อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 32
ค่ำคืนนั้น แหววแต่งตัวเปรี้ยวจัด เดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟา โยนกระเป๋าถือให้สาวใช้
“เอาไปเก็บให้ด้วย แล้วขอน้ำเย็นๆ มากินหน่อย”
“ค่ะ คุณแหวว”
สาวใช้ออกไป เฉิดฉวีเดิหน้าบึ้งเข้ามา
“กลับมาก็เที่ยวหัวราน้ำเชียวนะ”
“โธ่ คุณแม่ขา แหววหายไปตั้งหลายเดือน กลับมาก็ต้องออกไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าบ้างสิคะ”
“แล้วสังสรรค์กลางวันไม่ได้หรือจ๊ะ ไปกินน้ำชา ไปดูหนัง เหมือนลูกสาวบ้านอื่นเขา...นี่อะไร เป็นสาวเป็นแส้ ออกไปเต้นรำกินเหล้า...” ผู้เป็นมารดาค้อนขวับ “เหมือนพ่อแกไม่มีผิด”
“ก็แหววลูกคุณพ่อนี่คะ…พูดถึงคุณพ่อ แหววกลับมา เพิ่งได้เห็นหน้าคุณพ่อครั้งเดียว...คุณพ่องานยุ่งหรือคะ”
“งานอะไร...ช่วงนี้พ่อแกเขาหายใจเข้าออกเป็นนังอุษา ป่านนี้ก็คงพากันไปกกอยู่ที่ไหนละมั้ง ไม่กลับง่ายๆ หรอก”
เฉิดฉวีพูดอย่างคับแค้น โกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้
จริงดังว่าค่ำคืนนั้น สันทนากับสากินข้าวด้วยกันในห้องพักของโรงแรมประจำ สาหน้านิ่งๆ ขรึมๆ ตลอดจนสันทนาถาม
“ไม่หิว?”
“กินไม่ลงค่ะ”
สาหน้ามุ่ย ลุกไปนั่งที่โซฟา สันทนาเข้าใจ แต่ทำเป็นไม่สน ลุกตามไป
“งั้นดูนี่...”
สันทนาส่งแคตตาล็อกรถและตารางสีรถให้สา สามองแปลกใจ
“ท่านจะซื้อรถยนต์ให้โสภิต คุณเอาไปให้โสภิตเลือกว่าจะเอาสีอะไร แล้วมาบอกผม”
“ไม่...ได้ไหมคะ”
“รับไปเถอะน่ะ มันเป็นเป็นธรรมเนียม ท่านจะให้ทุกคนเป็นของรับขวัญ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงรถค่ะ ฉันหมายความว่า...ท่านปล่อยโสภิตไปซักคนได้ไหมคะแกยังเด็กนัก อายุคราวลูกคราวหลานด้วยซ้ำ อนาคตแกยังไปอีกไกล”
สันทนาฟัง เข้าใจทุกอย่าง แต่ตัวเองก็ต้องทำหน้าที่
“คุณสา เราพูดเรื่องนี้กันไปแล้วนะ ผมบอกแล้วไง ว่าไม่มีใครปฏิเสธท่านได้”
สากอดออเซาะ “คุณช่วยฉันได้ไม่ใช่หรือคะ...นะคะ ได้โปรด”
สันทนากอดสาตอบหลวมๆ พูดจริงจัง
“โสภิตพิไลจะได้บ้านหลังใหญ่ที่สุด รถที่ดีที่สุด เครื่องเพชรที่แพงที่สุด ผมจะทำให้หลานสาวของคุณเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดชนิดที่ใครๆ ต้องอิจฉา...นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ แต่นอกเหนือกว่านั้น” นานพลโทเชยคางสาขึ้นมา “อย่าหวัง”
สากลุ้มหนัก
เช้าวันนี้ เป็นวันหยุด ใจสว่างใส่ชุดอยู่กับบ้านน่ารัก จัดโต๊ะอาหารเช้า หันไปดูนาฬิกา บอกเวลา 7 โมงเช้า ใจสว่างสีหน้าแปลกใจนิดๆ
ไม่นานต่อมา ใจสว่างเดินมาเคาะประตูห้องสาเบาๆ
“คุณป้าขา...คุณป้า... ตื่นหรือยังคะ” ไม่มีเสียงตอบ “ใจเข้าไปได้ไหมคะ”
สาอยู่บนเตียงในห้อง งัวเงียลุกขึ้นมาร้องบอกไป “เข้ามาเถอะ หนูใจ”
ใจสว่างเปิดประตูเข้าไปเห็นสาหน้าตาซีดเซียว เข้าไปถาม
“คุณป้าไม่สบายหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว”
สาเอามือลูบหน้าอย่างอ่อนระโหย “นอนไม่หลับน่ะจ้ะ”
ใจสว่างเข้าไปนั่งคุยข้างเตียง ท่าทีห่วงใย “กลุ้มเรื่องพี่โสภิตกับท่านใช่ไหมคะ”
“ก็ด้วยจ้ะ แต่ยังไม่เท่าเรื่อง...เรื่องโสภิตจะแต่งงาน”
ใจสว่างแปลกใจไม่รู้เรื่อง สาถอนใจ เล่าเรื่องที่คุยกับชายรวีเมื่อวานให้ฟัง
เวลานั้นสาลุกพรวด โวยวายเสียงดังลั่น
“ไม่ได้นะคะ โสภิตจะแต่งงานกับคุณชิษณุไม่ได้ เขาสองคนจะแต่งงานกันไม่ได้”
ชายรวีแปลกใจที่สาโวยวายมาก แต่ก็พยายามเข้าใจ
“ไม่มีใครเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรอกครับ คุณสา แต่ทั้งสองคนรักกันมาก ถึงขั้นจะพากันหนีพี่หญิงรองกับหม่อมแม่ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องยอมตามใจ”
“ไม่ค่ะ ยอมไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้” สาลนลาน “เขาสองคนเป็น...เป็น” สุดท้ายพูดไม่ออก
“ครับ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ก็อย่างที่บอกไงครับ พวกเราห้ามเขาไม่ได้ หม่อมแม่ท่านก็เลยตัดสินใจว่า ให้ตบแต่งกันให้ถูกต้องเสียยังดีกว่า จะปล่อยให้หนีเตลิดไป”
ใจสว่างฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็เข้าใจความทุกข์ของสา
“ที่คุณป้ากลุ้มใจ เพราะจริงๆ แล้วพี่โสภิตเป็นลูกสาวคุณป้า ก็เท่ากับว่า เป็นน้าของฝ่ายชาย... ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องอย่างที่เขาเข้าใจใช่ไหมคะ”
