อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 34
ทางด้านใจสว่าง กลับถึงร้านเสริมสวย ก็เข้ามาคุยกับสาและเพ็ญศรีที่รออยู่ เพ็ญศรีรู้เรื่องเข้าใจสามากขึ้น
“เพราะอย่างนี้นี่เอง คุณสาถึงได้รักโสภิตพิไลนัก”
“แต่โสภิตคงจะเสียใจมากที่มีแม่อย่างฉัน” สาสะท้อนในอก
ใจสว่างปลอบ “คงตกใจมากกว่าค่ะ คุณป้า แต่ก็เป็นธรรมดา เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้น”
“โสภิตแกเป็นเด็กน่าสงสาร เจอแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งเรื่องแม่ เรื่องคนรักแล้วไหนจะ...” สาถอนใจพูดไม่ออก
เพ็ญศรีอึ้ง “นี่โสภิตยังไม่รู้เรื่องท่านใช่ไหมคะ”
“ฉันไม่อยากให้แกรู้ เท่านี้โสภิตก็บอบช้ำมากพอแล้ว” สาลุกขึ้น “เรื่องท่านน่ะ ฉันจะจัดการเอง”
สาเดินออกไป เพ็ญศรีกับใจสว่างมองตาม ด้วยความไม่สบายใจ
เย็นนั้น ตรงหน้ากระจกเห็นภาพสะท้อนของสาแต่งตัวสวย ใส่ชุดสีแดงสด แต่งหน้าเข้ม และกำลังพรมน้ำหอม เสร็จแล้วก็เปิดลิ้นชัก หยิบปืนอันเล็กมาใส่กระเป๋าถือ ด้วยแววตามุ่งมั่น
ไนต์คลับของสันทนาตกแต่งด้วยสายรุ้งและมีป้ายกระดาษคำว่า สุขสันต์วันเกิด อยู่ที่ผนังด้านเวที งานเพิ่งเริ่มมีแขกเดินเข้างานมาไม่กี่คน
สันทนาแต่งตัวลำลองแต่ดูหรูและสง่า ใบหน้ายิ้มแย้ม เดินนำเฉิดฉวีและแหววเข้ามาวัชรินทร์เดินตามห่างๆ
“นี่เหรอคะ คลับของคุณพ่อ”
“นี่แหละจ้ะ ที่ซ่องสุม” สันทนาได้ยินตวัดสายตามอง เฉิดฉวีรีบเปลี่ยนคำ “เอ๊ย ที่สังสรรค์ของพ่อเค้า”
“นี่ น้อง วันนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของพี่ก็จริง แต่ท่านเป็นเจ้าภาพจัดให้เพราะฉะนั้น จะพูดจาอะไรก็ระวังหน่อย อย่าทำให้เสียบรรยากาศนะคะ”
เฉิดฉวีค้อนควัก แต่ไม่กล้าหือ
หญิงจิ๋มกับปวุติเดินเข้ามาถึง ในมือปวุติถือกล่องของขวัญ
คุณหญิงจิ๋มนั้นบ่นอุบอิบตลอดทาง “โอ้ย จะมาทำไมก็ไม่รู้ เขาไม่ได้เชิญเราสองคนซักหน่อย”
“ไม่เชิญก็มาได้ งานวันเกิดคนใหญ่คนโตอย่างนี้ ใครๆ เขาก็มากัน .. อย่าลืมซีเราต้องพึ่งท่านสันทนาอีกหลายเรื่อง”
“วุ้ย หญิงล่ะเบื่อ จะต้องมาเสวนากับนังคุณหญิงบ่าวตั้ง นังคางคกขึ้นวอ” พอเห็นเฉิดฉวียืนอยู่กับสันทนา ก็เปลี่ยนทีท่าร้องทักเสียงหวาน “คุณหญิงเฉิดจ๋า สวัสดีจ้ะ.. สวัสดีค่ะท่าน”
หญิงจิ๋มแทบถลาเข้าไปหา เฉิดฉวีทำหน้าหมั่นไส้นิดหนึ่ง แล้วปรับสีหน้าเป็นยิ้มหวาน
“ต๊าย หญิงจิ๋ม นึกว่าใคร... แหม ขอบใจนะจ๊ะ ไม่ได้เชิญยังอุตส่าห์มา”
หญิงจิ๋มชะงัก หน้าเสียชั่วขณะ ปวุติทำเนียน
“ผมกับคุณหญิงจิ๋มมาอวยพรวันเกิดท่านสันทนาครับ” พร้อมกับส่งของให้ “ผมขออวยพรให้ท่านมีความสุข ความเจริญ ยิ่งยศ ยิ่งวาสนา บารมียิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ”
“ขอบคุณมากครับขอบคุณ” สันทนาส่งของให้วัชรินทร์
แหววเดินหน้างอง้ำเข้ามาแทรก
“คุณแม่ขา แหววกลับก่อนได้ไหม งานนี้มีแต่คนแก่ แหววเบื่อจะตาย”
หญิงจิ๋มสะดุ้ง แต่สันทนาไม่เดือดร้อนพูดกับแหวว ประสาคนตามใจลูกมาก
“เดี๋ยวก่อนสิคะลูก อยู่กราบสวัสดีท่านก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อให้วัชรินทร์ไปส่ง”
“ก็ได้ค่ะ”
แหววเดินออกไป ไม่สนใจจะทักใคร หญิงจิ๋มงง ปวุติมองประเมิน แล้วพูดประจบทันที
“คุณหนูแหววลูกสาวท่านนี่ยิ่งโตยิ่งสวยนะครับ”
หญิงจิ๋มตามน้ำ “นั่นสิคะ มีคนจองหรือยังคะนี่”
เฉิดฉวีพูดอย่างภูมิใจ “ยังหรอกจ้ะ นี่ก็กำลังมองหาคนดีๆ ให้อยู่เหมือนกัน”
“หามาดูแลลูกเรานะคะน้อง ไม่ใช่ลูกเราไปดูแลมัน” สันทนาสัพยอกอารมณ์ดี
ทั้งหมดหัวเราะกัน
ชายรวีมาถึงแล้ว เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า มองเข้าไปในงาน เห็นนายพลสันทนายืนทักทายแขกเหรื่อ
ชายรวีสอดส่ายสายตามองหาสาท่าทีร้อนใจ
“คุณอุษา... อยู่ไหน”
คุณชายรู้เรื่องจากใจสว่างที่แอบโทรศัพท์ปรึกษากันก่อนหน้านี้
“คุณป้าบอกว่าจะไปหา “ท่าน” ที่งานวันเกิดท่านนายพลสันทนาค่ะ... แต่น้าเพ็ญบอกว่า วันก่อนคุณป้าแอบซื้อปืนมาด้วยหนูเป็นห่วงคุณป้าจังเลยค่ะอาจารย์”
ชายรวีเดินพลางมองหาสาไปพลาง ไปชนเข้ากับแหววโดยไม่ตั้งใจ
“อุ๊ย”
ชายรวีประคองไว้ “ขอประทานโทษครับคุณ”
แหววตะลึงในความหล่อเนี้ยบ มองหน้าชายรวี ท่าทีสนใจมาก
“แหววค่ะ... คุณเป็นใครคะ แหววไม่ยักเคยเห็นคุณมาก่อน”
“ผมชื่อรวีช่วงโชติครับ... รวีช่วงโชติ รวีวาร”
“โอ้โห ชื่อยาวจัง”
ทันใดนั้นเอง เสียงหญิงจิ๋มก็ดังแหวกอากาศเข้ามา
“ชายรวี”
ทั้งสองหันไปมอง หญิงจิ๋มถลาเข้ามาพร้อมกับปวุติ เสียงของหญิงจิ๋มเรียกให้สันทนาและเฉิดฉวีเดินเข้ามาร่วมวงด้วย
หญิงจิ๋มแปลกใจ “นี่มาได้ยังไงเนี่ย”
สันทนาบอก “ผมเชิญมาเองแหละ” ชายรวีไหว้ สันทนารับไหว้ “คุณชายรวีช่วงโชติใช่ไหม”
“ครับ ท่าน”
สันทนาหันไปอธิบายกับคนอื่นๆ “ท่านอยากพบตัว ได้ยินชื่อเสียงว่าเป็นคนหนุ่มที่เก่งมาก ท่านกำลังอยากได้คนเก่งกฎหมายมาช่วยงาน”
เฉิดฉวีมองชายรวีอย่างสนใจ หญิงจิ๋มกับปวุติพลิกบท ทำท่าสนิทสนมรักใคร่กับชายรวีทันที
“จริงหรือจ๊ะ ชาย”
“ถือว่าคุณชายโชคดีมากนะครับ ที่มีโอกาสได้ไปรับใช้ท่าน” ปวุฒิเสริม
ชายรวีตอบยิ้มๆ
“ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ พี่ปวุติ...ใจจริงยังอยากทำงานรับใช้ชาติมากกว่า” พลางยิ้มให้สันทนา “เพราะคนรับใช้ท่านน่าจะมีเยอะแล้ว”
สันทนาชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับโกรธ แหววตัดบทอย่างคนเอาแต่ใจ
“คุณชายมาก็ดีแล้ว แหววกำลังเบื่อ ไม่มีเพื่อนคุยอยู่ทีเดียว” สาวนักเนียนนอกคล้องแขนคุณชายหมับ “ไปคุยเป็นเพื่อนแหววดีกว่านะคะ”
ชายรวีมีท่าทีเกรงใจ “ได้ครับ”
แหววลากชายรวีออกไปที่บาร์เครื่องดื่ม
เฉิดฉวีกับสันทนามองตาม ต่างมีความคิดตรงกันว่าชายรวีเป็นคนที่น่าสนใจ
วัชรินทร์เข้ามาสะกิดสันทนาในจังหวะนี้
“นายครับ ท่านมา”
ทุกคนหันไปมอง เห็นท่านเดินเข้ามาอย่างสง่า มีทหารคนสนิทตามหลัง
ท่านเบ่งบารมีส่งเสียงทักทายสันทนาดังคับห้อง “สันทนา ไอ้น้องรัก สุขสันต์วันเกิดเว้ย”
