ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 18
วันต่อมาวงมโหรีมอญบรรเลงเพลงมงคลอยู่ พุ่มบายศรีตั้งเด่นอยู่กลางท้องพระโรง
จะเด็ดกับกุสุมาในชุดสวยงามประดับเพชรทองเต็มเครื่องเป็นพิเศษนั่งอยู่หน้าบายศรี พราหมณ์พิธีนั่งอยู่ตรงข้ามนิ่ง คนอื่นๆ นั่งประจำที่ของตัวเองในชุดสวยงามเป็นพิเศษทุกคน ยกเว้นที่ประทับกษัตริย์กับมเหสีว่างเปล่า บางคนเริ่มกระสับกระส่ายไม่สบายใจ ทุกคนกำลังคอยพระเจ้านรบดีและพระอัครเทวี...
ตะคะญีรู้สึกจะเดือดร้อนกว่าเพื่อนทนไม่ไหว หันไปสะกิดเนงบาที่ยังไม่ส่างเมาอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมบุเรงลองกล้าทำถึงเพียงนี้ ตะละแม่ตองอูรออภิเษกอยู่ทั้งองค์ ยังหาญจะรับตะละแม่แปรไปอภิเษกยังตองอูอีก พระเจ้ามังตราคงมิทรงคิดการนี้ไว้แน่”
“ข้าไม่รู้”
“นี่พระเจ้านรบดีกับอัครเทวีไม่เสด็จออกก็คงทรงเคืองเรื่องนี้”
“ข้าไม่รู้”
เนงบาหน้าง้ำหันไปมองนาคะตะเชโบ นาคะตะเชโบหน้าเศร้า ทำไม่รู้ไม่ชี้
“ของรักของหวงเลี้ยงดูอย่างนางพญาแปร ใครจะยอมให้ฉกไปเป็นรองนางพญาเมืองอื่น แม่ทัพบุเรงนองนี้บ้าบิ่นแท้ๆ ทำอย่างไรดี จะพ้นฤกษ์แล้ว”
“ข้าไม่รู้ ทำไมมีแต่ผู้เมตตาห่วงบุเนงนองกันนัก”
“หากไม่ใช่พิธีมงคล ข้าจะขอถีบเอ็งสักทีเนงบา”
จะเด็ดหันมามองกุสุมาที่น้ำตาคลอ จะเด็ดสงสารนางมากเอามือมากุมมือนางไว้ มือจะเด็ดกุมมือกุสุมาบีบเบาๆ
ที่ห้องบรรทมพระอัครเทวี พระอัครเทวีพิโรธจนกรรณแสง พระเจ้านรบดีทรงไม่สบายพระทัยพระดำเนินไปมา
“ทำไมอ้ายจะเด็ดคนสามัญถึงย่ำยีข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ เป็นเพราะพระเจ้าแปรไว้พระองค์ไม่สมพระยศ ผู้ไพร่จึงใจกำเริบกล้าพรากลูกไปจากอกเรา”
“แล้วต้นวงศ์สโดเมงสอกำเนิดมาจากไหน วีระกษัตริย์ผู้สถาปนาแผ่นดินแปรขึ้นมา หนเดิมก็เป็นคนสามัญทั้งสิ้น ถ้าไม่เลื่อนฐานะปราบดาภิเษกขึ้นมา เรากับน้องท่านก็ถูกเรียกอ้ายไพร่กันทุกคน”
พระอัครเทวีเอามือปิดหู
“พระเจ้าแปรไร้เกียรติลดยศตัวไปแล้วรึนี่”
พระเจ้านรบดีดึงมือปิดหูพระอัครเทวีออก
“รู้ไว้ด้วย พระเจ้าแปรนี่แหละไว้ยศและทรนงยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน ไม่เคยหลงยศหลอกตัวเอง แต่สู้อดทนเห็นแก่ร้อนเย็นของพสกนิกรเพราะถือตัวว่าเป็นพระเจ้าอยู่หัว วันจะเด็ดมันชิงลูกเรากลับสู่แปร ต้องทนอายออกนั่งบัลลังก์ให้เฝ้า จนหน้าร้อนผ่าว มีใครรู้บ้าง” พระอัครเทวีสะบัดมือจะไป พระเจ้านรบดีจับไว้น้ำตาคลอ “จะเด็ดเมื่อกาลก่อนใครๆ ก็เรียกมันว่าจะเด็ด แต่ปัจจุบันใครที่ยศไม่เสมอจะกล้าเรียกอ้ายจะเด็ดได้ไม๊ ตำแหน่งแม่ทัพบุเรงนอง มีอำนาจตัดหัวคนได้โดยไม่ต้องกราบทูลพระเจ้าตองอู” พระอัครเทวีค่อยๆ ขยับตัวตรงขึ้น แต่ยังร้องไห้อยู่ “เมืองเราบัดนี้ที่แท้ก็เหมือนเมืองออกตองอู เขาอุตส่าห์แต่งขบวนมารับลูกเราไปอย่างเอิกเกริกควรจะน่าพอใจ” พระเจ้านรบดีทรุดลงนั่งที่พระแท่น “จงเอาขันติเข้าข่มใจที่พล่านอยู่ข้างในเสีย แปลงอัธยาศัยคบหาจะเด็ดดูใหม่ แผ่เมตตาสู่คนผู้นั้นให้เป็นธรรม นับวันน้องท่านจะชื่นใจที่บุเรงนองก้มหัวให้ เพราะเป็นสมเด็จแม่กุสุมาที่เขารัก” พระอัครเทวียังร้องไห้อยู่แต่สงบลงมาก “จงลุกขึ้นแต่งลูกเราไปสู่กรุงตองอู ให้สมกับที่เกิดมาเป็นราชธิดาพระเจ้ากรุงแปรเถิด นี่ต่างหากเกียรติยศของเรา”
พระอัครเทวีปาดน้ำตาค่อยๆ ลุกออกไป พระเจ้านรบดีนั่งคับแค้นพระทัยน้ำตาไหลอยู่พระองค์เดียว
อีกด้านหนึ่งที่ห้องบรรทมอเทตยาอเทตยาขว้างข้าวของในห้องจนแตกกระจายก่อนจะหมดแรง ล้มตัวลงซบพระแท่นร้องไห้คร่ำครวญอยู่คนเดียว
“ทำไมข้าพเจ้าไม่เคยได้ชัยเหนือตะละแม่แปรสักอย่าง ทำไมข้าพเจ้าอาภัพนัก ท่านพ่อท่านแม่ ข้าพเจ้าอยากไปเฝ้าท่านเหลือเกิน ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ในภพนี้อีกแล้ว”
อเทตยาคงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาอยู่คนเดียว
ท้องพระโรงหน้ากรุงแปรพราหมณ์กำลังทำพิธีบายศรีสู่ขวัญอยู่กลางท้องพระโรง จะเด็ดกับกุสุมานั่งอยู่หน้าบายศรี ทั้งหมดกำลังเวียนแว่นบายศรีไปรอบจะเด็ดกับกุสุมา โชอั้วมีสีหน้าเรียบเฉย นั่งอยู่กับนางข้าหลวง 8 คน
พระเจ้านรบดีประทับอยู่กับพระอัครเทวีที่พระพักตร์ไม่ยิ้มเลย แววตาชอกช้ำ พราหมณ์นำจะเด็ดกับกุสุมาไปกราบพระเจ้านรบดีกับพระอัครเทวี พระเจ้านรบดีทรงเจิมสีแดงที่หน้าผากของทั้งคู่
“แผ่นดินทั้งสองแคว้น ได้ท่านแม่ทัพบุเรงนองประสานให้สำเร็จสมบรูณ์แล้ว ขอให้ไมตรีเราจงยั่งยืนชั่วกาลนานเทอญ”
พระอัครเทวีลูบศีรษะลูกให้พร แต่ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้
