เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 8
ทางด้านเจตน์ชาญมองกรเทพที่เดินเข้ามาในห้องทำงานตน ยิ้มทักทายอย่างสงวนท่าที
“คุณกรเทพ ให้เกียรติมาถึงบริษัท มีธุระอะไรหรือครับ”
“เมื่อเช้ามืดมีมือร้ายไปยิงหม้อแปลงที่โรงงานใหม่ของบริษัทผม”
“คุณกรสงสัยผมหรือครับ” เจตน์ชาญหัวเราะขัน
“ก็มีไม่กี่คนที่รู้จักที่นั่น”
“ขอบอกเลยว่าไม่ใช่ผม หรือคนของผมแน่ เราเป็นพันธมิตร ไม่ใช่คู่แข่งครับ”
“งั้นฝีมือใคร”
“อันนี้ผมไม่ทราบ ว่าแต่ ทางธนบวรรู้เรื่องโรงงานแล้วหรือยังล่ะครับ”
กรเทพนิ่งไปไม่ตอบ
กรเทพปิดบังเรื่องโรงงานใหม่แห่งนี้กับทั้งบิวตี้และธีภพ แต่เจตน์ชาญไปสืบจนรู้เข้า กรเทพจึงทำให้เขาเข้าใจว่าโรงงานนั้นเป็นของตน ที่ตั้งขึ้นมาเองแล้วปิดบังธนบวร และการที่เจตน์ชาญรู้ว่ากรเทพมีโรงงาน ชวนให้คนดูสงสัยว่าสองคนนี้อาจร่วมมือกัน
ระหว่างทางไปหัวหิน สองคนนั่งรถไปเงียบๆ ต่างคนต่างมองไปคนละทาง
สุดท้ายบิวตี้หันมา ตัดสินใจพูด “เป็นไปได้ไหมที่อาการจะตั้งบริษัทใหม่แล้วนายไม่รู้”
“เป็นไปไม่ได้ อากรรักธนบวรมากไม่รู้หรือไง”
“แต่ ฉันได้ยินกับหู”
ธีภพ ไม่สนใจ จอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วลงไปซื้อของ
บิวตี้นั่งหน้างอ “ไม่เชื่อก็ตามใจ คืนนี้ฉันจะบินมาดูเอง” นึกถึงระยะทางแล้วท้อ “เอาไว้กลับมาก่อนก็ได้” สาวขาวีนบ่นบ้าตามประสา “ทำไมต้องให้ออกมาฝึกตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้
ธีภพกลับมาพร้อมของหลายอย่าง เอาไปเก็บหลังรถถุงหนึ่ง ที่เหลือเป็นถุงขนมส่งให้บิวตี้
บิวตี้เมินไม่กิน ธีภพแกะขนมโอท็อป เป็นกล้วยไส้มะขามส่งให้ในอาการอ่อนโยนเหมือนทำกับนกบิวตี้
บิวตี้ฝืนกินในเบื้องแรก แล้วกินต่อท่าทางอร่อยล้ำ ธีภพคอยส่งถุงให้ทิ้งขยะ ส่งน้ำให้ดื่ม ส่งลูกอมให้ บิวตี้ร้องเพลงตามซีดี เสียงหลงคีย์เพี้ยนธีภพหัวเราะ บิวตี้เถียง เป็นโมเม้นท์สั้นๆ ที่สองคนรู้สึกสุขใจโดยไม่รู้ตัว
บิวตี้ชี้ชวนให้ดูสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อ เขาวัง แล้วชวนธีภพคุยเรื่องที่เคยมาเที่ยวกันตอนเด็กๆ
“นี่ไงเขาวัง ที่เราเคยแวะตอนไปหัวหินกันสามบ้าน”
“บิวตี้กลัวลิงไม่ใช่เหรอ”
“ไม่กลัว แพ็ตต่างหากที่กลัว บิวตี้โดนลิงแย่งขนม”
“ใช่ ร้องไห้ลั่นได้ยินไปทั้งเขาเลย”
บิวตี้หัวเราะ ธีเผลอแอบมองความน่ารักของบิวตี้ยามไม่มีจริต
ไม่นานต่อมา ธีภพขับรถมาส่งบิวตี้ที่ร้านเอ๊าท์เล็ตขนาดใหญ่ อันเป็นสาขาจำหน่ายเสื้อผ้าของธนบวรในหัวหิน ทั้งคู่ลงจากรถมาที่หน้าร้าน ธีภพหยุดเดิน
“ผมส่งแค่นี้นะ เดี๋ยวคนจะคิดว่าคุณใช้เส้น”
“เอ๊า จะทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้ได้ไง ถ้าเกิดเขาไม่รับฉันล่ะ”
“ไหนว่าลุคอย่างคุณ สมัครงานที่ไหนก็ได้ไง”
“แต่ฉันอาจจะไม่แคชวล (Casual) พอสำหรับที่นี่”
“งั้นเอาจดหมายไปยื่นให้ผู้จัดการร้าน”
บิวตี้ยืนนิ่งลังเล
“การขายหน้าร้านจะช่วยทำให้เข้าใจความต้องการของผู้ซื้ออย่างแท้จริง แต่ถ้าทำไม่ได้ก็กลับเถอะ เสียเวลา นึกแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้”
บิวตี้เชิดหน้าใส่ธีภพ “ใครว่าฉันทำไม่ได้ ฉันจะไม่ใช้จดหมายของนายด้วย คอยดู”
“ดี จะคอยดู แล้วอย่าแสดงตัวล่ะ ว่าคุณเป็นใคร”
“รู้แล้วน่า แต่ถ้าลูกค้าจำได้เองก็ช่วยไม่ได้นะ ตามสื่อมีรูปฉันเต็มไปหมด”
“ถ้างั้นก็ ใส่นี่ซะ” เขาหยิบถุงจากหลังรถส่งให้
บิวตี้ดึงแว่นตากรอบใหญ่เชยสนิทออกมา “แว่นตา 199 แค่ถือยังไม่อยากจะถือ”
“ใส่ซะ แล้วมัดผมด้วย อยู่ในถุงนั้นแหละ”
บิวตี้หยิบมวยผมสำเร็จรูปออกมา พบว่าเป็นของราคาถูกดีไซน์เฉิ่มๆ ก็แขยง “ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันใส่อะไรที่ไร้รสนิยมแบบนี้”
ธีภพจ้องบิวตี้ดุ “ไม่ใส่ก็กลับ ฝึกไปก็ไม่มีประโยชน์”
บิวตี้จ้องตากับธีภพอย่างไม่ยอมแพ้
บิวตี้อยู่ในห้องผู้จัดการร้านแล้ว ผู้จัดการร้านก้มหน้าอ่านจดหมายคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ให้รับพนักงานฝึกงานผู้นี้ เข้าฝึกงานในตำแหน่งพนักงานขายด้วย
“ถ้างั้นก็มาเริ่มงาน พรุ่งนี้เก้าโมงมาก่อนเวลานะจะได้ให้ซุปเปอร์ไวเซอร์เขาแนะนำงานให้”
บัดนี้ บิวตี้ ใส่แว่น เกล้าผมมีมวยปลอม หน้างองง้ำ พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปเฉย ไม่มีมารยาทล่ำลา
ผู้จัดการถอนใจเบื่อๆ “สำนักงานใหญ่จะรีบส่งมาทำไมเนี่ย มารยาทยังไม่อบรมเลย”
กรเทพเข้ามาในบ้านตอนเย็น เห็นพักตร์พิมลนอนนิ่งประชดชีวิต ไม่ทำอะไร กรเทพมองลูกสาวอย่างหนักใจ
