ลูกทาส ตอนที่ 3
ผ่านเวลาเล็กน้อย บุญเจิมเดินคุยออดอ้อนกับเข้มมากลับมาหน้าเรือนเจ้าคุณ
"พี่เข้มจ๋า ฉันเห็นพี่เกี้ยวพาฉันหลายคราแล้ว ถามจริงๆเถอะ พี่เข้มชอบฉันจริงๆ หรือเกี้ยวพาฉันตามคะนองปากอย่างนั้นเอง"
เข้มยิ้มกรุ้มกริ่ม
"โธ่เอ๋ย ทำไมถามอย่างนี้ พี่ไม่เพียงแต่ชอบเท่านั้นนะ หากแหวะหัวใจไอ้เข้มได้ จะแหวะให้บุญเจิมเห็น ว่าในนั้นมีแต่คำว่า รักบุญเจิม อยู่เต็มทีเดียว"
บุญเจิมแกล้งเขินอาย
"ถ้ากระนั้น จะพิสูจน์ให้ฉันเห็นได้หรือไม่ล่ะจ๊ะว่าพี่รักฉันจริง"
"เอ็งจะให้พิสูจน์อะไรก็ว่ามาซี่"
"ก็ไม่มีอะไรมากดอก เพียงแต่ถ้าฉันเกลียดคนไหน ก็ขอให้พี่เกลียดด้วย ถ้าฉันรักฉันชอบคนไหน ก็ขอให้พี่รักพี่ชอบด้วย เท่านั้นเอง"
"ก็ใครเล่าที่เอ็งเกลียด ใครเล่าที่เอ็งรัก บอกมาเถอะ ข้าจะได้ทำให้ถูกใจเอ็ง"
บุญเจิมมองหน้าเข้ม แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
"คนที่ฉันเกลียด ก็คือคุณมาโนชกับพี่บุญมี ส่วนคนที่ฉันรักฉันชอบ ก็คือพี่แก้ว เท่านี้แหละ ถ้าพี่เข้มทำได้ ฉันก็ชอบใจพี่"
เข้มตกใจคิดไม่ถึง ว่าบุญเจิมจะให้เกลียดมาโนชกับบุญมี ฝ่ายบุญเจิมเลยฉวยโอกาสวิ่งขึ้นเรือนไป พร้อมกับหัวเราะคิกๆสะใจที่แกล้งเข้มได้
"หน็อยแน่อีเจิม จะให้ข้าทรยศต่อคุณมาโนชแลพี่บุญมีเลยหรือนี่ ยิ่งรู้ว่ามันเป็นที่รักของเอ็งแล้ว ก็อย่า
หวังเลยว่าข้าจะฝืนใจถือมันเป็นมิตรได้ มันกับข้า ต้องเป็นข้าศึกกันไปตลอดชีวิตล่ะวะ"
คอกแอบดูอยู่ด้วยความเป็นห่วง พอเห็นบุญเจิมหนีขึ้นเรือนไปเรียบร้อย ค่อยยิ้มออกถอนใจอย่างโล่งอก
ผ่านเวลาสักครู่ แก้วเดินคุยกับคอกมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือน
แก้วส่ายหน้า
"นังเจิมนี่มันแผลงยิ่งนัก แต่ละอย่างที่มันคิด สุดที่ผู้คนจะคิดตามทันจริงๆ"
"แต่ที่นังเจิมทำไป ก็เพื่อช่วยพี่แก้วดอก"
"ข้ารู้ ข้อนี้ข้าก็ถือเป็นหนี้บุญคุณมันอยู่ ถ้าไม่ได้มันเป็นหูเป็นตา แลออกอุบายช่วย ข้าคงถูกจับได้เสียนานแล้ว แต่ข้าก็ไม่อยากให้มันเอาตัวเข้าไปเสี่ยง ยิ่งกับคนอย่างไอ้เข้มด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควรใหญ่ ข้ากลัวว่าวันนึงภัยจะมาถึงตัวมันเอง"
คอกหน้าจ๋อยลง
"ถึงจะเป็นภัยแค่ไหน ถ้าเพื่อพี่ นังเจิมมันก็ยอมทุกอย่างนั่นแหละ เช่นนี้แล้ว พี่ไม่คิดจะรักชอบนังเจิมมันบ้างรึ"
คอกสีหน้าอยากรู้ รอฟังคำตอบ
"ข้าบอกกับเอ็งตามตรงนะไอ้คอก ข้าคิดกับนังเจิมเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น ไม่มีวันจะเป็นอื่นไปได้ดอก แต่นังเจิมมันไม่ยอมฟัง แลยิ่งมันดีกับข้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งลำบากใจมากเท่านั้น"
คอกเริ่มมีหวัง
"จริงหรือพี่ ไม่ว่านานเท่าใด พี่ก็จะไม่คิดกับมันเกินน้องแน่รึ"
"แน่สิวะ หากข้ามีสันดานชอบเด็ดดอกไม้ใกล้มือแล้ว นังเจิมมันคงเป็นเมียข้าไปเสียนานแล้วโว้ย"
แก้วยิ้มๆส่ายหน้าก่อนเดินเข้าเรือนไป คอกยิ้มดีใจ ฟังแก้วยืนยันแบบนี้ก็ยิ่งมีหวังขึ้นอีกเยอะ
น้ำทิพย์กำลังปรุงรสอาหารคาวอยู่ในครัว โดยมีทาสสาวนางหนึ่งคอยช่วย แก้วเดินมาชะเง้อชะแง้มองแล้วนั่งคุกเข่ารออยู่หน้าโรงครัว เธอปรุงรสเสร็จ ก็ถอยให้ทาสสาวยกหม้อแกงลงจากเตาถ่าน ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากโรงครัว
น้ำทิพย์ดีใจมากที่เห็นแก้ว
"แก้ว"
แก้วชหน้าขรึมลง
"คุณน้ำทิพย์ขอรับ คุณพระท่านฝากมาเรียนคุณน้ำทิพย์ว่า งานวัดเบญจมบพิตรปีนี้มีสามวัน คุณพระท่านจะไปวันแรก หากคุณน้ำทิพย์ว่าง ก็อยากจะขอเชิญขอรับ"
น้ำทิพย์หน้าเจื่อน น้อยใจมาก
"นับแต่วันที่ฉันพลั้งมือทำร้ายแก้ว เราก็ไม่เคยพูดกันอีกเลยนานนับเดือน นึกไม่ถึง ว่าการที่แก้วมาพูดกับฉันเป็นครั้งแรก ก็ยังไม่พ้นเรื่องคุณพระนิติธรรมอยู่ดี"
" หามิได้ขอรับ การที่กระผม..."
น้ำทิพย์ตัดบท
"ฝากไปกราบเรียนคุณพระท่านด้วยว่าวันแรกของวันงาน ฉันไม่ว่าง แต่ฉันจะไปในวันที่สอง"
น้ำทิพย์เบือนหน้าไปแล้วเดินจากไปด้วยความรู้สึกน้อยใจอย่างที่สุด
แก้วได้แต่มองตามตาละห้อย สีหน้าเศร้าสลด แม้จะเตรียมทำใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดช้ำใจไม่ได้อยู่ดี
เวลาสาย ในร้านธูป น้อมกำลังดูของฝากของพระยาไชยากรอย่างเพลิดเพลิน
ทั้งเครื่องประดับ แจกันเครื่องเคลือบจากต่างประเทศ ขนม อาหารการกิน ฯลฯ พระยาไชยากรขนมาเอาใจเต็มไปหมด โดยมี
พระยาไชยากรนั่งจิบน้ำชาอยู่ใกล้ๆ น้อมยิ้มแย้ม
"แหม เกรงใจท่านเจ้าคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ ทีหลังท่านเจ้าคุณไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากอีชั้นแล้วนะเจ้าคะ"
"ของเล็กๆน้อยๆ แม่น้อมอย่าคิดมากสิ เราเอง ก็ใช่คนอื่นไกลกันไม่ใช่รึ"
น้อมเขินอาย แกล้งดูข้าวของกลบเกลื่อน
ไชยากรหน้าขรึมลง
"เอ่อ แม่น้อมจ๊ะ ฉันอยากปรึกษาความสำคัญ เกี่ยวกับปัญหาชีวิตของฉันกับแม่น้อมดูบ้าง ไม่แจ้งว่าจะรังเกียจฟังหรือไม่"
น้อมตาโต รู้ว่าพระยาไชยากรพูดอย่างงี้ ต้องบอกรักตนแน่ เลยทิ้งค้อน
"วุ้ยตาย จะเป็นไรมี เรื่องเท่านี้ก็ต้องพูดว่าปรึกษาให้อ้อมค้อม มีอะไรก็พูดไปตรงๆเถิดท่าน อีชั้นเป็นแม่ค้า ทำงานไปวันๆแข่งกับเวลา ไม่ชอบโอ้เอ้วิหารรายกับใคร มีอะไรก็พูดมาเถิด อีชั้นจะรับฟัง"
ไชยากรยิ้มกรุ้มกริ่ม
"นับแต่ท่านพระครูท่าน ให้เราได้รู้จักมักคุ้นกันแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนบุพเพสันนิวาสโดยแท้ ที่ได้มาพบแม้น้อมกับลูกสาว ฉันเอง แม่น้อมก็รู้ว่าตกหัวอกเดียวกับแม่น้อม คือกำพร้าคู่ชีวิต"
น้อมหัวเราะคิกๆ ทิ้งค้อนเขินอาย
"แหม กำพร้าคู่ชีวิต พูดมาได้ท่านเจ้าคุณเนี่ย อีชั้นก็ถือว่าเป็นบุญตัวไม่น้อยเหมือนกัน ที่ได้รู้จักชอบ
พอกับท่านเจ้าคุณ หากมีสิ่งใดที่จะอนุโลมให้ท่านมีความสุขได้ อีชั้นจะกระทำทันทีเจ้าค่ะ" น้อมพูดพลางเขินอาย
พระยาไชยากรดีใจสุดๆ เขยิบกายเข้าหา น้อมเขินเลยขยับกายหนี พระยาไชยากรเลยเขยิบกลับมา น้อมตกใจ กลัวพระยาไชยากรจะไม่ตามมา เลยเขยิบกลับเข้าไปหาเอง
"ฉันขอบใจแม่น้อมมาก ที่ออกปากจะอนุโลมให้ฉันได้มีความสุขกับเค้า"
พระยาไชยากรมองน้อมนิ่ง ยิ้มกรุ้มกริ่ม ค่อยๆจับมือไว้
"ฉันขอสารภาพ ว่าฉันหลงรักแม่..."
พระยาไชยากรพูดจนระคายคอ กระแอมไอ น้อมยิ่งฟังยิ่งเขินอายสุดๆ แต่พอถึงตอนสำคัญกลับไม่พูดต่อ แถมกระแอมไออีก น้อมเลยเสียอารมณ์ รีบเทน้ำชายื่นให้ท่านเจ้าคุณทันที
"น้ำชาเจ้าค่ะ รีบดื่มเลยเจ้าค่ะ"
พระยาไชยากรกระแอมไอ รับถ้วยน้ำชามาจิบ
"ขอบใจจ้ะ เรามาคุยเรื่องของเรากับต่อเถอะนะ"
น้อมยังเขินอาย
"ดีเจ้าค่ะ"
"ฉันรับสารภาพ ว่าฉันหลงรัก..."
น้อมท่าทางตื่นเต้นสุดๆ
"แม่นิ่ม ลูกสาวของแม่น้อมมานานช้า" พระยาไชยากรว่า
น้อมยิ้มแห้ง ตาเบิกโต
"ขอแม่นิ่มให้มาอยู่กินกับฉันเถิดนะ"
น้อมช็อกสุดๆ ไม่เคยคิดว่าจะกลับตาลปัตรขนาดนี้ พูดอะไรไม่ออก นิ่งงันเหมือนถูกสาป
ผ่านเวลาซักครู่ ภายในห้องนอนนิ่ม อบเชยโกรธจัด
"ฉันบอกป้าแล้ว ว่าไอ้พระยานาล่มนั่นมันไม่ซื่อ ป้าก็ไม่เชื่อฉัน ทีนี้เป็นอย่างไรล่ะ"
อบเชยกำลังคุยกับน้อม โดยมีนิ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใกล้ๆ น้อมโมโหมาก ตวาดแว๊ดใส่นิ่ม
"เอ็งไม่ต้องมาซ้ำข้านังอบเชย ข้ากำลังพูดกับลูกข้า หุบปากไปเลย ว่าไงแม่นิ่ม ไปแอบรักชอบกัน
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่เล่าให้แม่ฟัง"
นิ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ยกมือไหว้
"ฉันขอโทษจ้ะแม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดแม่เลย แต่ท่านเจ้าคุณสั่งไว้ว่าอย่าบอกแม่ เพราะอายุฉันกับท่านต่างกันมาก ท่านเจ้าคุณเกรงว่าแม่จะรังเกียจจ้ะ"
อบเชยเจ็บใจสุดๆ
"กลัวรังเกียจอะไรกัน มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกน่ะสิ กะล่อนนัก"
นิ่มสะอึกสะอื้น
"อย่าว่าท่านเจ้าคุณเลยอบเชย ท่านเจ้าคุณรักชอบพี่ด้วยใจจริง ไม่ได้คิดจะหลอกลวงใครดอก"
"แล้วแกล่ะ รักใคร่ท่านเจ้าคุณจริงรึ หรือว่าอยากเป็นคุณหญิงถึงได้แล่ไปออกปากหลอกเค้าอย่างนั้น"
นิ่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ
"แม่จ๋า ฉันไม่เคยหลอกลวงใคร แม้โกหกใครสักคำ แม่ก็รู้ว่าฉันไม่เคยทำ แล้วไฉนแม่มาว่าฉันดังนี้ล่ะจ๊ะ"
"นี่แปลว่า พี่นิ่มรักอีตาเจ้าคุณนั่นจริงๆรึ"
นิ่มพยักหน้าทั้งน้ำตา อบเชยถอนใจ ไม่รู้จะพูดยังไง น้อมกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยังแค้นใจอยู่
"แต่ฉันเป็นแม่แก ฉันจะไม่ให้แกแต่งงานกับเจ้าคุณไชยากรก็ได้ ใครจะมาทำไม"
นิ่มเข้าไปกราบเท้าน้อม
"ถูกแล้วจ้ะ แม่ไม่ให้ฉันแต่งกับท่านเจ้าคุณหรือไม่ให้แต่งกับผู้ใด ฉันจะทำตามแม่ทุกอย่าง แต่เมื่อแม่ไม่ให้ฉันแต่งกับท่านเจ้าคุณแล้ว แม่ก็ได้โปรดอย่าให้ฉันแต่งกับคนอื่นอีกเลย เพราะ...เพราะฉันรักท่านเจ้าคุณมากจ้ะแม่"
น้อมอึ้งไปที่ลูกถึงกับพูดขนาดนี้ ในขณะที่อบเชยก็อึ้งทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ผ่านเวลาซักครู่ น้อม และอบเชย เดินมาส่งพระยาไชยากรที่หน้าร้าน โดยมีบุญมีจอดรถม้ารออยู่
"แม่น้อมมีบุญคุณกับฉันนัก ฉันจะไม่ให้แม่น้อมผิดหวังเลย รับรอง ว่าฉันจะจัดสินสอดมาให้ไม่น้อยหน้าใครเป็นอันขาด"
น้อมหน้าบึ้งตึง
"เรื่องนั้นไม่สำคัญดอกเจ้าค่ะ สำคัญว่าท่านเจ้าคุณรักลูกสาวอีชั้นจริง อย่าทอดทิ้งแม่นิ่มก็แล้วกัน"
พระยาไชยากรยิ้มแย้ม
"ข้อนั้นแม่น้อมไม่ต้องกังวล เพราะฉันรักแม่นิ่มสุดหัวใจของฉันเช่นกัน ไม่มีวันที่ฉันจะทอดทิ้งแม่นิ่มเด็ดขาด"
"ถ้าอย่างนั้น ท่านเจ้าคุณก็ดูฤกษ์ดูยามมาเถอะเจ้าค่ะ อีชั้นไม่ขัดข้องอะไร"
ไชยากรดีใจสุดๆ
"ได้ ฉันจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด"
น้อม และอบเชยไหว้ลา พระยาไชยากรรับไหว้ ก่อนจะขึ้นรถม้าให้บุญมีขับพาไป
อบเชยหน้าบึ้งตึง
"นี่ตกลง เราต้องยอมเสียท่าอีตาพระยาไชยากรจริงๆรึป้า"
"ก็ถ้าเป็นวาสนาแม่นิ่มที่จะได้ขึ้นเป็นคุณหญิง เราก็คงฝืนไม่ได้ดอกวะ นังอบเชย"
