xs
xsm
sm
md
lg

อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 37 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 37 อวสาน

คืนนั้น พอกลับถึงบ้านสาเอาแต่นอนนิ่ง น้ำตาริน ใจสว่างคอยดูแลปลอบโยนอยู่ข้างๆ

“ป้าผิดมากไหม หนูใจ”
“คุณป้าไม่เห็นผิดตรงไหนเลยนี่คะ”
“ป้าทำให้คุณชายต้องอับอาย ป้าทำร้ายคุณชาย เหมือนที่ป้าทำร้ายโสภิต”
“เรื่องที่ผ่านมา คุณป้าไม่ได้ตั้งใจ...อย่าคิดมากเลยค่ะ อาจารย์เป็นคนดีมีเมตตา หนูเชื่อ ว่าเธอต้องเข้าใจ เธอต้องไม่โกรธคุณป้า”

หลายวันต่อมา ในตอนกลางวันวันนี้ ชายรวีออกจากโรงพยาบาล เดินเข้าบ้าน มีหญิงจ้อยกับหวนคอยดูแล
“เดินระวังค่ะ คุณชาย”
ชายรวีบอกขรึมๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เจ็บแล้ว”
หม่อมพริ้มยืนดูอยู่ที่ระเบียงด้านบน เห็นชายรวีเดินเข้ามา เลยเดินหลบเข้าห้อง ไม่ให้เห็น

ต่อมาไม่นาน หม่อมพริ้มนั่งอยู่ในห้อง ชายรวีเข้ามากราบ อาการยังเจ็บนิดๆ หม่อมพริ้มรีบเข้าประคอง ชายรวีจับมือหม่อมพริ้มไว้
“หม่อมแม่โกรธผมหรือครับ”
“แม่ต่างหาก ที่ต้องถาม ว่าชายโกรธแม่ไหม...ที่ไม่บอกว่าชายเป็นลูกใคร”
“หม่อมแม่เป็นคนดี ผมทราบว่าหม่อมแม่ต้องมีเหตุผล”
“ที่พรากแม่พรากลูกเขาน่ะหรือ” หม่อมประชดอยู่ในที
“ถ้าหม่อมแม่ทิ้งผมไว้กับ...แม่อุษาผมอาจจะไม่ได้โตมาเป็นอย่างนี้” คุณชายยิ้ม “ใครจะทราบ ผมอาจจะเป็นนักเลงคุมบาร์ หรืออะไรไปแล้วผมต้องรักหม่อมแม่มากขึ้นกว่าเดินด้วยซ้ำ ที่รักผม เลี้ยงผม จนได้ดีมาถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่ลูกในไส้”
หม่อมพริ้มรู้สึกโล่งอก
“ชายไม่โกรธแม่ แม่ก็ดีใจ...เออ แล้วเรื่องแต่งงานของชายน่ะ จะว่ายังไง ชายได้คุยกับทางบ้านโน้นเขาหรือยัง”
ชายรวีหน้าเครียดลงไปถนัดตา

ด้านสันทนาผลักศิวพจน์ลงกับพื้นกลางห้อง แหววจะโผเข้าหา แต่เฉิดฉวีจับเอาไว้
“พ่อเอามันมาให้ลูกดู เพื่อเป็นการยืนยันว่า พ่อไม่ได้ทำอะไรมัน”
แหววเป็นห่วง “จริงเหรอคะ พจน์”
“พ่อคุณให้คนเอาผมไปขังไว้ แล้วบอกว่า ถ้าคุณหรือไอ้คุณชายนั่นเป็นอะไรไป ท่านจะจับผมยิงเป้า”
แหววหันขวับมองหน้าสันทนา สันทนายิ้ม
“แต่พ่อก็ไม่ได้ทำ...เอาล่ะ ลูกได้เห็นหน้ามันแล้ว” สันทนาหันมาบอกกับศิวพจน์ “แกก็ออกไปได้”
“ไม่ค่ะ” แหววสะบัดหลุด แล้ววิ่งไปหาศิวพจน์ กอดกันไว้
เฉิดฉวีอ่อนใจ “ยัยแหวว”
“ให้ผมกับแหววคบกันเถอะครับ คุณพ่อ”
สันทนาหันมาทางลูกสาว “มันเป็นคนเจ้าชู้ เสเพล กินเหล้าเมายา”
แหววสวนทันควัน “คุณพ่อก็เป็น”
สันทนาสะอึก แต่สวนกลับ “แต่พ่อมีเงิน!”
“แหววก็มี” สันทนาสะอึก “แหววเป็นลูกคนเดียว เงินคุณพ่อก็เหมือนเงินแหววทีคุณพ่อยังเอาเงินไปเลี้ยงผู้หญิงได้ ทำไมแหววจะเลี้ยงผู้ชายไม่ได้ ถ้าเขาทำให้แหววมีความสุข”
สันทนาอึ้ง เฉิดฉวีหัวเราะเยาะเย้ยถากถาง
“โอ๊ย เป็นไงล่ะ ลูกสาวเจริญรอยตามพ่อเข้าให้ สะใจไหมคะ คุณพี่”
สันทนาบอกกับแหวว “แต่แกแต่งงานแล้ว”
เฉิดฉวีแทรกขึ้นมา “ยัยแหววจะหย่าค่ะ เฉิดไม่ยอมให้ยัยแหวว แต่งงานกับลูกขี้ข้า ที่มีแม่ เป็นเมียน้อยพ่อตาตัวเองหรอกค่ะ ขยะแขยง”
“น้องพูดเอาแต่ได้ แล้วเงินที่เสียไปล่ะ เงินตั้งหลายล้านที่ลงไปกับวังรวีวารถ้ายัยแหววหย่ากับชายรวี ก็เท่ากับเสียไปเปล่าๆ”
“ก็ไปเอาคืนมาสิคะ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างผิด การแต่งงานก็ถือว่าเป็นโมฆะ คุณชายก็ต้องคืนเงินกับวังรวีวารมา...ลูกของนังอุษา แม้แต่บาทเดียวเฉิดก็ไม่อยากให้มันได้ไป”

คุณหญิงบ่าวตั้งบอกอย่างรังเกียจและแค้นเคืองไม่หาย

เย็นนั้น ชายรวีวางสายโทรศัพท์ลง แล้วเดินหน้าขรึมมาบอกหม่อมพริ้ม

“ท่านนายพลสันทนาจะมาที่บ้านเราครับ”
“มาทำไม”
“เขาจะมาเจรจา เรื่องการแต่งงานครับ”
ชายรวีตอบนิ่งๆ ท่าทางไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

