หางเครื่อง ตอนที่ 18
เย็นวันนั้นที่หน้าวงของโรจน์ ขำขี่รถซาเล้งมาตามถนนสีหน้าโมโหจัด ขำเลี้ยวรถซาเล้งเข้ามาจอดที่หน้าวงของโรจน์
เขาลงจากรถแล้วจัดการขนถุงขยะมากมายโยนไว้หน้าวงของโรจน์เสียงดังโครมคราม ลิ้นจี่เดินออกมา ตกใจกับขยะกองโตที่ขำโยนเอาไว้ เงยหน้ามาชี้หน้าขำ
“ไอ้ขำ นี่แกทำบ้าอะไรของแกเนี่ย” ขำไม่สนใจ จัดแจงขนถุงขยะโยนลงมากองต่อ แถมโยนไปให้โดนลิ้นจี่จนลิ้นจี่กระโดดหนีแทบไม่ทัน “ว้าย ไอ้ขำ ไอ้บ้า! หยุดเดี๋ยวนี้นะชั้นบอกให้หยุด หยุดนะ” ขำหยุดยืนหันมาจ้องหน้าลิ้นจี่ สายตาแสดงความโกรธ “แกเป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย”
“คนจิตใจสกปรกอย่างแกน่ะเหมาะกับขยะแบบนี้ล่ะ” ลิ้นจี่อึ้งไป ขำเลยได้โอกาสด่าต่อ “รวิ เค้าอุตส่าห์ช่วยแก เห็นว่าจะเป็นจะตาย ยังจะเนรคุณใส่ร้ายเค้าอีก” ลิ้นจี่ลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้ “แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ยังไม่คิดจะทำสิ่งดีๆ ในหัวมีแต่เรื่องชั่วๆ”
“หนอย ไอ้ขำ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
ขำไม่สนใจ หยิบถุงขยะโยนเข้าไปอีก ลิ้นจี่กรี๊ดแตกพยายามหยิบถุงขยะโยนออกไป แต่ขำก็หยิบกลับมาโยนเข้า โยนกันไปมาจนลิ้นจี่หอบ
“ไอ้ขำ”
“นังลองกอง”
ลิ้นจี่กรี๊ดลั่นวิ่งปรี่เข้าหาขำ แต่ขาของลิ้นจี่สะดุดกับขยะที่พื้นจนเธอหน้าคะมำลงไปกับกองถุงขยะ ลิ้นจี่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นขยะติดเต็มหัว ปากแตก เลือดกำเดาไหล ขำปรายตามามองอย่างสะใจ ก่อนจะเดินขึ้นรถซาเล้งแล้วขี่ออกไปทิ้งให้ลิ้นจี่นั่งกรี๊ดอยู่คนเดียว
“ไอ้ขำ ไอ้เด็กเวร ไอ้...”
ส่วนที่กองถ่าย เดือนยืนถือโทรศัพท์ท่าทางกระวนกระวาย
“เป็นไง ติดมั้ยเดือน”
เดือนส่ายหน้าลองกดโทรใหม่ ป้อมยืนรอลุ้นอยู่ข้างๆ
“ปิดเครื่อง ทำไงดีพี่ป้อม”
“โธ่ รวิ ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ เลย แล้วไปไหนของมันแล้วเนี่ย” เดือนมีสีหน้ากังวล “หรือว่าจะกลับไปรอที่บ้านแล้ว”
“เออ ก็ไม่แน่นะ”
“งั้นเรารีบกลับกันดีกว่า พี่ป้อม”
ป้อมพยักหน้ารับ จัดแจงช่วยกันลงมือเก็บข้าวของอย่างเร่งรีบ ทวีศักดิ์เดินเข้ามาเห็นเดือนกำลังเก็บของอยู่ก็ถามขึ้นมา
“เดือนจะกลับแล้วเหรอ ไป เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวเดือนกลับแท็กซี่ดีกว่า”
“ให้ผมไปส่งเถอะ จะได้คุยกันเรื่องทนายด้วย”
เดือนหยุดมือที่กำลังเก็บของ เงยหน้าขึ้นมามองทวีศักดิ์ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าป้อม ป้อมทำหน้าลำบากใจ พูดไม่ออก
“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“โอเค มาเดี๋ยวผมช่วย”
ทวีศักดิ์จัดแจงเข้ามาช่วยถือกระเป๋าให้เดือนแล้วเดินนำออกไป เดือนทำหน้าลำบากใจหันมามองป้อมแล้วพากันเดินตามออกไป
อีกด้านหนึ่งขณะนั้น ชูเกียรติเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี จนมาถึงหน้าห้องตัวเอง กำลังจะไขกุญแจเข้าห้อง
“พี่เกียรติ”
ชูเกียรติสะดุ้ง หันกลับมาเห็นแก้วเดินเข้ามาหา เขาทำหน้าเซ็งๆ
“มีอะไรเหรอแก้ว มาถึงนี่เลย”
“มีอะไรงั้นเหรอ ไหนบอกมาซิ นังเดือนมันเสนออะไรให้ ถึงได้เอามันกลับมาเสียบงานของแก้ว”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ลูกค้าเค้าเห็นว่าเดือนตรงกับคอนเซ็ปมากกว่า”
“ใช่เหรอ แค่นั้นเองเหรอ”
“เอาน่า เดี๋ยวพี่ก็มีงานมาเรื่อยๆ แหล่ะ ทั้งงานโชว์ตัว ออกอีเวนท์ รับรองพี่พาแก้วไปแน่”
“นังเดือนมันกลับมาแล้ว มีเหรอพี่เกียรติจะเรียกแก้ว” ชูเกียรติไม่กล้าสบตาแก้ว
“เฮ้อ เอาตรงๆ เลยนะแก้ว ก็เดือนน่ะเค้าไม่เรียกเปอร์เซ็นต์โหดแบบแก้วนี่”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ จะเอาชั้นไปเทียบกับนักร้องตกกระป๋องอย่างนังเดือนได้ไง”
ชูเกียรติมองแก้วหัวจรดเท้า
“งั้นก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้วนี่ เพราะพี่เลือกนักร้องตกกระป๋องเรียบร้อยแล้ว”
พูดจบชูเกียรติก็เปิดประตูเดินเข้าห้องไปอย่างไม่สนใจ
“เดี๋ยวก่อน ออกมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนพี่เกียรติ พี่เกียรติ ไอ้เกียรติ”
แก้วกรี๊ดออกมา เอามือทุบประตูโวยวายเสียงดังจนห้องอื่นๆ เปิดประตูชะเง้ออกมาดู แก้วหน้าเสียรีบเดินหลบไป
เดือนยอมนั่งรถมากับทวีศักดิ์ โดยมีป้อมนั่งอยู่ด้านหลัง
“เดือน หิวหรือเปล่าครับ แวะหาอะไรทานก่อนดีมั้ย”
“ไม่ค่ะ เดือนอยากรีบกลับบ้าน”
“เอางั้นเหรอ อืม รถนี่ก็ติดจัง”
สัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง ทวีศักดิ์จอดรถนั่งนิ่ง เดือนเหลือบตาไปมองทวีศักดิ์แล้วถามขึ้นอย่างเกรงใจ
“คุณทวีศักดิ์คะ แล้วเรื่องทนาย”
“อ่อ ใช่ โทษทีผมลืมไปเลย นามบัตรอยู่ในลิ้นชักฝั่งเดือนน่ะครับ”
“นี่เหรอคะ”
เดือนเอื้อมมือไป พยายามจะดึงออกมาแต่ไม่ออก
“ขอโทษนะครับ”
ทวีศักดิ์เอื้อมมือ ก้มตัวมาทางเดือนเอื้อมมือไปดึงลิ้นชัก
รวิเดินเซออกมาจากร้านข้างทาง หน้าตาแดงเพราะดื่มเหล้า เขาเดินเซไปมาจนถึงริมถนน ทำท่าเหมือนจะอาเจียนรีบเอามือปิดปากไว้
รวิเงยหน้าขึ้นมองไปที่ถนนเห็นรถของทวีศักดิ์จอดติดไฟแดงอยู่ ทวีศักดิ์กำลังโน้มตัวมาหาเดือนอย่างใกล้ชิด
รวิอึ้งไปมองตามด้วยสายตาหึงหวง จนทวีศักดิ์ถอยกลับไป และขับรถออกจากตรงนั้นไป
ทวีศักดิ์ยื่นนามบัตรส่งให้เดือน แล้วก็หันกลับไปขับรถต่อ
“นี่ไงครับ ทนายคนนี้ที่ผมบอกว่าเก่งมาก”
เดือนรับมาหยิบดู สีหน้าเริ่มมีความหวัง
“แล้วเค้าจะยอมช่วยเดือนมั้ยคะ”
“ผมบอกแล้วไง เดี๋ยวผมจัดการให้”
เดือนหันไปยิ้มจับมือดีใจกับป้อม แต่เหมือนนึกอะไรได้ หันกลับมาถามทวีศักดิ์ด้วยสีหน้ากังวล
“แล้วค่าทนาย”
“ไม่ต้องห่วง ให้เป็นหน้าที่ผม”
เดือนมีสีหน้าไม่สบายใจ ดูเป็นกังวล
“ถ้าเดือนไม่สบายใจ ผมหักออกจากค่าตัวที่แสดงก็ได้นะ”
เดือนยิ้มกว้างออกมา พยักหน้ารับ
“ค่ะ ขอบคุณคุณทวีศักดิ์มากนะคะ ขอบคุณจริงๆ”
ทวีศักดิ์ยิ้มพยักหน้ารับ มองเดือนด้วยสายตาที่อ่อนโยน
ส่วนที่บ้านรวิ ขำยืนถือเสื้อของตัวเอง ใช้ปลายนิ้วจับ อีกมือหนึ่งบีบจมูกตัวเองไว้ทำท่ารังเกียจ เทพเดินเข้ามาในบ้านเห็นขำยืนอยู่ก็ร้องทัก
“ขำ รวิกลับมาหรือยั...อื้อหือ เหม็นอะไรเนี่ย”
เทพรีบเอามือปิดจมูกเบือนหน้าหนี
“เสื้อผ้าชั้นเอง แหะๆ”
“นี่แกไปตกบ่อหมักควายที่ไหนมาเนี่ย”
ขำรีบทิ้งเสื้อลงกะละมัง จัดแจงเอาแฟ้บเทใส่แทบหมดซอง
“ป่าวหรอก ชั้นแค่ขนขยะไปทิ้งให้ถูกที่แค่นั้นเอง”
ขำยิ้มออกมาอย่างสะใจ
เมื่อซักเสื้อเสร็จ ขำสะบัดเสื้อผ้า จัดแจงใส่ไม้แขวนแล้วตากไว้ที่ราว เทพนั่งมองขำตากผ้า ปากก็บ่นไป
“ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลย”
“ทำไมล่ะ ชั้นว่าสมน้ำหน้ามันแล้วล่ะ ไม่เห็นด้วยเหรอไง”
“ใช่ ไม่เห็นด้วย” ขำค้างมือที่ตากเสื้ออยู่หันมามอง “น่าจะบอกกันก่อน จะได้เรียกรถขยะทั้งคันไปเทตรงหน้า
บ้านมันเลย”
ขำหัวเราะก๊ากออกมา ก่อนจะเดินมาเทน้ำในกาละมังทิ้ง จัดการเก็บของ
“สุดสวยไปไหนล่ะ”
“นภาน่ะเหรอ เห็นว่าจะไปถ่ายรูปหาหลักฐานผู้หญิงพวกนั้นหน่อยน่ะ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ไปช่วยเค้าล่ะ”
“ก็จะไปอยู่ แต่เค้าไม่ให้ไป”
“ทำไมล่ะ”
“นั่นสิทำไม”
เทพกับขำทำท่าครุ่นคิด ขำเหมือนจะนึกได้ รีบหันมาบอกเทพ
“เค้าคงหึงกลัวจะแอบมองอีหนูพวกนั้นแหงเลย”
เทพอึ้งไป สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหน้าแดง
“บ้า ไม่ใช่หรอก”
“แหงๆ เค้าต้องหึง มีใจแหงๆ”
“จริงเหรอ นภาเค้าหึงชั้นเหรอ แอร๊ย”
เทพทำท่าอาย เอามือขึ้นมาปิดหน้า บิดไปบิดมา ขำเห็นเทพทำท่าอายก็เบ้ปากทำท่าคลื่นไส้ รีบลุกหนีทันที
“เห็นท่าอายของลุงละไม่ไหว ขอไปห้องน้ำก่อนละกัน”
