xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 10

บริเวณปากถ้ำริมทะเล คนโทษกำลังฝึกอาวุธกันอยู่ เมงจะหน้าบานเดินเข้ามากับเมงจา

"วันนี้กล้าต่อปากกับข้าหลวงในวังเชียวหรือพี่ท่าน"
"ความจริงไม่กล้า นางน่าขยาดจริงๆ"

ในตำหนักริมทะเล สอพินยาดื่มน้ำจัณฑ์เดินหงุดหงิดอยู่ใกล้ๆกุสุมา ปอละเตียงกับเชงสอบูคอยถวายงานอยู่ใกล้ๆ อย่างกลัวๆ

ท่าเรือด้านล่างพระตำหนัก ทหารยืนยามอย่างเข็มแข็ง จนกระทั่งเห็นเรือของพวกเมืองแปรแล่นเข้ามา แต่เป็นคนโทษปลอมตัวที่นั่งเรียงมาเป็นแถว คนท้ายเรือคือ เมงจะที่ปลอมตัวเป็นชาวประมง มีผ้าคลุมหัวเห็นหน้าเพียงนิดเดียว
เมงจะเห็นพระตำหนักอยู่ไกลๆ สอพินยาทรุดนั่งโอบกอดกุสมาอยู่ในตำหนัก กุสุมายังไม่แข็งแรงพยายามปัดป้องแต่เบาๆ เมงจะจ้องมองนิ่ง นัยน์ตาร้าวรานยิ่งนัก
ทหารลาดตระเวนที่ท่าเรือ มีไขลูเดินตรวจความเรียบร้อย ... มองออกไปเห็นเรือของพวกเมงจะ
"เฮ้ย…เรือนั้นเป็นของใคร"
"เป็นพวกเรือชาวบ้าน หาปลา"
ไขลูมองเหมือนไม่แน่ใจ
บนเรือ นักโทษแปรทำท่าเหวี่ยงแห เหวี่ยงเบ็ด ไขลูสีหน้าโล่งใจขึ้นด้วยเห็นว่าเป็นชาวบ้านจริงๆ

ในตำหนักพักริมทะเลยามค่ำคืนสอพินยาหงุดหงิดไม่พอใจลุกขึ้นอาละวาด ตะละแม่กุสุมานิ่งทำเป็นไม่สนใจ
"เจ้าสองคนออกไปได้แล้ว"
ปอละเตียง เชงสอบูจะออกไป
"เชงสอบู…ปอละเตียงอยู่ด้วยเราก่อน"
สอพินยาโกรธบอกเสียงดัง
"ออกไป"
เชงสอบูและปอละเตียงจึงค่อยๆคลานออกไป กุสุมาสีหน้าเผือดลง นั่งคอแข็งไม่โต้ตอบ สอพินยาพยายามข่มความแค้นเข้ากุมมือ
"น้องกุสุมา เราเป็นเมียผัวกันแล้ว ขอน้องท่านรักข้าพเจ้าบ้างเถิด อย่าคนึงหาคู่สวาทเดิมอยู่เลย"
กุสุมาน้ำเสียงหยัน
"ท่านคิดจะมาเรียกหาความรักเพลานี้อย่างงั้นรึ"
สอพินยาระงับอารมณ์ไม่อยู่ ผลักกุสุามากระเด็น
"ข้าพเจ้าเป็นเมียไม่เคยผิดหน้าที่เมีย ความหลังของข้าพเจ้าไม่ใช่เรื่องจะมาเจรจากันเพลานี้ ถึงในเพลานั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้ลอบรักให้ผิดประเพณี สมเด็จพ่อเป็นใจรู้กันทั่วราชสำนักแปร"
สอพินยาฮึดฮัด ตอบไม่ถูก
"พอ พอไม่ต้องพูด"
"ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเมื่อใดควรจะทำเช่นใด ฟ้าดินเป็นพยาน ถ้าข้าพเจ้าคลายความภักดีต่อคนที่เป็นสวามีแม้แต่น้อย ก็ให้มีอันเป็นหมกไหม้อยู่ในอเวจีเถิด"
สอพินยาใจอ่อนลง จ้องกุสุมานัยน์ตาซาบซึ้งเล็กๆ
"แต่ท่านจะให้รักท่านเท่ากับคนที่เคยรักนั้นไม่ได้ดอก"
สอพินยาลุกพรวดเหมือนงูถูกตีที่ขนดหาง
"ตะละแม่ฟังไว้ ไอ้จะเด็ดกับข้าพเจ้าจะไม่มีวันอยู่ร่วมแผ่นดินกันได้ ถ้าคิดจะไปอยู่กับมันจงข้ามศพข้าพเจ้าไปก่อน ข้าพเจ้าจะไม่มีวันปล่อยตะละแม่กลับไปอยู่กับมันอย่างเด็ดขาด"
กุสุมายังนั่งนิ่งไม่ไหวติง


ช่วงเวลากลางคืนของวันใหม่ คนโทษกำลังทำคบไฟกากมะพร้าวกับหม้อน้ำมันอยู่ โดยล้อมฟังเมงจาที่ยืนบนโขดหินหน้าถ้ำ ริมทะเลเมาะตะมะ
"คืนนี้เราลงมือพร้อมกันทุกจุด ขอทุกคนแยกย้ายกันทิ้งเพลิงให้ทั่วบริเวณโรงเก็บสินค้าริมน้ำ ระวังอย่าให้ใกล้บ้านคนแลวัดวาอาราม ไหน คบกาบมะพร้าว น้ำมันเชื้อเพลิง"
ทุกคนชูคบที่ทำด้วยกาบมะพร้าว ชูน้ำมัน

หน้าพระตำหนักริมน้ำ เวลากลางคืน ทหารหงสาวดีเดินยามดูเข้มแข็ง ทหารเมาะตะมะยืนเฝ้าเรือ รักษาความปลอดภัยทางน้ำอยู่อย่างไม่ประมาท
เชงสอบู กับปอละเตียงนั่งอยู่หน้าห้อง สอพินยาถืดจอกเหล้าเข้ามาท่าทางเมาหน่อยๆ มองตาขวาง ตะละแม่ยังขุ่นใจทำเป็นไม่สนใจ เดินออกไปเปิดม่านวิสูตรมองออกไปภายนอก
เรือเมงจะและพวกลอยลำอยู่ในทะเล แล้วพูดเบาๆพร้อมชูมือวัดลม
"อีกชั่วยามเดียวน้ำจะขึ้นสูง ลมหัวน้ำเริ่มพัดแล้ว"
หัวหน้าพยักหน้ารับ
"ข้าพเจ้าพร้อม"
เมงจะหันหน้าไปทางเรือนพักริมทะเล สีหน้าเครียด
"คืนนี้...ถ้าทำการไม่สำเร็จ เราจะขอทิ้งชีวิตไว้ใต้ทะเลนี้"

เมงจากับคนโทษแอบเข้ามาซุ่มอยู่ตามที่ต่างๆ คือบริเวณโรงสินค้าริมน้ำ บริเวณที่จอดเรือก่อนให้สัญญาณคนโทษเหล่านั้นลงมือได้ คนโทษจัดการจ่อชุดจุดไฟเข้ากับกากมะพร้าวชุบน้ำมัน ไปตามที่ต่างๆ เพลิงลุกลามต่อๆกันไปอย่างรวดเร็ว จนลุกโชนไปทั้งโกดัง
ทหารเมาะตะมะที่เฝ้ายามอย่างสบายๆถึงกับตกใจทำอะไรไม่ถูก วิ่งไปตีเกาะให้สัญญาณ
"เพลิงไหม้....เพลิงไหม้โกดังสินค้า ช่วยกันดับหน่อยเร็ว"

เมงจะและพรรคพวกหมอบคอยเวลาอยู่อย่างใจจดจ่อ
"น้ำสูงขึ้นได้ระดับแล้ว เตรียมพร้อม"
เมงจะเอาผ้าขึ้นพันคลุมหน้า คนอื่นๆทำตาม คลื่นทะเลซัดหัวเรือและโขดหินอย่างแรง
เพลิงกำลังโหมไหม้โรงเก็บสินค้าอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ประจำโรงเก็บสินค้า และทหารเมาะตะมะ กำลังช่วยกันดับไฟอยู่
วิธีดับไฟคือ เอาไม้สานแบนๆเหมือนพัด บ้างก็เอาเอาผ้าระดมฟาดไฟที่ลุกตามพื้น ตามผนัง บางพวกตักน้ำจากแม่น้ำใส่กระชุใหญ่ๆ ส่งขึ้นมาบนฝั่ง อีกพวกเอากระชุใส่น้ำลำเลียงขึ้นเกวียน แล้วลากไปด้วยแรงคน 3 - 4 คน เมื่อเกวียนไปถึงบริเวณไฟไหม้ ผู้คนมาเอากระชุน้ำสาดไฟ เกวียนกระชุเปล่าถูกลากกลับไปริมน้ำ สวนกับเกวียนใส่น้ำแล้วที่ถูกลากขึ้นมา
ไขลูกับทหารหงสาวดีวิ่งมาบัญชาการดับไฟ ทหารตีเกราะกำลังดับไฟอยู่วิ่งมารายงาน

"มันประหลาดมากเลยท่านไขลู อยู่ๆเพลิงมันก็ลุกขึ้นพร้อมๆกัน หลายจุดเหลือเกิน"

สอพินยาเสวยน้ำจันทร์ท่าทางเมา กุสุมานั่งเหม่อลอยมองออกไปในทะเล ประตูถูกเปิดออก สมิงสอตุดตรงเข้าไปหารายงาน
 
