ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 13
เวลากลางคืน บนฝั่งน้ำอิระวดี เส้นทางแปร - ตองอู
นาคะตะเชโบนั่งซึมอยู่ข้างกองไฟอย่างเศร้าสร้อย เอาหินขว้างใส่กองไฟเล่นอย่างไม่พอใจ ปอละเตียงกับเชงสอบูนั่งดูแลจุดโคมและจัดหาน้ำดื่มให้จะเด็ดที่อ่านตำราอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จาเลงกาโบแอบชะเง้อมองเศร้าๆ อยู่อีกคน เนงบาเดินอุ้มไหเหล้ามามองอยู่ข้างหลัง จาเลงกาโบหันมาเห็นก็สะดุ้ง เนงบายิ้มเยาะ
"เป็นไง…ตอนเห็นเขามาทำเป็นดีใจเหมือนวานรได้แก้ว ทีนี้เห็นหรือยัง นางไม่ได้มองท่านสักนิด"
จาเลงกาโบไม่พอใจเดินหนีไปหงุดหงิดอยู่ห่างๆ เนงบาจึงเดินมาหานาคะตะเชโบที่หน้าง้ำอยู่
"ผู้ชายที่ไหนจะอยากได้ชายมาเอาใจเท่าหญิง มา..มากินเหล้ากับข้าดีกว่าจะได้หลับสบาย"
เนงบาฉุดแขน นาคะตะเชโบสะบัด
"อย่ามายุ่งกับข้า"
"ทำเป็นงอนอย่างกับผู้หญิง เดี๋ยวก็หอมแก้มดอก"
"อยากโดนเตะปากหรือ" นาคะตะเชโบพูดพลางสะบัดหน้าออกไป
"ไอ้นี่…ไม่รู้จักไอ้เนงบาเสียแล้ว"
จะเด็ดพูดกับสองนางพี่น้อง
"ขอท่านลงไปนอนในเถิด ข้าพเจ้าจะนอนบนฝั่งนี้เอง"
ปอละเตียงบอก
"ข้าพเจ้ายังไม่ง่วง จะอยู่ดูแลท่านก่อน"
จาเลงกาโบเดินหงุดหงิดมาหาจะเด็ดด้วยอารมณ์หึง
"พี่ท่านมีการใดหรือ"
จาเลงกาโบเก้อๆ มองปอละเตียงที่เขินอายแล้วพูดไม่ออก
"เข้านอนเถอะเชงสอบู พี่ง่วงแล้ว"
ปอละเตียงรีบฉุดเชงสอบูลงเรือเข้าเก๋งไป จาเลงกาโบได้แต่ชะเง้อตาม จะเด็ดมองยิ้มๆเจ้าเล่ห์อย่างเข้าใจ
"ท่านคงเป็นห่วงว่าข้าพเจ้าจะมีสวาทกับแม่นางสองพี่น้องนี้ใช่หรือไม่"
จาเลงกาโบน้อยใจบอก
"ข้า…ข้าพเจ้าไม่อาจคิด เพราะนาง..หลงเสน่ห์น้องท่านมาตั้งแต่บ้านทุ่งหันสาวัดดีแล้ว"
"พี่ท่านอย่ากังวล ข้าพเจ้ามีไมตรีเพราะหวังพึ่งนางให้ช่วยนำเข้าหาตะละแม่กุสุมาเมื่อครั้งอยู่กรุงหงสาวดีดอก เพลานี้ข้าพเจ้าได้ตะละแม่กุสุมากลับมาแล้ว และยังจะต้องอภิเษกกับพระพี่นางจันทราอีก เพลานี้ข้าพเจ้าไม่อาจมีใจแก่หญิงใดอีกแล้ว"
"ท่านพูดจริงๆ….ไม่เปลี่ยนคำ"
จะเด็ดพยักหน้ายิ้มๆ
"ข้าพเจ้าตั้งใจจะเจรจานางทั้งสองให้กับพี่เนงบาและสีอ่อง จาเลงกาโบหน้าซีด
"ข้าพเจ้านับถือท่านเป็นพี่ใหญ่ ไม่เคยเห็นต่อคำกับหญิงใดเหมือนตั้งใจจะอยู่เป็นโสด จึงขอไม่จัดการให้เป็นที่ลำบากใจ"
"ข้าพเจ้าเป็นพี่ใหญ่ซิท่านควรจะเห็นใจ เนงบากับสีอ่องมันเหลวไหล ไม่จริงไม่จังกับผู้ใดสักคน น้องท่านไปเชื่อใจมันได้อย่าไร"
"เนงบาสีอ่องมัวแต่เล่นหัวกันไปวันๆ หากได้หญิงดีมาอยู่ดูแล น่าจะลดความเหลวไหลลงได้ แม่ปอละเตียงนั้นเหมาะแก่เนงบานัก…ส่วนแม่เชงสอบูข้าพเจ้าจะเจรจาให้กับสีอ่อง"
"เนงบากับสีอ่องมันคงไม่ขัดดอก แต่แม่นางทั้งสองจะเต็มใจด้วยหรือ"
จาเลงกาโบน้อยใจเดินออกไป จะเด็ดยิ้มมองตาม
จาเลงกาโบนอนลืมตาอยู่อย่างกระสับกระส่ายจนทนไม่ได้ ลุกไปปลุกเนงบากับสีอ่องที่นอนหลับอยู่ใกล้ๆ
"สีอ่อง...สีอ่อง"
สีอ่องสะดุ้งตื่นคว้าดาบ เนงบาสะดุ้งตาม
"พวกหงสาบุก…พวกหงสาบุก" สีอ่องบอก
เนงบาบอก
"ไหน ไหน"
"ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าเป็นการส่วนตัวหน่อย"
"อะไร คนจะนอน พรุ่งนี้ค่อยคุย"
สีอ่องจะล้มตัวลงนอน จาเลงกาโบจับไว้ ส่วนเนงบาลงนอนเหมือนคนละเมอ
"ไม่ได้ ต้องคุยคืนนี้ให้แจ้ง"
"เร็วๆ พูดมา กำลังนอนเพลิน"
"แม่นางปอละเตียงกับเชงสอบู เจ้านิยมในนางใด"
"โธ่เอ้ย ปลุกข้ามาถามแค่นี้ เสียเวลานอน"
"ไม่ได้…เจ้าต้องตอบข้าก่อน ไม่งั้นข้าไม่ให้เจ้านอน" "คืนนี้นายกองคชตกมันเสียเอง ท่านอยากได้ผู้ใดก็เลือกเอาเองซิ ข้าไม่อยากมีแม่มาขี่หัว ว่าแต่บุเรงนองจะแบ่งให้เจ้าหรือเปล่าเท่านั้น"
จาเลงกาโบเขย่าถาม
"แล้วเจ้าละเนงบา"
เนงบานอนหลับตาพูด
"ข้ามีคนที่รักคอยอยู่ที่ตองอูแล้ว"
จาเลงกาโบนั่งยิ้มอยู่คนเดียว
"ถ้าบุเรงนองจะยกนางทั้งสองให้เจ้า เจ้าไม่เอาแน่นะ"
เนงบา-สีอ่องโพล่งพร้อมกัน
"เอามาทำแม่หรือ"
จาเลงกะโบลุกขึ้นกระโดดตัวลอย
เวลาเช้า จะเด็ดกับเนงบา สีอ่อง นาคะตะเชโบนั่งล้อมวงกินอาหาร ในบรรยากาศสดใส
จาเลงกาโบเดินเข้ามาจะพูดกับจะเด็ด พอหันไปเห็นปอละเตียง ท่าทางเหมือนหายใจไม่ออก
ปอละเตียง เชงสอบูยกอาหารเดินออกมาจากเก๋งพักนั่งข้างๆจะเด็ดท่าทางงงๆว่ามีเรื่องสำคัญอะไร
"นั่งกินข้าวด้วยกันซิพี่ท่าน ข้าพเจ้ามีการจะเจรจาด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่า เมื่อเข้าเขตตองอูแล้วไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดด้วยวิธีไหน แต่มีผู้ที่ต้องเป็นห่วงอยู่คือปอละเตียงและเชงสอบู จึงอยากจะฝากให้พี่ท่านดูแลต่อให้ปลอดภัย"
จาเลงกาโบกระวนกระวายใจ
"ท่านหมายความว่าอะไร"
"ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งสองเป็นฝั่งเป็นฝา"
นาคะตะเชโบดีใจ
"หมายความว่าจะไม่พาแม่นางทั้งสองเข้าวังตองอู ดีจริง ข้าพเจ้าชอบ เอ้ย..เห็นด้วย"
"จะเที่ยวมายกข้าพเจ้าให้ผู้อื่นเป็นผักปลาไม่ได้นะ" เชงสอบูว่า
สีอ่องบอก
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าเองก็ไม่อยากมีเหาอยู่บนหัว"
"การที่น้องท่านทั้งสองเข้ามาอยู่ในการคุ้มครองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงขออำนาจสิทธิ์ที่จะหาทางให้ท่านมีความมั่นคงและเป็นสุข ไม่ต้องการให้ใครมาดูแคลนว่าข้าพเจ้าคุ้มครองท่านไม่ได้"
เชงสอบูบอก
"ข้าพเจ้าไม่เลือกอยู่กับนายกองคะนองลิ้นพวกนี้หรอก"
เชงสอบูลุกวิ่งเดินหนีไปทันที
"นี่..ๆๆๆ กิริยาอย่างนี้ข้าอยู่กับลิงวอกดีกว่า" สีอ่องว่า
"ส่วนท่าน…ปอละเตียง ข้าพเจ้าพอรู้ใจว่าประสงค์ใดจึงตามมา"
ปอละเตียงอายจ้องจาเลงกาโบ…แล้วหลบตา ฝ่ายจาเลงกาโบอึดอัดไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
"เนงบาพี่ท่าน"
จาเลงกาโบชิงพูด
"ข้าพเจ้าถามเนงบามันแล้ว มันมีผู้หมายไว้ในตองอู"
"ไม่ต้องบอกดอก บุเรงนองรู้ตั้งนานแล้ว เรื่องของเจ้าน่ะบอกไปซิว่า รักชอบอยู่กับแม่ปอละเตียง หากไม่ได้เป็นเมียเจ้าจะลงแดงตาย" เนงบาบอก
ปอละเตียงอาย จาเลงกาโบตกใจกลัว
จะเด็ดยิ้มบอก
"ข้าพเจ้าก็พอรู้ แต่หมายจะลองใจให้มั่นว่า พี่ท่านจะดูแลแม่ปอละเตียงไม่ทอดทิ้งในภายหลัง"
"เมื่อคืนนี้ น้องท่านลวงข้าพเจ้า"
"ข้าพเจ้าขออภัยพี่ท่าน ที่ทำให้ต้องว้าวุ่นใจ"
จะเด็ดจับมือปอละเตียงมาส่งให้จาเลงกาโบ
"ขอพี่ท่านครองคู่อยู่กินกับปอละเตียงให้เป็นสุข แม้ข้าพเจ้าจะอายุน้อย แต่ขอถือสิทธิ์ในการเป็นแม่ทัพอวยพรให้ท่านทั้งสองรักกันไปนิรันดร์"
จาเลงกาโบกุมมือปอละเตียงแน่น พูดไม่ออก แล้วยกมือไหว้
"น้ำใจท่านประเสริฐแท้ท่านบุเรงนอง" นาคะตะเชโบบอก
"เราปล่อยให้จาเลงกาโบพี่ท่าน กับแม่ปอละเตียงได้คุยกันสองคนเถิด สายๆเราค่อยออกเดินทางกัน"
จะเด็ดลุกขึ้น เนงบากับสีอ่องเดินตาม นาคะตะเชโบดีใจจนออกนอกหน้าจนลืมทำท่าผู้ชาย ทิ้งให้จาเลงกาโบกับปอละเตียงอยู่กันสองคน จาเลงกาโบอายมาก...ทำอะไรไม่ถูกจนน่าถีบ
เชงสอบูนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ จะเด็ดเดินตรงมาหาด้วยความรู้สึกสงสาร
"ข้าพเจ้าขออภัย เพราะเห็นว่าเมื่อเข้าเขตตองอูแล้ว คงไม่อาจช่วยน้องท่านได้ แล้วกลใดจะให้ข้าพเจ้ามากีดกันน้องท่านไว้เหมือนคนเห็นแก่ตัว ขอน้องท่านมีความสุขกับนายกองม้าสีอ่องเถิด"
"ข้าพเจ้าไม่ฟังลิ้นบุเรงนองอีกต่อไปแล้ว เมื่อข้าพเจ้าไร้ประโยชน์ก็เที่ยวแจกให้คนอื่น พวกลิงตึงตังแบบนั้น ข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วยดอก"
"ถ้าอย่างนั้น เมื่อถึงตองอูจะมีผู้ใดคุ้มครองน้องท่านได้"
"ข้าพเจ้าจะโกนหัวบวชชี ไม่ต้องทำซื่อเป็นวัวควายให้เขาหลอกใช้"
เชงสอบูร้องไห้หนัก
"ฟังข้าพเจ้าก่อนน้องท่าน ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าพเจ้าไม่เคยคิดลวงใช้ท่านเพื่อประโยชน์ตัว น้ำใสใจจริง ข้าพเจ้าก็รักท่านไม่น้อยแต่ต้องเก็บงำไว้ เพราะข้าพเจ้ามีเจ้าของแล้ว ไม่อยากให้น้องท่านต้องระทมใจ"
"ท่านจงรู้ไว้เถิด เมื่อครั้งอยู่ทุ่งหันสาวัดดีท่านเป็นแค่เมงจะ คนจร ข้าพเจ้ายังมอบชีวิตให้ แม้จะรู้ว่าท่านมีตะละแม่เป็นจ้าวหัวใจก็ยังยอมภักดี ท่านเห็นน้ำใจข้าพเจ้าชัดว่าเป็นอย่างไร แต่บัดนี้ต้องมาระทมเพราะท่านไม่ปรารถนา"
จะเด็ดสงสารเชงสอบูอย่างที่สุด ดึงเข้ามากอดน้ำตาคลอ
"เชงสอบู ข้าพเจ้านี้รู้แล้วว่ารักของน้องท่านมีมากแค่ไหนท่านกล้ารักข้าพเจ้าโดยไม่เสียดายชีวิตแล้ว ข้าพเจ้านี้จะทอดทิ้งท่านได้อย่างไร หากรอดชีวิตครั้งนี้ข้าพเจ้าจะรับเลี้ยง ดูแลท่านเสมอตะละแม่เอง"
จะเด็ดหอมแก้มเชงสอบู แล้วดึงมากอดอย่างเอ็นดู เชงสอบูกอดจะเด็ดแน่น
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ในโบสถ์วัดกุโสดอ จะเด็ดเดินเข้ามากราบพระประธาน เพื่อนทั้งสามตามมาลงกราบอยู่ห่างๆ
“เดชะอำนาจพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้ามารำลึกเมื่อยังเล็ก พระอาจารย์แห่งกุโสดอได้ให้ข้าพเจ้าสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อมังตรา จนเติบใหญ่บัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังยึดมั่นในคำสาบานนั้น ไม่เคยคิดจะปลงเศวตรฉัตรแม้แต่น้อย จึงขออาราธนาคุณพระประธาน จงปกป้องผองภัยให้ข้าพเจ้าแคล้วคลาดเถิด”
จะเด็ดก้มลงกราบ ที่ด้านหลังเห็นเงามหาเถรเดินเข้ามา
“ใครว๊ะนั่น มาทำอะไรกันมืดๆ ค่ำๆ อย่างนี้ว๊ะ”
จะเด็ดหันมาแล้วรีบคลานเข้าไปกราบที่เท้าด้วยความเคารพสูงสุด มหาเถรจำได้คับคล้ายคับคลารีบทรุดลงจับหน้าขึ้นมาดู