ขำเดินหนีไปขณะที่เทพยังทำหน้าเคลิ้มอยู่คนเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านเช่าของเดือน เดือนนั่งกอดหมอนอิง พิงหัวหลับอยู่บนโซฟา ขณะที่ป้อมนอนหลับกรนเสียงดังอยู่ที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง รวิเปิดประตูเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามา เดือนสะดุ้งรู้สึกตัว มองมาพอเห็นเป็นรวิก็รีบลุกขึ้นอย่างดีใจ
“พี่รวิ พี่ไปไหนมา ชั้นกับพี่ป้อมนั่งรอทั้งคืนเลย”
รวิไม่ตอบอะไรเดินไปปลุกป้อมที่นอนอยู่
“พี่ป้อม พี่ป้อม”
ป้อมสะดุ้งงัวเงียลุกขึ้น
“อ้าว รวิ แกไปไหนมาเนี่ยนึกว่ากลับบ้านนอกไปแล้ว”
“ชั้นจะมาเอาเสื้อผ้าที่เคยทิ้งไว้น่ะ”
“จะเอาไปทำไมล่ะ ก็ทิ้งไว้ที่นี่บ้าง แบบไอ้ขำไง ขนมาเป็นตั้ง”
“ไม่ล่ะ ชั้นคงไม่มาที่นี่อีกแล้ว”
เดือนทำหน้าแปลกใจรีบเดินมาหา
“อะไรกัน ทำไมล่ะพี่รวิ” รวิไม่ตอบอะไร เมินไปทางอื่น “ถ้าพี่โกรธชั้นเรื่องเมื่อวาน บอกเลยว่ามันไม่มีอะไร คุณทวีศักดิ์เค้าแค่ขอให้เราติดต่อกันน้อยลงเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น”
“จริงๆ เราเลิกติดต่อกันไปเลยก็ได้นะ”
เดือนอึ้งไปด้วยความตกใจ
“พี่หมายความว่าไง”
สายตารวิเหม่อมองไป ไม่มองหน้าเดือน
“ไม่รู้สิ พี่รู้สึกเหนื่อย ตั้งแต่คบกับเดือนมีแต่เรื่องเดือดร้อนเข้ามาให้พี่ตลอดเลย”
ป้อมตกใจรีบเดินเข้ามา
“รวิ แกพูดอะไรของแกเนี่ย”
“ก็มันจริงนี่พี่ป้อม ชั้นเบื่อที่จะต้องมาคอยดูแล คอยตามช่วยคอยตามแก้ ชั้นทำสารพัดจนชั้นต้องมาเดือดร้อนไปด้วยเห็นมั้ย”
เดือนเข้ามาดึงมือรวิ
“พี่รวิ เดือนไม่เคยคิดจะทำให้พี่เดือดร้อนเลยนะ”
รวิสะบัดมือเดือนออกไปเต็มแรง
“ถ้าชั้นอยู่กับคนอื่น ป่านนี้ชั้นอาจจะสบาย มีร้านใหญ่โต ไม่ต้องมาโดนกล่าวหาว่าเป็นพ่อเล้าแบบนี้” เดือนอึ้งไปพูดไม่ออก “ขอโทษนะเดือน แต่พี่ว่าเรา”
“เข้าใจแล้ว” เดือนพยายามกลั้นน้ำตา พูดเสียงสั่น “เดือนเข้าใจทุกอย่างแล้ว ที่ผ่านมาเดือนขอโทษที่ทำให้พี่เดือดร้อน ต่อไปนี้เดือนจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวให้พี่ต้องลำบากใจอีก เดือนจะออกไปจากชีวิตพี่อย่างที่พี่ต้องการ”
พูดจบ เดือนหันหลังเดินออกจากบ้านไปทันที
“รวิ ชั้นไม่นึกเลยว่าแกจะเป็นคนแบบนี้ เดือนเค้าทำเพื่อแกแค่ไหน แกเคยรู้บ้างมั้ย”
ป้อมหันมาชี้หน้าด่ารวิ ก่อนจะวิ่งตามเดือนออกไป รวิทำหน้านิ่ง แววตาเศร้าสร้อย พูดออกมาคนเดียว
“รู้สิ เพราะอย่างนี้ไง พี่ถึงยอมให้เดือนมาเดือดร้อนกับพี่ไม่ได้”
รวิน้ำตาไหลออกมาจากแววตาเศร้าสร้อยคู่นั้น
ที่กองถ่าย เดือนกำลังร้องเพลงเศร้าอยู่ในฉาก เหตุการณ์ในฉากหนังมันช่างตรงกับชีวิตเธอซะเหลือเกิน
“ตอนทำนา ข้าชื่อดาวเรือง พอเข้าในเมือง ชื่อชักเฟื่อง เลื่องลือ เป็นดาราหน้าปกหนังสือ เอ่อ เอื้อ อือม์ อื่อ ข้าเปลี่ยนชื่อเป็นแววดาว นางดาวเรือง ชักเฟื่องเรื่องรอง แมวจ้องแมวมอง ความผุดผ่องแพรวพราว คำเยินยอ เอ่อ ออ กันเกรียวกราว เอ่อ เอ้อ เออ เอ่อ ด้วยข้าสาววิไล พอไปลอง ผ่านกล้อง ถ่ายหนัง แหม ข้าเขินจัง แต่ก็นั่งภูมิใจ อนิจจา ข้าไม่ทันดังได้ ถ่ายมาถ่ายไป ท้องข้าใหญ่ ขึ้นมา”
วันเดียวกันนั้นที่บ้านรวิ นภากาศเอาโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปลิ้นจี่ตอนส่งเด็กให้ลูกค้าให้ขำกับเทพดู
“เอ เห็นไม่ชัดเลยแฮะ สงสัยแก่แล้วตาไม่ค่อยดี”
เทพชะเง้อหน้าเข้ามาอีก พยายามเข้าใกล้นภากาศ เธอมองอย่างรู้ทัน หันไปพยักหน้ากับขำ ขำยกนิ้วขึ้นแกล้งจิ้มไปที่ตาเทพเบาๆ
“จ๊าก ไอ้ขำ แกทำอะไรเนี่ย”
“แล้วพี่ล่ะทำอะไร ไม่รู้เลยเนอะ”
ขำยกมือไหว้ขอโทษเทพ
“ไอ้ขำ นี่แกแปรพรรคเหรอ”
“ขอโทษจ้ะลุง ชั้นทำเพื่อความอยู่รอดของปากท้อง”
นภากาศเชิดหน้า ทำหน้าล้อเลียนเทพ รวิเดินเข้ามาในบ้าน ท่าทางซึมๆ
“อ้าว รวิ ไปไหนมา”
“ธุระนิดหน่อยจ๊ะ”
“รวิ มาดูนี่สิ ป้าเค้าไปถ่ายรูปนังลองกองมาไว้เป็นหลักฐานช่วยเราแน่ะ”
รวิหันมาพยักหน้าฝืนยิ้มให้
“ขอบคุณครับ”
พูดจบรวิก็วางกระเป๋า แล้วเดินออกไปอีก ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
“มันจะไปไหนของมันอีกวะนั่น”
ที่กองถ่าย ทวีศักดิ์นั่งดูหนังที่ถ่ายเดือนไว้อยู่กับผู้กำกับ สายสมรเดินเข้ามา ยืนกอดอก ปรายตามองอย่างไม่พอใจ
“ถูกใจมากสินะ นางเอกคนนี้ ถึงได้จ้องเอาๆ ไม่รู้กี่รอบ” ทวีศักดิ์หันไปพยักหน้าบอกให้ผู้กำกับหยุด ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไป “ว่าไงล่ะ ทำไมไม่ตอบ”
ทวีศักดิ์หยุดเดินหันมามอง
“ชั้นเช็กงานธรรมดามันผิดตรงไหน”
“เช็กทุกส่วนหรือยังล่ะ ทั้งส่วนบนส่วนล่าง”
ทวีศักดิ์หันมามองสายสมรหัวจรดเท้า
“หัดคิดเรื่องดีๆ บ้างนะ อย่าปล่อยให้ความคิดสกปรกๆ มันอยู่ในหัวมากนัก”
“นี่คุณ”
เดือนกับป้อมเดินเข้ามา เดือนมีสีหน้าเศร้า ยกมือไหว้ทวีศักดิ์กับสายสมรแล้วจะเดินเลี่ยงไป
“เดือน มีอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เดือนส่ายหน้าไม่ตอบอะไร แต่เดินเลี่ยงไป ป้อมรีบตามไป
“เดี๋ยวสิเดือน”
ทวีศักดิ์จะเดินตาม แต่สายสมรเดินมาดักไว้
“ทำอะไรรักษาหน้าชั้นบ้างนะคุณ อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก” ทวีศักดิ์ชะงัก หันมามองสายสมรแล้วเบะปาก เดินหนีไป “นี่คุณ อย่า
มาทำท่าแบบนี้ใส่ชั้นนะคุณ สายสมรตะโกนเรียกตาม ก่อนจะหันกลับมาจ้องตามหลังเดือนที่เดินไป “ดี ห่วงมันมาก เดี๋ยวก็จะได้รู้”
อ่านต่อหน้า 2
หางเครื่อง ตอนที่ 18 (ต่อ)
ที่ห้องแต่งตัวของกองถ่าย ป้อมวางแปรงแต่งหน้าลงบนโต๊ะเมื่อเห็นเดือนนั่งเศร้าสร้อยเหม่อลอย
“เดือน อย่าคิดมากสิ พี่ว่ารวิมันไม่ได้ตั้งใจพูดหรอก”
“ก็จริงอย่างที่พี่รวิเค้าพูดนั่นล่ะ ชั้นทำให้เค้าเดือดร้อนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว”
“โธ่เดือน รวิมันกำลังเครียด มันก็พูดไปเรื่อย”
เดือนส่ายหน้า เสียงโทรศัพท์เธอดัง เธอรับสาย
“ค่ะ พี่เกียรติ ไม่ลืมค่ะ เอ่อ พี่เกียรติคะ พอจะมีงานอื่นอีกมั้ยคะ อีเว้นท์ ได้ค่ะ ก็ได้ค่ะก็ตามนั้น ขอบคุณค่ะ”
ป้อมทำหน้าไม่พอใจ
“เดือนจะไปรับงานกับมันอีกทำไม”
“เราต้องใช้เงินนี่จ๊ะ”
“งานเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
“ยังหรอกจ๊ะ อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องของพี่รวิจะเรียบร้อย”
“แต่ค่าทนายเราก็หักจากค่าเล่นหนังไปแล้วนี่ เดือนจะเอาเงินไปทำอะไรอีก”
เดือนถอนหายใจ หันมามองหน้าป้อม
“ร้านไงพี่ป้อม เดือนต้องทำให้ร้านพี่รวิกลับมาเปิดใหม่ให้ได้”
เดือนสายตาเหม่อมองออกไป
อีกด้านหนึ่ง รวิเดินซึมๆ มาตามทาง ผู้คนชี้มือมาที่รวิแล้วจับกลุ่มนินทา ส่งสายตามองอย่างรังเกียจ รวิดินมาหยุดยืนหน้าร้านของตัวเอง จ้องมองที่หน้าร้าน สีหน้าเศร้า เขาถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจไขกุญแจจะเปิดประตูเข้าไปแต่ประตูไม่ได้ล็อก รวิทำหน้าแปลกใจรีบดึงกุญแจออกแล้วเปิดประตูเข้าไป
รวิเปิดประตูเดินเข้ามาในร้านอย่างเร็ว ภายในร้านมีสภาพข้าวของกระจัดกระจาย โต๊ะ เก้า อี้ถูกรื้อพังระเนระนาด เครื่องดนตรีบางชิ้นกองอยู่ที่พื้นพังเสียหาย รวิมีสีหน้าตกใจ
“อ้าว นึกว่าใคร อดีตเสี่ยเจ้าของร้านนี่เอง”
รวิหันขวับไปตามเสียง จึงเห็นพิมุกยืนอยู่กับเตี้ยและบ่างมองมาด้วยสายตาดูถูก
“ไอ้พิมุก ฝีมือแกใช่มั้ย”
พิมุกทำหน้ายียวน
“จุ๊ๆ อย่ากล่าวหากันอย่างนั้นสิเสี่ยรวิ”
“อย่ามาทำไก๋ เรื่องชั่วๆ แบบนี้ถ้าไม่ใช่ฝีมือแก แล้วจะเป็นฝีมือใคร”
“อ้าวๆ มากล่าวหาพี่พิของข้าแบบนี้ได้ไง”
“ใช่ๆ เอ็งรู้มั๊ยพี่พิของข้าทำชั่วไม่เคยให้ใครรู้”
เตี้ยกับบ่างเดินอาด วางท่าจะเข้าไปหารวิ แต่พิมุกแกล้งเรียกไว้
“เฮ้ย อย่า ไอ้เตี้ยไอ้บ่าง ทำท่าแบบนั้นเดี๋ยวเสี่ยเค้าก็ไม่รับเข้าทำงานหรอก”