"แล้วป้าไม่เสียใจรึ"
น้อมหน้าบึ้งตึง ก่อนเศร้าลง
"ถามโง่ๆนังนี่ ข้าไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะไม่เสียใจได้ยังไงวะ แต่ความสุขของลูกข้า สำคัญเป็นที่สุด เพื่อแม่นิ่มแล้ว ต่อให้ยิ่งกว่านี้อีกร้อยเท่า ข้าก็ทนได้"
ว่าแล้วน้อมก็เบะ ร้องไห้โฮ เดินปิดหน้าร้องไห้กลับเข้าร้านไป อบเชยมองตามอย่างเห็นใจ ก่อนจะหันมองตามรถม้าไชยากรไปด้วยสีหน้าชิงชัง
เวลาบ่าย บรรยากาศบริเวณหน้าวังแห่งหนึ่ง หลังน้ำทิพย์ร้อยมาลัยมาถวาย หลังจากเสร็จ เพื่อนที่ทำงานในวังก็เดินมาส่ง
เพื่อน 1 ยิ้มแย้มบอก
"ฝีมือร้อยมาลัยของแม่น้ำทิพย์ ยังงามหาตัวจับยากเหมือนเคย เสด็จท่านทรงรับสั่งบ่อยๆ ว่าหลังจากแม่น้ำทิพย์ออกจากวังแล้ว จะหาใครร้อยมาลัยได้ถูกพระทัยเป็นไม่มี"
"แม่อรก็ชมกันเกินไป ในวังมีคนออกมาก เดี๋ยวก็ฝึกฝนคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ฉันได้ ไม่ยากดอก"
ขณะนั้นเอง ก็มีฝรั่งคนหนึ่ง กางแผนที่หาสถานที่ที่ตนต้องการไปอยู่ ฝรั่งเหลือบเห็นน้ำทิพย์กับเพื่อน แต่งตัวดีกว่าคนทั่วไป เลยเดินเข้าไปหา แล้วพูดภาษาอังกฤษแปลความได้ว่า
"ขอประทานโทษขอรับคุณผู้หญิง กระผมจะไปร้านของคุณเดวิด สมิธ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักหรือไม่ขอรับ"
น้ำทิพย์กับเพื่อนหน้าตาเหรอหรา อยู่ๆฝรั่งก็มาคุยด้วย ฟังไม่ออกซักคำว่าพูดอะไร ได้แต่ยืนงงๆ
ไม่รู้จะทำยังไงดี
เพื่อน 1 กระอักกระอ่วน
"ทำยังไงกันดีแม่น้ำทิพย์ ฝรั่งมังค่าที่ไหนก็ไม่รู้ พูดจาก็ประหลาด ฉันฟังไม่ออก"
น้ำทิพย์หน้าเสีย
"ฉันก็ฟังไม่ออกเหมือนกัน"
ฝรั่งกำลังยืนงงอยู่ ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงคุณกัลยาก็ดังขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ
"มีอะไรให้ฉันช่วยมั้ยคะคุณ"
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ก็เห็นคุณกัลยาเป็นคนช่วยส่งภาษาคุยกับฝรั่งให้ ฝรั่งดีใจที่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ คุณกัลยาชี้แผนที่แล้วตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไป น้ำทิพย์กับเพื่อน มองด้วยความทึ่งสุดๆ
" ใครกัน แม่อรรู้จักหรือไม่"
เพื่อน 1บอก
"เธอชื่อคุณแดง เป็นบุตรีพระยาเดชารณภพ เจ้านายของพี่อำนาจพี่ชายฉันเอง ถ้าเป็นบ้านนี้ก็ไม่แปลกดอก เพราะท่านเจ้าคุณเดชา นิยมให้ลูกทุกคนเรียนกับมิชชันนารี เห็นว่าลูกชายคนโต ก็ไปเรียนมาถึงเมืองฝรั่งตอนนี้ เป็นตุลาการอยู่ ก็คุณพระที่มาปลูกเรือนแพอยู่ตรงข้ามเรือนแม่น้ำทิพย์ไงจ๊ะ"
น้ำทิพย์หันไปมองคุณกัลยาที่กำลังคุยกับฝรั่งอยู่ด้วยความสนใจ
"นี่น่ะรึ คุณแดง"
ผ่านเวลาเล็กน้อย บรรยากาศย่านร้านค้าสมัยก่อน น้ำทิพย์ และคุณกัลยากำลังเดินยิ้มแย้มคุยกัน พร้อมกับซื้อของไปด้วย
"ฉันเคยได้ยินแต่ชื่อคุณน้ำทิพย์มานาน เพิ่งได้เจอตัวจริงวันนี้เอง ควรแล้วล่ะค่ะ ที่คุณพี่ของฉันจะเสี่ยงตาย อยากรู้จักคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์ยิ้มขำๆ
"คุณแดงก็เย้าฉันเล่นเกินไป ฉันไม่ได้ดีเด่นถึงขนาดนั้นดอกค่ะ"
"น้อยไปเสียด้วยค่ะ คุณน้ำทิพย์ตัวจริง สวยน่ารักกว่าที่ฉันคิดเสียอีก รู้หรือไม่คะ ว่าฉันเคยคิดไปแอบดูคุณน้ำทิพย์ด้วย แต่ เสียดายที่ไม่ได้เจอ"
ครั้นน้ำทิพย์โดนชมซึ่งๆหน้าก็เขิน
"สู้คุณแดงไม่ได้ดอกค่ะ คุณแดงไม่เพียงแต่สวยน่ารัก ยังมีวิชาความรู้อีก ในชีวิตฉัน นอกจากเสด็จท่านกับเจ้านายไม่กี่พระองค์แล้ว ฉันยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนพูดภาษาฝรั่งได้ดีเหมือนคุณแดงเลยค่ะ"
"ถ้าได้เรียนตั้งแต่เด็กอย่างฉัน ก็ทำได้ทุกคน ไม่แปลกดอกค่ะ เออ แล้วสาวชาววังอย่างคุณน้ำทิพย์ ต้องเรียนงานฝีมือชาววังทุกอย่างเลยหรือเปล่าคะ"
"ค่ะ ถ้าเรียนไม่ครบ เสด็จท่านไม่ให้บอกว่ามาจากวังนี้ เกรงว่าจะอายคนอื่นเค้าน่ะค่ะ"
"อย่างนั้นที่ฉันเคยได้ยินว่าก่อนออกจากวัง ต้องผ่านการทดสอบยากๆ ด้วย ก็เป็นความจริงน่ะสิคะ"
"ค่ะ ต้องทดสอบงานฝีมือสี่อย่างที่ยากที่สุด ถ้าสอบไม่ผ่าน ก็ห้ามบอกว่ามาจากวังนี้เหมือนกัน"
คุณกัลยาสนใจอยากรู้
"แล้วงานฝีมือสี่อย่าง มีอะไรบ้างคะ"
น้ำทิพย์ยิ้มบางๆ
"ก็มีจีบพลูยาว ปอกมะปรางริ้ว ทำขนมจีบ แล้วก็ทำขนมเบื้องค่ะ"
คุณกัลยาแปลกใจ
"พลูยาวกับมะปรางริ้ว ฉันเคยเห็นค่ะ ยอมรับว่าทำยากจริง แต่ทำขนมจีบกับขนมเบื้อง ก็ถือว่าเป็นงานยากด้วยหรือคะ"
"ถ้าทำให้ดี ก็ยากมากค่ะ อย่างขนมจีบ ต้องปั้นแป้งห่อให้บางจนเห็นไส้ใน แต่ก็ต้องไม่ให้ปริแตก ส่วนขนมเบื้อง ก็ต้องละเลงให้แผ่นบางเท่ากระดาษ แต่ก็ต้องไม่ให้ไหม้ติดกระทะค่ะ"
คุณกัลยาพยักหน้าตามช้าๆ
"มิน่าล่ะ ถึงบอกว่ายากมาก คุณน้ำทิพย์นี่เก่งจริงๆเลยนะคะ งามพร้อมอย่างที่แก้วบอกไว้จริงๆด้วย"
น้ำทิพย์หน้าเสียทันที
"แก้วสนิทกับคุณแดง ถึงขนาดคุยถึงฉันให้ฟังเลยเหรอคะ"
"ค่ะ เวลาฉันมาหาคุณพี่ ก็ได้คุยกับแก้วทุกครั้ง ก็คงต้องถือว่าสนิทกันดีน่ะค่ะ"
น้ำทิพย์หน้าซีดเผือดไปทันที พอเดาได้ว่าเป็นยังไง แต่ต้องทำใจ เพราะแก้วเป็นแค่ทาสในเรือนเท่านั้น
น้ำทิพย์ได้แต่ปั้นหน้าฉีกยิ้มมารยาทไป
หมู่เรือนแพริมน้ำยามค่ำ
แก้วกำลังคุกเข่าคุยกับพระนิติธรรมลือชาอยู่ที่หน้าเรือนแพ พระนิติธรรมกระหยิ่มยิ้มย่อง
"คุณน้ำทิพย์เธอบอกว่าจะไปวันที่สองรึ ได้ งั้นฉันก็จะไปวันที่สองเหมือนกัน"
"ถ้าอย่างงั้น กระผมจะไปเรียนคุณน้ำทิพย์ตามนี้นะขอรับ"
พระนิติธรรมตบบ่าแก้ว
"ไม่ต้องดอก เมื่อคุณน้ำทิพย์เธอเอ่ยปากเอง ก็คงเป็นไปตามนั้น ฉันไม่อยากใช้งานแกมากไป เกรงว่าภัยมันจะมาถึงแกอีกแบบคราวก่อน"
"ขอบพระคุณขอรับ"
พระนิติธรรมยิ้มดีใจ
"คุณน้ำทิพย์ยอมรับฉันเช่นนี้ แสดงว่าจะมากจะน้อย ก็คงมีใจให้ฉันบ้าง จริงหรือไม่วะไอ้แก้ว"
แก้วหน้าเศร้า เจ็บปวดใจแต่พยายามข่มอารมณ์
"ขอรับ"
"แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะมีแกเป็นกามเทพ ขอบใจแกมากนะแก้ว"
แก้วหน้าเศร้า
"มิได้ขอรับ คุณน้ำทิพย์เป็นนายของกระผม ส่วนคุณพระก็เป็นคนดีแลมีบุญคุณกับกระผมท่วมหัว คนที่กระผมรักสองคนมีความสุขกระผมก็ดีใจขอรับ"
" ฉันเองก็ดีใจ ดีใจเหลือเกินไอ้แก้วเอ๊ย ดีใจจนอยากจะตะโกนออกมาดังๆเสียด้วยซ้ำ ไม่คิดเลย ว่าความรักมันจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้"
แก้วพยายามตัดใจเรื่องน้ำทิพย์ ดูเศร้าซึมไปอย่างเห็นได้ชัด
"ขอรับ มีอานุภาพมากเหลือเกิน มากเสียจนดลบันดาลให้สุขที่สุดแลทุกข์ที่สุด ในเวลาเดียวกันก็ยังได้"
พระนิติธรรมลือชากำลังทานอาหารเช้าอยู่กับน้องสาวที่ชานเรือนแพ สำรับกับข้าวไทยถูดจัดวางอย่างง่ายๆ
"น้องเจอคุณน้ำทิพย์เธอแค่ครั้งเดียว ก็อดชอบเธอไม่ได้แล้วล่ะค่ะ คุณพี่ต้องหาทางให้เธอมาเป็นพี่สะใภ้น้องให้ได้นะคะ"
"น้องก็พูดเป็นเรื่องง่ายเหมือนขายขนมไปได้ พี่จะไปบังคับจิตใจคุณน้ำทิพย์เธอได้อย่างไร แล้วเจ้าคุณพ่อเธอก็ชังน้ำหน้าพี่นัก ไอ้เรื่องที่ยกคุณน้ำทิพย์ให้ง่ายๆนั้นอย่าหมายเลย"
"น้องก็ไม่ได้ต้องการให้คุณพี่ได้เธอมาง่ายๆดอกค่ะ เพราะอย่างนั้นมันไม่มีความหมาย ต้องลำบากยากเย็นถึงจะมีคุณค่า เหมือนโรมิโอกับจูเลียตไงคะ เพียงแต่อย่าเศร้าเหมือนตอนจบก็พอ"
" พี่จะตั้งใจ ให้น้องสมความปรารถนาก็แล้วกันนะ"
ขณะนั้นเอง อ้นก็เข้ามาหาด้วยท่าทางตื่นตกใจ
"คุณพระขอรับ แย่แล้วขอรับ"
"มีอะไรรึ"
" ไอ้ดำมันมาบอก ว่าตอนนี้ท่านเจ้าคุณกำลังเมาอาละวาดหนัก ทั้งบ่าวไพร่ทั้งคุณหญิงไม่มีใครเอาอยู่ โดนทุบตีกันถ้วนหน้า คุณพระกับคุณแดง รีบกลับไปดูเถิดขอรับ"
พระนิติธรรมลือชา และน้องสาวตกใจมาก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกแล้ว
ภายในเรือนพระยาเดชา ... พระยาเดชารณภพเมามายกำลังวิ่งไล่ทำร้ายคุณหญิงลออที่วิ่งหนีมาจนสะดุดหกล้ม พระยาจะเข้าไปซ้ำ แต่พวกทาสหญิงกลุ่มหนึ่งเข้าไปจับพระยาเดชาไว้ไม่ให้ทำร้ายคุณหญิง
"ปล่อยกูสิวะ กูสั่งให้ปล่อย ไม่อย่างงั้นพวกมึงหลัง ขาดกันเรียงตัวแน่ ปล่อยกู"
ทาส 1จับตัวพระยาเดชาสุดฤทธิ์
"บ่าวขอโทษเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ แต่ท่านเจ้าคุณอย่าทำร้ายคุณหญิงเลยนะเจ้าคะ"
" มันหักหน้ากู จะไม่ให้กูสั่งสอนมันได้อย่างไรวะ กูตั้งวงเหล้าเลี้ยงลูกน้องอยู่ดีๆ มันกล้ามาสั่งให้กูเลิก อย่างงี้มันต้องโดนตบซักฉาดสองฉาด"
คุณหญิงลออร้องไห้ด้วยความโมโห
"ท่านเจ้าคุณกินเหล้าตั้งแต่เย็นวาน ข้ามคืนจนถึงเช้า แล้วจะไม่ให้ฉันขอให้เลิกได้อย่างไร ถ้าการที่ฉันห่วงท่านเจ้าคุณเป็นการหักหน้า ก็ฆ่าฉันเสียเลยสิคะ"
พระยาเดชารณภพโมโหสุดขีด
"มึงกล้าท้ากูเชียวรึ"
พระยาเดชาสะบัดตัวเหวี่ยงจนพวกทาสผู้หญิงกระเด็นออกไป ก่อนจะโผเข้าตบคุณหญิงลออ แต่ทันใดนั้น คุณกัลยาเข้ามาขวางไว้
"อย่าเจ้าค่ะ"
พระยาเดชารณภพยั้งไม่ทัน เลยตบหน้าลูกสาวเข้าเต็มๆฝ่ามือล้มจนล้มคว่ำลง คุณหญิงลออตกใจมาก รีบเข้าไปดูทันที
"แม่แดง แม่แดงเป็นยังไงบ้างลูก"
คุณกัลยาโดนตบ ทั้งเจ็บ ทั้งเสียใจ ได้แต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ ฝ่ายพ่อเองก็ตกใจ เพราะในจำนวนลูกทั้งหมด พระยาเดชารณภพรักคุณกัลยามากที่สุด เขาได้แต่ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก แทบสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง เพราะไม่เคยคิดจะตีลูกแม้แต่ปลายก้อย
ขณะนั้นเอง พระนิติธรรมลือชาก็เดินเข้ามาหาพ่อ
"พอเถอะขอรับคุณพ่อ อย่าให้น้องแดงต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วยอีกเลย"
พระยาเดชาหน้าสลดลง รู้สึกผิดสุดๆที่ทำร้ายลูกโดยไม่ตั้งใจ
อ่านต่อหน้า 2
ลูกทาส ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลาบ่าย แก้วกำลังเดินคุยกับอ้น ท่ามกลางเรือนแพหมู่ ที่ตั้งเรียงรายกันมีของขายมากมายเหมือนตลาดย่อยๆ
แก้วสีหน้าขรึมๆ อดสงสารพระนิติธรรมไม่ได้
"ฉันเห็นคุณพระท่าน เหมือนดวงตะวันที่ส่องสว่าง ไร้เมฆหมอกราคีมาบดบัง ไม่คิดเลย ว่าที่บ้านท่านจะ..."
