xs
xsm
sm
md
lg

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย่าลืมฉัน ตอนที่ 3

ส่วนทางด้านเขมชาติ ก็รีบพูดสรุปงานกับโอลีวีเย่

“ภายในสองวัน ผมจะให้เล.... “
หากเมื่อนึกขึ้นได้ ก็ชะงัก แล้วรีบเปลี่ยนจาก “เลขา” เป็น..
“ เอ่อ...คุณสมคิด ผู้ช่วยของผมส่งสัญญาว่าจ้างให้คุณดู หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว เราเริ่มผลิต
ทันที ผ้าจะถูกส่งถึงโรงแรมของคุณที่สวิสตามกำหนดแน่นอน”
“ให้มาดามสุริยงเป็นคนส่งสัญญาให้ผมก็ได้นะครับ” โอลีวีเย่เสนอ เขมชาติหน้าเข้ม

สุริยงเดินหารถของเขมชาติขจนขาแทบขวิด หญิงสาวเริ่มหอบ พลางพยายามรีบคิดหาทางออก
สุริยงหันไปเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับรถกอล์ฟตรวจความเรียบร้อย รอยยิ้มจึงเริ่มปรากฎขึ้น

เขมชาติชะงักกึกกับข้อเสนอของโอลีวีเย่ แล้วก็ตอบนิ่งๆ
“อย่าเลยครับ “ผู้หญิงคนนั้น” เป็นเลขาใหม่ เพิ่งทำงานได้แค่ 2 วัน ....อาจจะไม่ผ่านทดลอง
งานก็ได้ ผมไม่อยากเสี่ยง”
น้ำเสียงตั้งใจจะกดเต็มที่
“ถ้าไม่ผ่านบอกนะครับ ผมยินดีรับเข้าทำงานทันที”
เขมชาติสะอึก โอลีวีเย่พูดต่อ
“มาดามสุริยงทำให้ผมประทับใจมาก เธอรู้ว่าผมจะมาก่อนเวลา รู้ว่าผมหิวเพราะยังไม่ได้ทาน
อาหาร เธอยังรู้อีกว่าผมชอบทานอะไร แม้แต่ไวน์ที่เลือกให้ก็ถูกใจผมที่สุด ถ้ามาดามสุริยงเป็นเลขาผม รับรอง
ว่า “ผ่าน” แน่นอน”
โอลีวีเย่พูดด้วยความชื่นชม เขมชาติเหยียดที่มุมปากเล็กน้อย บ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยเต็มที่

เขมชาติเดินออกมาเดินออกมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านอาหาร หน้าตาบึ้งตึง อย่างไม่ค่อยสบ
อารมณ์ พลางหยิบโทรศัพท์มาแล้วก็รีบกดโทร.ออก
“ ผมกำลังจะออกไป”
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสุริยงยืนอยู่พร้อมกับรถสปอร์ตหรู ที่จอดอยู่อย่างเรียบร้อยที่หน้า
ร้าน ในขณะที่สุริยง ที่หันข้างคุยโทรศัพท์อยู่ ยังไม่ทันเห็นเขมชาติ
“ ดิฉันนำรถผู้อำนวยการมารอ”
ยังไม่ทันพูดจบเขมชาติกดวางสายไปเสียก่อน สุริยงวางสายตามแทบไม่ทัน ครั้นหันมาก็ชะงักกึก
เมื่อเห็นเขมชาติยืนอยู่หน้าบึ้ง
“รู้ได้ยังไงว่ารถอยู่ที่ไหน ?”
“ดิฉันโทร.หาคุณวิบูลย์ เพื่อขอทะเบียนรถของผู้อำนวยการ และให้รปภ.ช่วยหาให้
สุริยงอธิบายอย่างใจเย็น ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ใส่อารมณ์ของเขมชาติ ที่กำลังขุ่นมัว

สุริยงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา เธอมองเห็นภาพตัวเองนั่งอยู่บนรถกอล์ฟ เจ้าหน้าที่ขับ
มาส่งที่หน้ารถเขมชาติ
“ โชคดีที่รถผู้อำนวยการโดดเด่น รปภ.เลยจำได้ ใช้เวลาหาไม่นาน “
สุริยงยิ้มขอบคุณและรีบเดินมาที่รถ สตาร์ทรถและรีบขับออกมาอย่างคล่องแคล่ว
“ แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมนัดลูกค้าประชุมที่นี่ “ เขมชาติซักต่อ เหมือนตั้งใจจะจับผิด สุริยงตอบ
แบบใจเย็นเช่นเคย
“ดิฉันโทร.หาคุณสมคิด เพื่อสอบถามว่าผู้อำนวยการนัดหมายกับลูกค้าคนไหน ? โชคดีที่คุณ
สมคิดทราบว่าผู้อำนวยการนัดกับมิสเตอร์โอลีวีเย่ หลังจากนั้นดิฉันติดต่อไปหาเลขาของมิสเตอร์โอลีวีเย่เพื่อสอบถาม
สถานที่นัดหมาย ดิฉันถึงได้รู้ว่าลูกค้าจะมาก่อนเวลาเพื่อทานอาหารกลางวัน ดิฉันเลยถามเมนูโปรด และจัดเตรียม
ทุกอย่างไว้ให้ และรีบมาที่นัดหมายโดยเร็วที่สุด “
เขมชาติมองสุริยงด้วยหางตา แล้วก็พูดเหยียด
“คล่องแบบนี้นี่เอง ถึงได้จับเศรษฐีคราวพ่อมาเป็นสามีได้ในเวลาอันรวดเร็ว นี่คงคิดจะใช้วิธี
เดียวกัน หาสามีใหม่หล่ะสิ”
สุริยงสะอึก หากก็สามารถตอบกลับอย่างนุ่มนวล ทว่าหนักแน่น
“ท่านเจ้าสัวสอนดิฉันเสมอว่า เลขาที่ดีต้องเป็นนักแก้ปัญหา และต้องทำทุกอย่างให้ได้ตามคำสั่ง
ไม่ได้คิดจะทำเพื่อ “จับ” ใคร .. แต่ถ้าจะมีติดไม้ติดมือมาบ้าง ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้”
เขมชาติยิ่งฟังยิ่งเหยียด ปรายตามองก่อนจะตวัดสายตาใส่ เชิดหน้าอย่างดูถูก
“งั้นก็ดีใจด้วย เพราะลูกค้าของเรามีแต่ระดับเศรษฐี คงมีมาให้จับไม่หวาดไม่ไหว แต่ช่วยลาออก
ไปก่อน อย่ามาทำธุรกิจแฝงในบริษัทของผม “
สุริยง เชิดหน้า “ถ้าดิฉันต้องการสามีใหม่ ดิฉันคงไม่มาสมัครงานที่นี่”
เขมชาติ สวนกลับทันที
“แล้วคุณมาทำงานที่นี่ เพราะต้องการอะไร คุณสุริยง คุณมาเป็นเลขาผมเพราะอะไร”
สุริยงชะงัก เขมชาติรุกต่อ “ตอบ” พลางจ้องหน้ารอคำตอบ แอบตื่นเต้นอยู่ในใจลึกๆ
สุริยง ตอบนิ่งๆ
“เพราะเงินเดือนเกือบหกหลัก ในตำแหน่งเลขาประธานบริษัท ทำให้ดิฉันมาทำงานกับคุณ”
เขมชาติชะงักงัน เหมือนโดนผลักอกแรงๆ
“เพราะเงิน ? แค่นั้น ?”
สุริยง กลั้นใจตอบ
“ ใช่ค่ะ ตามที่ดิฉันให้สัมภาษณ์ ดิฉันต้องดูแลพ่อ แม่ และลูกๆ ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหน ดิฉันก็
ต้องทำให้ได้ค่ะ”
เขมชาติรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ กับคำตอบ หากก็รีบกลบเกลื่อนด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว
“ทำงานเพื่อเงินก็ต้องตกเป็นทาสของเงิน ดี ผมจะใช้เงินของผมควบคุมชีวิตของคุณ”
สุริยงนิ่งรับ เขมชาติเชิดหน้า พูดต่อ
“พรุ่งนี้ผมมีประชุมกับฝ่ายออกแบบ หน้าที่ของคุณคือศึกษาแบบลายผ้าทั้งหมดของบริษัท ในการ
ประชุมพรุ่งนี้ ถ้าผมถามข้อมูลเก่าๆ คุณตอบไม่ได้ ผมจะจ้างคนอื่นที่มี “ความจำ” ดีกว่าคุณ”
เขมชาติจงใจเน้นคำว่า “ความจำ” และเมื่อพูดจบ ก็หันหลังเดินไปขึ้นรถ และขับออกไปอย่าง
ฉุนเฉียว สุริยงมองตาม ด้วยความหนักใจ และอึดอัดใจ ที่จำใจต้องพูดแบบนั้น
สุริยงยืนเศร้า เป็นความเศร้าที่บอกใครไม่ได้

บ้านของเกนหลง เป็นบ้านขนาดใหญ่ มีพื้นที่กว้างขวาง ตกแต่งอย่างหรูหรา ดูมีราคา และทันทีที่
รถสปอร์ของเธอ แล่นเข้ามาจอด คนรถรีบเดินมาเปิดประตูให้ทันที
เกนหลงลงจากรถ พร้อมหันไปสั่งความ
“เอาของหลังรถไปไว้ในครัว บอกแม่ครัวว่า เย็นนี้ฉันจะทำอาหารเอง”
“ครับ”
คนรถขับรถรับคำ ก่อนที่จะขับรถออกไปจอด

เกนหลงเดินเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี

เมื่อเข้าไปในบ้าน เกนหลง เห็น “คุณพจน์” ผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นนักธุรกิจรุ่นใหญ่ ท่าทางดูเป็นคนใจดี แต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก จึงกล่าวทักทาย พร้อมยกมือไหว้

“สวัสดีค่ะ คุณพ่อ “
เมื่อหันมาเห็นบุตรสาว คุณพจน์ ก็รีบชวน
“มาก็ดีเลยไปตรวจงานที่โรงแรมกับพ่อ พรุ่งนี้มีลูกค้าจากญี่ปุ่นมาจัดประชุมใหญ่เกือบ 300 คน ไปช่วยกันตรวจความเรียบร้อย”
เกนหลงเลิกคิ้ว พลางยิ้มอ้อนผู้เป็นบิดา
“คุณพ่ออย่าเนียนสิคะ เกนบอกแล้วไงคะว่ายังไม่ทำงาน เกนเรียนจนหัวจะผุ ปริญญาตรีตั้ง 2 ใบ โทอีก 2 ใบ เกนขอพักสักปีสองปีแล้วค่อยไปช่วยงานคุณพ่อที่โรงแรมนะคะ”
พจน์วางหน้านิ่ง อย่างรักษาท่าที เกนหลงได้ทีรีบพูดต่อ อย่างรู้จุดอ่อนของบิดาดี
“อีกอย่าง เย็นนี้เกนมีนัดทานข้าวกับเขม เกนเตรียมจะเข้าครัวเองเลยนะคะ “
ผู้เป็นบิดาแววตาอ่อนลง
“งั้นก็ได้ นี่เห็นว่าเป็นเขมชาตินะ ถ้าเป็นหนุ่มอื่นพ่อไม่ยอม”
“ถ้าเป็นหนุ่มอื่น เกนไม่พามาบ้านหรอกค่ะ” เกนหลงยิ้มกว้าง
คุณพจน์หลิ่วตามองลูกสาว “พูดแบบนี้แสดงว่าแพ้ลูกตื๊อแล้วใช่มั้ย ?“
เกนหลงยิ้มให้บิดา
“ยังค่ะ ยังไม่แพ้ เกนกับเขมยังเป็นแค่เพื่อนที่สนิทที่สุดค่ะ”
คุณพจน์ส่ายหน้านิดๆ แล้วก็เดินนำไปที่หน้าบ้าน เกนหลงเดินตามมาส่ง
“ทำไมใจแข็งนักหล่ะลูก พ่อว่าเขมชาติเป็นคนใช้ได้ ตั้งแต่วันแรกที่ลูกพามารู้จัก ตอนนั้นเพิ่งจบยัง
ไม่มีอะไรสักอย่าง เผลอแป๊บเดียวมีบริษัทใหญ่โต สร้างฐานะได้เร็วขนาดนี้ แสดงว่าไม่ธรรมดา”
“ใช่ค่ะตั้งแต่เจอกันที่อเมริกา เกนก็รู้ว่าเค้าไม่เหมือนคนอื่น แต่เขมคงพิเศษมากเกินไปมั้งคะ
บางครั้งเกนเลยรู้สึกเหมือนเข้าไม่ถึง เหมือนเขามีอะไรบางอย่างที่เก็บไว้ในใจ อะไรบางอย่างที่เขายังก้าวไม่พ้น”
เกนหลงนึกถึงเขมชาติขณะพูดก่อนที่จะหันมาตอบบิดา
“ถ้าเขมทำให้เกนเลิกรู้สึกแบบนี้ได้ เกนถึงจะยอมเป็นมากกว่าเพื่อนค่ะ”
คุณพจน์พยักหน้า
“อืม พ่อชักอยากรู้แล้วสิว่า “ไอ้อะไรบางอย่าง” เนี่ยมันคืออะไร?”
คุณพจน์พูดขึ้นด้วยความอยากรู้ ...

รถสปอร์ตของเขมชาติแล่นเข้ามาจอดที่หน้าอาคารผลิต ภายในโรงงานขนาดใหญ่โต ผู้จัดการ
โรงงาน และรปภ. เดินมาต้อนรับ ด้วยท่าทีพินอบพิเทา
“สวัสดีครับคุณเขม”
เขมชาติเดินลงมาพร้อมกับแบบผ้าที่โอลีวีเย่เลือก พลางยื่นให้ผู้จัดการ
“ลูกค้าเลือกแบบผ้ามาแล้ว ผมให้ฝ่ายออกแบบส่งไฟล์งานมาให้ภายในคืนนี้ พรุ่งนี้เริ่มผลิตได้
เลย”
ผู้จัดการรับคำ“ครับ”
จากนั้นเขมชาติ ก็เดินสำรวจโรงงาน พนักงานต่างกำลัง ขะมักขะเม้นกับการทำงานตามหน้าที่
และดูชำนิชำนาญงานกันทุกคน
“คุณสมคิดบอกว่าวันนี้จะมีการทอสอบผ้ากันไฟชุดใหม่” เขมชาติหันมาถามผู้จัดการ ที่เดินตามมา
ไม่ห่าง
“ใช่ครับ หลังจากที่ทดสอบไปครั้งที่แล้ว คุณเขมยังไม่พอใจ ผมให้ฝ่ายพัฒนาลองเปลี่ยนสารเคลือบ
และปรับโครงสร้างผ้าตามที่คุณเขมแนะนำมาอีกครั้ง คุณเขมจะดูเลยมั้ยครับ”
เขมชาติพยักหน้าแทนคำตอบ จากนั้นทั้งสองคนเดินไปที่แผนกทดลอง และพัฒนา

ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังทำการทดลองให้เขมชาติดู ช่วงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่นั้นเอง แว่บหนึ่ง
เขมชาติแอบนึกถึงตอนที่ตัวเองหลุดปากเรียกชื่อเก่าสุริยงด้วยความหงุดหงิด
“วดี”
และเมื่อสุริยงหันมา ต่างคนต่างมองหน้ากัน สุริยงนิ่ง เหมือนไม่รับรู้ว่ามันคือชื่อของเธอ
“พลาด” เขมชาติยิ่งคิดยิ่งแค้น
พนักงานและผู้จัดการโรงงานเห็นเขมชาติส่ายหน้าหงุดหงิดก็ตกใจ หน้าเสีย
“คุ..คุณเขม มีอะไรหรือเปล่าครับ ? ถ้าคุณเขมยังไม่พอใจ ผมลองปรับโครงสร้างผ้าใหม่อีกทีก็ได้
นะครับ”
เขมชาติรู้ตัว รีบปฏิเสธ
“ อ๋อ ไม่เป็นไร ผมขอดูอันนี้ก่อน ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องปรับ ลองทำผืนใหญ่แล้วส่งมาให้ผมดูอีกที”
ผู้จัดการ ถอนหายใจโล่งอก
“ครับๆ ได้ครับ”
พูดจบ ก็หันหลังเดินออกมาหยุดอีกมุมหนึ่งของโรงงาน ความแค้นยังคาใจ เขมชาติคิด พลางหัน
นาฬิกาข้อมือมาดูนาฬิกา เวลาในขณะนั้น 17.15 น. เขมชาติยิ้มอย่างมีแผน

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สุริยงกำลังสาละวนอยู่กับการไล่เปิดดูแฟ้มลายผ้ากองสูง ที่วางอยู่ เต็ม
โต๊ะ เธอเปิดดูไป จดไป พลางถ่ายรูปเก็บไว้ในแท็บแล็ตจนปวดตา กำลังจะนั่งพักสายตา ทว่าคำพูดเขมชาติ ดังแว่ว
มาอีก
“พรุ่งนี้ผมมีประชุมกับฝ่ายออกแบบหน้าที่ของคุณคือศึกษาแบบลายผ้าทั้งหมดของบริษัท ในการ
ประชุมพรุ่งนี้ถ้าผมถามข้อมูลเก่าๆ คุณตอบไม่ได้ ผมจะจ้างคนอื่นที่มี “ความจำ” ดีกว่าคุณ “
สุริยงจึงรีบหยิบแฟ้มจากกองด้านขวามือ ที่ยังไม่ได้เช็ค มาเปิดดู แต่ต้องแปลกใจ เพราะในแฟ้ม
กลับว่างเปล่า มีเพียงป้ายที่ติดไว้ว่า “ลายผ้า.....ชุดดอกไม้ ( Flower tales)” เธอนิ่ง คิด ก่อนที่จะกดโทรศัพท์
โทร.ถามวิเวียน

“น้องวิเวียนคะ พี่กำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลายผ้าเก่าๆของบริษัท แต่มีแฟ้มนึงเขียนว่า “ลายผ้า
ชุดดอกไม้” แต่ข้างในไม่มีข้อมูล พี่จะถามใครได้บ้างคะ ?"
วิเวียน ที่กำลังแต่งหน้าพร้อมกลับบ้าน โดยมีกระเป๋าสะพายวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย ตอบคำถามสุริยงไปตามสาย
“เอาอย่างนี้นะคะพี่สุ เดี๋ยววิให้เพื่อนที่อยู่ฝ่ายออกแบบไปหาพี่สุที่โต๊ะ มีอะไรสงสัยก็ถามมันได้เลยค่ะ มันรู้ทุกอย่าง อ้อ..เพื่อนวิ ชื่อ “เจน” นะคะ “