“แพ็ต ช่วงนี้ว่างอยู่ ไปช่วยพ่อวางระบบงานหน่อยได้ไหม”
“อย่าเลยค่ะ แพ็ตไม่มีอารมณ์จะทำอะไร”
“ธุรกิจมันไม่รออารมณ์หรอกนะ ไปแต่งตัวแล้วไปกับพ่อ”
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ แพ็ตขี้เกียจออกไปตอนนี้ รถติด”
กรเทพชักฉุน “แพ็ตจะมัวนั่งหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ก็แพ็ตโดนทำโทษนี่คะ คนโดนทำโทษจะให้ร่าเริงร้องรำทำเพลงอยู่ได้ยังไง”
“เลิกประชดซะทีเถอะน่า ไหนเคยบ่นว่าอยากทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ บ้าง”
“พ่อจะให้แพ็ตทำอะไรคะ”
ท่าทีกรเทพกระตือรือร้นขึ้นมา “ไปดูด้วยกันก่อน แล้วลูกจะรู้”
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ แพ็ตไม่ชอบประหลาดใจ”
“งั้นตกลงจะอยู่บ้านแน่ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“ดี ไหนๆ วันนี้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็ดีแล้ว จะได้คุยปรับความเข้าใจกับบิวตี้พร้อมๆ กันเสียที”
กรเทพกดโทรศัพท์ถึงบิวตี้
“ไม่นะคะ” พักตร์พิมลปฏิเสธ
กรเทพดุ “นั่ง ไม่ต้องไปไหน”
เสียงโทรศัพท์รอสายจากบิวตี้ดังต่อเนื่อง
ฟากบิวตี้อยู่ที่ชายหาด เห็นชื่อกรเทพโทร.มา ก็กดตัดสายทิ้ง
กรเทพมีสีหน้าผิดหวัง
พักตร์พิมลเยาะ “โดนตัดสายทิ้งเหรอคะ นี่ล่ะค่ะ นิสัยของบิวตี้หลานเลิฟ เขาไม่ได้อยากคุยกับพ่ออย่างที่พ่ออยากคุยกับเขาซักหน่อย” หญิงสาวสะบัดหนีไป
กรเทพทั้งสงสัยปนหนักใจ
บิวตี้ เดินทอดอารมณ์เหงาๆ คนเดียวในบรรยากาศสวยๆ ยามเย็นริมหาด
อีกฟากหนึ่งเห็นพระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขา
บิวตี้เจ็บเนื้อตัวกำลังจะกลายร่าง สักพักก็มีนกหงส์หยกบินรับแสงสุดท้ายของวัน
นางฟ้าลลิตา อยู่บนแดนสรวง ถอนใจหนักหน่วง กลัดกลุ้มเป็นที่สุด
“วันนี้ครบหนึ่งเดือนของมนุษย์ที่ลัลน์ลลิต ต้องกลายร่างเป็นนกยามค่ำคืน” นางฟ้าลลิตาส่ายหน้าหนักใจ “แต่ความก้าวหน้ามีเพียงน้อยนิด”
“ลัลน์ลลิตมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความขุ่นแค้น จนลืมนึกถึงภาระที่จะต้องกระทำเพื่อปลดปล่อยตนจากร่างของนางนกน้อย”
“เหลือเวลาอีกเพียงสองเดือนมนุษย์ ความสำเร็จยังอยู่อีกห่างไกลและยากเย็นยิ่งนัก โปรดเมตตาชี้เส้นทางลัดให้เราช่วยนางด้วยเถิดเทวี”
ปรมะเทวีบอก “ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกวัน แม้เพียงชั่วเสี้ยวขณะก็อาจก่อให้เกิดความพลิกผันได้ ท่านอย่าเพิ่งด่วนคิดให้รุ่มร้อนใจไปเลย”
พระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลหัวหิน
แผนกชุดชั้นในของห้างวันนี้คนน้อยกว่าแผนกอื่นๆ บิวตี้ในชุดพนักงานขาย สวมแว่นใส่มวยผม ยืนเชิดหน้าไม่รับแขกอยู่ตรงนั้น มีลูกค้าหญิงวัยรุ่นสองคน คุ้ยสินค้ามาดูสะเปะสะปะ เจอสายตาพิฆาตของบิวตี้มองจิก
“ไม่ซื้อก็อย่าคุ้ยแบบนั้นสิ มันเสียเวลาเก็บ”
วัยรุ่นสะดุ้งชวนกันเดินหนี “ไปดูอย่างอื่นดีกว่า โคตรดุเลย ป้า”
บิวตี้โกรธ “เรียกใครป้า”
น้อยพนักงานอาวุโสสาวใหญ่เอ็ด “อย่าไปดุลูกค้าอย่างนั้นสิ”
บิวตี้ฮึดฮัดไม่เลิก “มาเรียกฉันป้าได้ไง แม่เธออายุ 15 เหรอ”
“พูดกับลูกค้าแบบนั้นไม่ได้นะ” น้อยชักฉุน
“ไม่ใช่ลูกค้าหรอก ดูท่าทางก็รู้แล้วว่าไม่ได้คิดจะซื้อ”
ป้าลูกค้าเดินมาถาม “หนูๆ มีเบอร์สามสามสิบแปด คัพดีไหม”
น้อยบอกบิวตี้ “ลองหัดดูแลรายนี้ซิ”
“ต้องการแบบไหน ...คะ”
“มีอย่าง” ป้ากระซิบ “ใส่แล้วอกชิดๆ อ่ะ มีไหม”
บิวตี้มองอกป้า ยั้งปาก “คงยาก... เอ่อ กรุณารอซักครู่...ค่ะ”
บิวตี้ ดูรหัสสินค้า แล้วค้นหาในกอง ไม่มี สีหน้าเริ่มสับสน
“สามสิบแปดดี ไม่มี”
“ไปดูข้างในให้คุณลูกค้าสิจ๊ะ” น้อยบอก
บิวตี้เข้าไปในห้องเก็บสินค้า
พอเข้ามาในห้องเก็บสินค้าแล้วบิวตี้ต้องงง เคว้งคว้าง เพราะทุกชั้นสูงท่วมหัว และมีสินค้าเต็มไปหมด
“18072 อยู่ไหนหว่า” บิวตี้มองหา แล้วไล่ดูไปตามหมายเลข “920 ไม่ใช่ 750 360 โอ๊ย 180 ไม่เห็นมีเลย 180... 180 อยู่ไหน
บิวตี้ลนลานไล่หาสินค้า
“200 อุ๊ย ใกล้แล้ว” มองสูงขึ้นไป “190” และมองขึ้นไปตรงชั้นสูงสุดจึงเจอ “180”
บิวตี้ไปลากบันไดมา ปีนขึ้นไป
“36 เอ 34 บี สามสิบแปด มีมั้ยเนี่ย ขอให้มีเถอะ” บิวตี้ออกอาการดีใจ เจอแค่ “สามสิบแปด” เลยผิดหวัง “ไม่เห็นมีคัพดีเลย” แล้วดีใจสุดๆ “เจอแล้วๆ 38 ดี”
บิวตี้ลงบันได ขยับออกมาเจอน้อยดุ “ทำไมช้านักล่ะ”
บิวตี้หันมาจะเถียง บันไดเอนจะล้ม
“ว๊ายย...ระวัง” น้อยร้องลั่น
บิวตี้ตกใจพยายามตะเกียกตะกายไขว่คว้ากรีดร้องสุดเสียง “อ๊าย...”
