เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 11
เช้าวันต่อมา คนงานกลุ้มรุมรวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหารแน่นขนัด ราวกับมีมหกรรมอะไรที่น่าสนใจสุดๆ มีการตั้งโต๊ะวางเครื่องสำอางเพื่อแจกอยู่
พนักงานต่อคิวรับเครื่องสำอางอยู่ มีส้มเช้ง ศรีนวล และพนักงานอีก 2 คนคอยช่วยแจกอยู่
พนักงานบางกลุ่มมารุมล้อมรอบิวตี้สอนแต่งหน้า
“เพื่อเป็นการขอบใจที่พวกเธอพูดความจริงกับฉัน ฉันจะสอนวิธีการเลือกเครื่องสำอางดีๆที่เหมาะกับผิวสาว และสอนการแต่งหน้าอย่างถูกวิธีให้ รับรองว่าทุกคนจะสวยอย่างน้อยก็หนึ่งส่วนสิบของฉันแน่นอน”
บิวตี้แต่งหน้าเนย สาธิตให้ส้มเช้ง นี ติ๋ม สาวฉันทนาอื่นๆ ทำตาม
ทุกคนมีตลับบรัชออน และแปรงเป็นของแจกประจำตัว
“พวกเธอโชคดีมากนะที่เจอฉันซึ่งเป็นกูรูด้านความงามอันดับหนึ่งของประเทศ ฉันไม่บอกเคล็ดลับใครง่ายๆหรอกนะ แต่ฉันจะสอนทุกคนในโรงงานนี้ เริ่มจากเลือกสีรองพื้นนะคะทุกคน”
บิวตี้อธิบายเรื่องสีผิวและการเลือกสีรองพื้น แล้วลงรองพื้นให้นี ทุกคนทำตามบิวตี้บอกอย่างกระตือรือร้น
อีกฝั่งหนึ่งธีภพได้รับรายงานรีบมาดู พักตร์พิมล กระตั้ว ปีวราตามมาด้วย
“คนงานมุงดูอะไรกันคะพี่ธี”
“ยังไม่รู้เหมือนกัน”
ธีภพเดินเข้าไป คนงานที่เห็นยกมือไหว้
“เกิดอะไรขึ้น”
“ดูการสาธิตการแต่งหน้าของกูรูค่ะ”
ธีภพงง “กูรูเป็นใคร แล้วทำไมต้องมาสาธิตที่โรงงานเรา”
“ไร้สาระมาก ทำไมฉันถึงไม่ได้รับรายงานมาก่อนเลยว่าจะมีการอบรมแบบนี้ให้พนักงาน” พักตร์พิมลหันไปทางปีวรา “ปี เธอได้รับรายงานเรื่องนี้รึเปล่า”
“ไม่ค่ะ เพิ่งทราบพร้อมคุณแพ็ตนี่แหละค่ะ”
กระตั้วสนใจเครื่องสำอางแจกฟรี และสนใจการสาธิตแต่งหน้า จึงเบียดตัวเข้าไปรับเครื่องสำอาง
“แจกฟรีค่ะ คุณแพ็ตคะ”
“ของปลอมล่ะสิไม่ว่า”
“ของจริงค่ะ กูรูด้านความงามเป็นพยานได้” สาวฉันทนาบอก
“หลงเชื่อก็โง่แล้ว กูรงกูรูของเธอมันเป็นใคร และใครอนุญาตให้มันเข้ามา ขอดูหน้าหน่อยจะได้ลงโทษถูก”
พักตร์พิมลเดินอาดๆ เข้าไป กลุ่มคนตรงหน้าเริ่มเคลื่อนตัวออก เผยให้เห็นผู้หญิงเครื่องแบบโรงงานสองคนกลางวง บิวตี้กำลังแต่งหน้าให้นีอย่างสวยงาม
“ยายบิวตี้!” พักตร์พิมลอุทาน
กระตั้วอุทานตาม “กูรูบิวตี้!”
ธีภพก็อุทาน “บิวตี้!”
บิวตี้หันมาเห็นสองคน พักตร์พิมลเดินเข้าไปกระชากเสียงถาม
“เธอทำอะไรของเธอน่ะบิวตี้”
“ไม่มีตาเหรอ ถึงมองไม่เห็นว่าฉันทำอะไร”
“อย่ามาเล่นลิ้นนะ ทำอะไรไม่รู้จักคิด ไม่มีเงินแล้วหรือไงถึงต้องมาหลอกขายเครื่องสำอางปลอมให้พนักงาน”
“ผิดแล้วจ้ะ เครื่องสำอางพวกนี้ไม่ได้มีไว้ขาย แต่ฉันแจกฟรีทั้งหมดทุกคน ไม่มีเว้น ฉันแจกเธอด้วยนะ”
กระตั้วดี๊ด๊า “ขอกระตั้วหลายๆ ชุดเลยนะคะคุณบิวตี้”
แพ็ตค้อนกระตั้วขวับ
ธีภพฉงน “คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่า ฉัน แจก ฟรี ให้กับทุกคนที่มาเข้าคอร์สแต่งหน้ากับฉันน่ะสิ”
พักตร์พิมลแดกดัน “อวดรวย”
“ฉันรวยแล้วผิดตรงไหน ฉันไม่ได้เสียเงินกับเครื่องสำอางพวกนี้สักบาท อย่าลืมสิว่าฉันคือลัลน์ลลิต เครื่องสำอางยี่ห้อนี้ทาบทามฉันเป็นพรีเซ็นเตอร์มานานแล้ว ฉันแค่ตอบตกลง แล้วก็ต่อรอง ยอมรับเงินน้อยลง และกับอภินันทนาการเครื่องสำอางให้สาวๆ ในโรงงานของเราแทน เห็นไหมว่าฉันฉลาดแค่ไหน”
ธีภพมองบิวตี้ที่ดูจริงจังด้วยความทึ่ง
“แต่การเปิดคอร์สงี่เง่านี่โดยพลการเป็นการผิดกฎ” พักตร์พิมลว่า
“พลการตรงไหน อย่าลืมสิว่าฉันเป็นถึงประธานบริษัทเชียวนะ แล้วฉันก็บอกผู้จัดการโรงงานไว้แล้ว จริงมั้ยคะคุณวิทย์” พลางหันไปทางวิทย์ ผู้จัดการโรงงาน
“แค่แจ้งผู้จัดการโรงงานไม่พอหรอกครับ คุณต้องทำเรื่องขออนุญาตฝ่ายบริหารด้วย” ธีภพบอก
“ใช่ค่ะพี่ธี กฎแค่นี้ยังไม่รู้ จะเป็นประธานบริษัทที่ดีได้ยังไง”
บิวตี้กับพักตร์พิมลจ้องหน้าเหมือนจะโดดเข้าไปตบกันในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง
ธีภพดุเสียงเบาแต่เฉียบขาด “อย่าทะเลาะกันต่อหน้าคนงาน ไปเคลียร์ที่ห้องผม”
จากนั้นธีภพเดินนำออกไป ตามด้วยแพ็ตและบิวตี้
กระตั้วดี๊ด๊าเข้าไปเล่นเครื่องสำอางต่อกับสาวโรงงาน ปีวรามองทุกอย่างที่เกิดขึ้น ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ส่วนบิวตี้กับพักตร์พิมลยังใส่กันไม่ยั้ง ต่อหน้าธีภพ
“ไหนๆ ก็รู้กันแล้วว่าฉันเป็นประธาน ฉันก็อยากทำกิจกรรมสร้างสรรค์ให้เป็นประโยชน์บ้าง ผิดตรงไหน”
“แล้วมันสร้างสรรค์ตรงไหน”
ธีภพพยายามอธิบาย “มันจะทำให้คนงานฟุ้งเฟ้อ”
“ฟุ้งเฟ้ออะไร ฉันแจกฟรี” บิวตี้เถียง
“แล้วคิดหรือเปล่าว่าถ้ามันหมด คนงานจะมีปัญญาที่ไหนไปซื้อของแพงๆ อย่างนั้น”
“คิดสิ ฉันคิดรอบคอบกว่าเธออีก ฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักใช้เครื่องสำอางคุณภาพดีที่ราคาไม่แพง”
ธีภพทักท้วง “แต่มันก็ไม่จำเป็นอยู่ดี”
บิวตี้ย้อน “ทำไมจะไม่จำเป็น บริษัทของเราทำเสื้อผ้า ทำของสวยๆ งามๆ ขาย ก็ต้องสอนให้คนผลิตใส่ใจเรื่องความสวยความงาม ถ้าทุกคนรู้สึกว่าตัวเองสวย หันไปทางไหนก็เจอแต่ความสวยงาม เห็นแล้วชื่นตาชื่นใจ ผลงานก็จะออกมาดี ความสุขจากภายใน มีผลต่อคุณภาพของงาน”
“ไร้สาระ บริษัทเราทำงานมีคุณภาพมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นต้องลุกขึ้นมาแต่งหน้าทาปากเลย”
“พูดเรื่องรสนิยม กับคนไม่มีรสนิยมอย่างเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“รสนิยมหรือไร้สมองกันแน่ ถ้าบริหารงานตามใจชอบแบบนี้ธนบวรเจ๊งแน่”
“ฟังให้ดีนะแพ็ต คนอย่างเธอมันใจแคบ ขี้อิจฉา กลัวว่าฉันเข้ามาแล้วเธอจะหมดความสำคัญ แต่บริษัทนี้เป็นของพ่อฉัน แล้วมันจะเป็นของฉันด้วย ต่อให้มีคนสร้างเรื่องเลวร้ายต่างๆ นานา เพื่อยึดมันไปจากฉันยังไง ก็ไม่สำเร็จหรอก”
ธีภพขึ้นเสียงดัง “บิวตี้! พอได้แล้ว แพ็ตเป็นพี่สาวของคุณนะ แพ็ตทำงานเพื่อคุณมาตั้งเท่าไหร่ คุณควรจะขอบคุณเธอถึงจะถูก”
บิวตี้มองธีภพอย่างตัดพ้อ
“นายไม่รู้อะไรอย่ามาว่าฉันดีกว่า ฉันรู้นะว่าเธอเป็นคนปล่อยข่าวลือร้ายๆ เกี่ยวกับฉันไปทั่วโรงงาน ถ่ายคลิปลงยูทูป ปาปาราซซี่ แล้วก็ใบปลิวว่าฉันคือลัลน์ลลิตนั่นด้วย เธออยากให้ทุกคนหมดความเชื่อถือในตัวฉัน และทำให้ฉันเป็นประธานไม่ได้ แต่เสียใจที่เธอทำไม่สำเร็จ เพราะสวรรค์เข้าข้างคนดีอย่างฉันเสมอ”