สาพยักหน้า “โสภิตมีศักดิ์เป็นน้า เป็นญาติผู้ใหญ่ คนโบราญเขาถือนะหนูใจ แต่งงานกับญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกันไม่ได้...อัปมงคล ชีวิตจะพากันล่มจมทั้งสองฝ่าย”
“ถ้าคุณป้ากลัวอย่างนั้น คุณป้าต้องบอกพี่โสภิตนะคะให้เธอตัดใจ”
“ป้า...ป้าไม่กล้า โสภิตคงจะโกรธป้ามาก”
“ยังไงคุณป้าก็ต้องบอกใครซักคนล่ะคะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป”
โทรศัพท์ที่โถงกลางตำหนักขาวดังขึ้น หญิงจ้อยเดินผ่านมาพอดี
“สวัสดีค่ะ บ้านรวีวารค่ะ”
เป็นสาโทร.จากร้านเสริมสวย สาอ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูด ใจสว่างยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ
สาเอามือปิดกระบอกเสียง กระซิบบอกใจสว่าง “คุณหญิงจ้อย”
เสียงหญิงจ้อยดังจากปลานสาย “บ้านรวีวารค่ะ ไม่ทราบจะพูดกับใครคะ”
สาวางหูทันที ใจสว่างงงงัน “อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“ป้ากลัวน่ะ กลัวคุณหญิงจ้อยเธอจำเสียงป้าได้” สาบอก
ส่วนที่ตำหนักขาวหญิงจ้อยวางหู บ่นอย่างอารมณ์เสีย
“อะไรของเขา โทร.มาแล้วก็ไม่พูด”
ชายรวีเดินผ่านมาได้ยิน “ใครหรือครับ พี่หญิง”
“ไม่รู้สิ โทร.มาแล้วก็ไม่พูด พอเราถาม ก็วางหูไปเลย”
เสียงโทรศัพท์ดังอีก หญิงจ้อยหันขวับมามอง
“มา... ถ้าคราวนี้ไม่พูดอีก แม่จะด่าให้หูชาเลยคอยดู”
ชายรวีหัวเราะขำ รีบเข้าไปขวาง
“บาปกรรมเปล่าๆ ครับพี่หญิง มา... ผมรับเอง จะได้ไม่โมโห” คุณชายรับสาย “สวัสดีครับ บ้านรวีวารครับ”
ที่ร้านเสริมสวย คราวนี้ใจสว่างเป็นคนโทร. พูดสายอย่างดีใจ
“อาจารย์รวีใช่ไหมคะ หนูเองค่ะ ใจสว่าง”
“อ้าว ใจสว่าง” ชายรวีหันไปบอกหญิงจ้อยที่เท้าสะเอว ยืนตาขวางอยู่ “ลูกศิษย์ผมเองครับ เสียใจด้วย” หญิงจ้อยเชิดออกไป ชายรวีคุยสาย “โทรมามีธุระอะไรหรือเปล่า”
“คุณป้าอุษาอยากคุยกับอาจารย์ค่ะ...” ใจสว่างส่งสายให้สา
สาพูดอย่างลนลาน
“คุณชาย ดิฉันเองนะคะ ดิฉันอยากพบคุณชายสักหน่อยจะได้ไหมคะ”
ชายรวีแปลกใจ “พบผม?”
“ค่ะ” น้ำเสียงสาร้อนรนมาก “ด่วนที่สุดเลยนะคะ วันนี้เลยยิ่งดีค่ะ...นะคะ”
ชายรวีเลิกคิ้วแปลกใจ ว่าสามีเรื่องอะไรอีก
อ่านต่อหน้า 2
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 32 (ต่อ)
เย็นนั้นคุณหญิงศุภลักษณ์กับคุณหญิงโศภีเดินเข้ามาในตำหนักขาว มีคุณหญิงจ้อยออกมารับ
“สวัสดีค่ะ พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรอง…แหม วันนี้มากันพร้อมหน้าเลยนะคะ”
“ยังไม่พร้อมเท่าไหร่ ขาดหญิงจิ๋มไปคนนึงจ้ะ” หญิงศุภลักษณ์เย้า
“อุ๊ย รายนั้นน่ะ ขาดไปได้ล่ะเป็นดีค่ะ...เชิญพี่หญิงข้างในค่ะ หม่อมแม่อาบน้ำอยู่ เดี๋ยวคงลงมา”
คุณหญิงทั้งสามนั่งที่โซฟา โสภิตพิไลกับหวนช่วยกันเอาขนมกับน้ำชามาเสิร์ฟ
“ปั้นสิบปลาค่ะ คุณป้าหญิง รับประทานกับน้ำชา”
“ลงมือเองเลยหรือจ๊ะ โสภิต” หญิงศุภลักษณ์ถาม
“แค่ช่วยปั้นเท่านั้นค่ะ ไส้น่ะฝีมือยายจวน”
“วันนี้เขามาคุยเรื่องงานหมั้นของเรา” หญิงจ้อยล้อหวน “จะอยู่คุยด้วยก็ได้นะ หวน
เพราะถ้าหวนไม่มาฟ้อง คงหนีเปิดกันไปถึงไหนแล้ว ไม่ได้จัดงานหมั้นหรอก”
“แหม คุณหญิงจ้อยก็...หวนทำไปเพราะหวังดีนะคะ”
หญิงศุภลักษณ์ยิ้ม “ก็ถูกแล้วนี่ ใครไปว่าอะไร ต้องขอบคุณหวนด้วยซ้ำ”
“แล้วนี่ตานุไม่มาด้วยหรือ งานหมั้นตัวเองทั้งที” หญิงโสภีถาม
“ไม่อยู่ค่ะ พี่หญิง ไปออสเตรเลีย” พอเห็นหญิงโศภีทำหน้าสงสัย เลยเล่าขำๆ “ตอนที่คิดจะหนีน่ะ ไปบอกบริษัทเขาว่าจะไป ทีนี้พอโดนจับได้ ไม่ต้องหนีแล้ว เลยต้องไปทำงานให้เขาจริงๆ ตามที่พูดไว้”
“คงแทบขาดใจเลยล่ะสิท่า ป่านนี้” หญิงจ้อยเหน็บหลาน
หญิงโศภีหันไปมองหน้าโสภิตพิไลที่นั่งยิ้ม ฟังเรื่องชิษณุอยู่
“แม่โสภิตนี่ก็น้อยกว่ากันเมื่อไหร่ ได้ยินชื่อตานุหน่อยล่ะหน้าสดขึ้นมาเชียว”
โสภิตพิไลเขิน
หญิงจ้อยหมั่นไส้ “นี่เก็บอาการหน่อยนะจ๊ะ แม่คุณ เดี๋ยวหม่อมยายเห็นเขา จะหมั่นไส้”
“ใช่ แล้วตอนผู้ใหญ่คุยกันน่ะ อย่ามาแอบฟังล่ะ ถ้าหม่อมยายจับได้ล่ะก็ โดนดีแน่” คุณหญิงโศภีว่า
โสภิตพิไลขำๆ “ค่ะ โสไม่ทำแน่ค่ะ ตอนนี้โสต้องทำคะแนน ให้หม่อมยายเห็นใจมากๆ ค่ะ” โสภิตพิไลบอกกับหวน “ไปค่ะ ป้าหวน”
โสภิตพิไลออกไปกับหวน สามคุณหญิงยิ้มอย่างเอ็นดู
ด้านชายรวีเดินมาหน้าร้านเสริมสวย เห็นป้ายแขวนว่าปิดแล้ว ก็ลังเล สาเดินออกมารับ
“เชิญค่ะ คุณชาย”
ชายรวีชี้ป้าย “ผมเห็นว่า...”
