ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 10
เมื่อมั่นใจแล้วว่าเชษฐาคือเจ้าคุณปราชญ์กลับมาเกิดใหม่ คุณหญิงสร้อยลุกขึ้นเดินช้าๆ ด้วยไม้เท้า ค่อยๆ ย่างก้าวจะออกมาจากห้องนั้น ผีคุณสวาสดิ์ ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ามองจ้อง คุณหญิงสร้อยสัมผัสได้จึงต้องหยุด เหมือนมีอะไรดึงไว้จนเดินต่อไม่ได้
สีหน้าของหญิงชราอายุยืน เหมือนสำเหนียกว่ามีอะไรบางอย่าง วนเวียนอยู่ตรงนั้น
คุณสวาสดิ์ค่อยๆ คลานมากราบที่พื้น แล้วขยับตัวกอดขา ลุกขึ้นโอบมือไปรอบตัวแม่ คุณหญิงยืนนิ่งเป็นหุ่น ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นไปทั้งตัวจนเซไปยืนพิงขอบเตียง ยินเสียงเพลงกล่อมลูก ดังแว่วๆ มา ผีคุณสวาสดิ์ ร้องไห้เสียงสะอื้นดังแผ่วๆ
มือของคุณหญิงสร้อย ที่จับเสาเตียงสั่นระริก รู้ทันที “ลูกสวาสดิ์...ลูกอยู่ตรงนี้เหรอลูก” คุณหญิงกระซิบถามเสียงแผ่ว
หากใครมองเข้ามาในห้องยามนี้ จะเห็นเพียงคุณหญิงสร้อยนั่งอยู่คนเดียว กิริยาโศกศัลย์อาดูรสุดประมาณ
เวลาต่อมาคุณหญิงนั่งอยู่บนรถเข็นอยู่ตรงระเบียงหน้าตึก ปู่กลับนั่งอยู่ตรงหน้า คล้าสนทนากัน เห็นชัดว่าคุณหญิงพูดถาม แล้วปู่กลับพูดตอบ และคุณหญิงพูดอีก
กิริยาอาการของทั้งคู่ระหว่างสนทนา ดูออกว่าต่างวิตกกังวลกันทั้งสองคน
สองคนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
คุณหญิงสร้อยเอ่ยขึ้นอีก “ตากลับ”
ปู่กลับก้มหน้า อัดอั้นตันใจเหลือเกินแล้ว
“คุณประยงค์จะมาเอาตัวคุณเชษฐาไป...เชื่อฉัน แกจะปล่อยให้เขาตายงั้นรึ”
“คุณสร้อยขอรับไม่ใช่คุณเชษฐาคนเดียวนะขอรับ”
ขณะเดียวกันภายในห้องโถง คุณประยงค์รับรู้เรื่องที่สองคนคุยกัน สีหน้าวิญญาณร้ายนิ่งลึก โกรธจัด
“นังสร้อย สาระแนนัก ไม่ตายไปพร้อมลูกสาวเอ็งก็ตายวันนี้เถอะ” คุณประยงค์ส่งเสียงคำราม
คุณสวาสดิ์สวนออกมาทันทีว่า “ใจร้าย”
“หยุดนะนังสวาสดิ์อย่าบังอาจนะ”
คุณประยงค์ก้าวลงออกมาจากรูปอย่างรวดเร็ว คุณสวาสดิ์กระโจนจากรูปตัวเอง ผวาพรวดเข้าหาคุณประยงค์ สองมือชูร่าไปที่หน้า แล้วฟุบลงบนพื้นแทบเท้าคุณประยงค์เต็มแรง และกอดไว้แน่น
คุณประยงค์ก้าวเดินไม่ยอมหยุดลากร่างคุณสวาสดิ์ไปด้วย
“ลูกสวาสดิ์กลับมา” ย่าน้อยร้องสุดเสียง
“ค่ะ” คุณสวาสดิ์ไม่ยอมฟังแล้ว
เวลานั้นพวกพนักงาน ต่างกำลังทำงานของตัวเองไป ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ย่าน้อยใจหาย ร้องห้ามเสียงดัง “ลูกสวาสดิ์...อย่า”
คุณหญิงสร้อย และปู่กลับ ยังสนทนากันอยู่ที่เดิม
คุณหญิงรำพึงออกมาพอได้ฟัง “กลับมาทุกคนเลยหรือตากลับ โอ น่ากลัวเหลือเกิน”
“ขอรับ...ท่านเจ้าคุณ คุณอร อีเกด หลวงขจร มหัศจรรย์เหลือเกินขอรับ” ปู่กลับย้ำ
“เธออำนาจจิตแรงกล้า ซ้ำหนักด้วยแรงอาฆาตพยาบาท ตากลับ แกรู้แกเห็นทุกอย่างใจคอแกจะรอให้ทุกอย่างเกิดซ้ำรอยเดิมรึ บอกเขาให้เขาเลิกกิจการแล้วไปจากที่นี่”
คุณประยงค์คำรามอย่างโกรธแค้น “นังสร้อย มึงต้องตาย”
ผีคุณประยงค์ก้าวพรวดๆ ไปต่อ คุณสวาสดิ์ถูกลากติดขาไปด้วยถูลู่ถูกกัง ย่าน้อยพรวดเข้าขวางกางกั้น คุณประยงค์ไม่ตอแย เลี้ยวไปอีกทาง ต่อไปอีก คุณสวาสดิ์ร้องไห้ เสียงดังก้องกังวานไปทั้งโถง
“นังสร้อย นังสาระแนตายตามลูกไปเหอะมึง”
“คุณอา...ช่วยด้วย ห้ามคุณย่าด้วย” คุณสวาสดิ์ร่ำไห้
“คุณอา...อย่านะคะ กรุณาเถอะค่ะ” ย่าน้อยร้องอ้อนวอนอีกแรง
คุณประยงค์ไม่แยแสเดินมาจนสุดห้องโถง พนักงานทั้งหมดทำโน่นทำนี่ บางคนเดินตัดหน้าคุณประยงค์ไปแบบเส้นยาแดง แถมเดินคุยกันด้วย พอคุณประยงค์จะออกประตูคฤหาสน์
เสียงย่าน้อยดังก้องขึ้น “คุณอา นรกขุมไหนถึงจะพอให้คุณอาอยู่”
คุณประยงค์หยุดกึก หันขวับมาทางย่าน้อย
คุณสวาสดิ์กราบแล้วกราบอีกทั้งน้ำตา คุณประยงค์วูบออกไปอย่างเร็ว ลูกสวาสดิ์เกาะไม่ทัน
คุณสวาสดิ์เสียงก้องกังวาน “คุณแม่เจ้าขา....ระวังตัวเจ้าค่า”
ฉากนี้ให้แรงๆ เสียงเถียงกันทั้งลากทั้งดึงข้ามจากห้องฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆ ทำงานตามปกติ
รถยนต์แล่นไปไกลแล้ว วิญญาณคุณประยงค์ลอยวูบออกจากในตึกมาอย่างเร็ว แล้วหยุด ด้วยเห็นว่าคงตามไม่ทัน หันหลังกลับ
ในห้องโถงยามนี้ ย่าน้อยกำลังดึงรั้งประคองคุณสวาสดิ์ไว้ แต่คุณสวาสดิ์จะออกไป
“ลูกสวาสดิ์ กลับบ้านเราเถอะ” เสียงคุณหญิงสร้อยดังขึ้นมาอีก
“คุณแม่....คุณแม่เจ้าขา”
คุณประยงค์มาเป็นลมวูบเดียว ปะทะคุณสวาสดิ์ที่กำลังวิ่งออกไป คุณสวาสดิ์ผงะจะหงายหลัง แต่ทรงตัวแล้ววูบหายไป
ที่รูปคุณประยงค์ เห็นแต่ชายสไบวูบหายเข้าไปในห้องรูปนั้น เพียงพริบตาคุณประยงค์ก็เป็นรูปวาดเหมือนเดิม
ย่าน้อย เดินระทดระทวยผ่านไป หันมามองด้วยสายตาทั้งเสียใจทั้งเกลียดชัง คุณประยงค์เห็นแต่ไม่สนใจ หรือแยแสสักนิด สีหน้าเฉยเมย
คุณสวาสดิ์เดินก้มหน้าลากขาผ่านไป เหลือบตามามองคุณประยงค์ด้วยหน้าตากลัวเกรง แล้วเดินไปผ่านพวกพนักงานสโมสร ที่เดินสวนมา พวกนั้นถือข้าวของพะรุงพะรัง...
แต่ทุกคนไม่เห็นคุณสวาสดิ์สักคนเดียว
เวลาต่อมา วิญญาณย่าน้อย และวิญญาณคุณสวาสดิ์ นั่งอยู่บนหลังคาตึกมองตามรถไป ย่าน้อยเสียงเศร้า
“ไปกันหมด”
“นั่นน่ะรถคุณเชษฐาแต่คุณหลวงขจรขับไป ทำไมคุณอาถึงไม่ทำให้เขาเห็นล่ะคะ”
“เขาต้องคิดถึงอาจนเห็นอาด้วยตัวเขาเอง”
“โธ่เอ๊ย ถ้าเขาไม่เห็นซะทีล่ะคะ”
“อาก็จะคอย”
“เขาจะเห็นคุณอาเอง....ทำไมหรือคะ”
“เราเคยรักกันมากเหลือเกินนะลูกสวาสดิ์ มากจนอาไม่เคยคิดเลยว่าเราจะหมดรักกันได้”
เหตุการณ์ภายในสวนที่ร่มครึ้ม หลังบ้านสิงหมนตรีเมื่ออดีตผุดขึ้นมาอีก
แลเห็นคุณน้อยในชุดอยู่กับบ้าน เดินแกมวิ่งลัดเลาะมาตามสุมทุมพุ่มไม้ ที่หนาแน่น หลวงขจรอยู่ชุดทำงานราชประแตน ยืนคอยกระสับกระส่ายอยู่ หันขวับมาทางเสียง
คุณน้อยโผเข้าไปจนถึงตัว หลวงขจรก็เอื้อมมือมารับสองมือของคุณน้อยแล้วกำลังจะดึงเข้าไปกอด คุณน้อยเอนไปครึ่งตัวแล้วชะงักดึงตัวเองออกมา ตามวิสัยกุลสตรีไทย
ทว่า ในพริบตานั้นหลวงขจร ดึงตัวคุณน้อยเข้าไปกอดแนบแน่น คุณน้อยเผลอปล่อยกายไปอึดใจหนึ่ง
หลวงขจรประคองหน้า เอื้อนเอ่ย “ขอผม” แล้วพรมจูบเบาๆ บนแก้มนวล “คุณน้อยยอดรัก”
คุณน้อยหลับตานิ่ง ตัวสั่นสะท้านเพราะกอดแรกของผู้ชาย
“คุณน้อย....ตัวสั่น...หนาวหรือครับ”
คุณน้อยพูดเสียงอุบอิบสายหน้าว่า “เปล่าค่ะ”
“เป็นพระคุณเหลือเกินที่กรุณาผม”
“คุณหลวงปล่อยอิฉันก่อน ใครมาเห็นอิฉันต้องโดน...”