“ตกไปถึงแผ่นดินโน้นแล้วให้เตือนตัวว่าไม่ใช่บ้านเมืองเรา หากไม่มีสุขเกษมเสมอแปรให้กลับมาหาแม่นะลูก”
กุสุมาโผล่เข้ากอดแม่ร้องไห้ตาม จะเด็ดมองกุสุมาด้วยความสงสาร
ขบวนเดินทางของจะเด็ดเคลื่อนออกยาวเหยียด มีทหารม้าธงบุเรงนองและธงตองอูโบกสะบัดนำ ทหารและเสนาแปรยืนส่งอย่างให้เกียรติสูงสุด ในรถม้าจะเด็ดนั่งมากับกุสุมา สีหน้าทั้งคู่ต่างกังวล แต่ไม่แสดงให้อีกคนรู้ ขบวนเดินทางของจะเด็ดกับกุสุมาเคลื่อนไปตามเนินเขา ดูยิ่งใหญ่สวยงาม
โชอั้วนั่งมาในเกวียนกับเหล่านางข้าหลวงอย่างไว้ยศ ไม่สุงสิงใคร ส่วนเนงบาพยายามขยับมาอยู่ใกล้ๆ นาคะตะเชโบตลอดจนนาคะตะเชโบรำคาญ
ตองสานั่งอยู่อีกเกวียนที่ตกแต่งอย่างดี นางคิดถึงลูก อยากเห็นหน้าเร็วๆ
อเทตยานอนซึมอยู่บนเตียง พระอัครเทวีประทับนั่งอยู่ข้างๆ
“หลานมีเรื่องกังวลใจอะไรแจ้งป้ามาเถิด ป้าจะได้ช่วยปัดเป่าให้” อเทตยาเงียบ “ถ้าเอาแต่เงียบไม่เอ่ยออกมาป้าก็หมดปัญญาจะแก้อาการให้ได้ อย่าลืมซิว่าป้านี้เลี้ยงดูหลานมาตั้งแต่พ่อแม่หลานสิ้น ยศศักดิ์ใดๆ ก็ให้เสมอลูกทุกอย่าง บอกป้ามาเถิดว่ามีเรื่องอะไร ว่าไง มีเรื่องคับใจอะไรบอกป้ามาซิ”
อเทตยาเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดจนพระอัครเทวีเริ่มอ่อนใจ ไม่อยากพูด อเทตยาน้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาอย่างเจ็บร้าว
ขบวนเดินทางของจะเด็ดหยุดตั้งกระโจมพักทัพชั่วคราวที่ริมลำธาร กุสุมา โชอั้ว นั่งพักอยู่ริมน้ำกับนางข้าหลวงอย่างมีความสุข มีฉนวนผ้าขาวกั้นเป็นสัดส่วน แต่ยังเห็นบรรยากาศต่างๆ โดยรอบ โชอั้วรู้สึกริษยาที่กุสุมามีความสุขมาก
“ตะละแม่มั่นพระทัยแค่ไหนว่าเมื่อถึงกรุงตองอูแล้ว ตะละแม่ตองอูจะไม่หมิ่นเกียรติเรา”
“ข้าพเจ้าไม่อาจคิดให้ได้อย่างใจดอก การข้างหน้าคงแล้วแต่กรรมบันดาล แต่เพลานี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในหัวใจข้าพเจ้าเพียงเหตุเดียว”
โชอั้วยิ่งริษยามากขึ้น
“ข้าพเจ้านี้ก็มีเลือดแปรเท่ากับตะละแม่ จึงปรารถนาให้จะเด็ดรักตะละแม่เมืองแปรอย่าให้น้อยกว่าตะละแม่ตองอูเลย ข้าพเจ้าจะพลอยช้ำหัวใจด้วย”
กุสุมายังคงหาดอกไม้มาโยนน้ำเล่นอย่างมีความสุข ดอกไม้ป่าที่กุสุมาโยนค่อยๆ ไหลไปตามกระแสน้ำ
อีกมุมหนึ่งตะคะญีคุยอยู่กับจะเด็ดสองคน
“การกระทำครั้งนี้ หลานกำลังเอาเถาวัลย์มัดตัวเองหลายตลบทีเดียว ข้าพเจ้ามองไม่เห็นจะแก้อย่างไรหลุดถึงกรุงตองอูเมื่อไหร่เป็นฉิบหายสิ้นตัวทีเดียว” จะเด็ดกลุ้มใจมาก
“ข้าพเจ้าก็หวังว่าจะคิดออกก่อนถึงชายแดน”
ขบวนจะเด็ดออกเดินทางต่อ จะเด็ดและกุสุมานั่งอยู่ภายในรถม้า
“การจะเข้ากรุงตองอูครั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดทบทวนแล้วเห็นว่ายามนี้ชาวเมืองกำลังปรีดิ์เปรมในการมีชัยต่อข้าศึก หากน้องท่านเข้ากรุงพร้อมข้าพเจ้าชาวเมืองไม่รู้ความในที่สูง จะโจษขานได้ว่า ข้าพเจ้านำน้องท่านเข้ากรุงตองอูในฐานะเชลย”
“พี่ท่านจะให้ข้าพเจ้าปฏิบัติอย่างไรถึงจะเป็นที่ชอบใจคนตองอู” จะเด็ดอ้ำอึ้งก่อนจะบอก
“ข้าพเจ้า จะนำเฉพาะกองทหารเข้ากรุงแต่ผู้เดียวก่อน”
“ท่านจะละทิ้งข้าพเจ้าหรือ”
“ไม่ใช่ดอก น้องท่านอย่าเพิ่งตีความเป็นอกุศล ข้าพเจ้าจะเข้าไปนำหมู่พยุหคชมาเชิญตัวน้องท่าน ถวายเป็นพระเกียรติเข้ากรุงต่างหาก”
“ท่านจะมานำโอ่ข้าพเจ้าเข้ากรุง ให้เป็นร้ายในหมู่ผู้ภักดีต่อตะละแม่ตองอูทำไม”
“หาใช่ข้าพเจ้าดอก แต่เป็นพระเจ้าตะเบงชะเวตี้พระราชทานให้จัดกระบวนนำเข้ากรุงเอง ซึ่งจะเป็นผลดีกว่า พสกนิกรจะพากันชื่นชมว่าพระเจ้าตองอูเมตตาน้องท่านเหลือเกินและพลอยแผ่ความเอ็นดูมาสู่น้องท่านที่พลัดบ้านพลัดเมืองมายิ่งขึ้น”
“แล้วพี่ท่านจะให้ข้าพเจ้ายั้งรออยู่ที่ใด”
“พี่จะให้น้องท่านรั้งรออยู่ที่นิคมชาวแปร ซึ่งข้าพเจ้าได้พามาตั้งรกรากอยู่ที่แขวงชายแดนตองอู”
จะเด็ดจับมือกุสุมามาหอมเพื่อปลอบใจด้วยความรัก หลงใหลยิ่ง
นิคมชาวแปร ชายแดนตองอู ตะคะญี เนงบา นาคะตะเชโบ นำขบวนรถม้ากุสุมาและเกวียนที่โชอั้ว ตองสาและเหล่านางข้าหลวงนั่งมา จะเด็ดขี่ม้าปะกบอยู่ข้างๆ รถม้ากุสุมา ชาวบ้านที่ปลูกพืชและเลี้ยงแพะต่างจ้องมองขบวนอย่างแปลกใจ ชาวแปรคนหนึ่งจำได้รีบวิ่งตามขบวนไป ร้องดีใจ
“ท่านจ่าบ้าน ท่านจ่าบ้าน ท่านแม่ทัพบุเรงนองมา ท่านแม่ทัพบุเรงนองมา”
จะเด็ดขี่ม้าหน้าตาเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด กุสุมาเผยพระวิสูตรออกมามอง
“นี่หรือนิคมชาวแปรที่พี่ท่านว่า”
จะเด็ดยิ้มพยักหน้าให้ นายจ่าบ้านวิ่งนำชาวบ้านมาหาจะเด็ด แล้วทรุดลงกราบอย่างนอบน้อมสูงสุด