บิวตี้กับแพ็ตจ้องหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
ธีภพเห็นแววตาตัดพ้อในท่าทีอันหมางเมินนั้นแล้วรู้สึกใจหาย บิวตี้เดินหุนหันออกไป
เย็นนั้น บริษัทใหม่แห่งนี้ ยังมีบางส่วนก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ กรเทพเดินตรวจดูการตกแต่ภายในบริษัทใหม่อย่างเอาใจใส่
มีเสียงโทรศัพท์ดัง มาจากชายลึกลับ กรเทพเดินออกมาด้านนอกเพื่อหาที่เงียบๆ คุย
“ครับ ผมกำลังดูงานตกแต่งภายในอยู่” กรเทพฟังอย่างสนใจ “อ้าว เปิดตัวแล้วเหรอ งั้นก็หมายความว่าคงไม่ทำเล่นๆแล้วล่ะ คงหวังจะเป็นประธานจริงๆ” กรเทพฟังแล้วตอบเสียงเครียด “ดีเหมือนกัน จะได้เร่งเปิดบริษัทใหม่ แล้วแยกตัวออกมาเลย”
กรเทพยืนเครียดอยู่หน้าอาคารใหญ่โต ชวนให้คิดว่า ที่นี่อาจเป็นบริษัทลับๆ ของกรเทพเอง
ขณะเดียวกัน ที่โรงอาหาร การอบรมแต่งหน้าเสร็จสิ้นลง ส้มเช้งกำลังช่วยบิวตี้เก็บของ สาวโรงงานทุกคน สวยเช้งผิดจากเมื่อก่อน
บิวตี้ยังหงุดหงิดเรื่องที่ธีภพติเตียนตนต่อหน้าแพ็ตเมื่อเช้า ในมือบีบพัฟผัดหน้าจนบิดผิดรูป สะบัดหัวไล่ความน้อยใจออกไปก่อนจะเก็บของต่อให้เสร็จแล้วรีบกลับ
ส้มเช้งช่วยเก็บอุปกรณ์สาธิตเสร็จ
“ขอบใจนะส้มเช้ง”
“จะให้ส้มเช้งยกไปที่รถคุณธีภพเลยมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันยกให้เธอ”
ส้มเช้งงง “อะไรนะคะ”
“ฉันไม่ชอบใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น เธอเอาไปเถอะ จะได้แต่งหน้าสวยๆ มาทำงานไง”
“แต่ว่าส้มเช้ง...”
“เธอแต่งหน้าแล้วสวยนะ ดีกว่าปล่อยให้หน้ามันจืดเป็นไก่ต้มเหมือนทุกวันต่อไปฉันจะออกกฎใหม่ของบริษัท ใครหน้ามันปากซีด ฉันจะปรับเงิน ถ้าใครแต่งหน้าสวยเด้งมาจะได้โบนัส นอกจากได้โบนัสแล้ว จะขายออกก็ตอนนี้แหละ”
“อูย ส้มเช้งไม่คิดเรื่องขายออกไม่ขายออกตอนนี้หรอกค่ะ ส้มเช้งยังมีแม่มีน้องที่ต้องดูแล ไม่มีเวลาหาแฟนตอนนี้หรอกค่ะ” ส้มเช้งว่า
“ผู้หญิงเรา วันนึงก็ต้องแต่งงาน”
จู่ๆ บิวตี้คิดถึงภาพตัวเองใส่ชุดเจ้าสาว ความคิดผุดขึ้น และดันเห็นธีภพใส่ชุดเจ้าบ่าว บิวตี้รีบสั่นหัวไล่ความคิดนั้นออกไป
“เป็นไปไม่ได้ บ้าจริงเรา”
บิวตี้เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกไป
ณ แดนสรวง นางฟ้าลลิตาลืมตาขึ้นจากสมาธิ ที่กำลังบำเพ็ญ ได้รับรู้ความคิดของบิวตี้แล้วสงสารจับใจ ห่างออกไปหน่อย ปรมะเทวีก็กำลังอยู่ในสมาธิขั้นสูง
“เวลาเหลือน้อยนัก ถ้าลัลน์ลลิตทำตามเงื่อนไขไม่สำเร็จ เธอจะไม่เหลือแม้ความฝัน ช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน”
ปรมะเทวีบอกทั้งที่ยังหลับตาอยู่ “ท่านเองก็เช่นกัน หากยังพะวงแต่เรื่องของอดีตบุตร จนบำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จ จะไม่มีวันช่วยแก้ไขสิ่งใดได้”
“เช่นนั้นเราจะตั้งใจ ปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือนาง” นางฟ้าลลิตาหลับตาผ่อนลมหายใจ ให้สงบเข้าสู่ฌาน
เย็นนั้น ระหว่างทางกลับบ้าน บิวตี้นั่งเงียบไปตลอดทาง
ธีภพรับรู้ได้ถึงอาการหมางเมิน แววตาตัดพ้อที่ยังไม่จางหายไป จากเหตุการณ์เมื่อเช้า
อ่านต่อหน้า 2
เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 11 (ต่อ)
โรงอาหารในบริษัทธนบวร เช้านี้คึกคัก สดใส ส้มเช้ง เนย นี ติ๋ม และบรรดาสาวฉันทนารอบิวตี้กันอยู่ ทุกคนแต่งหน้าด้วยฝีมือตัวเอง แต่งหน้าทำผมได้รูปได้ทรงขึ้น ท่าทางร่าเริงกระตือรือร้น
บิวตี้เดินนวยนาดเข้ามาแต่งตัวในชุดทำงานของแผนกตัดผ้า แต่ผ่านการแก้ไขให้เข้ารูปร่าง เพราะไม่ต้องปิดบังแล้ว ทุกคนยืนเข้าแถวให้บิวตี้ตรวจ
บิวตี้มองสำรวจแต่ละคนโดยละเอียดเหมือนนายทหารตรวจความเรียบร้อย
บิวตี้ประชดเนย “ปากกระโดดออกมาจากแถวเลยนะ”
เนยอาย ลนลาน “ขอโทษค่ะ”
บิวตี้เห็นใจ ท่าทีอ่อนลง “ซับออก แล้วใช้สีนี้” พลางหยิบลิบสติกจากกระเป๋าส่งให้
เนยไหว้ ยิ้มแป้น “ขอบคุณค่ะ”
บิวตี้พยักหน้าให้นี “หน้า ผม ใช้ได้” นียิ้มรับ แต่แล้วบิวตี้กลับดุ “แต่น้ำหอมไม่ผ่าน ได้กลิ่นแล้วจะเป็นลม”
“อุ่ย” นีดมซอกแขนตัวเอง
บิวตี้สอนทุกคน “น้ำหอม ใส่แต่พอดีก็พอไม่งั้นมันจะรบกวนคนอื่น น้ำหอมเนี่ย มันบอกนิสัยได้ด้วยนะ อย่างบางคน แค่ได้กลิ่นน้ำหอมก็รู้เลยว่าเฉิ่มเบ๊อะ” พลางหันขวับไปทางด้านหลัง
ก็เห็นพักตร์พิมลที่ทำท่าว่ามาตรวจการทำงาน ถึงสะดุ้งสีหน้าโกรธจัด กระตั้วกับปีวราตามมาเป็นกองหนุนด้วย
กระตั้วกระซิบบอกพักตร์พิมล “เค้ากัดคุณแพ็ตค่ะ”
พักตร์พิมลกระซิบตอบโกรธๆ “รู้แล้ว” แล้วพูดกับบิวตี้น้ำเสียงเยาะหยัน “ยังไม่เลิกหาคะแนนนิยมอีกเหรอ”
“โครงการดีๆ จะเลิกทำไม ทุกคนแฮปปี้ดีออก” บิวตี้หันมาพูดกับคนงาน “จริงไหมพวกเรา”
คนงานหญิงประสานเสียง “จริงค่า”
บิวตี้ประกาศต่อ “ฟังนะ ต่อไปฉันจะออกกฎของบริษัท ใครหน้ามันปากซีด ไม่ดูแลเล็บ ใส่น้ำหอมผิดกลิ่น จะโดนตัดเงิน คนไหนหน้าเด้ง เนี้ยบทั้งตัวจะได้โบนัส”
คนงานหญิงและกระตั้วร้อง “เฮ้” ดังลั่น
พักตร์พิมลดุ “กลับไปทำงานได้แล้ว” พลางดูนาฬิกา “ไม่งั้นจะตัดเงินชั่วโมงแรก”
คนงานแยกย้ายกันไปเซ็งๆ
พักตร์พิมลตำหนิ “เธอทำให้ระเบียบของบริษัทเสียหายหมด
บิวตี้ยักไหล่ “บริษัทของฉัน ฉันจะทำยังไงก็ได้” แล้วเดินหนีไปอย่างกวนประสาท
พักตร์พิมลแทบแดดิ้น โมโหจนตัวสั่น
สีหน้าของธีภพเคร่งเครียดทันที เมื่อฟังที่พักตร์พิมลรายงาน
“เขาประกาศต่อหน้าคนงานเลยนะคะว่าบริษัทเป็นของเขา เขาจะทำยังไงก็ได้” พักตร์พิมลถามกระตั้ว และปีวรา “จริงมั้ย”
ปีวราพยักหน้ารับอย่างเกรงๆ กระตั้วสาระแน
“คุณลัลน์ลลิตไม่สนใจฟังคำเตือน ทำเหมือนคุณแพ็ตเป็นหัวหลักหัวตอเลยค่ะ”
พักตร์พิมลถลึงตาใส่ “พอแล้ว”
“สองคนกลับไปทำงานต่อได้แล้ว”
ปีวรากับกระตั้วออกไป กระตั้วมีท่าอยากรู้และอยากอยู่ต่อ
พักตร์พิมลบอกกับธีภพ “ขืนปล่อยให้ยัยบิวตี้ทำตามใจแบบนี้ บริษัทเราแย่แน่เลยค่ะ”
“ที่นี่ก็บริษัทของเขาเหมือนกัน เขาพูดถูกแล้ว”
พักตร์พิมลฉุน “พี่ธี จะไม่ทำอะไรเลยหรือคะ ให้ยัยบิวตี้เลิกฝึกงาน ไม่ต้องให้มายุ่งที่นี่อีกไม่ได้หรือคะ”
“ไม่ได้หรอกแพ็ต ดูเขาตั้งใจจริง”
