีดอกลิลลี่สีชมพู ที่มีความหมายถึงความรักที่จริงใจ แซมเข้าไปด้วยล่ะก็ รับรองว่า
ภรรยาคุณต้องยอมคืนดีกับคุณแน่นอนค่ะ”
ปองฤทัยยิ้มให้ด้วยความมั่นใจ ศึกรบมองดูความสดใส จริงใจ และไม่เสแสร้งของปองฤทัย ด้วยความรู้สึกสบายใจ
“งั้นก็แล้วแต่คุณปองเลยครับ ผมเชื่อคุณครับ”
“งั้นเดี๋ยวปองจัดการให้นะคะ” ปองฤทัยพูดพลางหันไปถามป้อม
“ป้อมอเมริกาโน่ร้อนเสร็จหรือยัง”
“ครับ จะเสร็จแล้วครับ”
ปองฤทัยหันมายิ้มให้ศึกรบ
“สักครู่นะคะ พอดีว่าน้องชายเพิ่งปิดเครื่องทำกาแฟไป เปิดเครื่องใหม่ก็เลยช้านิดนึงนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”
ศึกรบยิ้มให้ปองฤทัย ปองฤทัยแอบเขิน
ครู่เดียวป้อมก็ยกกาแฟร้อนมาเสิร์ฟให้ศึกรบ
“อเมริกาโน่ร้อนๆมาแล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
ศึกรบยกแก้วมาดมๆก่อนจะจิบกาแฟ ป้อมเดินกลับมาหยุดข้างปองฤทัย แล้วแซวพี่สาว
“ดูดีจริงๆเลยเนอะ คนอะไรก็ไม่รู้”
ปองฤทัยเอามือหยิกป้อม ป้อมสะดุ้งโหยง
“โอย ทำไมต้องเขินด้วยล่ะ ป้อมชมเขาไม่ได้ชมพี่สักหน่อย อะไรเนี่ยพี่ปอง หยิกซะเจ็บเลย”
“ไปไกลๆเลย ห้ามแซวห้ามพูดอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม ไม่งั้นจะไม่ช่วยเก็บของเลยคอยดูสิ”
ป้อมยกมือปิดปากตัวเอง “ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ”
ป้อมเดินเลี่ยงไปทางเคาน์เตอร์ชงกาแฟ ปองฤทัยมองน้องหมั่นไส้
ศึกรบกดโทรศัพท์หาสู่ขวัญ แต่สู่ขวัญไม่รับสาย นิ่งคิดสักพัก ก่อนที่จะเปลี่ยนใจส่งไลน์ข้อความไปง้อแทน ศึกรบกดส่งแล้วยิ้มมองโทรศัพท์
สู่ขวัญหยิบมือถือขึ้นดู เห็นว่าเป็นไลน์จากศึกรบ พอเปิดอ่านก็เห็นเป็นสติ๊กเกอร์ แนวง้อขอคืนดี สู่ขวัญยิ้มๆ พลางหันมาเห็นสายตาของพร ที่มองมาจึงหยุดยิ้ม
“ยิ้มอะไรเหรอคะคุณขวัญ”
“ก็รบน่ะสิคะ จะง้อขวัญทั้งทีทำได้แค่ส่งไลน์เป็นการ์ตูนมา ขอโทษขวัญแค่นี้เองเหรอคะพี่พร เหมือน
เด็กๆไม่มีผิดเลย”
“ก็เมื่อกี้คุณรบโทรมาคุณก็ไม่รับนี่คะ พี่พรว่าท่าจะพอเด็กพอกันทั้งคู่แหละค่ะ”
สู่ขวัญยังคงมองไลน์ที่ศึกรบส่งมา แล้วยิ้ม มีความสุข
ในขณะที่ปองฤทัยจัดดอกไม้เสร็จ ก็ยื่นให้ศึกรบ
“ดอกไม้น่ารักๆ เสร็จแล้วค่ะ”
ศึกรบมองหน้าปองฤทัยที่ยิ้มร่าเริงอยู่ตรงหน้าใกล้กับช่อดอกไม้ที่ยื่นมา
“ครับ น่ารักมาก”
ศึกรบส่งสายตาจ้องมาจนปองฤทัยเขิน รีบถอยตัวออกมา
“ปองขอให้คุณง้อภรรยาได้สำเร็จนะคะ ปองเอาใจช่วยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ศึกรบมองดอกไม้ในมือแล้วชมปองฤทัย