อ่านต่อหน้า 2
เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 8 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา สองคนถูกเรียกมายังห้องทำงานผู้จัดการร้าน สภาพน้อยถึงกับต้องเข้าเฝือกที่แขน อันเกิดจากการที่บิวตี้ล้มใส่ทั้งบันได โดยน้อยนั่งหน้าเครียดอยู่ ส่วนบิวตี้ยังสวมแว่น และใส่มวยผมปลอม มองน้อยด้วยความรู้สึกผิดนิดๆ ที่น้อยต้องมาเจ็บแทนตน
ผู้จัดการหน้าเครียดสุด ขณะพูดตำหนิ “มาวันแรกก็เป็นเรื่องเลยนะ”
“มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” นึกได้ฝืนพูดสุภาพ “ค่ะ”
“ตั้งแต่ตั้งร้านมา ยังไม่เคยมีใครเลินเล่ออย่างเธอเลย”
บิวตี้ฉุน “โทษแต่พนักงาน ทำไมไม่โทษระบบของตัวเองบ้าง บันไดไม่มีเซฟตี้แบบนี้เอามาใช้ได้ไง”
ผู้จัดการโกรธจัด “อวดดี เธอรู้ไหมฉันเป็นใคร”
บิวตี้ย้อน “แล้วเธอรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร!” (แล้วนึกได้) “...ก็พนักงานกินเงินเดือนเหมือนกันนั่นแหละ
ผู้จัดการยั๊ว “มันชักจะมากไปแล้วนะ”
“แต่มันไม่ถูกต้องจริงๆ นี่” บิวตี้หันมาทางน้อย “บริษัทจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้หรือยัง ค่าชดเชย ล่ะ”
น้อยอึกอัก แต่ก็ชักเห็นด้วย “ยังเลย”
ผู้จัดการดุบิวตี้ “บริษัทจะจัดการเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ ไม่ต้องยุ่ง”
“เขาเจ็บเพราะอุบัติเหตุ บริษัทต้องจ่าย”
ผู้จัดการโกรธจัด “บอกว่าไม่ต้องยุ่ง เธอออกไปเดี๋ยวนี้เลย ฉันไล่เธอออก”
“เธอไล่ฉันออก?” บิวตี้ขำก๊าก ยักไหล่พรืดไม่แคร์โลก เดินฉับๆ ออกไป แล้วหยุดหันมา “อ้อ แล้วผู้จัดการอย่างเธอ ก็คงไม่มีบริษัทไหนเค้าอยากจ้างนักหรอกนะ เตรียมหางานใหม่ไว้ได้เลย”
เสียงปิดประตูดังปัง
ผู้จัดการโกรธ หันมาพาลใส่น้อย “สำนักงานใหญ่ส่งคนบ้าๆบอๆ แบบนี้มาให้เราได้ยังไง”
น้อยสงบปากไม่กล้าพูดอะไร ด้วยกลัวตกงาน
บิวตี้ออกมาจากห้องผู้จัดการร้าน เดินมาตามทางในเอ๊าท์เล็ต หงุดหงิดสุดขีด
“แค่ทำวันเดียวก็รู้หมดแล้วว่าห่วยขนาดไหน ฉันเป็นประธานเมื่อไหร่จะไล่ออกให้หมดเลย คอยดู”
บิวตี้หยิบโทรศัพท์โทรหาธีภพ
“คุณธีภพ! เย็นนี้ส่งรถมารับฉันด้วย” นึกขึ้นได้ รีบเปลี่ยน “เอ่อ ไม่สิ...ไม่ใช่เย็นนี้ ส่งรถมารับฉันตอนเช้า แปดโมงเช้านะ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว ที่นี่บริหารงานได้แย่มาก ขอบอก เกิดอุบัติเหตุแทนที่จะดูว่าระบบเซฟตี้ดีพอหรือยัง ดันมาโทษพนักงาน”
ธีภพวางหูใส่ บิวตี้โกรธ “กล้าดียังไงมาวางสายใส่ฉัน” พยายามโทรใหม่ แต่สัญญาณไม่ว่าง
บิวตี้ฮึดฮัดกดโทรศัพท์จิก ซ้ำๆ แรงๆ หงุดหงิดสุดขีด และโกรธธีภพมาก
ณ แดนสรวง ปรมะเทวีมองภาพบิวตี้ทางจอภาพด้วยสายตาเย็นชา
“มีแต่ความหุนหันพลันแล่น นึกถึงแต่ตนเอง มาตรวัดความดีคงจะลดลงไม่ใช่น้อย”
มาตรวัดความสัมฤทธิ์ ลดลง อย่างที่องค์เทวีพูด
“แต่มันเป็นจริงอย่างที่ลัลน์ลลิตพูดนะคะเทวี” นางฟ้าลลิตาท้วง
“เพียงส่วนเดียวเท่านั้น ลัลน์ลลิตเพ่งแต่ความผิดของผู้อื่น ความผิดของผู้อื่นดั่งขุนเขา ความผิดของตนเท่าเส้นผม เช่นนี้ย่อมไม่มีวันรู้ตัวเอง”
“แล้วลัลน์ลลิตจะทำคะแนนกลับมาได้อย่างไรคะเทวี”
“นางยังมีกัลยณมิตร คอยช่วยเหลือ แต่ด้วยความร้ายกาจของนาง เราก็จนใจไม่อาจรู้ได้ว่า กัลยาณมิตรผู้นั้น จะประคับประคองนางไปได้อีกนานเพียงใด”
“กัลยาณมิตร หรือคะ” นางฟ้าลลิตา รับรู้ได้ว่ากัลยาณมิตรที่ปรมะพูดหมายถึงธีภพ เลยรู้สึกวางใจขึ้นมา