นายพลสันทนามาตามนัด ทั้งสามนั่งอยู่ที่ชุดรับแขก สันทนาบอกชายรวี
“คุณชายจะเอายังไง”
“ผมจดทะเบียนสมรสกับคุณแหววไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย แต่ถ้าหากคุณแหววต้องการหย่า เพราะมีคนรักอยู่แล้วผมก็ยินดี”
“แล้วถ้าทางผมไม่ยอมให้หย่า”
“ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะความจริง ผมทราบตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนแล้ว ว่าคุณแหววตั้งครรภ์ แต่ในเมื่อผมรับปากว่าจะแต่งงานกับเธอผมก็จะทำ”
สันทนาทึ่ง “แต่งงานตามหน้าที่งั้นหรือ”
“มันก็เป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายพึงกระทำไม่ใช่หรือครับ รักษาคำพูดของตัวเอง”
“แปลว่าคุณชายไม่ต้องการหย่า”
“ผมคิดว่าคนที่คุณสันทนาควรถาม น่าจะเป็นคุณแหววมากกว่า เพราะเธอคงไม่มีความสุข ถ้าหากต้องอยู่กับผม คุณหญิงเฉิดฉวีเองก็คงไม่ต้องการ ให้ผมไปเกี่ยวข้องกับเธอ”
“ก็จริงของคุณชาย...แต่บอกก่อนนะ หากหย่ากัน คุณชายก็จะหมดสิทธิ์ในวังรวีวาร”
หม่อมพริ้มที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เสริมขึ้น
“วังรวีวารมันเป็นแค่ของนอกกาย” หม่อมพูดกับชายรวี “แม่ยอมที่จะเสียมันไป เพื่อแลกกับความสุขของชาย”
สันทนามองสองแม่ลูกอย่างชื่นชม นับถือ
“ผมไม่สงสัยเลย ว่าทำไมคุณชายรวีถึงได้เป็นคนอย่างนี้ เพราะมีคนเลี้ยงดูที่ดีอย่างหม่อมนี่เอง” สันทนาลุกขึ้นยืน “เอาละ ถือว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นอันยกเลิก ถึงแม้ผมจะเสียดาย ที่ยัยแหววจะไม่ได้สามีที่ดีอย่างคุณชาย”
ชายรวีกับหม่อมพริ้มลุกขึ้น หม่อมนึกได้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ท่านนายพล...ถึงแม้ชายรวีจะไม่แต่งงานกับลูกสาวของคุณแล้ว แต่เรื่องโสภิตพิไล คุณยังจะช่วยโสภิตพิไลอยู่ไหม”
“ไม่ต้องห่วงครับหม่อม...ผมก็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ผมต้องรักษาคำพูดของผมเหมือนกัน”
สันทนายื่นมือไปให้ชายรวีจับ สัญญากัน หม่อมพริ้มยิ้ม ดีใจ

โสภิตพิไลนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือด ตาโรย ดูอ่อนแรง ด้วยอดข้าวมาหนึ่งวันแล้ว
น้อยยกถาดอาหารเข้ามา วางที่ข้างเตียงโสภิตพิไลพูดเสียงเนือยๆ แบบคนไม่มีแรง ไม่มองหน้า
“เอาออกไป”
“คุณต้องกินบ้างนะ”
โสภิตพิไลนิ่ง ไม่มอง น้อยสำทับ
“นี่เข้าวันที่สองแล้วนะ ที่คุณไม่กินอะไรเลย ใจคอจะอดข้าวตายหรือไง”
โสภิตพิไลหน้าเศร้า “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่”
น้อยไม่เห็นใจ ทำหน้าที่ต่อไป
“ไม่อยู่ไม่ได้หรอก คุณเป็นของท่าน ท่านให้อยู่ก็ต้องอยู่”
โสภิตพิไลหันมองมายังน้อย พูดเศร้าๆ แต่แววตาเด็ดเดี่ยว “ฉันไม่ใช่ของ-ของใคร ฉันเป็นคนชีวิตฉันเป็นของฉัน ใครก็บังคับฉันไม่ได้”
โสภิตพิไลรวบรวมกำลังเอามือปัดถาดข้าวสุดแรง ถ้วยจานที่ใส่อาหารมาตกแตกกระจายที่พื้น
“ออกไป!”

น้อยมองโสภิตพิไลอย่างโกรธเคือง ก้มลงเก็บเศษจานชามลวกๆ แล้วปึงปังออกไป

น้อยเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาหน้าห้อง สวนกับทหารวิ่งขึ้นมาดู

“ผมได้ยินเสียงดัง มีอะไรหรือเปล่า”
“จะมีอะไร ก็แผลงฤทธิ์เหมือนทุกวันนั่นแหละ” น้องจงใจพูดกะให้ได้ยินไปถึงในห้อง “บอกท่านด้วยนะ ส่งใครมาจัดการแม่คนนี้ทีเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว”

โสภิตพิไลลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงนั้น มองไปรอบตัวอย่างขมขื่น
“ดี จัดการฉันเสียที ฉันก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
โสภิตพิไลมองไป เห็นเศษชามกระเบื้องชิ้นใหญ่ที่แตกตกอยู่บนพื้นห้อง รอยแตกที่ดูแหลมคมของมันกระทบกับแสง ดูมีพลังดึงดูดอย่างประหลาด

โสภิตพิไลเดินลงจากเตียง โซเซไป แล้วนั่งลงกับพื้น หยิบเศษกระเบื้องมาดู
“ถ้าไม่เป็นเมียน้อย ก็ต้องฆ่าตัวตาย...ผู้หญิงของรวีวาร ไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือไง”
โสภิตพิไลยิ้มหยัน แล้วค่อยๆ จรดเศษกระเบื้องลงที่เส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือ หลับตา กลั้นใจกดลงไป
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดออกปัง!
โสภิตพิไลลืมตาด้วยความตกใจ เห็นสันทนากับสาจ้องมาที่ตัวเอง
“โสภิต” สองคนอุทานลั่น
โสภิตพิไลหมดแรงร่วงผล็อยลง เศษกระเบื้องหล่นจากมือ สาถลาเข้ามาหา กอดโสภิตพิไล
“โสภิต ทำไมทำอย่างนี้ ทำไม”