"พระอุปราช เพลิงไหม้โกดังสินค้า ตอนนี้ยังไม่สามารถดับได้ คงเสียหายหนักเป็นแน่"
สอพินยาสะดุ้ง ลุกขึ้นมาดูที่หน้าต่าง เห็นไฟไหม้เต็มฝั่ง ผู้คนวิ่งดับไฟ สอพินยาไม่พอใจมาก กุสุมายืนฟังด้วยความตกใจ
"มันเกิดขึ้นได้อย่างไร"
"ข้าพเจ้าคาดว่าจะเป็นฝีมือของไอ้พวกโจรที่ก่อกวนเราอยู่"
สอพินยาพูดกับกุสุมา
"ข้าพเจ้าจะไปดับไฟ น้องท่านอยู่แต่ในห้องนี้เถิด เพลิงคงไม่ลามมาถึงที่นี่ดอก"
สอพินยารีบฉวยปืนสั้นที่หลังตู้มุมห้องออกไป

ไขลูกำลังคุมการดับเพลิงอยู่จ้าละหวั่น เพลิงลุกโหม ควันดำโขมงน่ากลัวมาก เสียงทหารบอกต่อๆกัน“เจ้าอุปราชเสด็จแล้ว...เจ้าอุปราชเสด็จแล้ว”
สอพินยาใส่เสื้อคลุมวิ่งมากับทหารองครักษ์ ไขลูรีบวิ่งมารับ
"ไขลู เพลิงเกิดขึ้นได้อย่างไร"
"มันพิกลอยู่ ต้องมีผู้ลอบสุมเพลิงแน่ พระอนุชา"
"ถ้าจับตัวได้...ข้าจะเอาไฟสุมมันทั้งเป็น คอยดู แต่มันจะสุมเพลิงเพื่ออะไร มันน่าจะปล้นเอาสินค้ามากกว่า"
สอพินยารู้สึกเฉลียวใจอะไรบางอย่าง

หน้าผาทางขึ้นตำหนักด้านติดทะเล เรือเมงจะและพวกพายเข้าเทียบหน้าผา คลื่นพัดรุนแรง เมงจะและนักโทษแปรหยิบอาวุธจากที่ซ่อนและปีนขึ้นหน้าผาอย่างยากลำบาก
บริเวณหน้าตำหนักริมทะเล บรรดาข้าหลวงวิ่งกันอลม่านมองจ้องดูไฟไหม้โกดัง เมงจะและคนโทษบุกมาถึงหน้าตำหนัก ทหารรักษาหน้าตำหนักออกมาป้องกัน จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ปอละเตียงกับเชงสอบูมองดูเหตุการณ์ที่เมงจะบุกเข้ามาอย่างพยายามเอาใจช่วย แต่ก็กลัว เมงจะวิ่งมาหาทั้งสองเปิดผ้าคลุมหน้าออก
"ปอละเตียงเชงสอบู ตะละแม่กุสุมาอยู่หนใด"
ทั้งสองยังตกใจอยู่...
"ขอน้องท่านไปแจ้งตะละแม่เถิด"
เชงสอบูตั้งสติได้ก่อนรีบฉุดปอละเตียงวิ่งตรงไปยังห้องประทับของกุสุมาทันที เมงจะและนักโทษเมืองแปรต่อสู้กับทหารหงสาและเมาะตะมะ
ภายในห้องบรรทม กุสุมานั่งใจสั่นอยู่บนพระแท่นบรรทม เชงสอบูฉุดปอละเตียงรีบเดินเข้ามาในห้อง
"เชงสอบู ปอละเตียงเพลิงสงบหรือยัง"
ทั้งคู่นั่งเงียบมองหน้ากัน
"ว่าอย่างไร เพลิงสงบหรือยัง"
"ตะละแม่อย่าอยู่ที่นี่เลย ไปกับข้าพเจ้าเถิด หาไม่เพลิงจะลามมาถึงตำหนักนี้เป็นแน่" เชงสอบูว่า
ปอละเตียงบอก
"เพลิงโหมน่ากลัวมาก ลูกไฟลอยมาเต็มฟ้าเลย หลบไปกันก่อนเถอะ ตะละแม่"
กุสุมากลัวตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก พอเดินออกมาก็เห็นศพทหารตายเกลื่อน แต่ปอละเตียงและเชงสอบูไม่ยอมอธิบาย เร่งแต่ให้หนีออกจากตำหนักโดยเร็ว

ไฟยังคงลุกไหม้โกดังตรงโน้นตรงนี้เต็มไปหมด สอพินยากับไขลูกำลังสั่งการให้ทหารดับไฟอยู่ ทหารเมาะตะมะคนหนึ่งวิ่งมากราบทูล
"พระอุปราช ตำหนักที่ประทับถูกปล้น"
สอพิยาตกใจ รู้ทันทีว่าเสียรู้ รีบวิ่งกลับไปที่ตำหนักทันที

เมงจะและนักโทษแปรได้ต่อสู้กับทหารที่รักษาการอยู่บริเวณโรงจอดเรือ ปอละเตียงและเชงสอบูพากุสุมา รีบเดินมาตามสะพานลงเรือเก๋งที่เมงจะเตรียมไว้ แล้วพากันพายออกสู่ทะเลที่มืดมิดทันที โดยไม่ทันสังเกตว่า มีใครช่วยพายอยู่
ฝ่ายสอพินยา ไขลูและทหารบางคน วิ่งเลาะสวนมะพร้าวใกล้ตำหนักมาอย่างรวดเร็ว

เมงจะและคนโทษมุดออกมาตามเรือที่จอดเทียบอยู่ แล้วรีบเอาคบเผาเรือทหารเมาะตะมะที่จอดเทียบอยู่จนหมดทุกลำ เพื่อไม่ให้สอพินยาใช้เรือตามได้แล้วรีบพายตามกุสุมาไป

สอพินยา ไขลูและทหารที่วิ่งตามกันมา เห็นเรือถูกเผา ทหารถูกสังหารบาดเจ็บล้มตาย ไขลูรีบสั่งให้ดับไฟที่เรือ แต่สอพินยาหน้าซีด วิ่งขึ้นตำหนักไป
ภายในห้องบรรทมกุสุมาว่างเปล่า สอพินยาตะโกนเรียกกุสุมาเสียงดังลั่น น้ำตาคลอ หันมองไปรอบๆห้องอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
"กุสุมา ตะละแม่กุสุมา น้องหญิงอยู่ไหน"

ไขลู และทหารกำลังช่วยกันดับไฟ สอพินยาวิ่งมาดูเรือของตัวเองที่ถูกเผา แล้วเห็นเรือเมงจะและนักโทษที่พายออกทะเลไปไกลๆ สอพินยายกปืนสั้นที่ถืออยู่ยิงไปทันที เปรี้ยง!
"ยิงสกัดมันไว้ ยิง"
ทหารปืนไฟระดมยิงไปที่เรือประมง
คนโทษฝีพายใกล้ๆจะเด็ดคนหนึ่งถูกลูกปืนสอพินยากระเด็นตกน้ำไป ทุกคนเร่งพายยิ่งขึ้น สอพินยาคว้าปืนทหารใกล้ๆมายิงอีก ไขลูรีบตะปบปืนสอพินยาไว้
"อย่าพระอนุชา อย่า..."
สอพินยาไม่ฟังเล็งยิงออกไปอีก เปรี้ยง!
กระสุนถูกคนโทษที่พายเรือให้กุสุมาอยู่อย่างจัง เมงจะตกใจหันไปดูเรือกุสุมา
"พายกันเรือตะละแม่ไว้"
สอพินยาแย่งปืนทหารมาอีก ยิงใส่เรือเมงจะอย่างบ้าคลั่ง
"อย่าพระอนุชา เดี๋ยวจะโดนตะละแม่ด้วย"
สอพินยาหยุดยิง น้ำตาคลอคลั่งแค้นใจที่สุด ตะโกนลั่น
"กุสุมา กุสุมา มันแย่งกุสุมาของข้าไปแล้ว ตามกุสุมากลับมาที ไขลู ตามกุสุมากลับให้ข้าที"

ไขลูไม่ตอบ รู้ว่าเป็นฝีมือจะเด็ดแน่ จึงได้แต่มองเรือที่แล่นออกไปอย่างเคียดแค้น
 
อ่านต่อหน้า 2

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 10 (ต่อ)

เรือกุสุมาแล่นเลาะเข้ามาตามโขดหินชายฝั่ง เมงจาและนักโทษแปรเข้าไปช่วย เรือเมงจะแล่นเข้ามาที่ชายฝั่งไม่ห่างกันนัก กุสุมาลงมายืนที่โขดหินใหญ่ชายฝั่งร้องไห้ด้วยความโกรธและเสียใจ