ทุกคนกรูกันเข้าไปไหว้พินอบพิเทา
สันทนาพาท่านผู้ยิ่งใหญ่ไปนั่งที่โต๊ะวีไอพี ท่านตบหลังสันทนาอย่างรักมาก
“ขออวยพรให้มีความสุขมากๆ นะ... ส่วนของขวัญมันใหญ่ ขอติดไว้ก่อนพรุ่งนี้จะให้คนขับเอาไปให้ที่บ้าน”
สันทนาหัวเราะ “ขอบพระคุณมากครับท่าน”
“เฮ่ย ไม่เป็นไร...ว่าแต่ว่า ของขวัญของพี่ล่ะวะ อยู่ที่ไหน”
ท่านหมายถึง โสภิตพิไล สันทนามีสีหน้ากังวลใจนิดนึง แล้วยิ้มกลบเกลื่อน
“ได้แน่ครับท่าน ใจเย็นๆ”
ท่านหัวเราะชอบใจ
สันทนาลุกออกจากโต๊ะ เดินไปหาวัชรินทร์กระซิบถาม “เรื่องโสภิตพิไล จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“ครับผม”
สันทนาค่อยโล่งใจ
โสภิตพิไลยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นบน มองเหม่อไปไกล เสียงของหม่อมพริ้มยังคงดังก้องในความคิด
“เธอเป็นลูกของอีสา สามันเป็นแม่ของเธอ”
โสภิตพิไลถอนใจหนักหน่วง เจิมกระย่องกระแย่งเข้ามาหา
“คุณหนู”
“ยายเจิม” โสภิตพอไลถามอย่างอ่อนโยน “ยายเจิมขึ้นมาทำไมบนนี้”
“ยายเป็นห่วงคุณหนู”
“หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทำใจได้แล้ว” น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่น “ตลอดชีวิตของหนู พยายามตะเกียกตะกายขึ้นไปสูงขนาดไหน สุดท้าย หนูก็ต้องตกลงมาอยู่ที่เดิม...ที่เดียวกับ...เขา”
“หม่อมท่านพูดเสมอ คนเราดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัวถึงจะเกิดมาจากท้องอีสา แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำตัวให้ตกต่ำเหมือนกับมัน” เจิมปลอบ
โสภิตพิไลยิ้มหยันแล้วมองไปเห็นที่สนามด้านล่าง ชายฉกรรจ์ท่าทางดุดัน 4 คนในเครื่องแบบทหารเดินอาดๆ เข้ามา มีหวนร้องห้ามโวยวาย
“เดี๋ยว หยุดก่อน พ่อคุณ ดึกดื่นป่านนี้จะเข้ามาหาใครนี่ ได้ยินไหม ฉันบอกให้หยุด”
หวนยืนขวาง กางมือห้าม แต่ไม่มีใครสนใจ พากันเดินเข้าไปที่ตัวบ้าน
ทหารทั้งสี่เดินอาดๆ เข้าไปในโถงตำหนักขาว หม่อมพริ้มออกมาพอดี
“เอะอะอะไรกัน” หม่อมมองดูพวกทหารสีหน้าประหลาดใจ “พวกคุณมาทำไม”
ทหารทั้งสี่ทำความเคารพ ทหาร 1 คนที่ท่าทางเป็นหัวหน้า บอกกันหม่อม
“ผมได้รับคำสั่งให้มารับตัวคุณโสภิตพิไล”
โสภิตพิไลกับเจิมเข้ามาได้ยินพอดี
“ใครสั่ง” โสภิตพิไลถาม สีหน้าฉงน
“ท่าน สั่งครับผม”
หม่อมพริ้มตกใจ “ท่าน!...หมายถึง “ท่าน” น่ะหรือ”
นายทหาร 1 พยักหน้า หม่อมพริ้มอึ้ง เจิมกับหวนก็อึ้ง รู้เลยว่าเรื่องใหญ่แล้ว มีโสภิตพิไลที่ยังงงคนเดียว
“ท่านไหนคะ แล้วจะมารับฉันไปไหน”
โสภิตพิไลมองหน้าหม่อมพริ้ม เจิม หวน เห็นว่าทุกคนหน้าซีดเผือด เลยเอะใจนึกได้หน้าเสีย
“ท่าน?” หรือว่า...”
ทหาร1บอก “ท่านแจ้งกับคุณอุษามาตั้งนานแล้ว ว่าต้องการตัวคุณ คุณอุษารับรู้เรื่องนี้ดี”
หม่อมพริ้มเข้าขวาง “แต่เด็กคนนี้อยู่ในความดูแลของฉัน ฉันไม่อนุญาต”
ทหารทั้งสี่ทำท่าขึงขังล้อมกรอบกันเข้ามา
หวนเสียงดัง “ถ้าไม่ออกไป ฉันจะแจ้งตำรวจนะ”
“หม่อมอย่าขัดขวางการทำงานของผมจะดีกว่า” ทหาร 1 บอกกับโสภิตพิไลเป็นเชิงขู่ “ท่านไม่ทำอันตรายคุณหรอก ไปกับผมดีๆ ดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”
โสภิตพิไลมองดูหม่อมพริ้ม เจิม หวน หญิงแก่สามคนในวงล้อมของทหาร แล้วรู้ว่าตัวเองไม่มีทางออก
สันทนาร้องเพลงโปรดของ ท่าน เพลง “เย้ยฟ้าท้าดิน” อยู่บนเวทีท่านนั่งฟังอย่างชอบใจ
“ฟ้าหัวเราะเยาะข้า ชะตาหรือ ดินนั้นถืออภิสิทธิ์ชีวิตข้า พรหมลิขิตขีดเส้นเกณฑ์ชะตาฟ้าอินทร์พรหมยมพญาข้าหรือเกรง”
สาในชุดสีแดงสดเดินเข้ามา ผู้คนต่างพากันมองตะลึง เพราะความสวยบาดใจ ท่านหันไปเห็น สายิ้มหวานให้ท่าน โปรยเสน่ห์สุดฤทธิ์
ท่านถามคนสนิท “นั่นใครวะ”
หญิงจิ๋มกับปวุติมองเห็นสา ก็แปลกใจ
“คุณหญิง... ดูนั่น”
“นั่นมันอีสานี่คะ”
ติดๆ กันนั้น เฉิดฉวียืนอยู่กับแหววและชายรวี ทุกคนเห็นสาก็สะดุ้ง
“นังอุษา มันมาได้ยังไง”
หญิงจิ๋มหันมาถาม “เฉิดรู้จักมันด้วยหรือจ๊ะ”
แหววบอกเสียงเขียว “มันเป็นอีหนูของคุณพ่อแหววค่ะ”
ชายรวีตกใจและเสียใจที่ได้ยิน
“ต๊าย อกจะแตก... แก่ขนาดนี้มันยังไม่เลิกแพศยาอีกหรือ” หญิงจิ๋มว่า
“นี่เธอรู้จักมันด้วยหรือยังไง หญิงจิ๋ม”
“มันชื่ออีสา เคยเป็นขี้ข้าอยู่ในวังรวีวาร”
พวกเฉิดฉวีฟังแล้วยิ่งรังเกียจสา โดยเฉพาะแหวว
“ยี้ ต่ำ...แล้วมันมาทำอะไรที่นี่”
สาเข้าไปหาท่านที่โต๊ะ ไหว้อย่างชดช้อย “กราบสวัสดีค่ะ ท่าน”
“เอ เราเคยรู้จักกันด้วยหรือ ผมไม่ยักจำได้”
สันทนาอยู่บนเวที เห็นสาเข้ามา ก็ตกใจ
“ไม่เคยหรอกค่ะ ท่าน...ฉันชื่ออุษา ท่านพอจะนึกออกไหมคะ”
“อ๋อ...อุษา” ท่านสอดตามองหา “แล้วหลานสาวของคุณล่ะ”
“ก่อนที่ท่านจะพบกับโสภิต ฉันขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมคะ”
ท่านยิ้ม แล้วลุกขึ้นเดินนำออกไป สาเดินตามกระชดกระช้อย
สันทนายังร้องเพลงอยู่ มองตามอย่างเป็นห่วง
ห่างออกไป พวกหญิงจิ๋มและเฉิดฉวีมองการกระทำของสาอย่างรังเกียจ
“ต๊าย ดูสิชายรวี ดูมันทำ” หญิงจิ๋มค้อนตาคว่ำ
สองคนนั่งอยู่ตรงมุมลับตา ท่านบอกกับสา
“จะต้องการอะไรก็ว่ามา บอกก่อนนะ ว่าทีเดียวต้องจบ ผมไม่ชอบคนโลภ”
“ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นค่ะ ท่าน นอกจากความกรุณา...โสภิตพิไลยังเด็กนักแกยังเรียนหนังสือไม่จบเลย”
ท่านสวนอย่างโกรธจัด “นี่แปลว่าจะปฏิเสธใช่ไหม”
“ฉันแค่ขอความกรุณาจากท่านค่ะ” สาเข้าไปนั่งซบกราบที่ตัก งัดทุกมารยามายั่วยวนอออดอ้อนสุดๆ “ขอแค่ท่านปล่อยโสภิตไป นอกนั้น ท่านอยากได้อะไร ฉันจะยอมท่านทุกอย่าง”
สันทนาเข้ามาพอดี ชะงัก ท่านเชยคางสาขึ้นมา ยิ้มเหี้ยม
“นี่มันผู้หญิงของลื้อไม่ใช่เหรอวะ สัน”
สันทนาหักใจอย่างเลือดเย็น “ครับ แต่ถ้าท่านถูกใจ...”
ท่านผลักสาออก ลุกขึ้น แล้วเดินมาตบไหล่สันทนา พูดดุๆ
“ปืนกับเมีย ยืมกันไม่ได้ .. ลื้อเอาของลื้อเก็บไว้” แล้วตวาดกราดเกรี้ยว “แล้วเอาโสภิตพิไลมาให้อั๊ว!”