พักตร์พิมลไม่เชื่อ “ไม่จริงหรอกค่ะ ยัวบิวตี้ก็แค่อยากจะเอาชนะ เดี๋ยวก็เบื่อ”
ธีภพย้อน “ถ้างั้น แพ็ตจะเดือดร้อนทำไม”
“ก็แพ็ตกลัวเขาจะทำบริษัทเสียหายน่ะสิคะ ชื่อเสียงธนบวรป่นปี้แน่ แพ็ตทนทำงานกับเขาไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าเขาอยู่แพ็ตก็จะไป”
“ทำไมต้องถึงขนาดนั้น แพ็ตเองก็เป็น พรรษบวรพงศ์ คนหนึ่งเหมือนกัน”
“ไม่ค่ะ แพ็ตไม่อยากใช้นามสกุลเดียวกับบิวตี้ แพตจะเปลี่ยนนามสกุล และถ้าเขามาเป็นผู้บริหารเมื่อไหร่แพ็ตก็จะลาออก”
“กว่าจะถึงตอนนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกเยอะ” ธีภพพูดลอยๆ
พักตร์พิมลชะงัก “พี่ธีหมายความว่าอะไรคะ” หล่อนออกอาการตื่นเต้น “พี่ธีมีแผนอะไรหรือคะ”
ธีภพพูดจาดูคลุมเครือชวนสงสัย “เปล่า ก็แค่...เผื่อว่า เขาอาจจะเปลี่ยนตัวเองได้”
พักตร์พิมลโกรธขึ้นมาอีก “ไม่มีทาง คนอย่างยัยบิวตี้ ไม่มีทางเปลี่ยนหรอกค่ะ”
ส้มเช้งตัดผ้าอยู่ ศรีนวลสอนวิธีการวางแบบให้ประหยัดผ้าที่สุด
“เวลาวางคุณหนูต้องดูด้วยนะคะว่าต้องให้มีผ้าเหลือทิ้งน้อยที่สุด”
บิวตี้ลองวางดู “อย่างงี้ได้ไหมป้า”
“ชิดเข้ามาอีกก็ได้ค่ะ” ศรีนวลขยับแบบให้ดู
“จะต้องประหยัดไปทำไมล่ะ ในเมื่อมันก็ต้องมีผ้าเหลืออยู่ดี”
ศรีนวลสอน “เหลือเป็นผืนใหญ่เอาไปทำประโยน์อื่นได้อีกค่ะ อย่างเก็บไว้ตกแต่ง”
บิวตี้ยิ้ม “ดีนะที่มีคนอย่างป้า คอยช่วยประหยัดให้บริษัท ขอบคุณนะ”
“บริษัทธนบวรดีกับป้า เอ๊ย ดิฉัน กับครอบครัวที่สุดค่ะ ชีวิตนี้ไม่รู้จะตอบแทนยังไงหมด”
“อยากตอบแทนก็อยู่ทำงานที่นี่นานๆ อย่าย้ายไปไหน”
“แม่เค้าไม่ย้ายหรอกค่ะ ขนาดเพื่อนชวนให้ส้มเช้งไปทำงานที่โรงงานใหม่ของคุณกรเทพแม่ยังไม่ให้ไปเลยค่ะ”
บิวตี้ชะงักกับคำว่าโรงงานใหม่ สีหน้าแปลกใจ “โรงงานใหม่ของอากรเทพ อยู่ที่ไหน”
“แถวถนนบางนาตราดค่ะ”
“อาจจะไม่ใช่ของคุณกรเทพก็ได้ แกก็พูดไปเรื่อย ส้มเช้ง” ศรีนวลติง
ส้มเช้งชักลังเล “เห็นเพื่อนมันว่าอย่างนั้นนะแม่” แล้วหันไปพูดกับบิวตี้ “วันที่ส้มเช้งไปยังเห็นคุณ
กรเทพเลยค่ะ เพื่อนๆ บอกว่าเห็นคุณกรเทพบ่อย รู้สึกจะไปดูไลน์ผลิตหรือไงเนี่ยค่ะ”
บิวตี้นิ่งคิด นึกถึงที่คนขับรถกรเทพพูดว่าโรงงานหม้อแปลงระเบิดเมื่อเช้าวันที่ไปหัวหิน
บิวตี้อยากฝึกโรงงานให้เสร็จไวๆ เพื่อจะได้เข้าไปที่สำนักงานใหญ่ จะได้จับผิดกรเทพได้ง่ายขึ้น
บิวตี้เดินดุ่มๆ เข้ามาให้ห้องทำงานของธีภพ เลขาสะดุ้ง รีบเปิดประตูให้ เลิกคิดที่จะทักท้วงแล้ว บิวตี้พบว่าห้องทำงานธีภพว่างเปล่า
“คุณธีภพไปไหน”
“ไปประชุมงาน ไทยแลนด์แฟชั่นวีค ค่ะ”
บิวตี้หันรีหันขวาง ร้อนใจ “เอาเอกสารเรื่องโรงงานใหม่มาให้ดูหน่อย”
เลขางง “โรงงานใหม่ ที่ไหนคะ”
“ก็ที่ถนนบางนาตราดไง”
“ไม่มีนะคะ ไม่เคยได้ยินท่านประธานพูดถึงเลยค่ะ”
บิวตี้ครุ่นคิดหาวิธีพิสูจน์ความจริง
“ถ้าคุณธีภพกลับเข้ามา ให้โทร.บอกฉันด้วยนะ”
“ค่ะ”
บิวตี้ออกมาจากสำนักงานเพื่อกลับโรงงาน กรเทพกลับจากตรวจโรงงานจะเข้าบริษัท ทั้งสองเจอกันที่หน้าสำนักงานพอดี
กรเทพออกอาการดีใจ “บิวตี้ อาจะไปเยี่ยมที่อยู่พอดีเลย”
บิวตี้ไหว้ตามหน้าที่ “บิวตี้ไปทำงานต่อล่ะค่ะ” พร้อมกับจะเลี่ยงไป
“ขยันจัง เหนื่อยมากไหม” กรเทพขยับตัวจะลูบหัว
บิวตี้ถอยหนี ไม่ให้ลูบ “จะหมดเวลาพักแล้ว บิวตี้ไปก่อน”
กรเทพเก้อ “บิวตี้มาทำอะไรที่ออฟฟิศ มาหาอาหรือเปล่า”
บิวตี้บอกเสียงแข็งกร้าว “เปล่าหรอกค่ะ บิวตี้แค่แวะมาในฐานะที่บิวตี้เป็นเจ้าของธนบวรโดยชอบธรรม และอีกหน่อยก็จะมาบริหารบริษัทนี้อย่างเต็มตัวเหมือนที่พ่อเคยทำไงคะ”
กรเทพฟังแล้วปลื้มใจ “อาดีใจที่ได้ยินแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่บิวตี้ต้องชื่นใจมาก”
บิวตี้ประชด “จริงเหรอคะ”
“พ่อกับแม่รับรู้ได้แน่จ้ะ” กรเทพถอนใจมองบิวตี้ ด้วยสีหน้าชื่นชม “การฝึกงานทำให้หนูเติบโตขึ้นมากจริงๆ อามั่นใจว่าบิวตี้ต้องเป็นประธานที่เก่งไม่แพ้พ่อ”
“บิวตี้ก็มั่นใจค่ะ บิวตี้จะทำให้บริษัทของพ่อก้าวหน้า ใครทำดีกับบริษัทจะได้รับการตอบแทนอย่างดีที่สุด ส่วนคนที่คิดทรยศ จะไม่มีที่ยืน ในธนบวร” บิวตี้จ้องหน้ากรเทพเขม็ง
กรเทพยิ้มชื่นชม “เยี่ยมมาก หลานอา เด็ดขาดดี หนูจะทำให้บริษัทของเราเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน อาภูมิใจในตัวหนูจริงๆ”
บิวตี้ทั้งรักทั้งแค้นอาจนน้ำตารินไหล รีบเดินหนี
กรเทพมองตามบิวตี้งง ไม่เข้าใจในทีท่าแปลกไปของบิวตี้ ในระยะหลังๆ
นางฟ้าลลิตา แตะที่จอภาพฉาย ตรงที่มีภาพบิวตี้ เหมือนจะช่วยปลอบประโลมใจ ปรมะเทวี มองอย่างเห็นใจ
“หากไม่มีทุกข์ ลัลน์ลลิตคงไม่เกิดความมานะ พากเพียร”
“แต่กรเทพ คือสายใยสุดท้ายระหว่างลัลน์ลลิตกับคุณพ่อของเธอ ไม่มีกรเทพ ลัลน์ลลิตก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก”
“กรรมที่ลัลน์ลลิตก่อ ได้พาเธอมาถึงจุดนี้ หวังว่านางจะเลือกทางเดินต่อไปได้ถูกต้อง”
“หากเป็นเหตุปกติคงปล่อยไปเช่นนั้น แต่ขณะนี้เวลาลดน้อยลงเต็มที ขอให้ข้าพเจ้าชี้นำทางแก่เธอได้บ้างเถิดเทวี”
ปรมะครุ่นคิดไตร่ตรอง “หน้าที่ของฝ่ายดี ควรเป็นเช่นนั้น มิใช่รึ”
บิวตี้กลับเข้ามาในห้องทำงาน ด้วยสีหน้าเครียดจัด ศรีนวลกับส้มเช้งกลับมาจากโรงอาหารกำลังเตรียมจะทำงานต่อ เห็นสีหน้าบิวตี้ รู้สึกถึงความผิดปกติ
ศรีนวลห่วง “คุณหนู หายไปไหนมา รับ-ทานข้าวหรือยังคะ”
ส้มเช้งว่า “ลูกศิษย์รอเรียนแต่งหน้าเก้อเลยค่ะ”
“ส้มเช้งมากับฉันหน่อย” บิวตี้ไม่ตอบ เดินนำไป
“ค่ะ ค่ะ” ส้มเช้งสบตากับศรีนวลอย่างสงสัย ก่อนจะรีบตามบิวตี้ไป
ศรีนวลมองตามอย่างสงสัย
บิวตี้เดินมาหยุดตรงมุมเงียบๆ แถวโรงงาน ส้มเช้งหยุดตาม
“ส้มเช้ง เธอเก็บความลับได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ห้ามบอกใครว่าพูดเรื่องนี้กับฉันเป็นอันขาด แม้แต่แม่ก็บอกไม่ได้ เข้าใจไหม” บิวตี้ว่า
ส้มเช้งรับคำท่าทีหวั่นใจ “ด...ได้ค่ะ แต่ส้มเช้งยังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไรน่ะค่ะ”
“เล่าเรื่องบริษัทที่ถนนบางนาตราด ให้ฉันฟังหน่อย เล่าให้หมดเท่าที่รู้เลยนะ”
“ส้มเช้งก็ไม่รู้อะไรมากหรอกค่ะ เคยไปหาเพื่อนแค่ครั้งเดียว”
“โรงงานอยู่ตรงไหนจำได้ไหม”
“คิดว่าได้นะคะ ส้มเช้งนั่งรถไปจากบ้าน แล้วก็...”