เตี้ยกับบ่างแกล้งทำล้อเลียน เดินเข้าไปใกล้รวิ
“อุ๊ย หนูขอโทษค่ะเสี่ยขา”
“รับหนูไว้ทำงานด้วยคนเถอะนะฮ๊า”
เตี้ยกับบ่างหัวเราะชอบใจเลยไม่ทันระวังตัว ถูกรวิยันโครมจนกระเด็นออกมาทั้งคู่ รวิเดินปราดเข้ามา จะมาหาพิมุกแต่พิมุกรีบพูดกันท่าก่อน
“อ๊ะๆ จะดีเหรอเสี่ย คดีเก่ายังไม่เรียบร้อยจะเอาอีกคดีเหรอจ๊ะ”
รวิชะงักไป ได้แต่ชี้หน้าด้วยความโกรธ
“แกมาพังร้านชั้นทำไม”
“ชั้นน่ะมันเป็นคนดี ได้ข่าวมาว่าที่นี่มันเป็นซ่อง ก็เลยคิดว่าน่าจะช่วยเจ้าหน้าที่เค้ากำจัดซะ” รวิกำหมัดแน่นพยายามสะกดอารมณ์ “ว่าแต่แกเหอะ เล่นดนตรีอย่างเดียวไม่พอเลยต้องผันตัวมาเป็นพ่อเล้าสินะ ได้เยอะมั้ยล่ะฮ่าๆ”
พิมุกมองรวิด้วยสายตาเหยียดๆ ก่อนจะยิ้มเยาะแล้วพากันเดินหนีไป รวิกำหมัดแน่นจนสั่น ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง ตัวสั่นทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ
อีกด้านหนึ่งที่ค่ายเพลง แก้วนั่งทำหน้าหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดอยู่
“โอ๊ย เจ็บใจๆ”
ศิริพรเดินเข้ามาแอบมองอย่างสมเพช
“ก็อย่างนี้ละน้า ที่ไหนที่นังเดือนอยู่ เธอก็อย่าหวังจะมีโอกาสได้เกิดเลย”
“ไอ้ชูเกียรติมันเห็นแก่เงิน”
“ชั้นว่านังเดือนมันจงใจตัดราคา เพราะมันอยากแกล้งเธอ”
แก้วหันมามองหน้าศิริพร
“แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเริ่มกำจัดนังเดือนซักที เห็นดีแต่จิกแต่กัด ไม่เห็นจะทำอะไรจริงๆ จังๆ ซักที หรือว่าดีแต่ปาก”
“ก็ใกล้แล้วล่ะ” ศิริพรทำไม่สนใจ
“คอยดูนะ ถ้ามันมาแย่งอะไรของชั้นอีก คราวนี้ชั้นจะฆ่ามันด้วยมือของชั้นเองเลย”
ศิริพรแอบยิ้มออกมา
“แหม น้ำหน้าอย่างเธอเนี่ยนะจะกล้าเหรอ”
แก้วหันขวับมาจ้องหน้าศิริพร
“ทำไมชั้นจะไม่กล้า ก็คอยดูสิ ว่าชั้นจะทำจริงมั้ย”
“ใจเย็นๆ ก็ได้ แค่เรื่องงานเอง ไม่ต้องถึงกับฆ่ากับแกงกันหรอก”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องงาน ทุกอย่างเลย โดยเฉพาะ”
“เรื่องพิมุกสินะ” ศิริพรยิ้มอย่างรู้ทัน
“ใช่ พี่พิมุก ถ้ามันยังมายุ่งกับพี่พิมุกของชั้นอีก ชั้นไม่ปล่อยมันจริงๆ แน่”
“เยอะนะ คนของแกเนี่ย”
ศิริพรลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป แต่แอบปรายตามามองแก้ว แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินออกไป
รวิยังอยู่ที่ร้าน ทยอยเก็บของที่ยังพอใช้ได้ขึ้นมาใส่กล่อง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
“ว่าแล้วแกต้องมาที่นี่ เฮ้ย อะไรกันวะ ทำไมเป็นแบบนี้” ขำเดินเข้ามา มองสำรวจภายในร้านแล้วต้องตกใจ “เกิดอะไรขึ้นรวิ”
“ฝีมือไอ้พิมุกน่ะ”
“หา! มันอีกแล้วเหรอ” รวิพยักหน้ารับ “หนอยไอ้นี่ ปล่อยไม่ได้แล้ว”
ขำเดินอาดๆ จะออกไปแต่รวิตะโกนเรียกไว้
“อย่าเพิ่งเพิ่มคดี ไอ้ขำ”
ขำชะงักหันกลับมา
“แต่มันทำกับเรานะเว้ย”
“ช่างเหอะ ยังไงร้านมันก็ต้องปิดลงอยู่แล้ว”
“พูดอะไรอย่างนั้น เดี๋ยวพอเรื่องจบเราก็เปิดใหม่ได้นี่” รวิส่ายหน้า
“คงไม่มีใครกล้ามาแล้วล่ะ อีกอย่าง ชั้นก็ไม่มีเงินแล้วด้วย”
“แต่เดี๋ยวพวกเดือน”
“อย่าไปยุ่งกับเดือนอีกเป็นอันขาด”
ขำจ้องหน้ารวิอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า เมื่อวานแกไปหาเดือนมาใช่มั้ย”
รวิเดินเก็บของต่อ แล้วพูดอย่างไม่สนใจ
“ต่างคนต่างอยู่เหอะขำ อย่าดึงเค้ามาเดือดร้อนกับเราเลย”
ขำอึ้งไป มองหน้ากับรวิอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจพยักหน้ารับ
“เข้าใจละ”
ขำเดินไปตบไหล่รวิอย่างเข้าใจ แล้วลงมือช่วยกันเก็บของต่อ
เวลาผ่านไป เดือนทำงานอย่างหนักทั้งถ่ายหนัง/ถ่ายโฆษณา/ออกงานอีเวนท์ โชว์ตัว/ เธอมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่พยายามฝืนยิ้ม
ชูเกียรติยิ้มร่ายื่นเช็คให้เดือน เธอรับมาดูแล้วก็ถอนหายใจพยายามอดทน ป้อมได้แต่มองอย่างสงสารและเจ็บใจ
เดือนทิ้งตัวนั่งลงอย่างอ่อนเพลีย มือกุมหน้าผาก ป้อมเดินถือแก้วน้ำกับยาเข้ามายื่นให้
“พี่บอกให้วันนี้หยุด ก็ดื้อจริงๆ นะเรา”
เดือนรับยามาใส่ปากแล้วดื่มน้ำตาม ก่อนจะบอกป้อม
“ไม่ได้หรอก จะให้ทั้งกองเค้ามาเสียงานเพราะเดือนไม่ได้หรอก”
“แล้วไอ้งานน่ะ จะรับอะไรเยอะแยะนักหนา รับมาแล้วก็ใช่ว่าจะได้เงินเยอะซักเท่าไหร่ โดนอมเรียบ หึ”
เดือนไม่พูดอะไร จัดแจงหยิบกระเป๋าออกมาหยิบเช็คออกมาแล้วส่งให้ป้อม
“พี่ป้อมช่วยจัดการให้หน่อย โอนฝากคุณเทพเหมือนเดิมนะ”
“โธ่เดือน รวิมันจะรู้มั้ยเนี่ย ว่าเดือนทำเพื่อมันขนาดนี้” เดือนส่ายหน้า
“ที่พี่รวิทำเพื่อชั้น มันมากกว่านี้อีกจ๊ะ”
“พี่ว่าเดือนกับรวิต้องคุยกันให้รู้เรื่องนะ”
“อย่าเลยจ๊ะ ชั้นทำให้พี่เค้าเดือดร้อนมามากพอแล้ว พี่ป้อมรีบไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวไม่ทันต้องเป็นพรุ่งนี้อีก อ้อ เสร็จแล้วเดี๋ยวไปเจอกันที่บ้านเลยก็ได้นะจ๊ะ วันนี้ชั้นมีถ่ายถึงบ่ายแค่นั้น”
ป้อมถอนหายใจ ลุกขึ้นสะพายกระเป๋า
“เอางั้นก็ได้”
เดือนยิ้มพยักหน้ารับ มองตามป้อมที่เดินออกไป ก่อนจะนั่งพิงมือกุมหัวเหมือนเดิม
เย็นวันนั้นที่ค่ายเพลง ศิริพรยืนคุยโทรศัพท์อยู่
“ตกลงตามนั้นนะ ได้ ตอนนี้ชั้นออกมาอยู่ของชั้นเองแล้ว เธอไปหาแก้วได้ตามสบายเลย เป็นกำลังใจให้เค้าก่อนขึ้นคอนเสิร์ตไง” ศิริพรปรายตาไปด้านหลังเห็นแก้วนั่งชะเง้อชะแง้มองมาอย่างสนใจ “ก็ตามนั้นนะ ตามเวลาที่บอก ได้เดี๋ยวจะบอกแก้วให้”
ศิริพรแกล้งหันกลับมาพยักหน้ากับแก้วที่ยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะหันกลับมาคุยต่อ
ที่หน้าจอโทรศัพท์ศิริพร เป็นหน้าจอปกติไม่ได้โทรออกอะไร ศิริพรยิ้มมุมปากก่อนจะแกล้งยกหูขึ้นคุยต่อ
“โอเค งั้นแค่นี้ล่ะ”
ศิริพรแกล้งทำเป็นกดวางสายแล้วหันกลับมาเดินมาหาแก้ว
“เรียบร้อยใช่มั้ย”
“ก็ได้ยินแล้วนี่”
“หึ พี่พิมุก ทีแรกทำเป็นไม่สนใจ เป็นไงล่ะทีนี้รู้แล้วสิว่าใครกันแน่ที่คู่ควร” ศิริพรแอบเบะปาก มองอย่างสมเพช
“แล้วทำไมเค้าไม่คุยกับชั้นเองล่ะ”
“ก็ ก็เค้าคงเขินมั้ง ที่ทีแรกทำไม่สนใจเธอ”
แก้วทำท่าคิด ก่อนจะยิ้มออกมา
“ก็คงจะอย่างนั้นล่ะ”
แก้วมัวแต่ยิ้มร่าเลยไม่ทันได้สังเกตว่าศิริพรแอบหัวเราะอยู่
ที่บ้านรวิ เทพยื่นซองเงินส่งให้รวิ
“อีกแล้วหรือครับ” เทพเดินมานั่งข้างรวิแล้วพยักหน้ารับ นภากาศกับขำนั่งอยู่ข้างๆ “ผมรับไม่ได้หรอกครับ นี่มันมากเกินไปแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องผมรับเงินมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว”
เทพดึงมือรวิมาแล้วยัดใส่มือ
“เอาไปเหอะ ไม่งั้นจะเอาอะไรใช้เอาอะไรกิน”
“แต่”
“รับๆ ไปซะ ไม่งั้นคนให้เค้าจะเสียใจนะ”
รวิทำหน้าแปลกใจ
“คนให้”
เทพรู้ตัวรีบพูดกลบเกลื่อน
“เอ่อ ชั้นหมายถึง หมายถึง นภาน่ะ นภาเค้าก็ให้มาด้วย เดี๋ยวเค้าจะเสียใจเอา ใช่มั้ยจ๊ะนภา”
นภากาศอ้ำๆ อึ้งๆ พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ
“โถ ใจงามทั้งผัวทั้งเมีย”
“ไอ้ขำ”
นภากาศหันมาจ้องขำตาเขียว ส่วนเทพยิ้มกว้างทันที
“เค้าล้อเล่นน่ะ เอางี้ ไม่มีอะไรจะให้ เค้าขอตอบแทนด้วยเรือนร่างแล้วกัน”
ขำยืนขึ้นทำท่าเซ็กซี่ใส่เทพ ที่รีบเบือนหน้าหนี รวิมีสีหน้าไม่สบายใจ ก้มลงมองซองเงินในมือตัวเอง สีหน้าครุ่นคิด
ส่วนที่กองถ่าย ทุกคนเตรียมตัวจะถ่ายอยู่ ทวีศักดิ์นั่งยิ้มมองเดือนซ้อมคิวกับผู้กำกับอยู่ สายสมรเดินมายืนข้างๆ สีหน้าไม่พอใจ
“เราไปกันได้แล้ว”
ทวีศักดิ์หันมามองอย่างไม่พอใจ
“ไปไหน”
“ก็งานเลี้ยงของหุ้นส่วนไง นี่อย่าบอกนะว่าลืม”
“คุณไปก็แล้วกัน ผมอยากดูถ่ายฉากนี้ก่อน”
“ไม่ได้ งานนี้หุ้นส่วนทุกคนเค้าไปกันหมด คุณจะมาเบี้ยวอยู่คนเดียวได้ยังไง”