บิวตี้เดินมาที่หน้าร้านจะกลับบ้าน ยังพยายามโทรหาธีภพ กดโทรศัพท์แรงๆ ท่าทีหงุดหงิด
“ฉันยังพูดไม่จบ ปิดโทรศัพท์หนีได้ยังไง ไม่มีมารยาท”
บิวตี้มองหารถ ทั้งร้อน ทั้งหงุดหงิด
“รถก็ไม่มี โอ๊ย”
สักครู่ผู้จัดการวิ่งออกมา มองหาบิวตี้ เห็นยืนรอรถอยู่รีบเข้ามาหา ยังโกรธแต่ต้องทำตามคำสั่งเบื้องบน
“นี่เธอ กลับไปทำงานต่อได้แล้ว”
“ไม่ทำ ไล่ฉันออกแล้วนี่ ไม่ใช่สิ ฉันลาออก”
“สำนักงานใหญ่สั่งให้เธอฝึกงานต่อให้ครบอาทิตย์นึง”
บิวตี้เชิดใส่ “ไม่”
ธีภพโทร.เข้ามาพอดี บิวตี้รับ “อะไรอีกล่ะ ทีตอนโทร.ไปละไม่รับ แถมยังมาวางสายใส่ฉันอีก”
“ให้โอกาสแก้ตัวอีกครั้ง ถ้าไม่ฝึก ถือว่าล้มเหลว” แล้ววางสายไปเลย
“นี่นาย” บิวตี้โมโหหนัก “คนอย่างฉันเนี่ยนะล้มเหลว ไม่มีทาง งานง่ายๆ แค่เนี้ยจะทำให้ดู”
บิวตี้เดินหงุดหงิดกลับเข้าไปในร้าน
ผู้จัดการมองตามหน้าเครียด
บิวตี้กลับมายืนเซ็งเฝ้าสินค้าหน้าหงิกงอ ลูกค้าบางคนจะเข้ามาซื้อสินค้า เจอสีหน้าไม่รับแขกเลยถอยไป
ลูกค้า 1ถามมาจากด้านหลัง “นี่ เธอ รุ่นนี้ลดกี่บาท”
บิวตี้รำคาญ “ดูราคาตามป้ายสิ” นึกได้ เติมหางเสียงอย่างไม่เต็มใจ “...คะ”
“แล้วไอ้ลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ เนี่ยมันกี่บาท”
บิวตี้อยากวีนใส่เต็มแก่ “ถามที่แคชเชียร์ ...ค่ะ”
ลูกค้า 1 ตำหนิ เสียงดัง “อาไร้ เป็นพนักงานขาย ทำไมไม่ดูแลลูกค้าเลย”
ลูกค้าอื่นที่อยู่บริเวณนั้นหันมามอง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สองคนใน กลุ่มลูกค้า คือวาวา เพื่อนสาวในก๊วนปาร์ตี้ และ กาย เพื่อนชายที่บิวตี้จูบหวังถอนคำสาป วาวา ปรายตามองผ่านบิวตี้ แล้วหันขวับมาจ้องมองอีกทีอย่างสงสัย
บิวตี้ปรี๊ดแตก “นี่จะบอกให้นะ ฉันน่ะ” สายตาเหลือบเห็นวาว กับ กาย ก่อนรีบคว้าเสื้อจากมือลูกค้า “จะไปถามราคาแล้วกลับมาบอกนะคะ” แล้วหันหลังเดินหนีไปคนละทางกับ วาวาและกาย
วาวาดึงแขนกาย “กาย คนเมื่อกี้ ยัยบิวตี้ใช่มั้ย”
กายมองหา “คนไหน”
“ก็คนขายของ ที่เดินไปนั่นไง” พลางชี้ให้ดูบิวตี้ที่เห็นด้านหลังแวบๆ
“ฝันไปหรือเปล่า คนอย่างบิวตี้ไม่มีวันเป็นพนักงานขายหรอก”
“แต่ มันเหมือนมาก” วาวามองหาอย่างคาใจ
กายโอบวาวาอย่างคนรัก “ไม่ใช่หรอก อย่าไปสนใจเลย ช้อปปิ้งต่อเถอะ”
“ชุดนอนสวย อยากได้อ่ะ” วาวาตาเป็นประกาย
กายทำท่ากรุ้มกริ่ม เจ้าชู้ใส่ “แน่ใจเหรอว่าจะได้ใส่”
วาวาดีดดิ้นมีจริต “บ้า พูดอะไรไม่รุ๊”
วาวาหยอกล้อเล่นกับกายอย่างสนิทสนม ดูก็รู้ว่าคงมีอะไรๆ กันถึงไหนแล้ว
บิวตี้แอบมองเหตุการณ์อยู่หลังราวเสื้อผ้า เห็นวาวากระหนุงกระหนิงอยู่กับกาย ยิ่งแค้น
“เพื่อนทรยศ
บิวตี้เคืองแค้นใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องยืนซ่อนตัวอยู่
วาวา กาย ย้ายมาดูเสื้อผ้าตรงบิวตี้หลบอยู่พอดี
บิวตี้เดินหลบไปตามราวผ้า ไม่ให้ วาวา และ กายเห็นหน้า เหมือนเล่นซ่อนหาในเขาวงกต
“เสื้อสวยๆทั้งนั้นเลย แต่ทำไมไม่มีขนาดเอส เอส เลย กายดาร์ลิ้งช่วยหาหน่อยสิจ๊ะ”
“โอเค จ้ะ ฮันนี่”
บิวตี้เผลอแหวะใส่เสียงดังด้วยความหมั่นไส้ “แหวะ อ้วกจะแตก”
วาวาได้ยินก็โกรธ “ใครพูด ออกมานะ” แหวกราวเสื้อหาตัวคนพูด “พูดแบบนี้กับลูกค้าได้ไง กาย จับตัวไว้”
วาวากับกายแหวกราวเสื้อหาตัวคนพูด เห็นแต่เท้า และขา วิ่งหนีอยู่แวบๆ
“ทางนี้ๆ” วาวาแหวกเสื้อผ้าหา
บิวตี้มุดหลบหนีอย่างฉิวเฉียด เห็นหลังไวไว จนถึงแถวสุดท้าย วาวากับกายมั่นใจว่าจะได้ตัวแน่ ทั้งคู่ช่วยกันแหวกราวเสื้อ