ส้มเช้งเล่ารายละเอียด บิวตี้ฟังอย่างตั้งใจ
อ่านต่อหน้า 3
เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 11 (ต่อ)
อีกฟากหนึ่ง นักธุรกิจด้านเสื้อผ้าแฟชั่น 5-6 คน มาร่วมประชุมเรื่องการจัดงาน ไทยแลนด์แฟชั่นวีค 2014 ที่ห้องประชุมโรงแรมฟอลคอน ธีภพฟังออแกนไนซ์ อธิบายเรื่องโครงการอย่างตั้งใจ
เจตน์ชาญเหลือบมองธีภพหยั่งท่าที ธีภพหันมาเจอสายตานั้นแต่ไม่ได้สนใจ หันกลับไปตั้งใจฟังต่อ
Powerpoint บนจอ มีคำว่า Thailand Fashion Week 2014 ความร่วมมือจากผู้ประกอบการ
“เราจะขอความร่วมมือจากท่านผู้ประกอบการ ให้จัดแฟชั่นโชว์มาร่วมงานใน ธีม เจิดจรัสพัสตราภรณ์ไทย” ผู้จัดกล่าวอย่างภาคภูมิ
Powerpoint ขึ้นคำว่า Haute Gouture เจิดจรัสพัสตราภรณ์ไทย
ธีภพและผู้ประกอบการ บันทึกข้อความด้วย เครื่องมือสื่อสารต่างๆ กัน
ประชุมเสร็จแล้ว นักธุรกิจทยอยกันออกมา ธีภพออกมาจากห้อง เจอเจตน์ชาญยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าห้องก้มหัวทัก
“สวัสดีครับ เมื่อกี๊ผมเข้าประชุมช้าเลยไม่ได้ทักทาย”
“ครับ ช่วงเตรียมงานคงต้องเจอกันอีกหลายครั้ง”
“ทีมงานของธนบวรพร้อม คงไม่มีปัญหาอะไร ทางผมคงต้องทำงานกันหนักหน่อย”
“คงไม่มีใครหนักกว่าใครหรอกครับ ผมว่าการรักษาชื่อเสียงก็ยากพอๆ กับการสร้างชื่อเสียง อาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ ขอตัวก่อนนะครับ”
ธีภพเดินไปที่จอดรถ
เจตน์ชาญมองตาม รู้สึกเคืองเหมือนโดนธีภพสบประมาท อยากเอาชนะ กดโทรศัพท์ถึงบิวตี้
“คุณบิวตี้ครับ เย็นนี้ให้ผมไปรับได้ไหมครับ”
ขณะที่อรวิภาแต่งช่อดอกไม้อยู่ ธีภพเข้ามาในร้าน หยุดมอง อดรู้สึกอ่อนหวานเอ็นดูไม่ได้
อรวิภาเงยหน้าขึ้นเจอสายตาอ่อนโยนของธีภพ ก็ทั้งเขิน ทั้งดีใจ “พี่ธี มาไม่บอกกันเลย เชิญค่ะ ทานขนมอะไรดีคะ” สาวโลกสวยจะลุกไปหยิบ
“ไม่เป็นไรครับ น้องอรจัดดอกไม้ต่อเถอะ”
อรวิภาเขินจัด “ไม่เป็นไรค่ะ” จังหวะที่ลุกขึ้น มือไปปัดโดนแจกันล้ม
ธีภพปราดเข้ามาประคองแจกัน แต่ไม่ทัน แจกันตกแตกแล้ว อรกุมมือ แจกันบาด ธีภพกุมมือไว้ รีบหาพลาสเตอร์มาพันแผลให้ เครือวรรณ ซื้อของกลับมา มีพนักงานถือถุงหลายใบตามมา
“น้องอร หม่ามี๊...” มองไปเห็นสองคนใกล้ชิดกันแอบดีใจ “อุ๊ย”
“ไม่เป็นไรมากค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ธี”
ธีภพผละออกมา อรวิภาเห็นแม่ “หม่ามี๊”
“เป็นอะไรคะลูก”
“น้องอรทำแจกันแตกค่ะ บาดนิ้วนิดหน่อย พี่ธีทำแผลให้”
ธีภพไหว้ทักเครือวรรณ “ผมมาประชุมที่โรงแรมครับ เลยแวะมาทักทายน้องอร”
“อ๋อ ดีเลยค่ะ tea time พอดี เชิญทานน้ำชาด้วยกันนะคะ” เครือวรรณเชื้อชวน
“ขอบคุณครับ”
“น้องอรจัดให้เองค่ะ” อรวิภากุลีกุจอไปจัดการ
ธีภพมองตามอรอย่างชื่นชม เสียงนาฬิกาคุกคู ในร้านดังขึ้นเป็นเวลา สี่โมงเย็น
ธีภพได้สตินึกได้ว่าต้องรับบิวตี้ ดูนาฬิกาพลางบอก “ขอโทษครับ ผมเกือบลืม คือผมมีนัดที่บริษัทต้องรีบกลับไปครับ”
“แหม เสียดาย โทร.ไปเลื่อนไม่ได้หรือคะ” เครือวรรณว่า
“คงต้องขอตัวครับ ต้องขอโทษน้องอรด้วยนะครับ” ชายหนุ่มเดินออกไป
เครือวรรณมองตามแล้วถอนใจ
อรวิภาออกมา มือถือถาดใส่ขนม มองหาธีภพ “อ้าว พี่ธีล่ะคะ”
เครือวรรณเบื่อแทน “เขาว่ามีนัดที่บริษัทน่ะ”
อรวิภาผิดหวัง จะร้องไห้ วิ่งเข้าไปร้องไห้ด้านหลัง
อรวิภาร้องไห้อยู่หลังร้าน น้อยใจที่ธีภพกลับไปก่อน เครือวรรณเข้ามาในมือถือโทรศัพท์ของอรวิภาที่กำลังมีสายเข้า
เครือวรรณทำหน้าเบื่อนิดๆ “คุณธี โทร.มา จะรับไหมจ๊ะ”
อรวิภารีบเช็ดน้ำตา รับสาย ทำเสียงเป็นปกติ แต่น้ำเสียงฟังดูหมางเมิน “คะพี่ธี... ไม่เป็นไรค่ะน้องอรรู้ว่าพี่ธีงานยุ่ง”
เครือวรรณแอบค้อนควักลูก
อรวิภาอ้อน “แล้วพรุ่งนี้พี่ธีว่างมั้ยล่ะคะ”
เครือวรรณขึงตาใส่ลูกสาว แล้วส่ายหน้าไม่ให้พูด
“ก็พรุ่งนี้เป็นวันดินเนอร์โต๊ะแชร์ของกลุ่มป่าป๊า กับคุณลุงธนาไงคะ ถ้าพี่ธีไปน้องอรจะได้มีเพื่อนคุย” อรวิภาฟัง อย่างดีใจ “ได้เหรอคะ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ” สาวโลกสวยกดวางสาย ท่าทีร่าเริงดีใจมาก “พรุ่งนี้พี่ธีจะไปดินเนอร์โต๊ะแชร์ด้วยค่ะหม่ามี๊”
“เพิ่งร้องไห้อยู่หยกๆ แค่เขาโทรมาละยิ้มแป้นเชียว”
“ก็น้องอรคิดว่าพี่ธีไม่อยากคุยกับน้องอรแล้วนี่คะ”
“ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่อยากคุยกับน้องอรหรอกค่ะ จำไว้ เราสวย รวย เลือกได้” เครือวรรณเชิดหน้า
บ่ายคล้อย จวนเย็น ศรีนวลกับส้มเช้งตัดผ้า บิวตี้วางผ้าเตรียมตัด
“วางใช้ได้ไหมป้า”
“ดีค่ะ คุณหนู เป็นไว มากเลย” ศรีนวลชม
“ก็ฉันเรียนมานี่ ถึงจะไม่เคยตัดมากขนาดนี้ แต่ก็เคยทำ”
ส้มเช้งชมบ้าง “คุณบิวตี้เก่งจัง ไม่เห็นเป็นอย่างที่เขาพูดกันเลยค่ะ”