ทวีศักดิ์ถอนหายใจ ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ เดินตรงไปยังเดือนที่อยู่กับผู้กำกับและนักแสดงคนอื่น
“เดี๋ยวพอเดือนเดินมาตรงจุดนี้ นางร้ายก็บึ่งรถมาเลยนะ จอดตรงเส้นนะอย่าให้เลยล่ะ”
อ่านต่อหน้า 3
หางเครื่อง ตอนที่ 18 (ต่อ)
สายสมรเดินตามมาประกบทวีศักดิ์ เชิดหน้าใส่เดือน
“เดี๋ยววันนี้ผมกลับก่อนนะเดือน พอดีมีงานเลี้ยงน่ะ” ทวีศักดิ์บอก เดือนยกมือขึ้นไหว้ ทวีศักดิ์รับไหว้ยิ้มอย่างพอใจ แล้วหันไปสั่งผู้กำกับ “ฉากนี้อันตราย คุณดูแลให้ดีด้วยล่ะ”
ผู้กำกับพยักหน้ารับ ทวีศักดิ์ยิ้มให้เดือนแล้วเดินไป สายสมรหันมาจ้องหน้าเดือน เธอรีบก้มหน้าหลบสายตา
สายสมรส่งสายตาเลยไปให้นางร้าย ที่พยักหน้ารู้กัน ก่อนจะเดินตามทวีศักดิ์ไป ผู้กำกับหันมาสั่งทุกคน
“เดี๋ยวลองมาซ้อมกันหน่อยนะ อย่าลืมนะ ให้ตรงเส้นอย่าให้เลย” นางร้ายเดินขึ้นรถไป เดือนไปยืนประจำที่ “โอเค เดือนเดินมาหยุดตรงตำแหน่งทำหน้าตกใจด้วยนะ” เดือนพยักหน้ารับ เริ่มเดินมากำลังจะหยุด นางร้ายขับรถมาด้วยความเร็ว “เฮ้ย ระวังๆ หยุดๆ อย่าให้เลยๆ”
ผู้กำกับตะโกนบอก เดือนมีสีหน้าตกใจสุดขีด
ทวีศักดิ์ที่กำลังเดินออกไปกับสายสมรได้ยินเสียงเบรกรถ พร้อมกับเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้น ทวีศักดิ์หันขวับกับไปทันที
“เดือน”
ทวีศักดิ์รีบวิ่งกลับเข้าไป สายสมรยิ้มออกมาอย่างสะใจ
รวินั่งเช็ดแซ็กโซโฟนอยู่ในบ้าน ขณะที่ขำนั่งดูทีวีอยู่
“ดูอะไรไอ้ขำ”
“ดูข่าว ดูละคร ดูไปเรื่อย”
รวิส่ายหน้าก้มหน้าก้มตาเช็ดแซ็กโซโฟนต่อ
“ชั้นว่าจะไปสมัครเล่นลิเกคณะอื่น ดีมั้ยวะไอ้ขำ”
“ไปเป็นลูกไล่เขานะเหรอ คนเคยเป็นพระเอก เคยเป็นเจ้าของคณะ”
“ไม่มีอะไรที่คนเราทนไม่ได้หรอกขำ”
“มี๊ ทำไมจะไม่มี ไอ้จุดแตกหักที่คนเราทนไม่ได้น่ะ อย่ามาทำพูดเก๋เลย”
รวิหัวเราะออกมา ก่อนจะมองเลยไปที่ทีวี ในทีวีผู้สื่อข่าวกำลังรายงานข่าวอยู่
“ค่ะ ช่วงข่าวบันเทิงวันนี้ มีรายงานด่วนแจ้งเข้ามานะคะ ว่าเกิดการผิดคิวในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีดาราสาวหน้าใหม่เป็นนางเอกค่ะ”
รวิชะงัก ลุกขึ้นมาดูใกล้ๆ ทันที
ภาพข่าวในทีวีเห็นเดือนที่นอนอยู่บนเตียงกำลังถูกเข็นเข้าห้องในโรงพยาบาล
“เกิดการผิดคิวในกองถ่าย ทำให้น้องเดือน งามพร้อมอดีตนักร้องที่ผันตัวไปเป็นนักแสดงได้รับบาดเจ็บ...ผู้สื่อข่าวของเรารายงานว่าในฉากที่น้องเดือนต้องโดนรถชน ทางด้านนักแสดงอีกคนเกิดพลาดขับรถไปเฉี่ยวน้องเดือนเข้าจริงๆ ซึ่งอาการเป็นยังไงเราจะรายงานให้ทราบกันอีกทีค่ะ”
รวิหน้าเสียทันทีหันมามองหน้ากันกับขำที่รีบลุกพรวดขึ้น วิ่งไปคว้ากระเป๋าทันที
“ไปรวิ เร็ว” รวิยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะทำยังไงดี ขำชะงักหันกลับมามอง “เฮ้ย รวิ ทำอะไรอยู่ เร็วๆ”
รวิอึกอักอยู่ครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินตามขำออกไป
ที่โรงพยาบาล ป้อมวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา มองหาชื่อเดือนที่หน้าห้อง สายสมรเปิดประตูเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้อง พอเห็นหน้าป้อมก็เบะปากสะบัดหน้าใส่แล้วเดินหนีไป ป้อมรีบเดินไปดูที่หน้าห้องก่อนจะผลักประตูเข้าไปอย่างเร็ว
ภายในห้องเดือนนั่งพิงอยู่ที่เตียง มีผ้าพันแขนอยู่ ป้อมรีบถลาเข้ามาทันที
“โธ่ถังกะละมังบุบ เดือนของพี่”
ป้อมถลากระแซะเบียดทวีศักดิ์เข้ามาลูบหัวเดือน สำรวจว่าเป็นอะไรมากมั้ย
“เดือนไม่ได้เป็นอะไรพี่ป้อม แค่เจ็บแขนแล้วก็ช้ำนิดช้ำหน่อยแค่นั้นเอง”
“แค่นั้นยังบอกไม่เป็นอะไรอีกเหรอ”
ป้อมหันขวับมาจ้องหน้าทวีศักดิ์ทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นยะ”
“ไม่มีอะไรหรอกผิดคิวนิดหน่อยเอง” เดือนรีบบอก
“นิดหน่อยอะไรเดือน รถเฉี่ยวเลยนะ ไม่ใช่จักรยานล้ม”
ทวีศักดิ์ถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงนะ ผมสั่งเปลี่ยนตัวแสดงแล้ว แล้วก็เตือนผู้กำกับไปแล้วด้วย”
เดือนทำหน้าตกใจ
“อย่านะคะ พี่คนนั้นเค้าอุตส่าห์ถ่ายมาตั้งหลายฉากแล้ว ให้เค้าเล่นต่อเถอะค่ะ”
“แต่ดูเหมือนเค้าจงใจแกล้งเดือนนะ” ทวีศักดิ์บอก
ป้อมหันมามองค้อนทวีศักดิ์
“หึ จะเปลี่ยนนักแสดงเหรอ เปลี่ยนเมียดีกว่ามั้ย” เดือนตีแขนป้อม ห้ามไม่ให้พูด “เรื่องจริงนี่เดือน ไอ้ที่โดนๆเนี่ย มีเบื้องหลังหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ทวีศักดิ์หน้าเสีย ไม่รู้จะพูดยังไง
“วันนี้ผมกลับก่อนดีกว่า เดือนจะได้พักผ่อน”
เดือนยกมือขึ้นไหว้ทวีศักดิ์ เขารับไหว้หน้าเจื่อนๆ แล้วเดินออกไป ป้อมหันมาจ้องหน้าเดือน
“พี่จะโทรบอกรวิกับพวกไอ้ขำ”
ป้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่เดือนคว้ามือป้อมไว้แล้วส่ายหน้า ป้อมกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ แต่ก็จำใจเก็บโทรศัพท์ลงใส่กระเป๋า แล้วเดินไปนั่งหน้างอ เดือนยกแขนข้างที่พันผ้าขึ้นมาดู แล้วได้แต่ถอนใจอย่างเซ็งๆ
คืนนั้นที่บ้านพิมุก พิมุกเดินลงจากบ้านตรงไปที่รถ เตี้ยกับบ่างวิ่งตามมา
“พี่ จะไปไหนจ๊ะ”
“ข้าจะไปหาน้องเดือน เอ็งไม่เห็นข่าวเหรอวะ”
“ชั้นว่าไปพรุ่งนี้ดีกว่า อย่าไปวันนี้เลย”
พิมุกชะงักมองหน้าบ่าง
“อะไรของเอ็งวะ ข้าจะไปตอนนี้เอ็งจะทำไม”
บ่างทำหน้าอึกอัก
“ไม่รู้สิจ๊ะ ชั้นรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ”
“สังหรณ์ สังเห่าบ้าอะไรของเอ็ง”
เตี้ยเอามือขึ้นจุ๊ปาก ให้ทุกคนเงียบๆ
“ได้ยินมั้ยๆ”
“ได้ยินอะไรของเอ็งอีก”
“จิ้งจกทักน่ะพี่”
พิมุกส่ายหน้า รำคาญทั้งคู่
“เอ็งสองคนนี่นับวันจะบ้าใหญ่แล้ว ข้าไปละ ยิ่งรีบๆ อยู่” พิมุกเปิดประตูกำลังจะก้าวขึ้นรถ แต่จู่ๆ ก็ชะงักแล้วหันมาบอกเตี้ยกับบ่าง ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าดูอ่อนลง “ดูแลบ้านให้ดีด้วยนะ”
เตี้ยกับบ่างหันมามองหน้ากันแปลกใจ พิมุกขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป เตี้ยกับบ่างยืนมองตามด้วยความเป็นห่วง
รวิ นภากาศ ขำ ยืนอยู่หน้าบ้านเทพ ท่าทางกระวนกระวาย เทพขับรถเข้ามาที่หน้าบ้าน เปิดประตูแล้วลงมา
“โทษที รถเพิ่งซ่อมเสร็จ ไปลากมาสดๆ ร้อนๆ เลย”
“เอ้า งั้นก็ไปกันได้แล้ว”
ทุกคนเปิดประตูรถอย่างเร่งรีบแล้วเดินเข้าไปนั่ง รวิยืนลังเลอยู่ ไม่ขึ้นรถซักที ขำที่อยู่ในรถ ชะโงกหน้าออกมา
“เอ้า รวิ เร็วๆ สิ”
นภากาศเปิดกระจกแล้วหันมาถามรวิ
“เธอเป็นอะไรของเธอเนี่ย”
รวิยืนลังเล ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
“ชั้นว่าชั้นไม่ไปดีกว่าจ๊ะ”
ทุกคนอึ้งไป หันมาถามรวิ
“เฮ้ย แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
“มีอะไรหรือเปล่ารวิ”
“ชั้นรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะจ๊ะ”
นภากาศเปิดประตูลงมาจากรถ ตรงมาเปิดประตูด้านหลัง
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
“แต่”
นภากาศไม่ฟังเสียงจัดแจงผลักรวิเข้าไปนั่งในรถแล้วปิดประตูดังปัง ก่อนจะเดินมาขึ้นรถข้างหน้าแล้วสั่งเทพ
“ออกรถ” เทพกำลังงงหันมามองหน้านภากาศ “เอ้า ออกรถสิ”
“คะ ครับ ครับๆ”
เทพสตาร์ทรถทันที
“มีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง ชั้นไม่รู้เธอมีปัญหาอะไรกับเดือนหรอกนะ แต่จำไว้นะรวิอย่าคิดเอาเองแล้วก็อย่าคิดแทนคนอื่น”
รวิอึ้งไปไม่พูดอะไร รถของเทพแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงพยาบาล เดือนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้า มองไปรอบๆ ทำหน้าแปลกใจ แล้วค่อยๆ ดันตัวเองขึ้น
“คุณเทพ พี่นภา”
นภากาศกับเทพยืนอยู่ข้างเตียง มองเดือนอย่างเป็นห่วง ขำรีบถลาเข้ามาทันที
“เดือน ตื่นแล้วเหรอ”
เดือนยิ้ม กวาดสายตามองหารวิ
“แล้ว เอ่อ...”