แก้วได้แต่ถอนใจ พูดไม่ออก
"ไม่มีผู้ใด เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างดอกวะ มากบ้างน้อยบ้าง ก็ต้องมีข้อตำหนิ ข้าถึงไม่เคยน้อยอกน้อยใจที่เกิดมาเป็นทาสเลยยังไงล่ะ" อ้นบอก
แก้วพยักหน้ายอมรับ
"จริงของพี่อ้น ข้อนี้ ฉันจะจำไว้เตือนใจตัวเอง เอ้อ... แล้วนี่คุณพระท่านจะกลับเมื่อไหร่ล่ะพี่"
อ้นคิดอยู่ครู่นึง
"คราวนี้เรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย คุณพระท่านคงต้องอยู่สะสางอีกนานพอควร เอ็งคอยดูที่เรือนแพไว้ก็แล้วกัน ถ้าข้าแขวนตะเกียงไว้ที่หัวเรือนเมื่อใด ก็แปลว่าคุณพระท่านกลับมาแล้ว เอ็งค่อยมาหาก็แล้วกัน"
"จ้ะพี่อ้น ระหว่างนี้ ฉันจะทบทวนตำรับตำราแลสิ่งที่คุณพระเคยสั่งสอนฉัน ไม่ให้ความหวังดีที่คุณพระมีให้ฉันต้องเสียเปล่าเป็นอันขาด"
"คนขยันหมั่นเพียรแบบเอ็ง ภายหน้าต้องได้ดิบได้ดีเป็นแน่"
อ้นตบไหล่แก้ว ชื่นชม แก้วยิ้มรับ สีหน้ามุ่งมั่นคาดหวัง
เวลาหัวค่ำ เรือนพระยาเดชารณภพ พระนิติธรรมยกสำรับกับข้าวมาวางบนโต๊ะในห้องนอนของพระยาเดชาที่นั่งปวดหัวหนักอยู่บนเตียง เพราะเพิ่งฟื้นจากการเมาเหล้า
"ทานข้าวทานปลาเสียหน่อยนะขอรับคุณพ่อ พวกบ่าวมันบอกว่าคุณพ่อยังไม่ได้รับอะไรเลยตั้งแต่เมื่อเย็นวาน กระผมเกรงว่าคุณพ่อจะเจ็บป่วยไปเสียก่อน"
"โอ๊ย พ่อปวดหัวเหลือเกินคุณพระ บอกแม่ลออ ต้มยาแก้เมาให้พ่อทานด้วย"
พระนิติธรรมยิ้มบางๆ
"น้าลออไม่อยู่แล้วขอรับ น้องแดงพาน้าลออกลับไปบ้านคุณตาที่เมืองนนท์แล้วขอรับ"
พระยาเดชารณภพหน้าเสีย
"เค้าคงโกรธเคืองที่พ่อตบตีเค้ากระมัง ก็เลยหนีพ่อไป อันที่จริง จะโทษพ่อฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกดอกนะ น้าของคุณพระก็ชอบขัดใจพ่อ ถ้าปล่อยให้พ่อกินเหล้าของพ่อจนพอ ก็ไม่มีเรื่องต้องทะเลาะกันแล้ว"
พระนิติธรรมขำๆ
" คุณพระขำอะไร พ่อถูกทิ้งก็ตลกด้วยรึ"
"กระผมไม่ได้ตลก เพราะคุณพ่อถูกน้าลออทิ้งไปดอกขอรับ กระผมเพียงแต่ขำ เพราะเห็นว่าคุณพ่อตบตีน้าลออหนักนัก แต่พอน้าลออทนไม่ไหว กลับกลายเป็นว่าต้องร่วมรับผิดกับคุณพ่อด้วย นี่ถ้าให้กระผมต้องตัดสินคดีนี้ คงมึนหัวไปหลายวันเชียว"
พระยาเดชาหน้าบึ้งตึง ไม่ยอมแพ้
"พ่อไม่ได้พาลพาโลนะคุณพระ ผู้ชายที่ไหนก็กินเหล้าทั้งนั้น แม่ลออจะถือเป็นเหตุทิ้งพ่อไปได้อย่างไร"
"คุณพ่อจำได้หรือไม่ขอรับ ว่ามีลูกกี่คน"
พระยาเดชารณภพเคืองเล็กๆ
"ดูถูกดูแคลนกันเกินไปแล้วคุณพระ พ่อเป็นพ่อ จะจำลูกตัวเองไม่ได้ได้ยังไง กับแม่คุณพระ ก็มีคุณพระคนเดียว กับแม่ลออมีหกคน ชายห้าหญิงอีกหนึ่งก็คือแม่แดง ทำไมพ่อจะจำไม่ได้เล่า"
พระนิติธรรมยิ้มบางๆ ไม่ตอบอะไร พระยาเดชางงๆ ที่ลูกชายยิ้มแปลกๆ เหมือนมีเลศนัย
ผ่านเวลาซักครู่ บริเวณชานเรือน ลูกๆพระยาเดชารณภพที่เกิดจากเมียทาส นั่งกันหน้าสลอนทั้งชาย-หญิง ผู้ใหญ่เด็ก รวมกัน 10 กว่าคน
พระยาเดชารณภพถูกลูกชายพาออกมาดูลูกๆตัวเองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
"ลูกที่เกิดจากเมียเอก เจ็ดคนก็จริงขอรับ แต่ที่เกิดจากเมียบ่าวมีอีกสิบกว่าคน ทุกครั้งที่คุณพ่อเมา ถ้าไม่อาละวาดตบตีชกต่อย ก็ต้องได้ทาสที่มารับใช้เป็นเมียเพิ่ม พอมีลูก ก็ไม่พ้นน้าลออต้องคอยดูแล แม้ต้องนับถือน้ำใจของน้าลออ แต่หัวอกคนเป็นเมียที่ผัวมีเมียไปทั่ว มันก็น่าช้ำใจอยู่ไม่น้อยนะขอรับ"
พระยาเดชาถอนใจหนักๆ ละอายใจ โบกมือไล่ลูกๆ
"พวกเอ็งกลับเรือนของพวกเอ็ง ไปเถอะ ข้าไม่มีอะไรแล้ว"
พวกลูกๆ พาทยอยกันลงจากเรือนไปหมด พระยาเดชารณภพละอายใจ
"นี่พ่อ คงเป็นพ่อที่เลวในสายตาคุณพระมากเลยใช่หรือไม่ ลูกมีกี่คนยังจำได้ไม่หมด ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว"
พระนิติธรรมยิ้มขำๆ
"หามิได้เลยขอรับ ยามที่คุณพ่อไม่เมา คุณพ่อเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูกทุกคน ที่กระผมมีวันนี้ได้ ก็เพราะสายตาอันยาวไกลของคุณพ่อ ที่ให้กระผมเรียนหนังสือกับมิชชั่นนารีแต่เด็ก แลน้องๆกระผมแต่ละคน ก็ไม่มีใครเสียผู้เสียคนเลย ทั้งหมดก็เพราะคุณพ่อทั้งสิ้น"
"แต่เวลาพ่อเมา เปลี่ยนจากพระอรหันต์เป็นพญามารเลยใช่หรือไม่"
"คุณพ่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็เลิกเหล้าเสียสิขอรับ ถ้าคุณพ่อเลิกเหล้าได้ น้าลออจะได้กลับมาอยู่กับคุณพ่อ แล้วลูกๆทุกคน ก็จะได้มีความสุขเสียที"
พระยาเดชารณภพซึมลง
"พ่อจะลองดูนะคุณพระ แต่พ่อไม่กล้ารับปากดอกนะ เพราะพ่อกินเหล้ามาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม ไม่รู้เลย ว่าจะเลิกได้หรือไม่"
นิติธรรมยิ้มดีใจ
"แค่คุณพ่อยอมลองดู ก็ดีมากแล้วขอรับ กระผม จะเอาใจช่วยนะขอรับ"
พระยาเดชารณภพมีสีหน้ารู้สึกผิดวางมือบนบ่าลูกชาย บีบเบา ๆ แทนคำขอบใจก่อนเดินหน้าเคร่งขรึมกลับเข้าไปด้านใน
พระนิติธรรมมองตามพ่อไป อมยิ้มพอใจมีความหวังขึ้นมา
บรรยากาศภายในวัดนามบัญญัติเวลาเช้า พระครูกำลังสวดมนต์แล้วพรมน้ำมนต์ให้พระยาไชยากรและ นิ่ม ซึ่งเป็นคู่บ่าวสาว โดยมีน้อม และอบเชย นั่งพนมมืออยู่ใกล้ๆ
พระยาไชยากร และนิ่ม หันมาเหลือบมองกันด้วยสายตารักใคร่ เวลาผ่านมา คู่บ่าวสาวพากันมาที่รถม้า ซึ่งบุญมีจอดรถม้ารออยู่ โดยมีน้อม และอบเชยตามมาส่ง
ไชยากรยิ้มแย้มบอก
"ทีแรก ฉันกะจะจัดงานให้เป็นที่เอิกเกริก แต่ฤกษ์ที่ได้มามันกระชั้นนัก ฉันจึงต้องรีบทำพิธี ต้องขอโทษแม่น้อมด้วยนะ"
"ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะ ขอให้ท่านเจ้าคุณดูแลแม่นิ่มให้ดีก็พอ"
พระยาไชยากรมองนิ่มด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
"ข้อนั้นอย่ากังวลเลย แม่นิ่มถือได้ว่าเป็นเมียฉันแล้ว ถ้าฉันไม่ดูแลแม่นิ่ม แล้วจะดูแลใครเล่า"
นิ่มเขินอายสุดๆ
"ท่านเจ้าคุณขอรับ ต้องไปกราบท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่อีกหลายท่าน รีบไปเถอะขอรับ" บุญมีว่า
พระยาไชยากรพยักหน้ารับก่อนขึ้นไปบนรถม้า
"ข้ารู้แล้ว"
นิ่มหันไปไหว้น้อม
"ฉันไปก่อนนะจ๊ะแม่"
น้อมรับไหว้ ก่อนจะดึงนิ่มเข้ามากอด
"อยู่กับท่านเจ้าคุณท่านแล้ว ต้องทำตัวให้ท่านเมตตา อย่าเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่นะลูก"
"จ้ะแม่"
สองแม่ลูกกอดลากัน ก่อนที่นิ่มจะเดินไปขึ้นรถม้า แล้วบุญมีก็ขับออกไป
อบเชยมองตาม รู้สึกแปลกใจ
"มันพิกลอยู่นาป้า พิธีก็จัดเร่งรีบ แถมมีท่านเจ้าคุณกับทาสมาสองคนเท่านั้นเอง เครือญาติฝ่ายอื่นก็ไม่มา แถมป้าเป็นแม่ยายแท้ๆ แต่ไม่ได้ไปส่งตัวลูกเข้าหอ พิลึกพิลั่น เกิดมาฉันไม่เคยเห็น"
น้อมรำคาญ
"เอ็งเกิดมากี่ปีกันเชียวนังอบเชย ท่านเจ้าคุณท่านก็บอกแล้ว ว่าฤกษ์ที่ได้มามันกระชั้น ญาติท่านมาไม่ทัน แลท่านยังต้องพาแม่นิ่มไปกราบเจ้าคุณผู้ใหญ่ท่านอื่น เพื่อให้พวกท่านอวยชัยให้พรอีก แล้วจะให้ข้าตามไปทุกที่จนส่งตัวเข้าหอเลยรึ สำคัญที่ทำพิธีต่อหน้าท่านพระครูแลรับแม่นิ่มเป็นเมียก็ใช้ได้แล้ว เอ็ง อย่าขี้สงสัยนักเลย"
น้อมสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไปด้วยความรำคาญ ลึกๆ ก็ยังบอบช้ำใจไม่หาย อบเชยหน้าหงิก หันไปมองตามรถม้า ด้วยสีหน้าระแวงไม่ไว้ใจ
สายวันเดียวกัน บุญมีขับรถม้าพาพระยาไชยากร และนิ่มมาถึงบ้านเช่าที่เช่าไว้ คู่บ่าวสาวลงจากรถม้า
นิ่มมองไปรอบๆ แปลกใจว่า มาที่นี่ทำไม
"ที่นี่ที่ไหนกันหรือคะท่านเจ้าคุณ จะว่าเป็นเรือนผู้หลักผู้ใหญ่ ก็เล็กเกินไปนัก"
ไชยากรยิ้มเจ้าเล่ห์
"ที่นี่เป็นเรือนของแม่นิ่มยังไงล่ะ"
"ของฉันหรือคะ"
"เรือนฉันอยู่ระหว่างซ่อมแซม ให้แม่นิ่มไปพักตอนนี้ก็ไม่ค่อยสะดวก ฉันจึงให้แม่นิ่มมาพักที่นี่ก่อน แม่นิ่มคงไม่รังเกียจดอกนะ" พระยาไชยากรพูดพลางโอบบ่านิ่มไว้
นิ่มยังยิ้มแย้ม
"ไม่ดอกค่ะ มีท่านเจ้าคุณอยู่ ฉันอยู่ที่ไหนก็ได้ค่ะ"
"อย่างนั้นเราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่านะ"
"แล้วไม่ไปกราบท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ท่านอื่นแล้วหรือคะ"
"ประเดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ดูห้องแค่นี้ไม่เสียเวลาเท่าใดดอก"
พระยาไชยากรโอบ่าพานิ่มขึ้นเรือนไป บุญมีมองตามแล้วยิ้มขำ
"ส่งตัวเข้าหอตั้งแต่ตอนนี้เลยโว้ย ร้ายจริงๆท่านเจ้าคุณ"
น้ำทิพย์ กับแม่นมอ้อนกำลังร้อยมาลัยอยู่บนเรือน โดยมีบุญเจิมคอยหัดร้อยมาลัยอยู่ใกล้ๆ หลังร้อยมาลัยเสร็จ เธอเอามาให้น้ำทิพย์ดู
"อย่างนี้ใช้ได้หรือยังเจ้าคะคุณน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์รับมาลัยมาดู ก่อนจะสั่นหน้ายิ้มๆ
"ฝีมือยังหยาบนัก การร้อยมาลัยต้องมือเบา ใจเย็น อย่าให้ดอกไม้ช้ำ ลองดูใหม่ก็แล้วกันนะบุญเจิม"
บุญเจิมเซ็งๆ
“ให้บ่าวทำอย่างอื่นดีกว่าเจ้าค่ะ ทำตั้งหลายครั้งแล้วก็ไม่ถูกใจคุณน้ำทิพย์เสียที”
“ทำไม่ดี ก็ต้องทำใหม่ไปเรื่อยๆสิยะ มันถึงจะเก่งขึ้น แกรู้ไหมนังเจิม ว่าฝีมือร้อยมาลัยของคุณน้ำทิพย์ นับว่าขึ้นชื่อ คุณอุตส่าห์เมตตาสอนเอ็ง ถือเป็นบุญแค่ไหนแล้ว ยังจะสันหลังยาวอีก” อ้อนดุ
บุญเจิมหน้าเง้าหน้างอสุดเซ็ง แต่ก็ไม่กล้า ต้องยอมร้อยมาลัยใหม่
ขณะนั้นเอง มาโนชกลับจากทำงานเดินกลับขึ้นเรือนมา พร้อมยิ้มอารมณ์ดี
“เดี๋ยวร้อยมาลัยเสร็จแล้ว ขอให้พี่บ้างนะน้องน้ำทิพย์ พี่จะเอาไปถวายพระที่หอพระ”
อ้อนยิ้มแปลกใจ
“หูอีชั้นเฝื่อนไปหรือเปล่าคะเนี่ย คุณมาโนชน่ะหรือเจ้าคะ จะเอามาลัยไปถวายพระ”