“ผมอยากกอดคุณน้อยอย่างนี้ไปจนตาย”
คุณน้อยเขิน พูดเล่นขำๆ “ถ้าอิฉันตายก่อนละคะ”
“ผมจะตายก่อนคุณ ผมทนดูคุณจากผมไปไม่ได้”
“ให้อิฉันเป็นคนทนดูคุณจากไปเสียเองหรือคะ”
คุณสวาสดิ์ฟังเหตุการณ์ตอนนี้แล้วขัดใจเป็นที่สุด “อุ๊ย คุยอะไรกันก็ไม่รู้ ตายเตย หนูอยากฟังเรื่องกุ๊กกิ๊ก”
“ต๊าย ลูกสวาสดิ์เอามาจากไหน”
“ได้ยินแขกเค้าพูดกันค่ะ”
“กระไรได้ อาถูกลงโทษปางตาย”
“อ้าว...ใครฟ้องคะ” คุณสวาสดิ์สงสัย
เหตุการณ์ต่อมาคุณน้อยวิ่งออกมาตรงทางเดินใกล้ เจออีอุ่นยืนคอยอยู่ทำไม่รู้ไม่ชี้
เสียงย่าน้อยเล่าบรรยายเหตุการณ์ต่อ “คุณย่าประยงค์ให้บ่าวตามอา”
ไม่นานต่อมา ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในตัวละคร ทั้งคุณน้อย คุณประยงค์ ท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิงแย้ม คุณปั้น และคุณมณี ภรรยา
คุณปั้นเอ่ยขึ้นน้ำเสียงขุ่น สีหน้าผิดหวัง “พ่อไม่นึกว่าลูกสาวพ่อ...ลูกผู้ดีมีสกุลจะทำการเหมือนหญิงชาวบ้านร้านตลาดลักลอบไปพบผู้ชายพายเรือ....งามหน้ามั้ย...รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
คุณมณีทักท้วง “คุณพี่คะ ค่อยๆเถอะค่ะ เกรงใจเจ้าคุณพ่อท่าน”
“เจ้าคุณพ่อไม่ลงโทษแม่น้อยด้วยมือท่านก็เป็นบุญแล้ว” คุณปั้นว่า
“แต่ว่า...” คุณมณีท้วง
ท่านผู้หญิงแย้มขัดขึ้น “แม่มณีหยุด หล่อนอย่าเข้าข้างลูกจนลืมขนบธรรมเนียมประเพณี”
“ทีคุณอาประยงค์กะเจ้าคุณอักษรล่ะคะ” คุณน้อยสวนคำ
ท่านผู้หญิง คุณปั้น คุณมณี ต่างตกใจ ร้องปราม “แม่น้อย” สุ้มเสียงเด็ดขาด
คุณประยงค์ยิ้มในหน้า ด้วยความสะใจ และคุณน้อยก็เห็นพอดี ของขึ้นเลย
“ไม่จริงเหรอคะ คุณอาก็แอบไปพบท่านเหมือนกันทั้งๆ ที่ท่านมีพี่อร”
ท่านเจ้าพระยาตวาดเสียงดัง “แม่น้อย....หยุดเดี๋ยวนี้ หยาบคายจริง”
คุณน้อยเถียง “หยาบตรงไหนคะ เจ้าคุณปู่ น้อยพูดความจริง”
ท่านเจ้าพระยาหันมาเอาเรื่องคุณปั้น “ไอ้ปั้น เอ็งสอนลูกสาวอย่ากำเริบกะข้า” แล้วหันมาทางคุณน้อย ชี้มือใส่หน้าอย่างรุนแรง “แล้วก็อย่าระรานอะไรคุณอาประยงค์เขาอีก ถ้าปู่ได้ยินอีกครั้งจะโดนลงโทษอย่างหนัก”
คุณปั้นหน้าเสียมาก “ขอรับคุณพ่อ เป็นพระคุณกับหลานขอรับ แม่น้อย กราบเจ้าคุณปู่”
คุณน้อยกราบ สีหน้านิ่งสนิท ความรู้สึกอัดอั้น
“คุณย่าด้วย” คุณปั้นบอกอีก
คุณน้อยกราบ
“คุณอาประยงค์”
คุณน้อยกราบอีก
คุณประยงค์เอ่ยขึ้น “เป็นอันว่าอาไม่ถือโทษที่พูดจาล่วงเกินอา...อภัยให้”
คุณน้อยก้มหน้าอยู่ ส่งเสียงอุบอิบ “ขอบพระคุณค่ะ”
เข้าหน้าคุณประยงค์ช้าๆ เป็นหน้าของคนที่ร้ายลึก
คุณน้อยเห็น มองแล้วใจหวั่น
เสียงคุณสวาสดิ์ขัดขึ้น “ต๊าย...ตาย แค่มองหน้าเธอก็รู้หรือคะว่าเธอจะทำอะไร”
“รู้ว่าเธอทำ แต่ทำอะไรไม่รู้” ย่าน้อยว่า
“เดี๋ยวก็รู้” คุณสวาสดิ์หัวเราะคิกคัก
คุณประยงค์ในอดีตชาติฟ้องต่อ “พ้นผิดเรื่องพูดหยาบคายกับลูก แต่ไม่พ้นผิดเรื่องหลบไปพบหลวงขจรค่ะ เจ้าคุณพ่อ”
ทุกคนอึ้งไปจนหมด
“แม่ประยงค์ เอาเถอะเป็นครั้งแรกขออีกหน พี่จะกำราบลูกเอง” คุณปั้นบอก
“ไม่ได้ค่ะคุณพี่ปั้น ครั้งแรกไม่ถูกลงโทษก็กำเริบใจ ครั้งต่อๆ ไป ไม่ยับยั้งชั่งใจล่ะ”
“แล้วคุณอาล่ะคะ” คุณน้อยย้อนเอา
คุณประยงค์โกรธเป็นไฟ ลุกพรวดขึ้นอย่างเร็ว เงื้อมือฟาดคุณน้อยเปรี้ยงใหญ่จนคุณน้อยหน้าหัน ทุกคนตะลึกงัน พ่อแม่นั้นสงสารลูกด้วย
คุณปั้นตกใจ “น้องประยงค์นี่หลานเธอนะ”
คุณประยงค์แหวกลับ “คุณพี่ปั้นบอกลูกด้วยว่านี่อานะ”
คุณน้อยน้ำตาไหลร่วงพรู “อาแล้วไงคะ นี่หลานนะคะ ทำไมต้องตบด้วย”
“สาสมกับความผิดแล้วแต่ถ้าขืนย้อนคำฉันอีกฉันจะตบให้อีก”
“น้อยไม่ยอมคุณอาทำเกินไป ทีนี้ถ้ามาตบน้อยอีก น้อยจะสู้ด้วย” คุณน้อยเถียงเสียงดังลั่น
“แม่น้อย” คุณประยงค์ถลันพรวดเข้ามาทำท่าเอาเรื่อง
คุณปั้นเสียงดัง “น้องประยงค์มากไปแล้วนะ”
“เจ้าคุณพ่อจะปล่อยให้แม่น้อยพูดย้อนยอกกับลูกหรือคะ ตัวผิดแล้วยังปากกล้าถ้าเจ้าคุณพ่อให้ท้ายเด็กคนนี้ลูกก็จะได้รู้ว่าหลานจะพูดยังไงกับอาก็ได้”
ท่านเจ้าพระยาเอ่ยขึ้น “พ่อปั้น เธอต้องทำโทษลูกสาวเธอ หาวิธีลงโทษให้เหมาะสม แล้วมารายงานพ่อด้วย แม่ประยงค์พาพ่อกลับห้องหน่อยลูก”
คุณประยงค์สะใจ สมใจนึกบางลำพู ลุกขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่งแค่ในแววตาเท่านั้นที่ยิ้มสะใจ เข้าประคองท่านเจ้าพระยา พาไปที่บันได ก้าวขึ้นบันไดไปที่ละขั้น...ช้าๆ ทิ้งให้ด้านหลังนั่งอึ้งกับคำตัดสิน
คุณน้อยตะโกนตาม
“เกลียดคุณอา...คุณอาใจร้าย”
คุณน้อยวิ่งพรวด หนีออกไปนอกตึกในทันที
อ่านต่อหน้า 2
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
คุณปั้นและคุณมณี วิ่งตามคุณน้อยที่วิ่งเตลิดหนีไปที่ระเบียงหลังตึก
“แม่น้อย...หยุดเดี๋ยวนี้”
คุณมณีเข้ามากอดลูก “แม่น้อย...ไม่เป็นไรนะลูก” จับหน้าดูแก้มที่ถูกคุณประยงค์ตบ
“รักผู้ชายมากถึงขนาดกล้าเถียงผู้ใหญ่เชียวรึ” คุณปั้นพูดน้ำเสียงปรามปนหนักใจ
คุณน้อย น้ำตาเต็มตา สะอึกสะอื้นน่าสงสาร
ท่านผู้หญิงแย้มตามออกมา “แม่น้อย”
“คุณย่า...คุณย่าเจ้าขา ช่วยหลานด้วยเจ้าค่ะ”
“แม่น้อย หลวงขจรมีคู่หมายที่พ่อแม่จัดแจงไว้ให้ชื่อแม่จริน ที่ย่าได้ยินมานะ คุณหลวงคนนี้เป็นลูกอยู่ในโอวาทพ่อแม่เขาคงไม่กล้าขัดขืนหรอก...ตัดใจเสียนะ หลานย่า”
ท่านผู้หญิงพูดจบ มองหลานนิ่งๆ อยู่อีกอึดใจ แต่เพราะเป็นคนใจแข็งจึงเดินกลับเข้าไปเลย
“เชื่อคุณย่านะแม่น้อย” คุณมณีบอก
คุณน้อยสีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อเด็ดขาด แต่ซ่อนไว้ไม่ให้ท่านเห็น
ผีเด็กผมจุก ผาดโผนไต่เล่นไปตามหลังคา เล่นพลางพูดพลาง
“คุณอาเจ๋งมากค่ะ”
“อีกแล้วไปฟังใครพูดมาอีกล่ะ”
“คุณหลวงถูกห้ามไม่ให้มาบ้าน คุณอาไปพบที่ไหนคะ”
“ข้างนอกสิ รู้มั้ยว่าใครช่วยอา”
“หนูเห็นอยู่คนเดียว แม่อร” ผีเด็กผมจุกว่า