“ท่านครับ ฟังผมก่อน”
ท่านโกรธจัด “ลื้อบอกว่าเด็กนั่นจะมาคืนนี้” ท่านบันดาลโทสะกระชากคอสันทนามา “แล้วอยู่ไหนหลอกกันเล่นหรือไง อั๊วเป็นเพื่อนเล่นของลื้อเหรอวะ ไอ้สัน”
“ท่านครับ ฟังก่อน”
วัชรินทร์เข้ามาพอดี “นายครับ... คุณโสภิตพิไลมาถึงแล้วครับ”
สาตกใจสุดขีด “อะไรนะ” หันขวับไปหาสันทนา “คุณ”
ท่านละมือจากสันทนา อารมณ์เย็นลง “พาไปเจอหน่อยสิ”
วัชรินทร์เดินนำไป ท่านกับคนสนิทตาม สันทนาจะเดินไป สาคว้าตัวไว้
“เดี๋ยวก่อน คุณสันทนา คุณไปเอาตัวโสภิตมาใช่ไหม ทำไมคุณทำแบบนี้”
“ผมบอกแล้วไง ไม่มีใครปฏิเสธท่านได้”
สันทนาผละจากสา แล้วเดินออกไป สาหันไปคว้ากระเป๋าถือที่ใส่ปืนมากำแน่น
โสภิตพิไลยืนหน้าตื่นๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง มีทหารทั้งสี่นายยืนรายล้อมเหมือนควบคุมตัว ท่านเดินออกมา หน้าตาดุดัน คนสนิทและสันทนาเดินตาม พวกเฉิดฉวีและหญิงจิ๋มพากันมองเป็นตาเดียว
“อะไรกันคะ คุณแม่”
เฉิดฉวีดูสีหน้าสันทนาแล้วเดาได้ว่าคงมีเรื่อง
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงเป็นเรื่องไม่ดีแน่”
ชายรวีมองตามไป แล้วตกใจ “พี่หญิงจิ๋มครับ นั่นมัน...”
“แม่โสภิตพิไล!” สองคนหันมองกันเลิกลัก “มาที่นี่ได้ยังไง”
ท่านเดินเข้าไปหาโสภิตพิไล เฉิดฉวีเห็นสาเดินจ้ำอ้าวตามไป ยิ่งงง
“แล้วแม่อุษามายุ่งอะไรด้วยเนี่ย”
ชายรวีรู้ว่าต้องมีเรื่องแน่ ตัดสินใจลุกเดินเข้าไปหา
“อ้าว ชายรวี จะไปไหน”
ท่านมองโสภิตพิไลที่ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยความกลัว
โสภิตพิไลยกมือไหว้ “ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ อย่าทำฉันเลย ฉันขอร้อง”
ท่านหัวเราะ “เธอพูดอย่างกับว่าฉันจะเอาเธอไปฆ่า อย่ากลัว แม่หนูน้อย ฉันแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เธอเท่านั้น”
ท่านเชยคางโสภิตพิไลขึ้น โสภิตพิไลร้องกรี๊ดแล้วสะบัดออก ท่านจะคว้า สาพุ่งเข้ามาพร้อมปืนในมือ
“หยุดนะ”
ท่านชะงัก โสภิตพิไลรอดไป แต่ทุกคนตกใจ คาดไม่ถึงว่าสาจะกล้าใช้ปืนกับท่าน แม้กระทั่งสันทนา
“อย่ามาแตะต้องลูกฉัน”
โสภิตพิไลมองสา เป็นครั้งแรกที่ได้ยินสาเรียกตนว่าลูกอย่างตั้งใจ
สันทนาทั้งโกรธทั้งกลัวท่าน สั่งสียงดัง “วางปืนลงเดี๋ยวนี้ คุณสา”
บรรดาแขกในงานคนอื่น รวมทั้งพวกเฉิดฉวีและหญิงจิ๋ม พากันลุ้น
สาไม่ฟัง “โสภิตหนีไปลูก หนีไป”
โสภิตพิไลมองชายรวี ละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูก สามือสั่นกลัวก็กลัว ชายรวีเข้ามาไกล่เกลี่ย
“คุณสา เชื่อผม วางปืนลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นทุกคนจะเดือดร้อนกันไปหมด”
สามือสั่น ท่านมองสาอย่างเหยียดหยาม ไม่กลัวสักนิด
ท่านสั่งลูกน้องเสียงอันทรงอำนาจล้นฟ้า “ไปเอาตัวเด็กนั่นมา”
“ไม่!”
สาแผดเสียง ยิงไปที่ท่าน เปรี้ยง
สันทนาเข้าแย่งปืนทัน กระสุนยิงขึ้นเพดาน คนในงานแตกฮือร้องกันลั่น
สันทนาโยนปืนทิ้ง สาหมดแรงต่อสู้ โสภิตพิไลฉวยโอกาสคว้าปืนที่กระเด็นมา เอามาถือไว้
เกมเปลี่ยนทันที
“โสภิต อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ” ชายรวีร้องลั่น
โสภิตพิไลมองท่าน แต่ท่านยิ้มเยาะ ไม่สะทกสะท้าน มองมาทางสันทนา สันทนาส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม โสภิตพิไลมองไปรอบๆ เห็นว่าจริงๆ แล้วเธอไม่มีทางรอดได้
ท่านหันไปสั่งทหาร
“จับมันไปเข้าคุก เดี๋ยวนี้”
สันทนาตกใจ ทัดทาน “ท่านครับ”
ท่านชี้หน้าคาดโทษ “ลื้ออย่ายุ่ง ไอ้สัน ... ลากคอมันไป”
ทหารกรูกันเข้ามาจับตัวสา โสภิตพิไลตัดสินใจพูดขึ้นมาเสียงดัง
“อย่าค่ะ”
ทุกคนชะงัก โสภิตพิไลหันไปบอกกับท่าน เสียงเด็ดเดี่ยว
“ถ้าท่านเอาตัวเขาไป ท่านจะไม่ได้ตัวหนู แต่จะได้ศพหนูไปแทน...”
ทุกคนอึ้ง ท่านฟังอย่างสนใจ
โสภิตพิไลต่อรอง “แต่ถ้าท่านยกโทษให้เขา ยอมปล่อยเขาไป หนูจะไปกับท่านดีๆ...ตกลงไหมคะ”
สาตะโกนก้องน้ำตาท่วมตา “ไม่”
ชายรวรีตะลึงพยายามห้าม “โสภิต!”
โสภิตพิไลไม่ฟัง หันหน้าบอกกับสา “อย่าห้ามหนูเลยค่ะ คุณลำบากเพราะหนูมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ขอให้หนูได้ตอบแทนคุณบ้าง” แล้วหันมาทางท่าน “หนูขอ ท่านจะว่ายังไงคะ”
ท่านมองโสภิตพิไลอย่างเอ็นดู และชื่นชมในความกล้าหาญ
“เอา หนูกล้าขอ ฉันก็กล้าให้” ท่านสั่งคนสนิท “พาโสภิตพิไลไปที่บ้านใหม่” แล้วหันไปมองสันทนากับสา “แล้วอย่าให้อั๊วเห็นหน้าแม่นี่อีก ไม่งั้น...” ท่านเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
ทหารคนสนิทบอกโสภิตพิไล “ตามผมมาครับ”
โสภิตพิไลเดินจากไป หน้าเชิด แต่น้ำตานองหน้า
“ไม่ โสภิต ไม่ทำอย่างนี้ ไม่...” สาใจจะขาดเสียให้ได้
คนอื่นยืนมองกันเงียบกริบ เฉิดฉวีกับแหววนเข้ามาประกบเอาตัวสันทนาไป
หญิงจิ๋มมองสาอย่างชิงชัง
เหลือเพียงชายรวีที่เข้าไปประคองสาไว้ สาร้องไห้อกตรมขมไหม้ ใจจะขาดรอนๆ
อ่านต่อตอนต่อไป
อ่านต่อหน้า 2
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 34 (ต่อ)
ฟากหม่อมพริ้มอยู่ในห้องพระ มีเจิมนั่งอยู่กับพื้นเป็นเพื่อน สีหน้าหม่อมกลุ้มจัดทุกข์หนักพนมมืออยู่หน้าหิ้งพระ อธิษฐาน
“ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดปกป้องคุ้มครองโสภิตพิไลด้วยเถิดเจ้าประคุณ”