“ยังไม่แก่จนหูเฝื่อนดอกนมอ้อน ฉันจะเอาไปถวายพระจริงๆ คนเรามันก็ต้องทำบุญกันบ้าง กุศลจะได้ส่งให้ฉันเป็นหลวงเร็วๆ หลังจากที่ฉันได้เป็นขุนแล้ว” มาโนชพูดเน้นแล้วยิ้มเยาะสะใจ
น้ำทิพย์ตกใจสุดๆ
“พี่มาโนชได้เป็นขุนแล้วเหรอคะ เมื่อไหร่กัน”
มาโนชยิ้มแย้ม
“ก็ยังไม่ได้เป็นขุนเต็มตัวดอกนะ เพราะยังไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง แต่ชื่อของพี่ ได้ส่งถึงเสด็จในกรมท่านวันนี้เอง อีกไม่นาน พี่ก็ต้องได้ตำแหน่งขุนมาแน่ หลังจากนั้น พอพี่ได้เป็นหลวงเมื่อใด เราก็ค่อยแต่งงานกันนะจ๊ะ”
มาโนชพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่มเข้าข้างในไป ปล่อยให้น้ำทิพย์ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่นมอ้อนก็ตกใจไม่แพ้กัน
มีเพียงบุญเจิมที่ยิ้มๆไม่สนใจ เพราะคิดว่าถ้ามาโนชแต่งงานกับน้ำทิพย์ไปได้ ตนก็คงรอดจากมือมาโนชแน่ ถือเป็นผลดีซะอีก
หน้าเรือนพระยาไชยากรตอนกลางคืน น้ำทิพย์เดินกระสับกระส่ายด้วยความร้อนใจ อยากจะถามเรื่องมาโนชสุดๆ
ขณะนั้นเอง พระยาไชยากรเดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเพิ่งแต่งงานเข้าหอมา
เลยอารมณ์ดีสุดๆ
น้ำทิพย์ถามด้วยความร้อนใจสุดๆ
“คุณพ่อคะ ทำไมเพิ่งกลับล่ะคะ”
พระยาไชยากรหน้าเสีย รีบปั้นยิ้ม
“ช่วงนี้งานราชการพ่อมีมาก ก็เลยต้องอยู่สะสางจนดึกดื่นน่ะ เอ่อ แล้วนี่ทำไมลูกยังไม่นอนอีกล่ะ”
“ลูกมีเรื่องอยากจะถามคุณพ่อค่ะ พี่มาโนชบอกว่ากำลังจะได้แต่งตั้งเป็นขุนแล้ว จริงหรือไม่คะคุณพ่อ”
"นึกว่าอะไร จริงสิลูก พ่อเป็นคนเสนอชื่อพ่อมาโนชกับมือเลย นี่คงจะดีใจล่ะสิ ที่พ่อมาโนชได้เป็นขุน อีกไม่นาน พอได้ขึ้นเป็นหลวง ลูกก็จะได้มีคู่ครองที่สมหน้าสมตา ทั้งฐานะยศศักดิ์กันเสียที" พระยาไชยากรยิ้มแย้ม
ฝ่ายลูกสาวเครียดหนัก
"แต่ลูกไม่อยากแต่งงานกับพี่มาโนช คุณพ่อก็รู้ว่าลูกไม่เคยรักชอบพี่มาโนชเลย"
"อยู่กันไป เดี๋ยวก็รักกันเองแหละ ดูอย่างพ่อกับแม่ของลูกสิ"
"ลูกอยู่เรือนเดียวกับพี่มาโนชมาแต่เล็ก ยังไม่เคยมีใจชอบพอแม้แต่น้อย ถึงแต่งกันไป ก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนเป็นรักใคร่กันขึ้นมาได้ดอกค่ะ"
"แต่ถึงยังไง พ่อก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมกับลูกเท่ากับมาโนชอีกแล้ว นอกจากเราจะเป็นญาติกัน ทรัพย์สมบัติของเจ้าคุณพ่อของมาโนชยังมากมายเหลือคณานับ ถึงภายหน้ามาโนชต้องแบ่งกับพี่ๆน้องๆก็ยังเหลืออีกมากนัก ในบรรดาผู้ชายที่มาติดพันลูก จะหาใครมั่งมีเท่านี้เป็นไม่มี"
"แล้วหัวใจของลูกล่ะคะ เกิดเป็นหญิง การแต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก แถม...W
น้ำทิพย์อึกๆอักๆ ก่อนจะตัดใจพูด
"แถมยังรังเกียจอีกด้วยซ้ำ มันทรมานมากนะคะ"
พระยาไชยากรแม้จะไม่พอใจที่ลูกดื้อ แต่ไม่กล้าดุลูก
"เรื่องรักชอบ เป็นเพียงแต่อารมณ์ ไม่จีรังยั่งยืนเหมือนทรัพย์สินเงินทองดอก เชื่อพ่อเถอะแม่น้ำทิพย์
พ่อไม่มีวันหวังร้ายต่อลูก สิ่งที่พ่อเลือกจะเป็นคุณแก่ลูกในภายภาคหน้า แม่น้ำทิพย์อย่าดื้อดึงกับพ่ออีกเลยนะ"
พระยาไชยากรเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป ปล่อยให้น้ำทิพย์ยืนเครียด ร้อนใจจนไม่รู้จะทำยังไงดี
ผ่านเวลาเล็กน้อย ภายในห้องนอนน้ำทิพย์ แม่นมอ้อนพูดด้วยความเจ็บใจ และโมโห
"เป็นคุณอะไรกัน ความโลภมันบังตาท่านเจ้าคุณ จนไม่เห็นโทษแล้วต่างหาก คุณน้ำทิพย์ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ นมจะไปพูดกับท่านเจ้าคุณให้รู้เรื่อง"
นมอ้อนโวยวายขณะที่น้ำทิพย์นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียง บุญเจิมเองนั่งเซ็งอยู่กับพื้น
"อย่านะจ๊ะนม ถึงนมจะไม่ใช่บ่าว คุณพ่อลงโทษนมไม่ได้ก็จริง แต่ถ้าขัดใจ ก็ยังไล่นมออกจากเรือนได้ ถ้านมไม่อยู่ซักคนแล้ว ฉันจะอยู่ยังไงล่ะจ๊ะ"
น้ำทิพย์ร้องไห้ออกมาอีก
อ้อนสงสารจับใจ เข้าไปนั่งข้างๆ กอดน้ำทิพย์เอาไว้
"โถ แม่คุณ"
บุญเจิมออกแนวรำคาญ
"แต่ท่านเจ้าคุณก็พูดถูกนะเจ้าคะ คุณมาโนชร่ำรวยมหาศาล ถ้าคุณน้ำทิพย์แต่งงานไป ก็มีแต่จะสุขสบายไปตลอด"
อ้อนตวาดแว๊ด
"ถ้าดีอย่างนั้น แล้วเอ็งหนีมาพึ่งคุณน้ำทิพย์ทำไมวะนังเจิม ไม่ยอมเป็นเมียคุณมาโนชเสียล่ะ"
"จะเหมือนกันได้ยังไงล่ะคะคุณนม เมียบ่าว จะไปได้เงินทองซักกี่มากน้อย แลฉันก็มีพี่แก้วอยู่แล้ว ส่วนคุณน้ำทิพย์ไม่มีใคร ถ้าแต่งงานกับคุณมาโนช ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่คะ"
อ้อนทิ้งค้อน
"นังงูเห่า ไม่น่าช่วยมันเลย"
น้ำทิพย์ร้องไห้สะอึกสะอื้น เพราะจริงๆตนก็มีแก้วในใจเช่นกัน แต่บอกใครไม่ได้ บุญเจิมเบี่ยงตัวไปทางอื่น เหยียดปากชังนมอ้อน
เวลาเช้า แก้วกำลังผ่าฟืนอยู่ แต่พอได้ยินบุญเจิมเล่าเรื่องน้ำทิพย์ให้คอกและกิ่งฟัง ก็หยุดผ่า สีหน้าเศร้าหมอง สงสารน้ำทิพย์จับใจ
บุญเจิมกำลังคุยกับคอกอยู่ โดยมีกิ่งทำงานบ้านอยู่ใกล้ๆ
"เอ็งไปพูดอย่างงั้นได้ยังไงวะนังเจิม แทนที่จะเจ็บร้อนแทนคุณน้ำทิพย์ กลับไปยุส่งอีก สมควรแล้วที่นมอ้อนจะโกรธเอา"
"แล้วข้าพูดผิดรึ ก็คุณน้ำทิพย์ไม่มีคู่รักจริงๆ แล้วทำไมจะแต่งงานกับคุณมาโนชไม่ได้"
"ถึงไม่มีคู่รัก แต่ถ้าเห็นนรกรออยู่ข้างหน้า แล้วใครจะอยากเดินไปหาล่ะวะ"
กิ่งชี้หน้าบุญเจิมแล้วบอก
"เอ็งรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ก็เพราะคุณน้ำทิพย์เธอมีเมตตา แล้วยังจะพูดจาไม่ถนอมน้ำใจอีก เนรคุณจริงๆนังนี่"
บุญเจิมโวยวายก่อนเดินเข้าไปออดอ้อนแก้ว
"โอ๊ย พอเลยๆ ทั้งป้าทั้งไอ้คอก รุมด่าฉันอยู่ได้ ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันคุยกับพี่แก้วดีกว่า"
แก้วถอนใจ
"ฉันเอาฟืนไปให้ป้าทองก่อนนะแม่"
แก้วหอบฟืนที่เพิ่งผ่าเสร็จแล้วเดินเลี่ยงไป บุญเจิมโวยลั่น
"พี่แก้ว"
บุญเจิมกระทืบเท้าหงุดหงิด หันไปมองกิ่งกับคอก กิ่งยิ้มหยันๆ
"เอ็งไม่ต้องมามองข้านังเจิม เอ็งเพิ่งบอกเองว่าไม่อยากคุยกับข้าไม่ใช่รึ"
กิ่งเดินยิ้มๆเลี่ยงไป ไม่แยแส คอกเข้าไปกะลิ้มกะเหลี่ยใส่บุญเจิม
"แต่ข้ายังอยากจะคุยกับเอ็งเสมอนะนังเจิม ไม่ว่าเอ็งจะพูดเรื่องอะไร ข้าก็อยากฟัง"
บุญเจิมตวาดแว๊ด
"แต่ข้าไม่อยากคุยกับเอ็ง ข้าเหม็นขี้หน้าเอ็งเต็มทนแล้วโว้ยไอ้คอก"
บุญเจิมสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป คอกได้แต่มองตาม ทั้งน้อยใจ สีหน้าเศร้าๆ ตัดพ้อ
"น่าอิจฉาพี่แก้วเสียจริง"
เวลาต่อเนื่องมา บริเวณหน้าบ้านพระยาไชยากร พวกทาสกำลังทำงานตามหน้าที่อยู่
น้ำทิพย์เดินซึมเศร้ามาเรื่อยๆ เธอคิดมากเรื่องมาโนช จนหน้าตาเศร้าหมองไปหมด อบเชยยืนอยู่หน้าบ้าน เมียงๆมองๆหานิ่ม แต่ก็ไม่กล้าเข้ามา
อบเชยเหลือบเห็นน้ำทิพย์เดินซึมๆผ่านมาเลยตะโกนเรียก
"แม่คุณ แม่คุณจ๊ะ แม่คุณ"
น้ำทิพย์ได้ยินอบเชยเรียก ก็หันซ้ายหันขวาดูว่าอบเชยเรียกใครันแน่
"แม่นั่นล่ะจ้ะ เมตตามาทางนี้หน่อยเถิด"
น้ำทิพย์เดินเข้าไปหาอบเชย
"มีอะไรหรือจ๊ะ"
อบเชยยิ้มแย้มถาม
"ฉันมาหาพี่นิ่มน่ะจ้ะ อยู่หรือไม่จ๊ะ"
น้ำทิพย์งงๆตอบกลับไป
"นิ่ม... ไม่มีนี่จ๊ะ เรือนนี้ไม่มีใครชื่อแม่นิ่มสักคน"
อบเชยแปลกใจ
"จะไม่มีได้อย่างไร ก็พี่นิ่มเพิ่งแต่งงานแล้วย้ายเข้ามาอยู่เมื่อวานนี้เอง เอ๊ะ หรือว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนของพระยาไชยากร"
"ที่นี่เป็นเรือนของพระยาไชยากรจ้ะ แล้วฉันก็เป็นบุตรีของท่านชื่อน้ำทิพย์ แต่ที่เรือนนี้ไม่มีคนชื่อแม่นิ่มจริงๆ ถ้ามี ฉันต้องรู้แน่ เพราะคุณพ่อท่านให้สิทธิขาดฉันดูแลเรือนอยู่ เธอเข้าใจอะไรผิดหรือไม่จ๊ะ"
อบเชยตกใจ ก่อนจะหน้าเครียดใช้ความคิดทันที ว่าเกิดอะไรขึ้น
เวลาเที่ยง พระยาไชยากรเดินออกมาจากที่ทำงาน โดยบุญมีจอดรถม้ารออยู่ บุญมีรีบเข้าไปช่วยถือของเอาขึ้นรถม้า ผู้คน ข้าราชการชั้นผู้น้อยผ่านไปผ่านมาก็เข้าไปไหว้พระยาไชยากรๆก็รับไหว้ พูดคุยด้วยท่าทางถือตัว อบเชยกำลังแอบดูพระยาไชยากรอยู่
ผ่านเวลาซักครู่ พระยาไชยากรเดินโอบเอวนิ่มขึ้นเรือนไป ทั้งคู่ยิ้มแย้ม กระหนุงกระหนิงแบบข้าวใหม่ปลามัน อบเชยยืนมองตาเขม็ง เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว จนรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
น้อมฟังที่อบเชยเล่าแจ้งแถลงไขก็โกรธจัดและโมโหมาก
"เอ็งดูไม่ผิดแน่นะนังอบเชย ท่านเจ้าคุณน่ะรึ จะทำกันถึงขนาดนี้"
อบเชยมารายงานน้อมที่ร้านธูป
"อย่าว่าแต่แอบดูเลยป้า ฉันถามคนละแวกนั้นมาหมดแล้ว ท่านเจ้าคุณของป้าเพิ่งเช่าบ้านหลังนั้นเอาไว้ ก่อนหน้าที่จะสู่ขอพี่นิ่มไม่นาน แสดงว่าต้องวางแผนไว้หมดแล้ว ว่าจะไม่เอาพี่นิ่มเข้าเรือนของตัวเอง"
น้อมแค้นสุดๆ กำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
"ชั่วช้าสามานย์นัก เสียแรงที่ไว้ใจจนยกลูกสาวให้ แต่กลับมาหลอกกันได้"
อบเชยยิ่งคิดยิ่งแค้น
"ไอ้ท่านเจ้าคุณ มันคงคิดว่าเป็นพระยา เราทำอะไรมันไม่ได้กระมังป้า"
น้อมแค้น หน้าตาเอาเรื่องสุดๆ
"ถ้าอย่างงั้น ก็รู้จักนังน้อมคนนี้น้อยเกินไปแล้ว"
ผ่านเวลาซักครู่ ภายในบ้านเช่า นิ่มกำลังถูกน้อม และอบเชยคาดคั้นอย่างหนัก จนกลัวไปหมด
"แม่ใจเย็นๆก่อนนะจ๊ะ ที่ฉันยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนของท่านเจ้าคุณ ก็เพราะเรือนกำลังซ่อมแซมอยู่ ซ่อมเสร็จเมื่อใด ฉันก็ย้ายเข้าไปอยู่เองล่ะจ้ะ"