ศรีนวลปราม “ส้มเช้ง”
บิวตี้สนใจ “เขาพูดกันว่าไง”
ส้มเช้งคราง “อุ่ย แหะ แหะ อย่าไปสนใจเลยค่ะ พวกปากหอยปากปูก็พูดไปเรื่อย”
บิวตี้เสียงเข้ม “เขาพูดว่าไง”
ศรีนวลหน็บส้มเช้ง “สม อยากปากมากดีนัก”
“พูดแล้วอย่าโกรธส้มเช้งนะคะ สมเช้งไม่ได้เป็นคนพูด”
“บอกมา”
“เขาว่ากันว่าคุณบิวตี้ ทำอะไรไม่เป็น หยิบโหย่ง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
บิวตี้เงียบไป
ส้มเช้งตกใจไหว้บิวตี้ “ส้มเช้งขอโทษค่ะ”
“ช่างเถอะ” บิวตี้ยักไหล่ “ฉันก็เป็นของฉันแบบเนี้ย คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องทำงาน”
เสียงออดเลิกงานดังขึ้น
“ไปล่ะ อ้อ ช่วยไปบอกคุณธีภพด้วยว่าเย็นนี้ฉันไม่กลับด้วยนะ”
บิวตี้ออกไปเลย โดยไม่เอากระเป๋าไปด้วย ศรีนวลกับส้มเช้งมองตามถอนใจโล่งอก
ธีภพรีบเข้ามาในห้องทำงาน ดูนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน เลขาเข้ามารายงาน
“เมื่อกลางวันคุณลัลน์ลลิตมาพบค่ะ เห็นว่าจะมาพบอีกทีเมื่อท่านกลับเข้ามาค่ะ แต่เมื่อสักครู่นี้ ทางแผนกตัดแจ้งมาว่า คุณลัลลลิตฝากบอกท่านว่าวันนี้จะกลับเองค่ะ”
ธีภพโกรธโดยไม่มีเหตุผลบ่นงึม “อุตส่าห์รีบกลับมา” แล้วรีบออกไป
ต่อมาไม่นานธีภพเดินเข้ามาหน้าโรงงานเพื่อมาพบบิวตี้ เห็นบิวตี้กำลังขึ้นรถไปกับเจตน์ชาญ ก็โมโห และหงุดหงิด
รถเจตน์ชาญแล่นมาตามถนน พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน มั่นใจว่าคงกลับบ้านไม่ทันบิวตี้มองหาสถานที่เหมาะๆ สำหรับกลายร่าง ไม่พูดไม่จา
“วันนี้ผมไปประชุมงาน Thailand Fashion Week เจอคุณธีภพ”
บิวตี้ไม่สนใจ มองหาที่ลง
เจตน์ชาญเหลือบตามองบิวตี้อย่างสงสัยพยายามชวนคุย
“นึกออกหรือยังครับว่าจะทานข้าวกันที่ไหนดี”
แลเห็นห้างใหญ่อยู่ข้างหน้า บิวตี้ชี้ทันที “นั่นเลย ที่ห้างนั่น จอดเลยค่ะ”
เจตน์ชาญแปลกใจ “ไปหาร้านสวยๆคุยกันดีไหมครับ ผมรู้จักร้านแถวนี้อยู่สองสามร้าน”
บิวตี้สั่งเข้ม “ไม่ จอดที่นี่”
เจตน์ชาญงง เลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดรถ
“ขอบคุณมากที่มาส่ง ไม่ต้องรอนะคะ” บิวตี้ลงจากรถปิดประตูปัง
เจตน์ชาญงง “คุณบิวตี้”
วันนี้บิวตี้เตรียมแผนมาดีไม่ถือกระเป๋าใดๆ เร่งฝีเท้าเดินเข้าประตูห้างไป เจตน์ชาญตามลงมา
ห้างกว้างใหญ่ บิวตี้รีบเดินมองหาห้องน้ำ เจตน์ชาญตามมามองหา
เจตน์ชาญโทร.หาบิวตี้ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ เพราะบิวตี้เก็บกระเป๋าไว้ที่โรงงาน
พอมองไปเห็นหลังบิวตี้อยู่ลิบๆ เจตน์ชาญรีบรุดเดินตาม บิวตี้เข้าห้องน้ำหญิง เจตน์ชาญหยุดรอ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ห้องหญิงน้ำเงียบกริบ ไม่มีคน นกบิวตี้บินออกมาจากห้องน้ำด้านใน
บิวตี้คนเดินผ่านเจตน์ชาญที่รอบิวตี้อยู่อย่างใจเย็น
“โธ่เอ๊ยบอกว่าไม่ต้องรอๆ จะตามมาทำไมนะ รู้งี้มารถแท็กซี่ดีกว่า เฮ้อ ช่วยไม่ได้”
บิวตี้คนเดินหนี นกบิวตี้บินห่างจากเจตน์ชาญไป
เจตน์ชาญดูนาฬิกา แล้วเดินผ่านห้องน้ำหญิง พบว่ามีทางออกอีกด้าน เชื่อว่าบิวตี้ไปทางอื่นแล้ว
เจตน์ชาญเดินกลับไปทางหน้าห้าง
ริมถนนบางนาตราดตอนกลางคืน นกบิวตี้บินมา เห็นป้ายถนนบางนาตราด บิวตี้คนหยุดที่ต้นไม้ริมทาง
“กิโล 15” บิวตี้มองหา “กิโล 15 แล้วนี่มันกิโลเท่าไหร่แล้ว” บิวตี้ยกมือไหว้ “เพี้ยงขอให้หาเจอทีเถอะ”
นางฟ้าลลิตาในแสงสีทองปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
บิวตี้ดีใจ อบอุ่นใจอย่างประหลาด “ใครนะ ...ใคร” พร้อมกับจะเอื้อมมือไปจับ
แสงสีทองเคลื่อนหนี บิวตี้คนเดินตาม แสงสีทองเคลื่อนสูงขึ้น นกบิวตี้บินตามแสงสีทองไป
นกบิวตี้บินตามแสงสีทองเข้ามาที่หน้าบริษัทใหม่ บิวตี้คนหยุดยืนหน้าโรงงาน แสงสีทองลอยสูงขึ้นแล้วหยุดเหมือนอำลา
บิวตี้คนยกแขนขึ้นไขว่าคว้า “อยู่กับฉันก่อน อย่าเพิ่งไป”
แสงสีทองลอยนิ่งอยู่เหมือนอาวรณ์ แล้วพุ่งทะยานสูงขึ้น หายวับไป
“กลับมาก่อน”
ทุกอย่างเงียบสงบ ได้ยินเสียงเครื่องจักรแว่วๆ บิวตี้ดูรอบตัว เห็นเป็นโรงงานใหม่ ดูทันสมัยรอบบริเวณสวยงาม มีคนงานกะกลางคืนทำงานอยู่
บิวตี้คนมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจและแค้นใจ น้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจ
“อาจะเป็นคู่แข่งของธนบวรจริงเหรอ อาทำแบบนี้ได้ยังไง คนทรยศ”
ครอบครัวธีภพนั่งกินข้าวมื้อค่ำกันเงียบๆ ธีภพจมอยู่กับความคิดของตัวเองไม่พูดไม่จา
“งานแฟชั่นวีคเป็นยังไงบ้าง” ธนาถาม
“ก็ดีครับ ปีนี้มีบริษัทมาร่วมมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ”
“ดีแล้ว รวมกันจะได้เป็นปึกแผ่น ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้แล้ว”