สาพันแผลที่ข้อมือให้โสภิตพิไลเรียบร้อย โสภิตพิไลนั่งเอนๆ อยู่ หน้าตายังซีดเซียว น่าสงสาร
สาพูดเสียงอ่อนโยน “ทำไมคิดสั้นอย่างนี้ โสภิต ถ้าหนูเป็นอะไรไปแล้ว ป้าจะอยู่ยังไง”
โสภิตพิไลมองสา สายตาตัดพ้อ น้ำเสียงห่างเหิน
“ทำไมเรียกตัวเองว่าป้า ทั้งๆ ที่เป็นแม่”
สากลัวๆ “หนูยอมรับหรือจ๊ะ”
“รับหรือไม่รับ มันจะเปลี่ยนอะไรได้ แม่ก็คือแม่ จะชอบหรือไม่ชอบ หนูก็ต้องอยู่กับความจริง”
สาสะอึก ไปไม่เป็น มองสันทนาที่นั่งฟังอยู่มุมห้องอย่างคนนอก เหมือนจะหาตัวช่วย สันทนาลุกเดินมาพูดกับโสภิตพิไล
“คุณสาเขาเสียใจมาก ที่ทำให้เธอผิดหวัง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เค้ายอมทำทุกอย่าง เพื่อที่จะช่วยเธอ”
“อย่างเช่น ยอมเป็นเมียน้อยของท่าน” น้ำเสียงโสภิตพิไลขมขื่น แต่ไม่เกรี้ยวกราด
“โสภิต... แม่ เอ่อ...” เห็นสายตาของโสภิต เลยเปลี่ยนใจ “ป้าเสียใจนะ ที่ป้าไม่ได้บอกความจริงกับหนูตั้งแต่เล็ก แต่ทุกอย่างมันเกิดจากความหวังดีป้าอยากให้หนูมีแม่ที่ดี อย่างคุณหญิง ไม่อยากให้ต้องอับอายว่ามีแม่เป็นคนหากินกลางคืนอย่างป้า...ป้าไม่คิดว่า เราจะได้มาเจอกับพวกรวีวารอีกป้าไม่คิดว่าหนูจะได้มาเจอกับคุณชิษณุ...”
“พอเถอะค่ะ หนูเข้าใจ...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับหนู จนถึงวันนี้ โทษใครไม่ได้หรอกนอกจากโชคชะตา”
สันทนาหัวเราะ “งั้นเรอะ...แต่ฉันกลับคิดว่า คนเรา เปลี่ยนโชคชะตาได้”
โสภิตพิไลมองสันทนาอย่างแปลกใจ สันทนาหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นขวดแก้วสีน้ำตาล ยิ้มร้าย

ที่แท้สันทนากับสาวางแผนมาหลอกเอาตัวโสภิตพิไลออกไป
 
อ่านต่อหน้า 2

อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 37 อวสาน (ต่อ)

จู่ๆ มีเสียงสาร้องไห้ฟูมฟายโวยวายดังลั่นบ้าน

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
น้อยกับทหารวิ่งเข้ามา เห็นสันทนาประคองร่างของโสภิตพิไลที่อ่อนปวกเปียก ที่พื้นห้องมีเม็ดยาสีขาวกระจายเกลื่อน
น้อยตกใจ “เกิดอะไรขึ้นคะ”
สันทนาบอก “โสภิตกินยาตาย”
สันทนาอุ้มโสภิตพิไลขึ้นมา สั่งทหาร
“ช่วยกันหน่อย ไอ้น้อง พี่จะเอาไปล้างท้อง เผื่อจะทัน”
“ครับ”
สันทนากับทหารช่วยกันประคองร่างอ่อนปวกเปียกของโสภิตพิไลไป คนอื่นๆ ตามไป สาเอะอะโวยวายไปตามแผน

สันทนากับทหารพาโสภิตพิไลมาถึงข้างล่าง ก็พบกับทหารคนสนิทของท่าน เดินขึงขังเข้ามาพร้อมทหารติดตามที่มีอาวุธครบมือ ทุกคนหน้าตาขึงขัง
“ท่านสันทนาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” นายทหารคนสนิทของท่านว่า
สันทนาชะงัก นึกว่าแผนแตกแต่พยายามทำนิ่งๆ
“มีอะไร”
“ท่านสั่งให้ผมมาเอาตัวท่านไปเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ย ไม่ได้ พี่กำลังจะเอาเด็กท่านไปหาหมอ” สั่งทหารที่ช่วยอุ้มโสภิตพิไล “เอาไปขึ้นรถอั๊วซีวะ จะรออะไร คุณโสภิตเป็นอะไรขึ้นมาพวกลื้อได้หัวขาดกันหมด ไป”
สันทนากับสาจะพากันหนีออกไป นายทหารคนสนิทขวางไว้
“เดี๋ยวผมจัดการให้แทนครับ ท่านสันทนาต้องไปหาท่านเดี๋ยวนี้”
สันทนามองหน้าสา สาส่ายหน้า
“ไปครับ ท่าน” ทหารคนสนิทสั่งลูกน้องตัวเอง “พวกลื้อเอาคุณโสภิตไปโรงพยาบาล”
ทหารทั้งหมดกรูเข้ามา โสภิตพิไลกลัวจนลืมตัว สะบัดหนี สาพุ่งเข้ากอดโสภิตพิไลไว้อย่างปกป้อง
น้อยตกใจ “อ้าว หายแล้วนี่”
ทุกคนมองอย่างสงสัย สันทนาตัดสินใจเล่นไม้แข็ง
“อั๊วจะพาคุณโสภิตพิไลไปหาท่าน พวกลื้อถอยไป มีอะไรอั๊วรับผิดชอบเอง”
“ไปไม่ได้ครับ” สันทนาอึ้ง นึกว่าจะมีเรื่อง “ตอนนี้อาการของท่านเข้าขั้นโคม่าผมได้รับคำสั่งให้มาตามท่านนายพลสันทนาไปฟังคำสั่งเสียของท่านเป็นครั้งสุดท้ายครับ”
สันทนาตะลึง นึกไม่ถึง “หมายความว่า...ท่านกำลังจะ...ตาย”
ทหารคนสนิทรับ “ครับ”
สากับโสภิตพิไลกอดกัน โล่งใจ สามองสันทนาแววตาเต็มไปด้วยความขอบคุณ