บิวตี้เห็นจวนตัว จึงผลักราวเสื้อใส่วาวากับกาย เป็นราวเสริมไม่ได้ตรึงกับพื้นร้าน ราวโค่นใส่ทั้งแถว
วาวา และ กาย ร้องลั่น “โอ้ย” / “เฮ้ย”
สองคนดิ้นรน หาทางออกมาจากกองผ้า พนักงาน กับลูกค้าตกใจมามุงดูกัน บิวตี้ทำเนียน ปลีกตัวออกไปทางหน้าร้าน
วาวาดุพนักงาน “ยืนเซ่ออยู่ทำไม ช่วยฉันออกไปสิ”
พนักงานช่วยดึงตัววาวา กับกาย บางส่วนช่วยกันเก็บเสื้อผ้าเข้าที่
วาวาตวาดพนักงาน “ใครแกล้งฉัน บอกมานะ”
พนักงานมองหน้ากันงงๆ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ต้องเป็นพวกเธอคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ฉันเห็นเครื่องแบบ ฉันจะฟ้องผู้จัดการ”
“ช่างเหอะน่า เสียเวลา” กายบอก
“ไม่ได้ ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
วาวา เดินไปทางหน้าร้านท่าทางโมโหเต็มที่ กายตามไปติดๆ
อ่านต่อหน้า 3
เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 8 (ต่อ)
วาวากับกาย มาฟ้องผู้จัดการร้านในห้องทำงาน สองคนใส่ไฟเล่นใหญ่แอ็คติ้งเว่อร์
“คุณอบรมพนักงานยังไง แย่มาก”
“พูดจาไม่มีมารยาทเลย”
ผู้จัดการทำใจเย็น “กรุณารอสักครู่ค่ะ กำลังไปตามพนักงานแผนกนั้นมาให้คุณลูกค้าชี้ตัวแล้ว”
น้อยเดินมา มีลูกค้า 1 ตามมาด้วย
“พนักงานฝึกหัดไม่อยู่ค่ะ มีแต่ลูกค้าท่านนี้ขอตามมาคอมเพลน”
ลูกค้า 1บอก “พนักงานของคุณไม่มีความรับผิดชอบ ปล่อยให้ฉันยืนคอยอยู่ตั้งนาน”
ผู้จัดการยิ้มเรี่ยราด “ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ คือเขาเป็นพนักงานฝึกหัด เพิ่งมาทำงานวันนี้วัน
แรก” แล้วหันมาทางน้อย “ไปตามตัวมาให้ได้”
“รปภ.บอกว่าเห็นเดินออกไปแล้วค่ะ”
วาวาเสริม “ต้องเป็นคนนี้แน่ๆ”
กายโวยอีก “ด่าลูกค้าแล้วหนีไปดื้อๆ งั้นเหรอ”
“ต้องจัดการให้ได้ ไม่งั้นฉันจะฟ้องร้านคุณ” วาวาฮึดฮัด
ลูกค้า 1ใส่อีกดอก “ไม่ไหว ทีหลังฉันไม่ซื้อของที่นี่อีกแล้ว”
ผู้จัดการหน้าเครียด กุมขมับ
หน้าห้องผู้จัดการ บิวตี้แอบฟังอยู่ และยิ่งโมโห แท่งมาตรวัดความดีที่ห้อยคออยู่เปล่งแสงสีดำวาบ บิวตี้สะดุ้ง
แท่งมาตรวัดความดี ในสวรรค์ก็เปล่งแสงสีดำเช่นกัน
นางฟ้าลลิตา ลืมตาขึ้นจากสมาธิ เพราะถูกขัดจังหวะด้วยกระแสกรรมที่บิวตี้กระทำ
“ไม่นะ ลูกแม่ก่อกรรมอีกแล้ว”
“ท่านควรจะนั่งสงบจิต ไม่ใช่นิมิตหานางที่ไม่ใช่บุตรของท่านอีกต่อไปแล้ว” องค์เทวีเตือน
“ความผูกพันของแม่กับลูกไม่ว่าภพใดชาติใด ก็ไม่อาจตัดได้ เทวี ท่านคงเห็นแล้วว่า บทเรียนกลับยิ่งทำให้ลัลน์ลลิต สร้างกรรมเพิ่มขึ้นอีก”
“เพราะนางตั้งเจตนาไม่ถูกต้อง นางทำงานด้วยความโกรธ เต็มไปด้วยความแค้นและคิดแก้แค้น นางไม่ได้ทำงานด้วยใจรักในหน้าที่ จึงเป็นเช่นนี้”
นางฟ้าลลิตามองมาตรวัด ยิ่งตกใจ “มาตรวัดเปลี่ยนเป็นสีดำเพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
“หากนางยังไม่ประกอบกรรมดีเพิ่มขึ้น คงต้องกลายเป็นนกไปตลอดกาล”
“โธ่ นี่เราแก้ไข หรือยิ่งไปซ้ำเติมเคราะห์ให้นางคะ”
“เราไม่ได้ทำหรอก นางกระทำตนเอง”
ปรมะเทวีรู้สึกผิด สลดใจ ที่ทำให้เรื่องไปกันใหญ่ ขณะที่นางฟ้าลลิตาร้อนรน กลัดกลุ้ม
ฟากปีวราเข้ามาในร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัทธนบวร พักตร์พิมลกับกระตั้วซึ่งโดนพักงานอยู่ โบกมือเรียก ให้ปีวราไปหา
“ยัยบิวตี้ทำอะไรบ้างวันนี้เล่ามาให้ละเอียด” พักตร์พิมลถามเร็ว
ปีวราอึดอัดใจ “เอ่อ คือ...”