“เจน” หญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆ หน้าตาเก๋ ใส่แว่นทรงเท่ๆ แต่งตัวเรียบๆ แต่มีสไตล์เป็นของตัวเอง เดินเข้ามาหาสุริยงที่หน้าโต๊ะทำงาน พลางแนะนำตัวกับเจ้าของโต๊ะ
“เจนค่ะ วิเวียนบอกว่าคุณสุต้องการข้อมูลเกี่ยวกับลายผ้า”
“คือสุเห็นว่าแฟ้มนี้มันไม่มีข้อมูลอะไรเลย ก็เลยสงสัยว่าลาย “ดอกไม้” มันหายไปไหนน่ะค่ะ”
“อ๋อ คือ เมื่อปีที่แล้วบริษัทจะมีคอลเลคชั่นดอกไม้ค่ะ ออกแบบกันเรียบร้อย แต่ผู้อำนวยการก็สั่ง
ยกเลิกทั้งหมด แล้วก็เปลี่ยนไปทำคอลเลคชั่นอื่นแทน”
“อ้าว ทำไมหล่ะคะ ?” สุริยงสงสัย
“หัวหน้าบอกว่า ผู้อำนวยการเกลียดดอกไม้มาก ตั้งแต่เปิดบริษัทมาเราไม่เคยมีคอลเลคชั่นที่
เกี่ยวกับดอกไม้เลยค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
สุริยงชะงัก เพราะรู้คำตอบดี
“ แล้วคุณสุจะเอาข้อมูลลายผ้าไปทำอะไรเหรอคะ ?”
“ในการประชุมกับฝ่ายออกแบบวันพรุ่งนี้ ผู้อำนวยการสั่งว่าถ้าถามข้อมูลเกี่ยวกับลายผ้า แล้วให้
ข้อมูลไม่ได้ จะโดนไล่ออกน่ะค่ะ”

เจนตกใจ “แล้วนี่...คุณสุต้องจำทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ?"
 
อ่านต่อหน้า 2

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 3 (ต่อ)

เกนหลงกำลังลงมือทำอาหารอยู่ในห้องครัว ด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว อย่างคนชำนาญงาน โดยไม่ทันเห็นเขมชาติเดินมายืนอยู่ที่หน้าห้องครัว

เด็กรับใช้หันมาเห็นก็ตกใจนิดๆ จะเรียกเกนหลง เขมชาติรีบจุ๊ปากไม่ให้
บอก แล้วยืนแอบมองเกนหลง เด็กรับใช้ค่อยๆ เดินหลบฉากออกมา ในครัวจึงเหลือเขมชาติกับเกนหลงเพียง 2 คน
เขมชาติแอบมองเกนหลงที่กำลังทำอาหารอย่างตั้งใจด้วยแววตาชื่นชม หาก...มิใช่ความรัก
“น้อย ขอชามใส่เส้นพาสต้าหน่อยจ้ะ”
เกนหลง พูดโดยไม่ได้มองหน้า เขมชาติเห็นว่าไม่มีใครแล้วก็เดินไปหยิบมาส่งให้แทน เกนหลงรับ
มาแล้วตักเส้นใส่ชาม พร้อมกับถามขึ้น
“น้อย..ไปดูสิ คุณเขมมาหรือยัง ?”
เขมชาติตอบเอง “มาแล้วครับ”
เกนหลง หันขวับมาเห็นเขมยืนอยู่ก็ตกใจ จนชามในมือเกือบหล่น เขมชาติรีบยื่นมือมาช่วยจับชาม
ไว้
“ระวังครับ”
เขมชาติรับชามไว้ทัน เกนหลงตีแขนเขมชาติเบาๆ ด้วยความคุ้นเคย
“คุณเขม มาเงียบๆ ตกใจหมดเลย มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ?”
“ตั้งแต่คุณเกนเพิ่งจะเริ่มต้มเส้นพาสต้า ไม่น่าจะเกิน 14 นาที “
เกนหลงแอบค้อน
“ยังจะมาเล่นมุกอีก แม่น้อยก็เป็นใจ แอบออกไปไม่บอกกล่าว งั้นเขมก็ยกอาหารออกไปเองนะคะ
ลงโทษฐานที่มาเงียบๆ “
พูดพลางแสร้งทำหน้าดุ
“สบายมาก โทษหนักกว่านี้ผมก็ยอม”
“งั้น..เกนลงโทษให้ทานอาหารทุกอย่างให้หมด ห้ามเหลือแม้แต่นิดเดียว”
“ครับผม”
เขมชาติทำท่ารับคำสั่ง เกนหลงยิ้มออก บรรยากาศในห้องครัวเต็มไปด้วยความสุข
“ งั้นรีบไปทานกันเถอะค่ะ ร้อนๆจะได้อร่อย”
เขมชาติยิ้มรับ และถือชามพาสต้าเดินตามเกนหลงออกไป

เขมชาติมองโต๊ะอาหารที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม
“อาหารน่าทานมากเลยครับให้คุณเกนเลือก ผมไม่เคยผิดหวังจริงๆ”
เกนหลง ยิ้ม พร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ รีบทานเถอะค่ะ มัวแต่ชม เกนอิ่มพอดี “
เขมชาติกำลังจะเดินไปนั่ง แล้วก็นึกได้ จึงหันกลับมา พร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เกนหลง หญิง
สาวมองอย่างงงๆ
เขมชาติพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แฝงความนุ่มนวลอยู่ในที
“คุณเกน ขอบคุณมากนะครับ”
เกนหลงหลุดขำออกมา
“แค่อาหารมื้อเดียว อร่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ต้องขอบคุณจริงจังแบบนี้ก็ได้ค่ะ”
“ผมไม่ได้ขอบคุณแค่อาหาร แต่ผมขอบคุณที่คุณดีกับผมมาตลอด ขอบคุณที่จริงใจและให้
เกียรติผมตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน จนถึงวันนี้ ขอบคุณที่คุณไม่เคยเปลี่ยน และไม่ “ทิ้ง” ผม”
“วันนี้มาแปลกนะคะ มีอะไรหรือเปล่า ?”
เกนหลงถามพลางจ้องตาคาดคั้น เขมชาติชะงักนิดๆ แล้วก็เสแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่มีครับ..แค่อยากบอก ก็แค่นั้นเอง ผมว่าเราทานกันดีกว่าครับ”
เขมชาติรีบเปลี่ยนเรื่อง พร้อมกับลากเก้าอี้กลับที่เดิม และหันมาตักอาหารให้
“ผมตักให้นะครับ”
เกนหลงยิ้มพยักหน้ารับ ในแววตาเห็นความไม่เชื่อว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่....ไม่อยากคาดคั้น”

นภา ที่กำลังเรียงทองหยิบ ทองหยอด ใส่กล่อง มีชื่นเป็นลูกมือคอยช่วย หันมาเห็นกองแฟ้มลาย
ผ้าที่สุริยงหอบกลับมาที่บ้าน และวางกองไว้บนโต๊ะ ก็โวยวาย
“ทำงานวันแรก กลับก็ดึกกว่าแล้วยังจะต้องหอบงานกลับมาทำอีกเหรอลูก ? “
สุริยงหันมาตอบเหนื่อยๆ แต่ยังฝืนยิ้มๆ ด้านหลังนั้น อาทิตย์ก็เดินเอากุญแจรั้วมาแขวนไว้ที่ฝาผนัง
“พรุ่งนี้มีประชุมก็เลยเอาเอกสารกลับมาอ่านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกค่ะ “
อาทิตย์ เดินมาสมทบ พลางเอ่ยถามลูกสาว ว่า
“แล้ววันนี้เจ้านายเป็นยังไงบ้าง ? ยังโกรธอยู่หรือเปล่า ? ”
“ก็ยังมีบ้าง เขาก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ยอมคน ชอบเอาชนะ”
คำตอบของสุริยง ทำเอานภากับอาทิตย์ งง
“อ้าว หนูเล็กกับเจ้านาย เคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ ? ถึงรู้ว่าเมื่อก่อนเขาเป็นยังไง”
สุริยง ชะงักนิดๆ แล้วรีบแก้ตัว
“เอ่อ ที่รู้เพราะคนในบริษัทบอกน่ะค่ะ แล้วไก่กับไข่ หล่ะคะ ? ตั้งแต่มายังไม่เห็นเลย”
“คุณไก่ คุณไข่ นั่งรอคุณหนูเล็กจนสัปหงก ชื่นเพิ่งจะอุ้มไปนอน เมื่อกี๊นี้เองค่ะ” ชื่นตอบแทน
สุริยง หน้าสลดรู้สึกผิด
“ เดี๋ยวหนูเล็กไปดูลูกก่อนนะคะ”
สุริยงกำลังจะเดินไปที่ห้องนอนเด็ก พลันนภา ที่เพิ่งนึกได้ รีบตะโกนไล่หลัง
“อ้อ ! หนูเล็ก อย่าลืมโทร.หาคุณเอื้อด้วยนะลูก คุณเอื้อบอกว่าติดต่อหนูเล็กไม่ได้เลย..อย่าลืม
โทร.นะ”
“ค่ะ”
เมื่อสุริยงเดินลับเข้าไปในห้องนอนของไก่กับไข่ อาทิตย์ ก็หยิบแฟ้มมาเปิดดู ด้วยความเป็นห่วง
ในขณะที่นภา มองแฟ้ม แล้วก็หันมาพูดกับชื่น
“สงสัยเราจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตขนมส่งขายให้มากกว่านี้นะชื่น หนูเล็กจะได้ไม่ต้องไปทำงานให้
ลำบาก”
“ค่ะ ชื่นอึด ถึก ลุย อยู่แล้ว ถึงไหนถึงกันค่ะ”
ชื่นรับคำอย่างแข็งขัน นภายิ้มนิดๆ อย่างพอใจ อาทิตย์หันมามองแฟ้มงานด้วยความหนักใจ ใน
ความรู้สึกผิดฉาบฉายอยู่ในแววตา นภาหันมาเห็นก็ถอนใจ รู้ดีว่าสามีกำลังคิดอะไรอยู่