หลายวันต่อมา หวน จวน พุด ช่วยกันขนหีบข้าวของ ลัง มาวางเรียงไว้ที่หน้าตำหนักขาว ทุกคนหน้าตาสดใส หญิงจ้อยใส่ชุดลำลองสดใส เดินมาเห็น
“น้าจวน หวน ใจเย็นๆ ขนอะไรไปเยอะแยะ เนี่ย”
“น้าจวนแกให้ขนไปหมดทุกอย่างเลยค่ะ บอกให้ทยอยขนทีละนิดๆ ก็ไม่ยอม” หวนว่า
“คนมันเห่อก็อย่างนี้ล่ะค่ะ” พุดเหน็บ
“โธ่ ใครมันไม่เห่อบ้างล่ะ...อย่ามาว่าแต่ข้า นังหวนโน่นแน่ะ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าตั้งแต่เมื่อคืน”
“อย่าว่าแต่หวน ฉันเองก็ดีใจ เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย พอรู้ว่าจะได้กลับไปบ้าน”
คุณหญิงจ้อยพูดคำว่า บ้าน ด้วยเสียงอบอุ่น มีความสุข

หม่อมพริ้มเองก็หน้าตาตื่นเต้นพูดย้ำกับชายรวี
“นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ชาย เราจะได้กลับไปวังรวีวาร”
“จริงครับ หม่อมแม่”
“ไม่นึกไม่ฝันจริงๆ”
“ผมก็คิดไม่ถึง ว่านายพลสันทนาจะยอมยกวังรวีวารคืนมาให้เราง่ายๆ”
“เขาบอกชายหรือเปล่า ว่าเพราะอะไร”
ชายรวียิ้ม เล่าเรื่องราวให้หม่อมฟัง

วันนั้นสันทนาบอกกับชายรวี
“ผมมาคิดดูแล้ว...ไม่มีใครคู่ควรกับวังรวีวาร เท่ากับหม่อมแม่ของคุณชายในเมื่อผมเองก็ไม่ได้ต้องการมัน ผมเลยตัดสินใจ ยกวังรวีวารคืนให้ ขอให้วังรวีวารได้กลับไปสู่เจ้าของที่แท้จริงของมัน”
ขณะพูดนายพลสันทนามองไปที่รูปหมู่ครอบครัวรวีวาร

วังรวีวารตระหง่านงดงามอยู่เบื้องหน้า ชายรวีและหญิงจ้อยประคองหม่อมพริ้มเดินเข้ามาในถนนหน้าตำหนักใหญ่ สามแม่ลูกยืนมองวังรวีวาร แววตาหม่อมพริ้มปลาบปลื้ม ตื้นตัน
หวน จวน พุด ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็มีอาการเดียวกัน ดีใจที่ได้กลับมาที่นี่
“เข้าบ้านกันนะคะ หม่อมแม่”
“จ้ะ”

หญิงจ้อยกับชายรวีประคองหม่อมพริ้มค่อยๆ เดินเข้าตำหนักไป

หม่อมพริ้มเข้าไปในห้องโถง เห็นชุดโซฟารับแขกคล้ายๆ ชุดเดิมตั้งอยู่ที่เก่า หญิงโศภี หญิงศุภลักษณ์ และหญิงจิ๋ม นั่งรออยู่แล้ว ทุกคนหันมาต้อนรับ

“หม่อมแม่” หญิงใหญ่ยิ้มทัก
ทั้งสามลุกขึ้นมาไหว้หม่อมพริ้ม แล้วล้อมหน้าล้อมหลัง ประคองไปนั่งเป็นประธานที่โซฟา แล้วคุณหญิงทั้งสี่ก็ลงนั่งโดยรอบ ชายรวีอยู่ห่างออกไป
หม่อมพริ้มนั่งกวาดสายตามองไปรอบตัว ห้องโถงตกแต่งจนเกือบเหมือนสมัยก่อนที่เคยอยู่ หม่อมพริ้มมองอย่างปลาบปลื้ม ลูกๆ ผลัดกันถาม
“ชอบไหมคะ หม่อมแม่” หญิงจิ๋มถาม
“พวกเราช่วยกันจัดให้ทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนสมัยที่เราเคยอยู่กันถูกใจหม่อมแม่ไหมคะ” หญิงรองถาม
หม่อมพริ้มน้ำตาซึมๆ “จ้ะ” พลางมองลูกๆ อย่างตื้นตัน “ขอบใจมากนะ ทุกคน ขอบใจ”
“วังใหญ่โต อยู่กันไม่กี่คน หญิงกลัวหม่อมแม่จะเหงา พวกเราเลยตกลงกันว่าคืนนี้ จะมาค้างคืนเป็นเพื่อนหม่อมแม่ค่ะ” หญิงรองบอกอีก
“ดีจริง จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนวันเก่าๆ”
ชายรวีนั่งมอง ยิ้มสุขใจ หม่อมพริ้มเรียก
“ชาย มานี่หน่อย”
ชายรวีเข้าไปนั่งข้างๆ
“ครับ หม่อมแม่”
“แม่ขอบใจนะ ที่ในที่สุด ชายก็พาแม่กลับมาที่วังรวีวารจนได้”
ประมุขรวีวารดึงชายรวีมากอด มีความสุขมากเหลื่อเกิน

ชายรวีกับคุณหญิงทั้งสี่นั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะน้ำชา
หญิงจ้อยถามหญิงศุภลักษณ์ “ตานุเป็นยังไงบ้างคะ พี่หญิงรอง”
“ก็สบายดีจ้ะ เห็นบอกว่า อีกไม่นาน ก็จะมีหลานให้พี่อุ้มแล้ว”
“เออ ทันใจดีจริง หญิงจิ๋มล่ะ เมื่อไหร่จะมีลูก...หลานแซงหน้าไปแล้วนะ” หญิงใหญ่ว่า
“เชิญเถอะค่ะ หญิงยังไม่พร้อม”
หญิงศุภลักษณ์เปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ดีจัง เราพี่น้องไม่ได้นั่งกินน้ำชากันพร้อมหน้าแบบนี้นานแล้วนะ”
“ยังไม่พร้อมซะทีเดียวหรอกค่ะ ยังขาดคนนึง” หญิงจ้อยว่า
คนอื่นทำหน้างง ชายรวีรีบเสริม
“ขาดน้องสาวคนเล็กของเราไงครับ หม่อมราชวงศ์หญิงโสภิตพิไล รวีวาร”
“จริงซี แล้วตอนนี้โสภิตอยู่ที่ไหน” หญิงรองถามขึ้น
“พอออกจากบ้านท่านแล้ว โสภิตก็กลับไปหลบอยู่ที่บ้านสวนยายแป้นครับเดี๋ยวสักครู่ ก็คงจะมีคนพามา”
ชายรวียิ้มสดใส ตาเป็นประกาย เมื่อคิดถึงคนที่จะพาโสภิตพิไลมา