“อย่าช้า...เล่ามา” กระตั้วคาดคั้น
“คุณบิวตี้ไม่ได้มาทำงานค่ะ”
“แน่ใจเหรอ” พักตร์พิมลแปลกใจ
“ปีเช็คกับคนงานแล้วค่ะ ไม่มีใครเห็นเลย”
กระตั้วกรี๊ดกร๊าด “อั๊ดชะ นึกแล้วไม่ผิด ระเหิดระหงไฮโซ อย่างนางจะทำงานโกดังได้ซักกี่น้ำ”
พักตร์พิมลไตร่ตรอง “หรือว่าจะย้ายไปฝึกแผนกอื่น ปี เธอไปสืบมาซิ”
“โอ๊ย ยัยปีอ่อนมากค่ะ เรื่องแบบนี้แก๊งหูตาสับปะรด เวิร์กกว่า” กระตั้วกดโทรศัพท์ พูดทันที “แฮลโล้บอกหน่อยซิ วันนี้มีคนงานใหม่มาฝึกงานแผนกไหนบ้างป่าวอ่ะตะเอง” นิ่งฟัง แล้วบอกพักตร์พิมล “ไม่มีเลยค่ะ”
“เชื่อได้แค่ไหน”
กระตั้วถามกับโทรศัพท์ “เชื่อถือได้แค่ไหนยะ ชัวร์เป๊ะ โซๆ หรือเอเวอรี่ติงมโน” กะเทยก้ามปูหันมาบอกพักตร์พิมล “นางว่ามั่นมากค่ะ”
“เลิกจริงก็ดีสิ”
พักตร์พิมลยังลังเล และไม่เชื่อ มุ่งมั่นจะหาความจริงและขัดขวางบิวตี้ให้ได้ ปีวรามองเซ็งๆ
บิวตี้ลงจากรถรับจ้าง หน้าบ้านพักตากอากาศของครอบครัวที่หัวหิน เดินเข้ามาในบ้านท่าทางเหน็ดเหนื่อย เบื่อหน่าย ทิ้งตัวลงนั่ง
ไม่ทันไรก็มีโทรศัพท์เข้ามา บิวตี้หยิบดูอย่างหงุดหงิด เห็นชื่อ FATTY
บิวตี้พูดโทรศัพท์ น้ำเสียงห้วน “มีธุระอะไรไม่ทราบ”
“อะไรกันเนี่ย ปัญหาแรกยังเคลียร์ไม่จบ ก่อเรื่องอีกแล้ว”
“ไม่เห็นมีเรื่องอะไรเลย”
ธีภพโกรธจัด “ไม่มีเหรอ คุณไม่บริการลูกค้า พูดไม่สุภาพแล้ว ยังทำเรื่องวุ่นจนร้านจะโดนฟ้อง”
“เป็นผู้บริหารอะไรเนี่ย ไม่มีความยุติธรรม ไม่รับฟังเหตุผล ดีแต่ด่าๆๆๆ”
“แล้วมีอะไรให้ผมชมบ้างล่ะ”
บิวตี้โกรธ “นี่ คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าห้ามแสดงตัว เพื่อน...ไม่ใช่... อดีตเพื่อนเข้ามาในร้าน ฉันก็ต้องหลบก็แค่นั้น”
ธีภพโกรธเช่นกัน “เรื่องที่คุณเล่า กับเรื่องที่เกิดจริงมันต่างกันลิบลับ ทำตัวดีๆ ไม่ก่อเรื่องสักวันนึงได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็พอเถอะ ผมจะส่งรถไปรับ เดี๋ยวนี้ ข้อตกลงทั้งหมดยกเลิก”
“ไม่ ถ้าฉันทำผิดฉันจะยอมเลิก แต่นี่” บิวตี้เน้นคำ “ฉัน ไม่ ผิด ฉันจะฝึกต่อ นี่มันบริษัทของฉัน”
“งั้นก็เชิญ แต่ผมว่าคุณไม่มีทางทำสำเร็จ”
“พนันกันมั้ยล่ะ” พูดไม่ทันจบคำ ก็เป็นสัญญาณเสียงตัดสาย บิวตี้ปรี๊ด “วางสายใส่ฉันอีกแล้ว” พยายามโทรกลับ แต่ธีภพไม่รับสาย “ตาอ้วน!! ไม่มีมารยาทที่สุด”
บิวตี้กดโทรศัพท์ถึงธีภพด้วยความหงุดหงิดแต่โทร.ไม่ติด
ส่วนธีภพมีหวังว่าบิวตี้จะฮึดสู้ เมื่อถูกสบประมาท
อีกฟากหนึ่งอรวิภาเสิร์ฟ น้ำชา ให้พ่อ กับแม่ อยู่ เจตน์ชาญเดินเข้ามาสมทบ ไหว้อดิศักดิ์ และ เครือวรรณ
อรวิภาแปลกใจ และหงุดหงิดขึ้นมาทันที “คุณเจตน์ มาทำอะไร”
“ป๊าเชิญมาเอง” อดิศักดิ์บอกพลางดูนาฬิกาออกปากชม “มาตรงเวลาเป๊ะ เลยนะ ดีผมชอบคนตรงเวลา”
“ท่านเจ้าสัวให้เกียรตินัด ผมพลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวครับ”
“เชิญนั่งเลยค่ะ วันนี้น้องอรทำทาร์ตผลไม้ไทย” เครือวรรณยิ้มแย้ม
เจตน์ชาญแกล้งหว่านเสน่ห์ ชมอรวิภา “น้องอรช่างคิดจังเลยครับ เอาผลไม้ไทยมาทำขนมฝรั่ง”
“อร่อยใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ คุณเจตน์ลองชิมสิคะ”
เจตน์ชาญชิม ออกท่าทางติดใจ “หอม หวาน อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมาเลยครับ”
“ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์ชม น้องอรจัดไปที่บ้านพี่ธีลองชิมดูบ้างดีกว่า” อรวิภาจะเลี่ยงไป
“เดี๋ยวก่อนก็ได้จ้ะลูก อยู่คุยกันก่อน” เครือวรรณเรียก
อรวิภาแอบฮึดฮัด ทำตาเขียวใส่ผู้มาเยือน
เจตน์ชาญทำไม่รู้ไม่ชี้ “ท่านเจ้าสัว มีธุระอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ”
อดิศักดิ์หัวเราะ “อย่าคิดว่าเป็นการรับใช้เลย วีคเอนด์นี้ คุณว่างไหม ผมจะพาน้องอรไปออกรอบ อยากจะเชิญคุณไปด้วยกัน”
“ไม่มีคนอื่น นอกจากครอบครัวเราน่ะค่ะ” เครือวรรณเสริม
อรวิภาท้วง ไม่อยากให้เจตน์ไป “อย่าเลยค่ะ ป่าป๊าหม่าม๊า เกรงใจคุณเจตน์ วันหยุดคงอยากพักผ่อน”
“ก็ไปพักผ่อนด้วยกันไง จะได้ช่วยสอนน้องอรด้วย ผมจองสนามไว้แต่เช้า ตอนเย็นพักที่คอนโดของผม ตกลงไหม”
“ด้วยความยินดีครับ” เจตน์ชาญไหว้ “ขอบพระคุณท่านเจ้าสัวกับคุณนายที่กรุณาชวนผม” แล้วแอบยิ้มยั่วสาวโลกสวย
อรวิภาโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้
อ่านต่อหน้า 4
เล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 8 (ต่อ)
ฝ่ายบิวตี้เปลี่ยนชุดอยู่บ้านแล้ว มานั่งเหงาจ้องมองบ้านอยู่คนเดียว คิดถึงวัยเด็กที่เคยมาสนุกสนานพร้อมหน้าพ่อแม่ และเพื่อน เมื่อยี่สิบปีก่อน
เสียงเพลงฮิตในยุค 2535 ดังแว่วมาจากในบ้าน บรรยากาศชวนรื่นรมย์
บิวตี้มองภาพในกรอบตรงหน้า ขณะภาพในอดีตผุดขึ้นมา
งานบาร์บีคิวปาร์ตี้ฉลองปีใหม่ มีพ่อแม่บิวตี้ พ่อแม่ธีภพ และกรเทพ ช่วยกันปิ้งย่างอาหารทะเลกินกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง
ป้าจันช่วยบริการเสิร์ฟน้ำ คอยดูแลจัดโต๊ะ พักตร์พิมลกินอาหารเอร็ดอร่อย ไม่สนใจใคร ธีภพถือกล่องของขวัญ ตามหาบิวตี้ เห็นบิวตี้นั่งอยู่คนเดียวหลังบ้าน จึงเดินไปหา
“บิวตี้ เป็นอะไร ทำไมไม่ไปกิน”
บิวตี้น้ำตาคลอ “ไม่กิน บิวตี้คิดถึงไอ้ด่าง”
“อ้าว ไอ้ด่างหายไปไหนล่ะ”
“คนเฝ้าบ้านเอาไปปล่อย บิวตี้สงสารไอ้ด่าง” เด็กหญิงร้องไห้ออกมา
“ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวพี่จะชวนพ่อไปตามหาดู”
“จริงนะ”
“จริงสิ” ธีภพส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “อ่ะ เช็ด ซะ แล้วนี่ของขวัญ”
บิวตี้เช็ดน้ำตาลวกๆ ตื่นเต้น “อะไรอะ”
“เปิดดูสิ”
บิวตี้จะเปิด นึกได้ “นึกออกแล้ว ทำเหมือนในนิทานดีกว่า เอาสมบัติฝังไว้แล้วพอขุดขึ้นมาก็มีเพิ่มอีกเยอะแยะเลย”
“นั่นมันนิทาน”
“ลองดูเถอะน่า นะนะ”
บิวตี้ ตื้อธีภพจนใจอ่อน
ภาพในอดีตเลือนหายไป บิวตี้คิดถึงที่ซ่อนกล่องใบนั้น
บิวตี้มายืนลังเลอยู่หน้าถังเก็บน้ำ บริเวณที่เป็นโพรงลึกลับ
“ลืมไปตั้งหลายปี จะอยู่เหรอ”
บิวตี้เอาไม้เขี่ยๆ มีกล่องคุกกี้ เลื่อนออกมา บิวตี้จ้องมองกล่องที่บัดนี้เป็นสนิมกระดำกระด่าง มีลายมือเด็กๆ ของบิวตี้เขียนว่า
“สมบัติของบิวตี้ ถ้าคนอื่นเปิด ขอให้นิ้วด้วน”
บิวตี้หัวเราะกิ๊ก จับกล่องขึ้นมามองอย่างทะนุถนอม ความหลังพรั่งพรูออกมาอีก
เวลานั้นเด็กชายธีภพวางของขวัญลงในกล่องคุกกี้
บิวตี้แอบถือของขวัญไว้ข้างหลัง วางของขวัญลงเช่นกัน
“อันนี้ของพี่ธี”
“ให้พี่ด้วยเหรอ”
“ให้สิ ถ้าของบิวตี้เพิ่มขึ้น พี่ธีจะได้เหมือนกันไง”
ธีภพจะปิดฝากล่อง บิวตี้บอก
“เดี๋ยว เขียนการ์ดด้วย”
“ไม่เอา ขี้เกียจ”
“เขียนเหอะน่า สั้นๆก็ได้ อะ นี่การ์ดกะดินสอ” บิวตี้ส่งการ์ดกับดินสอให้
ธีภพรับไปเขียน แล้วใส่ซอง สอดไว้ที่ริบบิ้นผูกกล่อง
“พี่ธีเขียนว่าอะไร”
“ไม่บอก ตอนเปิดดูค่อยอ่าน”
“ก็ได้ งั้นสัญญานะว่าเราจะมาเปิดกล่องนี้พร้อมๆกัน ห้ามใครเปิดก่อนด้วย”
บิวตี้เกี่ยวก้อยสัญญากับธีภพ
บิวตี้ดึงตัวเองกลับมา ยืนถือกล่องคุกกี้ ท่าทีลังเล
“โธ่เอ้ยก็แค่สัญญาของเด็ก” สุดท้ายตัดสินใจจะเปิดออก
เสียงป้าจันดังขึ้น “คุณหนูคะ”
บิวตี้สะดุ้ง หันมามอง “อ้าว มาได้ยังไง”
เห็นป้าจัน ถือกระเป๋า ยืนอยู่กับพร
“คุณธีสั่งให้เราตามมาอยู่ดูแลคุณหนูค่ะ”
บิวตี้ทำเสียงหงุดหงิด “ยุ่งกับชีวิตฉันจัง” แล้วแอบดันกล่องคุ้กกี้เก็บที่เดิม จะเดินกลับเข้าบ้าน แล้วหันมาสั่ง “ตอนกลางคืนก็ทำเหมือนที่บ้านนะ ไม่ต้องมายุ่งในห้องของฉัน”
“ค่ะคุณหนู”
บิวตี้เดินเข้าบ้านไป
พรพูดเบาๆ กับป้าจัน “มาถึงก็โดนดุเลย”
ธีภพยืนอยู่ตรงระเบียงห้องนอน มองหานกบิวตี้ ผิวปากเรียก เติมข้าวในบ้านนก แล้วผิวปากเรียกอีก สีหน้ากังวล
ภาวินีเปิดประตูออกมาหาลูกชาย
“เรียกเจ้าตัวเล็กหรือลูก”
ธีภพห่วง “ครับ หายไปหลายวันแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เจ้าของคงจับขังกรงแล้วมั้ง”
“บินไปทั่วขนาดนี้ คงไม่มีเจ้าของหรอกครับ”
“นกฉลาดขนาดนี้ แม่ว่าต้องมีคนฝึกล่ะจ้ะ ตอนนี้คงหาเจ้าของเจอแล้ว”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะครับ” ธีภพมองหาอย่างกังวล
“ไปทานข้าวเถอะจ้ะ ถ้าเขามาก็คงรออยู่ที่บ้านนกนี่แหละ”
ธีภพโอบเอวแม่ออกไป
ขณะเดียวกัน เครือวรรณดูดีวีดีสอนโยคะ แล้วหัดโยคะตาม ในห้องออกกำลังในคฤหาสน์ อรวิภายกถาดน้ำชาเข้ามาให้ สีหน้ากังวลใจ
“หม่าม้าขา ทำไมป๊าต้องให้พี่เจตน์ไปกับเราด้วยคะ น้องอรกลัวพี่ธีจะเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดยังไง ป่าป๊าหม่าม้า ก็ไปด้วย”
“แต่ป๊าไม่เคยชวนพี่ธีเลยนะคะ” อรวิภาตัดพ้อ
เครือวรรณพูดด้วยเสียงประชด “ก็คุณธีเขาไม่เคยว่าง”
“พี่ธีทำงานหนักนี่คะ”
“ป่าป๊าก็ทำงานหนัก แต่ป่าป๊ามีเวลาให้น้องอรกับหม่าม้าตลอด เพราะป่าป๊ารักน้องอรก็หม่าม้าไง”
อรวิภาน้อยใจขึ้นมา ปากคอสั่น น้ำตาจะไหล “หมายความว่า พี่ธี...ไม่รักน้องอรหรือคะ”
“ไม่ใช้จ้ะ เขาอาจจะรักนะ แต่ไม่แสดงออก เราก็ต้องคอยกระตุ้นหน่อยสิ”
“กระตุ้น ยังไงคะ” สาวโลกสวยตามไม่ทัน
“ก็ให้เขารู้มั่งว่าถ้ามัวเฉยอยู่ จะโดนคู่แข่งแซงไงจ๊ะ”
“จะดีเหรอคะหม่าม้า น้องอรไม่อยากทำแบบนี้เลยค่ะ”
“น้องอรเป็นลูกห้างฟอลคอนนะ คำขวัญของห้างเราว่าไงจ๊ะ”
“เลือกสรร สิ่งที่ดีที่สุด”
“ป่าป๊า หม่าม้าจะเลือกที่ดีที่สุดให้น้องอรเอง ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ” เครือวรรณหันไปเล่นโยคะต่อ
อรวิภายังดูอึดอัดไม่สบายใจ
คืนนั้น นกบิวตี้เกาะกิ่งไม้อยู่ ท่าเดียวกับบิวตี้คนนั่งบนกิ่งไม้ สอดตาดูนักท่องเที่ยวเดินเล่นริมหาดยามค่ำ คนที่มาเที่ยว เดินเป็นคู่เดินโอบ คลอเคลียกัน ดูสวีท
“หมดกัน ชีวิตยามราตรีของฉัน ต้องมาเป็นนกแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะหารักแท้ได้ เฮ้อ...”