“เจ้าหรือ จะเด็ด”
“ข้าพเจ้าเองพระอาจารย์”
จะเด็ดกอดมหาเถรแล้วร้องไห้ มหาเถรเงียบพูดอะไรไม่ออก
ในกุฎิมหาเถร มหาเถรมีสีหน้าหนักใจ จิบน้ำชานิ่งคิด นั่งเงียบ จะเด็ดและเพื่อนทั้งสามนั่งอยู่ตรงหน้ารอฟังอย่างหนักใจ จะเด็ดนั้นยังเศร้าสร้อยมาก
“เจ้าคงไม่ได้พบกับตองหวุ่นญีซินะ ข้าสั่งว่าให้เจ้าชะลอการกลับตองอูไว้ก่อน แต่เจ้าก็คงไม่ฟังใครเหมือนเดิม เอาแต่ความคิดตัวเป็นใหญ่ แล้วข้าก็ต้องมาตกที่นั่งลำบาก คราวนี้จะหาทางช่วยได้อย่างไร”
“พระอาจารย์เคยช่วยไว้หนก่อน ขอโปรดช่วยอีกสักครั้ง”
“แม้พระเจ้าอยู่หัวจะยังฟังคำข้าอยู่ แต่ถ้าขอบ่อยๆ สักวันพระองค์ไม่ฟังขึ้นมา คราวนี้ในแผ่นดินใครจะห้ามพระองค์ได้”
“ถ้าพระอาจารย์ไม่ช่วยพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าเฝ้าตามยถากรรมเอง”
“จะมาบังคับข้าด้วยวิธีนี้หรือ ชะช้าเจ้าจะเด็ด เดี๋ยวก็ดีดให้หรอก”
มหาเถรทำท่าจะยกเท้าถีบจริงๆ แต่จะเด็ดไม่หนีจึงยั้งเท้าไว้ ทั้งหมดเงียบไปครู่หนึ่ง
“เอาอย่างนี้ พวกเจ้ากลับไปจัดการแต่งตัวเข้ากรุงให้เต็มยศ สมกับชนะศึกแปรมาให้สมศักดิ์ศรีแม่ทัพ”
“พระอาจารย์มาเงียบๆ อย่างนี้ดีแล้ว ขืนทำเป็นโอ่อ่ากล้าหาญยิ่งไม่ถูกตัดหัวเอาหรือ” สีอ่องถาม
“มึงจะเชื่อกูรึเปล่า”
“แล้วทหารที่ตามมามีแต่พวกพลม้า เราจะแต่งขบวนให้โอ่อ่าได้อย่างไร” เนงบาถาม
“ทำตามที่กูบอกแล้วกัน ส่วนการที่เหลือกูจะปรึกษาขุนวังเอง”
จะเด็ดมองมหาเถรงงๆ แต่ไม่โต้เถียง
ท้องพระโรงฝ่ายในตองอู มังตราประทับอยู่กับนันทวดี ทกะยอดินหมอบเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
“จะเด็ดเหยียบมาถึงชานกรุงตองอูแล้วอย่างนั้นหรือ ดี ให้ซมซานเข้ามาเฝ้า เผื่อบางทีเราจะเห็นใจ” มังตรบอกอย่างไม่พอใจ
“แต่ที่สำคัญชาวเมืองตองอูตื่นเต้นกันยกใหญ่ พากันไปออรอรับอยู่เต็มหน้าเมือง” ทกะยอดินบอก มังตรายิ่งไม่พอใจ
“ไปรอรับทำไม ไม่รู้หรือว่าเราชังมัน”
นันทวดีนั่งฟังอยู่พยายามประนีประนอม
“ทำไมชาวเมืองถึงเห็นชอบขนาดนั้นพ่อท่าน”
“ชาวตองอูมีความนิยมนักรบผู้กล้าเป็นสายเลือด เมื่อแม่ทัพบุเรงนองตีได้แผ่นดินแปรและเมาะตะมะกลับมาจึงอยากยกย่องชมเชยด้วยใจจริง” ทกะยอดินบอก นันทวดีมองพ่อก่อนพูดต่อ
“ถ้าชาวเมืองยกย่องจะเด็ดทั้งกรุง พระองค์ท่านมิควรตัดสินพระทัยวู่วาม ชาวเมืองจะเสียขวัญ”
“ชาวเมืองจะเข้าใจว่ากิจการใด เมื่อได้ทำสำเร็จสนองแผ่นดินแล้วกลับไม่ได้รับการเมตตาจากพระเจ้าอยู่หัว ต่อไปภายหน้าจะหาผู้รับอาสาทำคุณแก่แผ่นดินยาก”
“จะเด็ดทิ้งพี่นางไปหลงหญิงอื่น ล้างเกียรติเราถึงเพียงนี้ยังจะให้เราออกไปรับถึงหน้าเมืองอีกหรือ”
“หามิได้ หากทำอย่างนั้นจะเด็ดอาจจะได้ใจ จะมิเกรงพระราชอาญา แต่ข้าพเจ้าอยากจะให้พระองค์ ได้ทอดพระเนตร ความชื่นชมที่ชาวเมืองมีต่อจะเด็ดว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน แล้วค่อยตัดสินความ”
มังตราหงุดหงิด ตัดสินพระทัยไม่ถูกเพราะยังแค้นอยู่
ที่โรงน้ำชา ขุนเมืองรายเดินนำทกะยอดินกับมังตราที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านขึ้นมาชั้นสอง เห็นผู้คนเต็มร้าน เจ้าของร้านรีบมาต้อนรับ
“ขออภัยเถิด ชั้นบนนี้เต็มแล้ว”
“ไล่มันลงไปให้หมด เราเหมาทั้งชั้น”
มังตราบอกเสียงกร้าว เจ้าของร้านตกใจหันมองขุนเมืองราย ขุนเมืองรายพยักหน้าให้ทำตาม เจ้าของร้านรีบพาแขกคนอื่นๆ ลงไป
“ขออภัยเถิด บนนี้ขออย่าอยู่ดูขบวนเลย ข้าพเจ้าเกรงว่าจะสูงกว่าขบวนบุเรงนอง เดี๋ยวจะดูเป็นการไม่สมควร”
“ใช่ๆ พวกเราลงไปดูข้างล่างดีกว่า”
เจ้าของร้านกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
“ไปเอาเหล้ามาซิ”
เจ้าของร้านหันไปเรียกลูกน้อง แล้วรีบลงไป
“การกลับมาของบุเรงนอง สร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวตองอูมาก โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ต่างพากันอยากเป็นทหาร หากเบื้องหน้า พระองค์ประกาศตัวเป็นจักรพรรดิ เราจะได้กำลังทหารแผ่พระเดชานุภาพไปยังประเทศข้างเคียงได้ไม่ยาก”
“แม้นเราได้เป็นใหญ่ในพุกามประเทศแต่ผู้เดียวเมื่อไหร่ เราจะให้ตีทองปิดปากขุนเมืองอาท่าน” ทั้งหมดพากันหัวเราะ เจ้าของร้านกับเด็กรับใช้เอาเหล้ามาส่ง แล้วออกไป “มาดื่มกันเถิด ไม่ต้องสนใจอะไรอีก นึกว่าได้เปลี่ยนบรรยา
กาศกินเหล้าก็แล้วกัน”
ขุนเมืองรายรินเหล้าถวาย
“ขบวนท่านแม่ทัพมาแล้ว ท่านแม่ทัพบุเรงนองมาโน้นแล้ว ท่านบุเรงนองมาแล้ว โอฬารจริงๆ งามสมเป็นแม่ทัพตองอูจริงๆ บุเรงนองกะยอดินนรธา เฮๆๆๆ”
เสียงชาวเมืองดังเข้ามา มังตรานิ่ง เก็บความรู้สึกอยากดูไว้ ทกะยอดินมองหน้าขุนเมืองรายว่าจะเอาอย่างไรดี