นภากาศหันไปมองหน้าเทพ ก่อนรีบพูดแก้ตัว
“รวิเค้ายุ่งๆ อยู่น่ะ เดี๋ยวคงตามมา”
เดือนพยักหน้ารับ สีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“แล้วเป็นไงมั่งล่ะเดือน”
“ไม่เท่าไหร่ค่ะคุณเทพ มีแต่แผลเล็กๆ น้อยๆ เอ่อ คุณเทพคะ เดือนมีอีกเรื่องจะรบกวน”
“ได้เลยจ้ะ”
เดือนยิ้มรับ หันไปบอกป้อม
“พี่ป้อมจ๊ะ เดือนขอกระเป๋าเดือนหน่อยจ้ะ” ป้อมเดินกุลีกุจอมาหยิบให้ เดือนรับกระเป๋าไปค้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบนามบัตรใบหนึ่งส่งให้เทพ “นี่นามบัตรของทนายค่ะ เดือนคุยคร่าวๆ ไว้แล้ว ถ้าไงให้พี่รวิเค้าลองไปคุยอีกทีนะจ๊ะ”
“กับคนรักนี่เธอทำทุกอย่างจริงๆ เลยนะ” นภากาศพูดขึ้นลอยๆ
เดือนก้มหน้าไม่พูดอะไร
“ก็เหมือนลุงกับป้านั่นแหล่ะ แหม คอยเป็นห่วงเป็นใย พี่เทพอย่างโน้น นภาอย่างนี้ ชิ” ขำบอก
นภากาศหน้าแดงแกล้งโวยวายใส่ขำ
“พูดอะไรของแกไอ้ขำ”
ขำทำหน้าล้อเลียนไม่สนใจ คนอื่นๆ พลอยยิ้มตามไปด้วย เทพเดินกล้าๆ กลัวๆ เข้ามาหานภากาศ สีหน้าจริงจัง
“นภา เอาจริงๆ เลยนะ ถึงตอนนี้นภาคิดยังไงกับพี่กันแน่ รู้สึกเหมือนที่พี่รู้สึกมั้ย”
ขำกับคนอื่นๆ เป่าปากส่งเสียงแซว นภากาศหน้าแดงก่ำ ทำหน้าไม่ถูก
“แล้วมาถามอะไรตรงนี้เล่าอีตาบ้า”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย จะอายทำไมคนเยอะแยะ”
นภากาศตีแขนเทพดังเพี๊ยะ ก่อนจะหันไปมองคนอื่นเห็นอมยิ้มกันอยู่
“รับๆ ไปเหอะ เตี้ย สั้น ขยันทำงานแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะยะ” ป้อมแซว
“นี่เจ๊ชมชั้นใช่มั้ยเนี่ย”
เทพหันไปถามป้อม แล้วหันกลับมาจ้องหน้านภากาศ เธอเหลือบไปสบตาเทพ แล้วรีบหลบสายตา หันกลับมาหน้าแดงก่ำ
ส่วนที่ค่ายเพลง แก้วยืนให้คอสตูมปรับแก้ชุดอยู่
“บอกว่าตรงหน้าอกให้ผ่าให้ลึกลงไปกว่านี้ไง แล้วตรงเอวก็เอาเข้าอีก แค่นี้ไม่มีปัญญาทำเหรอ”
“แต่นี่ก็ลึกมากแล้วนะคะ ถ้าลึกกว่านี้ พี่ว่าน้องแก้วเอาสติ๊กเกอร์ปิดอย่างเดียวเลยดีกว่าค่ะ”
แก้วชี้หน้าด้วยความโกรธ
“นี่ นี่แกหลอกด่าชั้นเหรอ จะไปไหนก็รีบไปเลยนะ ไป” ทีมงานส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเดินออกไป พิมุกเปิดประตูเดินเข้ามาอย่างเร็ว สายตากวาดมองไปทั่วห้อง “พี่พิมุก มาได้ไงจ๊ะเนี่ย”
แก้วร้องอย่างตื่นเต้นดีใจก่อนจะตรงเข้าไปเกาะแขนพิมุกแน่น พิมุกปรายตามามองแล้วผลักออกทันที
“ศิริพรอยู่ไหน” พิมุกถามเสียงดัง
“ศิริพร พี่จะหาศิริพรทำไมน่ะ”
“ไม่รู้ซักเรื่องจะตายมั้ย”
แก้วทำหน้าไม่พอใจจ้องหน้าพิมุก ศิริพรเดินถือชุดเข้ามา พอเห็นหน้าพิมุกก็ทำเป็นเชิดมองเหยียดๆ
“มาได้ยังไงล่ะเนี่ย”
พิมุกปรี่เข้ามาหาศิริพรทันที
“เรื่องเมื่อคืนเป็นฝีมือเธอด้วยหรือเปล่า”
ศิริพรทำหน้าใสซื่อ ถามอย่างสงสัย
“เธอหมายถึงเรื่องอะไร”
“อย่ามาตีเนียน เธอมีส่วนด้วยใช่มั้ยเรื่องที่เดือนต้องเข้าโรงพยาบาล”
ศิริพรลอยหน้าลอยตาพูด
“นึกว่าเรื่องอะไร แล้วถ้าชั้นบอกว่าชั้นไม่รู้เรื่องล่ะ”
“ชั้นไม่เชื่อ เธอทำเกินไปแล้วนะ ไอ้ที่เราตกลงกันไว้น่ะ แค่ให้กำจัดไอ้รวิ ไม่ใช่เดือน”
แก้วเดินสะบัดเข้ามาทันที
“ตกลงเรื่องอะไรกัน”
พิมุกหันมามองแก้วอย่างรำคาญ
“ตอนเด็กๆ แม่เธอเค้าป้อนเผือกแทนข้าวหรือไง ถึงได้สอดรู้เรื่องคนอื่นนักน่ะ” แก้วหน้าเสีย อ้าปากจะกรี๊ดออกมา “ก็ได้ อยากรู้มากใช่มั้ย ชั้นก็แค่ช่วยกันกำจัดไอ้รวิ แล้วหลังจากนั้น ชั้นก็จะแต่งงานกับเดือน รับเดือนมาเป็นเมียอย่างเปิดเผย พอใจหรือยัง” แก้วตาโตอ้าปากค้าง พิมุกหันไปชี้หน้าศิริพร “เดี๋ยวชั้นจะไปเยี่ยมเดือน ถ้าเกิดเดือนเป็นอะไรมาก เธอกับชั้นเจอกันแน่ ศิริพร”
พิมุกพูดจบก็หันหลังกลับจะเดินออกไป แต่แก้วเข้าไปกอดแน่น
“พี่พิมุกพูดเล่นใช่มั้ย พี่จะไม่แต่งงานกับนังเดือนใช่มั้ย” พิมุกพยายามแกะแขนแก้วออก แต่แก้วไม่ยอมปล่อย
“ชั้นรักพี่นะ ชั้นไม่ยอมเสียพี่ให้กับนังเดือนหรอก นังเดือนมันเลว มันคอยจะแย่งพี่ไปจากชั้น นังร่าน”
พิมุกมีสีหน้าโกรธจัดขึ้นมาทันที ดึงตัวแก้วออกมาแล้วตบด้วยหลังมือจนแก้วล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น
“ถ้าแกยังกล้าว่าเดือนอีก แกจะไม่โดนแค่นี้ จำไว้”
พิมุกพูดจบ ก็หันไปเหลือบตามองศิริพรที่แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเดินออกไป แก้วที่นั่งอยู่ ปากแตกเลือดไหล ลุกขึ้นยืนหันมาโวยใส่ศิริพร
“ไหนเธอว่าพี่พิมุกเค้าหันมาชอบชั้นแล้วไง”
“ไม่ใช่เวลาจะมาว่าชั้นนะ ต้องโทษนังเดือนโน่น นี่มันคงรู้ว่าพิมุกจะกลับมาหาเธอ ก็เลยวางแผนจะแย่งคืนไป”
ศิริพรเดินเข้ามาใกล้แก้ว แล้วพูดต่อ “จะปล่อยไปแบบนี้เหรอ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้มันรู้ว่าเธอเอาจริง”
แก้วโกรธจนหน้ามืด กำหมัดแน่น ตัดสินใจเดินไปคว้ากระเป๋าแล้วเดินตามพิมุกออกไป ศิริพรหัวเราะสะใจแล้วเดินตามแก้วออกไป
พิมุกยืนรอลิฟต์อยู่ในโรงพยาบาล ลิฟต์ตัวข้างๆ เปิดออก พิมุกเลยเดินไปเข้าแทน จังหวะเดียวกับลิฟต์ตัวแรกที่รออยู่เปิดออก พร้อมกับพวกเทพที่เดินออกมา แล้วพากันเดินออกไป
แก้ววิ่งเข้ามา กดลิฟต์รัวๆ อย่างหัวเสีย
รวิยืนรออยู่ที่รถอย่างกระวนกระวาย คอยชะเง้อดูทางออกจนกระทั่งเห็นขำกับป้อมเดินหัวเราะพูดคุยกันออกมา รวิรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“เดือนเป็นยังไงบ้าง”
“อ้าว รวิ แล้วทำไมไม่ขึ้นไปหาเดือน” รวิหลบสายตา ไม่กล้าสบตากับป้อม “อะไรของแกนักหนารวิ เดือนเค้าคิดมากแค่ไหนแกรู้มั้ย”
รวิก้มหน้านิ่งไม่เถียงอะไร
“อย่าไปว่ามันเลยพี่ป้อม รวิมันก็มีเหตุผลของมันน่ะ”
ป้อมมองรวิแล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจ
นภากาศเดินออกมา มีเทพตามออกมาวิ่งไปวิ่งมาข้างๆ เธอ
“ว่าไงนภา ตกลงรู้สึกยังไง”
ทั้งคู่พากันเดินมาจนถึงที่พวกรวิยืนอยู่
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”
“คนแก่เค้าขอความรักกันน่ะ” นภากาศเอากระเป๋าฟาดไหล่ขำ ขำรีบถอยหนีไปอยู่หลังป้อม “อู๊ย ก็มันจริงป่ะล่ะ เค้าพูดความจริงนะตัวเอง”
นภากาศมองค้อนขวับ ยืนนิ่งไม่พูดอะไร
“บอกพี่หน่อยเถอะนะนภา ตอนนี้รู้สึกกับพี่แบบไหนแล้ว”
นภากาศหน้าแดงก่ำไม่พูดอะไร ได้แต่หลบสายตา
“เฮ้อ จริงๆ ชั้นก็หมั่นไส้แกอยู่หรอกนะนภา แต่ถ้าแกจะได้คนดีชั้นก็จะดีใจด้วย” ป้อมบอก
“นั่นสิครับพี่นภา ถ้าพี่นภากับคุณเทพ เอ่อ จะคบกัน พวกผมก็ดีใจด้วยจริงๆ นะครับ”
“พูดอะไรน่ะรวิ บ้า”
นภากาศพยายามหลบสายตา แต่ก็อดเหลือบไปมองเทพไม่ได้ เทพเดินมาจับมือนภากาศขึ้นมากุมไว้ เธอทำท่าจะดึงออกเพราะเขินแต่เทพดึงไว้ นภากาศหันไปมองคนอื่นๆ แต่ทุกคนพากันแกล้งหันหนี
“ให้พี่เป็นคนดูแลชีวิตนภาได้มั้ย”
นภาเงยหน้าไปสบตากับเทพ อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ มองเทพด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“ชั้น ชั้น”
รวิ ป้อม ขำ รีบถอยเข้ามาตีเนียนชะโงกหน้าอยากรู้อยากเห็น เสียงโทรศัพท์ขำดังขึ้น นภากาศสะดุ้งรู้ตัว
“โถ ไอ้ขำ คนกำลังลุ้น” ป้อมต่อว่า ขำรีบรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล โธ่เดือน กำลังฟิน เปล่าๆ โอเคๆ เดี๋ยวบอกให้” ขำกดวางสาย แล้วหันไปบอกทุกคน “เดือนโทรมาบอกว่า ป้าลืมโทรศัพท์ไว้แน่ะ”
นภากาศพยักหน้ารับ ยังดูเขินๆ อยู่
“งั้นเดี๋ยวชั้นขึ้นไปเอาโทรศัพท์ก่อนนะ” นภากาศจะเดินไป แต่เทพไม่ยอมปล่อยมือ ทำหน้าละห้อยใส่ “เดี๋ยวชั้นลงมาแล้วจะให้คำตอบ รอได้มั้ย”
เทพยิ้มกว้าง พยักหน้ารับ
“ได้สิ นานแค่ไหนก็จะรอ”
คนอื่นๆ พากันอมยิ้ม แซวกันใหญ่ เทพค่อยๆ ปล่อยมือนภากาศออก เธอเดินกลับเข้าไปแต่อยู่ๆ ก็หันกลับมามองเทพ แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยนอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เทพยิ้มหน้าบาน รวิ ป้อม ขำ เดินเข้ามาแซวล้อเลียน