“เป็นบุญหัวข้าพเจ้าเหลือเกินที่ท่านบุเรงนองมาเยี่ยม ตั้งแต่ท่านพาพวกข้าพเจ้ามาจากแปร แล้วแบ่งปันที่ทำกินให้จนสุขสบายพวกข้าพเจ้าไม่เคยลืมคุณท่านเลย”
“ข้าพเจ้ามีการจะให้ท่านช่วย”
“แจ้งข้าพเจ้ามาเถิด พวกข้าพเจ้ายินดีทำให้ด้วยชีวิต”
“ข้าพเจ้านำตะละแม่กรุงแปรมาฝากให้ท่านดูแล”
กุสุมาเปิดประตูรถม้าลงมาจนเห็นถนัด มองทุกคนอย่างเมตตา นายจ่าบ้านหันไปเห็นแล้วก้มกราบอย่างจงรักภักดีสูงสุด ชาวบ้านต่างๆ พากันกราบกุสุมา ตองสา โชอั้วและนางข้าหลวง ต่างลงเกวียนมาดู
นาคะตะเชโบจูงม้าอยู่ มองอย่างพอใจ
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 18 (ต่อ)
เนงบา นาคะตะเชโบ กำลังคุมชาวแปรและทหาร ให้ขนของแยกย้ายไปตามจุดต่างๆ
มีชาวบ้านช่วยกันแจกอาหารและน้ำดูแลอย่างดี กุสุมา โชอั้ว ตองสาได้รับการดูแลจากสาวชาวบ้านและเหล่านางข้าหลวงที่นั่งพักผ่อนอยู่บนระเบียง จะเด็ดที่นั่งพูดคุยอยู่กับตะคะญีและจ่าบ้านที่แคร่ใต้ต้นไม้ลานบ้าน
“ขอท่านจ่าบ้านจงทำนุบำรุงขอบเขตหมู่บ้านให้แข็งแรง อย่าให้ผู้ใดเข้าออกได้โดยง่าย เพื่อเป็นการอารักขาพระธิดาแปร”
“ไว้ใจข้าพเจ้าเถิด จะทำตามคำสั่งท่านอย่างดี”
“ข้าพเจ้าขอให้ครูท่านช่วยจัดกำลังทหารคุ้มกันอยู่ที่นี่ด้วย”
จะเด็ดหันไปดูที่ลานบ้าน เห็นตองสามองมาทางจะเด็ด จะเด็ดรีบตามออกไป ตะคะญีมองตามจะเด็ดสีหน้าวิตกกังวลอย่างมากกับการกระทำของจะเด็ด
มังตรานั่งกลุ้มอยู่ที่แท่นประทับในห้องพระโรง มหาเถรนั่งอยู่บนแท่นอาสนะสงฆ์ มหาเถรโกรธมากจนเกือบคุมสติไม่อยู่
“แม้จะรู้ว่าโมหะไม่ใช่อารมณ์สงฆ์ แต่เมื่อตะคะญีมาแจ้งแก่อาตมาๆ ก็ไม่อาจรั้งสติเอาไว้ได้ อ้ายจะเด็ดที่อาตมาและมหาบพิตรหลงบำรุงมันนั้น ตอนนี้มันแปลกไปจากเดิม ไม่สมควรพระเจ้าตองอูจะเลี้ยงมันเป็นทหารคู่พระทัยอีก”
“พระอาจารย์แน่ใจนะว่าจะให้ข้าพเจ้าชำระโทษมันจริง”
“อ้ายจะเด็ดมันหมิ่นคนในแผ่นดินตองอู กล้าอ้างรับสั่งพระเจ้าอยู่หัวไปลวงเอาหญิงที่ตัวพิสวาทมาเข้าสู่พิธีในเมืองตองอู คนเลวเยี่ยงนี้จะเว้นโทษมันทำไม”
“พระอาจารย์ไม่นึกถึงความดีแต่ก่อนของจะเด็ดบ้างหรือ”
“ความดีนับร้อยแต่หนหลังเอามาล้างกันไม่ได้ ผิดครั้งนี้เพราะหลงผู้หญิง เป็นถึงแม่ทัพใหญ่หากให้เรื่องผู้หญิงมาแทรกเราไม่อาจไว้ใจได้ ตกไปเบื้องหน้าจะทำให้บ้านเมืองวิบัติล่มจม ขอมหาบพิตรจงลงโทษมันตามอาญา อย่าได้เห็นแก่อาตมาเลย”
มังตรานิ่งคิดด้วยความแค้น
คืนนั้นมหาดเล็กนำจะเด็ดเดินเข้ามาเฝ้ามังตราในอุทยยานหลวงโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มังตราประทับอยู่บนพระแท่นเสวยน้ำจัณฑ์อยู่อย่างมีความสุข มีมหาดเล็กเฝ้าถวายงานอยู่ 2-3 คน จะเด็ดจะลงกราบ มังตรารีบลุกถลามาถึงตัว
“ลุกๆๆ ไม่ต้องเป็นพิธีการมาก เราโตเล่นกันมาแต่น้อยอย่างพี่อย่างน้อง ดีใจที่พี่ท่านรักษาเวลากลับมาทันพิธีอภิเษกกับพระพี่นาง มาๆ ไปกัน” จะเด็ดงง
“จะเสด็จไหน พระองค์รับสั่งให้มาเฝ้าที่นี่ไม่ใช่หรือ”
“มาแล้วก็ไปต่อไง”
“จะเสด็จไปไหนมังตรา”
“ไปหาแม่ ตั้งนานแล้วเรายังไม่เคยนอนหนุนตักแม่ด้วยกันเลย” มังตราหันไปสั่งมหาดล็ก “เอาเหล้าไปด้วย”
มังตราลากจะเด็ดลงพลับพลาไป มหาดเล็กถือโถน้ำจัณฑ์วิ่งตาม
“แล้วม้าเสด็จอยู่ไหน”
“อยู่นี่ไง” พูดจบมังตราก็กระโดดขึ้นขี่หลังจะเด็ด “ไป วิ่ง ฮี้ๆๆ”
มังตราโขยกหลังจะเด็ดเหมือนเด็กๆ จะเด็ดจำต้องวิ่งตามสั่ง
“ป่านนี้แม่หลับแล้ว”
ลานเรือนเลาชี บรรยากาศสงบเงียบ โขลนนั่งเพลินอยู่ เสียงมังตราเรียกเลาชีดังลั่นจนโขลนสะดุ้ง
“แม่ แม่อยู่ไหน ลูกกับจะเด็ดพี่ท่านมาหา แม่เลาชี อย่าเพิ่งนอน ลูกสองคนมาหาแม่แล้ว”
บ่าวสาว 2 คนรีบเปิดประตูออกมาตำหนัก เลาชีโผล่มาจากเรือนเล็กดูด้วยความแปลกใจ มหาดเล็กอัญเชิญน้ำจัณฑ์ทรุดลงนั่งห่างๆ
“อะไรกันนี่ เสด็จมายามวิกาลอย่างนี้”
มังตรากระโดดลงจากหลังจะเด็ดวิ่งเข้ามากอดเลาชีเหมือนเด็กๆ
“ก็คิดถึงแม่ไง คิดถึงแม่เลาชีเหลือเกิน”
มังตรากอดจูบเลาชีไปมา
“กลิ่นน้ำจัณฑ์คุ้งไปทั่วองค์เลย จะเด็ดไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ ชวนเล่นไม่สบใจแม่เลย”
จะเด็ดยังยืนหอบอยู่ มังตราเข้าฉุดไปหาเลาชี แล้วดึงเลาชีให้นั่งลง
“มานี่ แม่ นั่งนี่ นั่งลง” เลาชีนั่งลงตามสั่ง มังตราล้มตัวลงนอนหนุนตัก จะเด็ดยังเก้อๆ มังตราจึงฉุดให้ลงนอนอีกข้างหนึ่งของเลาชี “นอน นอนหนุนตักแม่กันคนละข้างอย่างเมื่อก่อนไง นอนซิ”
จะเด็ดลงนอนตามอย่างว่าง่าย เลาชียิ้ม
“แม่ไม่เห็นมังตราออดอ้อนแม่อย่างนี้มานานเหลือเกิน นี่ถ้าไม่เสวยน้ำจัณฑ์มาแม่จะดีใจมาก”
“ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากกินดอก แต่ปีศาจในตัวมันคอยกระตุ้นให้กรอกน้ำเมรัยลงไปให้มัน น้ำเหล้าคือวาสนาอันข้าพเจ้าจะยังละไม่ได้”
“มังตราใจอ่อนดอก หากคิดจะยั้งจริงๆ ทำไมจะยั้งไม่ได้คิดแต่การสนุกอย่างเดียวไม่ว่า”
มังตราเอามือเลาชีมาหอม
“แม่เลาชี ข้าพเจ้าอยากให้เราสองคนกลับไปเป็นเด็กที่ยังไร้เดียงสายังไม่รู้ดีชั่ว เอาแต่ดื่มนมแม่อยู่อย่างเดียวเหลือเกิน”
“สำหรับแม่ลูกทั้งสองยังเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ แต่แม่หมดน้ำนมจะให้ดื่มแล้ว”
“แต่แม่ยังไม่หมดรักเราสองคนดอก ข้าพเจ้ารู้”
มังตราลุกพรวดเสียงดัง
“ข้าพเจ้าเกลียดตัวเองในปัจจุบันนี้เหลือเกิน คนเรายิ่งโตก็ยิ่งทำชั่วมากขึ้น”
จะเด็ดตกใจลุกตาม มังตราเดินไปเอาเหล้าที่มหาดเล็กดื่ม
“เป็นอะไรมังตรา”
“ระหว่างจะเด็ดลูกในอกแม่กับข้าพเจ้าผู้ดื่มเลือดในอกท่าน แม่ท่านจะเลือกผู้ใด”
“ถามอะไรแม่อย่างนี้ ไม่เอานะมังตรา ลูกเมาแล้วเจรจาเรื่อย ไม่ลงรอย”
“ข้าพเจ้าถามแม่เท่านี้ จะตอบไม๊”
“จะเด็ดนั้นเป็นเลือดในอกแม่ก็จริง แต่หามีบุญคุณกับแม่เสมอราชวงศ์ตองอู มังตราคือผู้สืบเชื้อสายบัลลังก์ตองอูที่แม่จะต้องทดแทนด้วยชีวิต”
มังตรายืนนิ่งตัดสินใจ
“ข้าพเจ้าอยากพาพี่ท่านมาฟังคำตอบแค่นี้ กลับ”
มังตราเดินเซ จะเด็ดเข้าประครอง
“ระวังพระองค์ให้ดีนะจะเด็ด”
“ขึ้นหลังข้าพเจ้าเถิด”
จะเด็ดลงนั่งให้มังตราขี่หลังกลับ เลาชีมองตามอย่างไม่สบายใจ
จะเด็ดให้มังตราขี่หลังเดินมา มหาดเล็กตามมาห่างๆ
“พี่ท่าน กลับมาตองอูครั้งนี้เป็นสุขแค่ไหน” จู่ๆ มังตราก็ถามขึ้นมา
“แผ่นดินตองอูคือแผ่นดินแม่ ไม่มีที่ไหนสุขกว่าแผ่นดินเกิดตัวดอก”
“แล้วพี่ท่านรักพระพี่นางแค่ไหน”
จะเด็ดมองท้องฟ้า
“ยิ่งกว่าดาวบนฟ้านี่รวมกัน”
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ ข้าพเจ้าจะเป็นเทพยดาย่นหนทางให้พี่ท่านไปหาพระพี่นาง” จะเด็ดหยุดเดิน
“มังตราท่านไม่ใช่เด็กแล้ว นึกสนุกอะไรก็โป้งออกมาไม่เกรงประเพณี” มังตราขยับลงมาเดิน
“ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ พูดอย่างกษัตริย์ ท่านหมิ่นข้าพเจ้าหรือถึงเห็นว่าพูดโลเล”
“ข้าพเจ้าซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่สุด แต่หวนสงสัยในตัวเองว่าทำบุญสิ่งใดมา ชาตินี้ราชวงศ์เมงกะยินโยจึงเมตตาข้าพเจ้านัก”
“พี่ท่านยกยอว่าข้าพเจ้าดีเกินคน งั้นก็ลองทำไม่ซื่อกับข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิดว่าแค่ไหนข้าพเจ้าจะหมดเมตตา”
“การไม่ซื่อต่อพระเจ้าอยู่หัว พิจารณาการหนักเบาด้วยอะไร”
“ง่ายๆ ด้วยตำแหน่งไง หากเป็นไพร่หลวงเลี้ยงม้า เบี้ยหวัดเงินปีไม่เคยได้ได้แต่อาหารปะทังชีวิต หากวันหนึ่งมันได้สินบนให้มาประหารข้าพเจ้า แม้จับได้ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้สึกโกรธนักเพราะสองตาข้าพเจ้าไม่เคยแลให้มันร่มเย็น แต่อย่างท่าน ข้าพเจ้าถนอมไว้ในที่สูงสุดก็หวังจะได้ค่าตอบแทนที่เสมอกัน อย่าว่าถึงทำเนื้อ ข้าพเจ้าให้ได้เลือดเท่ายุงอิ่มหนึ่งเลย เสมอท่านกล่าวคำไม่จริงใจแก่ข้าพเจ้าเพียงคำเดียวก็ถือเป็นโทษใหญ่หลวงที่สุด เพราะข้าพเจ้าเชื่อใจท่าน แม้นันทวดีเมียที่กกกอดนอนอยู่ทุกคืนก็ไม่เคยเชื่อว่าจะตรงยิ่งไปกว่าพี่ท่าน” จะเด็ดรู้สึกตัว สำนึกผิด ทรุดลงกับพื้นกราบมังตรา “ท่านเกรงข้าพเจ้าลวงเล่นแล้วเอาผิดภายหลังหรือ ข้าพเจ้าคิดบำรุงท่านกับพระพี่นางด้วยใจจริง แม้เหล่าญาติในราชวงศ์ตองอูออกปากยังห้ามข้าพเจ้าไม่ได้เลย”
“ข้าพเจ้าละอายใจ คุณสมบัติในกายไม่เสมอที่น้องท่านยกย่องไว้ใจ” มังตรายิ้มเยาะ
“หมายว่าพี่ท่านได้ประกอบการร้ายลับหลังข้าพเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าพเจ้ายินดีสารภาพ ยอมรับโทษลบความผิดด้วยความเต็มใจ”
มังตราตัดสินใจบอก
“พระอาจารย์แค้นพี่ท่านมาก เมื่อรู้ว่าท่านบังอาจลวงเอา เป็นรับสั่งเราให้ไปรับพระธิดาแปรมาสู่ตองอู” จะเด็ดตกใจ
“พระองค์รู้แล้วหรือ”
“พระอาจารย์เป็นผู้นำความมาแจ้งข้าพเจ้าเอง ถึงกับคิดละจีวรออกมาประหารพี่ท่านด้วยตัวเองทีเดียว”
มังตรายกมือให้สัญญาณ ราชมัลต่างพุ่งออกมาจากต้นไม้ข้างทางพร้อมอาวุธล้อมจะเด็ดไว้ จะเด็ดนิ่งไม่คิดหนี สีหน้าสำนึกผิด ยอมตาย
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ห้องกุสุมาในเรือนจ่าบ้าน กุสุมานอนอยู่ร้องตกใจผวาตื่น ลุกขึ้นนั่ง นางข้าหลวงที่นอนอยู่ข้างๆ สะดุ้งตื่นมาเห็นกุสุมานั่งหายใจหอบ รีบขยับเข้ามาดู
“เป็นอะไรตะละแม่”
“เราหายใจไม่ออก พาเราออกไปรับลมข้างนอกหน่อย”
โชอั้วรีบเข้ามาพยุงกุสุมาออกไป