ขบวนม้าตองอูถือธงนำบุเรงนองและเพื่อนทั้งสามมาตามถนนอย่างสง่าทั้งสี่ต่างยกมือไหว้ผู้เฒ่าผู้แก่ไปตลอดทาง
ชาวเมืองบางคนพากันเข้ามาจับไม้จับมือชื่นชม
มังตรานั่งกินเหล้านิ่ง สองขุนกระวนกระวาย อยากจะออกไปดูแต่ไม่กล้า
ท้องพระโรงฝ่ายใน ตองอู มังตรากำลังเสวยน้ำจัณฑ์อยู่กับนางข้าหลวง นันทวดีเสด็จมาฉวยจอกน้ำจัณฑ์ไว้
“หยุดเสวยเถิด พระองค์จะทรงกายไม่ไหวแล้ว” นันทวดีบอก
“ปล่อยเรา คนอย่างเราใครจะมารักชอบก็เพราะเห็นเราเป็นกษัตริย์เท่านั้น วันนี้ท่านไม่เห็นคนตองอูแห่ไปต้อนรับจะเด็ดมืดฟ้ามัวดิน”
“พระองค์เกรงคนจะรักจะเด็ดมากกว่าพระองค์อย่างนั้นหรือ”
มังตราเงียบ เดินไปรินเหล้าเอง
“พระอาจารย์มังสินธูด้วย รักมันเสมอดวงใจ”
“นายม้าต้นมีหน้าที่เฝ้าทะนุบำรุงม้าราชพาหนะ ให้พระจ้าอยู่หัว แต่ไม่เคยจับแส้พัดวีให้พระองค์เลย พระเจ้าอยู่หัวจะโทษว่านายม้าต้นไม่รักพระองค์ เป็นธรรมแล้วหรือ”
“แต่เมื่อเรายกย่องส่งเสริม ทำศึกแปรชนะ เรายินดียกพระพี่นางให้ จนพระญาติฝ่ายในหยามหยันว่าเราเห็นแก่สามัญชนจะเด็ดกลับไม่ปรารถนา จะไม่ให้เราโกรธเอาโทษหรือ”
“คนในแผ่นดินตองอูข้าพเจ้าไม่ได้ดูแคลน แต่มองไปทั้งแผ่นดินแล้ว ข้าพเจ้ามองไม่เห็นผู้ใดจะช่วยพระองค์ให้ปักเสาอย่างมั่นคงในแผ่นดินตองอูนอกจากจะเด็ด หากพระองค์ดำริแต่จะประหารผู้ที่เฝ้าถวายความจงรักภักดีแล้วแผ่นดินนี้พระองค์จะเหลือผู้ใดยืนเคียงข้าง”
มังตรายิ่งน้อยใจ ขว้างจอกเหล้ากระเด็น
“หยุดพูด หยุด”
นันทวดีตกใจทำอะไรไม่ถูก
จะเด็ดควบม้าเข้ามาหยุด แล้วโดดลงเดินเข้าไปในพระราชวังอย่างองอาจ ทหารวังรีบคว้าอาวุธตามไป
จะเด็ดเดินเข้ามาในท้องพระโรงฝ่ายในอย่างองอาจ ทหารเดินคุมมาหยุด โขลนออกมารับ
“พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้ข้าพเจ้าเข้าเฝ้า”
“แต่พระมเหสีมีรับสั่งให้คอยกั้นท่านไว้”
“ไม่ได้ เราต้องทำตามรับสั่งพระเจ้าอยู่หัว”
“แม้แต่ข้าพเจ้าขอร้องหรือท่านแม่ทัพ”
เสียงนันทวดีดังขึ้น จะเด็ดหันไปทางเสียง นันทวดีเดินออกมาจากข้างในกับนางข้าหลวง จะเด็ดรีบทรุดลงกราบ
“ไปอยู่แปรเสียนาน นึกว่าจะไม่ได้เห็นท่านในแผ่นดินตองอูเสียแล้ว”
“แผ่นดินตองอูเป็นที่เกิดและที่ตายด้วย”
“ท่านอย่าเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเพลานี้เลย เสวยน้ำจัณฑ์จนคุมพระสติไม่อยู่ จะเป็นการร้ายแก่ท่าน”
“ข้าพเจ้าตั้งใจแต่แปรเพื่อมาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์มีพระเมตตาให้เข้าเฝ้าจะปฏิเสธได้อย่างไร”
จะเด็ดก้มลงกราบแล้วเข้าฝ่ายในไป นันทวดีตกใจ แต่ทำอะไรไม่ได้
ในโบสถ์วัดกุโสดอ มหาเถรนั่งวิปัสสนาอยู่หน้าพระประธาน จาเลงกาโบ เนงบา สีอ่องนั่งมองอยู่ไกลๆ อย่างกังวล จาเลงกาโบนิ่งเงียบ แต่เนงบา สีอ่อง ยุกยิกๆ อยู่ไม่เป็นสุข
“พระอาจารย์นี่ยังไง พระเจ้าอยู่หัวให้มาตามแม่ทัพบุเรงนองไปเฝ้าไม่ยอมห้ามสักคำ แต่พอตอนนี้มานั่งทำสมาธิ”
“พระอาจารย์กับลูกศิษย์นี่พอกัน”
มหาเถรกระแอมดังๆ
“แนะได้ยินด้วย” สีอ่องบอก
“ข้ามวนท้องเหลือเกิน กลัวแม่ทัพไม่รอดกลับมาจริงๆ”
มหาเถรยังคงนั่งนิ่งเงียบ
จะเด็ดเดินขึ้นท้องพระโรงมาเห็นมังตราประทับอยู่บนพระแท่นพระองค์เดียวเมาเงียบ ท่าทางดูเย็นยะเยือกน่าขนหัวลุก เหมือนระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ตรงกลางจัดตั่งเล็กวางจอกเหล้าให้จะเด็ดตั้งอยู่ จะเด็ดก้มกราบอย่างสูงสุด มังตรายิ้มเย้ย
“วิสัยชาย ข่าวใดจะทำให้หูผึ่งเท่าข่าวอิสตรีงาม ได้ยินคนเล่าลือว่าตะละแม่ธิดาพระเจ้าแปรงามยิ่งนักนั้นจริงหรือ” จะเด็ดเงียบ ไม่ตอบ มังตรารินเหล้าเดินไปส่งให้จะเด็ดที่หมอบเฝ้าอยู่ สีหน้าเลือดเย็น “ที่รโหฐานอย่างนี้ทำกิริยาที่เคยเมื่อแต่น้อยเถิด ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าพเจ้าหน่อยนะพี่ท่าน”
จะเด็ดรับจอกมาอย่างเดาใจไม่ถูก
“ข้าพเจ้าไม่ได้เข้าเฝ้าพระองค์นาน ไม่คิดว่าพระองค์จะเปลี่ยนจากน้ำธรรมดามาเป็นน้ำจัณฑ์”
“นานจนพี่ท่านลืมว่าเราไม่ใช่เด็กน้อย ดื่มซิ พระเจ้าอยู่หัวสั่งให้ดื่ม” จะเด็ดดื่มทันทีอย่างไม่ลังเล แล้วสำลัก แต่พยายามฝืนดื่มจนหมด “ดีมาก” มังตราลงนั่งเสมอจะเด็ด “พี่ท่านยังไม่ได้บอกข้าพเจ้าเลยว่าตะละแม่เมืองแปรงามสมกับคำลือหรือไม่”
มังตรายิ้มให้แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะขำ จะเด็ดยิ้มออก
“งามมาก งามยิ่งกว่าคำลือเสียอีก”
คู่หัวเราะกันเหมือนเด็กๆ แล้วมังตราก็รินเหล้าให้อีก
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 13 (ต่อ)
จาเลงกาโบ เนงบา สีอ่องเดินไปเดินมาอยู่ที่ลานวัดกุโสดอคอยจะเด็ด