อบเชยบอก
"โดนหลอกแล้วพี่นิ่ม เมื่อเช้าฉันไปที่เรือนพระยาไชยากรมา ไม่เห็นจะมีซ่อมแซมอะไรเลย ไอ้พระยานั่น มันคงคิดเลี้ยงพี่เป็นเมียน้อย ไม่ให้ออกหน้าออกตามากกว่า"
นิ่มตกใจจนหน้าเสีย น้อมแค้นสุดๆ
"ได้ยินชัดแล้วไม่ใช่รึ ชัดแล้วก็กลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้ ฉันเลี้ยงแกมาจนโต หวังให้เป็นศรีของวงศ์ตระกูล ไม่ใช่ให้เป็นเมียน้อยใคร"
นิ่มกลัวแม่ก็กลัว รักก็รักสามี ไม่รู้จะทำยังไง
"แต่ฉันเป็นเมียท่านเจ้าคุณแล้วนะจ๊ะแม่"
น้อมตวาดแว๊ด
"เป็นแล้วก็เลิกได้ ผัวแกมันหยามฉัน ทำกับฉันเหมือนฉันเป็นคนโง่เง่า แล้วแกยังจะอยู่กับมันอีกรึ"
ขณะนั้นเอง พระยาไชยากรก็เดินออกมาจากข้างใน พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
"อะไรกันแม่น้อม จะพรากผัวพรากเมียกัน ไม่กลัวบาป กลัวกรรมบ้างรึ"
" แล้วที่หลอกฉันล่ะ มีศีลมีธรรมมากรึยังไงคะท่านเจ้าคุณ"
"ฉันไปหลอกอะไรแม่น้อม ฉันบอกว่าฉันจะดูแลแม่นิ่มอย่างดี ฉันก็ทำแล้ว เรือนก็มีอยู่ เงินทองฉันก็มีให้ มากกว่าที่อยู่กับแม่น้อมเสียอีก"
อบเชยโมโห
"แล้วทำไมถึงไม่รับเข้าเรือน มาเช่าบ้านให้อยู่หลบๆซ่อนๆทำไม"
พระยาไชยากรตีหน้าตาย ชี้หน้าอบเชย
"ก็ฉันยังไม่สะดวกพาเข้าเรือน สะดวกเมื่อใด ฉันก็พาไปเองน่ะแหละ เรามันเป็นเด็ก อย่าอวดรู้ให้มันมากนักเลย"
"แล้วตำแหน่งคุณหญิงของแม่นิ่มล่ะ ถ้าท่านเจ้าคุณขอพระราชทานตราตั้งให้แม่นิ่ม ฉันก็จะไม่เอาเรื่อง ทำได้หรือไม่ล่ะ"
พระยาไชยากรหัวเราะ
"ฉันเคยบอกเมื่อใด ว่าจะให้แม่นิ่มเป็นคุณหญิง แม่น้อม พูดเองเออเองทั้งนั้น"
นิ่มตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกแบบนี้ อบเชยโมโหสุดๆ
"เห็นหรือไม่พี่นิ่ม ไอ้คนๆนี้มันคดในข้องอในกระดูก มันกะให้พี่เป็นเมียน้อยบำเรอมันเท่านั้นเอง"
"กลับเดี๋ยวนี้แม่นิ่ม ถ้าแกไม่กลับ ก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่อีก"
นิ่มน้ำตาคลอ ถึงจะเสียใจที่โดนหลอก แต่ความรักสามีมีมากกว่า พนมมือขึ้น
"แม่จ๋า ฉันไม่ได้คิดจะขัดคำสั่งแม่เลย แต่อย่าเพิ่งให้ฉันเลิกกับท่านเจ้าคุณตอนนี้เลยนะ ฉันขอล่ะ"
พระยาไชยากรกระหยิ่ม ดีใจที่นิ่มเลือกตน แสดงว่านิ่มทั้งรักและหลงตนมาก
ในขณะที่ น้อม และอบเชย อึ้งไม่คิดว่านิ่มจะกล้าขัดแม่ เห็นผู้ชายดีกว่าแบบนี้ น้อมเข้าไปตบตีลูกสาว"นังนิ่ม นังลูกเนรคุณ แกทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง ทำได้ยังไง"
นิ่มกลัวสุดๆ โดนแม่ตบตีไม่ยั้ง พระไชยากรโมโหมาก จับแม่ยายเหวี่ยงออกไป
"มากไปแล้วโว้ย กล้าตบตีเมียกู ถึงบนเรือนกูเลยรึ ... ไอ้มี ไอ้มีโว้ย เอาปืนปัสตันของกูมา"
บุญมีวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นเรือนมา แล้วยื่นปืนให้พระยาไชยากร
"นี่ขอรับท่านเจ้าคุณ"
น้อม และอบเชย ตกใจหน้าซีดเผือดที่เห็นปืน พระยาไชยากรเล็งปืนขู่
"ไป ไสหัวไปจากเรือนกูเดี๋ยวนี้ แล้วอย่ามาเหยียบเรือนของกูอีก"
ถึงแม้น้อมจะกลัวปืน แต่คิดว่าพระยาไชยากรไม่กล้าเลยเถียงสู้
"ไม่ไปโว้ย นังนิ่มเป็นลูกฉัน ฉันจะทำอะไรกับมันก็ได้ แกมันแค่ผัว อย่ามาสะเออะ"
พระยาไชยากรโกรธจัด เลยยิงปืนขู่ไปนัดหนึ่ง กระสุนไม่ถูกใคร แต่ก็เล่นเอาน้อม และอบเชย ช็อกตาค้าง ก่อนจะกรี๊ดลั่นสุดเสียงแล้ววิ่งหนีทันที โดยน้อมวิ่งนำอบเชยไปด้วยซ้ำ
น้อมวิ่งมาถึงชานเรือน แต่แทนที่จะหนีลงบันได กลับจะปีนรั้วกั้นระเบียงไป
"จะปีนทำไมป้า มาทางนี้เร็ว เดี๋ยวก็ตกลงไปแข้งขาหักดอก"
น้อมเพิ่งได้สติ เลยวิ่งตามอบเชยลงบันไดหนีไป
อ่านต่อหน้า 3
ลูกทาส ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลาหัวค่ำ พลอย เข้ม และบุญมี กำลังหัวเราะชอบใจ
ขณะที่ตั้งวงเหล้ากินกัน ก็คุยเรื่องเจ้านายกันอย่างมันปากตอนหัวค่ำที่หน้าเรือนทาสของบุญมี
พลอยหัวเราะ ตบเข่าฉาด
"ท่านเจ้าคุณนี่ร้ายจริงๆ ได้ลูกสาวมาแล้วยังจะยิงแม่ยายทิ้งอีกโว้ย"
บุญมียิ้มแย้ม
"ท่านเจ้าคุณก็ยิงขู่เท่านั้นล่ะวะ ระยะใกล้ๆ ถ้าจะเอาถึงตาย ไม่มีพลาดดอก"
เข้มยิ้มแย้ม
"แหม แต่ฉันฟังพี่มีเล่าแล้ว ชักอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองแล้วสิ อยากรู้นัก ว่าเมียน้อยท่านเจ้าคุณ จะงามซักแค่ไหน"
"ก็ใช่ย่อยเหมือนกันล่ะโว้ย ไม่อย่างงั้น ท่านเจ้าคุณไม่วางแผนซับซ้อนหลอกเอามาดอก เออ แต่ยังไงพวกเอ็งต้องได้เห็นแน่ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้พวกเอ็งต้องติดตามข้ากับท่านเจ้าคุณไปด้วย" บุญมีบอก
"ไปทำไมหรือพี่มี"
"ก็ไปคุ้มกันท่านเจ้าคุณน่ะสิวะ ท่านเจ้าคุณเกรงว่านังน้อมจะแค้น ก็เลยให้พวกเอ็งไปช่วยกันคุ้มกัน"
"แม่ยายลูกเขย ไล่ฆ่ากันเช่นนี้ หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้วว่ะ" พลอยบอก
พลอย เข้ม บุญมี หัวเราะชอบใจ นินทากันสนุกปาก
เวลากลางคืน ภายในห้องหนังสือ พระยาไชยากรปิดหนังสือลงด้วยความไม่พอใจขณะนั่งคุยกับน้ำทิพย์
"สันดานไอ้พวกชั้นต่ำจริงๆ นี่มันคงเอาเรื่องของพ่อไปนินทากันสนุกปากเลยล่ะสิ ถึงได้ไปเข้าหูลูกได้" พระยาไชยากรใช้ความคิด
"ต้นเรื่องไม่มีใครดอกนอกจากไอ้มี อย่างนี้ต้องเอากะลาตบปากมัน"
น้ำทิพย์หน้าเครียด
"อย่าไปโทษบุญมีเลยค่ะ ลูกสงสัยตั้งแต่มีคนมาถามหาแม่นิ่มแล้ว ตกลง คุณพ่อแต่งงานใหม่ เหตุใดไม่บอกลูกคะ"
"ก็แค่เมียน้อย ลูกจะไปสนใจทำไม"
"แต่เค้าก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียคุณพ่อ อย่างไรเสีย ก็น่าจะพามาอยู่ที่นี่ด้วยกันนะคะ"
"เอามาได้อย่างไร ก็แค่ลูกคนขายธูปขายเทียน แม้จะมั่งมีอยู่บ้าง แต่ก็คนละชั้นกับเรา พ่อไม่เอากรวดมาปนกับเพชรดอก" พระยาไชยากรพูดพลางเบะปากดูถูก
น้ำทิพย์หน้าเสีย
"แล้วคุณพ่อจะเช่าบ้านให้แม่นิ่มอยู่ไปตลอดอย่างนั้นน่ะหรือคะ"
"ก็อย่างนั้นซี พ่อเคยบอกกับลูกแล้ว ว่าพ่อจะมีแม่ของลูกเป็นคุณหญิงคนเดียวเท่านั้น แลพ่อจะไม่ยอมให้ใคร มาทำให้ลูกไม่สบายใจเป็นอันขาด เงินทองพ่อจะให้ใช้สอยไม่ขาดมือ แต่อย่าหวังเลย ว่าจะมา
แบ่งทรัพย์สมบัติกับลูก"
น้ำทิพย์ถอนใจ
"ลูกไม่เคยคิดเรื่องพวกนั้นเลยนะคะ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพ่อคิดแต่เรื่องเงินทองจนเสียความเป็นธรรมไปด้วย"
พระยาไชยากรหัวเราะ ลูบหัวน้ำทิพย์ด้วยความเอ็นดู
"ถ้าพ่อไม่คิดถึงแต่เงินทอง เราจะร่ำรวยถึงเพียงนี้รึ เชื่อพ่อเถิด ความเป็นธรรมมันไม่มีอยู่จริงดอก
มีแต่คนโง่กับคนฉลาดเท่านั้น"
น้ำทิพย์อ่อนใจกับนิสัยพ่อสุดๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
เวลาเช้า แก้วกำลังพรวนดินต้นไม้อยู่ยามเช้าในสวน แม่นมอ้อนเดินถือขันเก็บดอกไม้มาเรื่อย แก้วเหลือบไปเห็นเข้าก็แปลกใจ เลยเดินเข้าไปหา
"คุณนมจะเก็บดอกไม้ไปทำอะไรหรือขอรับ ให้กระผมช่วยดีหรือไม่ขอรับ"
"ไม่ต้องดอก ฉันเก็บดอกไม้ไปให้คุณน้ำทิพย์น่ะ แต่วันนี้คงไม่ต้องใช้มากมายอะไร"
แก้วแปลกใจและเป็นห่วง
"อ้าว แล้วทำไมคุณน้ำทิพย์ไม่เก็บเองล่ะขอรับ หรือคุณน้ำทิพย์เธอไม่สบาย"
อ้อนถอนใจ
"ก็ไม่เชิง แกรู้เรื่องคุณมาโนชจวนจะได้เป็นขุนแล้วสินะเจ้าแก้ว คุณน้ำทิพย์เธอกลุ้มใจเรื่องนี้มาก จนไม่มีกะใจจะทำอะไรแล้ว"
แก้วหน้าขรึมลง ทั้งเป็นห่วงและสงสารน้ำทิพย์สุดๆ
น้ำทิพย์นั่งซึมอยู่คนเดียวในห้องนอน ทั้งกลุ้มใจและหมดอาลัยตายอยาก กลัวจะต้องแต่งงานกับมาโนช จนเกิดอาการซึมเศร้า ขณะนั้นเอง ก็มีผลไม้ห่อด้วยกระดาษ ปาเข้ามาทางหน้าต่างห้องน้ำทิพย์
เธอตกใจเลยเดินไปหยิบขึ้นมาดู ปรากฏว่ากระดาษห่อนั้นเป็นจดหมาย น้ำทิพย์เลยหยิบจดหมายออกอ่าน เป็นจดหมายของแก้ว
"ทาสนั้น นอกจากจะมีหน้าที่ทำงานรับใช้นายแล้ว ยังมีหน้าที่ถนอมอารมณ์แลจิตใจของผู้เป็น
นายด้วย เมื่อคุณน้ำทิพย์มีความทุกข์ ทาสอย่างไอ้แก้วจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อช่วยให้จิตใจของผู้เป็นนายคลายทุกข์..."
น้ำทิพย์อ่านจดหมายแก้วแล้วยิ้มชื่นใจ
" ...ขอคุณน้ำทิพย์อย่าได้กังวลเลย ไอ้แก้วสัญญา ว่าจะหาทางออกให้คุณน้ำทิพย์ให้จงได้"
น้ำทิพย์ยิ้มดีใจมาก รีบไปดูที่หน้าต่าง แต่มองไม่เห็นแก้วแล้ว
น้ำทิพย์กุมจดหมายแก้วไว้แนบอก ยิ้มบางๆอย่างสุขใจ ที่ในเวลาคับขัน แก้วก็ไม่ทอดทิ้งตน
ในเวลาต่อมา บรรยากาศบริเวณที่ทำงานของพระนิติธรรมลือชา ที่มีแก้วนั่งคุยอยู่ แก้วสีหน้าเครียด
"ไอ้ครั้นจะรอไปพบคุณพระคืนนี้ กระผมก็ร้อนใจนัก เลยต้องมากราบขอรบกวนปัญญาของคุณพระ หาทางช่วยคุณน้ำทิพย์ด้วยเถิดขอรับ"
พระนิติธรรมใช้ความคิดหนัก
"มันก็ยากอยู่นะเจ้าแก้ว เพราะพระยาไชยากรเป็นคนต้องการยกคุณน้ำทิพย์ให้คุณมาโนชเอง แลที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองฝรั่ง ที่ลูกจะตัดสินใจเลือกคู่ได้เอง โดยไม่ต้องฟังคำพ่อแม่"
พระนิติธรรมคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอก
" เว้นแต่..."
แก้วสีหน้าสนใจทันที
"เว้นแต่อะไรหรือขอรับ"
"เว้นแต่จะมีใครสู่ขอคุณน้ำทิพย์ตัดหน้าคุณมาโนชเท่านั้น"
"จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ ในเมื่อผู้ชายที่มาติดพันคุณน้ำทิพย์ทุกคน ไม่มีใครร่ำรวยเท่าคุณมาโนชสักคน แลหากคุณมาโนชได้เป็นถึงขุนหรือหลวงด้วยแล้ว ก็ยิ่งยากที่จะหาใครเทียบได้"
"ข้อนั้นฉันมีวิธี แต่..."