“ฉันปิดเร็วน่ะค่ะ ให้คนอื่นเขากลับไปซะ ไม่อยากให้ใครมาได้ยินเรื่องที่ฉันจะบอกกับคุณชาย”
“ครับ เห็นคุณอุษาบอกว่ามีเรื่องสำคัญ เรื่องด่วน”
“ค่ะ แต่เราต้องรอคนคนนึงก่อน”
ชายรวีรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกว่าเรื่องที่สาจะบอกน่าจะเป็นเรื่องใหญ่มาก เสียงใจสว่างดังขึ้น
“หนูมาแล้วค่ะ คุณป้า”
ใจสว่างเดินนำแป้นเข้ามา
ใจสว่างไหว้ “สวัสดีค่ะ อาจารย์...นี่คุณยายแป้น คุณยายของหนูค่ะ”
ชายรวีทักงงๆ “สวัสดีครับ” จำแป้นได้
เวลายามเย็น ทุกคนนั่งอยู่ที่โซฟารับแขก ใจสว่างนั่งห่างออกมาเล็กน้อยตามประสาเด็ก
“ความจริง เรื่องนี้ ฉันตั้งใจจะปิดเอาไว้เป็นความลับตลอดชีวิต แต่ในเมื่อโสภิตกำลังจะทำให้สิ่งที่ไม่สมควร ฉันเลยต้องพูด...คุณชายคะ ความจริงแล้ว โสภิตพิไลไม่ใช่ลูกของคุณหญิงโสภาค่ะ”
ชายรวีตกใจมาก “อะไรนะ”
“คุณชายได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ โสภิตไม่ใช่ลูกของคุณหญิงโสภา แต่แกเป็นลูกของฉัน ลูกที่เกิดจากหม่อมเจ้าโชติช่วงรวี รวีวาร ท่านพ่อของท่านชาย”
ชายรวียิ่งตกใจมากกว่าเดิม
“ลูกของคุณสา... กับ... ท่านพ่อ”
“ค่ะ โสภิตพิไล จริงๆ แล้วคือหม่อมราชวงศ์หญิงโสภิตพิไล รวีวาร ลูกสาวคนเล็กของหม่อมเจ้าโชติช่วงรวี เธอจึงมีศักดิ์เป็นน้องสาวของคุณชาย และเป็นน้าสาวของชิษณุ”
ชายรวีท้วง “แต่...แต่ว่าในทะเบียนบ้าน...”
“โสภิตพิไลเกิดหลังจากที่ท่านชายสิ้นไปแล้ว คุณหญิงโสภาสงสารน้องสาวไม่อยากให้เป็นลูกกำพร้า แล้วตัวเธอเองก็ไม่มีลูก เธอเลยรับโสภิตพิไลไปเป็นลูกของเธอกับคุณสมศักดิ์ตั้งแต่เกิดค่ะ” สาอธิบาย
ชายรวีอึ้ง แป้นพูดเสริมขึ้น
“เป็นความสัตย์จริงค่ะ คุณชาย อิฉันอยู่กับคุณสาในวันที่เธอคลอดโสภิตพิไลแล้วเป็นคนที่รู้เห็นเรื่องนี้มาตลอด อิฉันยืนยันได้”
ใจสว่างเสริมขึ้นเบาๆ อีกแรง
“หนูบังเอิญได้ยินตากับยายพูดเรื่องนี้ตอนหนูเด็กๆ ตากับยายขอให้หนูเก็บเป็นความลับ เพราะมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จะให้พี่โสภิตรู้ไม่ได้...พี่โสภิตพิไลเธอเป็นลูกของคุณป้าอุษาจริงๆ ค่ะ อาจารย์”
ชายรวีหนักอึ้งในใจ “เพราะอย่างนี้ คุณถึงยอมให้โสภิตพิไลแต่งงานกับชิษณุไม่ได้”
“ค่ะ แต่ฉันยอมรับ ฉันกลัว ฉันไม่กล้าบอกโสภิต ฉันรู้ว่าแกจะต้องโกรธฉันมาก ฉันเลย...เลย...หวังพึ่งคุณชาย”
ชายรวีอึ้งเป็นที่สุด
อีกฟากหนึ่ง หม่อมพริ้มออกคำสั่งกับคุณหญิงศุภลักษณ์
“แม่ว่าไม่ต้องจัดงานให้มันเอิกเกริกอะไรหรอก หญิงรอง วันหมั้นก็แค่นิมนต์พระมาทำบุญ แล้วก็สวมแหวนกัน ก็พอแล้ว”
“แล้วแขกเหรื่อหรือญาติผู้ใหญ่ล่ะคะ หม่อมแม่ จะเชิญใครบ้าง”
“พูดตรงๆ แม่ก็ยังตะขิดตะขวงใจ ไม่ต้องเชิญใครหรอก อายเขา”
หญิงศุภลักษณ์รับเสียงเบา สีหน้าดูออกว่าน้อยใจ “ค่ะ”
หญิงจ้อยสงสารเลยช่วยแย้งขึ้นมา
“ทำไมต้องอายล่ะคะหม่อมแม่ หญิงเห็นพวกเจ้านายท่านก็ยังเษกสมรส กับพี่น้องสายเลือดเดียวกันได้”
หม่อมพริ้มตวาดแว้ด
“นั่นมันเจ้านาย! ท่านต้องเษกกันเองเพราะโอรสธิดาจะได้เป็นอุภโตสุชาติ เป็นสายเลือดบริสุทธิ์เพื่อมาสืบทอดราชบัลลังก์ คนธรรมดาไม่มีใครเขาทำกัน” หม่อมพริ้มออกเสียงว่า อุป-พะ-โต-สุ-ชา-ติ ชัดเจนสมเป็นคนเก่าแก่
หญิงศุภลักษณ์ท้วงเสียงอ่อยๆ “แต่โสภิตกับตานุก็เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องนับทางพ่อก็ไม่เกี่ยวข้องกันเลยหญิงไม่เห็นว่าจะน่าเกลียดมากมายอะไร ถ้าไม่จัดงานเสียเลย หญิงกลัวเด็กเขาจะเสียใจ”
หม่อมพริ้มมองศุภลักษณ์อย่างอ่อนใจ
“กระบวนกลัวลูกล่ะไม่มีใครเกินหล่อนล่ะ หญิงรอง” แล้วหันมาทางหญิงจ้อย “ให้ใครไปตามแม่โสภิตมาที”
โสภิตพิไลนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ต่อหน้าทุกคน รับรู้เรื่องแล้ว
“โสไม่เสียใจหรอกค่ะ หม่อมยาย โสเข้าใจ แล้วโสว่าพี่นุก็ต้องเข้าใจ”
“พูดแค่เรื่องของตัว ไม่ต้องไปพูดแทนคนอื่น ยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย”
โสภิตพิไลรู้ว่าหม่อมพริ้มเข้มงวด แต่ก็รักตน ยิ้มตอบ
“ค่ะ หม่อมยาย โสเข้าใจ ดีใจเสียอีกที่จะไม่จัดงาน เพราะโสไม่อยากทำให้ใครๆ ต้องลำบากใจ”
“แน่นะ”
“ค่ะ แค่หม่อมยายยอมให้เราสองคนหมั้นกัน โสก็ขอบพระคุณมากแล้ว”
หม่อมพริ้มหันไปทางหญิงศุภลักษณ์