“คุณจัดดอกไม้เก่งนะครับ เปิดร้านมานานแล้วเหรอครับ”
“ปองเพิ่งเปิดได้เดือนเดียวเองค่ะ” ปองฤทัยยิ้มเขินๆ
“น่ารักดีนะครับ”
ศึกรบชูช่อดอกไม้ในมือ พลางเอ่ยกับปองฤทัย
“ผมขอนามบัตรร้านไว้หน่อยนะครับ ผมคงต้องใช้บริการร้านคุณปองตลอดไปซะแล้ว”
ปองฤทัยรีบหันไปหยิบนามบัตรร้านส่งให้กับศึกรบด้วยความเคอะเขิน
“นามบัตรร้านค่ะ”
ปองฤทัยก้มหน้าก้มตาไม่กล้าจ้องตา ศึกรบมองยิ้มๆ แล้วรับนามบัตรมา
“ขอบคุณสำหรับช่อดอกไม้น่ารักๆนี่นะครับ”
ศึกรบเดินออกไป ปองฤทัยแอบมองตามแล้วยิ้มชื่นชมอยู่คนเดียว ป้อมเดินออกมาจากเคาน์เตอร์มองดูเห็นพี่สาวมองส่งศึกรบจนลับตาจึงเข้ามาสะกิด ปองฤทัยหันมาตีป้อม ด้วยความเขิน
โคมไฟที่หัวเตียงในห้องนอนสู่ขวัญถูกเปิดสว่างขึ้น พร้อมเสียงเคาะประตูจากด้านนอก สู่ขวัญขยับตัวลุกขึ้นมา
“ขวัญเปิดประตูให้ผมทีสิครับ ขวัญครับ”
เสียงของศึกรบดังอยู่ที่หน้าประตู สู่ขวัญหน้างอน้อยใจไม่ตอบ
“เปิดประตูเถอะนะขวัญ ได้ยินไหมครับ ขอผมเข้าไปในห้องเถอะนะครับ”
สู่ขวัญยังไม่ยอมเปิดประตูให้ ศึกรบถอนหายใจ ก่อนที่จะวางดอกไม้ไว้หน้าห้อง สู่ขวัญเงี่ยหูฟังเห็นว่าเสียงศึกรบเงียบไปแล้ว ก็แอบบ่นคนเดียว
“ทำไมเงียบไปล่ะ หรือว่ากลับไปแล้ว”
สู่ขวัญเปิดประตูออกไป เห็นช่อดอกไม้ที่วางอยู่ ก็หยิบขึ้นมามองดูด้วยความดีใจ พลางสูดดมกลิ่นดอกไม้อย่างชอบใจ
“คุณรบ”
สู่ขวัญมองหาไม่เห็นศึกรบ ก็ทำหน้าเศร้า ศึกรบออกมาจากมุมห้องที่หลบอยู่สวมกอด สู่ขวัญตกใจ
“ยกโทษให้ผมนะครับคนดี”
สู่ขวัญทำหน้างอน ไม่ยอมพูดจา พลางพยายามแกะมือศึกรบที่โอบกอดออก
“ปล่อยขวัญนะ”
“คุณกำลังเข้าใจผมผิดนะขวัญ ผมกับระรินเราไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ” ศึกรบแก้ตัว
“ขวัญไม่ใช่เด็กๆที่คุณจะมาหลอกอะไรก็ได้นะคะ”
“ผมไม่ได้หลอกอะไรคุณเลย ผมแค่พูดความจริงให้คุณฟัง ตอนนี้คุณระรินเขาก็ไม่ได้เข้าพักใน
โรงแรมของเราแล้ว มันจะไม่มีเรื่องอะไรทำให้คุณเข้าใจผมผิดอีกแล้วนะครับ เชื่อผมสิขวัญ”
สู่ขวัญนิ่งไปสักพักแล้วหันมาบอกกับศึกรบหน้าเอาจริงเอาจัง
“คุณต้องพิสูจน์ตัวคุณเองให้มากกว่านี้ขวัญถึงจะเชื่อ”
สู่ขวัญเดินถือช่อดอกไม้เข้าห้องไป ศึกรบจะตาม
“ขวัญ”
ทันทีที่สู่ขวัญเข้าไปในห้อง ก็รีบกดล็อคประตูทันที ศึกรบทำได้แค่เคาะประตูเรียก แต่สู่ขวัญก็ไม่ ตอบรับ
สู่ขวัญยืนพิงประตูหน้าเฉยเมยมองดูดอกไม้ในมือ ไม่สนใจเสียงเรียกของศึกรบด้านนอก