"เจ้าสองคนไม่ซื่อต่อเรา ไปเข้ากับจะเด็ดหลอกลวงเรา อย่ามาอยู่ด้วยเราอีกเลย"
เชงสอบูขยับเข้าไป
"ตะละแม่... อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด"
"ตะละแม่ฟังก่อน เชงสอบูน้องข้าพเจ้าไม่รู้ด้วยสัตย์จริง ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความไปแจ้งแก่ท่านเมงจะเอง" ปอละเตียงว่า
"เกียรติยศแห่งเราถูกทำลายสิ้นแล้ว"
ทั้งคู่ไม่กล้าพูดอะไร กุสุมาได้แต่เสียใจร้องไห้ แล้วตกใจ เมื่อเห็นจะเด็ดลงจากเรือเดินเข้ามาหา พลางมองด้วยสายตาคิดถึงและวิงวอนมาก
จะเด็ดเข้ามากุมมือกุสุมาไว้
"อย่าหนีข้าพเจ้าไปไหนอีกเลย ข้าพเจ้าตามหาตะละแม่อย่างไม่เสียดายชีวิต เพราะความรักที่มีต่อตะละแม่เพียงอย่างเดียว"
กุสุมาน้ำตาไหลรินออกมาอย่างน่าสงสาร สุดแค้นใจที่จะเด็ดทำอย่างนี้
"ชาวเมาะตะมะทำผิดอะไร จึงใจพาลเผาผลาญอย่างโจรแบบนี้"
จะเด็ดโกรธ
"เราเปลี่ยนใจเป็นโจรเพราะหญิงหนึ่งพูดแล้วไม่ทำตามคำ"
"รื้อฟื้นเรื่องนี้มาพูดทำไม เราบอกกี่หนแล้วว่า ไม่มีวันจะทำตามที่ท่านต้องการ ท่านนั้นมีแต่จะรุ่งเรือง ไฉนมาหมกมุ่นในตัวเรา ที่มีแต่ราคี"
"อย่าพูดเฉไฉ"
กุสุมาสวนเสียงดัง
"ท่านสร้างกรรมล่วงสิทธิสตรีของชายอื่น ชาติหน้ากรรมชั่วจะตามทัน"
จะเด็ดโกรธตรงเข้าจับกุสุมาด้วยความโมโห
"กุสุมา ข้าพเจ้านี้เฝ้าถนอมท่านด้วยดวงใจ แต่พอสอพินยามันฉุดคร่าท่านไป ท่านกลับยึดมันเป็นภัสดา คราวนี้ข้าพเจ้าแย่งคืนบ้าง ท่านก็ย่อมเป็นสิทธิ์ขาดของข้าพเจ้าดุจกัน"
กุสุมาร้องไห้พยายามปัดป้องแต่ก็สู้แรงโกรธจะเด็ดไม่ไหว สุดท้ายกุสุมาขยุ้มเสื้อจะเด็ดผลักออก
"หยุดทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนเสียที ท่านมีดวงแก้วอันใสบริสุทธิ์แล้ว อย่าทำให้นางแก้วนี้ต้องช้ำใจไปด้วยอีกคนเลย"
จะเด็ดได้สติ นั่งนิ่ง
กุสุมานั่งร้องไห้อยู่ที่โขดหิน จะเด็ดนั่งพิงอย่างน้อยใจ ทั้งคู่นั่งเงียบกันไป เห็นน้ำทะเลซัดโขดหินอย่างน่าหวั่นไหว

สอพินยายืนเหม่อมองไปที่ทะเลอย่างเจ็บปวด แววตานั้นเศร้านัก แต่ประกายความแค้นนั้นชัดเจนมาก ไขลูและองครักษ์หงสาวดีอยู่อยู่ใกล้ๆ สมิงสอตุดควบม้านำทหารเมาะตะมะตรงเข้ามา
"ท่านอุปราช"
"จะนำกำลังตามจับไอ้พวกปล้นลักพระชายา จัดกำลังมาเท่านี้หรือ" ไขลูว่า
"ข้าพเจ้าจัดกองทหารติดตามเฉพาะที่จำเป็นเพื่อความคล่องตัวจะได้ติดตามได้รวดเร็ว"
"ท่านคิดว่าพวกมันจะนำตะละแม่กุสุมาไปไว้ที่ใด" สอพินยาถาม
"เรือที่ข้าพเจ้าได้รับแจ้ง มันคงไม่อาจข้ามอ่าวไปได้ คาดว่าคงพากันอ้อมอ่าวไปหลังเขาทางเหนือเพื่อขึ้นบก แล้วคงหาม้าเดินทางต่อไปแปร"
"ข้อนั้นข้ารู้อยู่แล้ว แต่เราจะมีทางไหนตามไปสกัดดักมันทัน"
"ข้าพเจ้าจะนำข้ามเขาไปสกัดทางไปแปร คาดว่ายังไม่ทันรุ่ง เราคงได้พบพวกมันแน่"
"ดี...ไป กูจะเด็ดหัวมันเอามาสับไม่ให้แค้นคอกาทีเดียว"
สอพินยาขึ้นม้าควบนำไป สมิงสอตุดหยุดรอให้ไขลูขึ้นม้า
"เร็วซิโว้ย รีบตามมหาอุปราชไป อย่าให้ได้รับอันตรายเด็ดขาด" ไขลูบอก
สมิงสอตุดไม่ค่อยพอใจไขลู แต่ทำอะไรไม่ได้ รีบควบม้าตามไปทันที

บริเวณชายฝั่งทะเล จะเด็ดนั่งกุมมือกุสุมาที่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ
"สิ่งใดที่ผ่านมา...ข้าพเจ้าขอรับเป็นผู้ผิดเอง ขอน้องท่านยอมกลับแปรตามข้าพเจ้าแต่โดยดีเถิด"
"เป็นชายพูดอะไรดูง่ายช่างไม่นึกถึงใจหญิง สอพินยาคงตามมาในเร็ววัน ข้าพเจ้าจะกราบทูลสมเด็จพ่ออย่างไร จะมองหน้าชาวแปรได้เต็มตาหรือ"
"งั้นก็แจ้งข้าพเจ้ามาว่าจะกลับไปหาสอพินยา พูดมาซิว่ารัก น้องพระเจ้าหงสาวดีกว่าข้าพเจ้า"
กุสุมายิ่งร้องไห้หนัก…

เมงจายืนละล้าละลังอยู่ที่ม้า ปอละเตียงกับเชงสอบูที่ยืนเฝ้ากุสุมาอยู่ห่างๆ
"รีบไปเถิด อย่ามัวช้า"
ปอละเตียงบอก
"จะไปไหนก็ไป เราจะรอตะละแม่ ไม่ต้องมายุ่ง"
เมงจาโบหน้าเสีย ได้แต่อ้อมแอ้ม
"ข้าพเจ้าเพียงแต่เกรงว่า มัวแต่รอกันอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวพวกมันก็ยกกองทหารมาทันดอก"
"งั้นท่านก็ไปตามเมงจะเพื่อนท่านมาซิ"เช็งสอบูว่า
จาเลงกาโบบอก
"ท่านก็ไปตามตะละแม่กุสุมามาซิ ถ้าตะละแม่ไม่ยอมไป เมงจะไหนจะกล้าทิ้งตะละแม่กุสุมาได้"
ปอละเตียงบอกกับเช็งสอบู
"เจ้านะแหละ ไปตามมาเร็ว"
ปอละเตียงเห็นจะเด็ดจูงมือกุสุมาเดินมาจากชายฝั่ง คนโทษรีบนำม้าไปรับ จะเด็ดส่งกุสุมาไปขึ้นม้า
ปอละเตียงกับเชงสอบูยืนมอง ยังไม่มีม้าขึ้น
"แล้วข้าพเจ้าสองคนละ จะไปยังไง ให้ควบม้าน่ะ ข้าพเจ้าไม่เป็นนะ"
เมงจาหันมามองปอละเตียงยิ้มๆ
"ม้าเรามีจำกัด น้องปอละเตียงกับเชงสอบูคงต้องนั่งซ้อนหลังทหารไป"
เชงสอบูรีบเดินไปขึ้นม้าทหารหนุ่มคนหนึ่ง
"ข้าพเจ้าไปกับท่านผู้นี้ก็ได้"
ปอละเตียงยืนเก้อไม่รู้จะขึ้นม้าตัวไหน เพราะหน้าคนโทษต่างๆดูแก่ สกปรก น่ากลัว คนโทษคนหนึ่งบนหลังม้าดูแก่ ผอม ยิ้มฟันหลอดำปี๋
"โอ้ย...ข้าพเจ้านั่งแบบตะละแม่ไม่เป็นหรอก ได้ตกม้าตายพอดี"
"งั้นก็นั่งด้านหน้าไปก็ได้ ข้าพเจ้าจะระวังไม่ให้ตกได้" เมงจาบอก
เมงจาโดดลงมาจับปอละเตียงขึ้นหลังม้าแล้วโดดขึ้นตาม นางกลัวจนตัวสั่นแต่ไม่กล้าถูกตัวเมงจา จะเด็ดขยิบตาให้เมงจา แล้วสั่งให้เดินทาง
"มุ่งตรงขึ้นไปแปรเถิดพวกเรา"
จะเด็ดและคนอื่นๆควบออกไป ยกเว้นม้าเมงจายังวิ่งวนไปมา ปอละเตียงกลัวมาก หลับตาปี๋ แต่ยังไม่กล้ากอดเมงจา ได้แต่ตัวเอนไปมา
"ท่านต้องนั่งนิ่งๆ ม้ามันจั๊กกะจี้ ข้าพเจ้าบังคับมันไม่ได้"
"ก็เรากลัวตกนี่"
"ท่านต้องกอดข้าพเจ้าให้แน่ๆ"

เมงจาดึงมือปอละเตียงมาดอกเอวตัวเองไว้ก่อนควบม้าออกไป

สมิงสอตุดควบม้านำกองทหารสอพินยามาอย่างรวดเร็ว สอพินยาท่าทางใจร้อนสุดๆ
 
"เร่งกว่านี้ได้อีกไม๊..ท่านสมิงสอตุด"
สมิงสอตุดเร่งม้าเร็วขึ้น สอพินยาและทหารม้าเร่งตามไปอย่างรวดเร็ว

ปอละเตียงหลับตาปี๋กลัวมาก
"ท่านต้องนั่งนิ่งๆ ม้ามันจั๊กกะจี้ ข้าพเจ้าบังคับมันไม่ได้"
"ก็เรากลัวตกนี่"
"ท่านต้องกอดข้าพเจ้าให้แน่ๆ"
เมงจาดึงมือปอละเตียงมาดอกเอวไว้แล้วควบม้าออกไป