พระนิติธรรมกระอักกระอ่วน
"เอ่อ แต่พูดไปก็เหมือนฉกฉวยหาประโยชน์เข้าตัว ฉันไม่สบายใจเลย"
"พูดมาเถอะขอรับ กระผมเชื่อในคุณธรรมของคุณพระ ว่าไม่มีทางที่จะเอาความทุกข์ของคุณน้ำทิพย์มาเป็นประโยชน์แก่ตนแน่"
พระนิติธรรมยิ้มบางๆ ตบบ่าแก้ว
"ขอบใจแกมากนะ วิธีของฉัน ก็คือฉันจะไปกราบทูลเสด็จในกรมที่เป็นเจ้านายฉัน ให้ท่านมาสู่ขอคุณน้ำทิพย์ให้แก่ฉัน หากท่านมาด้วยองค์เอง เจ้าคุณไชยากรไม่กล้าขัดแน่ เท่านี้เราก็จะช่วยคุณน้ำทิพย์ให้พ้นจากมือคุณมาโนชได้"
แก้วหน้าเสียไปทันที เพราะไม่ว่ายังไงตนก็ต้องเสียน้ำทิพย์ไปอยู่ดี แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นดีกว่านี้แล้ว
บุญมีกำลังขับรถม้าพาพระยาไชยากรกลับบ้าน โดยมีพลอย และเข้ม นั่งมาด้วยในตอนหัวค่ำ เข้มพูดประจบประแจง
"อันที่จริง ท่านเจ้าคุณไม่น่ารีบกลับเลยนะขอรับ เพราะดูท่าทางคุณนิ่ม ก็อยากให้ท่านเจ้าคุณอยู่ต่อจะตายไป
พระยาไชยากรยิ้มแย้ม
"เอ็งไม่ต้องมาประจบข้าดอกวะ ถ้าข้าอยู่นานๆ พวกเอ็งจะได้หาเรื่องตั้งวงเหล้าใช่หรือไม่ล่ะ คิดว่าข้ารู้ไม่ทันรึ"
เข้มยิ้มจ๋อยๆ
"ท่านเจ้าคุณเป็นนาย ก็ย่อมต้องฉลาดกว่าพวกกระผมอยู่แล้วล่ะขอรับ"
ขณะนั้นเอง บุญมีก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง นอนถือไหเหล้าขวางหน้าอยู่ จึงรีบหยุดรถม้าทันที
พระไชยากรถามด้วยความสงสัย
"อะไรวะไอ้มี"
"มีคนนอนขวางทางอยู่ขอรับ ท่าทางจะเมามาก"
"ไอ้พวกนี้ เมาแล้วนอนเหมือนหมา ฉันจัดการเองพี่มี" พลอยบอก
พลอยลงจากรถม้า แล้วเดินไปหาคนที่นอนอยู่
" เฮ้ย ตื่นโว้ย กลับไปนอนที่เรือนเอ็งโน่น อย่ามาขวางทาง ท่านเจ้าคุณของข้า" พลอยบอกพลางเขย่าตัวเรียก
ขาดคำ คนที่นอนอยู่ ก็เอาไหเหล้าในมือ ตีหัวพลอยเต็มๆจนไหเหล้าแตกเป็นเสี่ยง พลอยหัวแตกสลบเหมือดไปทันที
ทันใดนั้น นักเลงกลุ่มหนึ่งก็ใช้ผ้าปิดบังใบหน้า กรูกันออกมาพร้อมถังน้ำในมือ แล้วระดมสาดน้ำเข้าใส่พระยาไชยากร และบุญมี เข้มทันที
บุญมีตกใจร้อง
"เฮ้ยๆ อะไรกันวะ"
พอสาดจนทั้งสามคนเปียกโชก ก็โยนถังทิ้ง พร้อมกับหยิบไม้คมแฝกออกมา รวมทั้งคนที่แกล้งเมาด้วย แล้วเหล่านักเลงก็รุมกันเข้ามา ใช้ไม้คมแฝกทำร้ายพวกพระยาไชยากรทันที
บุญมี และเข้ม พยายามเตะถีบสกัด แต่ฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่า แถมมีไม้คมแฝกเป็นอาวุธ สู้กันได้ไม่เท่าไหร่ บุญมี และเข้มก็เริ่มโดนหวดเข้าไปหลายที
พระยาไชยากรชักปืนออกมากะยิงสู้ แต่กลับยิงไม่ได้ เพราะดินปืนเปียกน้ำจากการโดนน้ำสาดเมื่อครู่เขาตกใจมากที่ปืนยิงไม่ได้ เลยรีบกระโดดลงจากรถม้าเพื่อจะหนี
พวกนักเลงตามเข้าไปตี แต่พระยาไชยากรหลบได้หวุดหวิด ก่อนถีบนักเลงกระเด็นไปแล้ววิ่งหนี
บุญมี และเข้ม จะเข้าไปขวางเพื่อช่วยนายก็โดนตีซะน่วม พระยาไชยากรวิ่งหนีตายไม่คิดชีวิต
พวกนักเลงวิ่งกวดตามไปทันที
พวกนักเลงวิ่งไล่กวดเจ้าคุณในซอยแคบๆ ซึ่งมีเข่งใส่ผักตั้งอยู่เรียงรายเต็มไปหมด
พวกนักเลงวิ่งผ่านซอยไป เจ้าคุณจึงค่อยๆโผล่ออกมาจากในเข่งผักอย่างทุลักทุเล เพราะยอมซ่อน
ในกองผักเน่าๆ ทำให้รอดมาได้หวุดหวิด
เจ้าคุณมีสีหน้าเจ็บใจปนขยะแขยง
ผ่านเวลาพักใหญ่ บนเรือนเจ้าคุณ บุญเจิมกำลังใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดตามเนื้อตัวของเจ้าคุณ ซึ่งเต็มไปด้วยคราบสกปรก โดยมีน้ำทิพย์ และมาโนชยืนอยู่ใกล้ๆ
"กระผมพาพวกไอ้บุญมีไปหาหมอแล้วขอรับ พวกมันโดนตีหนักเอาการ คงอีกพักใหญ่กว่าจะฟื้นตัวได้"
เจ้าคุณโมโหมาก
"ตายไปให้หมดได้ก็ดี ไอ้พวกนี้เลี้ยงเสียข้าวสุก อาให้พวกมันไปคุ้มกันอา ที่ไหนได้ ปล่อยให้อาต้องวิ่งหนีตายเกือบเอาตัวไม่รอด"
บุญเจิมยิ้มแย้ม
"ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ อย่างพี่มี ก็เก่งแต่รังแกไอ้พวกไม่มีทางสู้ จะไปคุ้มกันใครได้ล่ะเจ้าคะ สู้พี่แก้วกับไอ้คอกยังไม่ได้เลย"
น้ำทิพย์ปราม
"บุญเจิม ไม่ต้องออกความคิดเห็นดอกจ้ะ เช็ดตัวคุณพ่อไปอย่างเดียวก็พอ"
บุญเจิมแอบเบะปากเซ็งๆ
"เจ้าค่ะ"
น้ำทิพย์หันไปพูดกับพ่อ
"ลูกเคยบอกคุณพ่อแล้ว ว่าให้รับแม่นิ่มเข้ามาอยู่ในเรือนเสียแต่แรก นี่คงเป็นเครือญาติแม่นิ่ม เจ็บแค้น
ถึงได้ส่งคนมาทำร้ายคุณพ่อเป็นแน่ เพราะหากเป็นโจรทั่วไป จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณพ่อมีปืน จนต้องใช้น้ำสาดให้ปืนใช้การไม่ได้เสียก่อน" น้ำทิพย์พูดพลางถอนใจ
"ถ้าเช่นนั้น ก็แจ้งความเอาผิดพวกมันเสียเลยสิขอรับคุณอา ไอ้พวกไพร่ ไม่รู้จักดูเงาหัวตัวเอง ถึงกับกล้าทำร้ายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เช่นนี้ต้องลากคอเข้าคุกเสียให้หลาบจำ"
เจ้าคุณหงุดหงิด
"ขืนแจ้งความ เรื่องที่อาหลอกแม่นิ่มมาเป็นเมียก็ต้องสะพัดออกไปน่ะสิ แล้วอาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พ่อมาโนชเคยคิดบ้างหรือไม่"
มาโนชชะงักไป
"แล้วที่ฉันพูด ก็เป็นเพียงแต่การคาดเดาเท่านั้น ไม่มีหลักฐานสักอย่างเดียว แล้วจะเอาผิดใครได้ล่ะคะพี่มาโนช"
มาโนชหน้าแตกที่เผลอปล่อยไก่ไป หน้าตาหงิกงอไม่กล้าพูดอีก บุญเจิมแอบยิ้มเยาะมาโนช หันไปประจบเจ้าคุณ
"ถ้าเสี่ยงภัยเช่นนี้ ก็อย่าไปอีกเลยนะเจ้าคะท่านเจ้าคุณ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาเพราะผู้หญิงคนเดียวมันไม่คุ้มดอกเจ้าค่ะ"
เจ้าคุณโมโห
"เอ็งเป็นแค่ทาส ไม่ต้องสะเออะมาสอนข้า หมดหน้าที่เอ็งแล้ว ก็ไปๆให้พ้นซะที พูดไม่หยุดปาก น่ารำคาญเหลือเกิน"
บุญเจิมหน้าหงิก เซ็งสุดๆ
"เจ้าค่ะ"
บุญเจิมเก็บขันน้ำกับผ้า แล้วคลานเข่าออกมาก่อนจะเดินเลี่ยงไป มาโนชมองตามแล้วยิ้มเยาะบุญเจิม
"แต่ที่บุญเจิมพูด ก็ถูกนะคะคุณพ่อ หากคุณพ่อยังไปหาแม่นิ่มทุกคืน ก็อาจโดนดักทำร้ายได้อีก ทางที่ดี รับแม่นิ่มเข้ามาอยู่ ซะที่นี่เถอะค่ะ"
เจ้าคุณสายตาแข็งกร้าว เต้มไปด้วยทิฐิ
" ไม่มีทาง หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับพ่อยอมแพ้นังน้อมน่ะสิ "
มาโนชยิ้มชื่นชมเห็นด้วยที่สุด
"พ่อเป็นถึงพระยาแลมิใช่พระยาทั่วไป แต่ได้พระราชทานพานทองด้วย แล้วจะยอมให้นังแม่ค้าขายธูปสกุลต่ำมาข่มขู่เอาได้อย่างไรกัน"
น้ำทิพย์ได้แต่ถอนใจด้วยความอ่อนใจ นิสัยของพ่อก็เกินจะเยียวยาจริงๆ
หน้าร้านธูปในตอนเช้า เสียงอบเชยต่อว่าป้าดังนำมาก่อนเลย
"ทำไมป้าถึงไม่บอกฉันก่อน จู่ๆก็จ้างคนไปดักตีไอ้ท่านเจ้าคุณ แล้วอย่างนี้พี่นิ่มจะทำยังไง พี่นิ่มเป็นคนกลาง ไม่ลำบากใจแย่หรือป้า"
น้อมตวาดแว๊ด สีหน้าน้อยใจ
"แล้วทีผัวมันเอาปืนไล่ยิงข้าล่ะ ข้าไม่เห็นมันจะลำบากใจเลยซักนิด"
"ก็ตอนนั้นมันชุลมุน พี่นิ่มก็มัวแต่ตกใจจะห้ามทันได้ยังไง ป้ามาถือสาเรื่องแค่นี้ก็ไม่ถูกนะ"
"เออ ข้าไม่ถือเรื่องนี้ก็ได้ แต่เรื่องที่นังนิ่มมันเลือกผัวมัน แล้วไม่ยอมกลับมากับข้า ข้าไม่ให้อภัยมันเด็ดขาด นับแต่นี้ มันไม่ใช่ลูกข้าอีก"
"แต่..."
น้อมชี้หน้าอบเชย แล้งพูดสวนขึ้น
"ถ้าเอ็งพูดมากอีกคำเดียว ข้าจะตัดป้าตัดหลานกับเอ็งด้วยซะเลย"
น้อมสะบัดหน้าเดินจากไป อบเชยถอนใจหนักๆ ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
เวลาสาย น้ำทิพย์กำลังคุยกับแก้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ศาลาท่าน้ำ
"ทำอย่างนี้ ไม่เท่ากับฉันหนีเสือปะจระเข้หรือแก้ว ฉันหนีพี่มาโนชได้ แต่ก็ต้องมาแต่งงานกับคุณพระนิติธรรมอยู่ดี"
"จะเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ไม่ได้ดอกขอรับ เพราะคุณพระท่านดีกว่าคุณมาโนชอย่างไม่อาจเอามาเทียบกันได้ คุณน้ำทิพย์ลองตรองดูนะขอรับ ว่าหากต้องเลือกเป็นภริยาคุณมาโนชกับเป็นภริยาคุณพระแล้ว อย่างไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน"
น้ำทิพย์หน้าเศร้าลง
"เพียงทุกข์มากหรือทุกข์น้อยกว่ากันเท่านั้นดอกแก้ว เพราะการต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้รักนั้น คงไม่มีความสุขไปได้หรอก"
แก้วหน้าเศร้าลง
"คุณน้ำทิพย์ไม่มีความสุข ไอ้แก้วก็ไม่มีความสุขเหมือนกันขอรับ แต่เวลานี้ ไม่มีหนทางอื่นดีกว่านี้แล้ว แลคุณพระท่านก็ไม่ได้บังคับ ท่านเพียงแต่ขอคำยืนยันจากปาก คุณน้ำทิพย์ เองเท่านั้น ถ้าคุณน้ำทิพย์ตกลง วันงานวัดเบญจมบพิตรที่นัดกันไว้ ก็จะได้ตกลงพูดคุยกันให้เรียบร้อยขอรับ"
น้ำทิพย์มองแก้วด้วยความน้อยใจ
"ฉันอิจฉาคุณพระเหลือเกิน เพราะดูแก้วจะเข้าข้างเป็นใจ อยากให้ฉันแต่งงานกับคุณพระเสียจริง"
แก้วมองน้ำทิพย์ด้วยสายตาเศร้าใจ
"กระผมไม่มีวันเข้าข้างผู้ใดเกินไปกว่าคุณน้ำทิพย์ดอกขอรับ แต่เพราะไอ้แก้วเป็นทาส ที่ไม่อาจเป็นเจ้าของสิ่งใดได้ แม้แต่ชีวิตของตัวเอง"
น้ำทิพย์ เห็นใจและซาบซึ้งใจในตัวแก้ว
"ไอ้แก้วจึงไม่มีปัญญาจะหาทางช่วยคุณน้ำทิพย์ได้ดีกว่านี้ หากมีทางแล้ว มีหรือที่ไอ้แก้วจะยอมให้คุณน้ำทิพย์ต้องทุกข์ใจ ต่อให้เอาชีวิตของไอ้แก้วไป ก็ไม่มีวันยอมขอรับ"
ทั้งคู่ประสานตากันนิ่ง ก่อนจะเบือนสายตากันไป ต่างคนต่างรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เลยได้แต่ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
ภายในโถงห้องเช่า นิ่มคุยกับอบเชย และร้องไห้ด้วยความเสียใจ
"เรื่องลุกลามกันไปใหญ่โตแล้ว ท่านเจ้าคุณก็จะยิงแม่ แม่ก็จ้างคนมาทำร้ายท่านเจ้าคุณ แล้วพี่จะทำยังไงดีอบเชย"
อบเชยยิ่งคิดยิ่งแค้น
"ทั้งหมดก็เพราะไอ้พระยานาล่มนั่นแหละ มันหลอกป้าน้อมยังไม่พอ ยังมาหลอกพี่ให้เป็นเมียน้อยมันอีก พวกเราเคยอยู่กันเป็นสุข แต่ต้องมาแตกแยกกันเพราะมันคนเดียว"
นิ่มร้องไห้
"อย่าโทษท่านเจ้าคุณเลยอบเชย เพราะพี่เอง พี่มันอกตัญญูกับแม่ ถึงต้องรับกรรมเช่นนี้"
อบเชยอ่อนใจสุดๆ
"โธ่ พี่นิ่ม ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะปกป้องไอ้พระยานาล่มนั่นอีกรึ กลับเรือนเราเถิดพี่นิ่ม คนอย่างพี่นิ่มถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ แลคุณสมบัติ จะเป็นเมียเอกของใครก็ไม่น้อยหน้า เหตุใดต้องยอมเป็นเมียน้อยคนแก่คราวพ่อด้วยเล่า"
นิ่มสะอึกสะอื้น
"อบเชยไม่เข้าใจดอก พี่รักท่านเจ้าคุณ รักท่านจากใจจริง ถึงท่านจะหลอกลวงพี่ หรือทำกับพี่เช่นไร พี่ก็ไม่มี วันเลิกรักท่านได้ดอก"