ทางด้านปองฤทัย ก็ยังนั่งตาลอย ฝันๆ มีความสุข ประนอมมองดูปองฤทัยด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปถามป้อมที่หยิบยามาให้
“พี่สาวเราเขาเป็นอะไรไป แม่เห็นนั่งยิ้มอยู่คนเดียวมาตั้งนานแล้ว ไม่สบายหรือเปล่า”
ป้อมหันไปมองทางปองฤทัย ก่อนจะตอบมารดา
“พี่ปองเขาสบายดีจ้ะแม่ แต่ไอ้ที่นั่งยิ้มหน้าบานอยู่เนี่ย เพราะเมื่อกี้นี้ฟี่ปองเขาเจอหนุ่มในฝันของเขาที่
ร้านเราน่ะแม่”
ประนอมนิ่งคิดไปพัก “อ้อ คงจะเป็นคุณหมอใช่ไหมล่ะ”
ป้อมส่ายหัว “ไม่ใช่แม่ คนนี้เพิ่งเจอกันก่อนร้านปิดนี่เอง”
ประนอมทำท่าไม่น่าเชื่อที่ป้อมพูด ก่อนจะหันไปทางปอง
“ปองเอ๋ยปอง มาหาแม่หน่อยสิ แม่จะถามอะไรหน่อย”
ปองฤทัยสะดุ้ง หันกลับมา ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาแม่
“มีอะไรเหรอจ๊ะแม่”
“หนุ่มในฝันที่เจ้าป้อมมันพูดถึง มันจริงหรือเปล่า”
ปองฤทัยหันขวับไปมองที่ป้อม ที่แกล้งเลี่ยงหันไปมองทางอื่น ปองฤทัยค้อน
“ป้อมนะป้อม”
“อ้าวว่ายังไงล่ะลูก จริงหรือเปล่า” ประนอมถามย้ำ
“จริงจ้ะแม่”
ประนอมตกใจ ป้อมรีบเสริมต่อ
“โธ่แม่ไม่ต้องตกใจ พ่อเทพบุตรของพี่ปองเขามีแฟนแล้วเขา เข้ามาสั่งดอกไม้ให้แฟนเขา แต่พี่ปองเขา
เพ้อไปเองคนเดียว”
ประนอมเอามือแตะที่หน้าผากปองฤทัย
“ไม่มีไข้ใช่ไหมลูก แต่ทำไมถึงเพ้อได้ล่ะเนี่ย”
ปองฤทัย ก้มหน้าเขิน
“แหมแม่ก็ ปองก็แค่ชื่นชมเขามาตั้งแต่ปองยังเด็กๆมันก็แค่ปลื้มๆน่ะแม่ เขาเป็นแค่คนในฝันเท่านั้น
แหละจ้ะ”
“คนนั้นเป็นแค่คนในฝัน แต่ว่าชีวิตจริงคือคุณหมอชโยดม ใช่ไหมล่ะพี่ปอง”
ป้อมแซว ปองฤทัยหันหยิบหมอนขว้างไปที่หน้าป้อมด้วยความโมโหที่ถูกน้องชายตัวดีล้อเลียน
หลังจากง้อสู่ขวัญไม่เป็นผล ศึกรบก็เดินลงมาข้างล่าง สีหน้าครุ่นคิด เมื่อเห็นพรเดินออกมาจากในครัว จึงรีบเดินเข้าไปหา
“อ้าวทำไมยังไมเข้าห้องล่ะคะ” พรถามงงๆ
“คุณขวัญเขาไม่ยอมให้ผมเข้าไปน่ะครับ”
“งั้นก็คงยากหน่อยนะ เพราะคุณขวัญเธอเป็นคนใจแข็ง”
“นั่นสิครับ พี่พรช่วยพูดให้ผมทีได้ไหม”
“คงไม่ได้หรอกค่ะ” พรปฎิเสธนิ่มๆ “คุณคงต้องไปง้อเธอเองนะคะงานนี้ ดูท่าทางเธอจะโกรธมาก ไม่
ยอมให้คุณเข้าห้องหลายวันแล้ว”
“แต่ก็น่าจะหายโกรธบ้างนะ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
พรมองศึกรบแบบจับผิด
“คุณขวัญเป็นคนมีเหตุมีผล ไม่โกรธอะไรใครเพราะอารมณ์อย่างเดียวหรอกค่ะ”
ศึกรบโดนด่ารอบสอง ยิ่งทำท่าเซ็ง และเมื่อพรเดินออกไป ศึกรบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วตัดสินใจกดโทร. ออก