หม่อมพริ้มกราบลง แล้วถอนใจ เจิมพูดขึ้นอย่างคับแค้น
“บ้านเมืองมันเป็นเสียอย่างนี้ นอกจากพระแล้ว ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร...เสียดาย นังพุดนังจวนก็ดันไม่อยู่ ถ้าอยู่ ยังพอจะช่วยกันได้”
“เอ็งก็พูดไป ถึงอยู่ก็จะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้” ประมุขรวีวารถอนใจ “คนใหญ่คนโตมีอำนาจแต่ขาดศีลธรรม เวรกรรมมันก็มาตกกับคนไม่มีทางสู้อย่างเรานี่แหละเจิมเอ๊ย”
หวนกระหืดกระหอบเข้ามา
“หม่อมคะ หม่อม คุณชายกลับมาแล้วค่ะ”
หม่อมพริ้มดีใจ “ชายรวีมาแล้วหรือ”
หม่อมกับเจิมรีบร้อนลุกขึ้น จะไปหาชายรวี
“มาแล้วค่ะ” หวนเสียงอ่อยๆ “อีสาก็มาด้วย”
หม่อมพริ้มกับเจิมแปลกใจ
ชายรวียืนอยู่กลางห้อง สาหน้าเศร้า นั่งก้มหน้าแอบตัวลีบเล็กอยู่มุมห้อง หม่อมพริ้มเดินมาหาชายรวี เดินพลางพูดพลางอย่างร้อนใจ
“ชาย...เกิดเรื่องใหญ่แล้วชาย “ท่าน” ส่งทหารมาเอาตัวโสภิตไป”
หม่อมพริ้มพูดได้เท่านั้น ชายรวีก็รีบเสริม
“ผมทราบแล้วครับ หม่อมแม่ พวกนั้นพาโสภิตไปที่งานเลี้ยง งานเดียวกับที่ผมไป ผมได้เจอโสภิตด้วย”
“อ้าว แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ชายรวีสีหน้าหนักใจ “โสภิตตกลงใจไปกับท่านแล้วครับ หม่อมแม่”
ทุกคนตกใจปนแปลกใจ
หวนหน้าตื่น “อะไรนะคะ คุณชาย”
“ชายพูดใหม่สิ...ตกลงไปกับเขามันหมายความว่ายังไง”
“คือ... โสภิต...โสภิตเขา...” ชายรวีพยายามคิดหาคำพูด
สาตัดสินใจพูดแทรกขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น
“เป็นความผิดของสาเองค่ะ หม่อม สาไปหาท่าน คิดว่าจะไปช่วยโสภิต แต่กลับทำผิดพลาด โสภิตเลยต้องไปกับท่าน เพื่อเป็นการไถ่โทษให้สา”
หม่อมพริ้มอึ้ง งงหนัก “ข้ายิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่” หม่อมหันมาทางชายรวี “ชาย เล่าให้แม่ฟังหน่อยเรื่องราวมันเป็นยังไง”
เจิมรู้เรื่องก็โถมเข้าทุบตีสาอย่างรุนแรงด้วยสองมือ ปากก็ด่าอย่างเกรี้ยวกราด
“อีสา อีเนรคุณ มึงทำลายคุณหญิงโสภายังไม่พอ มึงยังเอาคุณหนูโสภิตไปให้เขาพล่าเขายำ”
เจิมรุนแรงจนคนอื่นๆ ไม่กล้ายุ่ง ได้แต่ยืนเฝ้าระวังดู สาหลบปัดป้อง เถียงไปพลาง
“ฉันไม่ได้ทำ”
“ถ้าเอ็งไม่อุ้มท้องเอาคุณโสภิตออกไปจากวัง ชีวิตเธอคงไม่ต้องตกต่ำอย่างนี้”
หม่อมพริ้มตัดบท “อย่าโทษมันเลยเจิม โทษเวรกรรมเถอะ”
“บ่าวจะโทษมัน” เจิมหันไปใส่สาเต็มแรง “อีสารเลว มึงหาเรื่องเดือดร้อนมาให้บ้านท่านไม่หยุดไม่หย่อน กี่คนแล้วที่ต้องเดือดร้อนเพราะมึง อีตัวดี ถ้ากูรู้ว่ามึงเกิดมาเป็นกาลกิณี ล้างผลาญวงศ์ตระกูลท่านอย่างนี้ กูฆ่ามึงตายไปเสียนานแล้ว”
สาเถียงอย่างสุดจะทน “จะฆ่าก็ฆ่าเลยป้า ฉันก็อยากตายเหมือนกัน ที่อยู่นี่ก็เบื่อเหลือจะทนแล้ว”
เจิมรู้สึกเหมือนถูกท้าท้าย ขึ้นมาอีกรอบ
“มึงนึกว่ากูไม่กล้ารึ อีสา เห็นกูแก่แล้วคิดว่ากูทำอะไรมึงไม่ได้หรือไง”
เจิมคว้าไม้เท้าแล้วกระหน่ำตีไปที่สาไม่ยั้ง สาคลานหลบอุตลุด จนหนีออกไปถึงด้านหน้าบ้าน หม่อมพริ้ม หวน และชายรวีพากันห้าม แต่ไม่มีใครเข้าติด
“อย่า ป้าเจิม อย่า”
“นังเจิม พอแล้ว”
เจิมเลือดขึ้นหน้าไม่ฟังใคร ไล่ตีสา
“นี่แน่ะ กูอดทนดูความเลวของมึงมานานแล้ว วันนี้แหละกูจะตีมึงให้ตาย คุณหญิงคุณชายท่านจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะมึง”
เจิมคว้าแขนสา จับตัวไว้ได้ เงื้อไม้สุดแขน ชายรวีเข้ามาจับตัวไว้ร้องห้าม
“ยายเจิม อย่าครับ”
ร่างเจิมกระตุก ค้าง
สาตกใจ “ป้าเจิม”
หวนเห็นเจิมตาค้าง ก็ตกใจ “ป้าเจิม”
เจิมชัก ตาตั้งหม่อมพริ้มสั่ง
“โรคเก่ามันมาอีกแล้ว ชาย เอาเจิมไปหาหมอเดี๋ยวนี้”
ชายรวีจะอุ้มเจิมไป แต่มือเจิมคว้าแน่นอยู่ที่ข้อมือสาชนิดแกะไม่ออก เลยเอาไปไม่ได้
“ป้าเจิม ปล่อยฉันก่อน ปล่อย”
เจิมตาค้าง แต่ยังจ้องจิกไปที่สาอย่างโกรธแค้น สาปลดมือเจิมออกไปได้ในที่สุด
“เอาเจิมไปหาหมอเร็ว ชาย”
ชายรวีอุ้มเจิมออกไป สารู้สึกผิด ที่ทำให้เจิมช็อกอีกแล้ว
คืนเดียวกันนั้น นายทหาร 4 นายนั้น เดินนำโสภิตพิไลเข้ามาภายในบ้านเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีหญิงวัยกลางคนหน้าตากร้านโลกคนหนึ่ง แต่งตัวแบบแม่บ้าน แต่ดูดี ยืนรออยู่
ทหาร 1 แนะนำ 2 คนให้รู้จักกัน “น้อย นี่คุณโสภิตพิไล” แล้วหันมาพูดกับโสภิตพิไล “น้อยเป็นแม่บ้านดูแลบ้านหลังนี้ครับ”
“ท่านโทร.มาสั่งแล้วล่ะ ว่าให้คุณโสภิตพิไลมาอยู่ที่นี่ ให้ฉันดูแลให้ดีที่สุด”
น้อยพูดเสียงหยิ่งๆ ดูวางมาดนิดๆ
แล้วบอกกับโสภิตพิไล “ฉันจัดห้องไว้ให้คุณแล้ว เชิญค่ะ”
น้อยเดินนำ โสภิตพิไลยืนนิ่ง น้อยหันมามอง
“คุณคะ”
โสภิตพิไลเดินตามไปเหมือนหุ่นยนต์
โสภิตพิไลเดินตามน้อยเข้าไปในห้องนอนที่แต่งด้วยสีชมพูทั้งห้อง บนเตียง มีชุดนอนสีชมพูอ่อนน่ารักวางอยู่อย่างเรียบร้อย
“ชุดนอนนี่ของคุณนะคะ ของใช้ทุกอย่างในห้องนี้ก็ของคุณทั้งนั้น ถ้าขาดเหลือต้องการอะไรอีกก็บอกฉัน”
โสภิตพิไลมองไปรอบๆ แววตาหวาดหวั่น “ฉันอยากกลับบ้าน”
น้อยเหยียดยิ้มอย่างคนกร้านโลก เห็นมาเยอะ “ใหม่ๆ ก็เคว้งคว้างแบบนี้ล่ะค่ะ อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน วันนี้ท่านให้คุณพักผ่อนตามสบายนะคะ พรุ่งนี้ท่านถึงจะแวะมาทานข้าวเย็นด้วย”
น้อยออกไปโสภิตพิไลเริ่มกลัว
“พรุ่งนี้...”