สุริยงเดินเข้ามาในห้องของลูกแฝด พลางก้มลงหอมแก้ม แล้วก็มองลูกทั้ง 2 คนด้วยความรัก ก่อน
จะลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกไป
ไก่รู้สึกตัวขึ้นมา
“แม่หนูเล็ก กลับมาแล้วเหรอคับ” น้ำเสียงเด็กน้อยงัวเงีย
สุริยง หันมาตอบยิ้มๆ “ ครับ”
ไข่ ตื่นตาม พลางพูดขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงงัวเงียเหมือนกัน
“แม่หนูเล็กสู้ๆนะคับ”
ไข่พยายามจะยกมือชู 2 นิ้ว แต่ก็ยกไม่ไหว ง่วงจัด แล้วก็หลับค้างไปเลย
ไก่ไม่ยอมแพ้
“สู้ สู้ คั...” แล้วก็หลับตามไปอีกคน

สุริยงเห็นท่าของลูกแฝด ที่พูดเหมือนละเมอ ก็ขำเบาๆ ด้วยความรักและเอ็นดู พลันก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้าๆ

เสียงโทรศัพท์มือถือของเอื้อดังขึ้น ในขณะที่เจ้าของกำลังเกากีตาร์อยู่เบาๆ ในห้องซ้อมดนตรีในบ้าน เอื้อหันไปดูเห็นหน้าจอขึ้นชื่อ และรูป “หนูเล็ก” เขายิ้มและกดสปีกเกอร์โฟน พูดพลางเล่นดนตรีไปด้วย

“นึกว่าวันนี้จะไม่ได้คุยกันซะแล้ว”
สุริยง ซึ่งขณะนี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดนอนนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน มีแฟ้มงานวางอยู่บน
เตียง พูดยิ้มๆ
“ขอโทษค่ะ วันนี้เริ่มงานวันแรกค่อนข้างยุ่ง เลยไม่ได้รับสาย”
ในขณะที่เอื้อคุยไป พร้อมกับเกากีต้าร์ไปด้วย
“ที่จริงคุณต้องลำบากไปทำงานกับคนอื่นเลย มาเป็นเลขาผมที่แบงค์ก็ได้”
เช่นเดียวกับสุริยง ที่คุยไป มือก็เปิดแฟ้มดูไปพร้อมๆ กัน
“อย่าเลยค่ะ หนูเล็กไม่อยากทำให้พี่น้องคุณต้องเดือดร้อนใจ แค่นี้ก็เกลียดกันจะแย่”
เอื้อรูดกีตาร์ทำนองตื่นเต้นขึ้น
“พูดถึงสองคนนั้นแล้วก็นึกขึ้นมาได้ เขาฝากธุระให้ผมมาคุยกับคุณ แต่ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์
พรุ่งนี้คุณพอจะมีเวลาว่างหรือเปล่า”
“ถ้าคุยไม่นานมาก ช่วงพักกลางวันพอจะแว่บออกมาได้ค่ะ”
สุริยงพูดพลางตา ก็ยังมองที่แฟ้มที่วางอยู่บนตัก คุยไป จดลิสต์ชื่อผ้า และถ่ายรูปด้วยแท็บแล็ตไป
ด้วย
“แต่คงต้องคุยกันที่ร้านอาหารแถวบริษัทนะคะ “
“ ได้ครับ คุณจะให้ผมไปเจอที่ไหนก็ส่งพิกัดมาแล้วกัน”
“ค่ะ พรุ่งนี้พบกันค่ะ”
สุริยงกำลังจะกดวางสาย หากเอื้อท้วงขึ้นมาก่อน
“ เดี๋ยวครับ
สุริยงชะงัก ยั้งมือไว้ ยังไม่กดวาง เอื้อปรับโทนมาเป็นเสียงนุ่ม แล้วก็ถามเขินๆ
“หนึ่งคำถาม เจ้านายคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ?”
เอื้อเล่นกีต้าร์คลอตามในระหว่างที่ในใจลุ้นรอฟังคำตอบ
สุริยงยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบ
“ผู้ชายค่ะ”
เอื้อรูดกีตาร์อย่างแรง พลางถามต่อ “แล้ว..มีครอบครัวหรือยังครับ ?”
สุริยงส่ายหน้ายิ้มๆ ตอบกลางๆ
“เท่าที่ทราบ ยังไม่มีนะคะ”
เอื้อรูดกีตาร์จังหวะตื่นเต้นกว่าเดิม แล้วก็รีบถามต่อ โดยไม่ยอมให้ขาดช่วง
“แล้วเขาอายุเท่าไหร่ ? มีแฟนหรือยัง ? หน้าตาดีหรือเปล่าครับ?”
สุริยงขำเบาๆ แล้วก็รีบตัดบท
“เกินหนึ่งคำถามแล้วนะคะ... กู๊ดไนท์ค่ะ”
เอื้อจำใจต้องยอม
“กู๊ดไนท์...ก็ได้ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับ”
“ค่ะ”
สุริยงวางสาย แล้วก็ยิ้มๆกับความอยากรู้ของเอื้อ หากก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก

หลังจากวางสายของสุริยง เอื้อก็อมยิ้มกับตัวเอง พลางค่อยๆหันไปมองรูปที่ผนัง เป็นรูป ที่ถ่ายกัน
สามคนที่สวิสเซอร์แลนด์ ในรูปเห็นชวลิตนั่งตรงกลางมองมาที่กล้อง ด้านหนึ่งเป็นเอื้อนั่งต่ำกว่าเล็กน้อย สายตาเอื้อ
มองมาที่สุริยงที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่สุริยงมองออกไปที่วิวด้านหน้า เหมือนมองใครสักคนที่อยู่ที่ใดที่หนึ่ง
ไกลแสนไกล...เอื้อดูรูปแล้วก็เริ่มเกากีตาร์เป็นอินโทร.เพลง “สู่กลางใจเธอ”

“ถึงแม้ว่ามันจะไกลสุดไกลแสนไกล และฉันก็คงจะไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง ในวันที่ฉันได้จับมือของ
เธอ คราวนั้นฉันเหมือนได้เห็นทางเดินสู่หัวใจ”

เอื้อย้อนนึกถึงภาพเกตุการณ์ในอดีต ตั้งแต่ตอนที่เขาได้เจอกับสุริยงครั้งแรก จนถึงช่วงเวลาที่ไปชีวิตอยู่ด้วยกันสักพักที่สวิสเซอร์แลนด์ เป็นภาพความผูกพัน ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของเอื้อ ที่แอบชอบสุริยงมานานในขณะที่สุริยงนิ่งๆ ยิ้มรับ แต่ไม่ตอบกลับมา ในบางจังหวะเหมือนเธอมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในใจ
“แต่จากตรงนี้จะอีกไกลไหมจากมือเธอนั้นไปสู่ใจฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไรเพราะมันดูแสนจะยาว
ไกล ไกลสักเพียงไหน ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไรอ ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไปจะไปสู่กลางใจเธอ”
แววตาของเอื้อ คล้ายยังคงรอ อย่างมีความหวัง