ขณะเดียวกันใจสว่างเดินเข้ามากับโสภิตพิไล ใจสว่างสดใสร่าเริงตามปกติ
“โอ้โห นี่หรือวังรวีวาร...สวยจังเลยนะคะ พี่โสภิต”
“จ้ะ” โสภิตพิไลมองอย่างชื่นชม “สวยมาก”
“พี่โสภิตไม่เคยมาที่นี่เลยใช่ไหมคะ”
“จ้ะ นี่เป็นครั้งแรก พี่ก็ตื่นเต้นเหมือนกันกับใจนั่นแหละ”
ใจสว่างหันมา เห็นชายรวีเดินมาพอดี หันไปไหว้
“อุ๊ย อาจารย์มาพอดี...สวัสดีค่ะ”
ชายรวีรับไหว้ “ขอบใจนะ ที่มาเป็นเพื่อนโสภิต”
“ยินดีมากเลยค่ะ หนูอยากเห็นวังรวีวารอยู่แล้ว”
ชายรวียิ้มเอ็นดู “เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วผมจะนำชมให้ทั่ว แต่ตอนนี้ คงต้องขอตัวโสภิตไปก่อน” คุณชายหันมาทางน้องสาว “หม่อมแม่รอเธออยู่ข้างในแน่ะ”

หม่อมพริ้มพูดกับโสภิตพิไลด้วยน้ำเสียงเมตตา
“เรื่องร้ายๆ ก็ผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้ไป ก็มาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่เถอะ อย่างไรเสียเธอก็เป็นรวีวารคนนึงเหมือนกัน”
“ค่ะ...เอ่อ” โสภิตพิไลลังเล ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกหม่อมพริ้มว่ายังไงดี
“เรียกฉันว่าหม่อมแม่เหมือนชายรวีก็ได้”
“ค่ะ หม่อมแม่”
“แล้วหลังจากวันนั้น ได้คุยกับแม่อุษาของเธอบ้างหรือเปล่า”
“ก็คุยบ้างค่ะ หนูก็พอจะทำใจได้แล้ว ความจริง ที่ผ่านมาเขาก็รักหนูมาก เพียงแต่ว่าเขาชอบ...”โสภิตพิไลไม่อยากพูด “ช่างเถอะค่ะ หนูทำใจได้แล้ว”
“ดีแล้ว ยังไงเขาก็เป็นแม่ เราเป็นลูกก็ต้องเข้าใจเขา ให้อภัยเขา...สามันก็เป็นของมันอย่างนั้นตั้งแต่สาว คงจะเป็นกรรมเก่าของมันกระมัง”

หม่อมพริ้มนึกถึงสาอย่างเอือมระอา

ค่ำคืนหนึ่ง สันทนากับสาอยู่ด้วยกันบนเตียงในรังรักห้องพักเดิมที่โรงแรม ต่างนอนมองเพดาน
“ฉันเบื่อชีวิตแบบนี้เต็มที”
“ผมก็เหมือนกัน”
“แล้วทำไมคุณต้องมาอยู่กับฉันล่ะคะ ทำไมคุณไม่กลับไปอยู่กับลูกเมียคุณ”
“นั่นยิ่งน่าเบื่อใหญ่”
“คุณไม่รักคุณหญิงเฉิดฉวีแล้วหรือคะ”
“รักสิ ก็รักแบบผัวเมียกันนั่นแหละ...แต่ยิ่งวันเฉิดเค้ายิ่งหึงหวงจนน่าเบื่อ จนผมไม่อยากอยู่ใกล้”
“แล้วทำไมไม่เลิกกันล่ะคะ ฉันจะได้อยู่กับคุณอย่างเปิดเผย เราจะได้ไม่ต้องมาพบกันในโรงแรมแบบนี้”
สันทนาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปกินน้ำ สาอ้อน
“ใจคอเราจะอยู่อย่างนี้กันไปจนแก่จนเฒ่าเลยหรือคะคุณสันทนา”
“ไม่หรอกคุณอุษา” สันทนาหันมากอดสา “ผมคิดดูแล้ว ผมจะหาบ้านเล็กๆ ให้คุณซักหลังเราจะอยู่ด้วยกันที่นั่น”
สาอึ้ง “บ้านเล็ก? เป็นเมียน้อยงั้นหรือคะ”
สันทนาเอาใจ “เป็นเมียที่ผมรัก แต่แต่งงานด้วยไม่ได้...บ้านเล็กบ้านใหญ่มันไม่สำคัญหรอก
น่ะ มันสำคัญที่ใจ...ว่าไง” นายพลโทเชยคางสาขึ้นถาม “ตกลงนะ”
สานิ่ง ชั่งใจ

เช้าวันนี้หม่อมพริ้มเอาโกศและรูปของท่านชายมาวางไว้ที่เดิมที่เคยวาง พูดกับภาพ
“หม่อมฉันดีใจ ที่วังรวีวารกลับมาเป็นของรวีวาร ต่อจากนี้ไป ถ้าจะตายก็ตายตาหลับแล้วเพคะ”
หม่อมพริ้มยิ้มบางๆ สุขใจ

ตอนสายหวนถือพานใส่พวงมาลัยสำหรับถวายพระ จวนถือแจกันดอกบัว คุยกันมาด้วย
จวนชะโงกดูมาลัย “ดู๊ สีมือร้อยมาลัยของเอ็งวันนี้ ดูไม่ได้เลย นังหวน”
“โอ้ย น้าจวน หูตามันก็มันก็ไม่ดีเหมือนเก่าแล้วนา อย่าว่าแต่ฉัน วันก่อนฉันเห็นน้าจัก” หวนหมายถึง สลัก “แตงกวา ดูได้ที่ไหน”
“เออ มันก็แก่ไปตามกันล่ะวะ นี่ข้ามาคิดๆ สงสัยจะต้องหาเด็กรุ่นๆ ซักคนมาคอยรับใช้ดูแลหม่อมท่าน”
หวนกับจวนเดินมา เห็นหม่อมพริ้มนอนนิ่งอยู่กับพื้น สองคนตกใจอุทานลั่น
“หม่อม”
ทั้งสองทิ้งของกระจาย วิ่งเข้าไปดูหม่อมพริ้ม