โสภิตพิไลทรุดลงนั่ง ร้องไห้
เช้าวันต่อมา สันทนาเดินลงมา สาวใช้เรียก
“ท่านคะ มีโทรศัพท์ค่ะ”
“ใคร”
เฉิดฉวีเดินตามมาพอดี สาวใช้เลยส่งสายให้ แล้วรีบหลบไป
สันทนารับโทรศัพท์ “พลโทสันทนาพูด”
สาโทร.มาจากร้านเสริมสวย พูดอย่างร้อนใจ
“ฉันเองนะคะ”
สันทนาเหลือบมองเฉิดฉวีที่เดินวนเวียนคุมเชิงอยู่ “มีอะไรก็ว่ามา”
“ตอนนี้โสภิตอยู่ที่ไหนคะ แกเป็นยังไงบ้าง ฉันอยากรู้”
“ก็น่าจะสบายดี คุณไม่ต้องห่วงหรอก คุณทำกับท่านขนาดนั้น โสภิตขอ ท่านยังยอมยกโทษให้ ผมไม่เคยเห็นท่านโปรดปรานใครมากขนาดนี้”
“ฉันอยากเจอแกได้ไหมคะ”
“ไม่ได้... ท่านสั่งเอาไว้ ว่าท่านจะต้องไม่เห็นหน้าคุณอีก เพราะฉะนั้น ผมปล่อยให้คุณไปที่นั่นไม่ได้” สันทนาตัดบท “ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ลูกสาวคุณน่ะมีราชรถมาเกยแล้วต่อจากนี้ไปมีแต่สบายกับสบาย”
สันทนาวางหู เห็นเฉิดฉวีมองมา ยิ้มเยาะ หน้าตารอหาเรื่องอยู่สันทนาเลยเดินหนีไป เฉิดฉวีตาม
สันทนาเดินมาที่โต๊ะอาหารเช้า เฉิดฉวีตามค่อนแคะ
“แหม ตอนแรกที่เล่าให้ฟัง นึกว่ายัยเด็กโสภิตพิไลนี่เป็นลูกท่านหลานเธอมาจากไหน ที่แท้ก็ลูกนังอุษา”
สันทนาคว้าหนังสือพิมพ์มาอ่าน ไม่สนใจ เฉิดฉวีด่าต่อไปอย่างเมามัน
“เชื้อไม่ทิ้งแถว เลือดแม่มันคงแรงกว่าเลือดพ่อ มันถึงได้เจริญรอยตามกัน...แม่เป็นเมียน้อย ลูกก็เป็นเมียน้อย เป็นพวกผู้หญิงหน้าด้าน ชอบแย่งผัวชาวบ้านเหมือนกัน”
สันทนาเตือน “นี่ น้อง .. จะพูดอะไรก็ระวังหน่อย ลืมไปแล้วเรอะ ว่าโสภิตพิไลเป็นคนของท่าน...คนโปรดซะด้วย ถ้าใครไปเพ็ดทูลว่าน้องด่าเขาปาวๆ แบบนี้ ดีไม่ดีจะพลอยเดือดร้อนมาถึงผัว”
เฉิดฉวีได้คิด เลิกด่า แต่ไม่ยอมรับผิด
“เชอะ แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าห่วงลูกหรือห่วงแม่” สันทนาตาเขียว เฉิดฉวีหันไปแหวใส่สาวใช้ “อ้าวแล้วนี่คุณแหววอยู่ไหน ใครไปเชิญทานข้าวเช้าหรือยัง”
“ไปเรียกแล้วค่ะ คุณแหววยังไม่ตื่นค่ะ คุณหญิง” สาวใช้บอก
เฉิดฉวีส่ายหัว แล้วลงนั่ง สันทนาทับถม
“แทนที่จะด่าชาวบ้านเขา เอาเวลาไปอบรมลูกตัวเองดีกว่ามั้ง เป็นสาวเป็นนาง...นอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้ ระวังเถอะจะไม่มีใครเอา”
แหววลุกโงนเงนขึ้นมาจากเตียง วิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำเสียงดัง แล้วโซเซกลับมาฟุบกับที่นอน กลัดกลุ้ม
“ฉันจะทำยังไงดี” แหววมีสีหน้าเจ็บแค้น “ศิวพจน์ คนเลวเพราะเธอคนเดียวฉันถึงได้เป็นอย่างนี้”
แหววร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บใจ
บ่ายคล้อย ชายรวีกับหวนช่วยกันประคองเจิมกลับเข้าบ้าน เจิมแทบเดินเองไม่ได้ ตาเคว้งคว้าง หม่อมพริ้มรีบออกมารับด้วยความเป็นห่วง
“ชาย...” หม่อมเข้าไปจับแขนเจิม “เอ็งเป็นไงบ้าง”
เจิมมองหม่อมพริ้มตาว่างเปล่า แล้วพึมพำ
“อีสามันหายหัวไปไหน”
หม่อมพริ้มงง มองหน้าหวนเป็นเชิงถาม หวนพูดกับเจิมอย่างเศร้าๆ
“ป้าเจิม หม่อมท่านพูดกับป้าแน่ะ”
แววตาเจิมเหมือนจำอะไรได้ พึมพำขึ้นมา
“หม่อมท่านต้องกินยา ต้องเอายาไปให้หม่อมท่าน หม่อมท่านอยากได้ลูกชาย”
หม่อมพริ้มงงสุดๆ
“หวน เจิมมันเป็นอะไรของมัน”
ชายรวีมองมาด้วยความสงสาร หวนพูดไม่ออก น้ำตาจะไหล
หวนประคองเจิมลงนอน ใกล้ๆ กันนั้น ชายรวีอธิบายให้หม่อมพริ้มฟัง
“หมอเค้าบอกว่าเป็นอาการสมองเสื่อมฉับพลันน่ะครับ หม่อมแม่ เป็นเพราะ ยายเจิมแกแก่แล้วด้วยแล้วพอมีอาการชักบ่อยๆ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอก็เลยเป็นแบบนี้”
หม่อมพริ้มเวทนา “ก็เลยบ้าๆ บอๆ อย่างนี้รึ”
“ไม่ถึงกับบ้าหรอกครับ หม่อมแม่ แค่หลงๆ ลืมๆ บางทีก็จะมีเพ้อๆ เห็นโน่นเห็นนี่บ้าง”
หม่อมพริ้มมองเจิมที่นอนซมกับที่นอนอย่างสงสาร
“เวรกรรม”
เจิมมองมา เห็นชายรวี เป็นท่านชาย ก็พึมพำขึ้นมา
“ท่านชาย” หญิงชราพยายามจะไหว้ “ท่านชายเด็จมา”
หวนบอก “ไม่ใช่ ป้า นี่คุณชายรวีลูกของท่าน”
เจิมพยักหน้าพูดไปเรื่อยเปื่อย “ท่านมีลูกชาย อีสามันท้อง มันมีลูกชายถวายท่าน”
หม่อมพริ้มกับหวนสะดุ้ง
ชายรวีฉงน “ยายเจิมว่าอะไรนะจ๊ะ”
“เจิมมันเพ้อน่ะ ชาย” หม่อมตัดบท “ไปกันเถอะ เจิมมันเหนื่อยแล้ว มันจะได้นอนพัก” พลางสั่งหวนจริงจัง “หวน เอ็งดูป้าเอ็งให้ดีๆ ล่ะ”
“เจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มพาชายรวีกลับไป
อ่านต่อหน้า 3
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 34 (ต่อ)
หวนมองเจิมที่นอนหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน ปากยังพึมพำเบาๆ
“อีสามันได้ลูกชาย”
เจิมหลับตาไป หวนได้แต่ถอนใจ
เย็นนั้นหม่อมพริ้มเดินงุ่นง่าน กลุ้มใจเริ่มที่เจิมพูดขึ้นมา และชายรวีได้ยินเข้า
“นังเจิมก็ดันพูดออกมาได้...หวน เอ็งว่าชายรวีจะคิดยังไง”
“คุณชายเธอคงไม่คิดหรอกค่ะ หม่อม ก็เธอบอกเอง ว่าป้าเจิมแกจะเพ้อๆ คุณชายเธอคงไม่สงสัยอะไรหรอกค่ะ”
สีหน้าหม่อมพริ้มยังไม่คลายกังวล
คืนนี้โสภิตพิไล ดูชุดสีแดงทรงเซ็กซี่ในมืออย่างรังเกียจ แล้วปาลงตรงหน้าน้อย
“ฉันไม่ใส่”
“ท่านชอบแบบนี้ค่ะ ท่านสั่งมา ทั้งเสื้อผ้า น้ำหอม ท่านให้คุณใส่เอาใจท่าน”
“ฉันไม่ใส่”
โสภิตพิไลหันไปที่โต๊ะแต่งตัว คว้ากระปุกเครื่องสำอาง แป้ง ลิปสติก ขว้างกระจุยกระจาย
“เอาออกไปให้หมด... นี่ด้วย” โสภิตพอไลปา ทุกสิ่งอย่าง “นี่อีก...เอาออกไปให้หมด”
อย่างสุดท้ายคือขวดน้ำหอม โสภิตพิไลขว้างเต็มแรง ลอยไปกระทบประตูห้องแตกกระจาย
น้อยชักโกรธ “ถ้าท่านรู้ คุณเจ็บตัวแน่”
เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นทันที โสภิตพิไลหน้าซีด น้อยยิ้มเย้ย
“ฉันอยากจะรู้นัก ว่าคุณจะแก้ตัวว่ายังไง”
ประตูเปิด กลายเป็นสันทนาเข้ามา สันทนาเห็นห้องเละเทะ ก็งง
“นี่มันอะไรกัน”
โสภิตพิไลถอนหายใจ โล่งอก
โสภิตพิไลนั่งเรียบร้อย สันทนายืนคุยด้วย สองคนอยู่ในห้องนั่งเล่น
“ท่านไม่สบาย ต้องเข้าผ่าตัดกะทันหัน คงอีกหลายวันกว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้”
โสภิตพิไลมีสีหน้าโล่งอก “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ฉันกลับไปบ้านได้ไหมคะ”
“ฉันไม่มีสิทธิ์อนุญาต...ท่านสั่งให้คุณอยู่ที่นี่ คุณก็ต้องอยู่ที่นี่ จนกว่าท่านจะไม่ต้องการคุณ”
โสภิตพิไลฟังแล้วสลดใจ พยายามอ้อนวอน “ฉันไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้”
“สายไปแล้ว คุณเลือกไม่ได้ ท่านจะเป็นคนเลือกชีวิตให้คุณเอง”
โสภิตพิไลเศร้าใจมาก
คืนเดียวกัน เจิมนอนอยู่บนที่นอน อ่อนแรงเต็มทนแล้ว ตาขุ่นมัวมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