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่อรเค้าไปเที่ยวกับคุณอาประยงค์บ่อยๆ เขาพาอาไป”
“คุณย่าประยงค์น่ะหรือคะพาแม่อรไปเที่ยว” คุณสวาสดิ์ไม่อยากเชื่อ
“ใช่...อาก็ไม่รู้ว่าทำไมคุณอาถึงหายเกลียดแม่อร โอ๊ย เขาไปด้วยกันบ่อย”
ที่ถนนย่านช็อปปิ้งวันหนึ่งในอดีต คุณประยงค์ เดินพาแม่อรเที่ยวตามร้านขายของในย่านนี้ มีบ่าว อีทิ้ง กะ อีอุ่นเดินตาม ร้านที่แวะเป็นร้านขายผ้า สองคนเดินเข้ามา คุยกันเรื่องผ้า เจอชิ้นถูกใจจึงบอกแขกคนขาย ได้ของแล้วจึงพากันเดินออก อีอุ่นถือถุงผ้าตามมา
ต่อมาแวะร้านขายเครื่องประดับ สองคนเดินเข้าไป บ่าวสองคนคอยอยู่ข้างนอก
สักพักหนึ่งคุณประยงค์กับแม่อรจึงเดินออกมา แม่อรใส่สร้อยทองเส้นเล็กมีจี้ห้อย เป็นรูปดอกไม้น่ารัก
จากนั้นจึงพากันแวะร้านตัดเสื้อผ้า คุณประยงค์บอก “ซื้อผ้าแล้วตัดเสื้อเสียเลย”
ย่าน้อยเล่าต่ออีก “วันหนึ่งแม่อรก็พาอาไป แล้วเป็นวันที่สอง....ที่สาม”
“ไปยังไงคะไกลจะตาย”
“อ๋อ ไปกับคุณปู่ก่อน คุณปู่ไปถึงกระทรวง แล้วเราก็ขึ้นรถเจ๊กมาที่ถนนเนี้ย...เค้าเรียกถนนบำรุงเมือง”
ถนนช็อปปิ้ง อีกวันหนึ่ง เห็นรถเจ๊กตันหนึ่งลาก แม่อร และ คุณน้อย มาหยุดที่ย่านช็อปปิ้งนี้ สองคนลงจากรถ ส่งเหรียญให้เจ๊กลาก
คุณน้อยหันไปเห็นหลวงขจรคอยอยู่แล้ว แต่คุณน้อยไม่กระโตกกระตาก ทำมือบอกให้บ่าวไปคอยอยู่ข้างนอกร้าน โดยคุณน้อย แม่อร เดินเข้าร้านหนึ่งไป
สักครู่ คุณน้อยเดินออกมาในจังหวะ ที่บ่าวหันไปทางอื่น แล้วเลี้ยวไปทางที่หลวงขจรคอยอยู่
สองคนอยู่ตรงที่ลับตาบริเวณใกล้ๆ ร้านนั้น ยืนเหมือนคุยกับธรรมดาๆ แต่สายตาซาบซึ้งต่อกัน
“คิดถึงเหลือเกินจนจะล้นอกอยู่แล้ว” หลวงขจรบอก
“คิดถึงเท่ากับคิดถึงแม่จรินมั้ยคะ”
“แม่จริน ไม่มีความหมายเลย ไม่ได้รักสักกระผีกเดียว เป็นเรื่องของผู้ใหญ่จัดการ”
คุณน้อยนิ่ง สายตามีแววลังเล
หลวงขจรย้ำคำ “เชื่อผมนะ”
คุณน้อย ยังนิ่งอยู่
“มองตาผมสิคุณน้อยแล้วจะรู้ว่าผมพูดจริง”
“คุณหลวงจะทำยังไงต่อไปคะ จะให้อิฉันคอยลมๆ แล้งๆ อยู่อย่างนี้หรือคะ”
“ไม่” เสียงหลวงขจรหนักแน่นมาก “ผมทำอย่างที่ควรทำแน่ๆ”
“อิฉันจะทราบได้อย่างไร”
“จะทราบเมื่อเห็นผล ขอเวลาผมหน่อยแต่ระหว่างนี้ผมทนคิดถึงคุณไม่ได้ อกผมจะระเบิด ผมต้องพบคุณน้อย”
“อิฉันออกมาอีกไม่ได้แน่ๆ ค่ะ”
“ผมจะไปพบคุณน้อยเอง ผมทราบว่าท่านเจ้าคุณท่านจะไปราชการหัวเมืองนานถึงเจ็ดวัน ผมจะไปพบคุณน้อยที่เรือนท่าน”
สองคนเจอกันที่บนเรือนแม่อร เวลาตอนใกล้ค่ำวันหนึ่ง
พอพบหน้าหลวงขจรสวมกอดคุณน้อย อย่างนุ่มนวล ทะนุถนอม
“คุณน้อย”
คุณน้อยยืนตัวชา สั่นสะท้าน
“กอดผมสิ...รักผมรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ คุณหลวงอย่าค่ะ”
“รัก....คุณรักผม กอดผมเหมือนที่ผมกอดคุณ...” คุณหลวงกอดแรงเข้าไปอีก “อย่างนี้”
คุณน้อย หลบเลี่ยงเบี่ยงบ่ายด้วยความอาย
“เป็นธรรมดาของคนรักกันคุณน้อย ไม่เชื่อถามคุณอร”
คุณน้อย เงยหน้ามา หลวงขจรประคองสองแก้ม มองนัยน์ตา
“เชื่อผมนะ”
คุณน้อยพยักหน้า กอดไปรอบตัวคุณหลวงช้าๆ
“ยอดรัก...คุณน้อย...ยอดรักของผมคนเดียว”
ย่าน้อยเล่าถึงตรงนี้แล้วเงียบไป จนคุณสวาสดิ์แปลกใจ
“คุณอา...ทำไมนิ่งไปคะ ไหนว่าหลวงขจรจะมาพบที่เรือนแม่อร มารึเปล่าคะ”
ย่าน้อยยิ้มลึกในสีหน้า ไม่ตอบ
“ถามก็ไม่ตอบ ทำนัยน์ตาลอยอยู่นั่น หนูเลยไม่รู้พอดี ฮึ...เล่าก็ไม่เล่าให้หมดจด”
ย่าน้อยยิ้มมากขึ้นอีก สีหน้ารำลึกจดจำเรื่องราวหวานซึ้ง
คุณสวาสดิ์ดักคอ
“มีอะไรปิดบังหนูอยู่รึเปล่าคะ”
บ่าวของคุณน้อยชื่อช้อยเริ่มผิดสังเกต เห็นคุณน้อยหายไปนาน
“นี่หล่อน” ช้อยพูดกับยงที่ขัดชานเรือนอยู่ “ทำไมนานจัง”
ยงงง “ใคร”
“นายอรน่ะสิ พาคุณน้อยขึ้นเรือนไปทำอะไรนานสองนาน”
แม่อรเดินมาจากข้างๆ เรือนเอ่ยขึ้น “คุณน้อยดูหนังสืออยู่”
“ไหนว่าดูผ้าไงคะ”
“ด้วย...” แม่อรเดินขึ้น แล้วหันมาพูดกับช้อยว่า “ดูผ้าด้วยจวนเสร็จแล้ว” เสียงดังขึ้นอย่างจงใจให้สองคนนั้นได้ยิน
ด้านปู่กลับเดินผ่าน ห้องรูปคุณน้อยและคุณสวาสดิ์ที่ว่างเปล่า ชายชราไปยืนกลางห้อง มองไปรอบๆ
เสียงคุณหญิงสร้อยดังขึ้นอีกครั้ง
“ท่านเจ้าคุณ....ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมจะทำฉันใด” ปู่กลับถอนใจยาว “จะเล่ายังไงให้ท่านเชื่อ”
ยืนทุกข์อยู่ครู่ใหญ่ ปู่กลับงกเงิ่นเดินกลับ ผ่านห้องรูป
ย่าน้อยเอ่ยขึ้น “ไอ้กลับ ไม่เชื่อคุณสร้อยเขารึ เขาให้เอ็งบอกเรื่องราวให้ท่านเจ้าคุณรู้เรื่อง”
“นั่นสิ ตากลับทำไมยังไม่บอก” คุณสวาสดิ์ว่า
ปู่กลับทรุดฮวบลงกับพื้น หมอบลง
เสียงคุณประยงค์ขัดขึ้น
“ถ้าเอ็งสาระแนตามนังสร้อย คนที่จะตายไม่ใช่เอ็งคนเดียว...จำไว้”
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณหญิงสร้อย ใส่บาตรอยู่หน้าบ้าน ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สำรวมยิ่ง ชัยชนะ ใส่ด้วย ฝน กับ ละมุน เตรียมของและคอยดูแล
พอใส่บาตรเสร็จ พระให้ศีลเบาๆ คุณหญิงไหว้ พระเดินออกไป
คุณหญิงสร้อยถอยมาที่เก้าอี้ ชัยชนะประคองให้นั่งลง ละมุนเอาที่กรวดน้ำมาให้
คุณหญิงกรวดน้ำอธิษฐานจิต “ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่คุณประยงค์สิงหมนตรี ท่านจะอยู่ภูมิใดก็ตามขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ สิ่งใดก็ตามที่เราสองคนเคยกระทำอกุศลต่อกัน ข้าพเจ้าขออโหสิให้ อนุโมทนา”
ฝนเก็บข้าวของอุปกรณ์ที่ใส่ของใส่บาตรเดินกลับเข้าบ้านไปแล้ว
ช่วงตอนกลางวัน คุณหญิงสร้อยนอนหลับเอน อยู่บนเก้าอี้...ฝัน
คุณประยงค์โผล่หน้าเข้ามาเต็มๆ ตรงหน้า
คุณหญิงสร้อย ร้องเต็มเสียง “อย่า” พร้อมกับโบกมือไล่
“ฉันไม่รับบุญของแกนังสร้อยและจะบอกไว้ ถ้าแกยังสาระแนเสือกสอดเรื่องของฉัน...แกได้ตายตามนังสวาสดิ์ไปแน่” คุณประยงค์ขู่