โชอั้วพากุสุมาออกมาประทับรับลมที่ลานหน้าบ้าน และนั่งพัดวีให้อยู่ข้างๆ นาคะตะเชโบเดินระวังยามอยู่ มองมาไม่ชอบใจ
“ทำไมยังไม่นอน ไม่สบายเท่าอยู่ในตำหนักหลวงละซิ”
“ตะละแม่ฝันร้าย เกรงจะเด็ดท่านจะเป็นภัย”
นาคะตะเชโบใจหาย แต่ยังทำเป็นปากกล้า
“ไม่น่าเชื่อคนง่ายเลย ผู้ชายก็อย่างนี้ วันนี้ได้ไปปะหน้าตะละแม่ตองอู ก็คงลืมพวกเราสิ้น”
นาคะตะเชโบเดินจากไป กุสุมายิ่งรู้สึกกลัว เศร้ากว่าเดิม
“ผู้ชายอะไร ปาก เหมือนตัวเองไม่ใช่ผู้ชาย” โชอั้วบอกอย่างไม่พอใจ
มังตรายืนมองจะเด็ดที่คุกเข่าน้ำตาคลออยู่ตรงหน้า อย่างคนเลือดเย็น
“พระมหาเถรรักท่านเป็นที่สุด ยังไม่ยอมนับท่านอยู่ในสารบบชาวตองอู ความแจ้งออกมาแล้ว พี่ท่านจะละพระพี่นางพาหญิงอื่นคืนแปรก็บอกมา”
“เมืองแปรหรือเมืองใดก็จะไม่ขอไป ข้าพเจ้าจะขอรับโทษอยู่กับแผ่นดินตองอู” มังตราหัวเราะชอบใจ
“วันนี้ข้าพเจ้าประสบความยินดีถึงสองประการ” มังตราดึงจะเด็ดขึ้นมากอด จะเด็ดงง “ข้อแรก ได้รู้ซึ้งถึงหัวใจเบื้องลึกของพระอาจารย์ว่าไม่มีสิ่งใดที่เจ้าขรัวองค์นี้จะรักเสมอแผ่นดิน ข้อสองข้าพเจ้าดีใจที่รู้จุดอ่อนว่าการจะเอาชนะพี่ท่านได้ ต้องรู้จักใช้ความอารีต่อ ข้าพเจ้าได้ทหารคู่เมืองตองอูกลับมาแล้ว” จะเด็ดยังงง
“มังตรา ท่านไม่ลงโทษข้าพเจ้าตามพระอาจารย์แนะดอกหรือ”
“ข้าพเจ้าอาศัยความโกรธพระอาจารย์เย้าท่านดอก และพี่ท่านก็สำแดงโทษรับผิดสมคิดที่อยากเห็นแล้ว” มังตราให้สัญญาณราชมัลออกไป “ทุกครั้งที่พระอาจารย์สำแดงเมตตาจิตต่อพี่ท่าน ข้าพเจ้าจะเก็บมาน้อยใจว่าพระอาจารย์บำรุงศิษย์ไม่เสมอกัน ลุมาวันนี้ข้าพเจ้าหมดริษยาพี่ท่านแล้ว เพลานี้มีเพียงว่าทำอย่างไรข้าพเจ้าจะได้เยี่ยมชมโฉมตะละแม่เมืองแปรบ้าง ทส่วนเรื่องพระอาจารย์กุโสดอพี่ท่านต้องแก้เอง ข้าพเจ้าสุดจะช่วย” มังตรายิ้มเย้ยจะเด็ดแล้วเสด็จไป
จะเด็ดโล่งอกไปเปาะ แต่ก็เริ่มหนักใจเปาะหลังว่าจะแก้ไขอย่างไร
จะเด็ดขี่ม้าเข้ามาลานหน้ากุฏิมหาเถรเงียบๆ เห็นภายในห้องมหาเถรยังมีแสงตะเกียงอยู่วับแวม จะเด็ดลงม้าทรุดลงกราบกับพื้นไปทางโบสถ์ แล้วจึงตัดสินใจขึ้นไปบนกุฏิ จะเด็ดเดินขึ้นบันใดอย่างหวาดหวั่น
จะเด็ดเดินขึ้นกุฏิมาเห็นมหาเถรยังนั่งสมาธิอยู่ในห้องจึงก้มลงกราบที่หน้าประตู
“เรากับเจ้าสิ้นวาสนาสัมพันธ์กันแล้ว หากยังนึกถึงคุณเราอยากจะสนองอยู่ ก็จงอย่ามาให้เห็นหน้าอีก” มหาเถรบอกทั้งที่ยังหลับตา
“พระเจ้ามังตราได้ชื่อว่าใจเหี้ยมอารมณ์ร้าย จนได้ชื่อว่าเป็นพญายักษ์เมืองตองอู ยังฟังข้อมูลที่ข้าพเจ้ากราบทูล แต่เจ้าพระคุณวัดกุโสดอที่มีพระคุณแผ่ไปทั่วคนทั้งแคว้น ทำไมไม่คิดฟังข้อเท็จจริงบ้าง”
“เจ้ามาเวลาดีแท้ หากเราไม่อยู่ในสมาธิอย่าหมายว่าจะได้เข้ามาต่อคำในเขตมณฑลวัดเด็ดขาด”
“สำหรับพระคุณ จะลงโทษอย่างไรก็สุดแท้แต่เถิด”
“มังตราพึงใจไว้ชีวิตอ้ายคนทรยศร้อยเล่ห์ โทษเทียบขบถได้อย่างไร”
“มังตราไว้ชีวิตข้าพเจ้าถวายเป็นเครื่องบูชาคุณพระคุณเจ้า ที่กระทำการสมกับเป็นพ่อแผ่นดินตองอู บารมีพระอาจารย์ยังคุ้มหัวข้าพเจ้าอยู่เสมอ”
“มึงโตจากกูไปนานจนลิ้นวอนขมังแล้ว จงเก็บคำวอนมึงไปกล่าวกับอีสาวแปรเถิด กลับไปเสีย อย่าก่อบาปยั่วกูให้ฆ่ามึงเลย”
“ข้าพเจ้าไม่ขอไปไหนทั้งนั้น” มหาเถรลืมตา
“มึงจะยั่วกูเกิดกาลีจิตทำเศร้าหมองแก่พระศาสนาหรือ”
จะเด็ดน้ำตาคลอ เสียงสั่น
“เป็นตายก็จะขอพูดให้สิ้นความก่อน”
มหาเถรหันมาจะเอาเรื่อง แต่พอเห็นน้ำตาจะเด็ดก็ใจอ่อน
“มึงเติบกล้าพ้นวัยปกครองกูแล้ว เป็นคนในพระเจ้าตองอูโดยตรงเจ้านายไม่เอาโทษ เห็นว่าเลี้ยงกันได้ก็สุดแต่ใจ ไม่จำเป็นต้องบอกกูอีก”
จะเด็ดร้องไห้เข้ามากราบที่ตักแล้วกอดมหาเถร
“ขอข้าพเจ้าพูด แล้วจะฆ่า ข้าพเจ้าก็ยอม”
มหาเถรงอน พยายามสะบัดให้จะเด็ดหลุด แต่จะเด็ดกอดแน่นไม่ยอมปล่อย
“ปล่อย อย่ามากอด ปล่อย”
“ไม่ ให้ตายก็ไม่ปล่อย”
“ปล่อย ปล่อย กูร้อน”
จะเด็ดยิ่งกอดแน่นเข้าไปอีก
“ไม่ จะกอดให้ร้อนตายไปเลย”
มหาเถรเลิกดิ้น หายโกรธหมดแล้ว แต่จะเด็ดยังกอดอยู่
“งั้นก็ตามใจ มึงไม่ร้อนก็ช่างมึง”
เช้าวันรุ่งขึ้นจะเด็ดควบม้ามาคนเดียว
จนมาถึงเนินจึงเห็นมังตราควบม้าขึ้นเนินลงมาหาอย่างรวดเร็วกับมหาดเล็ก จะเด็ดหยุดม้าถวายคารวะ มังตราควบม้ามาเทียมม้าจะเด็ด
“ข้าพเจ้าขอตามไปรับตะละแม่เมืองแปรด้วย อยากรู้ว่ารูปลักษณะแปลกจากสตรีอื่นอย่างไร พี่ท่านถึงหลงสวาทไปชิงคืน” จะเด็ดชักม้าเดิน
“ชาตาข้าพเจ้าเหมือนพยัคฆ์ถูกแย่งเหยื่อ เมื่อได้คืนมาจึงหวงผูกพันกว่าปกติ หวังทำนุบำรุงไม่ให้ผู้ใดหมิ่นอดีตนางได้”
“ข้าพเจ้ามีฤทธิ์ทำให้พี่ท่านได้ครองสตรีที่รัก พร้อมกันถึงสองนาง แต่กรรมตัวกลับกำลังจะร้างสตรีปอง”