“ได้ข่าวว่าประชุมเสร็จแล้วแวะไปร้านหนูอรหรือจ๊ะ” ภาวินีถาม
“ครับ แต่ต้องรีบกลับมาที่บริษัท”
ภาวินีถอนใจ “ระวังนะลูก เขาจะมองว่าเรา ไม่มีใจ”
ธีภพยิ้มเพลียๆ “แม่ได้รับรายงานเรียบร้อย ทันข่าวนาทีต่อนาทีเลยนะครับ”
“คุณเครือวรรณเขาห่วงความรู้สึกของหนูอร”
“บริษัทมีงานด่วนอะไรหรือ ทำไมต้องย้อนกลับมาที่บริษัทอีก” ธนาถาม
ธีภพไม่ตอบ คิดถึงภาพที่บิวตี้ออกไปกับเจตน์ชาญต่อหน้า
ภาวินีสบตากับธนาอย่างสงสัย ธีภพเป็นอะไรไป
ธีภพถืองานเข้ามาทำในห้อง ทำไปสักพัก สมาธิถูกรบกวน เหตุการณ์ในร้านอาหารริมทะเลที่หัวหินผุดขึ้น
ธีภพเห็นแขนบิวตี้ ช้ำเป็นจ้ำๆ น่ากลัว ดึงแขนมาดู จ้องรอยช้ำ
“ไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย”
บิวตี้ดึงแขนกลับ “ไม่ต้องยุ่ง ฉันทายาแล้ว”
ธีภพโกรธ “คนทำแบบนี้กับผู้หญิง ไม่ปกติแล้วล่ะ เลิกคบกับเขาได้แล้ว”
“ไปกันใหญ่ละ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดซักหน่อย อย่ามายุ่ง”
อีกเหตุการณ์ในบ้านหัวหินเย็นวันหนึ่ง
พรกลับมารายงาน “คุณหนูไม่อยู่ค่ะ”
“อ้าว เอ๊ะ หรือจะออกไปตอนที่เราไปไล่ตุ๊กแก”
ธีภพระอาใจ “ออกไปกับใคร”
“เห็นมีรถสีดำ มาส่งนะคะ แต่ตอนออกไปไม่เห็นค่ะ”
ธีภพคิดว่าบิวตี้ไปกับเจตน์ชาญ รู้สึกไม่พอใจ
เหตุการณ์ล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อเย็น ตรงที่จอดรถหน้าโรงงาน
ธีภพรีบขับรถมาที่โรงงานเพื่อมาพบบิวตี้ เห็นบิวตี้กำลังขึ้นรถไปกับเจตน์ชาญ ทั้งโมโห และหงุดหงิด
ธีภพดึงตัวเองออกมา ผุดลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ”
ธีภพมองไปเห็นนกบิวตี้ ขนกระเจิง ท่าทางเหนื่อยล้า เกาะอยู่ที่หน้าต่าง
“บิวตี้” ธีภพรีบเปิดหน้าต่าง รับนกบิวตี้เข้ามา ลูบตัว “เป็นอะไรทำไมตัวสั่นอย่างงี้”
บิวตี้คนยืนให้ธีภพลูบตัว “ก็เหนื่อยน่ะสิ ถามได้ บินมาตั้งแต่ถนนบางนาตราด คิดดู”
“บินมาไกลใช่ไหมเนี่ย กินข้าวหรือยัง” เขาหยิบอาหารนกส่งให้ นกบิวตี้จิกกินอาหารอย่างหิวโหย
บิวตี้คนพูดทั้งที่ปากเลอะอาหารนก “ถามจริง นายรู้เรื่องโรงงานของอากรหรือเปล่า”
“กินไปก่อนนะ” ธีภพลูบตัวบิวตี้ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
บิวตี้คนเดินไปหน้าคอมพ์ของธีภพ มองหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ นกบิวตี้เอาปากจิกตรงไฟล์ที่เขียนว่า ธนบวร ไม่ได้ผล
“บ้าจริง ปากนกใช้ไม่ได้”
บิวตี้มองไปรอบๆ เห็น Stylus pen ที่ใช้กับ Ipad, Iphone เลยเอาปากคาบมาพยายามจิ้มลากที่จอ ธีภพชะโงกออกมาจากห้องน้ำ นุ่งผ้าเช็ดตัว เปลือยท่อนบน
“บิวตี้ทำอะไรน่ะ ซนใหญ่แล้ว”
ธีภพออกมาจับนกบิวตี้ออก นกบิวตี้ดิ้นขัดขืน
“มานี่ มาอยู่ใกล้ๆ จะได้ไม่ซน”
ธีภพพานกบิวตี้เข้าห้องน้ำไป
บิวตี้โวยลั่น “ไม่เอา ไม่ไป ปล่อยฉัน”
ธีภพวางนกลง ปิดประตูห้องแล้วถอดผ้าเช็ดตัว
พลันผ้าเช็ดตัวหลุดออกจากร่างธีภพเลื่อนลงที่พื้น
บิวตี้ตาเหลือกร้องวี้ดว้าย “ว้าย ตายแล้ว ตาบ้า” แล้วรีบหลับตาด้วยความเขิน
อ่านต่อหน้า 4
เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 11 (ต่อ)
รุ่งเช้าบิวตี้ในชุดสาวโรงงานดีไซน์พอดีตัว แต่งหน้าปกปิดรอยคล้ำใต้ตา เดินบ่นงึมงำอยู่ในห้องนอน
“อีตาบ้า ฉันจะไม่ไปบ้านนายอีกแล้ว คนบ้า”
พรเคาะประตูเบาๆ เกรงใจ ค่อยโผล่เข้ามา “คุณธีภพ มารับคุณหนูแล้วค่ะ”
บิวตี้บ่นอีก “มาแต่เช้าเลยนะ ใช่สิก็ตัวเองได้นอนเต็มที่” พลางสั่งพร “โทร.ไปบอกที่โรงงานให้เอาชุดมาเพิ่ม แล้วบอกป้าจันให้แก้ชุดให้ด้วย”
“ค่ะ เอ่อ แล้วก็คุณเจ...” พรอึกอักอยากจะบอกอะไรบิวตี้ แต่ไม่กล้าพูด
บิวตี้ ไม่สนใจพร เดินออกไป โดยที่กระเป๋าใบเมื่อวานอยู่ที่โรงงาน พร ถอนใจท่าทีหวั่นๆ
บิวตี้ลงมาในห้องรับแขก พูดโดยพยายามไม่มองธีภพ เพราะกระดากเรื่องเมื่อคืน
“ฉันลืมเอาสมุดกลับมา วันนี้ไม่มีรายงานนะ”
“สมุดอะไรครับ”
บิวตี้ตกใจ “คุณเจตน์ มาได้ไง”
“ผมจะมาขอโทษที่เมื่อวานทำให้คุณไม่พอใจ” เจตน์ชาญส่งดอกไม้ให้เป็น ดอกไฮเดรนเยีย “ผมรู้มาว่า คุณชอบดอกไฮเดรนเยีย บอกหน่อยได้ไหมครับว่าผมทำอะไรผิด”
ธีภพเข้ามา เจอเจตน์ชาญกำลังให้ดอกไม้บิวตี้ และภาพที่บิวตี้ขึ้นรถไปกับเจตน์ชาญเมื่อวานผุดขึ้นมาอีก
ป้าจัน กับพรยกอาหารเช้าเข้ามา เห็นเหตุการณ์ รีบหลบมุมห้อง
บิวตี้หันมาเห็นธีภพพูดกับเจตน์ชาญ “ไว้ค่อยคุยกันนะคะ ต้องไปทำงานก่อน”
ธีภพเปลี่ยนใจ บอกในท่าทีห่างเหิน “วันนี้ผมต้องไปตรวจโรงงาน คงไปส่งไม่ได้” พลางพยักหน้าให้เจตน์ชาญเป็นเชิงทักทาย แล้วออกไปเลย
“เดี๋ยว แล้วฉันจะไปทำงานยังไง”
ธีภพมองบิวตี้ แววตาเฉยเมย
เจตน์ชาญแทรกขึ้น “ผมไปส่งเองครับ”
ธีภพเดินออกไปไม่เหลียวหลัง บิวตี้ งง หงุดหงิด
“เดี๋ยว นาย!”