มีนา ที่นอนหลับอยู่ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ก็งัวเงียมากดรับสาย
“ฮัลโหลมีนาพูด สายใครคะ มีธุระอะไรด่วนไหมถ้าไม่มีพรุ่งนี้ ค่อยโทรมาใหม่นะคะ”
พลางทำท่าจะวาง ศึกรบรีบพูดแทรกขึ้น
“มีนา ผมศึกรบนะครับ”
มีนาได้ยินชื่อศึกรบ ก็สะดุ้งพรวดลุกขึ้นมาเปิดไฟโคมหัวเตียงทันที
“คะ ว่าไงคะ มีอะไรเหรอคะ โทร. มาซะดึกขนาดนี้”
“ขอโทษทีครับ ผมมีเรื่องรบกวนอยากให้คุณช่วยหน่อยครับ”
“ ช่วยเรื่องอะไรคะ” มีนาย้อนถามงงๆ
“ช่วยพูดกับสู่ขวัญให้ยกโทษให้ผมสักทีสิครับ”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นมีนาขอตัวค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
มีนาตัดสายทิ้งอย่างหงุดหงิด พลางปิดไฟลงนอนต่อ
“เสียอารมณ์เลยเรา เฮ้อ”
ศึกรบนั่งมองโทรศัพท์แล้วตัดสินใจกดโทรศัพท์อีกครั้ง มีนาลุกเปิดไฟแล้วหยิบโทรศัพท์มาดูเห็นเบอร์ศึกรบ ก็อารมณ์เสียแต่ก็กดรับสาย
“ฉันบอกคุณแล้วไงคะว่าไม่ ไม่ ไม่”
“ไม่ต้องพูดให้ก็ได้ครับ ผมอยากขอความร่วมมืออย่างอื่นจากคุณมากกว่า”
มีนาปฎิเสธ “ไม่ดีกว่าค่ะฉันไม่อยากยุ่ง”
“งั้นผมขอโทษนะครับที่รบกวนเวลาคุณ ทีแรกผมกะว่าเราจะได้เจอกัน ผมจะได้เอากระเป๋าหลุยส์รุ่น
ลิมิเต็ดไปฝากคุณสักหน่อย”
มีนาตาวาว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ศึกรบยิ้มเจ้าเล่ห์
“พอดีเพื่อนผมหิ้วมาฝาก แต่คุณขวัญเขามีแล้ว น่าเสียดายที่ไม่เจอคุณนะมีนา สวัสดีนะครับ”
มีนา รีบร้องห้าม “เดี๋ยวค่ะ”
ศึกรบยิ้มเข้าทาง
“ส่งรูปกระเป๋ามาให้ดูหน่อยสิคะ”
ศึกรบยิ้ม ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
เช้าวันรุ่งขึ้น สู่ขวัญลงมาที่โต๊ะอาหาร พลางมองหาศึกรบ ในขณะที่พรให้เด็กถืออาหารเช้าเข้ามาวางให้ สู่ขวัญหันมาถามพร
“คุณรบล่ะคะพี่พร”
“ออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ”
สู่ขวัญถอนหายใจ พรมองอย่างเป็นห่วง
“พรว่ายิ่งปล่อยนิ่งๆไปแบบนี้ คุณรบจะยิ่งได้ใจ จะยิ่งเหลิงไปกันใหญ่นะคะ”
“ไม่หรอกค่ะ มันเป็นแค่บททดสอบความจริงใจบทหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ”
“มันจะได้ผลกับเขาเหรอคะ” พรถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ของแบบนี้ต้องลองดูค่ะพี่พร เราจะได้รู้ว่าคนที่เราฝากชีวิตไว้กับเขา เขาจริงใจกับเรามากแค่ไหนกัน”
สู่ขวัญตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ค่ะ พี่พรขอให้สำเร็จนะคะ”
พรมองดูสู่ขวัญอย่างเป็นห่วง
อ่านต่อหน้า 4
ดงดอกงิ้ว ตอนที่ 7 (ต่อ)