“พระองค์หมดเสน่หาพระมเหสีนันทวดีเสียแล้วหรือ”
“ความสุขข้าพเจ้าเหมือนไม่ใช่ผัวเมีย นางอัธยาศัยดีเกินนิสัยข้าพเจ้า พี่ท่านก็แจ้งดีว่าข้าพเจ้าเป็นคนกระด้างตึงตังไม่ยอมคน ซ้ำปัจจุบันยังอบกายด้วยไอเหล้าแทบทั้งวัน นางปฏิบัติต่อข้าพเจ้าเหมือนเป็นพี่ชายมากกว่า รสสวาทอย่างผัวเมียจืดจางสิ้นแล้ว”
“จะถึงการร้าวฉาน ชีวิตรักอัปปางเลยหรือ”
“วัยอย่างเราท่านก็รู้ดี เรื่องนี้สำคัญน้อยกว่าเครื่องต้นหรือ แต่ข้าพเจ้าเกรงจะกระทบใจขุนวังผู้พ่อ หากเกิดการร้าวฉานกับลูกสาว วันหน้าจะเป็นเสี้ยนแสลงใจกันเสียเปล่า”
“หากข้าพเจ้าขอพระองค์ให้ยกนันทวดีเป็นมเหสีสืบไป โดยหาสตรีอื่นมาปรนนิบัติให้ต้องอัธยาศัยแทน พระองค์จะรับสัญญาข้าพเจ้าได้ไม๊”
“ท่านก็ชายเราก็ชาย คำนี้อย่าพูดกัน นางผู้นั้นเป็นใคร”
“ลูกสาวแม่ทัพกรุงแปร ชื่อโชอั้ว”
“รูปงามไม่เสมอตะละแม่เมืองแปรซิ ถึงผ่านมาสู่เรา”
“ข้าพเจ้าเห็นว่าอัธยาศัยน่าจะต้องกับพระองค์ดอก โชอั้วคือเรือโอ่เปรียวน้ำสำหรับเจ้านายจะขี่เล่นให้เริงพระทัย ข้าพเจ้าได้พามาอยู่ที่นิคมแปรนี้แล้ว” มังตราหัวเราะชอบใจ
“นางชื่อโชอั้วหรือ งั้นก็เร่งม้าไปให้ถึงนิคมแปรเร็วๆ เถิด ฮู้ๆๆ”
มังตราคึกจัดเร่งม้าควบนำไป จะเด็ดและมหาดเล็กรีบควบตามไป
ลานหน้าเรือนจ่าบ้าน นิคมแปร เด็กๆ กำลังวิ่นเล่นอยู่กับนาคะตะเชโบ มังตราควบม้าผ่านไปอย่างคึดคะนองจนถึงลานบ้าน จ่าบ้านกับทหารตองอูที่เฝ้ายามอยู่เห็นรีบทำการคารวะ นาคะตะเชโบยืนมองงง จะเด็ดกับมหาดเล็กควบม้าตามมา
“อยู่ไหน นางที่พี่ท่านแจ้งข้าพเจ้า”
“เรือนโน้นพระองค์”
จะเด็ดลงเดินจูงม้าไปเรือนจ่าบ้านที่ยกให้เหล่าสตรีอยู่ กุสุมาออกมารับจะเด็ดยืนรออยู่บนระเบียง ด้วยความดีใจ มังตรามองแล้วแกล้งลองใจ
“นี่หรือ นางที่แจ้ง”
กุสุมาไม่พอใจที่ถูกจ้องมอง
“เออ ผู้ใดกัน” จะเด็ดตกใจ
“พระเจ้าอยู่หัวมังตรา น้องท่าน บุญแม่แล้วที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาให้เฝ้าถึงเรือนพัก ลงมากราบพระองค์ให้เป็นสิริมงคลเร็วเถิด ลงมาซิ”
กุสุมาจ้องพิจารณาแล้วเสด็จลงมากราบ
“นางกรุงแปรถือศักดิ์เสมอเรา ถูกเตือนให้เคารพยังต้องชั่งใจ”
“เมื่ออยู่กรุงแปรข้าพเจ้ามิเคยได้ไหว้ผู้ใดก่อน เมื่อพิจารณาเห็นพระเจ้ากรุงตองอูว่าสมลักษณะมหาบุรุษจึงเกรงพระบารมี” มังตราหัวเราะเสียงดัง
“ตะละแม่แปรช่างเจรจานี่เอง” มังตรามองหาโชอั้ว “แล้วนางที่ตามมาด้วยละ”
“เออ ข้าพเจ้าจะขอเบิกตัวแม่นางโชอั้วเข้าเฝ้าด้วย” จะเด็ดบอกกุสุมา
“นางกับเหล่าข้าหลวงไปอยู่ที่บึงท้ายหมู่บ้าน คงต้องรอให้ผู้ใดไปเรียก” จะเด็ดหันมายิ้มกับมังตรา
“แม่นางโชอั้วคงสาละวนเล่นน้ำเพลินอยู่ทางโน้น” จะเด็ดชี้ให้เห็น “พระองค์คงต้องรอให้นางประดับกายให้สมควรก่อน ข้าพเจ้าจึงจะนำเข้าเฝ้าได้ ขอพระองค์เสด็จทอดพระเนตรรอบนิคมให้สำราญก่อนดีกว่า” จะเด็ดขยิบตาให้
“ก็ได้”
“ข้าพเจ้าขออาสาเป็นผู้นำทางเอง”
จ่าบ้านกับมหาดเล็กขยับม้าจะตาม
“ไม่ต้องตาม”
มังตราควบม้านำออกไปตามทิศที่จะเด็ดชี้ให้ดู นาคะตะเชโบเดินมามองอย่างไม่พอใจ
“วานตะละแม่จัดรับเสด็จเถิด ประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะนำพระเจ้าอยู่หัวมา”
จะเด็ดขึ้นม้าควบตามออกไป กุสุมามองตาม เห็นนาคะตะเชโบยืนมองอยู่เบื้องหลังไม่ไกล
อ่านต่อหน้า 4
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ป่าละเมาะริมบึง มังตรากับจะเด็ดเดินม้าลัดเลาะต้นไม้มา
เสียงโชอั้วและเหล่านางข้าหลวงหัวเราะเล่นหัวกันอย่างสนุกสนาน จะเด็ดรีบลงม้าเอามาผูกไว้แล้วลัดเลาะตามต้นไม้ไปจนถึงริมบึง โชอั้วกำลังแหวกว่ายน้ำเล่นกับเหล่านางข้าหลวง ตองสาและบางคนซักผ้าอยู่บนฝั่ง จะเด็ดกับมังตราแอบมองอยู่
“คนไหนคือแม่นางโชอั้ว”
“ท่านคิดว่านางคนไหนสมควรเป็นบาทบริจาริกาท่านล่ะ”
โชอั้วกำลังเล่นน้ำอย่างมีความสุขห่างจากคนอื่นๆ มังตราเพ่งมอง
“แม่นางที่ปล่อยผม นั่นใช่ไม๊”
“เทพยดาได้อุ้มสมนางให้มาเป็นข้ารองบาทพระองค์แล้ว”
“เราอยากเป็นปลาเข้าไปตอดเนื้อใต้น้ำนางเหลือเกินแล้ว”
มังตราจัดการเปลื้องเครื่องทรงออกทันที จะเด็ดหัวเราะ
“การเช่นนี้ข้าพเจ้าคงไม่ต้องอยู่ช่วยท่านแล้ว”
จะเด็ดรีบกลับออกไป มังตรากระโดดลงน้ำเสียงดังตูม เหล่านางสนมตกใจพากันวิ่งขึ้นน้ำแตกกระเจิง
“ว้าย ตะเข้ตะโขง ข้าพเจ้าไม่อยู่แล้ว”
“รอข้าพเจ้าด้วย” โชอั้วบอกแต่ไม่มีใครรอ
มังตราดำน้ำตรงไปหาโชอั้ว เห็นขาโชอั้วกำลังว่ายหนี มังตราดำน้ำเข้าหาโชอั้วแล้วจับขาไว้ได้ โชอั้วตกใจพยายามถีบสู้แล้วร้องสุดเสียง
“ช่วยด้วย ตะเข้ตะโขงงับขาเรา”