ท้องฟ้ายามเช้า พระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นจากยอดเขาเมาะตะมะ ขบวนม้าของจะเด็ดควบผ่านเป็นแถวยาวไปอย่างรวดเร็ว
อีกมุมหนึ่ง จะเด็ดควบม้านำ ม้าเมงจารั้งท้าย ปอละเตียงกอดเมงจาที่สีหน้ามีความสุขแน่น เชงสอบูนั่งซ้อนหลังม้านักโทษคนหนึ่งมาเข้าคู่กับม้าจะเด็ดพอดี เชงสอบูเห็นกุสุมากอดจะเด็ดแน่นก็ไม่พอใจ
ขบวนม้าทั้งหมดมุ่งหน้าไปเมืองแปร โดยผ่านทางขึ้นเนินเขา ม้าคุมหลังขบวนหันกลับไปมองด้านหลัง
เห็นกองทหารสอพินยาตามมา นักโทษผู้นั้นหน้าตื่น ตะโกนลั่น
"พวกมันตามมาทันแล้วท่านแม่ทัพ"
จะเด็ดและพวกหยุดม้าหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นกองทหารสอพินยาควบเข้าหาอย่างรวดเร็ว จะเด็ดชักม้ากลับเพ่งมองให้แน่ใจ
เมงจาขี่ม้าขึ้นมาเทียบม้าจะเด็ด คนอื่นๆตกใจระส่ำระสาย
"พวกสอพินยามันตามมาทันจริงด้วย"
ฝ่ายสอพินยาควบม้านำแถวทหารเมาะตะมะมาอย่างรวดเร็ว
"ท่านพาตะละแม่หนีไปก่อน ข้าพเจ้าจะยันต้านมันไว้เอง"
"ไม่มีประโยชน์ดอก พวกมันมีมากกว่าเรา"
พวกจะเด็ดขี่ม้าหนีต่อไป
สอพินยาดีใจ สั่งขบวนม้าให้เร่งม้าตามเข้าไป ตะโกนลั่น
"มันหนีไม่พ้นแล้ว ล้อมจับมันไว้"
แล้วทุกคนก็พากันหยุดค้าง สอพินยาเห็นพวกจะเด็ดขี่ม้าขึ้นไปบนเนิน พร้อมทั้งมองเห็นทหารตองอูที่โผล่นำโดย ตะคะญี เนงบา สีอ่อง โผล่ขึ้นมาจากเนินอีกด้านหนึ่ง
เมงจา หรือ จาเลงกาโบและเหล่าทหารคนโทษพากันดีใจ
"ทัพตองอูมาช่วยพวกเราแล้ว"
สอพินยายืนม้ามองทัพตองอูอย่างแค้นใจ ไขลูกับสมิงสอตุดชักม้าเข้ามาหา
สอพินยาบอก
"ตามไปเอาตะละแม่มาคืนเราซิไขลู"
"ไม่มีประโยนช์ดอกพระอนุชา เราต้องรามือไปก่อน"
"แล้วเราจะได้ตะละแม่กุสุมาคืนได้อย่างไร"
"เพลานี้คงไม่มีทหารตองอูเหลือรักษาเมืองแปรแล้ว พระอนุชารีบกราบทูลพระเจ้านรบดี ให้ยกทัพแปรมาช่วยเราอีกทัพหนึ่งเถิด"
สมิงสอตุดบอก
"ถ้าพระอนุชากราบทูลพระเจ้าสักการวุฒพีพระเชษฐา ให้ส่งทหารหงสาวดีมาช่วยอีกทัพหนึ่ง ทัพตองอูแค่นี้คงไม่รอดมือเราได้"
"ท่านสมิงสอตุดเจรจาสมเหตุ โปรดกลับไปจัดทัพใหม่เถิดพระอนุชา" ไขลูบอก
สอพินยาน้ำตาคลอ ตัดสินใจชักม้ากลับ คนอื่นๆควบตามไป จาเลงกาโบชูดาบโห่ร้อง แล้วควบม้าตรงไปหาจะเด็ดที่ยืนม้าอยู่กับตะคะญีและเนงบา จะเด็ดกอดตะละแม่กุสุมาไว้แน่น กุสุมามองตามสอพินยาอย่างสงสาร

จาเลงกาโบกำลังคุมทหารตองอูตั้งค่ายอยู่วุ่นวายอยู่ใต้ต้นไม้ จะเด็ดมองกลุ่มทหารที่ปฏิบัติงานอยู่อย่างเสียใจ
"ข้าพเจ้าไม่คิดตำหนิครูท่าน ที่ยกกำลังทหารลงมาจากแปรเพื่อช่วยข้าพเจ้าในครั้งนี้ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกระอายใจ เสียใจ ที่ต้องมาทำให้ทุกคนลำบาก เพราะความปรารถนาของตัวคนเดียวแท้ๆ"
สีอ่องบอก
"ข้าพเจ้าและพ่อครูเต็มใจจะมาช่วยท่านแม่ทัพ แม้จะต้องเสียทหารนับพันก็มิอาจแลกกับท่านแม่ทัพเพียงผู้เดียว ให้จะเด็ดแสดงความต้องการที่จะยึดเมาะตะมะให้เป็นเมืองขึ้นของตองอูโดยเร็วที่สุด เพราะพวกเมาะตะมะคงคาดไม่ถึงว่าจะถูกบุกโจมตี...ไม่ได้เตรียมพร้อมแน่นอน"
สาเหตุที่ตะคะญียกทัพทหารส่วนใหญ่พร้อมทั้งสีอ่อง เนงบา ออกมาจากแปร เพราะทางรานองรับปากที่จะไม่กระด้างกระเดื่องหรือต่อต้านตองอูอีก....อีกทั้งก็ทราบว่ากุสุมาอยู่กับจะเด็ด
นกพิราบสื่อสารบินผ่าน จะเด็ดคาดการณ์ว่า สอพินยาคงส่งข่าวให้ทางหงสาส่งทัพมาช่วยสกัดไม่ให้ทัพของจะเด็ดไปถึงเมืองแปรแน่
กุสุมา ปอละเตียง และเชงสอบูเดินเข้ามา
กุสุมาทรุดลงรับการกราบตะคะญี
"ข้าพเจ้าอยากรู้ข่าวจากแปรว่า สมเด็จพ่อและสมเด็จแม่ข้าพเจ้าเป็นประการใดบ้าง"
สีอ่องยิ้มระรื่น
"เมื่อครั้งยกทัพออกจากแปรมา พระเจ้าอยู่หัวกรุงแปรและพระอัครเทวี ทรงพระเกษมสำราญดี แม้ทหารตองอูจะคุมแปรอยู่ แต่แม่ทัพบุเรงนองได้สั่งการไว้แล้วว่าห้ามทำร้ายชาวแปรแม้แต่ผู้เดียว และให้ทะนุบำรุงสุขชาวแปรประหนึ่งเป็นชาวตองอูดุจกัน"
กุสุมาปลื้มปิติ
"ข้าพเจ้าขอบน้ำใจพวกท่านยิ่งนัก ที่ปรานีต่อกรุงแปรของข้าพเจ้า"
กุสุมาก้มลงไหว้ทุกคน ก่อนจะหันมาสบตากับบุเรงนองที่นิ่งจ้องมองอย่างสงสาร

กระโจมพักกุสุมา ในค่ายตองอูชายแดนเมาะตะมะ ตะเกียงจุดไฟเห็นแสงวับแวมไปมา คะละแม่นั่งเหม่ออยู่ จะเด็ดเปิดม่านกระโจมเข้ามา พยักหน้าให้ปอละเตียงกับเช็งสอบูออกไป กุสุมาผวา ขยับถอย
"อย่ากลัวข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าไม่กระทำชั่วช้าต่อคนที่ตัวรักเหมือน…"
กุสุมาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด จะเด็ดเดินเข้านั่งใกล้ๆ พูดเสียงนุ่มอ่อนโยนแต่สำเนียงจริงจัง รวบมือกุสุมาขึ้นมาหอม
"พี่ท่านจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแจ้งใจท่านสิ้นแล้วว่า เพราะรักจึงเสี่ยงภัยเพียงนี้ แต่พี่ท่านไม่เคยรู้ความบัดสีในใจผู้หญิง คืนหนึ่งร่วมรสด้วยชายหนึ่ง คืนสองมารับรสจากอีกชายหนึ่ง...ข้าพเจ้า"
ตะละแม่กุสุมาเสียงสะอึกพูดต่อไม่ได้ จะเด็ดนิ่งขึงดึงกุสุมาเข้ามากอดและจูบที่หน้าผาก
"ถ้าจะเด็ดจะดึงดันให้ข้าพเจ้าเป็นคนไม่รู้ยางอายก็เชิญเถิด… ข้าพเจ้ารักท่าน จะรู้ยอมตาม"
จะเด็ดค่อยๆคลายมือ พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ
จะเด็ดน้ำเสียงเหมือนรำพึง
"เพลิงราคะลุกแล้วยากจะดับ แต่ข้าพเจ้าจะเด็ดดับได้ เพราะรักน้องท่านด้วยใจมงคล"

กุสุมายกมือไหว้ จะเด็ดค่อยๆลุกออกไป ทิ้งให้กุสุมานั่งอยู่เพียงคนเดียว ปอละเตียงกับเชงสอบูกลับเข้ามานั่งถวายงานอยู่ที่เดิม...เงียบๆ
 
อ่านต่อหน้า 3

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 10 (ต่อ)

วันใหม่ ท้องพระโรงหงสาวดี ขุนนางทั้งหมดหมอบเฝ้าอยู่ประจำที่ พระเจ้าสการะวุติพีประทับอยู่บนบัลลังก์ โกรธเต็มที่

"เสียงโคนสุคญี ท่านจงจัดทัพลงไปช่วยพระอุปราชโดยเร็ว แล้วแต่งหนังสือไปทูลพระเจ้าลุงที่กรุงแปร ให้แต่งทัพลงมาช่วย การศึกนี้เป็นเพราะไปฟยู จ่าบ้านหันสวัดดี มันแต่งเรื่องหลอกเรา โกหกว่า ไอ้แม่ทัพตองอูเป็นลูกมัน ทำให้เราตายใจ หลงเมตตามันจนเกิดเหตุร้าย จงส่งคนไปจับตัวมันมาให้เราลงโทษเดี๋ยวนี้"