คุณหญิงสร้อยผวาตื่น ลุกขึ้นมา นั่งใช้ความคิด
ปรากฏว่าไม่ใช่ความฝัน เพราะผีคุณประยงค์ยืนจ้องอยู่ตรงหน้า “แต่แกไม่ตายคนเดียว แกจะมีไอ้กลับตายเป็นเพื่อน”
คุณหญิงสร้อยพนมมือสวดมนต์ทันที “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ พระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง”
ประยงค์ร้องกรี๊ดเสียงดัง แล้วหายวับไป ละมุนได้ยินเสียง ตกใจวิ่งเข้ามา คุณหญิงสร้อยโบกมือว่าไม่เป็นอะไร
สีหน้าหญิงชรา เคร่งขรึม นิ่งนึกตรึกตรอง
ผีคุณประยงค์ลอยวูบกลับเข้ารูปด้วยสีหน้าโกรธจัด เคียดแค้นสุดขีด
เสียงคุณหญิงสร้อยเจริญพุทธมนต์ดังเข้ามาอีก “พุทธังสะระณัง คัจฉามิ ธัมมังสะระณัง คัจฉามิ สังฆังสะระณัง คัจฉามิ”
คุณประยงค์สั่นสะท้าน รู้สึกเจ็บแสบปวดร้อนไปทั้งตัว แต่สีหน้ายังฮึด ไม่ยอมแพ้
เวลาเช้าตรู่วันต่อมา พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น เชษฐายืนคอยอยู่ตรงเชิงบันได สีหน้าลุ้นระทึก...รอคอย
อนงค์วดีเดินก้มหน้าก้มตาลงบันไดมา ด้วยสีหน้าค่อนข้างอิดโรย มาถึงชะงักกึก เห็นเชษฐายืนมองอยู่
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
“จะไปไหนหรือ”
“นัดแม่ครัวไว้ค่ะ จะคุยเรื่องเมนูเซ็ตใหม่ค่ะ”
เชษฐาจับมือจูงเดินมาหน้าตาเฉย “ทำไมต้องทำเมนูเซ็ตใหม่”
อนงค์วดียึดมือเขาไว้ “เพราะว่า...” แล้วหยุดชะงักค้างคำ
เชษฐายังจับไว้แล้วดึงด้วยกำลังบังคับให้เดินไป แถมดึงตัวให้มาชิดตัวเองมากขึ้น
“เดี๋ยวผมไปคุยด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” อนงค์วดีปฏิเสธเสียงนุ่มๆ
“ทำไมไม่ให้ไป”
“คุณเชษฐาไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ” หล่อนปลดมือออกจากมือเชษฐาจนได้
“รู้...ผมรู้หมดทุกเรื่องแหละ”
อนงค์วดียิ้มนิดๆ “เชิญทำอย่างอื่นดีกว่าค่ะ”
“เช่น ทำอะไร”
อนงค์วดีบอก “ดูแลคุณเกษลดา” พร้อมกับมองนัยน์ตาเขาตรงๆ
นัยน์ตาเชษฐายิ้มขำๆ พูดยั่วล้อ “ดูแลคนอื่นได้ไหม” พลางหยิบมืออนงค์วดีมาจับไว้อีก “เดินสิ หยุดทำไม”
อนงค์วดีดึงตัวเองไม่ยอมไป “ไม่ได้ค่ะ คุณเชษฐามีหน้าที่กับคุณเกษลดากรุณาอย่าทำให้ “คนอื่น” เดือดร้อนเลยค่ะ”
อนงค์วดีพูดจบ ปลดมือตัวเองอย่างแรง แล้วเดินหนีไปทันที เชษฐา ครึ้มอกครึ้มใจ
ที่หัวบันไดด้านบน เกษลดายืนมองอยู่ตั้งแต่ต้น สีหน้าถึงแม้จะเครียด แต่มีสัญญาณของการไม่ยอมแพ้ และฮึดสู้ หันไปมองตามอนงค์วดีที่เดินลับตัวไป
เกษลดาเดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนใช้ความคิดอยู่สักครู่
ภาพเชษฐากับอนงค์วดีเมื่อครู่นี้ผุดขึ้นมา ยิ่งมองจากข้างบนดูใกล้ชิดกันมาก เห็นด้วยว่าเชษฐาเข้าประชิดติดพันก่อน
อนงค์วดีเดินเร็วๆ ลงมา เชษฐาคว้าแขนไว้ เดินตามหลังมา
อนงค์วดีตกใจร้อง “อุ๊ย”
“คุณอนงค์วดีผมถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”
“คะ...เชิญค่ะ”
“อยากรู้มั้ยว่าผมชอบคุณตอนไหน” เชษฐาถามตรงๆ
อนงค์วดีเบิกตากว้าง งวยงงในคำถาม เขินนิดๆ ในส่วนลึกของใจ
“ได้ยินรึเปล่าเนี่ย ทำท่าอย่างนี้”
อนงค์วดีหันหลังกลับ แล้วเดินหนีไปเร็วๆ เชษฐา หัวเราะอย่างพอใจ
ค่ำวันนั้น อนงค์วดีนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง สีหน้ายิ้มน้อยๆ หล่อนฝันถึงภาพตอนถูกเชษฐาถาม “อยากรู้มั้ยผมชอบคุณตอนไหน”
อนงค์วดีพลิกตัวอย่างแรงเหมือนพยายามหนีภาพนั้น ลืมตาแล้วสะดุ้งสุดตัว
เพราะคุณประยงค์ยืนอยู่หน้าเตียง มองจ้องมายังอนงค์วดีด้วยสีหน้าเข้มจัด
อนงค์วดีมองสบตาคุณชวด นัยน์ตาของคุณประยงค์ดุ..เข้ม...ปะปนกับความเสียใจ
“คุณ...คุณ ชวด” อนงค์วดีลุกขึ้นนั่งพับเพียบ แล้วพนมมือกราบลงกับพื้นเตียง
คุณประยงค์ มองนิ่งลึก ความโหดแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า อนงค์วดีสบตา แล้วสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัว
“จองล้างฉัน ไม่ต้องคิดว่าฉันเป็นชวดเพราะฉันไม่ใช่ชวดของหล่อน”
อนงค์วดีลืมตาตื่น ตกใจสุดขีด หล่อนลุกพรวด หันขวับมาตรงที่คุณชวดยืน และทันเห็นร่างของคุณประยงค์ ที่ค่อยๆ เป็นรูปรอยอยู่เพียงชั่วกระพริบตา แล้วหายไปจนหมดต่อหน้าต่อตา จึงมั่นใจว่าไม่ใช่ความฝัน
อนงค์วดีลุกพรวด เปิดประตูห้องวิ่งออกไปทันที
อ่านต่อหน้า 3
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
อนงค์วดีออกมาหน้าห้องอย่างรวดเร็ว สีหน้าหวาดกลัวไม่หาย เชษฐาที่กำลังจะลงบันไดได้ยินเสียง หันขวับมา เห็นอนงค์วดีวิ่งอย่างรวดเร็ว มาตามระเบียงยาว เชษฐาวิ่งไปหา สองคนวิ่งเข้าหากัน
อนงค์วดีโผเข้าสู่อ้อมแขนเชษฐาเต็มแรงอย่างคนขวัญเสีย เชษฐากอดหล่อนไว้ทั้งตัว ลูบหลังอย่างปลอบประโลม อนงค์วดีตัวสั่น
คุณประยงค์ยืนมองมาแต่ไกล แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวมาหา อย่างน่ากลัว
พอมาถึงตัวสองคน คุณประยงค์เข้าสวมกอดร่างเชษฐาจากด้านหลังแน่นสนิท แล้วแนบหน้ากับแผ่นหลังของเขา ด้วยสีหน้าละมุน ซาบซึ้ง
“คุณเป็นอะไร” เชษฐาถาม
คุณประยงค์ทำท่าเหมือนจะตอบ
ทว่าเสียงเชษฐาถามต่อ “คุณอนงค์วดี”
อนงค์วดีพยายามข่มใจให้เป็นปกติ จะถอยออก แต่เชษฐาไม่ยอมดึงหล่อนกลับเข้ามาในอ้อมกอดอย่างเดิม ก้มลงพูดจนใกล้
“กลัวอะไร...เห็นอะไรรึเปล่า บอกผมสิ”
อนงค์วดีพยายามมือยันอก “ค่ะ”
เชษฐาจับมืออนงค์วดีที่ยันอกออก ตัวเองกอดเข้าไปให้สนิทแนบแน่นกว่าเดิม “เห็นอะไร หือม์...” เขาก้มลงจนคลอเคลียกับใบหน้าอนงค์วดีแล้ว
“ปล่อยก่อนนะคะ”
“ไม่ปล่อย บอกผมก่อน
อนงค์วดีเงยหน้ามองสบตาเชษฐาที่อยู่ใกล้เพียงไม่กี่นิ้ว “แค่ฝันค่ะ”
“ฝันว่าอะไร”
“น่ากลัวนิดหน่อย แต่ก็....แค่ฝันไม่เป็นไรค่ะ กรุณาปล่อยได้มั้ยคะ”
“ปล่อยอนงค์ได้มั้ยคะ”
อนงค์วดีอึ้ง “คะ”
“พูดก่อน....ถึงจะปล่อย”
อนงค์วดีก้มหน้า “คุณเชษฐาคะ...ปล่อย...”