ด้านหลังมหาเถรนั่งที่ระเบียงเหมือนแม่นั่งคอยลูกกลับจากโรงเรียน มีตะเกียงดวงเล็กๆ วางอยู่ใกล้ๆ มหาเถรมี สีหน้าเป็นห่วงจะเด็ดมาก
“เราตามไปหาจะเด็ดถึงในวังหลวงเถอะ”
ทุกคนหันไปมองมหาเถรเป็นตาเดียว รอฟังคำตอบ
“ไม่ต้อง”
“ทำไมล่ะ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะรู้เรื่อง”
“ทหารวังไม่ยอมให้พวกเจ้าเข้าถึงฝ่ายในได้ดอก”
“แล้วถ้าจะเด็ดเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร”
มหาเถรมีสีหน้าหนักใจ
“เถอะน่า ลางทีอะไรที่คิดว่าร้ายอาจกลายเป็นดีก็ได้”
“งั้นพระอาจารย์ก็จำวัตรเสียซิ” เนงบาบอกทำให้มหาเถรโมโห
“ข้าไม่ง่วง มีอะไรไม๊ พวกเจ้ากลับไปที่พักเถอะ บางทีจะเด็ดอาจจะกลับมาแล้วก็ได้”
“งั้นข้ากลับนะ ง่วงเหลือเกิน” สีอ่องบอกกับเพื่อน
จากนั้นสีอ่อง จาเลงกาโบ เนงบา ก็ยกมือไหว้ลามหาเถรแล้วขึ้นม้าควบออกไป มหาเถรยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
เวลาผ่านไป จะเด็ดกับมังตรายังนั่งกินเหล้ากันอย่างสนุกสนาน ทั้งคู่เมามากกว่าเดิม จะเด็ดรินเหล้าถวายให้มังตราและตัวเอง
“ไม่น่าเชื่อ คอลิ้นบุเรงนองยอดนักรบของชาวตองอูจะอ่อนกว่าเราถึงสี่จอกต่อหนึ่ง” มังตราบอก
“ข้าพเจ้ามาเฝ้าน้องท่าน ไม่ได้หมายว่าจะมาดวลสุรากับน้องท่านสักหน่อย การสุราข้าพเจ้าคงต้องยอมน้องท่าน แต่อิสตรีน้องท่านต้องยอมข้าพเจ้า” มังตราไม่พอใจ
“แต่ถ้าเป็นด้วยประเพณีทำศึก ชนะได้ครัวเชลยหลวง ท่านชอบที่จะต้องนำมาถวายข้าพเจ้า”
“น้องท่านไพล่ไปเจรจาเรื่องอะไร ข้าพเจ้าเมาจนฟังไม่เข้าใจ”
“ก็พระธิดาเมืองแปรไง พี่ท่านตีได้แปรทำไมไม่นำพระธิดามาถวายเรา” จะเด็ดแทบหายเมา
“น้องท่านเอ่ยจริง หรือลวงเล่น”
“นางนั้นควรเป็นบริจาริกาแห่งเรา” จะเด็ดทำเป็นรินเหล้า
“นางสูญเสียพรหมจรรย์แก่ชายอื่นแล้วไม่ควรจะเป็นเกือกรองบาทพระเจ้าตองอู”
“เสียให้ใคร” มังตราถามเสียงจริงจัง จะเด็กจ้องมองก่อนจะตอบออกมา
“ข้าพเจ้าเอง”
“ท่านล่วงนางซึ่งเป็นครัวเชลย มุมมิบไม่ยอมให้เรา ถือเป็นข้อบังอาจ” จะเด็ดสาดเหล้าทิ้ง
“อันข้อเจรจาของท่าน หากอ้ายจะเด็ดผิดข้าพเจ้าจะฆ่ามันเสีย แต่หากอ้ายจะเด็ดไม่ผิดจะขอเถียงสู้”
มังตราโมโหถีบตั่งกระเด็น
“กำเริบ ถูกชาวตองอูสรรเสริญเข้าหน่อย ก็กลายเป็นคางคกขึ้นวอ” จะเด็ดลุกยืน
“ข้าพเจ้ากับตะละแม่กุสุมา รักร่วมใจกันตั้งแต่แปรยังไม่แตก ครั้นแปรแตก นางกลับถูกสอพินยาหลอกไปเป็นกรรมสิทธิ์ ข้าพเจ้าตามไปชิงคืนมา อย่างนี้จะถือว่าเป็นเชลยหลวงได้อย่างไร”
นันทวดีวิ่งเข้ามากับพวกนางข้าหลวง
“ทรงเสวยน้ำจัณฑ์มากเกินแล้ว กลับบรรทมเถิด จะเด็ดก็กลับได้แล้ว”
“เจ้าคนอกตัญญู เราหมายจะบำรุงให้ยิ่งใหญ่กว่าเสนาทั้งปวง กระทั่งยกพี่นางให้ยังไม่นึกถึงบุญคุณเรา”
“น้องท่านพูดอย่างนี้ข้าพเจ้าน้อยใจจริง ข้าพเจ้าเกิดเป็นข้าก็ได้ทำหน้าที่ข้า ยอมสละชีวิตตัวเพื่อทำราชการให้ท่าน แต่ท่านกลับมาพูดไม่สมลักษณะนาย”
มังตราจะเข้าหาจะเด็ด นันทวดีฉุดไว้
“เราไม่เป็นนาย ก็เพราะไม่ได้สั่งให้เอาหวายลงหลังท่านต่างหาก ทหารกุมตัวจะเด็ดไปลงหวายเดี๋ยวนี้ กูสั่งได้ยินไม๊”
“อย่า อย่าพระองค์ จะเด็ดกลับไป อย่าต่อคำ กลับไปก่อน”
ทหารวังถือหอกวิ่งขึ้นมา 4-5 คน ล้อมจะเด็ดไว้ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้
“กุมตัวมันไว้ ไม่ได้ตัวก็เอาชีวิตมันแทน”
มังตราสั่ง ทหารวังเข้าแทงหมายเอาให้ตาย จะเด็ดจึงสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่าทั้งๆ ที่เมา แล้วแย่งหอกไว้ได้
“อย่าเข้ามาใกล้เรา เรากำลังตาลาย หาไม่พวกท่านจะเจ็บตัว”
สายตาจะเด็ดเห็นทหารล้อมวังเป็นเงาซ้อนกันหลายเงา
“เอาชีวิตมันได้เลย หาไม่กูจะกุดหัวพวกมึงเอง”
ทหารจึงเข้าหมายจับตัวจะเด็ดให้ได้ แต่ก็ถูกจะเด็ดซัดกระเด็น ทหารคนหนึ่งพลาดถูกจะเด็ดฟันเป็นแผลลึก ทุกคนตกใจรวมทั้งจะเด็ดด้วย
“จะเด็ดหนีไป ท่านเมามากสู้เขาไม่ได้ดอก” นันทวดีบอก
“พระเจ้าอยู่หัวทรงอนุญาตให้ฆ่ามันได้ เอาเลยพวกเรา”
ทหารทั้งหมดรวมกำลังกันเข้าจู่โจมจนจะเด็ดได้แผล จะเด็ดจึงบ้าเลือดซัดไม่ยั้ง
“เราไม่อยากทำร้ายท่าน หลีกทางให้เรา” จะเด็ดบอก
“ทหารปล่อยเขาไปเถอะ พระเจ้าอยู่หัวเลือนพระสติเพราะสุรา พระองค์มึนน้ำจัณฑ์ หากมีพระสติคงไม่รับสั่งอย่างนี้ดอก” นันทวดีบอก
จะเด็ดพยายามป้องกันตัวอย่างที่สุด แล้วพลาดถีบทหารคนหนึ่งไปถูกหอกเพื่อนตาย ทุกคนตกใจนิ่ง จะเด็ดได้สติก่อนรีบวิ่งออกไป ทหารวิ่งตาม
“มันฆ่าทหารเรา เอามันมาลงโทษให้ได้”
มังตราสั่งแล้วจะตาม นันทวดีกับข้าหลวงช่วยกันจับไว้
“อย่าเสด็จ พระเจ้าอยู่หัว อย่าตามไป อย่า”
ในป่าละเมาะ จะเด็ดฟุบบนคอม้าที่ควบไปอย่างรวดเร็ว หอกหลุดมือตกลงพื้น
ที่ชุมชนนักโทษแปร นอกเมืองตองอู เชงสอบูยืนคอยจะเด็ดอยู่บนฝั่งข้างกองไฟ เนงบา สีอ่องนั่งอยู่ริมตลิ่ง
