แค้นเสน่หา ตอนที่ 10
ในเวลาต่อมา สามคนเดินทางมาที่หอพักของจริมา เจ้าของห้องถือกุญแจเปิดประตูห้องพักของตัวเอง พลางเชื้อชวนสองคนเข้าด้านใน
“เชิญค่ะ คุณบัว”
จริมารับเสื้อโค๊ตฉัตต์ และเสื้อพิสินีไปแขวน พิสินีพูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณค่ะ”
“ริมาจะชงชาให้นะคะ” แล้วเจ้าของห้องก็เดินไปที่ครัว
“ขอบคุณค่ะ ฉัตต์นั่งนี่เถอะค่ะสบายกว่าตัวนั้น” พิสินีจับตัวฉัตต์ให้นั่งลงอย่างสนิทสนม จริมาซึ่งกำลังชงชา แต่หางตาลอบมอง เห็นพิสินีก้มหน้าพูดอะไรเบาๆ กับฉัตต์ ฉัตต์เงยหน้าตอบเบาๆ เช่นกัน ท่าทางสนิมสนม
จริมาเหล่ๆนิดหน่อย “พี่ฉัตต์...ได้ข่าวชายเดียวบ้างมั้ยคะ”
“เรียนหนัก ข้ามฟากไปแล้วนี่”
“งั้นเหรอ”
“เขาเรียนสาขาเดียวกับเด็กของริมา คงเข้ากันดีซิ” ฉัตต์พูดถึงรุ้ง แล้วหน้าเฉยลง
“เกลียดเขาจนไม่อยากออกชื่อเลยเหรอพี่ฉัตต์”
พิสินีตั้งใจฟัง มองหน้าฉัตต์
“ตัวเล็กเรียนสามปี ปีนี้ก็จบแล้ว แต่ชายเดียวอีกกี่ปีล่ะ...สี่ใช่มั้ย”
“งั้นก็ต้องรอกันนานหน่อยนะ” ฉัตต์สะบัดน้ำเสียง ประชดนิดๆ
พิสินีจับสังเกตเสียงพูดของฉัตต์
สามคนอยู่ในร้านอาหารจีนเล็กๆ โค๊ทและผ้าพันคอ แขวนไว้ที่พนักเก้าอี้ ฉัตต์ตักอาหารให้จริมา
“พี่น้องน่ารักนะคะ บัวอิจฉาแล้วล่ะ”
ฉัตต์ตบหัวจริมาเบาๆ “น้องคนเดียวไม่เจอกันหลายปี”
“พี่ฉัตต์ ตัวเล็กก็เป็นน้องนะ”
ฉัตต์หน้าเฉยมาก
“ใครคะ...ตัวเล็ก”
“เด็กที่บ้านครับบัว ริมายัดเยีอดให้เป็นน้องผม” ฉัตต์บอก
“ทำไมพี่ฉัตต์พูดอย่างนี้คะ”
ฉัตต์ย้อน “ไม่ใช่เรื่องจริงเหรอ”
“ไม่ใช่” จริมาพูดแล้วพูดต่อไม่ออก หน้านิ่งหันมองไปทางอื่น
“โกรธทำไมริมาไม่เป็นเรื่องเลย” ฉันตต์เย้าๆ
“ขอโทษค่ะ ริมารักตัวเล็ก ไม่อยากให้พี่ฉัตต์พูดถึงแบบนี้”
ฉัตต์หัวเราะเบาๆ แตะมือจริมาเป็นเชิงหยอกๆ แล้วเปลี่ยนเสียง
“พี่จะบอกอะไรให้ น้องรู้มั้ย คุณบัวเป็นลูกสาวของคุณลุงหลวงวิเศษ”
จริมาตกใจเต็มๆ มองจ้องตากับพิสินี ในขณะที่ฉัตต์ก้มลงทานอาหาร
สามคนเดินออกมาหน้าร้าน ขณะใส่โค๊ทไปด้วย
“ริมาจะพาคุณบัวไปช็อปของสวยๆ” จริมามองนิ่ง บอกด้วยสายตา
“อ้าว...พี่ล่ะ” ฉัตต์งง
“เรื่องของผู้หญิงค่ะ พี่ฉัตต์จะไปทำไม”
ตรงบริเวณใกล้ๆ ทางเดินนั้น มีเก้าอี้นั่งริมทาง เวลาจวนค่ำแล้ว ด้วยเป็นฤดูหนาวจึงค่ำเร็ว สองสาวเดินมาช้าๆ สีหน้าครุ่นคิดทั้งคู่
พิสินีหยุดเดิน เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด “คุณริมาจะพูดเรื่องคุณอาพจน์”
“ค่ะ คุณบัวคงทราบว่าพี่ฉัตต์ไม่ทราบ”