อบเชยถอนใจหนักๆ สีหน้าชิงชังตัดสินใจ
"เวรกรรม เวรกรรมแท้ๆ งั้นเอาอย่างนี้ ฉันจะย้ายมาอยู่กับพี่นิ่มเอง ฉันเป็นห่วงพี่นิ่มมากกว่าป้า อย่างน้อยพี่นิ่มก็จะได้มีเพื่อน เผื่อไอ้ท่านเจ้าคุณมันทำร้ายพี่ ฉันจะได้ตีกบาลมัน ไอ้นักเลงพวกนั้นมันทำพลาด แต่ถ้าเป็นฉัน ไม่พลาดแน่"
"ย้ายมาอยู่กับพี่ แล้วแม่จะไม่โกรธอบเชยเอารึ"
"โกรธก็โกรธสิ อย่างมากป้าก็ด่า ด่ามาฉันก็เถียงกลับ ป้าเหนื่อยก็หยุดด่า
ไปเองแหละ สำคัญที่พี่ เพราะพี่เป็นคนกลางระหว่างแม่กับผัว เมื่อเกิดเรื่องขึ้นย่อมต้องลำบากใจที่สุด แล้วจะให้ฉันทิ้งพี่ไปอีกคนได้ยังไงกัน"
นิ่มกอดอบเชยด้วยความซึ้งใจ
"ขอบใจ ขอบใจมากอบเชย"
อบเชยกอดนิ่มตอบด้วยความรักและห่วงใยเช่นกัน
แก้วนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้า เจ้าคุณเดินมองสำรวจแก้ว พร้อมกับใช้ความคิดไปด้วย แก้วรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก
"นังบุญเจิม มันบอกว่าพี่ชายมันสู้เอ็งไม่ได้ จริงหรือไม่วะ"
"พระเดชพระคุณหมายถึงเรื่องอะไรขอรับ ที่พี่บุญมีสู้กระผมไม่ได้"
"ก็เรื่องฝีมือชกต่อยของเอ็งไงล่ะวะ"
"พระเดชพระคุณเคยเกือบจะเฆี่ยนกระผม ข้อหาทำร้ายพี่บุญมีที่เป็นหัวหน้าทาสขอรับ"
ไชยากรหัวเราะชอบใจ
"เออจริง ข้านึกได้แล้ว แล้วเอ็งบังคับม้าได้หรือไม่วะ"
"พอได้ขอรับ แต่เรื่องนี้ เห็นทีจะสู้พี่บุญมีไม่ได้"
"ไม่เป็นไร ระหว่างที่ไอ้บุญมีเจ็บอยู่ เอ็งจงประจำหน้าที่สารถีให้ข้า แลเอ็งจงหาผู้ช่วยไว้ด้วยซักคน สุดแต่เอ็งจะเลือกเอา เผื่อบางวัน ข้าต้องการใช้สอยเพิ่ม"
"แล้วจะให้กระผมเริ่มรับใช้งานนี้แต่เมื่อไหร่ขอรับ"
"เอาคืนนี้เลย"
เจ้าคุณหยิบเหรียญบาทสี่เหรียญโยนให้แก้วรับไป
"ข้าให้เอ็งหนึ่งตำลึง เอาไปซื้อเสื้อราชปะแตนห้าเม็ดกับหมวกปีกมาใส่เสีย ส่วนผู้ช่วยเอ็ง
ก็ซื้อผ้าพื้นคอกลมให้มันซักชุด จะได้ดูเป็นผู้เป็นคน สมเป็นคนขับรถม้าของข้าหน่อย"
แก้วยกมือไหว้
"ขอบพระคุณขอรับ"
แก้วดูเหรียญในมืออย่างครุ่นคิด วางแผนการใช้อย่างประหยัด จะได้เหลือเงินกลับไปให้แม่ได้บ้าง
อ่านต่อหน้า 4
ลูกทาส ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลาบ่าย แก้วใส่ชุดราชปะแตน แม้จะดูเก่า แต่ก็สะอาดสะอ้าน แถมพอแก้วใส่ก็ดูมีสง่าราศี หล่อเหลาขึ้นมาไม่น้อย กิ่ง บุญเจิม และคอกคอยดูอย่างชื่นชม
"เป็นอย่างไรบ้างแม่ พอใช้ได้หรือไม่ ฉันจำได้ว่าแถววัดเกาะ มีเสื้อราชปะแตนเก่าขาย ฉันก็เลยไปซื้อมา ราคาไม่ ถึงบาทด้วยซ้ำ เหลือเงินมาให้แม่อีกโขเลย"
กิ่งยิ้มแย้ม
"เอ็งนี่มันตระหนี่จริงๆ ไอ้แก้ว ท่านเจ้าคุณให้เงินมาเกินพอจะซื้อเสื้อใหม่ก็ยังได้ ยังอุตส่าห์เอาไปซื้อของเก่าอีก"
บุญเจิมมองแก้วตาเยิ้ม เข้าไปจับๆเสื้อแก้ว
"ถึงจะเก่า แต่ถ้าพี่แก้วเป็นคนใส่ ก็ดูมีสง่าราศีไม่แพ้พวกผู้ลากมากดีเลยนะป้า หล่อเหลาจริงๆพี่แก้วของข้า"
คอกหมั่นไส้
"เสื้อราชปะแตน ใครใส่ก็ดูมีสง่าขึ้นทั้งนั้นล่ะวะ"
บุญเจิมมองเหล่คอก แล้วเบะปากดูถูก
"ไม่จริงดอกโว้ย มันขึ้นอยู่กับคนใส่มากกว่า ถ้าลองเป็นเอ็งใส่ ข้าก็ต้องนึกว่าไปขโมยของใครเค้ามา"
คอกหน้าหงิก แต่ไม่อยากเถียงกับบุญเจิม
"นังเจิมเอ๊ย ถ้าไม่แขวะไอ้คอกสักวัน จะท้องอืดตายหรือยังไงวะ"
แก้วหันไปพูดกับคอก
"ไอ้คอก ท่านเจ้าคุณให้ข้าเลือกผู้ช่วย แลให้ซื้อเสื้อให้ใส่ด้วย เดี๋ยวตกเย็น เอ็งไปซื้อกับข้านะ เพราะข้าเลือกเอ็งเป็นผู้ช่วยข้า"
คอกดีใจ
"จริงหรือพี่ วาสนาไอ้คอกแท้ๆ"
บุญเจิมเบะปากหมั่นไส้
"ลาภลอยเลยนะเอ็ง"
กิ่งยิ้มบางๆ บอก
"พวกเอ็งได้เสื้อผ้ามา ก็รักษาให้ดีๆนะ เพราะไอ้แก้วได้เป็นสารถีแทนไอ้มีเท่านั้น ไอ้มีหายเจ็บเมื่อใด ท่านเจ้าคุณอาจจะเรียกเสื้อผ้าคืนก็ได้"
คอกถึงกับหน้าเสีย
"ไม่กระมังป้า ให้แล้วเอาคืนมีที่ไหน แล้วตัวฉันกับพี่แก้ว ก็ไม่เท่าพี่มี แล้วพี่มีจะใส่เสื้อพวกฉันได้อย่างไร เอ๊ะ หรือท่านเจ้าคุณจะเก็บเอาไว้ใส่เอง" คอกพูดขำๆ
กิ่งดุ
"พูดจาลามปามใหญ่แล้วนะเจ้าคอก ประเดี๋ยวเถอะ"
คอกยิ้มเจื่อนๆไป
"นายที่ไหน จะเอาเสื้อผ้าที่ทาสใส่แล้วมาใช้ซ้ำวะ พวกความรู้น้อยไม่มีหัวคิดก็ยังงี้แหละป้า พี่แก้วเปลี่ยน ผู้ช่วยเถิด ข้าว่าไอ้คอกจะเป็นตัวถ่วงมากกว่าตัวช่วยซะมากกว่า เอ็งจะเกิดมาทำไมวะ ไม่เห็นจะมีดีซักอย่าง" บุยเจิมว่า
คอกจ๋อยสนิทไปเลย
"เฮ้ยๆ มันจะมากไปแล้วนะนังเจิม ถึงคอกจะไม่มีความรู้ แต่ความกตัญญูแลน้ำใจมัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร...คนอย่างไอ้คอกนี่แหละ ถ้าเอ็งได้เป็นผัว จะซื่อสัตย์กับเอ็งคนเดียวไปจนตาย"
บุญเจิมอึ้ง อ้าปากค้าง ... คอกยิ้มปลื้มใจ ปากแทบฉีกถึงหู
"ไปคอก อย่าเสียเวลาไปฟังพวกอวดฉลาดเลย"
แก้วกอดคอคอกพาเดินออกไป บุญเจิมเจ็บใจมาก
"พี่แก้ว"
กิ่งขำๆ ส่ายหน้าเดินเข้าเรือนไป
บุญเจิมสีหน้าเจ็บใจมาก ตะโกนไล่หลังไป
"ถ้าข้าต้องได้คนอย่างไอ้คอกเป็นผัว ข้ายอมแห้งตายคากระไดบ้านนี่แหละ"
บุญเจิมเจ็บใจเดินปึงปังออกไป คอกแอบชำเลืองมองตามด้วยหน้าเศร้าสร้อย น้อยใจ
เวลาเย็น หน้าห้องนอนมาโนช อ่อนใส่สร้อย ใส่กำไลทองพราวไปทั้งตัวกำลังตวาดใส่ทาสหญิง ที่เอาสำรับกับข้าวมาส่งให้
อ่อนตะคอก ข่มเต็มที่
"มัวแต่ตะบอยทำอะไรอยู่ได้ ข้ากับคุณมาโนชหิวจนตาลายแล้ว หรือว่าต้องให้โดนหวายซักยกสองยกวะ ถึงแก้โรคขี้เกียจได้"
ทาส 1กลัวบอก
"อย่าเพิ่งโมโหโทโสเลยจ้ะแม่อ่อน พวกฉันก็ทำตามที่เคยทำทุกวันน่ะแหละ ก็ไม่รู้นี่จ๊ะ ว่าวันนี้แม่อ่อนกับคุณมาโนชจะหิวเร็วกว่าทุกวัน"
อ่อนดึงสำรับกับข้าวมา
"โง่เง่านัก มีปัญญาคิดได้แค่นี้ ก็อยู่ในครัวไปจนตายเถอะ"
อ่อนยกสำรับเดินกลับเข้าห้องไป พร้อมกับปิดประตู ทาส 1 มองตามด้วยความเกลียดชัง
"อีคางคกขึ้นวอ ถูกทิ้งมาวันไหน แม่จะตบให้ปากฉีกเลยมึง"
ทาสเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
ภายในห้องนอน อ่อนยกสำรับกับข้าวมาวาง มาโนชกึ่งนั่งกึ่งนอน หลับตาพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียง
"คุณมาโนชเจ้าขา สำรับเย็นมาแล้วเจ้าค่ะ"
มาโนชลืมตาขึ้น แล้วหันไปมองสำรับกับข้าว ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม ดึงอ่อนเข้ามากอด
"ข้ายังไม่หิวนี่นา"
มาโนชกอดซุกไซ้ อ่อนหัวเราะคิกๆ
"วันนี้บ่าวก็อยู่กับคุณทั้งวันแล้ว ยังไม่เบื่ออีกหรือเจ้าคะ"
"เอ็งช่างเอาอกเอาใจอย่างนี้ ต่อให้อยู่อีกสามวัน ข้าก็ไม่เบื่อหรอก"
อ่อนทิ้งค้อน
"บ่าวกลัวแต่ว่า พอคุณได้แต่งงานกับคุณน้ำทิพย์สมใจแล้ว จะทิ้งบ่าวน่ะสิเจ้าคะ"
มาโนชเชยคางอ่อน
"ไม่มีทาง ตั้งแต่เอ็งไปมีลูกมีผัว เอ็งเจนงานขึ้นถูกใจข้านัก ข้าจะหักใจทิ้งเอ็งได้ยังไงกัน"
"แล้วคุณน้ำทิพย์ จะยอมให้บ่าวมารับใช้คุณมาโนชถึงบนเรือนหรือเจ้าคะ"
มาโนชคิดอยู่ครู่นึง
"ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไถ่ตัวเอ็ง แล้วหาที่ปลูกเรือนให้เอ็งอยู่ น้องน้ำทิพย์จะได้ว่าอะไรไม่ได้"
"จริงหรือเจ้าคะ บ่าวรักคุณมาโนชเหลือเกินเจ้าค่ะ"
อ่อนซบอกมาโนช สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความโลภ ทะเยอทะยานเต็มที่
เวลาเย็น ในบรรยากาศย่านร้านค้า ที่มีคนมาซื้อของกันคึกคัก แก้วกำลังเลือกซื้อเสื้อให้คอกอยู่ แต่คอกกลับดูแต่เครื่องประดับผู้หญิง ไม่ได้สนใจเสื้อของตนแม้แต่น้อย
แก้วเลือกเสื้อได้ หันไปคุยกับคอก
"ตัวนี้เป็นยังไงบ้างวะ เอ็งชอบหรือไม่"
คอกเอาแต่เลือกเครื่องประดับจนไม่ได้ยินแก้ว
"ไอ้คอก"
คอกเพิ่งรู้ตัว
"จ้ะพี่"
"เอ็งทำอะไรของเอ็งวะ ข้าเรียกก็ไม่ได้ยิน"
คอกยิ้มแหยๆ
"ฉันเห็นเครื่องประดับพวกนี้มันสวยดีน่ะพี่ ก็เลยอยากจะซื้อไปฝากนังเจิมมัน"
คอกหน้าจ๋อยๆ บอก
"แต่ฉันไม่ค่อยมีเบี้ย มีอัฐกับใครเค้า แลไม่รู้นังเจิมมันจะชอบหรือไม่"
แก้วมองคอกนิ่งอยู่ครู่นึง เริ่มดูออกว่าคอกชอบบุญเจิม ยิ้มบางๆ
"ถ้าเป็นของได้เปล่า ไม่ว่าอะไร นังเจิมมันก็ชอบทั้งนั้นแหละ เอ็ง ก็เลือกซักอันสิ แต่อย่าแพงนักนะ ข้าจะซื้อให้ เอ็งก็ไม่ต้องไปบอกนังเจิมว่าเป็นเงินข้าล่ะ บอกว่าเอ็งซื้อเอง"
คอกดีใจมาก
"จ้ะพี่ ขอบใจมากจ้ะพี่แก้ว"
คอกรีบไปเลือกเครื่องประดับอย่างกระตือรือร้น แก้วยิ้มบางๆ คิดว่าถ้าคอกลงเอยกับบุญเจิมได้ เขาก็ไม่ต้องอึดอัดเรื่องบุญเจิมอีก
ขณะนั้นเอง คุณกัลยาก็เดินเลือกซื้อของผ่านมา เธอเหลือบไปเห็นแก้ว ก็ดีใจ
"แก้ว"
แก้วหันไปมองตามเสียง พอเห็นว่าเป็นคุณแดง ก็รีบเดินไปหาด้วยความดีใจ แก้วยิ้มแย้ม
"กลับมาจากเมืองนนท์ แล้วหรือขอรับคุณแดง"
"จ้ะ เพิ่งมาถึงเมื่อสายๆวันนี้เอง แล้วนี่แก้วมาซื้อของเข้าเรือนหรือจ๊ะ"
"มิได้ขอรับ คืนนี้ท่านเจ้าคุณให้กระผมเป็นสารถีชั่วคราว โดยมีไอ้คอกเป็นผู้ช่วย ก็เลยต้องมาซื้อเสื้อผ้ากับหมวก เพื่อให้สมฐานะหน้าตาของท่านเจ้าคุณขอรับ"
คุณแดงแปลกใจ
"คืนนี้ อ้าว แล้วแก้วไม่ได้ไปเป็นเพื่อนคุณน้ำทิพย์ดอกหรือจ๊ะ"
"ไปไหนหรือขอรับ"
คุณแดงยิ้มขำๆ
"อะไรกัน ทำงานหนักจนลืมไปแล้วรึ ว่าวันนี้วัดเบญจมบพิตรมีงาน แล้วก็เป็นงานคืนที่สองแล้วด้วย"
แก้วตกใจหน้าเสียทันที เพราะวันนี้แล้ว ที่น้ำทิพย์จะต้องไปคุยเรื่องแต่งงานกับพระนิติธรรมลือชา
น้ำทิพย์กำลังคุยกับแม่นมอ้อนด้วยสีหน้าเครียดๆ ไม่รู้จะทำยังไงกับคืนนี้ดี
"ด้วยความสัตย์นะเจ้าคะ นมไม่เห็นใครจะเหมาะสมกับคุณน้ำทิพย์ เท่าพระนิติธรรมลือชาผู้นี้อีกแล้ว คุณน้ำทิพย์น่าจะดีใจ ไม่ใช่ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์เช่นนี้นะเจ้าคะ"
น้ำทิพย์ถอนใจ หน้าเศร้าๆ
"ไม่ใช่เหมือน แต่ฉันอมทุกข์จริงๆจ้ะนม ฉันไม่ได้รักคุณพระท่าน นมก็รู้"
"นมรู้ดีค่ะ แต่ถ้าไม่แต่งกับพระนิติธรรม ก็ต้องถูกท่านเจ้าคุณจับแต่งกับคุณมาโนชอยู่ดี ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ก็สู้แต่งกับพระนิติธรรมไปเถอะค่ะ"
"นึกๆแล้ว ฉันอยากจะหนีไปให้ไกลๆเหลือเกินจ้ะนม ฉันจะได้ไม่ต้องเลือก แล้วก็จะได้ไม่มีใครมาบังคับฉันได้ด้วย"
" คิดได้ แต่ทำไม่ได้ดอกค่ะ ถ้าคุณน้ำทิพย์หนีไป ท่านเจ้าคุณต้องเสียใจมาก คุณใจแข็งพอที่จะทำได้หรือคะ"
"ก็เพราะไม่ได้ ฉันถึงต้องอกไหม้ไส้ขมอยู่นี่ไงเล่า"