สู่ขวัญมาที่ร้าน เห็นร้านยังปิดอยู่ ก็ชักแปลกใจ
“อะไรกันยังไม่เปิดร้านอีกเหรอเนี่ย สายจนป่านนี้แล้ว ยัยมีนา มันน่าหักเงินหุ้นส่วนออกให้หมดเลย”
สู่ขวัญหยิบโทรศัพท์กดโทรหามีนา แต่ไม่มีคนรับ
“โทรศัพท์ก็ไม่รับ อะไรกันเนี่ย”
สู่ขวัญเดินกลับไปที่รถควานหากุญแจร้าน ก่อนที่จะเดินกลับเข้ามาพร้อมกุญแจร้านตรงเข้าไขประตู
“คอยดูนะยัยมีนา ฉันจะหักเงินให้เกลี้ยงเลย”
สู่ขวัญไขประตูออก ก่อนที่จะเปิดเข้าไป ภายในร้านยังมืดอยู่ แต่จู่ๆไฟก็สว่างพรึบขึ้นมา สู่ขวัญตกใจเมื่อมองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นดอกกุหลาบขาวและดอกไม้อื่นๆ เต็มพรึ่บทั่วห้อง สู่ขวัญยืนมองอย่างตะลึง
ศึกรบเดินเข้ามาหา สู่ขวัญมองด้วยความประหลาดใจ
ศึกรบถือช่อดอกไม้เป็นพุ่มน่ารักๆ เข้ามาคุกเข่าง้อขอคืนดี พลางยื่นดอกไม้ให้สู่ขวัญ
“ยกโทษให้ผมนะครับขวัญ”
สู่ขวัญไม่ตอบหันหน้าไปทางอื่น มีนาโผล่เข้ามายิ้มทะเล้นๆให้สู่ขวัญหายงอน สู่ขวัญทำตาโตใส่
“ไปทานข้าวกับผมนะครับที่รัก”
สู่ขวัญยังนิ่ง จนมีนาเริ่มรำคาญ
“ตอบคุณสามีหน่อยสิขวัญ เขาอุตส่าห์ลงทุนง้อเธอขนาดนี้ แล้วจะใจแข็งไปถึงไหนกัน”
มีนาส่งสัญญาณให้ศึกรบจัดการต่อ
“นะครับขวัญ ทานข้าวกันนะครับ ผมอยากอยู่กับคุณสองคน”
สู่ขวัญเริ่มใจอ่อน “ แต่ฉันต้องดูร้าน”
มีนา พูดแทรกขึ้นมาทันที
“โอย ไปเถอะค่ะคุณ ฉันไม่หอบร้านหนีไปไหนหรอกจ้า เดี๋ยว ฉันดูแลเอง ไปหาอะไรอร่อยๆ
บรรยากาศดีๆอยู่ด้วยกันเถอะจ้า ไม่ต้องห่วงทางนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ฉันเอง”
“แต่ว่า”
“ไม่ต้องตงต้องแต่อะไรทั้งนั้น คุณศึกรบคะ พายัยขวัญไปได้แล้วค่ะ เซอร์ไพรส์พอแล้ว เชิญค่ะ เชิญ
นะเพื่อน”
มีนาดันสู่ขวัญกับศึกรบให้ออกไปด้วยกัน
“ฝากเลี้ยงดูด้วยนะคะคุณรบ”
ศึกรบ ยิ้มให้มีนา “ครับผม”
มีนาดันเพื่อนจนพ้นประตู แอบถอนใจโล่งอก แล้วนึกขึ้นได้ รีบเดินไปที่โต๊ะดึงเอาถุงกระดาษที่ใส่กระเป๋าหลุยส์ออกมา พลางมองดูอย่างตื่นเต้น
“ว้าว .รุ่นลิมิเต็ดของเรา เย้ๆ”
มีนาตาวาว พลางจูบกระเป๋าด้วยความดีใจ
ศึกรบขับรถเลียบชายหาดที่สวยงาม ก่อนจะจอดที่ริมหน้าผา มองเห็นทะเลสวยงาม สู่ขวัญลงจากรถมองดูเบื้องหน้า พลางสูดลมหายใจเต็มที่ ศึกรบเดินเข้ามาใกล้มองดูสู่ขวัญแล้วยิ้มๆ
“เห็นคุณยิ้มได้ค่อยโล่งใจหน่อย”
สู่ขวัญยังคงไว้ฟอร์ม
“ขวัญยิ้มไม่ได้แปลว่าขวัญยกโทษให้คุณนะคะ”
“โธ่ขวัญ ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอครับ คุณจะให้ผมทำอะไรผมยอมทุกอย่างเลย ยกโทษให้ผมเถอะ