ไม่นานต่อมาชายรวี โสภิตพิไล คุณหญิงทั้งสี่ห้อมล้อมอยู่เต็มห้อง จ้อยพัด ศุภลักษณ์บีบนวดเท้า สีหน้าร้อนใจ โดยบนเตียง หม่อมพริ้มนอนนิ่งอยู่ค่อยๆ กระพริบตาตื่นขึ้น
“ฟื้นแล้ว! หม่อมแม่ฟื้นแล้ว” หญิงจ้อยร้องขึ้น
“หม่อมแม่ เป็นยังไงบ้างครับ”
หม่อมพริ้มรู้สึกตัวเต็มที่ มองไปรอบๆ เห็นลูกๆ หน้าสลอน
“นี่มามุงอะไรกัน”
หญิงศุภลักษณ์บอก “หม่อมแม่เป็นลมไปค่ะ หญิงให้คนไปตามหมอแล้ว เดี๋ยวคงมา”
หม่อมพริ้มส่ายหน้า “คนแก่เป็นลม จะตามหมอทำไม”
“ตรวจหน่อยเถอะค่ะ ทุกคนเป็นห่วงหม่อมแม่นะคะ”
หม่อมพริ้มโบกมือปฏิเสธ “วุ่นวาย เสียเวลาหมอเขาเปล่าๆ”
โสภิตพิไลยกน้ำชามาให้

“ชาอุ่นๆ ค่ะ จะได้สดชื่น”
หม่อมพริ้มรับมาจิบมองไปที่ลูกๆ ทุกคน ที่มองมาอย่างห่วงใย หม่อมชราถอนใจ ส่งถ้วยชาคืนให้โสภิตพิไลบอกกับทุกคน
“จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ แม่ไม่เป็นอะไรหรอก” หม่อมหันไปสั่งคุณหญิงโสภิตพิไล “โสภิตไปตามหวนมาไป ให้มันมาเฝ้าแม่”

หม่อมพริ้มนอนเอนๆ อยู่ หน้าตายังซีดเซียว หวนบีบนวดที่เท้า แล้วจู่ๆ หม่อมพริ้มก็เปรยขึ้น
“หวน”
“ขา หม่อม”
“ข้าอยากเจออีสา” หวนฟังอย่างตั้งใจ “มีเรื่องต้องพูดกับมัน เอ็งไปตามมันมาหาข้า”

บ่ายวันนั้น สาเดินเข้ามาพร้อมกับหวนและใจสว่างเมื่อมาถึงหน้าวังรวีวาร สาก็ชะงัก ถึงกับก้าวขาไม่ออก
ใจสว่างแปลกใจ “คุณป้าขา”
สายืนนิ่ง สายตาจับจ้องไปที่วังรวีวารที่ตั้งตระหง่านตรงหน้า อย่างรำลึกจดจำ
หวนรู้ เรียกสติ “อีสา”
“นานเหลือเกินนะ พี่หวน นานมาก”
หวนพยักหน้า “อืมม์”
“ฉันจำได้ ตอนนั้น เรามีความสุขกันเหลือเกิน”

หม่อมพริ้มนั่งเอนๆ อยู่ที่ประจำในโถงกลาง สากราบลงตรงหน้า
“เห็นพี่หวนว่าหม่อมไม่สบายหรือคะ”
“โรคคนแก่น่ะ ไม่มีอะไร...ก็เพราะรู้ตัวว่าแก่นี่แหละ อะไรต้องทำ ก็เลยอยากจะทำเสียให้เสร็จไป ถึงได้เรียกเอ็งมา” หม่อมถามตรงๆ “เอ็งยังเป็นชู้กับใครต่อใครอยู่หรือเปล่า”
“ก็...” สาไม่กล้าโกหก “ค่ะ”
“เลิกได้ไหม มันผิดทั้งทางโลกทางธรรม ใครรู้เข้าก็รังเกียจเดียดฉันท์ ลูกเต้าก็พลอยอับอายขายขี้หน้า”
หม่อมพริ้มสอนสา จริงจัง
“พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เป็นบุคคลสูงสุดที่ลูกต้องเคารพบูชา เอ็งทำตัวไม่น่าเคารพ แล้วเอ็งจะให้ลูกกราบไหว้บูชาอยู่ได้ยังไง”
สานิ่ง ละอายใจ หม่อมพริ้มเห็นหวนเดินนำเข้ามา เลยสั่งสา
“ขึ้นมานั่งข้างบนนี่”

สาทำตามสั่งงงๆ

 
อ่านต่อหน้า 3

อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 37 อวสาน (ต่อ)

หวนเดินนำชายรวีกับโสภิตพิไลเข้ามาสามองดูลูกของตนทั้งสองคน ละอายใจ

“ชายรวี หญิงโสภิต นั่งลงตรงหน้าสานั่นแหละ”
ทั้งสองนั่งลงที่พื้นตรงหน้าสา ซึ่งหน้าตื่นๆ อยู่
“เมื่อก่อนเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นแม่ ก็อาจจะเผลอทำสิ่งไม่ดีลงไป แต่ตอนนี้รู้แล้ว แม่อยากให้ทั้งสองคนกราบขอขมาแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอซะ”
ทั้งสองพนมมือขึ้นกล่าว
“ข้าพเจ้า รวีช่วงโชติ รวีวาร”
“ข้าพเจ้า โสภิตพิไล รวีวาร”
แล้วว่าพร้อมกัน “ขอกราบขอขมาคุณแม่ หากข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อคุณแม่ทั้งกายกรรม มโนกรรม วจีกรรม ทั้งที่รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาต่อกรรมนั้น ขอคุณแม่โปรดให้อภัย และโปรดให้อโหสิกรรมต่อลูก เพื่อความเป็นศิริมงคลและดีงามต่อลูกในกาลต่อไปด้วยเทอญ”
ทั้งสองกราบแบมือลงตรงหน้าสาสามครั้ง สาสะเทือนใจถึงกับน้ำตาไหล
“คุณชาย คุณหญิง...แม่อโหสิกรรม”
สาพูดได้เท่านี้ก็ร้องไห้โฮออกมา โผเข้ากอดลูกทั้งสองอย่างลืมตัว
“แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษลูก ยกโทษให้แม่นะ ชายรวี โสภิต”
“ครับ คุณแม่”
สามองหน้าลูกสาว โสภิตพิไลตัดสินใจพูดออกมา
“ค่ะ คุณแม่”
สากอดลูก เป็นปลื้ม น้ำตาไหลพราก หม่อมพริ้มมองภาพเบื้องหน้าอย่างเหนื่อยล้า แต่สุขใจ หมดกังวลไปหนึ่งเรื่อง