บิวตี้วิ่งตามธีภพออกไป
บิวตี้ตามมาจนทัน ขวางธีภพไว้ “นายโกรธฉันเรื่องอะไร”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ผมไม่ชอบที่คุณทำตัวเห็นแก่ตัว”
“เรื่องอะไรมาว่าฉันเห็นแก่ตัว”
“คุณไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะเป็นยังไง”
“นี่นายยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่เหรอ ก็ฉันให้ส้มเช้งไปบอกแล้วไงว่าฉันติดธุระกลัวไปไม่ทันก็เลยกลับเอง จะเอาอะไรนักหนา”
“ไม่ได้จะเอาอะไร คุณจะกลับเอง หรือจะกลับกับใคร ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม แต่คุณควรจะพูดกับผมเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบอก”
“โอเค คราวหน้าฉันจะบอกเองก็แล้วกัน พอดีเมื่อวานมันรีบน่ะ แล้วคุณเจตน์ชาญเขาก็อาสาไปส่ง”
ธีภพตัดบท “ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่พูดก็เพราะรู้ว่าคงไม่มีใครบอกคุณว่าคุณมันนิสัยแย่แค่ไหน ถ้าคุณยังไม่สนใจใครเลยแบบนี้ก็อย่าหวังเลยว่าจะเป็นประธานที่ดีแบบคุณพ่อคุณได้”
“นี่ คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้นะ ฉันจะทำให้คุณเห็นว่าคุณคิดผิด ฉันจะเป็นประธานที่ดีไม่แพ้พ่อ และจะเป็นประธานที่ดีกว่าคุณด้วย ถ้าถึงวันนั้นคุณจะเสียใจที่พูดกับฉันแบบนี้”
“ได้ ผมจะคอยดู”
ธีภพเดินออกไป
บิวตี้นั่งเงียบมาในรถตลอดทาง เจตน์ชาญลอบมอง
“ตอนอยู่หัวหิน คุณดูจะคุยเก่งกว่านี้”
“มีเรื่องกลุ้มน่ะค่ะ”
“เพราะผมหรือเปล่า”
“คุณ ไม่เกี่ยวหรอก”
“ผมน่าจะรู้ว่า ตัวเองคงไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกของคุณ”
“กลุ้มเรื่องงานน่ะค่ะ หลายอย่าง”
“เรื่องงานผมคงไม่ไปก้าวก่าย แต่ถ้าอยากปรึกษาในฐานะเพื่อน ก็ยินดี ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นเพื่อน”
“ค่ะ ขอบคุณ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งดีกว่า”
เจตน์ชาญยิ้มขำๆ “ครับ ผมจะรอ”
รถแล่นไปตามถนนของกรุงเทพฯ ยามเช้า
ณ แดนสรวง ปรมะเทวีมองสีหน้าของบิวตี้อย่างเพ่งพิศ
“เป็นจริงอย่างที่บุรุษคนนั้นพูด ลัลน์ลลิตครุ่นคิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยเปิดใจตนเพื่อรับใจของผู้อื่น”
“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนางกำลังมุ่งมั่นจะกอบกู้กิจการของบิดา นะคะเทวี”
ปรมะเทวีส่ายหน้า “จิตที่หมกมุ่นอยู่กับความโกรธแค้น ชิงชัง ต้องการเอาชนะ จะมีแต่ความหม่นหมอง เปรียบเหมือนสายตาที่ฝ้าฟาง ย่อมไม่เห็นอะไรได้ชัดเจน”
“แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องบิดเบือนไปเช่นนี้นะคะเทวี โปรดนำนางออกมาเถิด”
“การที่นางต้องเผชิญกับเรื่องนี้ เป็นผลจากการกระทำของนางเอง เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้”
นาฟ้าลลิตาพยายามลุ้นช่วย “ถ้าอย่างนั้น จะถือว่าการปกป้องสมบัติของบิดา เป็นความรักที่ยิ่งกว่ารักตนเองได้ไหมคะ”
“ท่านเรียกอาการที่มีแต่ความเกลียดแค้นชิงชัง ว่าความรักได้หรือ นางฟ้าลลิตา”
นางฟ้าลลิตานิ่งงัน จำนนด้วยเหตุผล แต่ร้อนใจอยากช่วยบิวตี้ไม่คลาย
บิวตี้พาตัวเองมาอยู่ที่ห้องทำงานของ ชูชาติ ผู้บริหารอาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของธนบวร ณ ตึกผู้บริหาร แต่เช้า
สีหน้าของชูชาติทั้งแปลกใจ ระคนชื่นชมขณะมองมายังทายาทคนเดียวของบวร
“บิวตี้ต้องขอบคุณคุณอามากเลยนะคะ ที่ช่วยบริหารบริษัทของคุณพ่อจนรุ่งเรืองขนาดนี้ อีกหน่อยบิวตี้จะมาทำงานที่นี่แล้ว คงต้องขอคำปรึกษาจากคุณอาอีกเยอะเลยค่ะ”
“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ผมกับพนักงานทุกคนกำลังรอคอยวันที่ประธานรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณธีภพและคุณบิวตี้ จะมาบริหารงานร่วมกัน”
“ขนาดนั้นเชียวหรือคะ บิวตี้สัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณอาและทุกคนผิดหวัง”
“ครับผม” ชูชาติมองชุดสาวโรงงานอย่างเป็นปลื้ม “นี่คุณบิวตี้กำลังฝึกงานอยู่สินะครับ คุณบวรกับคุณลลิตาคงมองลงมาจากสวรรค์อย่างชื่นใจ”
“เอ... อากรไปไหนคะเนี่ย ตั้งแต่บิวตี้มาฝึกงานยังไม่ได้พบอาเลย”
“เดี๋ยวก็มาครับ คุณกรจะมาถึงออฟฟิศตอน 8 โมงครึ่งเป๊ะ ยกเว้นวันที่ออกไปตรวจโรงงาน”
เข้าทางพอดี บิวตี้รีบซัก “อากรตรวจโรงงานบ่อยหรือคะ”
“สัปดาห์ละสามสี่ครั้งได้ครับ”
บิวตี้ทำเป็นน้อยใจ “แต่ไม่เห็นอากรไปตรวจที่โรงงานที่บิวตี้ฝึกงานเลย น้อยใจแล้วนะ ทำไมไปแต่โรงงานลาดหลุมแก้ว สงสัยอาจะแอบไปเปิดโรงงานไว้ที่อื่นแหงๆ ถึงได้ไม่มีเวลาให้หลาน”
ชูชาติหัวเราะเอ็นดู “ไม่มีหรอกครับคุณบิวตี้ บริษัทเรามีโรงงานนี้กับที่ลาดหลุมแก้วก็พอแล้วละครับ”
“คุณอาแน่ใจเหรอคะ ว่าอากรไม่ได้ไปทำงานที่อื่น บิวตี้นึกว่าอามีงานที่อื่นเสียอีก”
“ไม่หรอกครับ คุณกรเทพรักและทุ่มเทให้ธนบวรมาตลอด งานของท่านก็ล้นมืออยู่แล้ว ไม่มีเวลาไปทำงานให้ใครอีกหรอกครับ”
บิวตี้ทำทีเป็นยิ้มแย้มชวนคุย แต่ใจยังคิดแค้นหาวิธีจับผิดกรเทพให้ได้
สักครู่หนึ่งบิวตี้ออกมาจากห้องชูชาติ
“ถ้าแม้แต่อาชูชาติยังไม่รู้ แสดงว่าอากรตั้งใจจะตั้งโรงงานลับหลังทุกคนนายธีจะรู้มั้ยเนี่ย”
บิวตี้กดโทรศัพท์หาธีภพเพื่อคุยให้รู้เรื่อง แต่ธีภพไม่รับสาย
ฟากปีวราเสนอแฟ้มเอกสารงาน Thailand Fashion Week ให้ดู พักตร์พิมลหน้าคว่ำ
“อะไรอีกล่ะ”
“โปรเจ็คท์ใหม่ Thailand Fashion Week ค่ะ ประธานแต่งตั้งให้คุณแพ็ตเป็น Project Manager”
“โอ๊ย ให้คนอื่นเป็นไม่ได้หรือไง งานเต็มมือ เธอต้องช่วยฉันนะ”
ปีวรารับเสียงอ่อยๆ “ค่ะ”
กระตั้วเดินเข้ามา หน้าตาตื่นเต้น “ประกาศ...ประกาศ ประธานกรรมการบริษัทร่วมท่านใหม่มาฝึกงานด้วยสีหน้าชื่นมื่น ในรถของ... แถ่น แทน แท๊น...”
พักตร์พิมลคิดว่ามากับธีภพ “ข่าวเก่า ไปตะเบ็งเสียงที่อื่น ไม่อยากฟัง”
“อุ๊ต่ะ คุณแพ็ตรู้แล้วหรือคะว่านางมากับคุณเจตน์ชาญ”
พักตร์พิมลหูผึ่ง “อะไรนะ มากับเจตน์ชาญ คู่แข่งเราเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ คุณเจตน์ชาญ แห่งเจดการ์เม้นท์ คู่แข่งของเรา ที่สำคัญควงกันมาแต่เช้า หมายความว่า เมื่อคืนนี้...อ๊ายยย ธนบวร กับเจดการ์เม้นท์ อาจเซ็นสัญญา ฟิเจอริ่ง กันไปแล้วก็ได้นะค้า”
พักตร์พิมลตวาด “หุบปาก ธนบวรไม่ใช่ของเค้าคนเดียว ทำอย่างงั้นไม่ได้หรอก”
ปีวราแทรกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “เคยได้ยินว่าเจดการ์เม้นท์เจ้าเล่ห์มาก”
“นั่นสิฮะ ป่านนี้โดนล้วง แคะ แกะ เกา ความลับรั่วไหล ไปถึงไหนๆ แล้วก็ไม่รู้” กะเทยก้ามปูใส่ไฟสุดฤทธิ์
พักตร์พิมลโมโห “งี่เง่าจริงๆ เลย” แล้วผลุนผลันออกไป
กระตั้วหัวเราะคิกๆ อย่างสะใจ
“ไม่สบายใจเลยอะ เราพูดให้ร้ายคุณบิวตี้เกินไปหรือเปล่า” ปีวราครวญ
“เราช่วยรักษาที่ทำกินของเราย่ะ อย่าโลกสวยไปหน่อยเลย น่ารำคาญ”
พักตร์พิมลโร่มาจะฟ้องธีภพถึงห้องทำงาน แต่เลขาบอกว่า