เดือนเดินกะโผลกกะเผลกมาที่โต๊ะที่วางของ กำลังจะก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ของนภากาศ จังหวะนั้นพิมุกเปิดประตูเดินเข้ามา เดือนหันมาเห็นก็ตกใจ ถอยหลังหนี
“พี่พิมุก”
“เดือน เป็นยังไงบ้าง”
พิมุกเดินเข้ามาจะประคองเดือน แต่เธอปัดออก พยายามจะถอยหนี
“เดือนไม่เป็นอะไรแล้ว พี่มีธุระอะไร”
“พี่เป็นห่วงเดือน พอเห็นข่าวพี่ก็รีบมาเลยเนี่ย”
พิมุกเดินเข้ามาจับมือเดือน เธอรีบสะบัดออกอย่างแรงเลยพลาดล้มลง พิมุกรีบถลาเข้ามากอดไว้ทันที แก้วเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง เห็นพิมุกกำลังกอดเดือนอยู่พอดี แก้วหน้าแดงด้วยความโกรธจัด
“นังเดือน”
แก้วปรี่เข้าไปดึงเดือนออกมาจากพิมุก ก่อนจะตบจนเดือนเซไปกระแทกกับเตียงแล้ววิ่งเข้ามาบีบคอเดือนต่อ
เดือนมีสีหน้าตกใจ หน้าแดงหายใจไม่ออก
“สำออยนักใช่มั้ย เห็นว่าพี่พิมุกเค้าจะกลับมาหาชั้นแกก็เลยวางแผนยั่วเค้าสินะ” พิมุกวิ่งเข้ามาพยายามดึงแก้วออก แต่แก้วไม่สนใจ ยังคงบีบคอเดือนต่อจนเดือนท่าจะแย่ “คิดจะแย่งทุกอย่างของชั้นงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ ตายไปซะนังเดือน”
พิมุกตัดสินใจ จิกหัวแก้วลากออกมาอย่างแรงจนแก้วต้องปล่อยมือจากเดือน
“นังบ้า บ้านักมันต้องเจอแบบนี้”
พิมุกจิกหัวแก้วไว้ แล้วตบซ้ายตบขวาอย่างแรง ก่อนจะเหวี่ยงแก้วลงไปกองกับพื้น
นภากาศเดินยิ้มอย่างมีความสุขมาตามทาง จนเกือบจะถึงหน้าห้องเดือนจึงได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังออกมา เธอมีสีหน้าแปลกใจ หยุดชะงัก เสียงร้องของแก้วดังออกมา นภากาศตกใจ รีบวิ่งไปที่ห้องเดือน
ภายในห้องเดือน เดือนยืนเอามือกุมคอ ไอแค่กๆ พิมุกรีบเข้ามาประคอง แก้วมองพิมุกกับเดือนอย่างเจ็บใจ น้ำตาไหลออกมา ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาค้นแล้วหยิบปืนออกมา
“เดือน เป็นอะไรมั้ยเดือน”
“ถอยออกมาจากพี่พิมุกเดี๋ยวนี้นะนังเดือน”
พิมุกกับเดือนหันขวับมามอง แล้วก็ตาโตตกใจที่เห็นปืนในมือแก้ว
“จะทำอะไรของเธอน่ะแก้ว”
“ได้ยินมั้ยนังเดือน ถอยออกมาจากพี่พิมุกเดี๋ยวนี้” เดือนพยายามเขยิบตัวหนีออกห่างจากพิมุก “แล้วต่อไปนี้แกก็เลิกยุ่งกับพี่พิมุกอย่างเด็ดขาด ได้ยินมั้ยนังเดือน”
“บ้าไปแล้วเหรอไงแก้ว”
“รับปากสิ นังเดือน”
เดือนเอามือกุมคอ ยังเจ็บอยู่พยายามจะพูด
นภากาศเปิดประตูเข้ามา เห็นแก้วถือปืนอยู่ก็ตกใจ แก้วหันขวับไปมองเห็นนภากาศเข้ามาก็ตกใจ หันปืนชี้ไปทางนภากาศทันที
“แกจะทำอะไรของแก”
“ไม่ต้องสะเออะ ไปบอกน้องสาวแกโน่น ให้เลิกยุ่งกับผู้ชายของชั้น”
พิมุกเห็นแก้วเผลอก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปแย่งปืนกับแก้ว นภากาศรีบวิ่งมาประคองเดือน
“เอาปืนมานี่ แกบ้าไปแล้วใช่มั้ย นังแก้ว”
“ไม่ ปล่อยนะพี่พิมุก”
พิมุกกับแก้วพยายามยื้อยุดแย่งปืนกันอยู่ นภามีสีหน้าวิตกกังวล พยายามดูท่าทีของสองคนนั้น แล้วรีบประคองเดือนออกมา
“ไป เดือน”
นภากาศพยุงเดือนที่ยังเดินกะโผลกกะเผลก รีบพาออกมาจนเกือบจะถึงหน้าประตู เปรี้ยง!
เสียงปืนดังขึ้น ทุกคนหยุดชะงักทันที นภากาศหันมามองหน้าเดือนก่อนจะเอามือจับที่ท้องแล้วค่อยๆ ยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาดูมือเธอเต็มไปด้วยเลือด เดือนตาโตเพราะช็อก อ้าปากค้าง
“พี่นภา”
ร่างนภากาศค่อยๆ ทรุดลง พิมุกกับแก้วหันมามองอย่างตกใจ
อ่านต่อหน้า 4
หางเครื่อง ตอนที่ 18 (ต่อ)
เทพเดินไปเดินมาอยู่ที่ลานจอดรถ หน้าตายิ้มแย้มมีความสุข
“แหม ลุงมีความสุขจังนะ ป้าเค้ายังไม่เซย์เยสซะหน่อย ยิ้มซะหน้าบานเลย” ขำแซว
“ก็นะ คนมันมีความหวังนี่”
รวิมองเทพแล้วก็ยืนอมยิ้ม ขำกับป้อมส่ายหน้าอย่างหมั่นไส้
“เอ๊ะ ตรงนั้นเค้ามีอะไรกันน่ะ” ขำบอกเมื่อมองไปที่หน้าโรงพยาบาล จนทุกคนหันไปมองตาม
ที่หน้าโรงพยาบาล พยาบาลกับคนไข้อีกสองสามคนวิ่งวุ่นเหมือนบอกอะไรกันอยู่
“ชั้นว่าเราเดินเข้าไปถามกันดีกว่า”
ทุกคนพยักหน้ารับแล้วพากันเดินเข้าไปถาม
“โทษนะครับ มีอะไรกันหรือเปล่าครับเนี่ย”
คนไข้คนหนึ่งหันมาบอกกับพวกรวิ
“เห็นเค้าบอกชั้นบนมีเรื่องกัน มีเสียงปืนออกมาด้วยนะ ห้องของนักร้องที่ชื่อเดือนอะไรนั่นน่ะ”
รวิหน้าซีดตกใจ หันมามองคนอื่นที่ตกใจไม่แพ้กัน
“เดือน”
“นภา”
รวิกับเทพวิ่งนำไปทันที ป้อมกับขำรีบวิ่งตามไปติดๆ
รวิกับพวกโผล่ออกมาจากลิฟต์ รีบวิ่งไปที่ห้องเดือน เห็นพยาบาลหลายคนยืนดูท่าทีอยู่ข้างนอก รวิรีบวิ่งไปจนจะถึงหน้าห้อง พิมุกวิ่งพรวดออกมา สีหน้ายังดูหวาดกลัวตกใจ พอเจอกับรวิก็สะดุ้งทันที
“ไอ้พิมุก”
พิมุกยืนเลิ่กลั่ก ก่อนจะตัดสินใจวิ่งชนรวิและคนอื่นๆ หนีไป รวิหันขวับลังเลจะตามไป แต่ก็เปลี่ยนใจรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที
รวิวิ่งเข้ามาในห้องเดือนตามด้วยคนอื่นๆ
“เดือน พี่นภา”
แก้วถือปืนหันขวับมาทันที สีหน้าตกใจหวาดกลัว
“ถะ ถอยไปนะ ถอยไป”
เดือนนั่งประคองนภากาศที่มีเลือดไหลเต็มไปหมด
“นภา”
เทพถลาเข้าไปประคองนภากาศทันที
“อีแก้ว แก แกทำอะไร” ป้อมถามอย่างตกใจ
“ชั้น ชั้นไม่ได้ตั้งใจ นังเดือน เพราะนังเดือนนั่นแหล่ะ ถึงได้เป็นแบบนี้”
แก้วคุมสติไม่อยู่ ก่อนจะกรี๊ดออกมาแล้ววิ่งออกจากห้องไป รวิ ป้อม ขำรีบวิ่งเข้ามาหาเดือนทันที
“เดือน เดือนเป็นอะไรหรือเปล่า” รวิถามอย่างเป็นห่วง เดือนส่ายหน้าร้องไห้ มองนภากาศที่หายใจรวยรินอยู่
“นภา นภา อย่าเป็นอะไรนะ”
ขำรีบวิ่งไปที่หน้าห้อง ตะโกนสุดเสียง
“หมอ หมออยู่ไหน มีคนถูกยิง หมอ”
นภากาศมองไปที่ทุกคนพยายามตั้งสติ
“นภา แกอย่าเป็นอะไรนะ แกต้องอยู่ทะเลาะกับชั้นก่อนนะ” ป้อมบอก
“ป้า ป้าเข้มแข็งนะ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”
“อดทนหน่อยนะครับพี่นภา”
นภากาศพยายามฝืนยิ้มให้ทุกคน
“พี่นภา พี่ต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะเดือน พี่นภา เดือนขอโทษ”
นภากาศเอื้อมมือที่สั่นเทามาจับมือเดือน ส่ายหน้าช้าๆ แล้วยิ้มให้ พูดเสียงสั่น
“ม่ะ ไม่ ใช่ความผิดของเดือน” นภากาศเริ่มหอบหายใจแรง “เดือน ฟังพี่นะ ยะ อย่า ทิ้งความฝัน ของตัวเองนะ”
เดือนกุมมือนภากาศ พยักหน้ารับ น้ำตาไหลอาบแก้ม นภากาศค่อยๆ หันไปมองหน้าเทพ พยายามยิ้มให้ ก่อนจะเอื้อมมือที่เปื้อนเลือดไปจับหน้าเทพ
“พี่ เทพ ชั้นน่าจะ บอกพี่เร็วกว่านี้”
นภากาศขยับปากเหมือนกับจะพูดอะไร แต่ไม่มีเสียง เทพเลยก้มหน้าไปฟังใกล้ๆ สิ่งที่นภากาศพูดออกมาทำให้เทพถึงกับน้ำตาคลอ เทพถอยตัวกลับมาแล้วสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม นภากาศยิ้มให้เทพอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาจะค่อยปิดลงและนิ่งไปในที่สุด เทพพยายามเขย่าตัวเธอ
“นภา ฟื้นสินภา ฟื้นสิ นภา” เทพตะโกน
ทุกคนพากันร้องไห้ เทพกอดศพนภากาศแน่น ร้องไห้อย่างไม่อายใคร
พิมุกขับรถมาตามถนน สีหน้ายังดูตกใจและหวาดกลัวอยู่ เสียงโทรศัพท์ดัง เขาสะดุ้งตกใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาแกล้วกดรับสายด้วยท่าทางกล้าๆ กลัว
“ฮะ ฮัลโหล นังแก้ว เพราะแก ฝีมือแกคนเดียว ชั้น ชั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วย พูดบ้าๆ ให้ไปรับแกงั้นเหรอ เชิญแกติดคุกไปคนเดียวเหอะ ไม่เกี่ยวกับชั้น นังบ้า”
พิมุกกดวางสายก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงไปที่เบาะอย่างไม่ใยดี
รถพิมุกขับมาติดไฟแดง พิมุกนั่งเหงื่อแตก มองซ้ายมองขวาอย่างระแวงจึงเห็นตำรวจจราจรคนหนึ่งอยู่ด้านนอก เขามีท่าทางหวาดกลัวกว่าเดิม เหงื่อแตก มือที่จับพวงมาลัยกำแน่นกว่าเดิม ตำรวจคนนั้นมองมาที่พิมุก แล้วทำท่าเหมือนจะเดินมา พิมุกเลิ่กลั่ก ครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี ตำรวจคนนั้นเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิมจวนจะถึงรถพิมุก
พิมุกตัดสินใจเร่งเครื่องฝ่าไฟแดงออกไปทันที ตำรวจคนนั้นรีบยกวิทยุขึ้นวอ แล้วรีบวิ่งไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่ตามไป
สีหน้าพิมุกดูดุดัน เหยียบคันเร่งให้เร็วกว่าเดิม
“จะจับกูเหรอ ฝันไปเหอะ”
เสียงไซเรนไล่ตามหลังมา พิมุกไม่สนใจขับเร็วกว่าเดิม ที่หน้าพิมุกมีเหงื่อไหลพลั่ก จนต้องรีบเอามือขึ้นมาขยี้ตา ขณะนั้นมีรถสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนเลนมาอย่างรวดเร็ว
พิมุกเช็ดเหงื่อเสร็จ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะตาเหลือกโพลง ตะโกนขึ้นสุดเสียง
“เฮ้ย”
เสียงรถชนกันดังสนั่น ทุกอย่างวูบลงทันที
เย็นวันนั้น พวกรวิเดินออกมาจากโรงพัก หน้าตาเหม่อลอย มีคราบน้ำตาอยู่ รวิกับขำเดินประกบเทพ ที่ตอนนี้เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ ตาบวมเพราะร้องไห้อย่างหนัก เสื้อผ้ามีแต่รอยเลือดของนภากาศ
เดือนนั่งอยู่บนรถเข็น มีป้อมเป็นคนเข็นให้ เดือนเหม่อลอย สีหน้าเศร้า ทวีศักดิ์วิ่งเข้ามารีบตรงเข้ามาหาเดือนทันที
“เดือน เดี๋ยวออกด้านหลังกันดีกว่า ข้างหน้าตอนนี้มีแต่นักข่าวเต็มไปหมดเลย” ทุกคนชะงักมองหน้ากันว่าเอายังไงดี “เร็วเข้าเหอะ ตอนนี้โอกาสเหมาะเลย เค้ายังสัมภาษณ์เพื่อนคุณอยู่”
เดือนทำหน้าแปลกใจ
“เพื่อนเดือน ใครคะ”
“ก็ศิริพร ที่เป็นนักร้องนั่นไง” เดือนส่ายหน้าถอนหายใจ ป้อมกับขำพากันยี้ปากทันที “มีอะไรกันเหรอครับ”
“เอาไว้ทีหลังเถอะค่ะ งั้นตอนนี้เราออกด้านหลังอย่างที่คุณแนะนำก่อนดีกว่า” เดือนบอก
ทุกคนพยักหน้ารับ พากันจะเดินไปด้านหลัง รวิกำลังจะเดินผ่าน ทวีศักดิ์เดินมาขนาบข้างแล้วพูดกับรวิ
“นายกับพวกนี่ พาแต่ความเดือดร้อนมาให้เดือนจริงๆ เลยนะ เค้าอยู่ของเค้าดีๆ แท้ๆ”
รวิอึ้งไปจ้องหน้าทวีศักดิ์
“หมายความว่าไง”
“นายควรจะอยู่ห่างๆ จากเดือนนะ แค่นี้เค้าก็เดือดร้อนเสียหายหมดแล้ว พูดแค่นี้หวังว่าคงเข้าใจนะ”
พูดจบทวีศักดิ์ก็รีบเดินไปประกบเดือนทันที รวิมีสีหน้าเคร่งเครียด ดูเศร้าและวิตกกังวล
หน้าสถานีตำรวจ ศิริพรใส่แว่นดำ มือหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้า แกล้งตีหน้าเศร้ายืนให้นักข่าวสัมภาษณ์อยู่
“อย่างที่พรบอกไปค่ะ สองคนนี้เค้ามีปัญหาเรื่องผู้ชายกันมาตลอด แต่ไม่คิดว่าแก้วเค้าจะกล้าทำถึงขนาดนี้”
“งั้นก็หมายความว่า น้องพรมั่นใจใช่มั้ยคะว่าน้องแก้วเป็นคนลงมือจริงๆ”
ศิริพรแกล้งสะอื้นยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา แล้วพยักหน้ารับ
“แล้วกับนายพิมุกนั่นล่ะคะ แล้วเรื่องแฟนน้องเดือนอีก ที่มีข่าวหลุดมาว่าเป็นเอเย่นต์ส่งผู้หญิง สรุปแล้วมีความเกี่ยวข้องกันยังไงแน่คะ”
“3 คนนั้นเค้า เค้า พรขอไม่พูดดีกว่าค่ะ” ศิริพรแกล้งส่ายหน้า สะอื้นออกมา แต่สายตาก็แอบชำเลืองมองไปด้วย “จริงๆ แล้วพรเตือนเค้ามาตลอด ตั้งแต่แอบเห็นว่าแก้วเค้าพกปืนไว้ในกระเป๋าแล้วค่ะ”
นักข่าวต่างฮือฮากันทันที
“จริงเหรอคะเนี่ย น้องแก้วพกปืนไว้ตลอดเลยเหรอคะเนี่ย”
“ค่ะ พรก็ไม่รู้ว่าเค้าเอาปืนมาจากไหน พรไม่กล้าถาม พรกลัวมากเลย”
นักข่าวพากันหันไปซุบซิบ บางคนก็จดลงทันที ศิริพร แกล้งสะอื้น แต่ดึงไมค์ของนักข่าวให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม
“พรขอฝากอะไรถึงแก้วหน่อยนะคะ แก้ว ออกมามอบตัวเถอะนะ คนเรามันพลาดกันได้ ยังไงชั้นก็เป็นห่วงเธอนะ”
“แล้วน้องเดือนล่ะคะ อยากฝากอะไรถึงมั้ย”
ศิริพรถอดแว่นดำออก ทำสีหน้าจริงจัง
“หยุดเถอะนะเดือน พอได้แล้ว เธอเห็นมั้ยว่าตอนนี้มีคนต้องสูญเสียเพราะความไม่รู้จักพอของเธอ”
ศิริพรแกล้งตีสีหน้าจริงจัง บีบน้ำตาออกมา จนนักข่าวเห็นใจ พากันเข้ามาจับไม้จับมือให้กำลังใจ นักข่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“นี่ๆ พวกน้องเดือนออกไปทางด้านหลังแล้ว”
นักข่าวคนอื่นๆ ต่างฮือฮอา พากันวิ่งไปด้านหลังกันทันที จนเหลือแต่ศิริพรคนเดียวที่ยืนอยู่ ศิริพรแสยะยิ้มออกมา เชิดหน้าอย่างผู้ชนะ
คืนนั้นที่บ้านของรวิ บนท้องฟ้ามีเมฆดำลอยผ่าน บังพระจันทร์ บรรยากาศดูเหงาๆ เทพนั่งเหม่อมองออกไป สีหน้าเศร้าสร้อย นัยน์ตาเลื่อนลอย ขำเดินข้ามา เอื้อมมือไปจับแขนของเทพ
“ลุง กินข้าวกินปลาหน่อยเถอะนะ”
เทพเงียบไม่ตอบอะไร สายตายังคงเหม่อลอยออกไป ขำถอนหายใจออกมา บีบไหล่ให้กำลังใจเทพแล้วเดินออกมา
ภาพในความคิดของเทพ เป็นภาพนภากาศในท่าทางต่างๆ/ตอนร้องเพลงร่วมกับเทพ/ตอนไปไหนมาไหนด้วยกัน/แหย่กัน แกล้งกัน
รวิเดินเข้ามา ขำพยักพเยิดให้ดูที่เทพ รวิเลยเดินไปนั่งข้างๆ และเหม่อมองออกไปเหมือนกัน
“ชั้นพึ่งรู้ เวลาที่คนที่เรารักต้องหายไปนี่มันทรมานมากเลยนะ” เทพพูดขึ้นมา
“ครับ ทรมาน ไม่ได้เห็น ไม่ได้สัมผัส หรือแม้แต่ได้ยินเสียง”
“ถ้าเราตายตามเค้าไป มันคงไม่ทรมานแบบนี้”
“อย่างนั้นเราก็จะไม่เหลืออะไรเลยสิครับ” เทพหันกลับมามองรวิช้าๆ รวิยังคงเหม่อมองออกไป หันกลับมามองเทพเหมือนกัน “อย่างน้อย ตอนนี้เราก็ยังมีเค้าอยู่ในนี้” รวิชี้ไปที่หน้าอก “แต่ถ้าเราเลือกที่จะตายตามเค้าไป เราก็จะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ความทรงจำ”
เทพจ้องหน้ารวิ ก่อนที่ดวงตาจะเริ่มมีน้ำตาล้นเอ่อออกมา แต่เทพก็พยายามฝืนยิ้มพยักหน้าเข้าใจ รวิเอื้อมมือไปจับไหล่ของเทพ
“อยู่ต่อไปนะครับ ใช้ชีวิตในส่วนของคนที่เรารัก แทนเค้าด้วย”
เทพพยักหน้ารับสะอื้นไห้ออกมา ทั้งคู่นั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเศร้าๆ
อีกด้านหนึ่ง แก้วใส่หมวกเดินก้มหน้าก้มตาไปตามทางเดิน สายตาล่อกแล่กคอยมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลาจนมาถึงทางเปลี่ยวที่ไม่มีคน แก้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู
ที่หน้าจอโทรศัพท์เห็นเป็นข่าวของตัวเอง แก้วเลื่อนไปเรื่อยๆ จนเห็นข่าวเรื่องรถพิมุกประสานงากับสิบล้อ แก้วสะอื้นร้องไห้ออกมา เอามือปิดปากไม่ให้เสียงดัง
“พี่พิมุก”
เช้าวันใหม่ที่ตลาด กิมลุกพรวดขึ้นยืนด้วยสีหน้าดุดัน
“ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ”
ตำรวจยืนอยู่สองนาย เตี้ยกับบ่างยืนตาแดงอยู่ข้างๆ ชาวบ้านอีก 2-3 คน ยืนมุงอยู่ที่หน้าแผง กิมเดินออกมาข้างหน้า โวยวายชี้หน้าตำรวจ
“ลูกข้าไม่มีทางเป็นฆาตกร นังแก้วมันไม่มีทางฆ่าใคร”
“เราสอบปากคำพยานแล้ว ยืนยันนะครับว่าเป็นฝีมือของคุณแก้วจริงๆ”
เตี้ยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ชี้หน้าด่ากิมกลับ
“ใช่ ฝีมือลูกแกนั่นแหล่ะ แถมยังมาพาให้พี่พิมุกของชั้นต้องบาดเจ็บสาหัสไปด้วย”
“เพราะลูกแกนั่นแหล่ะ นังฆาตกร” บ่างสะอื้น
“บอกมาเถอะครับ คุณแก้วติดต่อมาบ้างหรือเปล่า แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนครับ” ตำรวจถาม
กิมหน้าแดง น้ำตาคลอเบ้า ตะโกนเสียงดัง
“ไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น! ข้ารู้อย่างเดียวลูกข้ามันไม่ผิด มันไม่ได้ทำ!” กิมหันไปหยิบของที่แผงออกมาขว้างปาใส่ตำรวจกับคนที่มามุงดู “ไปเลยนะ พวกเอ็งไปให้พ้นจากร้านข้าเลยนะ ไปสิ ไป”
กิมตะโกนไล่เสียงดัง ก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นเอามือกุมหัว ร้องไห้ออกมาไม่อายใคร
ส่วนที่บ้านของเทพ ขำส่งกระเป๋าให้เทพเอากระเป๋าใบสุดท้ายใส่ลงในกระโปรงรถด้านหลัง ก่อนจะปิดมันลง
รวิกับขำยืนมองเทพ สีหน้านิ่ง
“ไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอครับคุณเทพ”
“นั่นสิลุง ไปสอนเด็กที่โรงเรียนกันดารแบบนั้น มันจะเล่นเป็นกันซักกี่มะน้อย”
“ไม่รู้สิ แต่อย่างน้อยก็ต้องได้บ้างแหล่ะ”
“แล้วเงินทองจะพอใช้พอกินเหรอลุง”
เทพยิ้มๆ สีหน้าปลงๆ
“ศิลปินโนเนมอย่างชั้นไม่ได้มีชีวิตอะไรฟู่ฟ่าอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ไม่มีใครให้ต้องห่วงแล้วด้วย อยู่อย่างพอเพียงก็ไม่มีปัญหาอะไร”