“งั้นก็ตกลงตามนี้ เรื่องเครื่องทองของหมั้น ถึงจะเป็นญาติกันเธอก็ต้องทำมาให้ถูกต้องเหมาะสม เข้าใจไหม หญิงรอง”
“ค่ะ หม่อมแม่”
หญิงศุภลักษณ์กับโสภิตพิไลยิ้มให้กันอย่างสมหวัง
กลับถึงตำหนักในตอนค่ำ ชายรวีนั่งใช้ความคิดอยู่ที่ท่าน้ำนานสองนาน กลุ้มใจเหลือเกิน อกจะแตก หญิงจ้อยเข้ามานั่งข้างๆ
“เป็นอะไร ท่านผู้พิพากษา”
ชายรวีหันมา “พี่หญิงจ้อย”
“เห็นหน้าตาบอกบุญไม่รับตั้งแต่หัวค่ำ”
“มีเรื่องกลุ้มใจน่ะครับ...พี่หญิงจ้อยมาก็ดีแล้ว ผมอยากจะปรึกษา”
“ปรึกษาพี่!? เรื่องอะไรกัน” หญิงจ้อยนิ่วหน้าท่าทีฉงนฉงาย
อ่านต่อหน้า 3
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 32 (ต่อ)
พอรู้เรื่องเข้าเท่านั้น คุณหญิงจ้อยก็ฉุดลากแขนชายรวีเดินกลับเข้าตำหนัก
“ไปเลยไป เรื่องใหญ่ขนาดนี้เธอต้องรีบบอกหม่อแม่”
ชายรวีขืนตัวไว้ “ใจเย็นก่อนสิครับ พี่หญิง ขืนผมบอกออกไป หม่อมแม่ต้องไม่ยอมให้สองคนนั้นแต่งงานกันแน่”
“ก็ใช่น่ะสิ...ไป”
ชายรวีขืนตัวไว้ “แล้วโสภิตจะเป็นยังไงครับ พี่หญิง” หญิงจ้อยชะงัก “แกกำลังมีความสุข มีความหวัง ถ้าแกรู้เรื่องนี้ แกจะรู้สึกยังไง”
หญิงจ้อยคิดตามแล้วอึ้งไป ชายรวีพูดอย่างหนักใจ
“เรื่องแต่งงานมันก็เรื่องนึงนะครับ แต่ถ้าโสภิตรู้ ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของพี่หญิงโสภา แต่เป็นลูกของคุณสา แกคงจะเสียใจมาก”
“แล้วชายจะไม่ทำอะไร ปล่อยให้มันเป็นความลับต่อไปงั้นหรือ”
ฝ่ายโสภิตพิไลอยู่บนเตียง นั่งมองสร้อยข้อมือเพชรของคุณหญิงโสภา ที่กลับมาอยู่ที่หม่อมพริ้มแล้ว ด้วยหน้าตาผ่องใส หญิงจ้อยเคาะประตู
“น้าเข้าไปได้ไหม โสภิต”
“เชิญเลยค่ะ น้าหญิงจ้อย”
หญิงจ้อยกับชายรวีเข้ามาทั้งสองมองหน้าสดใสยิ้มแย้มของโสภิตพิไลอย่างเวทนา
ชายรวีทักอ่อนโยน “ทำอะไรอยู่จ๊ะ”
“กำลังเห่อของใหม่ค่ะ หม่อมยายให้สร้อยมา” สีหน้าหญิงสาวเบิกบานมาก “บอกว่าเป็นสร้อยของคุณแม่โสดีใจจัง” พลางเอาทาบแขนอวดๆ “โสจะใส่วันหมั้น จะได้เหมือนคุณแม่อยู่กับโสด้วย ดีไหมคะ”
หญิงจ้อยกับชายรวีเห็นอาการของโสภิตพิไลแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ พูดไม่ออก
เวลาเดียวกันที่ไนต์คลับแห่งหนึ่ง เสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังกระหึ่ม ท่ามกลางแสงสีเร้าตา แหววแต่งตัวเปรี้ยวจัด โดดเด่นกว่าใคร กำลังวาดลวดลายอยู่กลางฟลอร์กับน้อง เพื่อนหญิงที่เปรี้ยวพอกัน
กลางฟลอร์ยังมีหนุ่มสาวหน้าตาดี เต้นอยู่ด้วย หนุ่มๆ ท่าทางดี ดูมีฐานะ เข้ามาเต้นล้อมรอบแหวว แหววเฟลิ้ตกับทุกคนอย่างน่ารัก น้องมองท่าทีของแหววอย่างแปลกใจ สุดท้ายน้องดึงแหววกลับมานั่ง ที่โต๊ะ
“นี่ๆๆๆ มานี่เลย ยัยแหวว”
“อะไร ยัยน้อง ฉันกำลังยั่วคนเล่นสนุกเลย”
“ย่ะ แม่ดาวยั่ว ฟลอร์แทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว...มายั่วผู้ชายเล่นอยู่นี่พี่ศิวพจน์แฟนเธอเขาไม่ว่าอะไรหรือ”
“จะมาว่าอะไร ไม่มีสิทธิ์ เลิกกันแล้วนี่”
“อะไร้ ก่อนไปเมืองนอกเห็นรักกันจี๋จ๋า แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไร”
แหววมีแววตาเจ็บปวดขึ้นมา แต่ทำทีไม่สนใจศิวพจน์ “หลายเรื่อง”
“ยังไง”
แหววโดนสะกิดเรื่องที่ไม่อยากพูดถึง อารมณ์เสียขึ้นมาทันทีตวาดแว้ด
“ช่างมันเถอะน่ะ จะมาซักไซ้ให้ได้อะไรขึ้นมานะ” น้องตกใจ แหววควักเงินมาวาง ปัง
น้องงง “นั่นเธอทำอะไร”
“จ่ายเงิน! ฉันจะกลับบ้านแล้ว เบื่อ”
แหววกระแทกปังๆ ออกไป น้องงง
จริงๆ แล้วแหววรักศิวพจน์อยู่มาก แต่เพราะหล่อนถูกเขาปฏิเสธเรื่องตั้งท้อง เลยโกรธกลับเมืองไทย แต่ในใจก็ยังรักอยู่มากๆ
เฉิดฉวีนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลา สลับกับการดูนาฬิกาด้วยความหงุดหงิด รอสันทนา
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงรถยนต์เบรคเอี๊ยด ตามด้วยเสียงว้ายของสาวใช้ และเสียงโครมดังสนั่น เฉิดฉวีตกใจ หนังสือแทบหล่น แหววเดินกระแทกโครมๆ เข้ามา หน้าบูดบึ้ง
“ตะกี้นี้เสียงอะไรยัยแหวว”
แหววบอกเสียงขุ่น “แหววขับรถชนต้นไม้ค่ะ”
“แต่แม่ได้ยินเสียงร้อง”
“แหววหลบค่ะ เลยโดนคน”
ผู้เป็นแม่ตกใจ อุทาน “ต๊าย”
“ไม่ตายค่ะ แค่เจ็บ...ถามพอหรือยังคะ” แหววจะเดินไป
“นี่ ยัยแหวว!”