ในขณะที่เขมชาติ ก็กำลังคิดถึงผู้หญิงคนเดียวกัน หากด้วยอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เกนหลง
เดินมาหาอารมณ์ดี แต่พอเห็นหน้าเขมชาติขรึมจนผิดปกติ ก็ทักขึ้น
“เขมคิดอะไรอยู่ หน้าเครียดจัง ? อาหารไม่อร่อยเหรอคะ ?”
เขมชาติ หันมายิ้มให้เกนหลง แล้วรีบปรับสีหน้าทันที
“ไม่ใช่ครับ อาหารอร่อยมาก เมื่อกี๊ผมคิดเรื่อง คนที่ออฟฟิศ”
เกนหลง หลิ่วตา “พนักงานคนไหนนะ ทำให้คุณหน้าเครียดได้ขนาดนี้”
เขมชาติ น้ำเสียงเหยียดๆ
“พนักงานใหม่..แต่คงอยู่ไม่นาน อีกไม่กี่วัน ผมคงต้องหาเรื่องไล่ออก”
เกนหลงแปลกใจนิดๆ กับน้ำเสียงของเขมชาติ
“อย่าไปสนใจเลยครับ” เขมชาติยิ้ม พลางเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “ขอบคุณอีกครั้ง สำหรับอาหาร คราว
หน้าต้องให้ผมเป็นเจ้ามือบ้างนะ”
“ได้เลยค่ะ แต่เกนขอพาคุณพ่อไปด้วยนะคะ เมื่อเย็นคุณพ่อพูดถึงคุณด้วย”
“ด้วยความยินดีมากๆ ผมก็นึกถึงท่านอยู่เสมอ ว่าแต่ถ้าเจอท่านคราวหน้า ผมจะไปในฐานะ
อะไรดีครับ”
พูดพลางแอบส่งสายตาอ้อน
เกนหลงยิ้มกว้าง “ในฐานะเพื่อนสิคะ”
“โห....ยังเป็นแค่เพื่อนเหรอครับ ?” เขมชาติตัดพ้อ
“งั้นมากขึ้นมาหน่อย เป็นเพื่อนสนิทที่สุดก็ได้ค่ะ ดีขึ้นมั้ยคะ ?”
เขมชาติส่ายหน้า
“แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้เลื่อนขั้นจากเพื่อนสนิทเป็นอย่างอื่นหล่ะครับ”
“เมื่อเกนแน่ใจว่ารู้จัก “คุณเขมชาติ” ดีพอ”
“ที่ผ่านมา...ยังไม่ดีพอเหรอ ?” เขมชาติยังไม่หยุดตั้งคำถาม
“ยังค่ะ ตอนนี้เวลาที่เกนมองเข้าไปในตาคุณ..เห็นแต่ประตูที่ปิดล็อกอยู่ .. ถ้าเกนมองตา แล้วเห็น
ทะลุเข้าไปถึงหัวใจคุณเมื่อไหร่ .. เกนจะเลื่อนตำแหน่งให้นะคะ”
เขมชาติชะงักนิดๆ แล้วก็มองหน้าเกนหลงด้วยความชื่นชม ค่าที่คำพูดของเธอช่างจี้ใจดำได้ถูก
จุดยิ่งนัก
“ ผมจะรอวันนั้น...ฝันดีนะครับ “
เกนหลงยิ้มรับ “ขอบคุณค่ะ”
เขมชาติพยักหน้า พลางเดินไปที่รถ เกนหลงมองตาม เขมชาติยิ้มให้เธออีกครั้ง ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไป เกนหลงมองตามยิ้มนิดๆ

แว่บหนึ่งเกนหลงหวนนึกถึงภาพตอนเขมชาติยืนขรึม ในใจนึกอยากรู้ว่าเขากำลังคิดถึงใคร

อ่านต่อหน้า 3

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 3 (ต่อ)

ในช่วงเวลาเดียวกับที่เขมชาติกำลังขับรถกลับบ้าน สุริยงนั่นทำงานอยู่บนเตียง เกนหลงยืนอยู่ที่หน้าบ้าน และเอื้อ ที่ยังคงเล่นกีต้าร์อยู่ในห้องดนตรี

เขมชาติหน้าเครียดขรึม คิดถึงสุริยงกับแหวนที่เห็นเมื่อตอนบ่าย ด้วยยังหาคำตอบให้กับตัวเอง
ไม่ได้ว่า เหตุใดสุริยงยังคงเก็บแหวนวงนี้ไว้
สุริยงเอง เมื่อมองแหวนในมือ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขมชาติ คิดถึงท่าทีที่เขาแสดงความร้ายกาจ
และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาเกลียดเธอ
ส่วนเอื้อ ก็กำลังมองรูปแล้วคิดถึงสุริยง เช่นเดียวกับเกนหลง ที่เดินมาหยุดยืนที่โต๊ะกินข้าว พลาง
นั่งลงที่เดิม และนึกถึงตอนที่เขมชาติลากเก้าอี้มาขอบคุณ รู้สึกดีแต่แฝงความแปลกใจ สงสัยระคน
แน่นอนว่า....นับเนื่องจากนี้ไป เกมความรักที่พัวพันกันไปมาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว อย่างที่ไม่รู้ว่าจะ
บทสรุปจะเป็นเช่นไร

นาฬิกาปลุกหัวเตียงสุริยงดังสนั่น เธอเอื้อมมือมากดปิด บนเตียงยังเต็มไปด้วยแฟ้มงาน สุริยงหัน
นาฬิกามาดู พอเห็นเวลาตีห้าครึ่ง ก็รีบลุกพรวดขึ้นจากเตียงทันที จากนั้นก็ทำทุกอย่างอย่างรีบเร่ง แข่งกับเวลา แล้ว
ก็รีบวิ่งขึ้นรถ ในขณะที่ชื่นรีบวิ่งตามมาพร้อมกับถุงอาหารในมือ
“คุณหนูเล็กคะ อาหารเช้าทานบนรถค่”
สุริยงขับรถออกมา พร้อมๆ กับยื่นมือมาคว้าถุงอาหารไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบใจจ้ะ”
นภากับอาทิตย์มองตามสุริยงด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อคืนก็ดึก วันนี้ก็เช้า จะไหวมั้ยเนี่ย ?”
อาทิตย์ไม่ตอบ แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้ภรรยา

“วิญญู” หัวหน้าฝ่ายออกแบบเดินเข้ามาในห้องประชุม และตั้งท่าจะนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างๆ สมคิด
ลูกน้องที่นั่งรออยู่ก่อน รีบกุลีกุจอลุกมาเลื่อนเก้าอี้ให้อย่างเอาใจ มาลัยกับวิเวียน ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว แอบมอง
เหยียดๆ
สุริยงยืนนับคนเข้าประชุมดูความเรียบร้อยอีกครั้ง เจนเดินมา
“คุณสุ จำแบบได้หมดมั้ยคะ ?”
เขมชาติเดินมาได้ยินพอดี เขาหยุดฟัง
“ไม่แน่ใจค่ะ แต่เมื่อคืนก็ดูเอกสารจนเกือบเช้า ดูจนหลับไปเลย “
เขมชาติยิ้มร้ายที่มุมปาก แล้วก็เดินออกมา
“เอาใจช่วยนะคะ” เจนพูดอย่างจริงใจ หากเมื่อเหลือบไปเห็นเขมชาติ ก็หยุดพูด แล้วรีบเดินเข้า
ห้องไป
สุริยงหันไปเห็นเขมชาติเดิน ทั้งคู่มองหน้ากัน เขมชาติหน้าเข้ม ตาดุ สุริยงยืนรอเปิดประตูให้
เขมชาติเดินผ่านเข้าห้องประชุมไปอย่างเย็นชา สุริยงเดินตามเข้าและปิดประตูทันที

เขมชาตินั่งเป็นประธานในห้องประชุม ข้างขวาเป็นสมคิด ต่อด้วยวิญญู ฝ่ายออกแบบอีก 2 คน
และเจน ข้างซ้ายเป็นสุริยง วิบูลย์ มาลัย และวิเวียน ที่นั่งตรงข้ามกับเจน
บนโต๊ะหน้าสุริยงมีเอกสารลายผ้า แท็บแล็ต และกระดาษโน้ตวางอยู่มากมาย อย่างคนที่เตรียม
ทำการบ้านมาอย่างดี เขมชาติปรายตามองเอกสารแล้วเมินใส่ หันมาเริ่มการประชุม
“สำหรับคอลเลคชั่นใหม่ของปีหน้า ผมคุยกับฝ่ายการตลาด ได้ข้อสรุปมาแล้ว ตอนนี้คนส่วนใหญ่
ในหลายประเทศ มีชีวิตอยู่บนความกลัว ทั้งกลัวภัยพิบัติ ภัยสงคราม ภัยเศรษฐกิจ คนต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ”
สุริยงฟังไป จดไป พลางมองที่แบบผ้าที่จดไว้ อย่างคนเตรียมพร้อตลอดเวลา
“ คอนเซปป์ของลายผ้าปีหน้า ผมต้องการให้มีกลิ่นไอของเครื่องรางนำโชคจากทั่วทุกมุมโลก”
วิญญูรีบตอบอย่างตั้งใจประจบเต็มที่
“ได้เลยครับ ผมเห็นด้วยกับความคิดคุณเขม ผมเพิ่งได้อ่านวิจัยชิ้นใหม่ของอังกฤษ เขาบอกว่า
เทรนด์นี้กำลังมา ถ้าเรารีบทำตอนนี้รับรองว่าโดนแน่”
เจ้าหน้าที่ออกแบบอีก 2 คนพยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้นเจน มาลัยกับวิเวียนมองหน้าแบบรู้กัน วิบูลย์
เอียงหน้ามากระซิบสุริยง
“คุณวิญญูเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบครับ”
สุริยงพยักหน้ารับรู้ เขมชาติพูดต่อ
“ผมให้เวลา 2 อาทิตย์หาข้อมูลและร่างแบบมาเสนอ ถ้าเร็วกว่านั้นก็ยิ่งดี”
“เร็วกว่านั้นแน่นอนครับ” วิญญูยิ้มกว้าง
แต่เขมชาติ ดูจะไม่ใส่ใจกับความกระตือรือร้นของวิญญู แต่หันมาพูดกับเจน
“เจน แบบผ้าที่คุณช่วยผม ลูกค้าชอบมาก ผมส่งฝ่ายโปรดักชั่นแล้ว ตามงานด้วย”
วิญญูชักสีหน้าไม่พอใจ เจนยิ้มอย่างตื่นเต้นดีใจ มาลัย วิเวียนยิ้มให้เจนด้วยความยินดี
เจนรับคำ “ค่ะ”
วิบูลย์เอียงหน้าไปกระซิบสุริยง หน้าตาและ น้ำเสียง บ่งบอกว่าปลื้มเจนมาก
“เจนเป็นดีไซเนอร์ครับ คนนี้เก่งมาก ไฟแรง น่ารักสุดๆ”
วิบูลย์มองเจนด้วยแววตาชื่นชม สุริยงแอบปรายตามามองวิบูลย์อย่างรู้ทัน
เขมชาติพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“เรื่องที่ผมจะพูดก็มีแค่นี้ ปิดการประชุม”
สุริยง หันขวับมาด้วยความลืมตัว “ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะ ?”
เขมชาติ ปรายตามาถามอย่างตั้งใจกวนโทสะ
“ ใช่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ?”
สุริยงอึ้ง พูดไม่ออก ได้แต่มองหน้าเขมชาติ เห็นแววตาแห่งความสะใจอย่างชัดเจน
“ไม่มีค่ะ”
เขมชาติเห็นสุริยงหน้าจ๋อย เขาก็ยิ้มที่มุมปากนิดๆอย่างสะใจ ก่อนจะเดินออกไป สุริยงได้
แต่หันมามองเอกสารแบบผ้าที่เตรียมมาอย่างดีด้วยความเซ็ง
สุริยงบ่นกับตัวเองเบาๆ
“แกล้งกันชัดๆ เฮ่อ”
ในขณะเดียวกัน วิบูลย์ก็มองเจน และยิ้มให้ด้วยความชื่นชม วิเวียนชูนิ้วให้ เจนยิ้มรับอายๆ วิญญู
มองด้วยความหมั่นไส้ พลางเบ้หน้าใส่อย่างไม่สบอารมณ์ สุริยงกำลังจะเก็บแฟ้มเดินออกไป พลันสายตาเห็นแววตา
ของวิญญูที่มองเจนพอดี สุริยงแปลกใจ และสัมผัสได้ถึงความไม่ลงรอยกันของวิญญูและเจน