นะ”
“คุณทำได้ทุกอย่างจริงเหรอคะ” สู่ขวัญย้อนถาม
“จริงสิครับ”
สู่ขวัญมองหน้าศึกรบจริงจัง
“งั้นทำให้ขวัญกลับมาไว้ใจคุณเหมือนเดิม คุณทำให้ขวัญได้ ไหมคะ”
ศึกรบอึ้ง สู่ขวัญหันหน้ามองออกไปทะเล ศึกรบพยายามอธิบาย
“ผมกำลังทำอยู่นี่ไงครับ”
“กำลังทำผิดต่อขวัญงั้นเหรอคะ”
“ขวัญครับ ขวัญต้องเข้าใจผมบ้างนะครับ บางครั้งการทำงานของผม ก็ต้องพึ่งคนอื่นมากมาย ไม่ใช่แค่
ผู้หญิงเท่านั้น และทุกอย่างที่ทำ ผมก็ทำเพื่อความเจริญก้าวหน้าของโรงแรมเรา”
สู่ขวัญหันไปจ้องหน้าศึกรบ
“คุณพ่อคุณแม่ขวัญท่านก็ทำกิจการโรงแรมนี้มาทั้งชีวิต ขวัญไม่เห็นว่าท่านสองคนจะมีปัญหาเหมือน
เราเลย วิธีการทำให้กิจการก้าวหน้ามีตั้งเยอะแยะทำไมคุณไม่ทำคะ”
ศึกรบทำขึงขัง
“ ผมก็มีวิธีทำงานของผม ซึ่งโอเค มันอาจจะต่างจากคุณพ่อคุณแม่ของคุณทำมา เพราะเราคนละรุ่นกัน
ก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ผมก็พากิจการโรงแรมของเราเข้าสู่อันดับท็อปไฟว์ของประเทศได้อย่างไม่อายใครไม่ใช่
เหรอครับ”
ศึกรบเดินมาตรงหน้า พลางจับมือสู่ขวัญ
“ผมอยากพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นว่า ผมทำทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องอาศัยบารมีของใคร ผมอยาก
ให้คุณได้ภูมิใจในตัวสามีของคุณบ้างก็เท่านั้นเอง ผมรู้สึกแย่มากที่ทำให้คุณเข้าใจผมผิดได้ขนาดนี้”
พูดจบศึกรบ ก็ก็ปล่อยมือสู่ขวัญ หันมองทะเล พลางปั้นน้าเศร้า ทำทีเป็นเสียใจเหลือเกิน
สู่ขวัญอึ้งๆกับสิ่งที่ศึกรบพูด พลางแอบมองศึกรบเพราะรู้สึกว่าตัวเองพูดจาทำให้เขาเสียใจน้อยใจ ไม่น้อย
“ขวัญเสียใจที่ทำให้คุณรู้สึกแย่แบบนี้ แต่สิ่งที่ขวัญเห็นเป็นผู้หญิงคนไหนก็ต้องโกรธเหมือนขวัญทุก
คน”
ศึกรบทำท่าน้อยใจ
“แต่ผมก็อธิบาย แต่คุณก็ไม่เชื่อคำอธิบายของผม”
สู่ขวัญรีบแก้ตัว “ไม่ใช่ไม่เชื่อนะคะ ขวัญแค่ยังไม่แน่ใจเท่านั้นเอง”
“ไม่แน่ใจว่าผมพูดจริงหรือเปล่าใช่ไหมครับ”
สู่ขวัญนิ่งไป ศึกรบทำหน้าจริงจังหันพูดกับขวัญ
“ขวัญครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับระรินอีก ถ้าขวัญไม่สบายใจ แต่ถ้าคุณยังไม่ไว้ใจผม ผมจะ
เดินออกไปจากชีวิตคุณเอง”
ศึกรบแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า จนสู่ขวัญรู้สึกผิด
“ขวัญจะเชื่อคุณอีกสักครั้งนะคะ”
ศึกรบดีใจที่ขวัญยอมเชื่อใจ พลางดึงสู่ขวัญเข้ามากอด
“ขอบคุณมากนะครับขวัญ ขอบคุณมาก”
ศึกรบกอดสู่ขวัญแน่น สู่ขวัญกอดตอบ ครู่หนึ่งก็ผละออก