ตองสาและเหล่านางข้าหลวงยิ่งตกใจกลัวพากันหอบเสื้อผ้าหนี โชอั้วพยายามดิ้นสุดฤทธิ์จนมังตราโผล่ขึ้นมาให้เห็นตัว
“เนื้อใต้น้ำแม่นางนิ่มเหลือเกิน”
โชอั้วเห็นเป็นคนก็โกรธเข้าตบตี มังตราไม่ยอมแพ้พยายามกวดไล่จนโชอั้วขึ้นฝั่งได้
“ตัวเป็นใครถึงบังอาจ เราจะเอาชื่อแจ้งบุเรงนองให้สิ้น”
“หากแม่นางรู้จักเราจะไม่หนีตายอย่างนี้ดอก สตรีที่เราไม่ปลงใจต่อให้ไม่มีผ้าพันกายมายืนต่อหน้าอย่างนี้ ก็ไม่มีวันมอง” โชอั้วเพิ่งรู้ตัวว่านุ่งกระโจมอกอยู่ก็อายเอามือปิด มังตราหัวเราะ “หญิงที่อยู่ต่อหน้าเราเพลานี้เป็นที่ต้องใจอยู่ อย่าอายเลย ขอดูให้เต็มตาเถิด”
มังตราดึงมือโชอั้วออก โชอั้วตกใจยกมือฟาด มังตราหลบด้วยความสนุก จนสุดท้ายหลบไม่ทันโดนฟาดเต็มหน้า มังตราตกใจตบหน้าโชอั้วคืนจนกระเด็นตกน้ำ โชอั้วตกน้ำดำดิ่ง มังตรายืนมองรอโชอั้วขึ้นจากน้ำ
“ทำเป็นเล่นตัว ยินชื่อกูแล้วจะครั้นคร้าม” โชอั้วยังคงดำดิ่งอยู่ในน้ำไม่ได้สติ “ทำไมยังไม่ขึ้นมาอีก”
มังตราตัดสินใจกระโดดลงไปช่วย
มังตรากระโดดลงมาควานหาโชอั้วจนเจอแล้วรีบประคองขึ้นเหนือน้ำ มังตราประคองโชอั้วถลึงโผล่น้ำขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
นาคะตะเชโบยืนมองจ่าบ้านนำทหารเอาชุดมังตราที่ถอดทิ้งไว้ที่บึงมาถวายคืน จะเด็ดรับมาช่วยแต่งให้มังตรา
จะเด็ดมองมังตรายิ้มๆ
“แม่นางโชอั้วนี้มีบุญหนัก ตกมาถึงตองอูจะสัญจรไปไหนฝ่าเท้าไม่ได้ต้องละอองดิน” มังตราเขิน
“ข้าพเจ้าทำความใหญ่ไว้ นางคงโกรธไม่อภัยข้าพเจ้าเป็นแน่ จะทำอย่างไรดี”
“ข้าพเจ้าเองก็ขอถวายความละอายแทน พระองค์มิบังควร”
“อย่าซ้ำเติมเราเลยช่วยหาทางแก้ให้ข้าพเจ้าก่อน จะให้เอาทองคำเท่ารูปแม่โชอั้วมาทำขวัญก็ยอม”
มังตรากลุ้มใจจริงๆ เดินไปเดินมา นาคะตะเชโบยืนมองอย่างไม่พอใจ เริ่มรู้สึกไม่ดี จะเด็ดทำเป็นกลุ้มแต่แท้จริงแอบยิ้มกับตัวเอง
โชอั้วนอนลืมตาอยู่ในห้องกุสุมาอย่างโกรธแค้น มีกุสุมา ตองสากับนางข้าหลวงดูแลอยู่ใกล้ๆ
“ข้าพเจ้าถูกกระทำถึงเพียงนี้ ตะละแม่ยังจะให้ข้าพเจ้าอภัยมันอีกหรือ”
“น้องท่านอย่าเพิ่มโกรธข้าพเจ้าไปอีกคน หากน้องท่านรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครก็คงพูดไม่ออกอย่างข้าพเจ้า”
“ถ้าตะละแม่คิดจะถือฝ่ายบุเรงนอง ปล่อยให้คนตองอูมาย่ำยีข้าในบังคับ ก็จงส่งข้าพเจ้ากลับกรุงแปรเถิด”
“พระเจ้าตองอูรุกรานน้องท่านวันนี้ ควรจะถือเป็นผลข้างดีมากกว่า”
โชอั้วขยับลุกขึ้น
“พี่ท่านว่าอะไรนะ มันผู้นี้เป็นใคร”
“พระเจ้าตองอู ตะเบงชะเวตี้แห่งเมงกยินโย หากพระองค์โปรดน้องท่านเป็นพระสนมเอก ข้าพเจ้าถือว่าเป็นลาภแห่งชีวิตตัวที่สุด” โชอั้วนิ่ง ดวงตายิ่งเกิดความอาฆาตแค้นยิ่งขึ้น “บุเรงนองกับข้าพเจ้าคิดการตั้งแต่ออกจากกรุงแปรแล้วว่า หากมีโอกาสได้เสริมบุญ จะขอถวายน้องท่านเป็นบาทบริจาริกาแก่พระเจ้ามังตรา ชาตากำหนดมาอย่างนี้วานน้องท่านอย่างเคืองพระองค์เลย”
โชอั้วยิ้มเลือดเย็น
“เมื่อแค้นข้าพเจ้าบรรลุได้เป็นถึงเมียพระเจ้าตองอู ขอตะละแม่อย่าได้ห้ามแค้นข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะเอาพระเจ้าตองอูไว้ในกำมือให้จงได้”
สีหน้าโชอั้วทำให้กุสุมาตัวเย็นขึ้นมาทันที
จะเด็ดกับมังตรานั่งคอยอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นาคะตะเชโบยืนทำลับๆ ล่ออยู่ที่โรงม้ามองอยู่ กุสุมามีสีหน้ากังวลลงมากับเหล่านางข้าหลวง จะเด็ดกับมังตรารีบลุกมาหา
“นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นปกติทุกอย่างแล้ว”
“นางโกรธเราอยู่ไม๊”
“ข้าพเจ้าแจ้งแก่นางแล้วว่าพระองค์เป็นใคร ข้าแผ่นดินคนใดต้องราชทัณฑ์แต่น้ำมือพระเจ้าอยู่หัว ย่อมถือเป็นเกียรติยศยิ่งนัก” มังตรายิ้มออกมาได้
“จะเด็ดพี่ท่านเลือกนางได้ต้องอัธยาศัยข้าพเจ้ายิ่งแล้ว”
“ขอพระองค์เสด็จขึ้นไปปลอบนางให้หายตระหนกเถิด”
มังตราหัวเราะเขินๆ จะเด็ดหัวเราะชอบใจเสียงดัง กุสุมาแอบเหน็บจะเด็ดอย่างมั่นไส้ นาคะตะเชโบมองอย่างหมั่นไส้ กระโดดขึ้นม้าควบออกไป
โชอั้วแต่งตัวนั่งคอยอยู่ในห้อง มังตราเข้ามานั่ง โชอั้วก้มลงกราบอย่างนอบน้อม
“บุเรงนองทำกรรมแก่ตระกูลน้องท่าน จึงใคร่ให้เราอุ้มชูทดแทน เราเองก็ได้ใจกระทำการกล้าเกินจนน้องท่านตกใจ แต่เราไม่เคยถูกใครตบหน้าถึงขั้นนี้จึงเผลอโต้ตอบ จะขอเอาทองคำหล่อเท่ารูปน้องท่านเป็นเครื่องทำขวัญ” โชอั้วบีบน้ำตา
“ฟ้าดินบังคับมาถึงขั้นนี้ข้าพเจ้าจะป้องกันตัวได้อย่างไร พระเจ้าอยู่หัวจะชุบเลี้ยงเป็นทาสก็หาทางหนีไม่พ้น”
“อย่าดูแคลนเราว่าใช้อำนาจบังคับถึงเพียงนั้น เราขอให้สัจกิริยาว่าจะรับเลี้ยงน้องท่านให้เสมอหน้าคนตองอู”
มังตราขยับเข้ากอดแล้วหอมแก้มโชอั้ว โชอั้วทำบ่ายเบี่ยง