สุริยง มองแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงานด้วยอารมณ์ที่เซ็งสุดขีด ทว่าก็พยายามไม่คิดมาก พลางหัน
มากุลีกุจอเก็บแฟ้มเข้าที่ ก่อนที่จะหาวหวอดๆ ด้วยความง่วง ในจังหวะที่เขมชาติเปิดประตูออกมาพอดี
“ถ้าง่วง ก็กลับบ้านไปนอน แล้วก็ไม่กลับมาอีก”
สุริยงยืดตัวตรง แล้วก็ตอบกลับ
“ขอโทษค่ะ พอดีเมื่อคืน ต้องเตรียมการประชุมจนถึงเช้า” น้ำเสียงแกมประชด
“ ต่อให้ไม่ได้นอนทั้งคืน ก็ไม่มีสิทธิ์มาหาว ถ้าผมไม่อนุญาต”
สุริยงพยายามข่มอารมณ์ ก่อนตอบ “ค่ะ”
เขมชาติเดินเข้ามาใกล้ พลางมองหน้าสุริยงอย่างเคืองแค้น
“คงจะเคยแต่หลอกคนอื่น ให้มาสยบอยู่แทบเท้า สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ปั่นหัวเหมือนทุกคนเป็นคนโง่ ตอนนี้คงรู้แล้วว่าการโดนหลอกให้ทุ่มเททำในสิ่งที่คนสั่งไม่เห็นค่า มันเป็นยังไง”

เขมชาติมองด้วยความสะใจ

สุริยงจ้องตาตอบ นึกรู้ว่าเขมชาติจงใจเหน็บเธอเต็มที่ หญิงสาวจึงจำยอมต้องก้มหน้ารับไว้ ทว่าในวินาทีนั้นเองเขมชาติก็คว้าข้อมือขวาของสุริยงขึ้นมา

สุริยงสะดุ้งตกใจ เขมชาติบิดมือด้านที่เห็นแหวน พลางใช้วาจาเชือดเฉือนซ้ำ
“คิดจะทำอะไร ? จะบอกให้นะ ไฟที่มันดับไปแล้ว ไม่มีทางจะลุกขึ้นใหม่ได้ด้วยแหวนวงเดียว”
สุริยง ดึงมือกลับ พูดเสียงเข้ม หากแฝงความนุ่มนวลอยู่ในที
“ที่ดิฉันใส่เพราะความเคยชิน ไม่ได้คิดอย่างอื่น ถ้ามันทำให้ผู้อำนวยการไม่สบายใจ ดิฉันจะถอด
ออก”
เขมชาติ สวนกลับทันควัน “ไม่ต้อง คุณจะใส่หรือไม่ใส่มัน ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”
เขมชาติเน้นคำพูดชัดเจน พลางโยนแฟ้มลงบนโต๊ะ
“ส่งแฟ้มไปให้คุณสมคิด ผมโอนงานที่เกี่ยวกับมิสเตอร์โอลีวีเย่ไปให้เขาดูแล ไม่เกี่ยวกับคุณ ถ้า
แอบไปติดต่อกันลับหลังเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว ผมไล่ออกแน่”
ทั้งสายตา และน้ำเสียงของเขมชาติ ตั้งใจดูถูกสุริยงอย่างแรง จากนั้นเขาก็เดินเชิดหน้าเข้าห้องไป
อย่างสาแก่ใจ สุริยงหน้าเชิด หลังตรง แม้จะไม่โต้แย้ง หากในใจก็ไม่ยอมรับ ประตูห้องเขมชาติปิดลง สุริยงทรุด
ลงนั่งอย่างอ่อนแรง พลางแอบบ่นกับตัวเองเบาๆ “ คำก็ไล่ออก สองคำก็ให้ลาออก .. เฮ่อ..” จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะ
ก้มลงมองแหวนในนิ้วมือตัวเองอีกครั้ง

“คุณตาครับ คุณยายครับ”
ไข่ร้องตะโกนลั่นลงมาจากชั้นบน ก่อนที่จะวิ่งพรวดพราดลงมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วก็หยุดหอบแฮ่ก
ทุกคนหันไป นภากับชื่นกำลังช่วยกันคัดไข่สดสำหรับทำขนม ในขณะที่อาทิตย์กำลังเพาะแยกกล้าไม้อยู่ไม่ห่าง
ออกไป
“ไข่ มีอะไรลูก ?” อาทิตย์เอ่ยถามหลานชาย
“พี่ไก่ครับ..พี่ไก่เป็นอะไรก็ไม่รู้ นอนไม่ตื่น ตัวร้อนยังกะไฟเลยครับ”
สิ้นเสียงของไข่ ทุกคนก็ใจหายวาบ

สุริยงเดินมาหาสมคิดที่ห้องทำงาน พลางยื่นแฟ้มเอกสารให้สมคิด และบอกแก่เจ้าของห้องว่า
“ผู้อำนวยการให้เอามาให้ค่ะ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมในงานของคุณโอลิวีเย่ สุรู้ไม่มากนัก คุณ
สมคิดลองถามเพิ่มเติมกับผู้อำนวยการนะคะ”
“ได้เลยครับ” พลาง รับแฟ้มมาเปิดดู “เอ..ปกติงานติดต่อลูกค้า VIP คุณเขมจะดูแลเอง แล้วให้
เลขาเป็นคนประสานงาน ทำไมงานนี้ถึงส่งมาให้ผมดู “
แม้จะรู้เจตนาดี หากสุริยง ก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบ พลันโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อของสุริยงก็สั่นขึ้น
สุริยงหยิบมาเปิดดูแล้วก็ตกใจหน้าเสีย มาลัย ที่ยื่นอยู่ข้างๆ สมคิด รีบถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“คุณสุ มีอะไรหรือเปล่าคะ ?”
“ที่บ้านส่งข้อความมาบอกว่าลูกชายไม่สบาย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลค่ะ”
มาลัย กับสมคิด ทั้งตกใจ ทั้งเป็นห่วง
“ เที่ยงนี้สุขอไปดูลูกหน่อยนะคะ”
“ไปเลยครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ถ้ามีอะไรให้ช่วย โทร.หาผมได้ตลอดเวลา “ สมคิดแสดงน้ำใจ
“ขอบคุณค่ะ สุจะรีบกลับมาให้ทันบ่าย ไปก่อนนะคะ”
สุริยงรีบเดินออกไปด้วยความร้อนใจ

สุริยงรีบเดินออกมาจากบริษัทอย่างเร็ว เดินไปคุยโทรศัพท์ไป
“คุณเอื้อคะ กลางวันนี้สุคงไปเจอคุณไม่ได้แล้วนะคะ”
ในขณะที่ทางปลายสาย เอื้อคุยโทรศัพท์ไปขณะขับรถไปด้วย
“ผมรู้แล้วครับ คุณอาเพิ่งโทร.หาผมเมื่อกี๊บอกเรื่องไก่เข้าโรงพยาบาล ตอนนี้ผมกำลังจะไป
โรงพยาบาลเหมือนกัน”
สุริยงเดินมาถึงที่รถรีบเปิดประตูอย่างเร็ว
“งั้นเจอกันที่โรงพยาบาลนะคะ สวัสดีค่ะ”
จากนั้นก็รีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