เจิม เห็นเงาร่างสูงสง่าเป็นภาพเลือนๆ เคลื่อนตัวเข้ามา
“ท่านชาย” เจิมขยับจะหมอบกราบ ทั้งๆ ที่ไม่มีแรง “ท่านชายเพคะ”
ภาพนั้นชัดขึ้น กลายเป็นชายรวีเข้ามาประคองเจิมให้นอนลง
“ไม่ใช่จ้ะ ยายเจิม ฉันรวีช่วงโชติ”
เจิมยังไม่รู้เรื่อง นึกว่าพูดกับท่านชาย “เด็จมาหาอีสาหรือเพคะ”
ชายรวีถอนใจ “ผมนอนไม่หลับ คิดถึงเรื่องที่ยายเจิมพูด แล้วอดสงสัยไม่ได้นอกจากโสภิต คุณอุษาเค้ามีลูกชายอีกคนหรือครับ ยาย”
เจิมได้ยินชื่อสา สติก็หลุดไป เพ้อพึมพำด้วยความแค้น “อีสา อีทรพี มึงเนรคุณท่าน”
เจิมหอบหายใจถี่ เครียดหนัก ชายรวีตกใจ รีบประคองให้นอนลง
“อย่าพูดอีกเลยครับ ยาย... นอนนะครับ นอนพักก่อน”
ชายรวีห่มผ้าให้ เจิมนอนลง แต่ยังเพ้อพึมพำ
“อีสา เอ็งมีลูกชายถวายท่าน เอ็งจะสบาย”
เจิมหลับไป ชายรวีโล่งใจที่เจิมไม่เป็นอะไร แต่แววตายังสงสัยอยู่บางๆ
เป็นเวลาราวตี 4 ทั่วทั้งตำหนักขาวตกอยู่ในความมืด ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงร้องของหวนดังลั่น
“ป้าเจิม”
หวนเขย่าตัวเจิม เห็นว่ามือไม้เย็นเฉียบ หวนเอามือรอจมูก ก็พบว่าลมหายใจของเจิมหยุดเต้นไปแล้ว
“ป้าเจิม”
หวนออกวิ่งไปทันที
หม่อมพริ้ม ชายรวีวิ่งลงมาหน้าตำหนัก หวนยืนหน้าตาตื่นรออยู่ที่ด้านล่าง
“มีอะไร หวน นังเจิมเป็นอะไร”
“ป้าเจิมตายแล้วค่ะ หม่อม”
ชายรวีแปลกใจ ปนตกใจ “อะไรกัน เมื่อตอนหัวค่ำผมแวะไปดู แกยังคุยกับผมอยู่เลย”
“ตอนดึกๆ หวนก็แวะไปดู แกก็นอนหลับดีๆ อยู่ค่ะ แต่ตะกี๊ หวนตื่น ก็เลยไปเรียกแก เห็นแกนอนนิ่ง พอไปจับดู เนื้อตัวแกเย็นชืด หยุดหายใจไปแล้วค่ะ”
หวนร้องไห้ ชายรวีสลดใจ
หม่อมพริ้มถึงกับเซไปนั่ง ชายรวีตามไปประคอง
“หม่อมแม่ครับ”
หม่อมพริ้มพยายามเข้มแข็ง “เจิมมันไปสบายแล้ว...ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะ เจิมเอ๊ยแล้วข้าจะทำบุญไปให้”
ขณะเดียวกันเสียงกริ่งโทรศัพท์ในร้านเสริมสวยอุษาวดีดังขึ้น ใจสว่างเข้าไปรับ
“ร้านเสริมสวยอุษาวดีค่ะ ค่ะ อาจารย์” ฟังแล้วต้องตกใจ “อะไรนะคะ”
สาเดินผ่านมาเห็นพอดี หยุดฟังอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือ หนูใจ”
ใจสว่างหันมาบอก “อาจารย์รวีโทร.มาบอกว่า คุณยายเจิมเสียแล้วค่ะ คุณป้า”
สาอึ้ง เสียใจ
ศพของเจิมถูกนำมาทำพิธีบนศาลา วัดใกล้ตำหนักขาว การสวดพระอธรรมยังไม่เริ่ม หม่อมพริ้มแต่งกายไว้ทุกข์นั่งอยู่ที่โซฟาด้านหน้าโลงศพของเจิม ท่าทางหม่อมพริ้มเหมือนเหนื่อยล้าและแก่ลงไปอีกหลายปีด้วยความเศร้า หญิงโศภียกน้ำชามาให้
“หม่อมแม่รับน้ำชาร้อนๆ หน่อยนะคะ จะได้สดชื่น”
หม่อมพริ้มบอกเนือยๆ “จ้ะ ขอบใจ”
หญิงจ้อยเดินเข้ามานั่งอีกข้าง
“สวดสามวันแล้วหม่อมแม่จะเผาเลยไหมคะ ทางวัดเขาถาม” หญิงจ้อยถาม
“ก็ได้”
หญิงจ้อยซัก “อะไรก็ได้คะ”
หม่อมพริ้มดูหลงๆ เลือนๆ “อะไรนะ...อ้อ เผาเลยก็ได้หญิง”
“ค่ะ หญิงจะได้ไปจองเมรุ”
หญิงจ้อยลุกไป ส่งสายตาให้หญิงโศภีตามไป
ชายรวี และคุณหญิงทั้ง 4 อยู่มุมหนึ่งในวัด หญิงจ้อยถอนใจบ่นให้พี่น้องคนอื่นๆ ฟัง
“แค่วันเดียว หม่อมแม่เหมือนแก่ลงไปซักสิบปี แถมยังเหม่อลอย พูดอะไรก็หลงๆ ลืมๆ”
หญิงศุภลักษณ์เศร้า เข้าใจ “หม่อมแม่กับเจิมผูกพันกันมาตั้งแต่ยังสาว ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา สนิทกันเสียยิ่งกว่าพี่น้อง หม่อมแม่คงจะสะเทือนใจมาก”
“อุ๊ย เรื่องเจิมเรื่องเดียวเมื่อไหร่คะ พี่หญิงรอง ไหนจะเรื่องตานุไปเป็นชู้กับเมียเขา เรื่องแม่โสภิตไปเป็นเมียน้อย แต่ละเรื่องดีๆ ทั้งนั้น หม่อมแม่จะไปทนอะไรไหว” หญิงจิ๋มว่า
หญิงศุภลักษณ์นิ่วหน้าไม่พอใจ แต่ไม่อยากพูด
“ที่ยายเจิมพูดก็ถูก เรื่องทั้งหมดมันเพราะอีสาเป็นตัวการ” หญิงจิ๋มย้ำ
ชายรวีตัดบท “พอเถอะครับ พี่หญิง จะดีจะเลวมันก็ผ่านไปแล้ว จะมาขุดคุ้ยหาคนผิดทำไม”
ชายรวีลุกเดินหนีออกไปท่าทีฉุนเฉียว หญิงจิ๋มค้อน แล้วบ่นอุบอิบ
“แหม ว่าไม่ได้เลยนะ นังสาเนี่ย เลือดมันข้นกว่าน้ำจริงๆ”
หญิงโศภีกับหญิงศุภลักษณ์ตกใจ
“หญิงจิ๋ม!” หญิงโศภีปราม
หญิงจ้อยดุเอา “พูดอะไรออกมา ลืมแล้วหรือว่าสาบานกับหม่อมแม่ไว้ว่ายังไง”
หญิงจิ๋มเชิดใส่
สาเดินมาพร้อมกับใจสว่าง เห็นชายรวีเดินออกมาพอดี
“อาจารย์” ใจสว่างไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ชายรวีเห็นรอยยิ้มของใจสว่างแล้วรู้สึกหายขุ่นมัว
“เชิญครับ เชิญ คุณอุษา” คุณชายพูดกับใจสว่าง “ขอบใจนะที่อุตส่าห์มา”
“หนูมาเป็นเพื่อนคุณป้าน่ะค่ะ”
ชายรวีเห็นสานิ่งๆ ซึมๆ ก็อดห่วงไม่ได้
สาพาใจสว่างมาไหว้ทำความเคารพทุกคน
“ชื่อใจสว่าง หลานสาวของพี่แป้นที่คลองมหาสวัสดิ์น่ะค่ะ”
หม่อมพริ้มพยักหน้าซึมๆ หญิงจ้อยเลยช่วยเสริม
“บ้านที่พี่หญิงโสภาเคยไปอาศัยเขาอยู่ไงคะ หม่อมแม่”
“อ้อ .. เขาก็ดีใจหายนะ” หม่อมบอกกับใจสว่าง “ฝากบอกคุณยายว่าฉันขอบใจมาก ที่อุตส่าห์ดูแลหญิงโสภาจนถึงวันตาย”
หม่อมพริ้มเศร้าซึมลงไปอีก ลูกๆ ทุกคนมองด้วยความเป็นห่วง สามองอย่างรู้สึกผิด
สาพนมมือหน้าศพเจิมในใจอธิษฐาน ขออโหสิกรรม
“ป้าเจิมจ๋า ขออโหสิกรรมให้ฉันด้วยนะจ๊ะ ป้า .. ป้าเลี้ยงฉันมา มีพระคุณเหมือนแม่ถ้าป้าไม่อโหสิให้ฉัน ตายไปฉันคงต้องตกนรกแน่”
สากราบลง แล้วหันมาหวนกับจวนนั่งอยู่ข้างๆ มีท่าทีเฉยเมย
“โกรธฉันหรือพี่หวน”
“เปล่า”
“น้าจวนล่ะ”
จวนค่อนขอด “ข้าไปธุระ .. ไม่อยู่ ไม่รู้ไม่เห็น จะไปโกรธอะไรใคร”
“น้าคงคิดว่าฉันทำให้ป้าเจิมต้องตาย”
จวนเมิน ไม่พูด หวนพูดท่าทีปลงๆ
“ถึงคราวของแกน่ะ สา ป้าเจิมแกเป็นโรคหัวใจมาตั้งนมนานแล้ว”
“ใช่ ตั้งแต่คุณหญิงโสภาตายแกก็ล้มเจ็บมาเรื่อย” จวนมองรูปเจิม “ตายไปก็ดีแล้ว พี่เจิมเอ๊ย พ้นทุกข์ ไม่ต้องมารับรู้ว่าใครมันทำอะไร
สุดท้ายจวนอดแดกดันไม่ได้ สาหน้าหมองลง
อ่านต่อหน้า 4
อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 34 (ต่อ)
ใจสว่างเก็บดอกพิกุลที่หล่นอยู่ตามพื้นขึ้นมาดูเล่น ชายรวีกระแอม ใจสว่างสะดุ้ง
“ขโมยของวัดหรือคุณ”
“อุ่ย ดอกไม้มันหล่นแล้วนะคะ อาจารย์”
“ก็ถือเป็นหนี้สงฆ์อยู่ดี”
ใจสว่างยิ้ม “งั้นเดี๋ยวหนูไปผาติกรรม แถมหยอดน้ำมันตะเกียงด้วยค่ะ”
ชายรวีมองใจสว่างยิ้มๆ “ดูคุณเป็นคนไม่มีความทุกข์เลยนะ”
“หนูโชคดีค่ะ”
ชายรวีพยักหน้ารับ “ไม่เหมือนคุณสา ชีวิตแกน่าสงสาร ผมเห็นคุณสาวันนี้ ท่าทางแกไม่ดีเลย... อดเป็นห่วงไม่ได้ผมเลยอยากฝากให้คุณดูแลคุณสาด้วย”
“ค่ะ แต่อาจารย์ก็ท่าทางไม่ดีเหมือนกันนะคะ”
ชายรวียกมือลูบหน้า ยิ้มอย่างเหนื่อยล้า
“ผมเป็นผู้ชายคนเดียวของบ้าน ต้องเป็นทุกอย่าง ให้กับทุกคน...บางทีมันก็เหนื่อยเหมือนกัน...”