เฉิดฉวีฉุนขาด กระชากแขนแหววเอาไว้
“แม่เป็นแม่แกนะไม่ใช่กระโถน จะโกรธใครมาจากไหนก็ช่าง แกจะมาลงกับแม่แบบนี้ไม่ได้”
“ก็แหววอารมณ์ไม่ดีนี่คะ แหววโกรธ คนมันกวนโมโหแหวว”
“แล้วแกคิดว่าฉันสบายใจนักหรือไง ฉันก็โกรธ ฉันไม่เห็นจะทำตัวบ้าบออย่างแก”
“ก็ทำสิคะ ใครไปห้ามล่ะ”
เฉิดฉวีสุดทน คว้าแจกันใกล้มือปาลงพื้นโครม แจกันสวยแตกกระจาย
แหววผลักตุ๊กตากระเบื้องจากชั้นโชว์ใกล้ๆ ลงไปที่พื้นโครม
สองแม่ลูกสลับกันคว้าของปาลงพื้นคนละเปรี้ยงสองเปรี้ยงระบายอารมณ์
สุดท้าย เฉิดฉวีหันไปเห็นรูปของสันทนาที่วางโชว์อยู่ เฉิดฉวีคว้ามาปาลงพื้นโครม! สีหน้าสาสมใจสองแม่ลูกมองหน้ากัน หอบ เหนื่อย แต่รู้สึกดีขึ้น
“ดีขึ้นไหมคะ คุณแม่”
เฉิดฉวีไม่ตอบ แต่สีหน้ายอมรับ
สองแม่ลูกอยู่ในอีกห้องที่ไม่ใช่สมรภูมิปาของ เฉิดฉวีนั่งสงบอารมณ์ แหววเอาเครื่องดื่มมาให้
“คุณแม่โกรธคุณพ่อเรื่องอะไรคะ
“พ่อแกไปติดผู้หญิง”
“คุณแม่แน่ใจเหรอคะ”
“แม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นใคร” เฉิดฉวีแค้นจนน้ำตาคลอ “พ่อแกรักเขามาก ไปขลุกอยู่กับเขาแทบทุกคืน...แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ แม่จะไปทำอะไรพ่อแกได้”
“แม่ทำอะไรคุณพ่อไม่ได้ ก็ไปทำคนอื่นสิคะ” แหววบอก
เฉิดฉวีชะงัก “แหวว ว่าอะไรนะลูก”
“คุณแม่โกรธ คุณแม่จะเก็บเอาไว้ทำไม ต้องระบายออกไปค่ะ คุณแม่”
เฉิดฉวีได้คิด ยิ้มออกมา
วันนี้ที่ร้านสามีลูกค้าแน่นร้าน เก้าอี้ทำผมมีลูกค้านั่งเต็มทุกที สา คุณชม และเพ็ญศรีพากันวิ่งวุ่นลูกค้าร้องเรียกกันเซ็งแซ่
ลูกค้า 1ร้องขอ “เพ็ญจ๋า ขอน้ำส้มกินหน่อย”
เพ็ญศรีบอก “ได้เลยค่ะ”
ลูกค้า 2 บอก “คุณสา โรลล์แน่นไปนะคะ”
“เดี๋ยวแก้ให้ค่ะ” สาเรียก “คุณชมๆ”
อารามตกใจ ชมเผลอเอากรรไกรหั่นผมหน้าม้าลูกค้าอีกราย ฉับ!
ลูกค้า 3ร้อง “ว้าย แม่!... แหว่ง”
“แหว่งก็ซ่อมได้ ส.บ.ม.ย.ห สบายมากอย่าห่วง ฮ่ะ
ลูกค้า 1ร้องขึ้นอีก “เพ็ญ หิวน้ำ”
“มาแล้วค่ะ”
เพ็ญศรีถลามาพร้อมกับน้ำส้ม แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อชายฉกรรจ์ท่าทางดุดัน 4-5 คนเข้ามาในร้าน ทุกคนในร้านตกใจ
“มาทำอะไรคะ”
ชายกลุ่มนั้นไม่ตอบ ลงมือทำลายข้าวของระเนระนาด ลูกค้าส่งเสียงวี๊ดว้าย พากันวิ่งหนีทั้งที่มีโรลล์ม้วนผมเต็มหัว
“นี่ พวกแกจะทำอะไรน่ะ หยุดนะหยุด”
สาเข้ายื้อยุด แล้วโดนเหวี่ยงกระเด็นไป
เพ็ญศรีตะโกน “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
เพ็ญศรีจะวิ่งออกไปหาคนช่วย แต่โดนดึงไว้ แล้วเหวี่ยงไปกองรวมกับสา
“ไอ้พวกบ้า ออกไปนะ”
กะเทยช่างผมถือกรรไกรเงื้อง่า เจอชายร่างยักษ์ยืนขวางหน้า ชมกลัวจนกรรไกรหล่น ชายนั้นผลักชมเซไปกองรวมกับเพ็ญศรีและสา ที่โดนผลักไปกองรวมกันแล้ว
ชาย 1หัวโจกสั่ง “ไม่อยากเจ็บตัว ก็อยู่เฉยๆ”
ชายเหล่านั้นพังร้านจนราบ แล้วชาย 1 หันมาชี้หน้าสา
“นี่แค่สั่งสอน ถ้าไม่เข็ด คราวหน้าจะไม่ใช่แค่ของที่พัง”
ชายชั่วทั้งหมดเดินออกไป สา เพ็ญศรี และคุณชมตะเกียกตะกายขึ้นมา
“นี่มันอะไรกัน คุณสา”
สาไม่ทันตอบ ก็เห็นเฉิดฉวีเดินเข้ามาในร้านอย่างสง่า มีแหววเดินตามหลัง สีหน้าของทั้งสองคนดูสะใจ
“คุณหญิงเฉิดฉวี”
เฉิดฉวีมองไปรอบๆ “สมน้ำหน้า... นี่ฉันว่ายังน้อยไปนะ สำหรับผู้หญิงแพศยา ที่ชอบแย่งผัวชาวบ้านอย่างเธอ”
ทุกคนอึ้งเป็นแถบ
“อะไรนะคะ” สาเอะใจ “นี่คุณ... นี่เป็นฝีมือคุณใช่ไหม”
เฉิดฉวีหัวเราะเยาะ แหววบอก
“เอาเป็นว่า นี่แค่เบาะๆ ถ้าหากแกยังมายุ่งกับคุณพ่อของฉัน แกไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่”
เฉิดฉวีกับแหววเดินเชิดๆ ออกไป
สา เพ็ญศรี และชมยืนอึ้ง
ทุกคนช่วยกันเก็บของเข้าที่ ส่วนที่แตกหัก ก็ช่วยกันเก็บทิ้ง สาขรึมลง
“ฉันเตือนคุณสาแล้วใช่ไหม ว่าคุณกำลังหาเรื่องใส่ตัว”
สาเดินหนี เพ็ญศรีตามไป “คุณสาชอบเขาเหรอคะ”
สานิ่งงันไปนิดหนึ่ง “ฉัน...เหงา แล้วเขาก็ดีกับฉันมาก”
เพ็ญศรีแย้ง “แต่เขามีลูกมีเมียแล้วนะคะ ทำไมคุณ...”