“ไปโรงพยาบาล ?”
เขมชาติทวนประโยค หลังจากที่รู้เรื่องจากสมคิด
“ครับ ที่บ้านส่งข้อความมาบอกว่าลูกป่วยตอนนี้อยู่โรงพยาบาล เธอเลยขอไปดูอาการลูกช่วงพัก
เที่ยง จะรีบกลับมาให้ทันบ่าย”
เขมชาตินิ่ง..คิด ในแววตามีความเป็นห่วงเล็กๆ ซ่อนอยู่ลึกๆ
“ผมเลยให้มาลัยมานั่งรับงานแทนในช่วงเที่ยง”
มาลัย นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของสุริยง พูดต่อ “ไม่ทราบว่าคุณเขมจะทานอาหารเลยหรือเปล่าคะ ?
มาลัยจะสั่งแม่บ้านจัดมาให้”
เขมชาติ รีบยกมือห้าม
“ไม่เป็นไร กลางวันนี้ผมมีนัดทานข้างนอก”
พูดจบเขมชาติก็ตั้งท่าจะเดินออกไป ทว่าความค้างคาใจ ทำให้เขาต้องหันกลับมาอีกครั้ง
“แล้วรู้มั้ยว่าป่วยเป็นอะไร?”
เขมชาติทำเป็นถามน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนถามผ่านๆ แต่น้ำเสียงซ่อนความห่วงใยไว้ลึกๆ
“เอ ไม่ทราบครับ คุณเขมอยากให้ผมโทร.ถามมั้ยครับ” พูดพลางทำท่าจะหยิบโทรศัพท์
เขมชาติ รีบห้าม
“ไม่ต้อง ผมก็แค่ถามไปอย่างนั้น ไม่ได้อยากจะรู้จริงๆ”
พูดจบ เขมชาติ ก็เดินออกไปเลย
“เอ ไม่อยากรู้แล้วจะถามทำไม?”

มาลัยบ่นกับตัวเองอย่างงงๆ

อ่านต่อหน้า 4

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 3 (ต่อ)

นภา กับอาทิตย์นั่งอยู่ในห้องตรวจ ในขณะที่ไก่นอนอยู่บนเตียง และหมอเจ้าของไข้ยืนอยู่ข้างๆ เตียงผู้ป่วย พยาบาลยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

นภาถามย้อนด้วยความโล่งใจ
“เป็นไข้หวัดเหรอคะ ?”
“ครับไข้หวัดธรรมดา ยังไม่ถึงไข้หวัดใหญ่ เดี๋ยวหมอให้ยาลดไข้ แล้วก็ยาแก้หวัดกินสักสองสามวัน
ก็หาย”
“ต้องแอดมิดมั้ยครับ ?” อาทิตย์ถามขึ้นบ้าง
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวรับยาแล้วก็กลับบ้านได้เลย “
นภา ฟังหมอ แล้วหันขวับมาทางอาทิตย์
“คุณ...งั้นเรารีบพาตาไก่กลับไปนอนพักที่บ้าน บอกหนูเล็กกับคุณเอื้อไม่ต้องมาแล้ว”
อาทิตย์พยักหน้ารับ “โอเค” พลางรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วรีบกดโทร.ออก

สุริยง ถอนใจเบาๆ โล่ ทันทีที่ได้ยินผู้เป็นบิดา ที่โทร. บอกถึงอาการของลูกชาย
“เฮ่อ..โล่งอก ดีแล้วค่ะที่ไม่เป็นอะไรมาก”
เสียงอาทิตย์ ทางปลายสายสั่งความต่อ
“งั้นหนูเล็กก็ไม่ต้องมาแล้วนะลูก พ่อฝากโทร.บอกคุณเอื้อด้วยนะว่าไม่ต้องมาโรงพยาบาลแล้ว”
ในขณะที่เอื้อ หลังจากที่รับสายของสุริยง ก็แอ่ยขึ้นว่า
“ได้ครับ งั้นเราก็เจอกันเหมือนเดิมนะครับ ผมเพิ่งขับผ่านร้านที่เรานัดเจอกันเมื่อกี๊นี้เอง กลับรถนิด
เดียวก็ถึง”
เสียงสุริยง จากทางปลายสาย ก็ตอบกลับมาว่า
“หนูเล็กก็อยู่ไม่ไกล เจอกันค่ะ”
เอื้อยิ้ม “เจอกันครับ”
เอื้อวางโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี แล้วรีบกลับรถทันที

ในขณะเดียวกัน เกนหลงกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าคอมมูนิตี้มอลล์แห่งหนึ่ง
“เกนกับคุณพ่อมาถึงแล้วค่ะ เจอกันที่ร้านเดิมนะคะ”
เกนหลงวางสายไปอารมณ์ดี แล้วก็หันมาทางคุณพจน์ที่เดินอยู่ข้างๆ
“เขมใกล้จะถึงแล้ว เราไปรอในร้านเลยดีกว่าค่ะ”

คุณพจน์พยักหน้ารับ จากนั้นสองคนพ่อ-ลูก ก็เดินไปที่ร้าน และอีกมุมหนึ่งนั่นเอง รถของเอื้อ
กำลังแล่นเข้ามาจอด

คล้อยหลังออกไปเพียงครู่เดียว รถเขมชาติขับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันสังเกตเห็นรถรถกระป๋อง
สุริยง ที่ขับเข้ามาไล่เลี่ยกัน
เขมชาติลงจากรถมา ก่อนที่จะรีบเดินไปที่ร้านอาหารทันที เช่นเดียวกันกับสุริย ที่งลงจากรถ และ
รีบเดินไปเข้าไปในทางเดียวกัน
เขมชาติ เดินเลี้ยวเข้าร้านทางด้านซ้าย ในขณะที่สุริยงเดินมาถึงหน้าร้านอาหารที่เขมชาติเลี้ยว
เข้าไป แต่หยุด..แล้วก็เลี้ยวเข้าร้านทางขวา

ทันทีที่บริกรยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ สุริยก็รีบตักเข้าปากด้วยท่าทางรีบร้อน เอื้อมองแล้วก็ยิ้ม
“ใจเย็นๆครับหนูเล็ก จะรีบไปไหนครับเนี่ย ? “
สุริยง รีบกลืนแล้วตอบ
“ไม่อยากเข้างานสายหน่ะค่ะ คุณเอื้อบอกว่ามีธุระจะคุยไม่ใช่เหรอคะ ? หนูเล็กขออนุญาตคุยไป
ทานไปนะคะ”
เอื้ออึกอักนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดตรงๆ
“คือ..พี่อัมกับน้องอรให้ผมมาคุยกับ เรื่องมรดกของไก่ กับ ไข่”
สุริยงฟังไปด้วย มือก็ตักอาหารเข้าปาก ปากก็เคี้ยวไปด้วย เอื้อพูดต่อ
“เขาสองคน. อยากจะขอซื้อหุ้นคืน หนูเล็กต้องการเท่าไหร่ เขาพร้อมจะจ่าย”
สุริยงชะงักกึก พลางละมือจากการกินตักอาหารเข้าปาก
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะคะ แต่หนูเล็กคงไม่ขาย และไม่มีวันขายเด็ดขาด เพราะมันเป็นคำสั่ง
ของคุณพ่อคุณที่ฝากไว้ก่อนท่านจะสิ้น”
สุริยงพูดน้ำเสียงหนักแน่น พลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 10 ปี หากสุริยงยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ติดตา หญิงสาว มองเห็น
ภาพตัวเองนั่งเศร้า น้ำตาคลออยู่ข้างๆเตียงคนไข้ ที่มีชวลิตนอนอยู่อย่างเหนื่อยอ่อน
“ฉันขอฝากไก่ กับ ไข่ ไว้กับหนูเล็ก ไม่มีฉันสักคนนายสองคนนั้นก็เหมือนไม่มีใคร ทรัพย์สมบัติที่ฉัน
แบ่งให้ ถ้าไม่มีใครดูแล แม่อัมกับแม่อร คงหาทางเอาคืน ส่วนนายเอื้อรายนั้น รักพี่รักน้อง เขาคงไม่กล้าขัดใจ บอก
ตรงๆว่าฉันห่วงเหลือเกิน...สัญญากับฉันนะหนูเล็ก สัญญาว่าจะเก็บรักษามรดกของนายสองนั้นไว้จนเขาโตพอจะ
ดูแลตัวเองได้”
สุริยงพยักหน้า“สัญญาค่ะ...หนูเล็กสัญญา”
ชวลิต ยิ้ม อย่างโล่งอก
“ขอบใจมาก....ฉันฝากด้วยนะแม่หนูเล็ก..ฉัน..ฝากด้วย” ชวลิตหอบ เหมือนคนจะหมดแรง ก่อนที่
จะะแน่นิ่งไป
สุริยงรีบจับมือชวลิตไว้แน่น..น้ำตาร่วง
“คุณท่านคะ...คุณท่าน...คุณท่าน”
สุริยงร้องไห้ ปล่อยโฮออกมาด้วยความเสียใจอย่างสุดกลั้น