เวลากลางคืน ค่ายชั่วคราวทหารตองอู ชายแดนเมาะตะมะ กองทหารกำลังเตรียมการจัดทัพเดินทางกันอย่างวุ่นวาย
บุเรงนองเดินนำกุสุมา ปอละเตียง เชงสอบู ตรงมาที่ช้างกองเสบียงที่ตะคะญีกับจาเลงกะโบอยู่
"ท่านครูอย่าน้อยใจเลย ที่ข้าพเจ้าขอให้คุมกองเสบียงและเหล่าผู้หญิงหลบออกไปทางด้านตะวันออกเพื่อจะได้ไม่เจอศึก ซึ่งความจริงแล้วข้าพเจ้านี้ห่วงตะละแม่นัก ถ้าไม่ได้ผู้ไว้ใจดูแล จะทำให้ข้าพเจ้าออกศึกไม่เป็นสุข สุดท้ายอาจพ่ายแก่สอพินยาได้"
"ขอท่านแม่ทัพจงออกศึกให้ได้ชัยชำนะเถิด การใดที่ท่านแม่ทัพสั่งข้าพเจ้าถือปฏิบัติด้วยชีวิต"
บุเรงนองกราบลงบนอกตะคะญีอย่างนอบน้อม
"ข้าพเจ้านี้เป็นหนี้บุญคุณครูท่านหลายสถานนัก" จะเด็ดบอกพลางหันมาบอกกุสุมา"ขอน้องท่านเสด็จเถิด เมื่อข้าพเจ้าตีเมาะตะมะแตกแล้ว จะให้สัญญาณครูท่านนำน้องท่านกลับเข้าเมือง"
กุสุมาบอก
"ข้าพเจ้านี้แม้เป็นหญิง แต่ไม่ได้กลัวความตายอย่างท่านวิตกสักนิด ศึกนี้เป็นเหตุด้วยข้าพเจ้า ควรจะให้ข้าพเจ้าได้ร่วมตายกับทหารเถิด"
"น้องท่านพูดอย่างนี้ เหมือนตัดรอนว่า ข้าพเจ้านำทหารทำศึกเพราะการตัว เรื่องการเอาชนะให้เป็นประโยช์แก่ตัวนั้นมันหมดสิ้นแล้ว เพลานี้ข้าพเจ้ามีตะละแม่อยู่แนบกาย ไม่ต้องทำศึกชิงคืนอีกแล้ว แต่หากศึกนี้ข้าพเจ้าต้องการตีเอาเมาะตะมะถวายแด่พระเจ้าอยู่หัวมังตราดอก จึงไม่ยอมกลับตองอู ขอน้องท่านอย่าโทษตัวเอง"
ตะคะญีบอก
"เสด็จเถิดตะละแม่…อยู่นาน ท่านแม่ทัพจะยิ่งกังวล"

กุสุมาตัดสินใจขึ้นเกยช้างกับตะคะญีออกไป บุเรงนองมองตามอย่างอาลัย จนหันมาเห็นเชงสอบูยืนร้องไห้อยู่ บุเรงนองมองสงสาร
"ข้าพเจ้าไม่เคยลืมสัญญา ตราบใดที่หมดศึกจะดูแลท่านให้ดีที่สุด" บุเรงนองว่า
เชงสอบูบอก
"ข้าพเจ้านี้ไร้เดียงสานัก รู้ว่าไม่มีหวัง ก็ยังคิดภักดีตลอดไป"
บุเรงนองพูดไม่ออก ปอละเตียงจึงตัดสินใจฉุดเชงสอบูขึ้นเกยช้างไป จาเลงกะโบเดินตามมาส่งปอละเตียงขึ้นช้างอย่างเป็นห่วง ปอละเตียงแกล้งทิ้งสไบลงพื้น จาเลงกะโบเห็นรีบเก็บไปส่งให้
"ท่านทำสไบหล่นพื้น เปื้อนหมดเลย"
ปอละเตียงทำงอน
"ถ้าซื่อนัก…ก็เอาไปถวายศาลนัตเถิด"
เนงบาหัวเราะชอบใจ สีอ่องเกาหัว ควาญช้างไสช้างพาปอละเตียงกับเชงสอบูตามช้างตะละแม่ออกไป
จาเลงกะโบถือสไบปอละเตียงมองตามเหมือนยังไม่เข้าใจ จะเด็ดเดินมาหาเพื่อนร่วมสาบานทั้ง 3 คน
"พี่ร่วมตายของข้าพเจ้า เรามีโอกาสตีเมาะตะมะให้แตกภายในคืนนี้คืนเดียว อีกไม่กี่วันพวกหงสาวดีคงมาถึง ขอพี่ร่วมตายของข้าพเจ้า...จงช่วยข้าพเจ้าเอาชนะศึกนี้ให้ได้เถิด"

ทุ่งหน้าเมืองเมาะตะมะ กองทัพตองอูเคลื่อนมา แสงคบแดงฉานเต็มทุ่งน่ากลัว บุเรงนองนั่งอยู่บนคอช้างจ้องตรงไปด้านหน้าอย่างเอาจริง ทหารตองอูเคลื่อนเดินหน้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย ทหารเมาะตะมะวิ่งเข้ามารายงาน สอพินยา สมิงสอตุด ไขลูที่นั่งดื่มสุรากันอยู่
สอพินยายังเมาเสียใจอยู่ถาม
"มีอะไร"
"กองทัพตองอูบุกมาแล้วพระอุปราช"
สอพินยาตกใจ
"ตองอูพระอุปราช"
ไขลูลุกขึ้นโวยวาย
"มึงตาฝาดหรือเปล่า จะเป็นตองอูได้อย่างไร พวกมันจะกล้ายกกำลังทัพกลับมาบุกเราอย่างนั้นหรือ"
สมิงสอตุดบอกพวกกูกำลังรอทัพหงสาวดีกับแปรอยู่ จะเป็นตองอูได้อย่างไร"
"ไป...ไปดูกัน ถ้าไม่ใช่ทัพตองอูมึงคอขาดแน่"
สอพินยาหยิบดาบเดินนำออกไป

ทุ่งหน้าเมือง เนงบานั่งช้างมองไปที่กำแพงเมืองอย่างมุ่งมั่น
บุเรงนองสั่ง
"เนงบา โจมตี"
เนงบายืนนำหน้ากองทหารเดินเท้าอยู่อย่างฮึกเหิม
"กองเดินเท้า…บุก"
เนงบาวิ่งนำทหารแบกบันไดไม้ไผ่ตรงเข้าสู่กำแพงเมืองเมาะตะมะทันที
บนกำแพงเมือง ทหารเมาะตะมะวิ่งนำ สอพินยา ไขลู สมิงสอตุด ขึ้นมาบนเชิงเทินมองออกไปที่ทุ่งหน้าเมือง สอพินยาคว้ากล้องส่องทางไกลจากทหารมาส่องดู เห็นจะเด็ดบนคอช้างมองตรงมา สอพินยาตกใจ
"ไอ้จะเด็ดจริงๆ"
ไขลูบอก
"ใจเย็นไว้พระอนุชา พวกมันไม่อาจหักเอาเมาะตะมะได้ดอก สมิงสอตุดสั่งพลธนูสกัดไว้ก็พอ"
"พลธนู…ขึ้นสาย ยิง"
พลธนูน้าวสายแล้วปล่อยออกไป
ลานหน้ากำแพงเมือง ทหารตองอูโดนธนูล้มตายระเนระนาด คนที่ไม่ถูกลูกธนูยังคงวิ่งดาหน้าเข้ามาเรื่อยๆ
 
เนงบาวิ่งนำทหารเอาบันไดพาดกำแพงแล้วปีนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทหารเมาะตะมะและหงสาวดีบางส่วนเริ่มตกใจ ออกป้องกันกำแพง
 
สมิงสอตุดถาม
"เอาอย่างไรดีพระอุปราช ท่าทางมันเอาจริงพิกล"
สอพินยายังยิ้มอยู่
"เทกรวดทรายลงไปเยอะๆ เดี๋ยวมันก็ถอยไปเอง"
ทหารเมาะตะมะเทกรวดทรายร้อนๆ ลงใส่ทหารตองอูที่ปีนขึ้นมา จนดิ้นทุรนทุรายตกลงไป แต่คนใหม่ก็ปีนขึ้นมาอีก สอพินยาหัวเราะชอบใจ
"เทลงไป เทลงไปเรื่อยๆ .เราต้องต้านมันไว้รอทัพหงสาวดีกับแปรมาช่วย"
ไขลูบอก
"ชักจะไม่ดีแล้วนะพระอนุชา"
สอพินยายังไม่เข้าใจ…งง
"อะไร…ไขลู"
ไขลูหันไปมองกองทัพช้างของบุเรงนองกลางทุ่ง สอพินยามองตามเห็น บุเรงนองกับจาเลงกะโบไสช้างตรงมาที่ประตูเมือง
บุเรงนองสั่ง
"ทหาร พังประตูมืองมันให้ได้"
บุเรงนองไสช้างนำมา จาเลงกะโบไสช้างเข้าเทียบข้าง
"เดี๋ยวก่อนน้องท่าน ไม่เห็นหรือว่าพวกมันเทกรวดทรายร้อนๆ ลงมาเป็นห่าฝน"
"จาเลงกะโบบัดนี้เราเห็นแต่เครื่องแบบทหารตองอูเต็มสนามรบ แต่หาเห็นทหารตองอูแท้ไม่เพียงกรวดทรายร้อนท่านก็เกรงจนเลือดนักรบตองอูไม่มีเหลือสักหยดเลยหรือ ถ้ากลัวตายก็ถอยไป พวกเราพังประตูเมืองให้ได้"
บุเรงนองไสช้างพุ่งเข้าชนประตูทันที จาเลงกะโบสำนึกได้รีบไสช้างเข้าช่วยทันที