เด็กชายชาวบ้านละแวกนั้น 2 คน ท่าทางแสบสุดๆ ถือหนังสะติ๊ก หาเป้าซ้อมมือ
“เฮ้ย นั่น นก” เด็กชาย 1ชี้ที่นกบิวตี้
เด็กชาย 2 บอก “เงียบๆ เดี๋ยวมันรู้ตัว”
เด็กชายทั้งสองย่องเข้ามาใกล้ต้นไม้ที่บิวตี้อยู่ แล้วค่อยๆ เล็ง ยิง
กระสุนดิน พุ่งเข้าที่แขนบิวตี้อย่างแรง
“โอ๊ย อะไรกันเนี่ย” บิวตี้มองเห็นเด็กกำลังยิง “ไอ้เด็กบ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
บิวตี้โยกตัวหลบกระสุน เสียงกระสุนดังเฟี้ยว ฟ้าว น่ากลัวราวขีปนาวุธ
บิวตี้หลบไปตะโกนไป “หยุดนะฉันเป็นคน พวกแกกำลังจะฆ่าคน ได้ยินมั้ย”
คืนเดียวกัน ธีภพคอยมองที่หน้าต่างไปว่านกบิวตี้ผินผ่านมาหรือไม่
ธนาถามขึ้น “บิวตี้ฝึกงานเป็นอย่างไรบ้าง”
“ฝึกที่โกดังพอแล้วครับ ผมกำลังให้ฝึกงานขาย”
ภาวินียิ้ม “คนมีโลกส่วนตัวสูงอย่างบิวตี้ แค่ยอมฝึกงานแม่ก็ทึ่งแล้วจ้ะ”
“แต่ไปที่ร้านได้แค่ครึ่งวัน ก่อเรื่องวุ่นจนโดนผู้จัดการร้านไล่ออก ผมต้องแก้ไขแทบแย่”
“ทำไมให้ฝึกหน้าร้านล่ะ บิวตี้เขาเป็นเซเลบ มีแต่คนรู้จัก จะได้ผลหรือ” ธนาท้วง
“นั่นสิจ๊ะ เดี๋ยวนักข่าวแห่กันมา จะฝึกได้ไง”
“ก็คิดอยู่ครับ ผมเลยให้ไปที่หัวหิน แล้วก็ให้ปลอมตัว นิดหน่อย”
ภาวินีหัวเราะ “แหม อยากเห็นจัง”
“ผมว่าจะไปตรวจงานพรุ่งนี้ แม่ไปไหมล่ะครับ”
“อย่าดีกว่า เดี๋ยวแม่เผลอไปหัวเราะจะเสียเรื่อง”
“ฝึกงานมาหลายวันแล้วนี่ ท่าทางจะเอาจริงแล้วสิ” ธนาว่า
“ไม่แน่หรอกครับพ่อ วันนี้ก็ทำเรื่องเยอะแยะ แถมยังหนีกลับก่อนเวลา บางทีพรุ่งนี้อาจจะขอเลิก”
ธนาครุ่นคิด “ไม่หรอก เด็กคนนี้มีอะไรมากกว่าที่เราคิด”
ธีภพเครียด ลึกๆ ก็หวังให้เป็นอย่างที่บิดาพูด
ฟากนกบิวตี้บินเข้ามาในห้อง สภาพนกบิวตี้ในคราบคนชอกช้ำยับเยิน จากการโดนระดมยิง เนื้อตัวช้ำเป็นจ้ำๆ
“โอ้ย ไอ้เด็กใจร้าย คอยดู ฉันจะแจ้งความ จับพวกแกทุกคน”
บิวตี้แตะแผล พบว่าที่บางจุดมีเลือดออก
“ทำไมต้องรังแกกันด้วย ถึงฉันจะเป็นนก แต่ก็มีชีวิตจิตใจนะ” บิวตี้ถอนสะอื้น “นกที่พวกแกยิง อาจจะเป็นญาติพี่น้องที่ถูกสาปเหมือนฉันก็ได้”
บิวตี้สะอึกสะอื้น เจ็บปวดแผล
“ทายาก็ไม่ได้ ไปโรงพยาบาลก็ไม่ได้ อยากเห็นฉันตายนักใช่ไหม เอาเลยแม่มด มาเอาชีวิตฉันไปเลย” บิวตี้ร้องโฮ ด้วยความเจ็บทั้งกายและใจ
ณ แดนสรวงยามนี้ นางฟ้าลลิตาร่ำไห้ด้วยความสงสารลูกที่กำลังเจ็บปวด จะช่วยก็ช่วยไม่ได้ ทำได้แต่สัมผัสที่จอภาพฉายเหมือนจะปลอบโยน
“ทำไมลูกจะต้องมาเจ็บปวดในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้” นางฟ้าหันไปหาเทวี วิงวอน “เทวีโปรดเมตตา”
ปรมะเทวีห่วงอยู่เหมือนกัน แต่ทำได้แค่ปลอบ “นางไม่เป็นอะไรมากหรอก เพียงตกใจเท่านั้น ก้อนหินอาจทำร้ายนกถึงชีวิต แต่นางเป็นมนุษย์ จึงเพียงแค่ฟกช้ำ”
นางฟ้าลลิตาโผเข้ากอดขาเทวี “พอเถิดท่าน ถอนมนตราเถิด อย่าให้นางเป็นนกอีกเลย”
“ข้าพเจ้าทำไม่ได้”
ปรมะเทวีเองก็รู้สึกผิดเช่นกัน แต่ยังไม่รู้จะช่วยอย่างไร
อ่านต่อตอนที่ 9