ส่วนจาเลงกาโบกับปอละเตียงนั่งอยู่ จะเด็ดฟุบมาบนคอม้าตรงมาที่เรือ
“ท่านบุเรงนองมาแล้ว”
ทุกคนขยับขึ้นดู จะเด็ดควบม้าเข้ามาหยุด เนงบากับสีอ่องวิ่งเข้ามาจับม้ารับตัวลง
“ท่าทางเมาแอ๋มาเลย ริหัดกินเหล้าเสียแล้วแม่ทัพเรา”
“เอ๊ะ ทำไมมีเลือดเต็มตัวอย่างนี้”
“เลือดหมูหรือเปล่า”
จาเลงกาโบเอานิ้วแตะมาดม
“เลือดคน”
ทุกคนตกใจหันมองไปรอบๆ
“อย่าเข้ามา อย่าเข้ามาข้าเมา ข้าบอกว่าข้าเมา อย่าเข้ามา อย่าข้าไม่อยากเอาชีวิตท่าน” จะเด็ดเพ้อ
“พาเข้าที่พักเถอะ คงเรื่องไม่ดีแน่”
เนงบากับจาเลงกาโบพากันพยุงจะเด็ดเข้าที่พัก สีอ่องรีบเอาม้าไปผูก
ในห้องบรรทมมังตรา หมอหลวงพยายามป้อนยาให้มังตราแต่มังตราปัดทิ้ง ทุกคนช่วยกันจับองค์ไว้
“มันฆ่าทหารเราเอาหัวอ้ายจะเด็ดมาแทนแค้นเราเดี๋ยวนี้ มันฆ่าทหารเรา”
มังตราดิ้นจะลุกออกไปให้ได้ แต่เดินได้ไม่กี่กว้าก็เซล้ม นันทวดีกับขันทีเข้าพยุง
“อย่าเสด็จเลย ทรงพระวรกายจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ปล่อยเรา ปล่อย ปล่อย”
เช้าวันรุ่งขึ้น พระลูกวัดกุโสดอกำลังกวาดลานวัดอยู่ ทกะยอดินนั่งเสลี่ยงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เณรองค์หนึ่งวิ่งเข้ามาหา
“พระอาจารย์อยู่ที่ไหน”
เณรชี้ไปที่โบสถ์
“สวดมนต์อยู่ในโบสถ์ทั้งคืนเลย”
ภายในโบสถ์วัดกุโสดอ มหาเถรตกใจหน้าซีด นิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูด
“กรรมมันคงหมดลงแค่นี้แล้ว จะเด็ดเรา”
“ข้าพเจ้าก็หมดหนทางจะช่วยแล้วพระคุณเจ้า” ทกะยอดินบอก
“พระอาจารย์เราอยู่ไหน” เสียงมังตราดังขึ้น
มังตรานั่งอยู่บนหลังม้ากับพวกทหาร มีพระลูกวัดชี้มาทางกุฏิ มังตราเดินอาดๆ มาหาที่โบสถ์ ทุกคนถวายเคารพยกเว้นมหาเถร มังตราเข้ามากราบมหาเถร
“บัดนี้ คนรักของพระอาจารย์ทำความฝากไว้แก่ข้าพเจ้างามนัก” มหาเถรนิ่งฟังเครียด ยังหาทางออกไม่ได้ “จะเด็ดนั้นหนเดิมดังเทพบุตรมาเกิด ทำอะไรผิดพระอาจารย์เข้าช่วยตลอด มองไม่เคยเห็นความผิดของจะเด็ดเลย ครั้งนี้พระอาจารย์จะยังช่วยแก้ให้อีกมั้ย”
“มหาบพิตร อาตมาไม่ใช่เพื่อนโต้คารมเล่น จะเด็ดทำผิดครั้งนี้มหาบพิตรไม่ควรให้มันรอดไปได้” ทกะยอดินตกใจ มังตรานิ่ง จ้องอย่างไม่เชื่อหู “ความผิดจะเด็ดครั้งนี้เป็นอาญาแผ่นดิน ขอพระองค์ออกหมายประกาศจับกุมไปประกาศทุกแขวงเมืองเถิด อาตมาแค้นนักที่สั่งสอนลูกศิษย์มาให้เป็นคนสู้ เพียรปั้นจะให้เป็นตัวตายตัวแทนแก่ตองอู แต่มาทำผิดแล้วหนี อย่านับว่าเป็นศิษย์กันอีกต่อไป”
ทกะยอดินพูดไม่ออก มังตรายิ้มเยาะ
“จะเด็ดมิได้อยู่ในแขวงตองอูแล้ว จะประกาศไปให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา”
“เรื่องนี้คาดไม่ยากจะเด็ดมันจะหนีไปไหนได้ นอกจากกลับไปแปร มหาบพิตรจงแจ้งหนังสือไปให้ขุนพลตองหวุ่นญีเถิดว่า หากจะเด็ดไปถึงแปรวันไหนก็ให้เร่งจับกุมโดยทันทีอย่าเมตตามัน”
“แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าเขาจะมาแอบอยู่กับพระอาจารย์มากกว่า”
“ถ้ามันกลับมาที่นี่ อาตมาจะจับมันส่งมหาบพิตรเอง เป็นพระโกหกได้หรือ”
“ข้าพเจ้าขอกราบพระอาจารย์ที่มีใจเที่ยงตรงนัก” มังตราพนมมือจดหน้าผาก “ครั้งก่อนข้าพเจ้าเคยสงสัยว่าพระอาจารย์ไม่เคยรักข้าพเจ้าเท่าจะเด็ด บัดนี้แจ้งแก่ใจสิ้นแล้ว”
มังตรายิ้มอย่างผู้ชนะ
ตำหนักหลวงจันทรา นันทวดีประทับอยู่บนพระแท่นคู่กับจันทรา สีหน้าเศร้าหมอง
“การนี้ไม่มีผู้ใดรั้งพระเจ้าอยู่หัวได้แล้ว นอกจากพี่หญิง ท่านพ่อบอกว่า พระอาจารย์มังสินธูถึงกับจะออกตามไปกุมตัวจะเด็ดเอง”
“ข้าพเจ้าไม่พบจะเด็ดหลายขวบปี น้ำใจจะเด็ดจะแปรเปลี่ยนไปเท่าใดไม่อาจคาดเดา ถึงการพระอาจารย์ผู้ละกิเลศแล้วยังไม่เข้าข้าง ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ถูกเลือนจะช่วยอะไรได้”
“ข้าพเจ้าผิดเองที่รั้งพระพี่นางให้ลืมจะเด็ดเพราะทนเห็นพระพี่นางเจ็บช้ำใจไม่ได้ ขอพระพี่นางลืมความน้อยใจในตัวจะเด็ดเถิด”
“ข้าพเจ้ามิได้คิดตามอารมณ์ตัว หากแลกด้วยชีวิตยังยินดี แต่การนี้จะเด็ดทำผิดเห็นจริง จะให้ข้าพเจ้าล้างกฎหมายได้อย่างไร”
“พี่นางตีความเข้าข้างองค์เอง แท้จริงพี่นางเกลียดจะเด็ด พี่นางเกลียดจะเด็ดเหมือนมังตรา ทั้งๆ ที่จะเด็ดกลับตองอู เพราะสาส์นพระพี่นางเองแท้ๆ”
นันทวดีร้องไห้ จันทรานิ่งไม่พูดอะไร แต่เรารู้ว่าพระนางเจ็บปวดในหัวใจยิ่งนัก
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ที่ชุมชนนักโทษแปร นอกเมืองตองอู จะเด็ดนั่งกลุ้มใจมาก มหาเถรนั่งนิ่ง คนอื่นๆ นั่งอยู่รายรอบ สีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน
“ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นคนตองอูแล้ว แม้สร้างกรรมชั่วก็ไม่สามารถหนีไปตายเมืองอื่น พี่ท่านอย่าห้ามข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าเป็นข้าในพระเจ้าอยู่หัว ทำไมท่านถึงแนะให้ข้าพเจ้าหนีโทษ”
จาเลงกาโบหันไปมองมหาเถร มหาเถรยังเงียบ
“ข้าพเจ้าจะกลับไปให้พระเจ้าอยู่หัวพิพากษาโทษ”
“ถูกประหารอย่างเดียวนะจะเด็ด”
“หนแรกข้าพเจ้าคิดว่าจะหนีออกตองอูให้เร็วที่สุด แต่พอได้สติจึงตัดสินใจกลับมาตองอู คิดว่าจะขอกราบพระอาจารย์ก่อนตาย”
จะเด็ดมองพระมหาเถรตาละห้อย มหาเถรมองจะเด็ดโมโหที่มายั่วให้ใจอ่อน
“มึงอย่ากำนัลกูด้วยคำพล่อยๆ หนนี้กูนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะหาทางรอดอย่างไร”
“เมื่อข้าพเจ้าบังอาจทำร้ายคนถึงตาย แม้พระอาจารย์จะหาทางรอดให้ได้ แต่ประชาชนจะกล่าวร้ายแก่พระอาจารย์และพระเจ้าอยู่หัวก็จะเสื่อมพระเกียรติที่ถูกข้าพเจ้าหลอก ทางที่ถูกคือให้ข้าพเจ้าจงตายตกไปตามกรรมเถิด”
“อย่าปล่อยให้การเป็นอย่างนี้นะพระอาจารย์ จะเด็ดเพียงแต่ป้องกันตัว ไม่ได้ตั้งใจ” จาเลงกาโบบอก
“จาเลงกาโบพี่ท่าน ข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพขอให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเองเถิด”
“กูก็คิดจนหัวจะแตกก็ยังคิดช่วยไม่ออก มึงจะให้กูทำอย่างไร แล้วอีกอย่าง กูก็ออกวาจาแก่พระเจ้าอยู่หัวไปแล้วว่าถ้าเจอตัว กูจะกุมตัวมึงถวายพระเจ้าอยู่หัวเอง กูเป็นพระ ออกวาจาไปแล้วก็ต้องเอามึงไปให้ได้”
จะเด็ดก้มกราบที่ตักมหาเถร
“ ข้าพเจ้าสงสารใจพระอาจารย์มากที่ต้องคิดกังวลไม่สิ้นสุด นำตัวข้าพเจ้าเข้าวังหลวงเถิด ข้าพเจ้าเองก็ร้อนใจอยากให้เหตุการณ์ดีชั่วสิ้นสุดเร็วๆ ยิ่งล่าช้าก็ยิ่งทรมานใจไปเปล่าๆ”
มหาเถรกลุ้มใจ มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีตัดสินใจไม่ถูก
จันทรานั่งหน้าเศร้าอยู่ในโบสถ์วัดกุโสดอ มหาเถรเดินเข้ามานั่งข้างหน้า นางสนมนั่งอยู่ห่างๆ มหาเถรมองจันทราอย่างหนักใจ
“พระน้องมังตรากล่าวโทษจะเด็ดเป็นที่สำคัญนัก แต่เดิมจะเด็ดยังมีพระคุณเจ้าได้พึ่งพิง มาบัดนี้พระคุณเจ้าปลีกตัวออกไม่คิดบำรุงเหมือนเก่า ข้าพเจ้าไม่อาจกล่าวตำหนิได้ว่าพระคุณเจ้าขาดเมตตา แต่ข้าพเจ้าไม่อาจแข็งใจถึงขนาดพระคุณเจ้า จึงขอมาวอนให้ถึงที่”
“เพลานี้แม้เทวดาก็ช่วยจะเด็ดมันไม่ได้ ขอพระธิดาปล่อยไปตามกรรมเถิด”
“ข้าพเจ้าเพิ่งเคยออกปากขอพระคุณเจ้าเป็นหนแรก ก็ถูกปัดเสียแล้ว”
มหาเถรจ้องหน้าจันทราอย่างหนักใจ
“หากครั้งนี้จะเด็ดจะรอดคงไม่ใช่เพราะอาตมาดอก”
“ยังมีผู้ใดช่วยจะเด็ดได้อีก”
“คงต้องใช้คนสองคนร่วมมือกัน”
“เมตตาแจ้งข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะไปกราบขอความช่วยเหลือเอง”
“คนหนึ่งคือพระธิดาเอง” จันทรางง “อีกคนคือโยมเลาชีโยม แม่จะเด็ดมัน”
“ข้าพเจ้านี้จนด้วยปัญญาแล้วพระคุณเจ้า ส่วนท่านแม่เลาชีใจ ซื่อต่อคุณแผ่นดินเป็นที่รู้กัน คงไม่คิดถึงความสำคัญของ ลูกตัวเกินราชการพระเจ้าอยู่หัว”
“แต่พระธิดาเท่านั้นจะเป็นผู้วอนโยมเลาชีให้ใจอ่อนได้ หากโยมเลาชีพูดขอมังตรา มังตราคงไม่กล้าขัดเพราะดื่มนมเลาชีมากับจะเด็ด แต่สิ่งที่จะวอน อย่าวอนให้นางเอ็นดูจะเด็ด จงวอนให้เอ็นดูพระธิดาเองเถิด พระธิดานั้นมีปัญญาอยู่กับตัวแล้ว จงหาทางเอาโยมเลาชีเป็นที่พึ่งเถิด”
จันทรามองมหาเถรน้ำตาคลอ มหาเถรมองตอบอย่างเมตตา
ขบวนเสลี่ยงจันทราเคลื่อนเข้ามาหน้าเรือนเลาชี บ่าวเลาชีรีบลงเรือนมาคารวะ จันทราลงจากสีวิกาด้วยหน้าเศร้าหมอง เข้าเรือนไป
จันทราเดินเข้ามาทรุดลงไหว้เลาชี เลาชียังนั่งนิ่งเบือนหน้าหนีน้ำตาคลอ
“อ้ายลูกคนนี้เหมือนเกิดมาผลาญเกียรติยศพระเจ้าอยู่หัวแท้ๆ”
“แม่ท่านอยู่ถึงท้ายวังจะฟังความแค่ข้างเดียวได้อย่างไร”
“กระทำเลวเช่นนี้ ข้าพเจ้ายินดีเฉือนเลือดในอกทิ้ง”
“เพลานี้ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่ง หวังมาให้แม่ท่านดับร้อนในใจให้ข้าพเจ้าคงมาผิดที่แล้ว”
เลาชีหันมามองแล้วเกิดความสงสาร จันทราโผเข้ากอด ทั้งสองกอดกันร้องไห้
“อภัยข้าพเจ้าเถิดที่แค้นจะเด็ดแล้วไพล่มาทำกับพระธิดา”
เลาชีจับหน้าจันทราขึ้นเช็ดน้ำตาให้
“ข้าพเจ้า, มังตรา, จะเด็ด ลูกทั้งสามที่ดื่มนมแม่ท่านมา แม่ท่านรักใครมากที่สุด”
“ข้าพเจ้าจะรักใครที่สุดได้นอกจากพระธิดา มังตรากับจะเด็ด แม้จะรักแต่ไม่ได้ผูกพันกันอย่างพระธิดา”
“แล้วหากลูกนี้รักจะเด็ดยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง แม่ท่านจะห้ามหรือไม่” เลาชีตกใจ
“ไปรักคนทรยศต่อพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไร”