“งั้น...หนูฝากอาจารย์ดูแลตัวเองด้วยนะคะ หนูเป็นห่วง”
ชายรวียิ้ม “ขอบใจ ผมอาจจะดูแลใครได้ไม่ดีเท่าคุณ แต่จะพยายาม”
ใจสว่างยกนิ้วโป้งให้ แล้วยิ้มให้อย่างสดใส ชายรวีรู้สึกดี
หลังสวดเสร็จ พระทยอยเดินออกจากศาลา หม่อมพริ้มหันไปถามสา
“สา เอ็งได้ข่าวโสภิตพิไลบ้างไหม”
“ไม่เลยค่ะ หม่อม สาเองก็ร้อนใจ ไม่รู้ป่านนี้เป็นตายร้ายดียังไง”
หม่อมพริ้มถอนใจหนัก
จังหวะนี้ ที่ทางเข้าศาลา จวนร้องขึ้นอย่างแปลกใจ
“คุณนุ?”
ทุกคนหันไปดู เห็นชิษณุเดินเข้ามา มีอัญมณีเดินตามมาห่างๆ หญิงศุภลักษณ์ถลาเข้าไปก่อนเป็นคนแรก
“นุ” หญิงศุภลักษณ์ดีใจ “มาได้ยังไงลูก”
ชิษณุเข้ามากอดมารดาอย่างคิดถึง
“ผมกลับไปบ้าน เขาบอกว่าทุกคนอยู่ที่นี่ ผมเลยตามมา”
ผู้เป็นมารดาตัดพ้อ
“หายไปตั้งนาน ไม่กลับมาให้แม่เห็นหน้าเลย แม่อยู่ทางนี้เป็นห่วงแทบแย่ ได้ยินแต่ข่าวไม่ดี”
“ผมขอโทษครับคุณแม่ ผมเป็นลูกที่เลวจริงๆ ทำให้ทุกคนไม่สบายใจ” ชิษณุเข้าไปหาหม่อมพริ้มที่ยืนอยู่ กราบที่ไหล่ “หม่อมยายครับ ผมขอโทษ”
หม่อมพริ้มกอดหลานชายไว้ พยักหน้า
“ยายเข้าใจ ใครเจออย่างแกกับโสภิต ก็ต้องเสียใจทั้งนั้น ยายเข้าใจ”
ชิษณุหันมอง ไม่เห็นโสภิตพิไล “จริงสิ แล้ว...เอ่อ น้า...โสภิตเป็นยังไงบ้าง”
หม่อมพริ้มพูดไม่ออก สาที่ยืนอยู่ห่างออกไป ฟังแล้วหน้าเสีย รู้สึกผิด
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องโสภิตเลย เอาเรื่องของนุก่อนเถอะ” คุณชายมองไปที่อัญมณี “ที่พามานี่ มีธุระอะไรหรือเปล่า”
ชิษณุหันไปดึงมืออัญมณี แล้วบอกกับหม่อมพริ้มและทุกคน
“หม่อมยายครับ คุณแม่...ทุกๆ คน นี่อัญมณี เพื่อนของผม”
อัญมณีไหว้ทุกคน
“เราสองคนจะแต่งงานกันครับ”
คำพูดของชิษณุ ทำเอาทุกคนตะลึง คาดไม่ถึง
หม่อมพริ้มนั่งนิ่ง รับฟัง ลูกๆ จวน หวน พุด อยู่รายล้อม ชิษณุนั่งอยู่ตรงหน้า พร้อมกับอัญมณี
“ได้ข่าวว่ามีลูกมีผัวแล้วไม่ใช่หรือ แล้วจะแต่งกันได้ยังไง” หญิงจิ๋มถาม
ชิษณุบอก “อัญเขาหย่ากับสามีแล้วครับ...เพราะผม”
หญิงโศภีตกใจ “คุณพระ”
ชิษณุบอกอีก “สามีของอัญจับได้เรื่องของเราสองคนเลยขอหย่า...ผมคิดว่าตัวเองน่าจะต้องรับผิดชอบกับเขา”
หญิงศุภลักษณ์ฟังแล้วสงสาร “แต่งงานเพื่อรับผิดชอบงั้นหรือ”
อัญมณีเอ่ยขึ้นอย่างเจียมตัว “ดิฉันไม่ได้เรียกร้องนะคะ แต่นุยืนยันว่าเขาต้องทำ”
หญิงจ้อยถาม “แล้วเธอสองคนรักกันหรือเปล่าล่ะ”
“ฉันรักนุค่ะ รักมาก...แต่สำหรับนุเขา...เขาแค่...” อัญมณีพูดไม่ออก
หม่อมพริ้มที่นั่งฟังนิ่งมาตลอด พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ
“ชิษณุเขาทำถูกแล้ว” หม่อมสั่งสอนชิษณุ “เขาอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่นุรักมากที่สุด แต่ในเมื่อนุไปยุ่งกับเขา นุจะทอดทิ้งเขาไม่ได้”
“ครับ”
“ถูกต้องกับถูกใจบางทีมันไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ที่สำคัญ คนเราต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ถูกใจ” หม่อมว่า
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับ หม่อมยาย”
“ในเมื่อเลือกแล้ว ยายก็ขออวยพรให้มีความสุขทั้งสองคน”
ชิษณุกับอัญมณีกราบลง หม่อมพริ้มนิ่ง ปลงกับชีวิต
เช้านี้ ชายรวียืนครุ่นคิดหวนเดินเอาหนังสือพิมพ์มาให้
“หนังสือพิมพ์ค่ะ คุณชาย”
“ขอบคุณครับ...เอ พี่หวน” หวนชะงักนิดๆ “ก่อนตาย ผมได้ยินยายเจิมแกพูดว่า คุณอุษามีลูกชาย จริงเหรอครับ”
หวนหน้าเสีย ส่อพิรุธสุดๆ “ม...ไม่จริงค่ะ”
“แต่แกพูดตั้งหลายครั้ง ผมว่ายายเจิมแกอาจจะไปรู้อะไรมาก็ได้...ผมลองไปถามหม่อมแม่ดูดีกว่า”
ชายรวีลุกออกไป หวนเอ้ออ้า จะห้ามก็ไม่กล้า
หม่อมพริ้มนั่งอยู่ในห้องนิ่งๆ เศร้าๆ มองซองกระดาษสีน้ำตาลแบบที่มีครั่งปิดผนึกในมือ ชายรวีส่งเสียงเข้ามา
“หม่อมแม่ครับผมเข้าไปนะครับ”
หม่อมพริ้มสะดุ้ง ซองตกลงพื้น หม่อมพริ้มจะเก็บ แต่ก็งกๆ เงิ่นๆ ด้วยความชรา
ชายรวีห่วง “ผมเข้าไปนะครับ หม่อมแม่”
ชายรวีเปิดเข้าไป เห็นหม่อมพริ้มนั่งอยู่กับพื้น มีซองบางอย่างอยู่ในมือ
ชายรวีถามตามปกติ ไม่ได้ระแวง “ซองอะไรครับ คุณแม่”
หม่อมพริ้มอึ้งๆ คิดคำแก้ตัวไม่ทัน ชายรวีสงสัย
“หม่อมแม่หน้าซีดเลย” ราชนิกุลหนุ่มมองไปที่ซอง “ในซองนี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ชายรวีมองจ้องอย่างสงสัย หม่อมพริ้มจำใจยื่นส่งให้
“หนังสือจากทางธนาคารเขาส่งมาบอกว่า วังรวีวารของเราที่แม่เอาไปจำนองเอาไว้ แต่ไม่มีเงินไปไถ่ถอน คงจะหลุดจำนองไปภายในเร็วๆ นี้”
ชายรวีเปิดซองดูเร็วๆ ตกใจ “วังหลุดจำนอง! ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”
“แม่เอาวังไปจำนองไว้ตั้งแต่ชายไปเรียนเมืองนอกใหม่ๆ เอาเงินมาใช้จ่ายเลี้ยงดูทุกๆ คน .. ตั้งแต่ท่านพ่อของชายสิ้นไป แม่ก็พยายามรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของรวีวารเอาไว้ เท่าที่จะทำได้”
“ก่อนหน้านี้ ทำไมหม่อมแม่ไม่บอกผม”
“ชายรับราชการเงินเดือนไม่กี่สตางค์ รู้แล้วจะทำอะไรได้ แม่ก็เป็นแค่ผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง ได้แต่ขายที่นา ขายสมบัติเก่าไปบ้าง...แต่มันก็สุดกำลังแล้ว”
หม่อมพริ้มพูดด้วยความสะเทือนใจ
“ความจริงวังรวีวารควรจะตกเป็นของชาย ในฐานะที่เป็นทายาทผู้สืบสกุล” ประมุขรวีวารน้ำตาคลอ “แม่ขอโทษที่แม่รักษาเอาไว้ให้ชายไม่ได้”
“หม่อมแม่” ชายรวีกุมมือปลอบใจ “หม่อมแม่อย่าพูดอย่างนี้”
“ชายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตัดสินใจเอาก็แล้วกันว่าจะทำยังไงต่อไปแม่แล้วแต่ชายจะเห็นสมควร”
หม่อมพริ้มพูดเสร็จก็น้ำตาไหล ชายรวีดึงหม่อมพริ้มมากอด ปลอบใจ
ฝ่ายสากินข้าวไม่ลง ทุกข์เรื่องโสภิตพิไล ตักไปได้สองคำก็วางช้อน หน้าเศร้าใจสว่างมองอย่างห่วงใย
“คุณป้าไม่ทานข้าวแบบนี้ จะไม่สบายเอานะคะ”
“ป้ากินไม่ลง...เป็นห่วงโสภิต ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง…ถามคุณสันทนาก็ไม่ได้ความอะไรเลย”
“คุณป้าไม่ลองปรึกษาอาจารย์รวีล่ะคะ”