“อุ้ย แก้มข้าพเจ้ายังระบม ยามนอนเนื้อถูกหมอนยังเจ็บร้าวไปทั้งใบหน้า ขอพระองค์เว้นห่างไว้ก่อน”
“ข้าพเจ้ารักท่านเกินกว่าจะกลัวบาปกรรมทั้งปวง” โชอั้วสะอื้นมากขึ้น
“หากท่านพ่อข้าพเจ้ายังชีพอยู่รู้ว่าพระเจ้าตองอูจะชุบเลี้ยงข้าพเจ้าอย่างนี้ น่าจะปลาบปลื้มพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง”
มังตราดึงโชอั้วเข้ามากอด
“ท่านปะขันหวุ่นญีจะยิ่งยินดีหากท่านได้เป็นสิทธิ์ข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด”
มังตราประครองโชอั้วลงนอน โชอั้วทำเป็นอาย
“ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าเฝ้าต่อยุคลบาทไม่ถึงโมง พระองค์มาทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าอดสูใจเหลือเกิน”
“เราคิดจะชุบเลี้ยงน้องท่านจริงๆ จะต้องนับเวลาทำไม” โชอั้วร้องไห้
“หากพระองค์จะขืนใจข้าพเจ้ายามตะวันตั้งบ่า ข้าพเจ้าจะขอกลั้นใจตาย” มังตราตั้งสติได้จึงขยับตัวออก หัวเราะ โชอั้วลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า “ข้าพเจ้าสวามิภักดิ์พระองค์แล้ว ขอพลัดเป็นยามราตรีเถิด ข้าพเจ้ายินดีสนองเสน่หาพระองค์ตราบวันตาย”
มังตรามองโชอั้วอย่างมีความสุข เอื้อมหัตถ์มาจับปลายผมไปหอมอย่างเสน่หา
เหล่ามหาดเล็กกำลังเลี้ยงม้าเล่นหัวกันอยู่ไกลๆ ส่วนเหล่านางข้าหลวงช่วยกันจัดเตรียมที่เสวยให้มังตราอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีกุสุมาส่งการอยู่ จะเด็ดเดินเข้ามาหา กุสุมาถอนใจลุกมาหา
“น้องท่านคิดการใดอยู่หรือ”
“ไหนท่านว่าจะกลับเข้ากรุงไปจัดกองคชมารับข้าพเจ้า แต่ทำไมจึงมีขบวนตามเสด็จมาเพียงเท่านี้”
จะเด็ดถอนใจขึ้นบ้าง
“ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้กราบทูล มังตราก็เมาขาดสติเสียก่อน”
“พระเจ้าตองอูไม่โปรดให้มีขบวนรับข้าพเจ้าใช่ไม๊”
“ขอน้องท่านอย่าร้อนพระทัย ข้าพเจ้ากำลังหาทางกราบทูลพระองค์อยู่”
จะเด็ดไม่กล้าสู้หน้ากุสุมา กุสุมาเสียใจเดินหนีไป โชอั้วเดินลงเรือนตรงมาหา ท่าอย่างนางพญาจนทุกคนแปลกใจ
“คืนนี้ พระเจ้าตองอูจะประทับแรมอยู่ที่นิคมแห่งนี้ ขอให้ท่านจัดทหารคุ้มกันเดินยามให้ดีเถิด”
จะเด็ดตกใจ นึกไม่ถึงว่าโชอั้วจะวางอำนาจได้ขนาดนี้
“ไม่ได้ พระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จกลับวังหลวงก่อนค่ำ ขุนวังมิได้รู้ถึงหมายกำหนดการนี้ จะเกิดการอลม่านทั้งวังหลวง”
“งั้นท่านก็กลับไปจัดขบวนช้างแห่มารับเราเข้ากรุงตองอูซิ ท่านก็รู้นี่ว่าเพลานี้เรามีตำแหน่งสูงเพียงไร”
โชอั้วจะกลับขึ้นเรือน จะเด็ดรีบตามไปขวางไว้แล้วทำหน้าเศร้า
“วันวาน เมื่อข้าพเจ้าเข้าวังหลวง ได้ข่าวว่ายังมีพระประยูรญาติ เออ...ที่จงรักภักดีต่อตะละแม่ตองอู ไม่ชอบในการนี้อยู่อีกมาก หากข้าพเจ้านำกองคชพาตะละแม่กุสุมาและท่าน แห่เข้าไปเพลานี้ ข้าพเจ้าและพระเจ้าอยู่หัวคงจะถูกเกลียดชังอย่างยิ่ง ขอท่านอย่าวอนให้พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานกองคชแห่เข้ากรุงตองอูเลย” โชอั้วยิ้ม
“แต่คนอย่างข้าพเจ้า จะไม่ยอมเข้ากรุงตองอูอย่างนางเชลยเด็ดขาด ถ้าท่านไม่กราบทูลข้าพเจ้าจะกราบทูลพระเจ้ามังตราเอง”
โชอั้วยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนสะบัดขึ้นเรือนไป จะเด็ดเริ่มกังวลการกระทำของแม่นางโชอั้วในอนาคต
ห้องทรงงานในตำหนักจันทรา จันทราประทับทรงงานผ้าอยู่กับนางข้าหลวง นางข้าหลวงผู้หนึ่งพากันทิมาเข้ามา จันทราเห็นก็ดีใจ
“กันทิมา เป็นอย่างไรบ้าง กลับมาครั้งนี้คงมิต้องพเนจรให้ลำบากเพื่อเราอีกแล้ว”
“ด้วยพระพี่นางมีน้ำพระทัย มอบหมายงานให้ข้าพเจ้าทำถวายถึงเพลานี้ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งใจทำถวายถึงที่สุดแล้ว ข้าพเจ้าจึงจำต้องกราบทูลข่าวที่ไม่น่านำมากราบทูลพระพี่นางเลย”
จันทราหันไปมองเหล่านางข้าหลวง เหล่านางข้าหลวงจึงพากันเลี่ยงออกไป
“หากเป็นข่าวจะเด็ดพาตะละแม่เมืองแปรมาด้วย จะเด็ดได้เข้ามาแจ้งแก่เราก่อนไปกรุงแปรแล้ว” กันทิมาแปลกใจ
“แต่การที่ท่านจะเด็ดมาถึงตองอู แล้วมิเร่งนำตะละแม่กุสุมาเข้าเฝ้าก็เพราะมีแผนลวงพระเจ้าอยู่หัว ให้หลงสวาทแม่นางแปรอีกผู้หนึ่ง ชื่อโชอั้ว”
“เพลานี้ตะละแม่กรุงแปรอยู่ที่ไหน เราอยากเจอ”
“ข้าพเจ้าคาดว่าจะเด็ดกับตะละแม่กุสุมากำลังคิดชั่ว เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวยำเกรงในยศตะละแม่เมืองแปร จึงหาทางถวายแม่นางโชอั้วให้บำเรอ” กันทิมาบอกอย่างแค้นใจ
“กันทิมา ท่านพูดอะไรเราไม่เห็นเข้าใจ”
กันทิมาแค้นนิ่ง น้ำตาคลอ
อ่านต่อตอนที่ 19