สาสวนออกมา “ตอนแรกมันเป็นความบังเอิญ แล้วหลังจากนั้น มันก็มีมาอีกเรื่อยๆ ฉันว่าจะไม่ แต่ฉันก็ขัดเขาไม่ได้ซักครั้ง”
สาระบายอย่างอัดอั้น
“จะไปโทษเขาก็ไม่ถูก โทษตัวฉันเองดีกว่า ฉันมีความสุขเวลาที่อยู่กับเขา...เพ็ญไม่เข้าใจหรอก ฉันไม่เหมือนเพ็ญ ฉันมันคนมีกรรม ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้มัน...มันไม่มีความสุขเลย”
เพ็ญศรีมองสา อ่อนใจ แล้วเดินไปเก็บขยะต่อ
สาปาของทิ้งลงถังอย่างแรง แล้วนั่งลงร้องไห้อย่างคับแค้นในใจ
ห่างออกไป ใจสว่างในชุดนิสิต เพิ่งกลับจากเรียนมา ยืนมองสา แววตาบอกชัดว่าทั้งสงสารเห็นใจ
ใจสว่างช่วยเก็บร้านไป คุยกับเพ็ญศรีไป “สงสารคุณป้านะคะ”
“จริงๆ ก็น่าเห็นใจ คุณสาแกเป็นคนดีนะ หนูใจ ดีทุกอย่าง จะเสียอยู่เรื่องเดียวก็เรื่องนี้แหละ”
“คนเราไม่มีใครดีพร้อมหรอกค่ะ น้าเพ็ญ”
“ก็ใช่ แต่เป็นผู้หญิง มาเสียเรื่องชู้สาวมันเสียมากกว่าเรื่องไหนๆ โชคดีนะ ที่โสภิตพิไลเขาไม่รู้เรื่องนี้ ...ถ้าเขารู้ล่ะก็ คงเสียใจแย่”
เย็นวันใหม่ สาวใช้เปิดประตูบ้าน รถคันใหญ่ของหลวงหาญขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน คุณหลวงลงมาจากรถ หน้าตาเบิกบาน
หญิงศุภลักษณ์เดินออกมาจากบ้าน มารับสามีตามหน้าที่แม่บ้านที่ดี ยิ้มแย้มถามไถ่
“วันนี้มีประชุมธนาคารหรือคะ ทำไมกลับช้ากว่าทุกวัน”
“ที่ช้าเพราะมัวไปรับของขวัญมาให้คุณหญิงนะซี”
“อะไรคะ”
ชิษณุลงมาจากรถร้องทัก “คุณแม่”
หญิงศุภลักษณ์ดีใจมาก “ตานุมาได้ยังไงนี่”
ชิษณุโผเข้ากอดแม่ “ไม่ดีใจหรือครับ”
“ดีใจสิ” คุณหญิงสั่งสาวใช้ “ละออง เอากระเป๋าคุณขึ้นไปเก็บนะ” แล้วหันมาทางชิษณุ “เข้าบ้านกันลูก แม่มีอะไรจะอวด”
หญิงศุภลักษณ์เดินนำชิษณุกับหลวงหาญเข้ามาในห้องด้านใน หันไปบอกลูกอย่างภาคภูมิ
“ดูอะไรนี่สิลูก”
ศุภลักษณ์ฉากหลบ ชิษณุมองไปที่ด้านในของห้องแล้วตะลึง เมื่อเห็นโสภิตพิไลในชุดไทยจักรี อันเป็นชุดเจ้าสาว สวยงามราวกับภาพวาด ชิษณุพูดคล้ายคนละเมอ
“โสภิต...น้อง”
อ่านต่อหน้า 4
อีสารวีช่วงโชติ ตอนที่ 32 (ต่อ)
โสภิตพิไลหันมา ด้วยแปลกใจและดีใจที่เห็นชิษณุตรงหน้า
“พี่นุ”
ทั้งสองโผเข้าหากัน แทบอยากจะกอด แต่ก็ชะงักยั้งไว้ เพราะรู้ว่าไม่สมควร เพียงแค่จับมือกัน แต่ความรู้สึกข้างในท่วมท้นล้นปรี่
“พี่นุกลับมาได้ยังไงคะ ไหนว่าจะกลับอาทิตย์หน้า”
“พี่เร่งทำงานจนแทบจะไม่ได้หายใจเลย ให้มันเสร็จเร็วที่สุด อยากกลับมาเห็นหน้าเจ้าสาว”
ชิษณุมองโสภิตพิไลแทบจะกลืนเข้าไปทั้งตัว หญิงศุภลักษณ์กับหลวงหาญเข้ามายืนข้างๆ
“นี่ชุดแต่งงานของแม่เองนะ แม่ไม่มีลูกสาว เลยเอามาให้โสภิตเขาใส่ สวยไหมจ๊ะ”
“สวย...สวยที่สุดเลยครับ”
ชิษณุมองอย่างดื่มด่ำ โสภิตพิไลตัวลอยด้วยความสุข
คุณหญิงศุภลักษณ์กับหลวงหาญก็ยิ้ม ชื่นชมในความรักของทั้งคู่
ชายรวีเดินเข้ามาที่โถงหน้าบ้าน สาวใช้มาต้อนรับไหว้ทักทาย “สวัสดีค่ะ คุณชาย”
ชายรวีรับไหว้ “ผมมารับโสภิตพิไล”
“เชิญค่ะ”
สาวใช้เดินนำชายรวีเข้าไป
ชายรวีนั่งอยู่กับหญิงศุภลักษณ์ หลวงหาญ และชิษณุ
ชายรวีบอกกับหญิงรอง “หม่อมแม่ให้ผมมารับโสภิตน่ะครับ”
“โสภิตไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่น่ะจ้ะ เดี๋ยวก็ลงมา”
“เสียดายยูมาช้า เลยอดเห็นโสภิตใส่ชุดเจ้าสาว...สวยมาก” ชิษณุอวด
หญิงศุภลักษณ์ดุยิ้มๆ ไม่จริงจัง “เรียกน้าชายว่ายูอีกแล้ว เฮ้อ สอนกี่ทีไม่จำ ลูกคนนี้”
“เออ แล้วพอแต่งงานกัน หนูโสภิตจะต้องเรียกคุณหญิงว่าอะไร”
“ตอนนี้เรียกคุณป้าหญิง แต่ต่อไป ก็เห็นจะต้องเรียกว่าคุณแม่ล่ะค่ะใช่ไหมจ๊ะชายรวี”
ชายรวีฟังๆ แล้ว ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะปล่อยเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้
“พี่หญิงคุณพี่หลวงครับ ผมขออนุญาต...นุ ผมมีเรื่องสำคัญ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม”
ชิษณุงงๆ แต่ก็ลุกขึ้นโดยดีหลวงหาญกับศุภลักษณ์ไม่ได้ระแวงอะไร
ชายรวีเดินนำชิษณุมาที่สวน ตรงมุมที่ค่อนข้างสงบ มีม้านั่งอยู่
“นั่งสิ”
ชิษณุหัวเราะขัน “อะไรของยูวะ...ไอไม่เมื่อย นั่งมาเยอะแล้ว มีอะไรว่ามาเลย”
ชายรวีมองหน้าชิษณุ ลุ้น ตั้งใจ
“นุ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นความจริงที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ความจริงเกี่ยวกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดโสภิตพิไล”
ชิษณุเง็ง “ยังไง”
“โสภิตพิไลไม่ใช่ลูกของคุณหญิงโสภาพรรณวดีกับนายสมศักดิ์ วรประเสริฐ...พ่อของโสภิตคือ หม่อมเจ้าโชติช่วงรวี รวีวาร ท่านตาของนุ” ชิษณุอึ้งไปชั่วขณะ “ส่วนแม่ของเธอคือ หม่อมสาหรือคุณอุษา”
ชิษณุตกใจ “อะไรนะ!”