“ไหนคุณบอกว่าจะพาขวัญมาทานอาหารไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมไม่พาไปสักทีล่ะคะ ขวัญหิวแล้ว”
ศึกรบแกล้งยั่วขวัญ
“จริงๆแล้วผมกะว่าถ้าคุณไม่ยกโทษให้ผม ผมก็จะไม่พาคุณไปทานหรอก ปล่อยให้หิวจนท้องร้องเลย”
“แนะ คุณเนี่ย”
สูขวัญเอามือตีที่อกศึกรบเบาๆ ศึกรบจับมือรวบตัวสู่ขวัญมาหอมแก้ม สู่ขวัญดันตัวออกด้วยความเขินพลางหันมองรอบๆ
“บ้าจังคุณ ขวัญอายคนอื่นเขา”
ศึกรบยิ้มขำ แล้วเปลี่ยนมาจูงมือสู่ขวัญกลับเข้ารถ
“เดี๋ยวขับไปต่ออีกนึด ก็จะถึงร้านอาหารวิสวยๆ ริมหน้าผาแล้วล่ะครับ คุณอยากทานอะไรคิดไว้ก่อนได้เลยนะที่รัก”
ศึกรบจูงมือสู่ขวัญเดินไปที่รถแล้วขับรถออกไป
ชโยดมเดินเข้ามาที่ร้านของปองฤทัย พลางหยุดมองเจ้าของร้าน ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ ปองฤทัยได้ยินเสียงคนเข้ามา ก็ถามด้วยความเคยชิน
“รับดอกไม้หรือกาแฟดีคะ”
“อืม .รับทั้งดอกไม้ทั้งกาแฟเลยครับ”
ปองฤทัยรีบหันไปมองเสียงที่ตอบ เห็นเป็นชโยดมจึงยิ้มทักทาย
“คุณหมอนั่นเอง จะรับทั้งสองอย่างจริงๆเหรอคะ”
ปองฤทัยถามจริงจัง ชโยดมพยักหน้า ยิ้ม
“จริงสิครับ”
ปองฤทัยยิ้มงงๆที่ชโยดมสั่งดอกไม้ด้วย
“กาแฟคาปูชิโน่เหมือนเดิมนะคะ”
“ครับผม”
“ว่าแต่ดอกไม้ล่ะคะ เลือกดอกอะไรดี อ้อ แล้วก็สำหรับใครด้วยค่ะ ปองจะได้จัดช่อได้ถูก”
“ดอกไม้ของผมเองครับ” ชโยดมตอบหน้าตาเฉย ปองฤทัยทำหน้าประหลาดใจ
“คุณหมอซื้อดอกไม้ให้ตัวเองงั้นเหรอคะ”
“ทำไมล่ะครับ ผมชอบดอกไม้”
ปองฤทัยมองชโยดมแปลกๆ ชโยดมนึกรู้ว่าปองฤทัยคงคิดว่าเขาเป็นเกย์ จึงรีบบอก
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดหรอกครับ ที่ผมชอบดอกไม้ เพราะมันเป็นดอกไม้ที่คุณเป็นคนจัดให้ เวลา
มองทีไรผมมีความสุขทุกครั้ง”
ปองฤทัยเหลือบตามามอง สานสายตากับชโยดม ที่จ้องมองอยู่พอดี ปองฤทัยเขินจัดทำอะไรไม่ถูก
“เอ่อ เดี๋ยวปองไปชงกาแฟให้คุณหมอ เชิญนั่งรอก่อนนะคะ”
“ ครับ”
ปองฤทัยรีบจ้ำออกไป แอบถอนหายใจโล่งอก ชโยดมมองตามยิ้มๆ
ศึกรบกลับเข้ามาทำงานอย่างสบายใจ ระหว่างเดินนึกขึ้นได้หยิบโทรศัพท์กดหาเบอร์ปองฤทัย ที่กดรับสายไป แนบหูชงกาแฟไปด้วย
“สวัสดีค่ะร้าน The sit café ค่ะ รับกาแฟหรือดอกไม้ดีคะ”
“ผมศึกรบนะครับ”
ปองฤทัยชะงักกึก โทรศัพท์แทบร่วง
“ค่ะคุณรบ มีอะไรให้ปองรับใช้คะ”
“ผมจะโทรมาขอบคุณ สำหรับดอกไม้เมื่อเช้าที่คุณช่วยไปจัดสถานที่ให้น่ะครับ”
“แล้วภรรยาคุณชอบไหมคะ” ปองฤทัยถามอย่างตื่นเต้น