“ฉันต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อคุณ...หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”
สุริยงยืนยันกับเอื้ออย่างหนักแน่น เอื้อพยักหน้ารับ..ด้วยความเข้าใจและหนักใจในคราเดียวกัน
“ผมเข้าใจ..ผมจะไปบอกสองคนนั้นเอง
“ขอบคุณค่ะ “ สุริยงพูดพร้อมกับรวบช้อน
เอื้อหน้าเสีย
“อิ่มเลย เพราะเรื่องที่ผมพูดหรือเปล่า ?”
“ไม่ใช่ค่ะ” สุริยง ปฎิเสธยิ้มๆ “อิ่มเพราะต้องรีบกลับไปทำงาน บอกเขาว่าจะกลับไปให้ทันบ่าย
โมง ไม่อยากมีปัญหากับ..เจ้านายน่ะค่ะ"
“ถ้าเจ้านายคุณดุมาก ลาออกมาเลย มาเป็นเลขาผม รับรองจะเข้างานสักบ่ายสามก็ไม่มีใครว่า”
สุริยงยิ้มๆ ขำๆ พลางส่ายหน้า
“ไม่มีใครว่าต่อหน้า แต่ลับหลังคงเม้าธ์สนั่น”
เอื้อยิ้มอย่างเห็นจริงตามที่สุริยงพูด พลางยกมือเรียกพนักงานมาเก็บเงิน
“เออ..นี่คุณเห็นรูปนี้หรือยัง? นายสองคนนั้นถ่ายส่งมาให้ผมเมื่อวาน”

พูดพลางหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปให้ดู เป็นรูปไก่กับไข่ ถ่ายกับเอื้อในจอทีวี สองคนทำท่าทะเล้นน่ารัก

สุริยงเห็นรูปถึงกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ตายแล้ว..ฮะๆๆ ยังค่ะ ยังไม่เห็น..ฮ่าๆๆ ไปถ่ายกันตอนไหนไม่เห็นอวดเลย”
“มีอีกนะ..นี่ๆ”
ฃเอื้อพูดพร้อมเลื่อนรูปในโทรศัพท์ให้สุริยงดู หญิงสาวดูรูปแล้วก็หัวเราะคิกคัก เอื้อแอบมองสุริยง
ตอนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ยิ้มตาม อย่างมีความสุข
ทั้งเอื้อ และสุริยง ไม่ทันเห็นว่า ที่หน้าต่างของร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้ายที่ทั้งคู่นั่งอยู่ เขมชาติกำลังนั่ง
มองมา ด้วยแววตา ดุเข้ม

เขมชาติ นั่งนิ่ง แววตาดุ มองออกไปนอกหน้าต่าง ที่เอื้อกับสุริยง ซึ่งกำลังดูรูปในมือถือพร้อมกับ
หัวเราะยิ้มแย้มให้กัน เสียงของสมคิด แว่วขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่บ้านส่งข้อความมาบอกว่าลูกป่วยตอนนี้อยู่โรงพยาบาล เธอเลยขอไปดูอาการลูกช่วงพักเที่ยง จะรีบกลับมาให้ทันบ่าย”

เขมชาติทั้งโกรธ ทั้งเกลียด และรังเกียจสุดๆ หากยังไม่ทันคิด่านทำอะไร เสียงเกนหลง ก็ดังเข้ามา
“เขมมองอะไรเหรอคะ?"
เขมชาติสะดุ้งนิดๆ พลางรีบดึงสายตากลับมา เกนหลง ที่นั่งหันหลังให้หน้าต่าง หันไปมองข้าง
นอกอย่างงงๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่มีครับ..นึกว่าเจอคนรู้จัก แต่...จริงๆแล้วไม่รู้จัก” เขมชาติพูดอย่างแฝงนัยยะ ที่รู้อยู่คนเดียว
แล้วก็ฝืนยิ้มกลบเกลือน ก่อนจะหันมาทางคุณพจน์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เรื่องผ้าที่คุณอาต้องการ ผมจะออกแบบมาให้เลือกนะครับ”

“อาแพลนว่าจะปรับปรุงห้องประชุมประมาณกลางปี จะเปลี่ยนผ้าม่านทั้งหมด และอยากได้ลาย
ผ้าบุผนังที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรม”
คุณพจน์บอกความประสงค์
“ได้ครับ ตอนนี้ทางโรงงานเรามีงาน textile art ด้วย คุณอาเลือกภาพวาดที่ชอบสำหรับเป็น
ต้นแบบ ผมจะออกแบบโปรแกรมทอภาพลงไปในผ้า รับรองว่าไม่เหมือนใครแน่นอน”
คุณพจน์ยิ้มพอใจ “ขอบใจมาก”
เขมชาติยิ้มรับ แล้วก็แอบปรายตาไปทางสุริยง เห็นสุริยงเดินออกมาจากร้านพร้อมกับเอื้อ เขมชาติ
รีบเบือนหน้ากลับ เลือดฉีดอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ เขมชาติยืดหลังตรง แววตาครุ่นคิด..แล้วก็ตัดสินใจหันมา
พูดกับคุณพจน์อย่างสุภาพแต่หนักแน่น
“คุณอาครับ..ผมจะรบกวนปรึกษาเรื่องส่วนตัวสักหนึ่งเรื่องครับ”
“ได้เลย...ว่ามาเลย..เรื่องอะไรหล่ะ ?” คุณพจน์ยิ้มอย่างใจดี
“คืแผมจะเรียนปรึกษา..เรื่องระหว่างผมกับคุณเกน”
พูดพลางเขมชาติก็หันมาทางเกนหลง ที่กำลังตักขนมเข้าปาก แล้วถึงกับชะงัก ค้าง พลางเงยหน้า
มองเขมชาติ
เขมชาติยิ้ม ในขณะที่เกน เลิกคิ้ว สงสัย
“เรื่องอะไรคะ?”
เขมชาติไม่ตอบแต่อมยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆที่มุมปาก

ภายในห้องทำงานของเขมชาติวิบูลย์ สมคิด นั่งอยู่ตรงข้ามเขมชาติ สุริยงนั่งอยู่ข้างหลัง ห่างไป
เล็กน้อย คอยจด
สมคิดถามโพล่งออกมาด้วยความตกใจ ประหลาดใจ
“คุณเกนหลงจะมาเป็นเลขาคุณเขม”
สุริยงชะงักมือ หากยังคงก้มหน้ามองที่สมุด วิบูลย์กับสมคิดหันมามองสุริยงนิดๆด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ...แล้ว.”
วิบูลย์อึกอัก ไม่กล้าเอ่ยชื่อสุริยง
เขมชาติยืนอยู่ที่หลังโต๊ะทำงาน กอดอกมองสุริยงด้วยความเกลียดชัง และเหมือนมีกำแพงใหญ่
ขวางกั้นอยู่
“ส่วนคนที่เป็นเลขาอยู่ตอนนี้...ถ้าไม่ไล่ออก ก็ให้ย้ายไปอยู่แผนกอื่น ส่งไปคุมโรงงานก็ได้ ยิ่งไกลยิ่ง
ดี ผมไม่ชอบทำงานกับคนโกหก”
สุริยงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขมชาติ เขมชาติจ้องตอบ สองคนสบตากัน อีกคนเกลียด อีกคนแปลก
ใจ วิบูลย์กับสมคิดงง
“คนโกหก?....คุณเขมหมายถึงอะไรเหรอครับ ?”
“อยากรู้ก็ไปถามเลขาที่คุณรับเข้ามาสิ คนที่คุณสองคนบอกว่า “น่าสงสาร” แล้วก็พยายามยัดเยียด
มาให้ผม ไปถามเขาดูสิว่า “ลูก” เขาป่วยจริงหรือเปล่า หรือแค่เป็นข้ออ้าง เพื่อเอาเวลาพักกลางวันจะไปเจอผู้ชาย”
สุริยงผงะนิดๆ แววตาคลายความประหลาดใจ กลายเป็นนิ่ง ในขณะที่เขมชาติเชิดหน้า อย่างคิดว่าตัวเองเป็นต่อ ที่รู้ความลับ สมคิดกับวิบูลย์ก็ยังงงอยู่ แต่หันมามองหน้าสุริยง ยังไม่ทันจะเอ่ยถามอะไร สุริยงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ถ้าคุณสมคิดอยากรู้ “ความจริง” ถามสุได้นะคะ สุมีคำตอบ”
เขมชาติ สวนขึ้นมาทันที
“แต่คำตอบอาจจะไม่ใช่ความจริง”
สุริยงชะงัก
“คนบางคนโก หกจนเป็นนิสัย โกหกมาแต่ไหนแต่ไร ถ้ารู้ไม่เท่าทันก็ต้องตกเป็นเหยื่อ”
สุริยงนั่งนิ่ง หลังตรง นึกรู้ว่าโดนประชด สมคิดกับวิบูลย์มองหน้ากันงงๆ เขมชาติสรุป
“คุณเกนหลงจะมาเริ่มเป็นเลขาผมอาทิตย์หน้า ส่วนเลขาคนเก่าใครจะเอาไปอยู่แผนกไหนก็เอาไป
ผมยกให้ แต่ถ้าไม่มีใครอยากได้ก็ไล่ออก”
เขมชาติพูดใส่หน้าสุริยงอย่างดูถูก ราวกับสุริยงเป็นสิ่งของ ที่จะถ่ายโอนให้ใครก็ได้
สุริยงนั่งนิ่ง เจ็บแปลบในใจ แต่เก็บไว้ สมคิดและวิบูลย์มองสุริยง ด้วยความสงสัย ค้างคาใจ

อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น