“อย่าเลย คุณชายเธอก็มีปัญหาที่บ้านร้อยแปด ป้าไม่อยากเอาเรื่องกลุ้มใจไปสุมให้เธออีก”
ใจสว่างคิดถึงชายรวีพูดอย่างเป็นปลื้ม
“อาจารย์เธอเป็นคนเข้มแข็งค่ะ หนูเชื่อว่าอาจารย์ต้องเป็นที่พึ่งของทุกคนได้”
สาพบความจริงว่าใจสว่างปลื้มชายรวีมาก
ตอนเย็น ทุกคนอยู่ที่วัด ชายรวีและคุณหญิงทั้งสี่แอบมาคุยกันลับหลังหม่อมพริ้ม ห่างออกไปบนศาลา เห็นหม่อมพริ้มกับบ่าวไพร่กำลังจัดเครื่องสังฆทานถวายพระหลังสวดศพเจิม
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีเรื่องวังรวีวาร” หญิงโศภีถาม
“จะไปทำยังไงได้ล่ะคะ พี่หญิงใหญ่ เงินตั้งเยอะตั้งแยะจะไปหามาจากไหนก็คงต้องปล่อยให้ธนาคารยึดไปล่ะค่ะ” หญิงจ้อยว่า
หญิงศุภลักษณ์หน้าเศร้า “เสียดาย เราเคยอยู่กันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก”
“ชายรวีจะว่ายังไงล่ะ หม่อมแม่ยกให้เธอเป็นคนจัดการไม่ใช่หรือ” หญิงโศภีหันมาถามน้องชายต่างมารดา
“ผมก็ยังไม่เห็นทางเลยครับ พี่หญิงใหญ่ แต่ใจจริง ผมก็ไม่อยากเสียวังรวีวารไป”
“ก็หาทางเข้าซี เธอเป็นลูกชายคนเดียว ถ้าวังรวีวารยังอยู่ ก็จะต้องเป็นของเธอคนเดียว ก็ไม่น่าให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อน”
ชายรวีมองหญิงจิ๋มอย่างอ่อนใจ แต่ก็ชินแล้ว “ผมไม่ได้จะรบกวนให้พี่คนไหนต้องมาเดือดร้อนหรอกครับ เพียงแต่ขอปรึกษาหารือ ว่าเราจะรักษาวังรวีวารเอาไว้ได้ยังไง เพราะเราทุกคนรู้ดีว่าวังรวีวารคือหัวใจของหม่อมแม่”
หญิงศุภลักษณ์เห็นด้วย “จริงของชายถ้าเสียวังรวีวารไป หม่อมแม่คงเสียใจมากกว่าใครๆ ทุกคน”
ชายรวีมองกลับไปบนศาลา เห็นหม่อมพริ้มทำงานอยู่ ชายรวีมองหม่อมพริ้มด้วยความรัก อยากหาทางช่วยแม่
เย็นวันเดียวกัน เฉิดฉวีเดินตรวจตราความเรียบร้อยของบ้านตามปกติ ได้ยินเสียงสาวใช้สองคนคุยกัน
สาวใช้ 1บอก “จริงจริ๊ง ไม่เชื่อแกลองขึ้นไปหน้าห้องคุณแหววตอนเช้าๆ สิ ได้ยินเสียง โอ้กอ้ากๆ ทู้กวัน”
สาวใช้ 2 ว่า “บ้าน่ะ คนโอ้กอ้ากไม่ได้แปลว่าท้องซักหน่อย”
สาวใช้ 1 บอกอีก “มันไม่ใช่แค่นั้น คุณแหววเอาแต่นอนทั้งวัน กินอะไรแปลกๆ ก็ขย้อนออกมาฉันว่านี่มันคนท้องชัดๆ”
เฉิดฉวีแอบฟังอยู่ สีหน้าตกใจ
เฉิดฉวีเดินไปจดจ้องที่หน้าประตู จะเคาะ แล้วได้ยินเสียงเปิดปิดตู้เสื้อผ้าปึงปัง เฉิดฉวีเลยชะงัก
เปลี่ยนใจ
ส่วนในห้องแหววแต่งตัวแล้ว เหลือแค่จะติดขอกระโปรง แล้วติดไม่ได้ เอวหนาขึ้น
เฉิดฉวีแอบแง้มประตูดู เห็นแหววยืนหงุดหงิดอยู่หน้ากระจก พยายามติดขอกระโปรง แต่ติดไม่ได้ เฉิดฉวีหน้าเสีย
กระโปรงถูกปาลงไปในตะกร้าผ้าโครม
แหววอยู่ในชุดเสื้อคลุม เดินไปนั่งที่เตียงอย่างหงุดหงิด หน้าตากลัดกลุ้มมาก
“บ้าจริง!”
เฉิดฉวีเปิดประตูเข้ามา แหววหันมาเห็นก็ตกใจ
“คุณแม่!”
“แหววมีอะไรจะบอกแม่ไหม”
แหววทำไม่รู้ไม่ชี้ “บอกอะไรคะ”
“แหววจะบอกเองดีๆ หรือจะไปหาหมอ ให้เขาตรวจ ว่าทำไมแหววถึงได้อ้วนจนใส่เสื้อผ้าเดิมไม่ได้ แล้วคลื่นไส้อาเจียนตอนเช้าๆ”
แหววอึ้ง แล้วตัดสินใจว่าปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ เลยเชิดหน้าตอบ
“แหววท้องค่ะ คุณแม่ ท้องได้สองเดือนกว่าแล้ว”
เฉิดฉวีแทบจะกรี๊ด ที่เห็นแหววตอบหน้าตาเฉย
ค่ำนั้น สันทนาเดินหน้าตาตื่นเข้าบ้าน เฉิดฉวีเดินมารับ
“ไหน มีเรื่องอะไร น้อง ลูกแหววเป็นอะไร”
“ลูกสาวเราทำงามหน้าแล้วน่ะสิคะ คุณพี่”
ทั้งสองวิ่งขึ้นไปชั้นบน
พอเข้าห้องมา สันทนาแผดเสียงใส่แหวว ที่นั่งหน้างออยู่บนเตียง
“แกท้องกับใคร ยัยแหวว”
“ศิวพจน์ค่ะ”
“มันรู้ไหม”
“รู้ค่ะ”
“รู้แล้วทำไมมันไปมุดหัวอยู่ที่เมืองนอก ทำไมไม่กลับมากับแก”
“แหววกับเขาทะเลาะกัน เขานอกใจแหววไปมีคนอื่น”
“พ่อไม่สน มันทำแกท้อง มันต้องแต่งงานกับแกพ่อจะให้คนไปลากคอมันกลับมา”
สันทนาจะเดินออกไป แหววลุกขึ้น
“อย่านะคะ คุณพ่อ แหววไม่เอานะ” สันทนากับเฉิดฉวีงง “คนอย่างแหวว ไม่จำเป็นต้องง้อให้ใครมาแต่งงานด้วย”
เฉิดฉวีกรี๊ดใส่ “แล้วแกจะปล่อยให้ตัวเองท้องไม่มีพ่อหรือยังไง แกไม่เห็นแก่ตัวเองก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่บ้าง พ่อแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“แหววว่าจะเอาเด็กออก”
สันทนาโกรธจัด ตบหน้าฉาดใหญ่ จนแหววหน้าหัน!
“แกจะทำตัวเหลวแหลกยังไงฉันไม่ว่า แต่ถ้าแกถึงกับฆ่าลูกในท้อง ฉันไม่ให้อภัยแกจริงๆ”
สันทนาเดินหุนหันออกไป แหววอาละวาดขว้างปาข้าวของตามหลัง
แหววร้องไห้ สะอึกสะอื้น “คุณพ่อ! คุณพ่อใจร้าย คุณพ่อใจดำ”
“โอ้ย พอที ยัยแหวว หยุดบ้าได้แล้ว”
แหววไม่หยุด ยังอาละวาด ร้องกรี๊ดๆ เฉิดฉวีทนไม่ไหว หนีออกจากห้อง
สันทนาเดินงุ่นงานด้วยความโมโหอยู่ในห้องโถง เฉิดฉวีเดินปึงปังเข้ามา สันทนาหันไปถาม
“ลูกสาวน้องหายบ้าแล้วเรอะ”
“ลูกมันก็บ้าเหมือนพ่อมันนั่นแหละ” เฉิดฉวีต่อว่า “พี่ไปตบลูกทำไม”
“ก็มันกวนโมโห”
เฉิดฉวีแขวะสวน “ดีแต่โมโห โมโหแล้วช่วยอะไรได้”
สันทนาประชด “ก็ปล่อยให้ท้องโย้ไป คนจะได้รู้ว่าแม่ไม่สั่งสอน”
“แล้วพ่อยัยแหววมันดีนักนี่ วันๆ ก็เอาแต่ไปจู๋จี๋ดู๋ดี๋กับเมียน้อย”
สันทนาทนไม่ไหว “นี่ น้อง...”
เสียงโทรศัพท์ดัง ทั้งสองคนชะงัก
เฉิดฉวีแว้ดขึ้น “นี่ ใครรับโทรศัพท์ด้วยซี”
สาวใช้ที่แอบตัวงออยู่หน้าประตู รีบวิ่งเข้ามารับสาย
“บ้านนายพลสันทนาค่ะอ๋อ ค่ะๆ สักครู่นะคะ”
สาวใช้พักสาย แล้ววิ่งมากระซิบกระซาบ “คุณหญิงจิ๋มจะขอเรียนสายกับคุณหญิงค่ะ”
“บอกไปว่าไม่ว่าง...ไม่อยู่เลยก็ได้ ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร” สาวใช้วิ่งกลับไป เฉิดฉวีบ่น “โทร.มาจะมีอะไร ก็มีแต่ขอๆๆๆๆ”
สาวใช้ยกโทรศัพท์ขึ้นมา สันทนานึกอะไรได้ หันไปสั่ง
“เดี๋ยว” สาวใช้ชะงัก สันทนาสั่งเฉิดฉวี “น้องไปรับสายเขาเดี๋ยวนี้”
“หา” เฉิดฉวีงงเต๊ก
“พูดกับเขาดีๆ แล้วบอกเขาด้วย ว่าพี่เชิญเขามากินข้าวที่บ้านเราเย็นนี้”
“อะไรกันคะ.. ทำไม”
“ตะกี๊บ่นว่าพี่ไม่หาทางช่วยลูก นี่ก็ช่วยแล้วไง”
เฉิดฉวีเข้าใจ ยิ้มออกมาทันที
อ่านต่อตอนที่ 35