เชษฐาพยายามก้มลงมองหน้า เชยคางอนงค์วดีจ้องนัยน์ตาเป็นเชิงให้พูด
“ปล่อยอนงค์ได้มั้ยคะ”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะปกป้องคุ้มครองคุณ ผมจะไม่ให้คุณเป็นอันตราย ไม่ว่าใครก็ทำอะไรคุณไม่ได้...ผมไม่ยอม”
ผีคุณประยงค์ที่แนบหลังเชษฐาอยู่ เสียใจ แน่นในอก จนปวดร้าวไปหมด น้ำตารื้นมาเต็มตา แล้วไหลพร่าพราย
เชษฐาพาอนงค์วดีเดินจากไป ทั้งๆที่แขนคุณประยงค์ยังโอบอยู่รอบตัวเชษฐา
คุณประยงค์ยังอยู่ในท่าแขนสองข้างกอดเชษฐา ค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนที่สองแขนจะลดลงอย่างช้าๆ
ร่างคุณประยงค์ค่อยๆ เลือนหายไป
ที่หน้าห้องรูปอันว่างเปล่าของคุณประยงค์ ย่าน้อย กับคุณสวาสดิ์ คุยกันอยู่
“คุณอาขา...คุณย่าไปที่ไหนแล้วคะ...แขกจะมาแล้วนะคะ ถ้าเห็นว่าไม่มีคุณย่า...”
ย่าน้อยสีหน้าระลึกได้ว่าคุณประยงค์อยู่ที่ไหน
ที่ซอกมุมในอุโมงค์อันมืดดำเหมือนขุมนรกแห่งหนึ่ง ร่างคุณประยงค์ดิ้นทุรนทุราย ด้วยความแค้น ความเกลียด ความริษยาอาฆาต หล่อนกรีดร้อง...ดิ้น กลิ้งเกลือก ร้องไห้คร่ำครวญ กรี๊ด สลับกันอยู่อย่างนั้น ก่อนจะชูมือร้องเรียกหาเจ้าคุณ ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก
เหตุการณ์ในห้องโถงเมื่อครั้งอดีตผุดขึ้นมาอีก
เวลาเช้าวันนั้น ท่านเจ้าพระยา และท่านผู้หญิงแย้ม อยู่ในมุมรับแขกของห้องโถงกำลังต้อนรับเสด็จในกรมพระองค์หนึ่ง และหม่อมของท่าน
คุณประยงค์หมอบกราบอยู่เบื้องหน้า
“สะสวยน่ารักจริง” หม่อมออกปาก
เสด็จในกรมชื่นชมมาก “มิน่า...สมคำเล่าลือจริงๆ”
ท่านเจ้าพระยายิ้มแย้ม “พะย่ะค่ะ....แม่ประยงค์ เสด็จในกรมท่านมาสู่ขอลูกให้กับท่านชายอลงกรณ์
องค์เล็กของท่าน”
“หม่อนฉันขัดข้องเพคะ...หม่อมฉันไม่รู้จักท่านชาย ไม่เคยเห็นองค์ด้วยซ้ำเพคะ”
วาจาปฏิเสธคุณคุณประยงค์หนักแน่น แม้ว่าสีหน้าจะยิ้มละมุนละไม
สองคนกลับไปแล้ว ส่วนท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง และคุณประยงค์ ทุ่มเถียงกันอยู่พักหนึ่งแล้ว
ท่านผู้หญิงเอ่ยขึ้น “ท่านก็รับสั่งสองหนว่า ท่านชายทอดเนตรเห็นเธอที่งานฉลองเรือหลวงพระร่วง ที่ท่าราชวรดิษฐ์ท่านประทับอยู่ด้านหลังเก้าอี้ที่เรานั่งดูละครเรื่องขอมดำดิน แล้วท่านก้อ...”
คุณประยงค์ขัดขึ้น “พอเถอะค่ะคุณแม่ คุณแม่ก็พูดตั้งสองสามครั้งแล้วเหมือนกัน ลูกยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าละครเรื่องอะไร ขอโทษนะคะ”
ท่านเจ้าพระยาบอก “แม่ประยงค์เห็นแก่แม่เขาเถอะลูก เขาอยากให้ตบให้แต่งสมเกียรติ”
“ความสุขของลูกล่ะคะ ไม่มีใครอยากให้มีเลยหรือคะ”
ท่านผู้หญิงเหน็บ “ความสุขที่ผิดศีลธรรม”
“ลูกมาก่อน”
“แต่เขามีเมียแล้ว”
“โน่น...บ้านเล็กบ้านน้อย กี่คนที่เป็นเมียเจ้าคุณพ่อก่อนแต่งกับคุณแม่ บางคนมีลูกด้วยซ้ำ ลูกว่าคุณแม่ทราบแล้วมิใช่หรือคะว่าสำคัญว่าใครเป็นเมียเอก”
ท่านผู้หญิงท้วง “เมียเขามิใช่ชั่ว เป็นลูกสาวขุนนางหัวเมืองไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา”
คุณประยงค์ตะแบง “อย่ามาเทียบกับลูกสาวเจ้าพระยา”
ท่านผู้หญิงโกรธจัดลุกพรวด “เถียงคำไม่ตกฟาก”
“ลูกเพียงจะพูดว่าถ้าลูกผิดศีลธรรม คุณแม่ก็ผิดเหมือนกัน อีกอย่างมีผู้ชายคนไหนในสยามที่ไม่ผิดศีลธรรม” คุณประยงค์ประกาศก้อง เสียงสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์
ท่านผู้หญิงนิ่งอั้นด้วยความโกรธ คุณประยงค์ก็สั่นไปทั้งตัวเหมือนกัน
“แม่แย้ม ฉันว่าที่แม่ประยงค์พูดก็ส่วนถูกอยู่มาก”
“อิฉันนึกไว้แล้ว ไม่สงสัยเลยค่ะว่าแม่ประยงค์นิสัยเสียอย่างนี้เพราะใคร” ท่านผู้หญิงเดินออกไปทันที แต่ไปครึ่งทางก็หันมา “ยังไงก็ตบก็แต่งกันเสียให้ถูกประเพณี อย่าทอดตัวให้เขา ก่อนเขาจะไยไพเอาได้”
ถูกมารดาเย้ยหยัน คุณประยงค์นั่งคอแข็ง
ท่านผู้หญิงเสียงแข็งใส่ “ได้ยินหรือไม่แม่ประยงค์”
คุณประยงค์บอกเสียงดังฟังชัด “ลูกเป็นเมียเขาแล้วเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงตะลึงตาค้าง ท่านเจ้าพระยาเองก็อึ้งไป พูดไม่ออก เช่นกัน
“สำหรับลูก...รักเป็นเรื่องสำคัญ” คุณประยงค์บอกอย่างเด็ดเดี่ยว
“หยุด...ฉันไม่อยากฟัง” ท่านผู้หญิงตวาด แล้วเดินหนีออกไปทันที
“แม่ประยงค์ ทำไมทำงามหน้าอย่างนี้ล่ะลูก” ท่านเจ้าพระยาทอดถอนใจใหญ่
คุณประยงค์กราบแทบเท้าผู้เป็นบิดา “เจ้าคุณพ่อ ใจของลูก ตัวของลูกเป็นของเขาคนเดียว จะให้เขาเมื่อไหร่ก็ไม่สำคัญ”
ท่านเจ้าพระยาอัดอั้นในอุราเหลือเกิน
คุณประยงค์น้ำตาจางๆ เห็นเป็นเงา “โกรธลูก ลงโทษลูกเถิดเจ้าค่ะเจ้าคุณพ่อ ให้สมกับความผิดลูกไม่เสียใจเลยเพราะเป็นความผิดที่ลูกเต็มใจทำ” หล่อนสบตาบิดาอย่างแรง ขณะบอกย้ำว่า “ตั้งใจทำ”
คุณประยงค์เล่าเรื่องให้บิดาฟัง ตอนนั้นสองคนคลอเคลียกันอยู่ห้องนอนคุณประยงค์ ทั้งห้องมืดสนิท เจ้าคุณเล้าโลมและคุณประยงค์ก็ตอบสนอง บทรักดำเนินไปตามครรลองของแรงเร้าแรงปรารถนาในใจสองคน
ผีคุณประยงค์ยังคงนอนทอดร่างภายในอุโมงค์มืดมิดนั้น มือเหยียดยาวไปกับพื้น เหมือนจะวอนขอสิ่งที่ผ่านไปแล้วให้หวนคืนมา ยินเสียงร้องไห้ดังแผ่วๆ ฟังแล้วชวนสะท้อนใจไปทั่วบริเวณ
ด้านเกษลดานั่งครุ่นคิดหนักเรื่องเชษฐากับอนงค์วดี เสียงเคาะประตู แต่เกษลดาก็เฉย ไม่ยอมขยับตัว
ในที่สุดเชษฐาเปิดเข้ามา “เกษ...เป็นยังไงมั่ง”
เกษลดายังเฉยอยู่
เชษฐาแตะอังที่หน้าผาก แล้วแตะซอกคอดูไข้ “ไม่มีไข้ ขอผมดูใหม่ที่เจ็บนะเดี๋ยวทายาให้อีก”
สองคนย้ายมานั่งบนเตียง เชษฐาทายาให้อย่างนุ่มนวล
“เขียวช้ำไปหมด” เชษฐาส่ายหน้า “ไม่น่าเลย”
เกษลดาหลับตา น้ำตาซึมๆ ด้วยความเสียดแทงใจ
“น่าจะปะคบมั้ย ช้ำเขียวอย่างนี้...เจ็บมั้ยเกษ”
เกษลดาหันขวับไป โอบแขนไปรอบคอเชษฐา ซุกหน้าเข้าไปที่คอ เชษฐาลูบหลังลูบไหล่ไปมา...ด้วยความสงสาร เกษลดากลั้นน้ำตารู้สึกทั้งน้อยใจ เสียใจ
“เกษต้องตั้งสติให้ดีนะต่อไปนี้ ถึงจะเห็นอะไรแปลกๆ ก็อย่าออกไปไหนพ้นจากตัวตึกเขาทำอะไรเราไม่ได้ก็จริงแต่เขาอาจล่อเราเตลิดไปไหนๆ แล้วไปเจออันตรายแบบนั้น”