ขำถอนหายใจ ทำหน้าเซ็งๆ
“เฮ้อ ขาดลุงไปก็ไม่ครบก๊วนอ่ะดิ”
เทพยิ้มให้ สีหน้าดูสลดลง
“ไว้มีโอกาสแล้วค่อยนัดรวมตัวกันอีกทีก็ได้”
“เมื่อไหร่ล่ะลุง”
เทพยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้า สายตาเหม่อมองออกไป
“ไม่รู้สิ”
รวิมองเทพ แล้วก็พยักหน้ารับ
“ถ้าคุณเทพตัดสินใจแล้ว ผมก็ไม่ขัดครับ”
“อืม ถ้ามีเวลาว่างก็ไปเที่ยวกันได้นะ อ้อ แล้วก็อย่าลืมเอาหลักฐานเพิ่มเติมไปให้ตำรวจด้วยล่ะ นภาเค้าอุตส่าห์หามาให้”
เทพพูดจบก็เดินไปเปิดประตูจะขึ้นรถ
“คุณเทพครับ” เทพชะงักหันกลับมา รวิเดินตรงเข้าไปหาเทพ ก่อนจะยกมือขึ้นกราบลงที่ไหล่ของเขา “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมจะไม่ลืมเลยว่าเคยมีพี่ชายคนหนึ่ง ที่ให้ทั้งโอกาสและคำสอน ขอบคุณจริงๆ ครับ”
เทพน้ำตาคลอเบ้า เอื้อมมือตบไหล่รวิ
“ลุง”
ขำเดินเข้ามายกมือไหว้ เทพดึงขำกับรวิไปกอด ตบไหล่ให้กำลังใจ ก่อนจะหันกลับขึ้นรถไป โบกมือให้ และสตาร์ทรถออกไป
รวิกับขำยืนมองตามรถของเทพที่เคลื่อนออกไปอย่างใจหาย
รวินั่งใส่รองเท้าอยู่ที่หน้าบ้าน ข้างๆ ตัวมีกระเป๋ากับแซ็กโซโฟนวางอยู่ ขำเดินถือกล่องเครื่องมือออกมาเห็นรวิก็ร้องถาม
“จะไปไหนรวิ”
“จะเข้าไปในเมือง ดูซิว่าร้านไหนรับนักดนตรีบ้าง”
“มันจะมีเหรอ ในเมืองมีอยู่ไม่กี่ร้านเอง”
“ถ้าไม่มีก็จะลองไปดูจังหวัดอื่นน่ะ”
ขำชะงัก เดินมาจ้องหน้ารวิ
“เอ๊า นี่จะหนีชั้นไปกันหมดเลยเหรอ แล้วร้านล่ะ”
รวิใส่รองเท้าเสร็จลุกขึ้น เปิดกระเป๋าหยิบซองเงินที่เทพเคยให้ส่งให้ขำ
“ร้านน่ะชั้นไม่หวังแล้วล่ะ แกเอานี่ไปไว้ใช้ไว้กินกว่าจะหางานได้” ขำปัดมือรวิออก
“ไม่เอาหรอก เงินนี่แกเอาไว้ใช้เหอะ เดือนเค้าอุตส่าห์หามาให้”
รวิอึ้งไป ขำรู้ตัวรีบเอามือปิดปากตัวเอง
“แกว่าใครให้มานะ”
ขำเอามือตีปากตัวเองอย่างโมโห
“ไอ้ขำนะไอ้ขำ ปากเสียตลอด”
รวิยืนจ้องหน้าขำที่ตอนนี้ทำหน้าไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าหลบตารวิ
“นี่มีชั้นโง่เป็นควายอยู่คนเดียวใช่มั้ยเนี่ย งั้นไอ้ที่ผ่านๆ มาก็เงินของเดือนทั้งนั้นน่ะสิ”
ขำพยักหน้ารับ หน้าเจื่อน
“อย่าโกรธเลยรวิ เดือนเค้ากลัวว่าถ้ารู้ว่าเป็นเงินเค้า แกจะไม่กล้าใช้ เรื่องทนายก็ด้วย เดือนเค้าก็เป็นคนจัดการแนะนำมาให้”
รวิอึ้งไป พยักหน้ารับ ดึงมือขำมาแล้วยัดซองเงินใส่มือ
“เพราะอย่างนี้ไง ชั้นจะยอมให้เค้าต้องเดือดร้อนเพราะชั้นอีกไม่ได้” รวิสะพายกระเป๋าแล้วเดินมาตบไหล่ขำ
“แล้วชั้นจะติดต่อมานะ”
รวิมีสีหน้าเคร่งเครียด ถอนหายใจออกมา แล้วตัดสินใจเดินออกจากบ้านไป
ภาพจากจอทีวี ผู้ประกาศข่าวยืนรายงานอยู่หน้าค่ายเพลง
“จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถติดต่อน้องแก้ว นักร้องสาวหน้าใหม่ได้ ทำให้มีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานาถึงเรื่องงานคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นว่าทางค่ายเพลงต้นสังกัดจะดำเนินการอย่างไรต่อไป”
ทีมงานของค่ายเพลงเดินกันขวักไขว่ จนมาหยุดที่หน้าห้องประชุม ชูเกียรติเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง ถอนหายใจส่ายหน้าแล้วเดินเข้าห้องไปอย่างเซ็งๆ ศิริพรเดินตามมาหยุด ยิ้ม เชิดหน้าท่าทางยะโสก่อนจะเปิดประตูเดินตามเข้าไป
บรรยากาศในห้องประชุม ทีมงานนั่งกันอยู่สีหน้าเคร่งเครียด ศิริพรนั่งแอ๊บทำเรียบร้อย ยิ้มให้กับทุกคน
“สรุปนะครับ จากที่ได้ปรึกษากับเสี่ยแล้วก็ทุกๆ คนแล้ว เราคงต้องเลื่อนงานคอนเสิร์ตออกไปก่อน ส่วนเรื่องนักร้อง คงต้องให้น้องพรขึ้นมาแทนแก้วครับ”
ชูเกียรติปรายตามามองศิริพร ก่อนจะหันไปถามทีมงาน
“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ เพราะตามแพลนที่วางไว้ต้องให้ฟีทกันไม่ใช่เหรอ”
“เราคงต้องปรับให้เป็นแบบเดิมทีแรกที่ร้องคนเดียว แล้วนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราต้องเลื่อนงานออกไปครับ”
ศิริพรแกล้งยิ้มใสซื่อ ยกมือขึ้นไหว้ทุกๆ คน
“ขอบคุณทุกคนนะคะที่ให้โอกาสพร” ศิริพรปรายตามามองชูเกียรติ “ไม่ต้องห่วงนะคะ พรไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่”
ที่บ้านเช่าของเดือน ป้อมวางถุงข้าวของลงบนโต๊ะ
“เหนื่อยแย่เลยพี่ป้อม”
เดือนนั่งอยู่ที่โซฟาบอก ป้อมวางของเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่ง
“ไม่เท่าไหร่หรอกเดือน”
เดือนหยิบถุงต่างๆ มาเปิดดู
“พรุ่งนี้เราจะได้ใส่บาตรกัน”
สีหน้าเดือนสลดลง ป้อมรีบพูดปลอบใจ
“อย่าคิดมากนะเดือน นภามันไปดีแล้ว”
เดือนพยายามฝืนยิ้มเศร้าๆ
“เดือนเคยคิดนะ ว่าทำไมเดือนถึงได้เจอแต่คนร้ายๆ ทำไมเดือนถึงถูกแกล้งสารพัด” ป้อมเอื้อมมือมาบีบมือเดือน “แต่จริงๆ แล้วเดือนลืมไปว่า รอบๆ ตัวเดือนมีคนที่รักและหวังดีกับเดือนอยู่ตั้งมากมาย ทั้งพี่ป้อม ขำ คุณเทพแล้วก็...” เดือนพยายามกลั้นน้ำตา “พี่นภา” ป้อมพยักหน้ารับ สีหน้าดูเศร้าไปด้วย “ถึงจะดูเหมือนพี่เค้าจะไม่ค่อยชอบเดือน แต่จริงๆ แล้วพี่นภาคือคนที่คอยสอนเดือนหลายๆ อย่าง ถ้าพี่เค้าไม่คอยสอนคอยเตือน เดือนอาจจะออกจากวงการนี้ไปแล้วก็ได้”
“นางเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดีไง” เดือนยิ้มเศร้าๆ พยักหน้ารับ “ว่าแต่ ลืมใครไปอีกคนหรือเปล่า”
เดือนถอนหายใจ สายตาเหม่อมองออกไป
“ไม่ลืม แล้วก็จะไม่มีวันลืมด้วย คนที่เดือนคอยทำให้เค้าเดือดร้อนอยู่ประจำ คนที่คอยดูแลเดือนมาตลอด ถึงแม้วันนี้ทุกย่างมันจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม”
เวลาผ่านไป รวิสะพายแซ็กโซโฟนไปสมัครงานตามร้านต่างๆ หลายที่ / รวิมีท่าทางเหน็ดเหนื่อย /โดนเจ้าของร้านไล่ / นั่งรถไปไกลๆ
ช่างสายของวันหนึ่งที่กองถ่ายหนัง ภาพจากมอนิเตอร์ของผู้กำกับเห็นเดือนกำลังร้องเพลงอยู่ สีหน้าเศร้าๆ
ทีมงานกำลังถ่ายทำ เดือนนั่งร้องเพลงอยู่ในฉาก สีหน้าอินไปกับตัวละครอย่างดีเยี่ยม
ป้อม ทวีศักดิ์ กับคนอื่นๆ ที่มองเดือนแสดงต่างอินไปกับเดือน บางคนทำท่าเคลิบเคลิ้มตามไปด้วย จนเดือนร้องจบเพลง
“คัท”
เสียงปรบมือของทีมงานดังขึ้น เดือนยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะเดินออกมาจากฉากตรงมาหาป้อม
“เริ่ดมาก มาๆ ซับหน้าก่อน” ป้อมบอก
ทวีศักดิ์เดินเข้ามา ยิ้มให้
“สุดยอดเลยเดือน สมแล้วที่เป็นนักร้องมาก่อน”
“ขอบคุณค่ะ”
ทวีศักดิ์ยิ้มจ้องหน้าเดือนด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“ว่าแต่เดือนหายแล้วแน่นะครับ”
เดือนพยักหน้ายิ้มให้
“ค่ะ เดือนไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
เดือนหันไปให้ป้อมช่วยซับหน้า จับทรงผมให้เข้าที่ ทวีศักดิ์จ้องมองมาที่เดือนด้วยสายตาละห้อย
“เสียดายนะ”
“คะ”
“เสียดายที่เราต่างมีเจ้าของแล้ว” เดือนยิ้มเจื่อนๆ
“คุณทวีศักดิ์คะ เดือนไม่...”
“ผมเข้าใจครับ แต่ก็นะ ยิ่งเห็นเดือนไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นผมยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีก”
เดือนหลบสายตามองไปทางอื่น
“ช่างเถอะๆ เออนี่เดือน มีอีกเรื่องนึงนะ คือผมคิดว่าเราต้องเดินสายโปรโมทหนังกันซักหน่อยแล้วล่ะ”
เดือนหันไปมองหน้ากับป้อม ก่อนจะหันมายิ้มกับทวีศักดิ์
“ยังไงคะ”
“เราก็เอาเพลงในหนังไปร้อง เหมือนเปิดมินิคอนเสิร์ตอะไรแบบนั้นไง เดือนว่าดีมั้ย”
เดือนยิ้มกว้าง หันไปจับมือกับป้อมอย่างดีใจ
“ดีค่ะ”
“แต่ว่าเดือนอาจจะเหนื่อยหน่อยนะ ไปโน่นไปนี่ บางทีผมอาจจะให้ออกต่างจังหวัดนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดือนยินดี เดือนไม่กลัวเหนื่อยค่ะ”
ทวีศักดิ์เห็นท่าทางเดือนแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ
“งั้นก็เยี่ยมเลย ผมจะได้เอาเรื่องเข้าที่ประชุม”
พูดจบทวีศักดิ์ก็ยิ้มให้เดือนแล้วเดินไป เดือนหันมาจับมือกับป้อมกระโดดดีด๊าดีใจ
อ่านต่อตอนที่ 19