ชายรวีย้ำ “โสภิตเป็นลูกของท่านพ่อผม ท่านตาของนุ ที่ติดท้องหม่อมอุษาไป ตอนที่เธอหนีออกจากวังรวีวาร...โสภิต คือหม่อมราชวงศ์หญิงโสภิตพิไล รวีวาร เธอมีศักดิ์เป็นน้องสาวของผมและพี่หญิงศุภลักษณ์ เท่ากับมีศักดิ์เป็นน้าสาวของนุ”
ชิษณุช็อก อึ้ง
โสภิตพิไลเปลี่ยนชุดเป็นชุดธรรมดาแล้ว เดินลงมามองหาชิษณุไม่เห็น
“คุณป้าหญิงขา พี่นุล่ะคะ”
หญิงศุภลักษณ์นั่งอยู่กับหลวงหาญหันมาตอบ
“ออกไปคุยกับชายรวีข้างนอกได้สักพักแล้วจ้ะ”
“น้าชายมาเหรอคะ”
หลวงหาญว่า “หม่อมท่านส่งมารับหนูนั้นแหละ มาถึงก็ชวนกันออกไปคุยอะไรไม่รู้”
“หนูโสภิตออกไปตามทีเถอะ ออกไปตั้งนานแล้ว”
“ค่ะ คุณป้าหญิง”
หญิงศุภลักษณ์ยิ้ม “ไม่ใช่จ้ะ อีกหน่อยก็ต้องเรียกฉันว่าแม่แล้วนะ”
“ค่ะ”
โสภิตพิไลเขิน เดินยิ้มระรื่นออกไป
ชิษณุยังคงไม่หายช็อก ถามเสียงเครือ “นี่โสภิตรู้หรือเปล่า”
“คุณอุษาไม่ได้บอกใครเลย นอกจากผม และที่ผมต้องบอกนุ เพราะผมยอมให้นุกับโสภิตแต่งงานกันไม่ได้”
ชิษณุบอกออกไปอย่างขมขื่นใจ “หลานชายแต่งงานกับน้าสาว”
ชายหนุ่มถึงกับทรุดลงนั่ง ชายรวีตามไปอธิบาย
“ใช่ เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันยังพออนุโลม แต่นี่โสภิตมีศักดิ์เป็นน้า เป็นน้องของแม่ ถึงจะไม่ใช่สายตรง แต่ก็ถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่”
ชิษณุยกมือห้าม “หยุด พอที ไอไม่อยากฟัง”
“นุต้องฟัง เพราะผมต้องการให้นุช่วย...นุเป็นคนเดียวที่จะหยุดเรื่องนี้ได้”
ชิษณุน้ำตาคลอ เจ็บเหมือนใจจะขาด
“Why me? Why?”
“เพราะนุเป็นผู้ชาย ต้องอดทนได้มากกว่า เสียสละได้มากกว่า เพราะผมรู้ว่าโสภิตรักนุมาก และเธอไม่เข้มแข็งพอ ที่จะเดินจากไป”
ชิษณุน้ำตาร่วง
โสภิตพิไลเดินออกมาตาม ส่งเสียงสดใสนำมา
“พี่นุขา” ชิษณุรีบเช็ดน้ำตา “น้าชาย ป้าหญิงรอง เอ๊ย” หญิงสาวออกอาการเขินๆ “คุณแม่ให้โสมาตามค่ะ เห็นหายออกมาตั้งนาน” โสภิตพิไลเห็นอาการชิษณุแปลกๆ “พี่นุเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ชิษณุมองโสภิตพิไลนิ่ง แววตาปวดร้าว
“พี่นุคะ”
ชิษณุกลืนกินความเจ็บปวด “พี่...พี่รู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอโทษที”
ชิษณุเดินออกไป โสภิตพิไลงง
“พี่นุ...” ชายรวีคว้าแขนไว้ ไม่ให้ตาม “น้าชายคะ พี่นุเขาเป็นอะไรของเขา”
ชายรวียิ้มกลบเกลื่อน
“ก็เขาบอกแล้วไงว่าเขาไม่สบาย เพิ่งเดินทางมาไกล สงสัยจะผิดอากาศกระมังเราไปลาพี่หญิงรอง แล้วกลับบ้านกันเถอะ...ทางนี้เขาจะได้พักผ่อน”
“ค่ะ”
โสภิตพิไลยังคลางแคลงไม่คลาย ด้วยชิษณุไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
กลางดึกเสียงเพลงบรรเลงเศร้าสร้อยดังมาจากวิทยุในบ้าน ดวงจันทร์ส่องสว่างในสวน ชิษณุนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมเสียงของชายรวีดังกึกก้องในห้วงความคิด
“เพราะนุเป็นผู้ชาย ต้องอดทนได้มากกว่า เสียสละได้มากกว่า เพราะผมรู้ว่าโสภิตรักนุมาก และเธอไม่เข้มแข็งพอ ที่จะเดินจากไป”
ชิษณุน้ำตาไหลริน
ในแสงสลัวของยามเช้า เสียงเพลงขาดลงอย่างห้วนๆ ก่อนจะมีเสียงคุณหญิงศุภลักษณ์ร้องกรี๊ดโหยหวนดังก้องไปทั่วบ้าน
“ตานุ ตานุลูกแม่...”
คุณหญิงศุภลักษณ์ยังอยู่ในชุดนอนวิ่งลงมาที่ชั้นล่าง มีจดหมายในมือ น้ำตานองหน้า
“คุณหลวงขา ตานุไปแล้ว”
หลวงหาญวิ่งเข้ามาหาพูดปลอบ
“อะไรคุณหญิง ใครไปไหน ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งร้องไห้”
หญิงศุภลักษณ์ส่งจดหมายให้สามี “ตานุค่ะ ตานุไปแล้ว ตานุไปแล้ว อยู่ดีๆ ก็ไป มันเกิดอะไรขึ้น”
หลวงหาญรับจดหมายที่ยับยู่ยี่มาอ่าน จดหมายเขียนด้วยลายมือตวัดยุ่ง บอกถึงอารมณ์อันสับสน
แทนสายตาหลวงหาญ เห็นเนื้อความแล้วตะลึง
จังหวะนี้ขบวนรถไฟที่แล่นออกไปมุ่งหน่าสู่ต่างจังหวัด ข้างทางเป็นภูเขาและท้องทุ่งนา หลวงอ่านจดหมายของชิษณุ ราวกับมีเสียงลูกชายมาอ่านอยู่ข้างๆ หู
“กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพรัก ผมตัดสินใจจะไปอยู่ที่ต่างจังหวัด ไม่มีกำหนดกลับ ไม่ต้องห่วงผม และไม่ต้องพยายามติดต่อ ผมจะกลับมาเองเมื่อพร้อม ...ชิษณุ”
หลวงหาญอึ้งๆ หันมาพูดกับหญิงศุภลักษณ์ ด้วยท่าทีแปลกใจมาก
“ไปอยู่ต่างจังหวัด...ไม่มีกำหนดกลับ”
ศุภลักษณ์สะอื้น “ลูกกำลังจะหมั้น กำลังจะแต่งงาน แล้วจู่ๆ ทำแบบนี้ มันหมายความว่ายังไงคะ คุณหลวง ลูกเป็นอะไรไป”
อีกฟากที่ตำหนักขาวบ่ายวันเดียวกันนั้น ขณะที่โสภิตพิไลกับชายรวีเดินกลับเข้าบ้านมา หวนรีบวิ่งเข้ามาหา
“คุณชาย คุณโสภิต เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
หม่อมพริ้มนั่งเป็นประธานตรงกลาง ทุกคนนั่งรายล้อม หวนนั่งอยู่กับพื้นห่างออกไป
โสภิตพิไลตกใจสุดขีด “อะไรนะคะ พี่นุหายไป”
“เมื่อวานนี้มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า” หม่อมถาม