เกษลดากอดคอเขา เงยหน้าถามใกล้แทบจะหันชนหน้า “หนึ่ง...หนึ่งไม่รักเกษบ้างเลยหรือ”
เชษฐายังไม่ทันตอบ เสียงเคาะประตูเบาๆ เชษฐาทำท่าจะผละออก แต่เกษลดาดึงไว้
เป็นอนงค์วดีเปิดประตูเข้ามาในมือถือหลอดยามาด้วย นวลยืนด้านหลังถือถาดอาหาร อนงค์วดีเห็นภาพเต็มๆ ตา มันตำใจหล่อนจังๆ
“ขอโทษค่ะ” อนงค์วดีออกไป ปิดประตูเบาๆ
เชษฐาปลดมือเกษลดาและทำท่าจะตามออกไป เกษลดาฉวยมือไว้
“หนึ่ง ยังไม่ตอบคำถามเลย”
“เกษถามผมทำไม เกษก็รู้อยู่แล้วว่าผมรักเกษ”
“รักพอจะแต่งงานมั้ย” เกษลดารุก
“เราพูดเรื่องนี้กันแล้ว”
“หนึ่ง กรุณาเป็นสุภาพบุรุษหน่อย ตอบแฟร์ๆ ได้มั้ย”
“ได้” เชษฐาถอนใจยาว “เกษ ผมยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน”
“ถ้าคิด จะแต่งกับเกษมั้ย”
“ยังไม่คิดว่าจะแต่งหรือจะแต่งกับใคร ผมตอบเกษไม่ได้”
เกษลดารู้คำตอบแล้ว หล่อนลุกพรวดขึ้น ปราดเข้าหาเชษฐาอย่างรวดเร็ว ตบหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง
“ขอเถอะ..ขอทีหนึ่งไม่งั้นเกษต้องเป็นบ้า ร้องตะโกนกรี๊ด...กรี๊ด” หล่อนระบาย
เชษฐานิ่ง สีหน้าสงบและไม่โกรธสักนิด
“เพราะหนึ่งตอบแล้ว นั่นแหละคือคำตอบของหนึ่งว่าหนึ่งคิดแล้วและมันไม่ใช่เกษ ทำไมรู้มั้ย ทำไมถึงไม่ใช่เกษเพราะเป็นคนอื่นไง อย่าคิดว่าไม่รู้นะ”
“เกษ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดถึงภาพที่อนงค์วดีเห็นเมื่อกี้ และรีบออกไป แวบเข้ามา
เชษฐาหัวเราะเบาๆ แต่สีหน้าไม่สบายใจเอาเลย เขาพึมพำกับตัวเอง “มันยากกว่านั้นมาก”
ว่าแล้วเชษฐาก็ออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันที่ห้องรูปคุณประยงค์คืนวันนั้น
“เชอะ นังเกด...เอ็งมันไม่ใช่ก้างขวางคอข้า ฮะ...ฮะ..” คุณประยงค์สมใจ หัวเราะเบา
“ลูกสวาสดิ์...” ย่าน้อยเรียกค่อยๆ เอ่ยปรารภ “เพิ่งเศร้าอยู่หยกๆ”
คุณสวาสดิ์เห็นด้วย “นั่นสิคะคุณอา”
คุณประยงค์ยิ้มหวาน “เสี้ยนหนามหมดไปคนหนึ่ง ไม่น่าดีใจรึ เหลือแต่นังอร”
“คุณอายังเคยดีกะพี่อร เห็นให้ของเขาตั้งมากตั้งมาย”
ความพูดดังกล่าวของย่าน้อยกระแทกเข้าใบหน้าคุณประยงค์จังๆ
และนึกถึงเหตุการณ์ที่หล่อนทำดีกับแม่อรเพราะ เจ้าพระยาสีหศักดิ์ฤทธิรงค์ ผู้เป็นบิดา สอนสั่งเอาไว้นั่นเอง
“อย่ารังแกเมียเขา ผู้ชายสงสารคนถูกรังแก เขาจะไม่ยอม เพราะเขาสงสารทางโน้น”
คุณประยงค์ทำตามคำแนะนำของบิดา ในอีกวันหนึ่ง โดยสั่งให้อีทิ้งตามแม่อรมาหาในห้องสำราญของบ้าน สองคนนั่งร้อยมาลัยกัน มีอีทิ้งอยู่ด้วยคอยรับใช้
สักพักหนึ่ง สร้อยคอสีทองสุกปลั่ง ถูกคุณประยงค์ส่งให้แม่อร แม่อรไหว้รับมา ของอีกชิ้นเป็นเสื้อสวยตัดเย็บประณีต แม่อรไหว้ รับมาจากคุณประยงค์ แววตาซาบซึ้ง
อีกวันหนึ่ง คุณประยงค์ใส่แหวนนพเก้า เรือนยอดเป็นเพชรพร่างพราว แม่อรมองนัยน์ตาเป็นประกาย ยกแหวนแนบแก้มหลับตายิ้มหวาน กิริยาน่ารัก
คุณประยงค์หมั่นไส้สุดขีด แม่อรล้มตัวไปกราบอย่างซาบซึ้ง
ต่อมาสองบ่าวนายคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง
คุณประยงค์ถามธุระที่ให้บ่าวคู่ใจไปจัดการ
“อีทิ้ง มึงจัดการหาคนสอดแนมเรือนเจ้าคุณท่านแล้วนะ”
“เรียบร้อยทุกอย่างเจ้าค่ะ”
“ใคร”
“อียง” อีทิ้งเรียกเต็มปากเต็มคำ “เจ้าค่ะ”
คุณประยงค์มองนัยน์ตาจิก อีทิ้งยังเหรอหราอยู่
กว่าจะรู้ตัว ก็โดนเขกกะโหลกไป 1 ที เบาๆ
“เออ....อี ย้อยเจ้าค่ะ มันเปลี่ยนชือเป็นอีย้อย”
วันหนึ่ง อีทิ้งกะอีย้อย ซึ่งเดิมชื่อ ยง แต่ถูกคุณประยงค์ให้เปลี่ยนชื่อใหม่ คุยกันอยู่ตรงมุมลับตาคน
“อุ๊ย...ตื่นเต้นกันใหญ่” อีย้อยเอ่ยขึ้น
“ท่านเจ้าคุณรู้เห็นมั้ย”
“รู้เห็นทุกอย่าง”
อีทิ้งยื่นเงินให้ “เอ้า...อัฐเนี่ยยังนิดหน่อย ถ้าทำงานที่สั่งเสร็จสมอารมณ์หมายข้า” อีทิ้งตบกระเป๋า “มันปากละอียง เอ๊ยอีย้อย”
“เจ้าค่ะ” อีย้อยประชด
อีทิ้งฉุนกึก “เจ้าค่ะ...มึงพูดแดกกูเหรออีย้อย ฮะ”
“สาบานเลยเจ้าค่ะ”
“ว่ามึงแดก” อีทิ้งดึงเงินกลับ “อย่าเอาเลยมึง”
อีย้อยตามมาคว้าเงินกลับไป “แต่อีเกดน่ะสิ มันรู้ทันนะแม่ทิ้ง”
เหตุการณ์ที่เรือนแม่อรอีกวันหนึ่ง แม่อรบอกเจ้าคุณเรื่องที่เกดเตือนว่าคุณประยงค์มาแสร้งทำดีด้วย ซึ่งเจ้าคุณไม่เชื่อ
“เอ้า...อยู่พร้อมหน้าทั้งสองคนดีแล้ว จะได้รู้กันว่าใครพูดจริงพูดไม่จริง”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ท่านหรือจะเชื่ออีเกด เพราะอิฉันไม่มีพยานหลักฐาน แต่อีกฝ่ายเขามีเสื้อผ้าเพชรนิลจินดาท่านก็ย่อมเชื่อเขามากกว่า”
เจ้าคุณปราม “เอ็งอย่าเพิ่งพูดให้มากความ เอ้า แม่อรจะว่ายังไง”
“พี่เกดมองคุณพี่ร้ายเกินไป เธอดีกับน้องพี่ก็เห็นอยู่ถ้าเธอไม่เมตตาจริงเธอก็คงไม่ให้ของเหล่านี้หรอกค่ะคุณพี่”
“ฮึ...เขามีร้อย แบ่งมาสองสามไม่คณนาอะไรเค้า คุณอรน่ะคนซื่อ ไม่มีวันรู้ทันเขาหรอก”
“นังเกด...หยุดนะเอ็ง แม่อรเขาบอกเล่ากับข้า ข้ายังไม่ได้ถามเอ็ง”
เกดนั่งกัดฟันแน่น
“แม่อร พี่ดีใจที่น้องเป็นที่รักของคุณประยงค์ เธอเป็นคนดีพี่พูดได้เต็มปาก เธอเกื้อหนุนอุปการะผัวของแม่อรจนได้ดีทุกวันนี้เพราะเธอเมตตา”
แม่อรยิ้มกระจ่างตา “ค่ะ คุณพี่”
“ครอบครัวนี้มีบุญคุณคุ้มหัวพี่เด็กบ้านนอกจนๆ มีวาสนาได้ร่ำเรียนมียศฐาบรรดาศักดิ์ขนาดนี้ น้องจงจำไว้ว่ามีโอกาสเมื่อไหร่เราต้องตอบแทนบุญคุณ”
“ฮึ” เกดหมั่นไส้เกินจะทน ลุกขึ้นเดินหนีไปทันที
เกดเดินไปผ่านอีย้อยที่นั่งทำทีตะบอยถูบ้านอยู่ แท้จริงคอยแอบฟัง
ต่อมาสองคนอยู่ในห้องนอนเกดแล้ว
“ทำไมไม่เชื่ออิฉันคะ อิฉันไม่ใช่คนใส่ไคล้ใคร”
“เอาเถอะอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้” เจ้าคุณตัดบท
“ท่านออกปากสิเจ้าคะว่าจะคอยระวัง อิฉันน่ะเป็นหมาซื่อสัตย์นะเจ้าคะ ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้หรอกเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าคุณมองเกด สายตาเอ็นดูมาก
“เออ อีเกดเอ๊ย เอ็งช่างน่ารักน่าใคร่เหลือเกินหอมไปทุกหนทุกแห่ง” แล้วพยายามจะจูบ