บนกำแพงเมืองเมาะตะมะ สมิงสอตุดกับทหารเมาะตะมะช่วยกันต้านทหารตองอูไม่ให้ปีนกำแพงขึ้นมา
สอพินยากับไขลูยืนมองตะลึงอยู่
"ทหาร…ขึ้นมาช่วยกันบนเชิงเทินนี้เร็ว"
กองทหารเมาะตะมะดาหน้าขึ้นมาช่วยรบกันเต็มเชิงเทิน

บุเรงนองกับจาเลงกะโบผลัดกันเอาช้างชนประตูเป็นโกลาหล ในขณะที่บนกำแพงก็เทกรวดทรายร้อนๆลงมาตลอดเวลา ทหารตองอูพยายามปีนกำแพงขึ้นไปอย่างไม่คิดชีวิต สมิงสอตุดช่วยทหารรบอย่างเข้มแข็ง สอพินยายืนมองเหตุการณ์อย่างงวยงง กับไขลู
"ป้องกันประตูไว้อย่างให้มันพังเข้ามาได้อย่างเด็ดขาด ใครท้อถอยกูจะสับคอให้ขาดทั้งโคตร" ไขลู
ทหารในประตูเมืองพากันเอาซุงอีกหลายต้นมาค้ำประตูไว้
บุเรงนองกับจาเลงกะโบต่างช่วยกันไสช้างชนกำแพงกันโกลาหล ไขลูกับสอพินยาละล้าละลังอยู่
"ทำไงดีไขลู พวกมันบุกตีถึงแตกหักแน่"
"เราหลงกลศึกมันแล้ว หนีเถอะพระอนุชา"
ไขลูดึงสอพินยาลงจากเชิงเทินไปอย่างรวดเร็ว ประตูด้านในถูกช้างดันจนเขย่าสะเทือนไปหมด หัวช้างที่บุเรงนองขี่อยู่มีเลือดไหลเต็มหน้า บุเรงนองพยายามไสเข้าจะชนประตู แต่ช้างกลับเบนหัวออกไปทางอื่น
"ทำไมช้างมันไม่ไป"
นายท้ายช้างบอก
"พรายเทพหัสดีหัวระบมไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงรั้งไว้"
บุเรงนองโกรธเอาง้าวฟันท้ายช้างจนตกช้างไป
"ใครผู้ใดขัดคำสั่ง ข้าจะเอาถึงตาย"
บุเรงนองไสช้างเข้าชนประตูอีกสองที ประตูเมืองเมาะตะมะก็พังลง แล้วนำช้างเข้าเมืองเมาะตะมะไป จาเลงกะโบตาม กองทหารตองอูพากันวิ่งกรูเข้าไปในเมืองเมาะตะมะได้ทั้งหมด

ภายในท้องพระโรงเมืองเมาะตะมะ สีอ่อง เนงบา กับทหารตองอูคุมตัวสมิงสอตุดและนายกองเมาะตะมะ3-4คน เดินตรงเข้าไปที่บุเรงนองที่ยืนอยู่กับจาเลงกะโบ
สีอ่องบอกพลางกระชากสมิงสอตุดและนายกองล้มลง
"ข้าพเจ้านำตัวนายทัพ ที่ช่วยสอพินยาต่อต้านกองทหารเรามามอบตัว ส่วนสอพินยากับไขลูหนีไปได้ มีอะไรจะขอชีวิตกับแม่ทัพข้าก็ว่ามาเร็ว"
"ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองสะโตงถูกสั่งให้มาดูแลเมืองเมาะตะมะ จึงจำต้องช่วยพวกหงสาวดีป้องกันเมาะตะมะ หาได้มีเจตนาโกรธเคืองกับตองอูไม่ โปรดเมตตาไว้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิด"
"ถ้าท่านรับปากว่า เมืองสะโตงจะภักดีต่อพระเจ้าตะเบงชเวตี้แห่งกรุงตองอู เราจะไว้ชีวิตท่าน"
"ข้าพเจ้าพร้อมที่จะอยู่ใต้พระบารมีแห่งพระเจ้าตองอู ข้าพเจ้าขอให้สัตย์สาบาน" สมิงสอตุดบอก
"ดี...นับว่าศึกนี้ พระบารมีพระเจ้าตองอูได้แผ่ถึงเมืองสะโตงอีกเมืองหนึ่งด้วย เราจะส่งท่านกลับไปรักษาเมืองสะโตงเหมือนเดิม"
สมิงสอตุดรีบก้มกราบอย่างดีใจ
"ข้าขอประกาศให้ทุกคนจงรู้ว่า ศึกครั้งนี้เป็นไประหว่างตองอูกับหงสาวดี ตองอูไม่ได้มีข้อขุ่นข้องกับเมาะตะมะ แต่เนื่องจากพวกหงสาวดีเอาแผ่นดินเมาะตะมะทำศึก เราจึงไม่อาจเลี่ยง นับจากนี้ไปสิ้นศึกแล้วขอให้ชาวเมาะตะมะจงตั้งตัวเป็นกลาง ทำมาค้าขายตามปกติ เราชาวตองอูจะปกป้องดูแลให้ทุกคนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้เศวตรฉัตรแห่งพระเจ้าตองอูตะเบงชเวตี้สืบไป"

ทหารเมาะตะมะและชาวเมืองทุกคนก้มกราบอย่างซาบซึ้ง
 
อ่านต่อหน้า 4

ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 10 (ต่อ)

วันใหม่ ภายในท้องพระโรงแปรทหารส่งข่าวหงสาวดีหมอบเฝ้าอยู่หน้าสุด คนอื่นๆหมอบเฝ้าตามตำแหน่ง สีหน้าเครียด พระเจ้านรบดีกับอัครเทวีประทับอยู่บนบัลลังก์

"พวกตองอูกระทำหมิ่นศักดิ์ลูกเรานัก จะแจ้งแก่ใจใครได้ว่าลูกเราไม่ได้มีใจเป็นใจด้วย พระองค์ต้องจัดทัพลงไปช่วยหงสาวดีเป็นการกู้พระเกียรติยศคืนมา ตามที่พระเจ้าหลานหงสาวดีแจ้งด่วน"
พระเจ้าแปรหนักใจมาก
"สการะวุฒพีจะมาโยนความผิดให้ลูกเรานั้นไม่ถูก ไม่ใช่เพราะ สอพินยาล่อล่วงท่านกับลูกให้เป็นไปถึงหงสาวดีหรือ แม่ทัพตองอูถึงเสี่ยงชีวิตไปชิงคืนถึงเมาะตะมะ"
"นี่หมายความว่าพระองค์เป็นใจกับบุเรงนองตองอู ไม่คิดจะทำการอะไรอย่างนั้นหรือ น่าชื่นชมแทนแผ่นดินแปรเหลือเกินที่พระเจ้าแผ่นดินมีใจเที่ยงธรรมปานนี้"
ปะขันหวุ่นญีบอก
"พระองค์รับสั่งรบเถิด ข้าพเจ้าแลทหารทุกคนยินดีถวายชีวิตเพื่อล้างตองอูให้หายแค้น ข้าพเจ้าจะนำทัพไปเพียงครึ่ง เมื่อสมทบกับทัพหงสาวดีก็คงมีกำลังเหนือบุเรงนอง ที่สำคัญ เมื่อสิ้นบุเรงนองเสียแล้ว พระเจ้าตะเบงชเวตี้แห่งตองอูก็คงไม่อาจต้านทัพแปรกับหงสาวดีรวมกัน เมื่อนั้นพระราชอาณาเขตแปรก็จะขยายไปครอบคลุมถึงตองอู"
พระเจ้านรบดีแห่งเมืองแปรบอก
"รานอง…เรานี้รักศักดิ์ศรีในราชวงศ์ตะโดเมงสอนัก แต่การจะยกทัพแปรไปช่วยหงสารบ เพียงเพราะลูกกุสุมาไม่มีใจจะอยู่หงสาวดีแล้ว เรายังหนักใจ"
"หากพระองค์มีพระประสงค์จะให้ข้าพเจ้าเสนอข้อแนะนำ ข้าพเจ้าขอกราบทูลว่า การยกทัพไปช่วยหงสาวดีนั้น หากนับเมืองที่มีไมตรีต่อกันย่อมสมควร แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ทหารแปรเพิ่งทำศึกกับทัพโมนยินและทัพตองอูมา ยังไม่ฟื้นกำลัง กรุงแปรเองก็ยังยับเยินจากศึกยังไม่ได้รับการบำรุงให้เต็มที่ หากต้องก่อศึกขึ้นมาอีก คงเป็นความยากลำบากแก่อาณาประชาราษฎร์แปรเป็นแน่" รานองบอก
อัครเทวีบอก
"ข้าพเจ้าเพิ่งสำนึก เพราะขุนนางแปรมีใจอารีอย่างนี้เองราษฎร แปรจึงอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข"
"ข้าพเจ้าขอถวายสัตย์ หากต้องตาย ขอตายบนอานม้าเช่นนักรบแปรในอดีต จะไม่มีวันยอมให้ผีบรรพบุรุษประณามเป็นอันขาดว่ากลัวตาย" ปะขันหวุ่นญีว่า
"ถ้าเช่นนั้น ท่านปะขันหวุ่นญี จงจัดทัพลงไปช่วยหงสาวดีตามต้องการโดยด่วน"
อัครเทวีคอแข็งปลายตามอง รานองนิ่ง...ไม่สบตา