“ท่านประธานไปตรวจโรงงานที่ลาดหลุมแก้วค่ะ”
“จะไปอะไรกันตอนนี้นะ” พักตร์พิมลกดโทรศัพท์หาลิ่วล้อกระตั้ว “ตามฉันไปที่แผนกตัดด่วนเลย”
พักตร์พิมลหงุดหงิด หุนหันออกไป
ศรีนวลกับส้มเช้งกำลังช่วยกันสอนให้บิวตี้ใช้เครื่องตัดผ้า
“ก่อนจะตัดผ้าทุกครั้ง ต้องใส่ถุงมือนะคะ ลืมไม่ได้ อย่าเอาอย่างแม่” สมเช้งแซวแม่
“ใส่แล้วมันจับไม่ถนัด แต่ส้มเช้งมันพูดถูก หัดใหม่ๆ ต้องใส่ให้ชิน ป้ามันไม้แก่ดัดยากซะแล้ว”
ส้มเช้งเหน็บ “ทีกับคุณหนูละยอมรับ ทีกับฉันละดื้อ ไม่ฟังกันเลย”
“เออน่า สอนคุณหนูไปไม่ต้องมาสอนแม่”
บิวตี้มองแม่ลูกเถียงกันอย่างสนุก รู้สึกพลอยอบอุ่นใจไปด้วย
“แม่กับลูกทำงานด้วยกันก็สนุกดีนะ” บิวตี้ว่า
“ป้าไม่สนุกหรอกด้วยหรอกค่ะ”
ส้มเช้งยิ้ม “แต่ฉันสนุก ได้แหย่แม่ทั้งวัน มาค่ะคุณหนู ลองตัดตรงๆ ก่อนนะคะ”
บิวตี้จับเครื่องตัด ท่าทีไม่มั่นใจ “มือสั่นอ่ะ”
“คุณหนูพักผ่อนน้อย ต้องนอนให้พอ กินให้เยอะๆ หน่อยสิคะ”
บิวตี้ยิ้มให้ “เมื่อคืนนอนน้อยจริงๆด้วย”
“คุณหนูลองทำใจนิ่งๆนะคะ อย่าจดๆจ้องๆ มองให้นิ่ง แล้วไถตรงไปเลย”
บิวตี้ลองทำ พอใช้ได้ มีเบี้ยวบ้าง
ส้มเช้งตบมือชมเสียงดัง “เก่งค่ะ”
เสียงพักตร์พิมลดังขึ้นในจังหวะนี้ “พวกเธอลืมกฎของโรงงานแล้วหรือไงว่าห้ามคุยกันในเวลางาน”
บิวตี้กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพักตร์พิมล โดยเห็นกระตั้ว และปีวราใช้กล้องถ่ายวิดีโอไว้ตลอดเวลา
“แผนกตัด ต้องใช้สมาธิ ห้ามส่งเสียงดัง” พักตร์พิมลจ้องส้มเช้งเขม็ง “เธอทำผิดกฎ”
“เขาแค่สอนฉัน” บิวตี้แก้ให้
พักตร์พิมลแหวใส่ “ฉันไม่ได้พูดกับเธอ”
ศรีนวลแตะข้อศอกบิวตี้เบาๆ “ทำงานของเราไปเถอะค่ะ ลองตัดอีกชิ้นนึง”
บิวตี้ ศรีนวล ส้มเช้ง ก้มหน้าก้มตาตัดผ้า เหมือนไม่สนใจใดๆ
พักตร์พิมลหันรีหันขวาง พาลหาเรื่อง อยู่ๆ ก็โวยขึ้น “ตายจริง เธอตัดเบี้ยวนะบิวตี้”
บิวตี้สะดุ้ง เครื่องตัดเฉไปเยอะ
“ตายแล้ว ผ้าเสียหมด แล้วจะเอามาใช้ต่อได้ยังไง กองนี้หลายหมื่นเลยนะ”
ศรีนวลแก้ให้ “เสียไม่มากหรอกค่ะ เดี๋ยวอิฉันตัดแก้ให้”
“ทำให้งานช้าไปอีก ไลน์อื่นเขาไปถึงไหนๆ กันแล้ว”
ปีวราปลอบ “ใจเย็นๆ สิคะคุณแพต คุณบิวตี้มือใหม่ จะให้งานเรียบร้อยและเสร็จเร็วเหมือนคนอื่นได้ยังไง”
“ฉันตัดเบี้ยวเพราะเธอทำให้ฉันเสียสมาธินี่แหละ”
“ไม่มีฝีมือแล้วมาโทษคนอื่น เลิกเล่นได้แล้ว บริษัทเสียเงินให้เธอฝึกงานผิดพลาดมากแค่ไหนแล้วรู้บ้างมั้ย”
ศรีนวลบอกกับบิวตี้ “อย่าเถียงกันเลยค่ะ ทำงานต่อเถอะนะคะ” พลางชี้ให้ดูแพ็ตเทิร์น “รอยตัดมันเฉไปแต่ยังไม่โดนแพ็ตเทิร์นอื่น ยังแก้ได้ แบบนี้นะคะ” แล้วตัดให้บิวตี้ดู
บิวตี้ไม่สนใจแพ็ต มองศรีนวลแก้งานให้
“ฝึกงานไปมีประโยชน์อะไร เมื่อเธอเที่ยวเอาความลับของบริษัทไปบอกคู่แข่ง”
บิวตี้จ้องหน้า “เธอว่าใคร”
“ก็ว่าคนที่ไม่มีสมอง ไม่รู้ว่ากำลังโดนหลอกน่ะสิ”
“คนอย่างฉันไม่มีวันโดนหลอก อย่าเอาสมองของฉันไปเทียบกับสมองเล็กๆ ของเธอ”
“นี่เธอว่าฉันโง่เหรอ”
“ก็แล้วแต่ว่าสมองเล็กๆ ของเธอ จะแปลความหมายออกมาได้รึเปล่า”
“มันจะมากไปแล้วนะ” พักตร์พิมลปรี๊ดทุบโต๊ะเปรี้ยงโดยไม่รู้ตัว
เครื่องตัดในมือศรีนวล กระเด้งด้วยแรงสะเทือน เลือดสาดกระเด็นมาโดนหน้าและตัวบิวตี้
เสียงศรีนวลร้องด้วยความเจ็บ
ส้มเช้งกรีดร้องโผเข้ากอดศรีนวล “แม่...แม่จ๋า”
บิวตี้ช็อกด้วยความตกใจถึงขีดสุด
ศรีนวลถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน อย่างรีบด่วน ผ้าห้ามเลือดที่มือแดงเถือก หมอ พยาบาลรุมล้อมเตียง หัวหน้าแผนก สาวโรงงานอื่นๆ เดินขวักไขว่ ประสานงานกับทางโรงพยาบาล
ส้มเช้งใจสั่นแต่ไม่มีน้ำตาแม้หยดเดียว
ภาพทุกอย่างเคลื่อนไหวรวดเร็วสับสน แต่บิวตี้นั่งนิ่งขรึมยิ่งกว่าตอนเกิดเหตุ ใบหน้ายังมีรอยเลือดกระเซ็น เสียงแทนความคิดของบิวตี้ที่เงียบ อึดอัด ราวกับจะขาดใจ เหมือนเสียงคนที่อยู่ใต้น้ำ บิวตี้แทรกตัวอยู่ตรงมุมแคบๆ ตาเบิกโพลง เหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ ผุดขึ้นมาหลอกหลอน
20 ปี ที่แล้ว ร่างลลิตานอนนิ่งอยู่บนเตียงรถเข็น หมอพยาบาลรุมล้อมช่วยชีวิต
บวรนั่งซบหน้าสะอื้นไห้ เด็กหญิงบิวตี้เกาะข้างป้าจันที่กำลังร้องไห้ ดวงตาเบิกโพลง
ณ แดนสรวง นางฟ้าลลิตาแตะที่จอฉายภาพ ดูบิวตี้กำลังช็อกด้วยความเสียใจ น้ำตาไหลริน
“อย่าเสียใจไปเลยลูกรัก แม่ไม่เคยจากลูกไปไหน แม่อยู่ตรงนี้ คอยเฝ้าดูลูกอยู่ตลอดเวลา”
ปรมะเทวีปรากฏกายที่ด้านหลังนางฟ้าลลิตา มองมาอย่างเคร่งขรึม แต่ดูออกว่าเห็นใจไม่ใช่น้อย
“ความผูกพัน เสน่หา อาลัย จะเหนี่ยวรั้งท่านไว้ ไม่ให้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น”
“เรายินดีสละ หากทำให้บุตรได้บรรเทาจิตใจที่มีแต่ความทุกข์”
“ท่านช่วยไม่ได้หรอก ไม่มีสิ่งใดช่วยได้ ทุกข์ยุติได้ด้วยใจที่สงบของตนเองเท่านั้น ท่านเองก็ควรรำลึกไว้ด้วย”
นางฟ้าลลิตาค้อมกาย “น้อมรับคำสั่งสอนจากเทวี”
บิวตี้นั่งเฝ้าอาการของศรีนวลอยู่หน้าห้องผ่าตัด ไม่ได้เอากระเป๋ามาคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มองมือและเสื้อที่เปื้อนเลือดของตัวเอง ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของตน ส้มเช้งนั่งถัดไป
ฝรั่ง น้องชายส้มเช้ง ท่าทางดูออกว่าเป็นเด็กแว๊น ช่างกลเต็มตัว ขาเจ็บเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา เข็นรถวีลแชร์ให้องุ่น น้องสาวที่ไม่แข็งแรงของส้มเช้งเข้ามา
ฝรั่งโวยวาย “พี่ส้มเช้ง ใครทำแม่ บอกมา หรั่งจะไปลุยกับมันให้”
ส้มเช้งเอ็ด “เสียงค่อยๆหน่อย ไม่มีใครตั้งใจทำแม่หรอก มันเป็นอุบัติเหตุ”
“แล้วบริษัท รับผิดชอบหรือเปล่า ถ้าแม่ตาย ฉันจะเผาโรงงานให้ราบเลยคอยดู” หรั่งฮึดฮัด
องุ่นปล่อยโฮ “แม่จะตายเหรอ”
ส้มเช้งกอดองุ่น “ไม่หรอกจ้ะ แม่ไม่เป็นไร”
“แต่พี่หรั่งบอกแม่จะตาย”
ฝรั่งกอดปลอบองุ่น “พี่พูดไปงั้นเอง แม่ไม่เป็นไรหรอก”
“หรั่งแกอย่าก่อเรื่องนี้ได้ไหม พี่กลุ้มจะตายอยู่แล้ว” ส้มเช้งสะอื้น
“หรั่งขอโทษพี่ หรั่งก็ห่วงแม่เหมือนกัน” ฝรั่งกอดส้มเช้งกับองุ่น
สามพี่น้องกอดกัน ไอรักในครอบครัวอบอวลจนสัมผัสได้
บิวตี้เห็นภาพครอบครัวกลมเกลียวเป็นกำลังใจให้กันและกัน ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น อีกใจหนึ่งก็รู้สึกสะท้อนในอก
บิวตี้รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างเหลือเกิน ข้างกายมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครคอยให้กำลังใจ ไม่มีใครที่รักเธอจากใจจริง การถูกรักและรักใครสักคนเป็นยังไง บิวตี้ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
บิวตี้น้ำตารื้น ไหลริน แล้วกระพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาไม่ให้ใครเห็น
บิวตี้ยันกายขึ้น พยายามเข้มแข็งทั้งที่จิตใจห่อเหี่ยวโรยแรงเต็มที
อ่านต่อตอนที่ 12