“ชอบครับ เพราะดอกไม้ของคุณผมกับภรรยาเลยเข้าใจกันเหมือนเดิม ดอกไม้ของคุณเป็นดอกไม้
นำโชคของผมจริงๆ”
ปองฤทัย ยิ้มเขิน
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งคะ ที่คุณคืนดีกันคงเป็นเพราะคุณสองคนรักกันมากกว่าค่ะ ดอกไม้คงนำโชค
อะไรไม่ได้หรอกค่ะ”
“ได้สิครับ อย่างน้อยก็เพราะดอกไม้นี่แหละ ที่ทำให้ผมได้พบกับคุณ ขอบคุณนะครับ”
ศึกรบวางสายไปยิ้มๆ ปองฤทัยมัวแต่อึ้งกับคำพูดของศึกรบ จนเครื่องทำกาแฟปล่อยไอน้ำฟืดออกมาปองฤทัยสะดุ้งเฮือก ชโยดมแอบมองยิ้มๆ ปองฤทัยยิ้มเก้อๆ กลับไปให้
ในขณะที่มีนากำลังชื่นชมกระเป๋าใบใหม่ที่เพิ่งได้จากศึกรบ สู่ขวัญก็เดินกลับเข้ามาในร้านพอดี
“กลับมาแล้วจ้า”
มีนาสะดุ้งเฮือก รีบซ่อนกระเป๋าไว้ ท่าทางดูมีพิรุธ
“เป็นไง ไปทานถึงไหนมาเนี่ย กลับมาเอาป่านนี้ ความจริงมาตอนเช้าเลยก็ได้นะ”
“นี่ประชดฉันเหรอยะ”
“แหม ก็เล่นหายไปทั้งวัน ฉํนก็นึกว่าไปฮันนีมูนกันซะอีก”
สู่ขวัญ มองค้อนเพื่อน
“เกินไปย่ะ เธอก็เป็นใจกับคุณรบไม่ใช่เหรอ ดูสิอุตส่าห์มาจัดดอกไม้ที่ร้านตั้งแต่เช้า ขอบใจนะจ๊ะ”
สูขวัญมองดอกไม้รอบๆ พลางยิ้มสดชื่น มีนามองเห็นเพื่อนมีความสุข ก็พูดล้อๆ
“ทีเมื่อวานล่ะหน้าหงิกหน้างอ พอดีกันเข้าหน่อยยิ้มหน้าบานเลยนะเธอ”
“ก็คนเขามีความสุขนี่”
สู่ขวัญเดินมาดมดอกกุหลาบในแจกันยิ้มชื่นใจ มีนารีบดันกระเป๋าหลบสายตาสู่ขวัญ
“จ้ะมีความสุขก็ดีแล้ว ฉันไม่อยากเห็นเธอเศร้าเลย มันหดหู่”
“เธอจะไม่เห็นภาพหดหู่แบบนั้นอีกแล้วล่ะ” สู่ขวัญพูดอย่างมั่นใจ “ เพราะรบเขา สัญญากับฉันแล้วว่า
จะทำตัวให้ดีขึ้น และที่สำคัญเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยัยระรินนั่นอีกแล้ว”
มีนาไม่อยากเชื่อ แต่เห็นสู่ขวัญมั่นใจแบบนั้นก็เออออตามเพราะไม่อยากขัดความสุขเพื่อน
ทางด้านศึกรบ ที่นั่งทำงานอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงมือถือดัง ศึกรบเหลือบมองแล้วไม่สนใจ จนสัญญาณตัดไป ครู่เดียวเสียงก็ดังขึ้นมาอีก ศึกรบก็ทำเหมือนเดิมอีก
ในขณะที่ระริน ที่กดโทรศัพท์อยู่ในกองถ่ายละครเริ่มหงุดหงิด
“โธ่เว้ย ทำไมไม่รับสายนะ คิดว่าจะหนีคนอย่างระรินพ้นเหรอคุณรบ”
ระรินมองโทรศัพท์ ก่อนจะเปิดไปที่โปรแกรมไลน์
“โทรไปไม่รับ ส่งไลน์ก็ได้ดูสิจะว่ายังไง”
ระรินกดหาไลน์ของศึกรบจะส่งข้อความ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นไลน์ของศึกรบ ระรินโมโหหนักกรี๊ดดังลั่นห้อง
“อ๊าย ทำไมทำแบบนี้”
เสียงกรี๊ดของระริน ทำเอาทั้งกองถ่ายหันมามองเป็นตาเดียว
อ่านต่อตอนที่ 8