“ลูกนี้ใครก็รู้ทั้งลุ่มอิระวดีว่า ถูกพระราชทานให้จะเด็ดแล้ว หากต้องได้ชื่อว่าได้สามีคนต้องโทษหลวงจะทำอย่างไร” เลาชีเงียบ “มังตราสั่งโทษครั้งนี้เพราะหนักสุรา หากแม่ท่านเอ่ยปากขออภัยโทษให้จะเด็ด มังตราคงไม่กล้าขัด”
“ข้าพเจ้า อยู่รับใช้พระเจ้าอยู่หัวด้วยความชื่อสัตย์มาถึงวันนี้ก็เพราะอยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนชั้นหลัง หากต้องถวายสัตย์ลำเอียงเข้าข้างคนตัว ไม่ชั่วก็เหมือนชั่ว”
“แม่ท่านเลี้ยงดูข้าพเจ้าทั้งสามคนมาแต่น้อย ยอมรู้นิสัยแท้ว่าเป็นอย่างไร แม่ท่านเชื่อหรือว่าจะเด็ดจะทรยศมังตราจริง และแม่ท่านก็รู้ดีว่ามังตรานั้น พระอารมณ์ต่างกว่ามนุษย์ธรรมดา หากแม่ท่านยึดคำมังตรามั่นก็เท่ากับแม่นั้นฆ่าลูกทีเดียวถึงสองคน คำที่แม่ท่านบอกว่ารักข้าพเจ้ากว่ามังตรานั้นคงไม่จริง”
จันทราร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม เลาชีร้องตาม
มังตรานั่งเสวยน้ำจัณฑ์อยู่ในตำหนักฝ่ายใน เลาชีเดินเข้าเฝ้ากราบ
“วันนี้ทำไมแม่นมท่านมาทำกับข้าพเจ้าอย่างนี้”
มังตรารีบลุกมารับจะพาขึ้นนั่งตั่ง แต่เลาชีไม่ยอม มังตราจึงล้มตัวลงนอนหนุนตัก
“งั้นข้าพเจ้าจะนอนกินนมนะ” เลาชีเงียบ เศร้า “ข้าพเจ้ารู้นะ ว่าแม่ท่านจะมาเรื่องการจะเด็ด”
“เมื่อพระองค์ยังเล็กเป็นทารก ยามเห็นจะเด็ดกินนมแม่อยู่จะกรีดร้องห้ามจะเด็ดกิน จะเด็ดจะหิวแค่ไหน แม่นี้จำต้องละจะเด็ดไว้มาอุ้มพระองค์แทน การพวกนี้พระองค์ไม่มีวันรู้” มังตราพลุดลุกขึ้น ไม่พอใจ “แต่ยามจะเด็ดกินนมอยู่ มักจะเรียกพระองค์มากินร่วมนม ข้าพเจ้าเห็นมาอย่างนี้ แต่ก็ไม่เคยยกจะเด็ดเกินเหนือพระองค์ ซ้ำยังพร่ำสอนให้มันท่องจำราชวัตรสิบประการถวายแก่พระเจ้าอยู่หัว จนบัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อใจว่าจะเด็ดมันคงยังไม่ลืม”
“แม่ท่านพูดเพื่อให้ข้าพเจ้าสงสารจะเด็ด แต่โทษนี้เป็นอาญาแผ่นดินเป็นหน้าที่ขุนศาลตุลาการ ข้าพเจ้าจะให้เป็นอื่นได้อย่างไร”
“หากแม้นพระองค์หมายว่าข้าพเจ้ามาเฝ้า เพื่อให้จะเด็ดรอดนั้นผิดใจนัก พระองค์แกล้งไม่รู้หรือว่าใจข้าพเจ้าเป็นอย่างไ ข้าพเจ้ามานี่เพราะทนสังเวชพระพี่นางไม่ได้” มังตราหันมาฟัง “พระพี่นางนั้นพระองค์ก็แจ้งแก่พระทัยว่าเป็นผู้มีน้ำพระทัยใสสะอาด ลงปลงใจรักใครแล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปรงได้ หากพระองค์จะเอาโทษคู่สวาทของพระพี่นางถึงตาย ก็เท่ากับได้ประหารพี่นางด้วย”
“ทำไมพระพี่นางไม่น้อยใจบ้างว่าจะเด็ดไปหลงหญิงอื่น”
“ทำไมพระองค์ไม่ตระหนักบ้างว่าที่จะเด็ดไม่หลงลาภยศสรรเสริญที่พระเจ้าแปรปรนเปรอ ย้อนกลับมาให้พระองค์ประหารก็เพราะยึดมั่นในรักพระพี่นาง” เลาชีกราบพระบาทมังตรา มังตราตกใจ “แม่นี้ขอถวายชีวิตแทน เพื่อให้ลูกทั้งสามได้รักกันเถิด”
มังตราทรุดลงกอดเลาชีไว้ด้วยความรัก
“อย่าให้ลูกไปตกนรกว่ายบ่อน้ำตาเลย ถ้าแม่ท่านมีทางแก้ก็แจ้งข้าพเจ้ามาเถิด”
“อันขุนพลนั้นหากโทษทำการขบถจึงควรประหาร แต่โทษจะเด็ดครั้งนี้เท่ากับอันธพาลสุราประหารกัน โทษริบยศลดชั้นไปเป็นไพร่ถือว่าเจ็บอายที่สุดแล้ว”
มังตรามองหน้าเลาชีทั้งๆ ทียังกอดอยู่ พยักหน้าให้
จะเด็ดเดินนำเพื่อนทั้งสามเข้ามามากราบเลาชี เลาชีไม่มองเหมือนไม่รู้จัก มหาเถรนั่งมองอยู่บนตั่งยิ้มๆ
“แม่เจ้าคนนี้ให้กำเนิดเจ้าถึงสองหนเชียวนะจะเด็ด”
“น้ำนมแม่ท่านหยดเดียวชาตินี้ข้าพเจ้าก็ทดแทนไม่หมดแล้ว”
“หากพระพี่นางไม่วอน เรานี้ตัดใจได้”
“โทษเจ้าครั้งนี้ แม่เจ้าต้องเอายศเข้าแลก” มหาเถรบอก จะเด็ดงง
“หมายความว่าอะไรพระอาจารย์”
“นับแต่นี้ไป เจ้าไม่ใช่แม่ทัพทหารตองอูอีกแล้ว เพลานี้เจ้าถูกถอดยศลงเป็นแค่ไพร่”
“ไม่ได้นะพระอาจารย์ ข้าพเจ้าสัญญากับพระเจ้าหงสาวดีแล้วว่าแล้งหน้าข้าพเจ้าจะยกทัพบุกไป”
“นิสัยอย่างนี้ทำผู้อื่นน้ำตาตกยังไม่สำนึกอีก ถูกพิพากษาโทษไปแล้วขออุทธรณ์ใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น” มหาเถรตวาด
“น่าจะปล่อยให้ข้าพเจ้าตายไปเสียยังดีกว่า”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ คนเป็นแม่เลี้ยงดูเฝ้าถนอม ยุงมากัดสักตัวก็ยังเป็นโกรธเป็นแค้น แต่นี่เจ้าลูกมาร้องว่าอยากตายต่อหน้าแม่ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือ” เลาชีร้องไห้ จะเด็ดเสียใจ เงียบลง “และเพื่อเป็นการมัดเจ้าไว้ไม่ให้เตลิดไปไหนได้ ข้าจะจับเจ้าบวชตลอดชีวิต”
“ตลอดชีวิตเลยหรือ” สีอ่องบอก
“เออ หรือมึงจะบวชด้วย”
สีอ่องสั่นหัวก้มหน้าเงียบ
“บวชให้แม่เถอะนะจะเด็ด ลูกอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์จะปลอดภัยที่สุด เชื่อแม่เถอะ”
จะเด็ดนิ่งคิด แล้วเข้ามากราบแม่ที่ตัก เลาชีดึงลูกเข้ามากอดด้วยความรักและคิดถึง
อ่านต่อตอนที่ 14