“ไม่มีนี่คะ ก็คุยกันดีๆ แล้วพี่นุก็ขอตัว บอกว่าไม่สบาย”
“พอชายรวีกับโสภิตกลับไป ตานุก็ปิดไปเงียบอยู่ในห้อง หญิงก็คิดว่าลูกเหนื่อยเพราะเดินทางมาไกล ก็ไม่อยากกวน” หญิงศุภลักษณ์น้ำตาคลอ “แต่พอตอนเช้าไปปลุกก็เจอแต่จดหมาย”
หญิงจ้อยมองชายรวี เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หญิงศุภลักษณ์หันมาหาชายรวี
“เมื่อวานชายคุยกับหลานตั้งนาน หลานว่าอะไรบ้างหรือเปล่า มีเรื่องคับอกคับใจอะไรไหม”
ชายรวีมองหน้าทุกคน มองหน้าหญิงจ้อย หญิงจ้อยแอบพยักหน้าให้สัญญานว่าให้พูด
“นุบอกกับผมว่า” ชานรวีลำบากใจมาก แต่ต้องตัดสินใจพูด “เขามาทบทวนดูแล้ว เขายังไม่พร้อมจะแต่งงานครับ”
ทุกคนตกใจ โสภิตพิไลช็อกเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า พึมพำออกมา “ไม่ ไม่จริง”
โสภิตพิไลเป็นลม หมดสติไป ทุกคนตกใจ หวนพุ่งเข้าไปประคอง
“คุณหนูคะ คุณหนู”
ชายรวีรู้สึกเสียใจ หญิงจ้อยมองหน้าชายรวี สบตาให้กำลังใจว่าทำถูกแล้ว
อีกวันหนึ่ง สันทนาเดินมาในโรงพยาบาลด้วยความเร่งร้อน หน้าเครียด ที่หน้าห้องมีทหารอยู่หนึ่งนาย ทำความเคารพ สันทนารับ ประตูเปิดออกพอดี ทหารคนสนิทของท่านโผล่หน้ามา
“มาพอดี กำลังเม้งเลยพี่”
สันทนาเปิดประตูเข้าไป เห็นท่านนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในชุดคนไข้
“เป็นยังไงบ้างครับ ท่าน”
ท่านอารมณ์ไม่ดี “ลื้อไม่ใช่หมอ ไม่ต้องมายุ่ง .. ไอ้ที่ใช้ให้ไปจัดการน่ะไปถึงไหนแล้ว”
สันทนายิ้ม ใจดีสู้เสือ “แหม มันก็ไม่ใช่ง่ายนะครับท่าน เด็กยังเด็กมาก เด็กดีด้วย ทางบ้านเขาก็หวงเป็นธรรมดามันก็ต้องหว่านล้อมกันนานหน่อย”
“ไปหว่านล้อมกันในโรงแรมไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว ยังไม่สำเร็จอีกเหรอ” สันทนาอึ้ง “ท่าทางจะหมดน้ำยาแล้วมั้ง ไอ้สัน”
สันทนาหัวเราะกลบเกลื่อน “ขอเวลาผมอีกหน่อยเถอะครับ ท่าน รับรองไม่พลาดแน่
ท่านมองหน้าสันทนา พูดขู่ๆ”
“พี่ไม่อ้อมค้อมล่ะนะ สัน...เอาเป็นว่า ถ้าสันพาเด็กคนนั้นมาดีๆ ไม่ได้ พี่จะให้คนอื่นไปพามา เข้าใจนะ”
“ครับ ท่าน”
สันทนารู้ว่าจากนี้ไป โสภิตพิไลไม่รอดแน่
ส่วนที่ร้านเสริมสวย เพ็ญศรีกับชมกำลังล่ำลาสาอยู่ สองคนจะไปเที่ยว ดูหนัง กัน
“เพ็ญไปก่อนนะคะ คุณสา วันนี้ขอออกเร็วหน่อย จะไปดูหนังกัน”
“ไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันปิดร้านเอง...ฝากดูด้วยนะคะ คุณชม”
“ได้เลยฮ่ะ”
เพ็ญศรีกับชมออกไป
สากำลังจะปิดประตู ก็มีมือมาดึงไว้ สาตกใจ เมื่อเห็นหน้าดุดันของสันทนา
“คุณ”
“เมื่อกลางวัน ผมส่งวัชรินทร์มารับคุณ ทำไมไม่ไป”
สาเชิดใส่ “ฉันไม่อยากเดือดร้อน”
“พูดอะไร ไม่รู้เรื่อง”
สาแหวใส่เสียงดัง “ก็ไปถามคุณหญิงเฉิดฉวีดูซี ถามกันให้รู้เรื่อง”
สันทนาตกใจนิดๆ “นี่... นี่หมายความว่า”
สาโวยใส่ “เมียกับลูกคุณมาอาละวาดที่นี่ ด่าฉัน เอาคนมาพังร้านฉันเสียไม่มีชิ้นดี” สาทั้งแค้นทั้งน้อยใจ “เพราะคุณนั่นแหละ”
สันทนาสบถ “ทุเรศจริง”
สาผลักสันทนา “ รู้แล้วก็กลับไปได้ อย่ามายุ่งกับฉัน ออกไป ออกไป๊”
สันทนาจับมือสาไว้ “หยุดนะ”
สาไม่หยุด ยิ่งออกแรงทุบตีพัลวัน
“ไม่หยุด จะทำไม” สาทุบไป ตัดพ้อไป “มีเมียแล้วก็กลับไปหาเมียซี อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ผมบอกให้หยุด” สาไม่หยุด ยังทุบสันทนาไม่ยั้ง “หยุด”
สันทนาผลักสาไปชิดผนัง จับมือตรึงไว้ทั้งสองข้าง
“ถ้ารักจะอยู่ด้วยกัน อย่าดื้อ”
สานิ่งงันไป สันทนานัยน์ตาวาววามจูบสาด้วยอารมณ์แรง
ไม่นานต่อมา สากับสันทนานอนอยู่ด้วยกันบนเตียง สายังงอนๆ สันทนากอดเอาไว้พูดจาอ่อนหวาน
สันทนาส่งนิ้วก้อยให้ “ดีกันนะคะ”
สาผลักมือ เมินหนี “แล้วเมียคุณล่ะ”
“เขาจะไม่มาที่นี่อีกเป็นอันขาด คุณเชื่อผมได้”
สามองหน้าสันทนา พบว่านานพลโทชู้รักดูมั่นใจกับสิ่งที่พูด สาคลายใจลงแต่ก็ยังขุ่นข้อง อดงอนไม่ได้
“ฉันไม่อยากเป็นเมียน้อยของใคร”
“พูดอย่างกับไม่เคยเป็น” สาชะงัก “ผมไปสืบมาแล้ว คุณเคยเป็นเมียน้อยของท่านชายที่วังรวีวารไม่ใช่เหรอ”
สางอน “ตอนนั้นฉันยังเด็ก”
สันทนาหัวเราะ “ตอนนี้คุณก็แก่ จะคิดมากทำไม...เลิกพูดเรื่องนี้ก่อนเถอะ ที่ผมอยากคุยกับคุณ ก็เพราะว่าเมื่อกลางวัน ผมเพิ่งไปพบกับท่านมา”
สาใจหล่นวูบ นึกหวาดหวั่น
“ท่านว่ายังไงบ้างคะ”
“ท่านสั่งมาแล้ว เดือนหน้า เป็นวันคล้ายวันเกิดของผม ท่านจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้...และในงานนั้น ท่านจะต้องได้พบกับโสภิตพิไล”
สาตื่นตระหนก กลัวมาก “ไม่”
“ถ้าโสภิตพิไลไม่ไปกับผมดีๆ อาจจะมีคนอื่นมาพาไป แล้วคุณอาจจะไม่ได้เห็นหน้าหลานสาวของคุณอีกเลย”
สาอึ้ง มองหน้าสันทนานิ่งๆ ตระหนักว่าเขาพูดจริง ไม่มีทางเลี่ยงได้แน่แล้ว
อ่านต่อตอนที่ 33