แต่เกดถอยหนี “ท่านต้องฟังอิฉันนะเจ้าคะ คุณท่านคนใหญ่คิดไม่ดีกับคุณอร เธอหึงหวง ท่านได้เธอเป็นเมียแล้วใช่มั้ยเจ้าคะ”
“เอ็งอย่าพูดให้ข้าอารมณ์เสีย ข้ากำลังจะรักเอ็งอยู่เนี่ย”
“รักอิฉันหรือว่ารักใครแล้วมาลงที่อิฉัน”
เจ้าคุณพยายามระงับอารมณ์ “เกด เอ็งอย่าพิรี้พิไร มานี่มาให้ข้า...” แต่ยังพูดไม่ทันขาดคำ
เกดทนไม่ไหว ลุกขึ้น พูดสวนใส่หน้า “อย่ามายุ่งกับอิฉันเลย รักใครอยากได้ใครก็ไปหาเขาเถิด แต่เชื่ออิฉันนะเจ้าคะ เขาเป็นของร้อนมีแต่จะไหม้เผาคนให้เป็นจุล อ้อ แต่ท่านน่ะเขาไม่เผาเพราะเขาจะเอาเป็นผัวระวังตัวไว้เถอะเจ้าค่ะ”
เกดจะผละไป เจ้าคุณคว้าผ้าแถบที่ปล่อยชายไว้ แต่เกดรู้ทันจับไว้แน่นไม่ให้หลุด ต่างคนต่างดึง เพิ่มความแรงด้วยความในใจของทั้งสองฝ่าย เกดทั้งน้อยใจทั้งเสียใจ
ส่วนเจ้าคุณมีแต่ต้องการทางร่างกาย แต่ในที่สุด ด้วยแรงที่มากกว่า เจ้าคุณก็ดึงจนเกดเข้ามาในอ้อมกอด
เกดแพ้แรงหอบเหนื่อย นิ่งไป ยิ่งยั่วใจเจ้าคุณ
“ต้องอย่างนี้สิ” เจ้าคุณก้มลงมาจะจูบ
เกดยอมเพราะเจ้าคุณยึดไว้แน่น เจ้าคุณจะรุกมากกว่านั้น เกดอาศัยทีเผลอสะบัดเจ้าคุณที่เผลอ แล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที
เจ้าคุณหงุดหงิดทุบที่นอนอย่างแรง
อีย้อยเล่าเรื่องให้อีทิ้งฟัง แน่นอนว่าอีทิ้งมาถ่ายทอดให้คุณประยงค์ฟังต่อทันที
คุณประยงค์ไม่เชื่อ “ข้าไม่เชื่อ ท่านไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้ออย่างนั้น อีย้อยมันโกหกอยากได้อัฐก็แต่งเรื่องมาหลอก”
“คุณท่านจะพะวงทำไมเจ้าคะ มันจะโกหกหรือไม่โกหกเรื่องของนังเกด สำคัญกับคุณท่านก็คืออีกคนต่างหากล่ะเจ้าค่ะ”
คุณประยงค์ถาม “เอ็งว่าเจ้าคุณรักมันมั้ย”
“ไม่รักเจ้าค่ะ จืดชืดเป็นน้ำยาเย็นอย่างนั้น”
คำตอบของอีทิ้งถูกใจนัก คุณประยงค์ยิ้มในสีหน้า
อ่านต่อหน้า 4
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
อยู่มาวันหนึ่ง อนงค์วดีนัดประชุมพนักงาน กำลังยืนจดรายการงานอยู่ที่เคาน์เตอร์ มีพนักงานทุกส่วนยืนคอยฟังคำสั่งพร้อมหน้า เชษฐายืนห่างออกไปอีกหน่อยตรงมุมโถงนั้น เขามองมาที่อนงค์วดี ด้วยสายตาเอ็นดูมากๆ
อนงค์วดีวันนี้แต่งตัวสะสวยเป็นผู้หญิงหวาน ใบหน้าอ่อนใส
พวกพนักงานต่างเห็นว่าเชษฐามองอนงค์วดี และยืนน้อยยิ้มใหญ่ บางคนเงียบเฉยแค่ยิ้มนิดๆ แต่หลายคนไม่เฉย ซุบซิบๆ กัน
อนงค์วดียังไม่รู้ตัว หล่อนเขียนจนเสร็จจึงหันมาจะพูดกับพนักงาน แล้วเห็นอาการเข้า
“วันนี้มีข่าวดีอะไรกันเหรอหน้าบานกันทุกคน”
พนักงานยิ่งยิ้มมากขึ้น บางคนมองไปที่เชษฐา อนงค์วดีหันไปดูตาม เชษฐาทำหน้าท้าทาย อนงค์วดีส่งสีหน้าปรามๆ แล้วหันมาคุยงานต่อ
“เริ่มที่ทำเมนูอาหารกลางวันก่อนนะ เราจะตัดเครื่องดื่มคาเฟอีนออกจากเซ็ท ใครจะดื่มให้สั่งเองจ่ายเอง แต่จะเพิ่มน้ำดื่มที่เป็นประโยชน์มากขึ้น...น้ำขิง ตะไคร้มะตูม ใบเตย มีอีกนะอยู่ในนี้” หล่อนส่งกระดาษให้พนักงานคนหนึ่งที่รับผิดชอบเรื่องน้ำ “ส่วนอาหาร รวมๆ แล้วขอให้เพิ่มผักให้มากกว่าเดิมอีก 20 เปอร์เซ็นต์ในอาหาร”
ปิ่นสุดาอยู่ตรงนั้นด้วยเรียกเชษฐาขึ้น “คุณเชษฐาคะ”
เชษฐาหันไปหา “ครับ คุณปิ่นสุดา”
“ดิฉันมารบกวนรึเปล่าคะ”
เชษฐาเดินห่างออกมา “ไม่เลยครับ ผมดีใจมากที่คุณปิ่นสุดามาค้างกับอนงค์วดี เพราะ...” เขาหยุดแล้วเหลียวมองไปยังอนงค์วดี “ก็ห่วงคุณปิ่นสุดา ผมก็เป็นห่วงเขาขึ้นมากลับคนเดียวดึกๆ จะไปส่งก็ไม่ยอม”
“คุณเชษฐาจะเสียเวลาขับไปขับมาทำไมคะ อนงค์วดีเป็นลูกจ้างคุณเขาต้องรับผิดชอบชีวิตเขาเอง”
เชษฐาส่งสายตาลึกซึ้ง หันไปมองอนงค์วดี เห็นท่าทางเอาการเอางาน เจรจาความกับพนักงานอย่างจริงจัง
ปิ่นสุดาเรียกอีก “คุณเชษฐา”
เชษฐาหันมามองปิ่นสุดา ตรงๆ “ผมไม่คิดว่าอนงค์วดีเป็นลูกจ้าง”
ปิ่นสุดางง “คะ?”
“คิดเสมอว่าเขาเป็นเจ้าของ” เชษฐาว่า
ปิ่นสุดาฉงน “หือม์?”
“ก็เหมือนที่เขาเป็นเจ้าของตลอดมา ผมก็อยากให้เขาเป็นเจ้าของตลอดไป”
ปิ่นสุดานั่งคิดอยู่อึดใจว่า จะตอบยังไงดี “คุณเชษฐาคะ ลูกสาวดิฉันเป็นเด็กแข็งไม่อ่อนหวาน ไม่ร่าเริงเหมือนเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันแก เป็นเพราะแกมีแม่ที่กดดันชีวิตของแกตลอดมา มันยากลำบากมากสำหรับชีวิตแก”
“ครับ” เชษฐาตั้งใจฟังมาก
“คุณพ่อแก เป็นคนที่ยึดติดกับอดีตที่....เคยรุ่งเรืองมีเกียรติยศสูงในสังคม แต่พอรักษาไว้ไม่ได้เพราะไม่มีกำลังเขาก็ท้อถอยกับชีวิตมากจน...จนเสียชีวิต”
เชษฐามีสายตาเห็นใจ มองไปทางอนงค์วดีอีก
“พอคุณมนตรีเสียดิฉันก็เหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ อนงค์วดีอายุ 10 ขวบ แกยิ่งขวัญเสียยิ่งกว่าดิฉัน แค่อายุ 15 ปีแกก็เป็นผู้นำครอบครัวดูแลแม่ ดูแลคุณยายตอนนั้น คุณยายยังไม่เสีย ส่วนดิฉันบอกอย่างไม่อายเลยนะคะว่าชีวิตจมอยู่กับการพนัน ยายหนูแกทำทุกอย่างในบ้าน แกถึงขนาดไปทำงานพิเศษตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ เพื่อเอามาใช้จ่ายในบ้าน”
เชษฐาฟัง พลางมองจ้องที่อนงค์วดี ความสงสารเต็มหัวใจ
“ดิฉันไม่ทราบว่ายายหนูแกทำให้คุณเชษฐาลำบากใจบ้างหรือไม่ เพราะแกไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ แกใจแข็งเกินกว่าที่คุณคิดมาก” ปิ่นสุดาว่า
เกษลดายืนจ้องมองเหตุการณ์อยู่ตรงระเบียงชั้นบน ขณะนวลกับสมเดินถือเครื่องมือทำความสะอาดมา หยุดชะงัก ไม่กล้าเดินผ่าน
เกษลดามองอยู่อย่างนั้น จนเห็นเชษฐา ผละจากปิ่นสุดา เดินปรี่ไปหาอนงค์วดีที่สั่งงานกับพนักงานชื่อป้าต้อย
“ป้าต้อย...อนงค์ขอเรื่องความสะอาดนะคะป้า ป้าช่วยกำหนดตารางทำความสะอาดครัว ทั้งข้างในข้างนอกให้อนงค์ด้วยนะคะ”
ป้าต้อยรับ “ค่ะ”
อนงค์วดีหันไปจดติ๊กสมุดโน้ต จู่ๆ มือเชษฐา เอื้อมมาจับมือหล่อนหมับ
อนงค์วดีตกใจ “เอ๊ะ” แต่ใบหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที ด้วยกิริยาเขินเล็กๆ
บรรดาพนักงานอมยิ้มไปตามๆ กัน อนงค์วดีดึงมือกลับ แต่เชษฐาไม่ปล่อย