ขณะที่ใจสว่างเดินเก็บดอกไม้เล่นอยู่มุมหนึ่งของวัง ชายรวีเดินมาหยุดยืนมอง ใจสว่างหันไปยิ้ม
“อาจารย์”
“จะว่าไปผมก็ไม่ได้ไปสอนที่จุฬามาพักนึงแล้ว คุณจะเรียกผมว่าคุณชายเหมือนคนอื่นเขาก็ได้นะ” คุณชายเดินมาเข้ามาจนใกล้ “หลบมาทำอะไรแถวนี้”
“เดินเล่นเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ ที่นี่ต้นไม้เยอะ ร่มเย็นดี”
“ถ้าคุณชอบ ก็มาบ่อยๆ ได้”
“หนูไม่กล้าหรอกค่ะ”
“มาเถอะ” ชายรวีทอดเสียงอ่อนโยน “ผมอยากให้มา วังรวีวารจะได้ไม่เหงา”
ใจสว่างมองชายรวีตาแป๋ว เห็นแววเอื้อเอ็นดูในสายตาของชายรวีชัดเจน ใจสว่างเขิน แต่ก็ดีใจ
“วังมันเหงาได้ด้วยหรือคะ” ใจสว่างเขินนิดๆ “คุณชาย”
“มันเหงาออกบ่อยไป แต่ไม่มีใครรู้”
ใจสว่างยิ้มเขิน “ถ้าหนูมาแล้วหายเหงา หนูก็จะมาค่ะ”
ชายรวียิ้มสดใส ทั้งสองเดินชมนกชมไม้ด้วยกัน

ฝ่ายสาเดินออกมามุมหนึ่ง นั่งครุ่นคิด หวนกับจวนตามมาคุยด้วย
“แล้วเอ็งจะยังไงต่อไปอีสา”
“ฉันยังไม่รู้เลยจ้ะ น้าจวน”
“ไม่กลับมาอยู่ที่นี่ด้วยกันล่ะ จะได้ช่วยกันดูแลคุณชาย”
สาสะท้อนในอก “เธอจะต้องการฉันหรือพี่”
“เอ็งทิ้งเธอไปตั้งแต่เกิด เธอจะต้องการเอ็งได้ยังไง...แต่เอ็งเป็นแม่ ไม่อยากอยู่กับลูก แล้วเอ็งจะไปอยู่กับใคร” หวนว่า
สาเสียงอ่อย “คุณสันทนาเขาชวนให้ไปอยู่ด้วย เขาจะซื้อบ้านให้”
จวนอ่อนใจ “เอ็งจะไปเป็นเมียน้อยเขาก็ตามใจแต่ถ้าเป็น เอ็งก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาที่นี่อีกเลยนะ อีสา ข้าบอกตรงๆ ข้าสงสารคุณหญิงโสภิตกับคุณชาย”

สาหนักใจ จะทำยังไงดีหนอ

วันนี้ ป้ายหน้าร้านเปลี่ยนจากร้านเสริมสวยอุษาวดี มาเป็น ร้านเสริมสวยเพ็ญศรี สากับเพ็ญศรียืนมองด้วยกัน

“ขอบคุณนะคะ คุณสา ฉันดีใจมาก ไม่รู้จะขอบคุณคุณสายังไง”
“เพ็ญเป็นคนดูแลมันมา เพ็ญเหนื่อยกับมันมามากกว่าฉันเสียอีก สมควรแล้ว ที่จะได้เป็นเจ้าของมัน”
เพ็ญศรีมองป้ายร้าน แสนสุขใจ “ฉันเริ่มต้นชีวิตจากการทำงานในคลับในบาร์ ทำงานในที่-ที่คนดูถูกว่าชั้นต่ำไม่นึกเลย ว่าวันนึง ฉันจะได้เป็นเจ้าของร้านแบบนี้”
“เพราะเพ็ญเป็นคนดี ใฝ่ดีมาตลอด เพ็ญถึงได้ดี” สาขำๆ “ฉันสิ เกิดในรั้วในวังแต่ใฝ่ต่ำ ไปทำงานในคลับในบาร์เสียตั้งนาน กว่าจะคิดได้”
“แต่ตอนนี้ คุณสามีชีวิตใหม่แล้ว...ฉันดีใจด้วยนะคะ”
“จ้ะ ขอบใจเพ็ญเหมือนกัน ที่เป็นเพื่อนที่ดีของฉันมาตลอด”
สองคนจับมือกัน ตื้นตัน น้ำตาจะไหล

ใจสว่างพาแป้นเดินเข้ามา ในมือแป้นมีกระเป๋าเล็กๆ หนึ่งใบ ใจสว่างร้องแซวเสียงใส
“อ้าวๆๆ หนูไม่อยู่แป๊บเดียว ชวนกันร้องไห้ซะแล้ว อะไรกันคะนี่”
สากับเพ็ญศรีเช็ดน้ำตา หัวเราะขำๆ
“วุ้ย ใครจะยิ้มได้ทั้งวันเหมือนเธอล่ะจ๊ะ แม่ใจสว่าง” สาหันมาทางแป้น “พี่แป้นจ๋าฉันดีใจจัง ที่พี่แป้นยอมมาอยู่ที่ร้านกับหนูใจ”
แป้นส่งกระเป๋าให้ใจสว่าง แล้วเข้าไปคุยกับสา
“ก็พอดีล่ะค่ะ คุณสา ตอนนี้ฉันก็ทำสวนไม่ไหวแล้ว ลูกหลานก็ไปกันหมดตาสุขแกก็ไปอยู่วัดสบายไป...มาอยู่ที่นี่ ยังพอมีเพื่อนคุยบ้าง”
เพ็ญศรียิ้มบอก “มาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้วค่ะ จะได้ช่วยกัน”
“โอ๊ย ฉันแก่แล้วค่ะ มาช่วยเฝ้าบ้านน่ะพอได้ ไอ้เรื่องเสริมสวยน่ะยกไว้เถอะไม่รู้อะไรกับเขาหรอก”
ใจสว่างเดินเอากระเป๋าแป้นไปเก็บ หันมาล้อเลียน
“โธ่ ยายแป้นขา มาอยู่กับน้าเพ็ญ ขี้คร้านอีกหน่อยจะเปิ๊ดสะก๊าดจนลูกหลานจำไม่ได้”
“เออ ให้มันจริงเถอะ”
แป้นหัวเราะชอบใจ สาหันไปบอกกับเพ็ญศรี
“ฉันกับพี่แป้น ชาติที่แล้วคงทำบุญร่วมกันมา ชาตินี้พี่แป้นถึงได้ตามอุปถัมภ์ฉันมาตลอด”
“เออ จริงสิ คุณสาจะไม่อยู่ที่ร้านนี้แล้ว ยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน”
สายิ้มละไม เป็นแววตาสุขสงบของคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