แท่นวางดาบของปะขันหวุ่นญีที่ตั้งอยู่กลางห้องเก็บอาวุธ โชอั้วเดินเข้ามากราบก่อนหยิบอาวุธออกไปหาปะขันหวุ่นญีกับโชอีปกำลังช่วยทหารใส่เกราะที่ลานหน้าบ้าน
"ข้าพเจ้าขอให้เทพยาดาแห่งแคว้นพุกามลุ่มน้ำอิรวดี จงคุ้มครองท่านพ่อให้ปลอดภัย"
ปะขันหวุ่นญีรับดาบมา
"พ่อผ่านมาหลายศึกแล้ว แม่ทัพบุเรงนองเพิ่งออกศึกเพียงไม่กี่หน ไม่มีวันจะต้านพ่อได้ โชอั้ว...ลูกอยู่นี่พ่อฝากดูแลแม่ท่านให้ดี"
"ท่านพ่ออย่าพะวงห่วงหลัง เสียดายแค่ว่า ลูกนี้เกิดเป็นหญิง หาไม่จะขอจับดาบร่วมออกศึกกับท่านพ่อ เด็ดหัวแม่ทัพตองอู มาถวายพระเจ้าอยู่หัวสนองคุณแผ่นดินให้ได้"
ปะขันหวุ่นญีปลื้มใจ ลูบหัวลูกด้วยความเอ็นดู
"ถึงพ่อไม่มีลูกชาย มีลูกสาวอย่างนี้ก็พอใจแล้ว"
ทหารควบม้านำรถม้ารานองเข้ามา ดูคึกคัก
ทหารแปร 1บอก
"อุปราชรานองเสด็จ"
ปะขันหวุ่นญี โชอั้ว โชอีปเห็นขบวนรานองเข้ามา ทุกคนถวายความเคารพ รานองเสด็จลงจากรถม้าตรงมาหาปะขันหวุ่นญี
"เรามาด้วยเป็นห่วงท่านแม่ทัพ ไม่มีศึกไหนเลยที่เราจะห่างกันเท่าศึกนี้"
"ท่านอุปราชกังวลมากไปแล้ว อย่าลืมว่าศึกนี้ข้าพเจ้ายังมีทัพหงสาวดีกับทัพเมาะตะมะอีก บุเรงนองหรือจะต้านเราอยู่"
"เราอาจจะมีกำลังพลมาก แต่ท่านอย่าลืมว่าเราอยู่ในวัยชรา เรี่ยวแรงและการตัดสินใจที่เคยเด็ดเดี่ยว อาจจะเชื่องช้าลง ข้าพเจ้าจึงตั้งใจมาเตือนท่าน...หากต้องผจญศึกกับแม่ทัพบุเรงนอง ขอจงคิดการศึกข้ามไปให้ถึง 5 ขั้น"
ปะขันหวุ่นญีโมโหถามก่อนกระโดดขึ้นม้า
"ท่านกลัวบุเรงนองขนาดนี้หรือ… ขอท่านจงอย่าห่วงข้าพเจ้าเลย ห่วงแต่ว่าสิ้นบุเรงนองแล้วเราจะตีตองอูด้วยยุทธวิธีใด"
ปะขันหวุ่นญีควบม้า นำกองทหารแปรออกไปอย่างรวดเร็ว รานองมองตามเป็นห่วง โชอั้วหันมายิ้มให้รานอง
"ท่านพ่อบอกข้าพเจ้าว่า แปรพ่ายบุเรงนองครั้งก่อนเพราะมัวรักษาคุณธรรม ท่านอาเป็นคนดีคงไม่รู้ถึงหัวใจผู้ที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นใคร"
รานองหน้าเสียที่ถูกเด็กรุ่นลูกมาเย้ยหยัน แต่พยายามอดกลั้นไว้ โชอั้วมองรานองด้วยความรู้สึกไม่พอใจ

ขบวนช้างตะคะญีนำกุสุมากับปอละเตียงและเชงสอบูเข้ามา บุเรงนอง จาเลงกะโบ เนงบา สีอ่อง ยืนม้ารอรับอยู่กลางถนน จาเลงกะโบกระวนกระวายชะโงกมองหาอยู่ตลอดเวลา จนเห็นได้ชัด
สีอ่องถาม
"เป็นอะไรว๊ะจาเลงกะโบ...ดีใจเกินหน้าท่านแม่ทัพแล้วนะ"
บุเรงนองหันมามองยิ้มๆ ตะคะญีนำขบวนช้างมาเทียบเกยตรงหน้า บุเรงนองตรงเข้าไปรับกุสุมาลงจากเกยช้าง
"ข้าพเจ้าขอเชิญน้องท่านไปพำนักยังวังเมาะตะมะ"
"แล้ว .พระอุปราชสอพินยาล่ะ"
"หากไม่เข้าใจในจิตเมตตาของน้องท่าน ข้าพเจ้าคงน้อยใจเป็นที่สุด น้องท่านอย่าห่วงเลย ข้าพเจ้าจะไม่ทำร้ายสอพินยาถึงชีวิตเด็ดขาด เพลานี้คงหนีไปอยู่กับทัพท่านเสียงโคนสุคญีแล้ว"
"ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านเป็นบาปเพราะข้าพเจ้า ขอโปรดเลิกแล้วต่อกันเถิด"
"ถ้าพระอุปราชสอพินยาไม่คิดกลับมาชิงน้องนางคืน ข้าพเจ้ายินดีให้อภัย"
กุสุมาเดินไปขึ้นสีวิกาออกไป ปอละเตียงกับเชงสอบูเดินตาม จาเลงกะโบเข้ามาขวางปอละเตียง
"อะไร"
จาเลงกะโบรีบดึงสไบปอละเตียงออกมาจากอกเสื้อ
"ข้าพเจ้านำสไบมาคืนท่าน"
"ไม่อยากได้ก็เอาคืนมา"
ปอละเตียงฉวยคืนอย่างไม่พอใจ แต่จาเลงกะโบยื้อไว้
"ไม่ใช่ ข้าพเจ้านะอยากได้ ออกรบศึกนี้ข้าพเจ้าได้กำลังใจจากสไบท่าน แต่เกรงว่าท่านจะหาว่าข้าพเจ้าฉวยโอกาส ข้าพเจ้ายังไม่ได้เอ่ยขอจากท่านเลย"
ปอละเตียงเขินอาย
"อยากได้ก็เอาไปซิ"
ปอละเตียงสะบัดสไบคืนให้แล้วรีบเดินออกไป จาเลงกะโบยืนมองตามอย่างชื่นใจ สีอ่องเดินเข้ามากับเนงบา
"ข้าเพิ่งรู้...พี่ใหญ่ข้าอยากมีเมีย"
จาเลงกะโบอายเพื่อนรีบเก็บสไบไว้ที่เดิม แล้วควบม้าตามขบวนไป
"ข้าไม่แย่งของท่านดอกเหม็นจั๊กแร้ฉิบหาย" เนงบาว่า

ขบวนสีวิกาเคลื่อนผ่านชาวเมืองเมาะตะมะที่มาเฝ้ารับเสด็จไป...

พระอาทิตย์กำลังจะลับหายไปในทะเล เมฆเป็นสีแดงส้มงดงาม บุเรงนองประคองกุสุมานั่งอยู่บนพระแท่นบนระเบียงมองทะเลอย่างมีความสุข

"นับแต่นี้...แม้พระกาฬจะตัวใหญ่ปานใด ข้าพเจ้าจะไม่มีวันให้ใครมาพรากตะละแม่จากอกข้าพเจ้าได้"
"แม้ตะละแม่เมืองตองอูอย่างนั้นหรือ"
บุเรงนองเงียบ
"ข้าพเจ้านี้มีกรรมที่มีรักแท้กับตะละแม่ถึงสองนาง ตะละแม่หนึ่งนั้นสุดรักสุดบูชา หากทิ้งลืมก็ถือเป็นคนอกตัญญู อีกตะละแม่หนึ่งนั้นสุดรักสุดเสน่หา หากไม่ได้มาชีวิตคงม้วยมรณา น้องนางจะให้ข้าพเจ้ามีชีวิตเป็นเช่นใด"
"ข้าพเจ้านี้เป็นผู้มีตำหนิ เมื่อท่านคิดเมตตา ข้าพเจ้าเหมือนได้เกิดใหม่ ขอเป็นเพียงบาทบริจาริกาใช้กรรมเคียงข้างท่านชั่วชีวิต ก็เป็นสุขแล้ว"
บุเรงนองดึงกุสุมาเข้ากอดด้วยรักที่สุด
"ข้าพเจ้าฝ่าศึกมาตามมาหาน้องท่านถึงเมาะตะมะ เมื่อได้น้องท่านกลับมาเคียงข้างแล้ว อย่าหมายว่าชีวิตนี้จะปล่อยให้ห่างกายอีก"
บุเรงนองนั่งประคองกอดกุสุมามองพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าอย่างมีความสุข

วันใหม่ ทุ่งนัดพบ ลุ่มน้ำสะโตงสู่เมาะตะมะ เสียงโคนสุคญีนั่งช้างนำกองทัพหงสาวดีมาอย่างยิ่งใหญ่ มีกองทหารม้านำหน้า ปะขันหวุ่นญีควบม้านำกองทัพเมืองแปรมาจนฝุ่นตลบ และต่างเคลื่อนมาหยุดมองกันอยู่ห่างๆ
เสียงโคนสุคญีตะโกนสั่งทหารม้าที่ควบม้ามารอคำสั่งอยู่
"ไปแจ้งแก่แม่ทัพปะขันหวุ่นญีเมืองแปรเถิดว่า เราจะพักทัพเจรจาแผนการรบกันก่อน ที่ริมน้ำสะโตงนี้"
นายทหารม้าผู้นั้นชักม้าควบไปหากองทัพแปร
บริเวณแม่น้ำสะโตง ทหารม้าทัพหงสาวดีควบม้ามาหยุดตรงลานกลางทัพระหว่างทัพหงสาวดีกับทัพแปร
ปะขันหวุ่นญียืนม้ามอง แล้วหันมาสั่งทหารม้าข้างกาย
"ไปฟังซิว่า แม่ทัพเสียงโคนสุคญีแห่งหงสาดีจะเอาอย่างไร"
ทหารม้าแปรชักม้าควบออกไปหาทหารม้าหงสาวดีที่กลางลาน สักครู่แล้วต่างก็ชักม้ากลับไปรายงานแม่ทัพของตน
ทหารม้าแปรควบม้ากลับมาหาปะขันหวุ่นญี
"แม่ทัพหงสาวดีให้พักทัพเจรจาการศึกกันคืนนี้ที่ริมน้ำสะโตงนี่...ท่านแม่ทัพ"
"ดี...ข้าจะตามล้างแค้นทัพบุเรงนองมันให้ถึงตองอูเลยทีเดียว"
ปะขันหวุ่นญีตะโกนสั่งพักทัพ เสียงทหารตะโกนบอกต่อกันเป็นทอดๆ
"พักทัพ แม่ทัพสั่งให้พักทัพ พวกเราแยกย้ายกันตั้งค่ายพักทัพ"
ปะขันหวุ่นญียิ้มอย่าผู้ชนะ
เสียงโคนสุคญีมองมาทางปะขันหวุ่นญีแล้วยิ้มอย่างพอใจ
"พวกเราหยุดตั้งค่าย ตั้งพักพักแรม พักทัพได้"