“เที่ยงพอดี ไปพักกันได้บ่ายค่อยทำต่อ”
พนักงานทั้งหมด ยังลังเล ไม่ขยับ
เชษฐาฉงน “อ้าว...ทำไม”
พนักงานหญิงคนหนึ่งบอก “คุณอนงค์ให้ทานอาหารกลางวันเที่ยงครึ่งค่ะ”
พนักงานหญิง 2 เสริม “กลางคืนให้เลิกช้าอีกครึ่งชั่วโมง แล้วคุณอนงค์จ่ายโอที 1 ชั่วโมงค่ะ”
เชษฐาอารมณ์ดีมาก “วันนี้ไปทานข้าวเดี๋ยวนี้เลย...คุณเชษฐาสั่ง”
พนักงานไปกันหมดอย่างรวดเร็ว
เชษฐาฉวยมืออนงค์วดีมากุมไว้แน่น ไม่ให้ดึงกลับ
“ผมอยากเดินเล่น”
“คะ”
“ไปกัน”
เชษฐาดึงแขนหล่อนไปอย่างรวดเร็ว
เกษลดาจ้องมองจนเชษฐาจูงมืออนงค์วดีออกจากตึกไป แล้วหันขวับมาทางนวลกะสม สองคนยืนนิ่ง แต่ใจเต้นโครมคราม
เกษลดาจ้อง แต่แล้วเปลี่ยนใจไม่อยากหาเรื่อง “ขอกาแฟถ้วย”
“คุณเกษลดาหายดีแล้วหรือคะ” นวลถาม
“หายแล้ว...ขอบใจ”
เชษฐาจูงมืออนงค์วดีไปยังบริเวณต้นไม้ร่มครึ้มในสวนหลังคฤหาสน์ สองคนเดินไปเงียบๆ
เชษฐาชำเลืองดูอนงค์วดี เห็นอนงค์วดีก้มหน้าดูปลายเท้าตัวเองทุกย่างก้าว จึงเปลี่ยนมือที่จูง เป็นสอดประสานนิ้วทั้งห้า แล้วเอามืออนงค์วดีมาแนบที่หัวใจ ทำให้ตัวอนงค์วดีต้องเข้ามาชิดใกล้ยิ่งขึ้น
อนงค์วดี ก็ยังไม่พูดอะไรเดินตามมาเงียบๆ แต่สีหน้าละมุน อบอุ่นลึกๆ ในใจ
เชษฐาพอใจยิ้มในสีหน้า อยากรู้สาวใจแข็งจะเงียบไปถึงแค่ไหน สักพักเชษฐาเปลี่ยนมาเป็นโอบไหล่ แต่อนงค์วดีก็ยังเฉย เชษฐาหัวเราะเบาๆอย่างรื่นรมย์ใจ
จังหวะนี้เหมือนมีคนตามสองคนมา
“ที่ใหญ่ดีตรงนี้น่า...จะทำอะไรได้อีกมาก”
อนงค์วดียังนิ่งเช่นเดิม
“ทำอะไรดี” เขาว่า
ร่างตะคุ่มๆ ของคนแก่ เดินตามหลังทั้งสองคนมานั้น ที่แท้เป็นวิญญาณคนแก่ อดีตบ่าวในบ้าน ชื่อไอ้คล้าย ซึ่งตายไปพร้อมๆ อีทิ้ง เข้าใจผิดว่าเจ้าคุณฆ่า
“ว่าไงง..ทำอะไรดี”
อนงค์วดีบอกเสียงเรียบ “ถ้าสโมสรไม่ได้เป็นสโมสรกลางคืน ถ้าไม่มีการพนัน ถ้าไม่มีนักร้อง ที่ตรงนี้ก็เป็นลานกว้างๆ ทำอะไรก็ได้ค่ะ”
เชษฐาย้ำเย้า “ถามอยู่เนี่ยว่าทำอะไรดี”
“ลานเรียนรู้ธรรมชาติให้เด็กๆ หรือลานกิจกรรมให้คนมาเล่นกีฬา หรือให้มาปฏิบัติธรรม...”
“โอเค....ผมจะทำ” เชษฐาก้าวเข้าประชิดตัว
“อะไรนะคะ”
จังหวะที่อนงค์วดีหันขวับมา เป็นเวลาเดียวกันที่วิญญาณไอ้คล้ายลอยขึ้นสูง แล้วลอยวูบไปกระแทกกิ่งไม้กะให้ตกลงมาบนหัวทั้งสองคน แต่วิญญาณคุณประยงค์ ลอยวูบมา สะบัดกิ่งไม้ให้เฉไปตกข้างๆ
ตอนนั้นเองอนงค์วดีก็ตกอยู่ในวงแขนเชษฐาเรียบร้อยแล้ว
ผีนายบ่าวสองตนลอยวูบกันออกมาอีกมุมหนึ่ง ไอ้คล้ายซึ่งโกรธจัดจนใบหน้ากลายเป็นผีแล้วยามนี้
แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์และพลังที่เหนือกว่า ผีคุณประยงค์ปราบจนไอ้คล้ายลงไปนอนไหว้ปลกๆ อยู่กับพื้น คุณประยงค์แค้นจัดที่มันบังอาจทำร้ายเจ้าคุณ เหยียบยอดอกไอ้คล้าย ด้วยสีหน้าดุดัน
ไอ้คล้ายพนมมือ “คุณท่านคนใหญ่”
“เอ็งจะฆ่าท่านรึ....จะฆ่าผัวข้ารึไอ้คล้าย ไอ้เดนคน” คุณประยงค์กระทืบไปอีกที “ไอ้คล้าย...มึงเลวมาก”
“คุณท่านคนใหญ่....กระผมแค้นนัก ท่านเจ้าคุณสั่งฆ่ากระผมนะขอรับ”
“ตายไปแล้วจะจองเวรจองกรรมทำไม”
“ไม่ได้ขอรับ กระผมจะฆ่าท่าน กระผมไม่ได้ทำผิด สั่งฆ่าผมทำไม...อีเกดมันตายเสียเมื่อไหร่”
“ท่านไม่ได้สั่งฆ่าเอ็ง”
ไอ้คล้ายงง เข้าใจอย่างนี้มาตลอด “ไม่ได้สั่ง”
“ข้าเป็นคนสั่ง เอ็งจะเอาเรื่องกะข้าหรือไม่”
วิญญาณไอ้คล้ายเจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก
“ทำไมล่ะขอรับ ทำไม” น้ำเสียงเจ็บปวดใจนัก “กระผมทำตามที่อีทิ้งบอกทุกอย่าง”
ผีไอ้คล้ายนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้มันตายจนบัดนี้ ตอนนั้นอีทิ้งกำลังสั่งงานมันอยู่มุมหนึ่งที่เรือนแม่อร
“ขืนใจมันเสร็จแล้ว ฆ่ามันซะ”
ไอ้คล้ายถาม “ท่านเจ้าคุณ?”
“ไม่อยู่” อีทิ้งบอก
แต่แล้วจู่ๆ เจ้าคุณ ถีบประตูพังเข้าไป เห็นว่าบนเตียงไอ้คล้ายหันหลังให้ และกำลังจะโอบตัวไปที่เกด
“หยุด...ไอ้คล้าย” เจ้าคุณปราดเข้าไปหา “มึงจะขืนใจเมียกูเรอะ” แล้วคว้าคอไอ้คล้ายขึ้นมาแล้วหมัดขวาต่อยเข้าปลายคาง...พลั่ก ไอ้คล้ายกระเด็น
และในที่สุดไอ้คล้ายถูกนำตัวไปฆ่า คนฆ่าเงื้อมีดดาบสุดแขน แล้วฟันฉับเดียวไอ้คล้ายทรุด เลือดกระเด็น
ภาพอดีตเลือนหาย เสียงคุณประยงค์ดังขึ้น “ข้าสั่งเอ็งไม่ให้เอ็งปากสว่าง เพราะฉะนั้นเอ็งอย่าแตะต้องเจ้าคุณอีก ท่านเจ็บแค่ปลายเล็บวิญญาณ เอ็งไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดผีปลายแถวอย่างเอ็งอย่าหาญกล้าต่อกรกะข้า”
ผีไอ้คล้ายมองไปข้างหน้า เห็นอนงค์วดีตกอยู่อ้อมแขนเชษฐษ ด้วยสายตาเข้มจัด
“คุณท่านคนใหญ่ปกป้องท่านเจ้าคุณทำไม ท่านกอดกันกลมกะนางอรอยู่โน่นแน่ะ”
คุณประยงค์หันไปมองตาม เห็นเชษฐากอดอนงค์วดี แล้วก้มลง จูบ...นิ่งนาน คุณประยงค์เดินมาช้าๆ เดินมาเรื่อยๆ มาจนถึงที่สองคนกำลังจะผละออกจากกัน
เชษฐามองหน้าอนงค์วดีด้วยสายตาซึ้งๆ ขณะอนงค์วดีเบือนหน้าไปทางอื่น แต่สีหน้ายังสงบนิ่ง เชษฐาเชยคางขึ้น มองตากัน
คุณประยงค์เดินพลางพูดพลาง “นังอร มึง...ต้อง...ตาย” เสียงนางผีร้ายแหลมและพร่าขณะก้าวมาถึงตัวสองคนจนใกล้
เสียงคุณประยงค์พูดไม่ได้ใจความ ปลายประโยคเสียงต่ำแค้นจบอกแทบระเบิดแล้วในยามนี้
คุณประยงค์เดินตรงมาด้วยท่าทางมุ่งร้ายหมายขวัญ สองคนนี้ก็มองตากันอยู่นั่นแหละ
คุณประยงค์เดินมาแล้วผ่าตรงกลางไปเลย...อย่างสะใจ
เหตุการณ์เมื่ออดีตผุดขึ้นมาอีกครา เวลานั้นคุณประยงค์เดินนำอีทิ้งเข้ามาภายในห้องตัวเอง
“อีทิ้ง...มานี่ มาเชียวมึง นั่งลง”
“เจ้าค่ะ”
“มึงถอนคำพูดเดี๋ยวนี้”
“อุ๊ย ไม่ต้องถอนหรอกเจ้าค่ะ เป็นบ่าวพูดไปก็ไม่มีคนฟังอยู่แล้ว”
“จะขัดขืนหรืออีทิ้ง”
“ไม่ใช่ขัดขืนเจ้าค่ะ แต่จะให้ถอนคำไหนล่ะเจ้าคะ”
“เอ็งบอกท่านไม่รักอีนังอรหรอก เพราะมันจืดชืดเป็นน้ำยาเย็น”
“ก็ใช่เจ้าค่ะ”
คุณประยงค์เสียงแข็ง “ไม่ใช่.....ท่านรักมันเพราะมันสวยเป็นสาวกว่าข้า เอ็งละดูผิด....โง่เสียจริงอีทิ้ง”
สายตาคุณประยงค์ยามนี้เจ็บปวดลึกๆ
อ่านต่อตอนที่ 11