สาแต่งตัวสวย นั่งรอสันทนาอยู่ในห้องแล้ว สันทนาเปิดประตูปรี่เข้ามากอด
“ไม่ได้เจอกันแค่สองวัน คิดถึงจะแย่”
“กินอะไรก่อนไหมคะ”
“ไม่หิว” สันทนาเริ่มนัวเนีย “ทำอย่างอื่นดีกว่า”
สาเบี่ยงตัวหลบ ไม่หวั่นไหวเหมือนเคย
“ถ้าไม่หิว ก็คุยกันดีกว่าค่ะ” สันทนาชะงัก “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ เรื่องที่คุณเคยบอกว่าจะซื้อบ้านให้ฉัน”
“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร...ผมหาได้แล้วจะพาคุณไปดู”
“ฉันไม่ไปค่ะ...ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันไม่อยากเป็นเมียน้อย”
สันทนางง “ทำไม”
“ฉันอยากเป็นแม่ที่ดีบ้าง สักครั้งในชีวิต ฉันอยากเป็นแม่ที่ลูกภูมิใจ”
สันทนาละมือจากสา “ผมเข้าใจ”
“คุณก็เหมือนกันนะคะ มันยังไม่สายเกินไป คุณเองก็เป็นพ่อคน ฉันอยากให้คุณทำให้ลูกเมียภูมิใจ”
สันทนาท้วง “ผู้หญิงกับผู้ชายมันไม่เหมือนกันหรอกน่ะ”
“เหมือนค่ะ แต่เพราะผู้ชายมีอำนาจ ผู้ชายถึงกำหนดว่า ผู้ชายมากชู้หลายเมียไม่เป็นไร...ฉันเคยเห็นมาก่อน ตั้งแต่สมัยท่านชาย ลูกเมียคนไหนก็ไม่ได้มีความสุข”
“จะมาเทศนาอะไรตอนนี้เนี่ย”
“เพราะฉันรักคุณไงคะ ฉันถึงอยากเห็นคุณมีบั้นปลายชีวิตที่มีความสุข”
สันทนามองสาอย่างรักใคร่
“ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่คนดีอะไรนะ เอาเป็นว่าคุณทำดีนำไปก่อนก็แล้วกัน แล้วผมจะพยายามตามไป”
สายิ้มให้ เข้ามากราบสันทนาที่อก
“รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ นะคะ ฉันไปล่ะ”

สันทนาดึงสามากอดครั้งสุดท้าย สายิ้มสุขใจ

สันทนาไม่วายกระซิบล้อสีหน้าเบิกบาน

“ถ้าทนทำดีไม่ไหว ก็กลับมานะ”
สาหัวเราะ ทุบสันทนา แล้วเดินจากไป
สันทนาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แววตาครุ่นคิดถึงคำพูดของสา
“เป็นคนดีงั้นเหรอ...มันจะไปยากอะไร”
สันทนาลุกขึ้นมาหมุนโทรศัพท์เบอร์บ้านตัวเอง
“ฮัลโหล น้องเหรอคะ เราไปเที่ยวตากอากาศกันดีกว่าน้องเก็บเสื้อผ้าเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปรับ... ไปไหนเหรอคะ อย่าเพิ่งรู้เลยค่ะ มันเป็นเซอร์ไพรส์”
สันทนาวางหู ยิ้มกับตัวเอง ตัดสินใจว่าจะลองกลับตัวเป็นคนดี

อยู่มาวันหนึ่ง ชายรวีกับหญิงโสภิตพิไลประคองหม่อมพริ้มที่เหนื่อยอ่อน เข้ามานั่งเป็นประธานที่โซฟา แวดล้อมด้วยลูกๆ และบ่าวไพร่เต็มห้อง
“มีอะไรกันหรือ ทำไมวันนี้มาพร้อมหน้าพร้อมตา”
“สาขอให้ทุกๆ คนมาที่นี่ค่ะ หม่อมแม่” หญิงจ้อยบอก
หม่อมพริ้มทำหน้าฉงนฉงาย ไม่เข้าใจ
หวนเดินนำสาเข้ามา สาถือพวงมาลัยเข้ามา นั่งตรงหน้าหม่อมพริ้ม
“สากราบขอขมาหม่อมค่ะ สิ่งใดที่สาเคยทำผิดพลาดล่วงเกิน สาขออภัยทั้งหม่อม แล้วก็คุณหญิงคุณชายทุกคนด้วย”
“เอาเถอะ ข้าอโหสิกรรมให้...เท่านี้ใช่ไหม” หม่อมว่า ท่าทีอยากพักผ่อน
“ที่สามาวันนี้ สาจะขอกลับมาอยู่ในวังรวีวารเป็นข้ารับใช้หม่อมกับคุณหญิงคุณชายต่อไปค่ะ”
หญิงศุภลักษณ์แปลกใจ “คิดดีแล้วหรือ สา”
หญิงจิ๋มเหยียดหยัน “นั่นสิ จะดีได้ซักกี่น้ำ”
“สาตั้งใจจริงๆ ค่ะ คุณหญิง ว่าก่อนตาย อยากเป็นแม่ที่ดีกับเขาสักครั้ง”
“เอ็งคิดได้ก็ดีแล้ว ข้าดีใจด้วย ลูกๆ เอ็งก็คงดีใจ” หม่อมบอก
ชายรวีกับโสภิตพิไลยิ้มแย้ม
“ผมดีใจ ที่คุณแม่จะมาอยู่กับเราที่นี่”
“หนูก็ดีใจ ที่คุณแม่จะกลับตัวเป็นคนดี” โสภิตพิไลบอก
“มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ก็ไม่ต้องมาเป็นข้าเป็นบ่าวอะไรหรอก ยังไง เอ็งก็เป็นแม่ของชายรวีกับโสภิต” หม่อมพริ้มบอกอีก
“ถึงจะเป็นแม่ของคุณชายกับคุณหญิง แต่เมื่ออยู่ในวังรวีวาร สาก็เป็นอีสาคนเดิมล่ะค่ะ หม่อม... ชาตินี้เกิดมาเป็นอีสาเสียแล้ว คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้”
“เป็นแม่คน มันสูงส่งที่สุดแล้วอีสา ตั้งใจเป็นแม่ให้ดีเถอะ ข้าอนุโมทนาด้วย”
สากราบลง ทุกคนยิ้มแย้มยินดีให้กัน

วันเวลากำลังจะพัดพาเอาความสุข ความร่มเย็น หวนคืนมาสู่วังรวีวารอีกครั้ง

จบบริบูรณ์ โปรดติดตาม "น่ารัก" เร็วๆ นี้
 
ผิดพลาดประการใด ทีมงาน ขออภัย มา ณ ที่นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น