ในป่ารกทึบ ไขลูกับสอพินยาเดินกระเชอะกระเซิงในชุดผ้าคลุมปลอมตัวอำพราง ทั้งคู่พยายามเดินหลบๆซ่อนๆ มุ่งไปข้างหน้าอย่างเหนื่อยมาก
"ไขลู ข้าหิวน้ำเหลือเกิน"
"อดทนอีกหน่อยเถอะพระอุปราชเดี๋ยวก็จะถึงแม่น้ำสะโตงแล้ว"
ฝีเท้าม้าควบมาอย่างรวดเร็ว
"พวกจะเด็ดมันตามมาทันแล้ว หนีเร็ว"
ไขลูฉุดมือสอพินยาวิ่งอย่างรวดเร็ว
เสียงทหารแปรร้องบอก
"ตามจับมันให้ได้"
ไขลูฉุดมือสอพินยาวิ่ง มีลูกธนูพุ่งมาปักที่ต้นไม้ใกล้ๆ สอพินยาผงะหลบไปชนไขลูที่วิ่งอย่างเต็มที่จนล้มกลิ้งระเนระนาดไปตามทางลาดไหล่เขาสูงพอสมควร ไขลูที่พยายามฉุดสอพินยาวิ่งขึ้นเนินไปอีกทางหนึ่ง
"มาทางนี้"
ทหารแปรน้าวสายธนูเล็งมาที่สอพินยากับไขลู
"อย่าหนี ไม่งั้นข้ายิง"
ทั้งคู่ไม่ฟังเสียงวิ่งหนีไม่คิดชีวิต แต่เมื่อไขลูวิ่งพาสอพินยาขึ้นเนินมาก็เห็นเหล่าทหารม้าและทหารราบของหงสาวดีโผล่เข้ามา ทั้งคู่ผงะหงายกลิ้งลงเนินไปอย่างไม่เป็นท่า
ไขลูเห็นกองทหารหงสาวดีกับกองทหารแปรยืนล้อมอยู่ในหุบเขาก็ดีใจ รีบสลัดผ้าคลุมออกแล้วดึงผ้าคลุมของสอพินยาอออกด้วย
"อย่า...อย่ายิงมานะ ข้าไขลูแล้วนี่พระอุปราชสอพินยา"
เสียงโคนสุคญียืนม้ามองลงมาอย่างแปลกใจ
"ไขลู พระอุปราช ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้"
สอพินยาพอรู้ว่า รอดตายก็ทรุดลงร้องไห้อย่างคับแค้นใจ ไขลูมองอย่างสงสารทรุดลงกอด
"อย่าอ่อนแอ พระอุปราช เราชนะแล้ว คราวนี้เราชนะแน่"

ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ชายแดนเมาะตะมะทหารทั้งสองทัพต่างแยกย้ายพักกันเป็นหน่วยๆ บ้างก็หุงหาอาหาร บ้างก็พาสัตว์ลงกินน้ำ สอพินยา ไขลู เสียงโคนสุคญี ปะขันหวุ่นญี และแม่ทัพอื่นๆนั่งพักอยู่ริมน้ำ
"มันแกล้งรื้อค่ายถอยทัพ เราหลงกลข่าวปล่อยมัน จึงไม่ยอมออกตีก่อน ทั้งๆที่มีกำลังมากกว่ามันตั้งเยอะ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น"
ปะขันหวุ่นญีบอก
"พระอุปราชสอพินยา ก็ควรแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า มันถอยทัพ ข้าพข้าพเจ้าจะได้มิต้องยกทัพลงมาถึงเมาะตะมะ"
"ข้าพเจ้าควรถามท่านถึงจะถูก ว่าทำไมเคลื่อนพลกันมาช้านัก หากมาเร็วกว่านี้เพียงวันเดียว เราก็เอาชนะมันได้แล้ว" ไขลูว่า
ปะขันหวุ่นญีบอก
"ใครจะคิดว่ามันหาญตีเมาะตะมะด้วยกำลังที่น้อยกว่า และที่สำคัญ กำแพงเมาะตะมะแข็งแรงยิ่งกว่าภูผา ใยตีแตกได้ภายในคืนเดียว"
สอพินยากับไขลูจึงเงียบ
"การทั้งหมดหาเป็นความผิดของพระอุปราชไม่ หากแต่เป็นเพราะชาวเมาะตะมะไม่พอใจหงสาวดีมาก่อน พอเกิดศึกจึงไม่ทำการให้เต็มมือ มาตรว่า มีแต่ทหารหงสาวดีทั้งหมดซิ พวกตองอูหรือมันจะตีได้สำเร็จ ขอพระอุปราชสั่งการพักทัพแล้วเตรียมการตีคืนใหม่" เสียงโคนสุคญีว่า
"เราไม่พัก บุเรงนองหยามเราถึงเพียงนี้ ท่านจะให้เราหลับตาลงได้อย่างไร เราจะต้องตีเมาะตะมะคืนให้ได้เร็วที่สุด"
เสียงโคนสุคญีหน้าเสีย
"ท่านเสียงโคน ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งหงสาวดี การที่พวกตองอูกระทำย่ำยีเราขนาดนี้ ท่านยังจะใจเย็นอยู่ได้ไง อย่างน้อยการที่เมาะตะมะเป็นเมืองท่าติดทะเล เป็นเมืองสร้างภาษีอากรให้แก่หงสาวดีมากมาย ถูกตองอูยึดไปอย่างนี้ พระคลังหลวงเสียหายแค่ไหน ท่านคิดถึงข้อนี้หรือเปล่า" ไขลูว่า
"ข้าพเจ้าสำนึกในข้อนี้ดี และเห็นว่าเมืองท่าเมาะตะมะนี้ มีความสำคัญเพียงใด แต่ว่าเมืองเมาะตะมะนั้นมีชัยภูมิเข้มแข็ง มีน้ำทะเลโอบล้อมถึงสามด้าน จะทำอย่างไรให้ทหารหงสาวดีกับแปรสมานไมตรีร่วมกันหักเอาคืนได้ โดยสูญเสียกำลังน้อยที่สุด"
สอพินยาบอก
"จะเอาอย่างไรก็ว่ามาเร็วๆ เพราะเพลานี้ตะละแม่กุสุมาของเราตกอยู่ในอุ้งมือมันอยู่"
"กำลังทหารเราทั้งสองทัพ เมื่อนับรวมแล้วก็มากกว่าพวกตองอูถึงสามเท่า หากจะหักเอาเมาะตะมะ คงได้ไม่เกินสามราตรี พระอุปราชรับสั่งมาเถิด แปรนี้ก็ถูกตองอูย่ำยีมา พวกข้าพเจ้าอยากล้างแค้นมันถึงที่สุดแล้ว" ปะขันหวุ่นญีว่า
ไขลูถาม
"ว่าไง ท่านเสียงโคน ฝ่ายแปรเขาสู้แล้ว ท่านเป็นถึงแม่ทัพหงสาวดีใยจะมาคิดมากอีก"
"กำแพงเมืองเมาะตะมะนั้นแข็งแรงนัก หากตั้งมั่นป้องกันให้เข้มแข็ง พวกเราแม้กำลังมากกว่าก็เหมือนกำลังน้อย เพราะแผ่นดินหน้ากำแพงเมาะตะมะนั้นแคบ มีให้ยืนไม่ถึงครึ่งทัพ ยากที่จะใช้ยุทธพิชัยทางบกใดตีหักเอาได้"
สอพินยาบอก
"ก็โหมบุกมันทั้งกลางวันกลางคืน จนพวกมันเหนื่อย ใยจะต้านเราได้"
"แต่ถ้าเราใช้กองเรือเข้าล้อมทางทะเลทั้งสามด้าน ทหารตองอูที่มีอยู่น้อยนิด คงมิอาจแบ่งกำลังป้องกันยุทธภูมิทั้งสามด้านได้ เราจะหักเอาโดยสูญเสียทหารน้อยกว่า"
"แต่ทัพพวกท่านที่ยกมาหาได้มีทัพเรือมาแม้แต่น้อย"
"ข้าพเจ้าจึงขอให้พระอุปราชได้โปรดสั่งพักทัพ เพื่อต่อเรือรบเสียก่อน พวกตองอูเป็นชาวดอนไม่คุ้นการรบทางน้ำ คงตั้งรับป้องกันเมืองได้ไม่กี่เพลาดอก และที่สำคัญข้าพเจ้าต้องการให้ทหารทั้งสองเมืองเห็นว่า ศึกนี้เราต้องการตีเมืองท่าเมาะตะมะอันสำคัญคืน หาได้เป็นศึกชิงนาง น้ำใจทหารที่จะรบก็จะยินดีตายด้วยความเต็มใจกว่า"

สอพินยาแค้นจัด แต่ก็จนหนทางที่จะโต้ตอบ ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่กล้าคัดค้าน
 
อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น