"เชื่อนมนะเจ้าคะ เจ้าแก้ว มันหาทางออกให้คุณน้ำทิพย์ถูกต้องแล้ว คืนนี้ ก็ไปคุยตกลงกับคุณพระท่านให้เรียบร้อย ท่านจะได้มั่นใจว่าทางเราไม่บิดพลิ้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเกี่ยวพันถึงเจ้าถึงนายด้วย หากตกลงแล้ว จะเปลี่ยนใจภายหลังไม่ได้นะเจ้าคะ"
น้ำทิพย์ซึมเศร้าลงไป
"ฉันยังเปลี่ยนใจได้อีกหรือนม ชีวิตฉัน แม้จะสุขสบาย แต่แท้ที่จริงแล้ว ก็ไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจ ไม่ต่างจากพวกทาส ที่ไม่อาจเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองได้เลย"
นมอ้อนได้แต่มองน้ำทิพย์ด้วยความสงสารและเห็นใจ น้ำทิพย์ดูซึมเศร้าไปอย่างเห็นได้ชัด
แก้วขับรถม้าพาเจ้าคุณมาถึงบ้านเช่าตอนหัวค่ำ โดยมีคอกนั่งมาด้วย
นิ่มรีบเดินออกมาจากข้างใน รับเจ้าคุณด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทันที สองผัวเมียพูดคุยยิ้มแย้มให้กันแบบข้าวใหม่ปลามัน ทันใดนั้นเอง อบเชยก็เดินถือขันน้ำออกมาจากข้างใน
เจ้าคุณเห็นอบเชยก็ชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป โดยมีนิ่มรีบเดินตามไป
อบเชยมองตามเจ้าคุณไปด้วยสีหน้าถมึงทึง ต่างฝ่ายต่างเกลียดกัน
แก้ว และคอก ลงจากรถม้าแล้วตามเข้าบ้านมา แก้วมีท่าทางเซื่องซึม คิดมากเรื่องที่น้ำทิพย์จะไปคุยกับพระนิติธรรมลือชาที่งานวัด ขณะที่คอกกำลังมองสำรวจบ้านเช่า ด้วยความตื่นเต้น
อบเชยก็เดินมายื่นขันน้ำพรวดเข้าให้จนแทบจะกระแทกหน้าคอก
"เอ้า น้ำ กินเข้าไปซะ" อบเชยบอกเสียงห้วน
คอกตกใจ ก่อนจะรับขันน้ำมา
"ขอบใจจ้ะ เอ่อ น้องสาวเป็นคนรับใช้ของคุณนายหรือจ๊ะ"
อบเชยตวาดแว๊ด
"ใครเป็นน้องสาวแก อย่ามานับญาติกับฉันพล่อยๆนะ คนบ้านเจ้าคุณ ถ้าไม่มีเหตุ ฉันไม่เคย อยากรู้จักมักจี่เลยด้วยซ้ำ"
อบเชยสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป คอกตกใจไม่คิดว่าจะดุขนาดนี้ ก่อนรีบเข้าไปคุยกับแก้ว
"ผู้หญิงอะไรกันน่ะ พี่แก้ว เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอใครดุเท่านี้เลย นังเจิมว่าดุแล้วยังแพ้ราบคาบ"
แก้วถอนใจ
"เค้าคงเป็นเจ็บเป็นแค้นแทนคุณนายนิ่มกระมัง เอ็งก็พอรู้ไม่ใช่รึว่า ท่านเจ้าคุณได้คุณนายมาด้วยวิธีไหน"
คอกพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังกลัวๆอบเชยอยู่ดี
แก้วเดินเลี่ยงออกมานั่งอยู่คนเดียว สีหน้าซึมเศร้า คิดถึงแต่เรื่องน้ำทิพย์กับคุณพระตลอดเวลา
ตอนหัวค่ำ พระนิติธรรมลือชาแต่งตัวหล่อกว่าทุกวันเดินออกมาจากข้างในมาที่หน้าเรือนแพ โดยมีคุณกัลยากับอ้นยิ้มแย้มรออยู่
"สง่างามเหลือเกินค่ะ ต่อให้ไม่ใช่การแต่งงานเพื่อช่วยเหลือคุณน้ำทิพย์ แต่ถ้าคุณน้ำทิพย์มาเห็นเข้า ก็ต้องใจอ่อนรับรักคุณพี่เป็นแน่"
พระนิติธรรมยิ้มขำ
"ยกยอกันเกินไปแล้วน้องแดง ใครมาได้ยินเข้า เค้าจะหาว่าบ้านเราเป็นพวกหลงตัวเอง... เอ้า ไปกันได้แล้วเจ้าอ้น" พระนิติธรรมตอบก่อนหันไปเรียกอ้น
"พร้อมอยู่นานแล้วขอรับ พอกระผมรู้ว่า วันนี้คุณพระจะไปพูดคุยเรื่องสำคัญ ก็ขัดเรือรอเสียเลี่ยมตั้งแต่เมื่อวานแล้วขอรับ เชิญเลยขอรับ" อ้อนพูดพลางผายมือเชื้อเชิญ
พระนิติธรรมกำลังจะเดินไป ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ใช้ผ้าโพกหัว ปิดบังหน้าตาเดินเข้ามาหาก่อน คุณกัลยาแปลกใจ
"มาหาใครหรือจ๊ะ"
ผู้หญิงคนนั้นปลดผ้าคลุมออก ปรากฏว่าเป็นแม่นมอ้อนนั่นเอง
"อีชั้นชื่ออ้อน เป็นแม่นมของคุณน้ำทิพย์เจ้าค่ะ"
อ้นยื่นจดหมายให้พระนิติธรรมลือชา
"คุณน้ำทิพย์ สั่งให้อีชั้นเอาจดหมายฉบับนี้มาให้คุณพระเจ้าค่ะ"
พระนิติธรรมรับจดหมายมาด้วยความแปลกใจ
คุณกัลยากำลังอ่านจดหมายของน้ำทิพย์ โดยมีพระนิติธรรมอยู่ใกล้ๆ
"ฉันต้องกราบขออภัยคุณพระเป็นที่สุด ที่ทำให้คุณพระต้องเสียน้ำใจ ทั้งๆที่คุณพระเป็นฝ่ายเมตตาช่วยเหลือฉัน"
เธอเหลือบตามองพี่ชายเล็กน้อย พระนิติธรรมนั่งหน้านิ่งใช้ความคิด เธอก้มอ่านจดหมายต่อ
"แต่ฉันได้ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ว่าการเอาตัวรอด ด้วยการแต่งงานกับคุณพระนั้นเป็นการหลอกลวงคุณพระอย่างน่ารังเกียจ เพราะฉันไม่ได้มีจิตใจรักชอบคุณพระ แลเป็นการไม่ยุติธรรมต่อความดีที่คุณพระมีให้ฉันด้วย ส่วนเรื่องพี่มาโนชนั้น ฉันขอไปตายเอาดาบหน้า แต่ไม่ขอหลอกใช้คุณพระเป็นอันขาด... น้ำทิพย์"
พระนิติธรรมลือชามีสีหน้าเรียบๆ แฝงอมยิ้มบางๆ ไม่ได้มีอาการโกรธหรือเสียใจเลย ฝ่ายน้องสาวเสียอีกที่อ่านจดหมายจบก็หน้าบึ้งตึงทันที
"ถึงน้องจะชอบคุณน้ำทิพย์ แต่คราวนี้เธอทำเกินไปแล้วล่ะค่ะ คุณพี่ของน้อง มีผู้หญิงครึ่งค่อนพระนครหมายตาไว้ แต่คุณน้ำทิพย์เธอกลับไม่ไยดี แลบอกว่าไม่รักชอบคุณพี่อีกต่างหาก เช่นนี้ก็ดูแคลนกันมากไป"
พระนิติธรรมยิ้มบางๆ
"แต่นั่นกลับทำให้พี่ชื่นชมคุณน้ำทิพย์เธอมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก"
"ทำไมล่ะคะ"
"พี่ชื่นชม ที่เธอเป็นคนซื่อไม่หลอกลวงใคร ทั้งๆที่เธอมีโอกาส"
"ข้อนั้นก็ถูกค่ะ แต่น้องว่าเธอควรจะเห็นคุณค่าของคุณพี่มากกว่านี้นะคะ"
"นั่นเป็นหน้าที่ของพี่ สักวัน พี่จะทำให้เธอรักชอบพี่ แลเห็นคุณค่าในตัวพี่ให้จงได้"
พระนิติธรรมลือชายิ้มมั่นใจ สีหน้ามุ่งมั่นจะเอาชนะใจน้ำทิพย์ให้ได้สักวัน
เจ้าคุณในชุดนอน เปิดประตูกลับเข้ามาในห้อง โดยนิ่มกำลังกางมุ้งให้อยู่
“บอกตามตรงนะแม่นิ่ม ฉันไม่ชอบน้องสาวหล่อนเลย”
นิ่มชะงักไป สีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
“ทำไมล่ะคะเจ้าคุณ”
ไชยากรถอนใจ
“หล่อนก็เห็นว่าน้องหล่อนก้าวร้าวกับฉันแค่ไหน แล้วเหตุใด หล่อนยังเอาเข้ามาอยู่ในเรือนด้วยกันอีก”
นิ่มหน้าจ๋อยๆ
“ฉันทราบค่ะว่าท่านเจ้าคุณไม่พอใจ แต่ฉันอยู่คนเดียวเงียบเหงาเหลือเกิน ขอให้อบเชยอยู่เป็นเพื่อนฉันเถอะนะคะ”
“ ถ้าหล่อนเหงา ฉันจะให้ทาสที่เรือนมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ ตกลงหรือไม่ล่ะ”
นิ่มเข้าไปอ้อนสีหน้าเศร้า
“คนอื่น ยังไงก็ไม่เหมือนน้องดอกค่ะ นะคะท่านเจ้าคุณ ฉันกลับไปหาแม่ไม่ได้แล้ว เหลือก็แต่น้องที่เป็นญาติสนิทอยู่คนเดียวเท่านั้นเอง”
ไชยากรเห็นนิ่มอ้อนก็เริ่มใจอ่อน
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้ แต่หล่อนต้องคอยดูแล อย่าให้ก่อความเดือดร้อนให้ฉันล่ะ”
นิ่มดีใจ
“ค่ะ ท่านเจ้าคุณ”
ไชยากรเดินไปเปิดมุ้งจะเข้าไปนอนพัก นิ่มจะตามเข้าไป
“หล่อนไปนอนห้องอื่นเถอะ ห้องนี้มันคับแคบนัก อยู่ด้วยกันแล้วอึดอัด อ้อ แล้วก็อย่าลืมมาปลุกฉันด้วยล่ะ ฉันจะกลับไปนอนที่เรือน”
เจ้าคุณเปิดมุ้งเข้าไปนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ นิ่มหน้าเศร้าลงไป เจ้าคุณทำเหมือนเธอไม่ใช่ภรรยาเลยแม้แต่น้อย
อบเชยกำลังคุยกับนิ่มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่พอใจ
“ถึงพี่จะไม่ใช่ลูกชาติลูกตระกูล แต่ก็มีศักดิ์มีศรีไม่น้อยหน้าใคร ไอ้ท่านเจ้าคุณมันไม่ยกย่องพี่ ก็ถือว่าตา
ต่ำเต็มทนแล้ว แต่มันยังหยาบหยามซ้ำอีก ...นี่อะไร พอใจจะมาก็มา พอใจจะกลับก็กลับ พี่ไม่ใช่ผู้หญิง...”
อบเชยเจ็บใจ แต่พูดต่อก็ไม่ดี เลยได้แต่หงุดหงิด
นิ่มหน้าเศร้า
“ท่านเจ้าคุณคงไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นดอก”
“ถึงไม่คิด แต่ก็ทำ พี่นิ่มเคยเห็นผัวเมียที่ไหนเป็นเช่นนี้บ้าง บางบ้านเมียทาสแท้ๆ ยังได้รับการยกย่องมากกว่านี้เลย”
นิ่มรีบตัดบทเปลี่ยนเรื่องไม่อยากคิดให้เจ็บช้ำ ถอนใจ หน้าเศร้าๆ
“ตอนนี้ พี่อยากเจอแม่เหลือเกินอบเชย อยากขอโทษที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ ต่อให้แม่ไม่อโหสิให้พี่ แต่ขอให้พี่ได้กราบแม่บ้าง พี่ก็พอใจแล้ว”
“ฉันก็พูดกับป้าแกหลายทีแล้ว แต่ป้าแกยังถือทิฐิอยู่ พูดมากๆ ก็พาลจะทะเลาะกันเสียอีก เลยไม่รู้จะทำยังไง”
ขณะนั้นเอง อบเชยเหลือบเห็นแก้วยืนอยู่ที่หลังเสาก็ตวาดแว๊ดใส่
“นั่นใคร คิดแอบฟังรึ”
แก้วเดินออกมา
“มิได้ขอรับ กระผมไม่ได้คิดจะแอบฟังเลย เพียงแต่ยุงมันชุมเหลือเกินจนนอนไม่ได้ กระผมเลยมานั่งเล่นอยู่ตรงนี้ ก่อนที่...เอ่อ แม่อบเชยกับคุณนายจะคุยกันเสียอีกขอรับ”
อบเชยตาเขียวปั้ด
“แล้วมารู้ชื่อฉันได้ยังไง ยังว่าไม่ได้แอบฟังอีก”
“ช่างเถอะอบเชย เราก็ไม่ได้พูดคุยความลับอะไรกัน จะไปดุว่าเค้าทำไม”
นิ่มหันไปพูดกับแก้ว ยิ้มบางๆ
“ฉันทำยาไล่ยุงไว้ใช้เอง เดี๋ยวจะเอามาจุดให้นะ”
แก้วยกมือไหว้
“ขอบพระคุณขอรับ”
นิ่มเดินเลี่ยงไป อบเชยจ้องแก้วเขม็งด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ก่อนจะเดินตามนิ่มไป แกล้วมองตามแล้วถอนใจบอก
“ไม่น่าทำเช่นนี้เลยท่านเจ้าคุณ”
กลางดึกคืนเดียวกัน แก้วขับรถม้าพาเจ้าคุณมาส่งถึงหน้าเรือน โดยมีคอกนั่งมาด้วย พอมาถึง บุญเจิมก็เดินลงมารับหน้าเจ้าคุณที่ยิ้มอย่างพอใจ
“วันนี้เอ็งทำดีมากไอ้แก้ว อุบายที่เอ็งให้ข้ากลับตอนดึก ไม่กลับตอนหัวค่ำเหมือนแต่ก่อนก็เข้าท่าดี ใครจะดักทำร้ายข้า ก็คงลำบากยากเย็นขึ้นกว่าเดิม”
เจ้าคุณหัวเราะพอใจ ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป
บุญเจิมอยากรู้อยากเห็น รีบเข้าไปถามแก้ว
“เป็นอย่างไรบ้างพี่แก้ว เมียน้อยท่านเจ้าคุณ งามอย่างที่เค้าลือกันหรือไม่”
คอกพูดสวนขึ้น
“งามสิ ขนาดเห็นเพียงประเดี๋ยวเดียว ข้ายังว่าท่านเจ้าคุณตาถึงเลย”
บุญเจิตวาดแว๊ด
“ข้าถามเอ็งรึไอ้คอก เสนอหน้านัก”
คอกหน้าจ๋อย
“เรื่องเพียงแค่นี้ก็ต้องดุกันด้วย”
คอกหยิบเครื่องประดับที่ตนซื้อมา ยื่นให้บุญเจิม
“อ้ะ ตอนไปซื้อเสื้อกับพี่แก้ว ข้าเห็นว่ามันสวยดี ก็เลยซื้อมาฝากเอ็ง”
บุญเจิมรับของมาดูอย่างอารมณ์ดี สีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบใจ”
คอกยิ้มดีใจ แค่เห็นบุญเจิมชอบของนั้นก็มีความสุขแล้ว
แก้วสีหน้าขรึมลง
“นังเจิม คุณน้ำทิพย์ไปงานวัดเบญจมบพิตรกลับมา เล่าอะไรให้เอ็งฟังบ้างหรือไม่”
บุญเจิมสีหน้างงๆ
“งานอะไรกันพี่ ฉันไม่เห็นคุณน้ำทิพย์ออกไปไหนเลย ตั้งแต่เย็น ฉันก็อยู่กับคุณน้ำทิพย์ตลอด จนคุณน้ำทิพย์นอนนั่นแหละ ฉันถึงได้มาอยู่เวรรอรับท่านเจ้าคุณ”
แก้วตกใจที่น้ำทิพย์ไม่ได้ไปหาคุณพระ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อ่านต่อตอนที่ 4