“บัวก็ไม่คิดจะบอกคุณฉัตต์”
จริมาเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น “ขอบคุณมากค่ะ”
“แต่บัวแปลกใจ และก็เห็นใจคุณฉัตต์มาก”
“เรามีเหตุผลที่...ที่เป็นของเรา” จริมาเน้นคำ
“ค่ะบัวไม่ก้าวก่ายไม่ต้องบอกบัว...บัวรับปากว่าจะไม่บอกคุณฉัตต์”
“ทำไมถึงคิดว่าริมารู้ว่าคุณพ่อเสีย ไม่คิดว่าเขาจะปิดริมาเหมือนปิดพี่ฉัตต์หรือคะ”
“คุณแม่เขียนบอกว่าพบคุณริมาที่งานสวด...ว่าพบแต่ลูกสาวไม่พบลูกชาย”
“อ๋อ...ริมาบอกได้นะคะว่าคุณพ่อสั่งไว้ไม่ให้บอกพี่ฉัตต์ คุณย่าก็ขัดไม่ได้”
“วันหนึ่งคุณฉัตต์ก็ต้องรู้”
“ริมาไม่อยากคิดถึงวันนั้นเลยค่ะ พี่ฉัตต์เวลาโมโห...” จริมาห่อไหล่ สีหน้ากลัวจัด
“ถึงเวลานั้นคุณริมาไม่ต้องกลัว บัวจะปลอบใจคุณฉัตต์เอง”
คำพูดของอีกฝ่ายเข้าหน้าจริมาเต็มแรง พูดอย่างนี้มีความหมาย
พิสินีแกล้งทำท่าไม่เห็น “คุณฉัตต์จะเรียนปริญญาโทต่อ แต่บัวไม่เรียน จะขอใบอนุญาตทำงานจนกว่าคุณฉัตต์จะเรียนจบ คุณริมาไม่ต้องห่วงคุณฉัตต์นะคะบัวจะดูแลเอง”
จริมารู้ในท่าทีของพิสินีว่ากำลังจะต่อรอง “ของอย่างนี้แล้วแต่คุณบัว จะบอกพี่ฉัตต์ก็บอกเถอะค่ะ พี่ฉัตต์รู้วันนี้หรือรู้วันไหนก็ต้องเกิดพายุใหญ่อยู่ดี”
พิสินีรู้ทันท่าทีของจริมาเหมือนกัน “บัวบอกแล้วไงคะว่าเข้าใจ บัวไม่บอกหรอกค่ะ แค่อยากให้รู้ว่าเกิดอะไรไม่ต้องห่วงคุณฉัตต์ คุณฉัตต์จะมีบัวอยู่ข้างๆ เสมอ”
“ริมาชื่นชมค่ะว่าคุณบัวเป็นคนพยายามดี แค่จะบอกว่าพี่ฉัตต์มีคนที่ครอบครัวหมั้นหมายไว้แล้ว คุณบัวคงต้องพยายามขึ้นเป็นสองเท่านะคะ”
จบคำพูดของจริมา สองคนจ้องหน้ากันนิ่ง แบบรู้กันในที แต่หน้าตายังคงยิ้มละไมให้กัน
ภายในห้องจริมา คืนนั้น แสงจากโคมไฟดวงเดียวส่องบนโต๊ะ จริมานั่งเขียนจดหมายถึงรุ้ง
“เขาต่อรองกับริมาว่าเขาจะคบกับพี่ฉัตต์ ริมาจะต้องไม่ขัดขวางเขา เพราะเขากำความลับของเรา…”
หลายวันต่อมา รุ้งอ่านจดหมายฉบับนั้นของจริมา
“แล้วเขาก็ดูท่าทีของริมาออกว่าไม่ชอบเขา เขามาเหนือเมฆมากนะตัวเล็ก เป็นคนลึกล้ำ คิดอะไรซับซ้อน และมีแผนตลอดเวลา พี่ฉัตต์เราจะทันเขารึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ริมาน่ะตีวงกั้นไว้แล้วเรียบร้อยตัวเล็กไม่ต้องห่วง”
รุ้งมีสีหน้ายิ้มเยาะหยันตัวเอง หยิบกระดาษรวดเร็ว เขียนตอบอย่างรวดเร็ว
“รุ้งไม่ห่วงริมาหรอก แต่ขอออกความเห็นหน่อยนะ เพราะกลัวริมาจะเหนื่อยเปล่าเท่านั้น ริมาทำอย่างนั้นถามคุณฉัตต์หรือยังว่าอยากให้ริมาขัดขวางมั้ย..เขาเป็นแฟนกันะอย่าลืม”
รุ้งหยุด คิดสักครู่ ขยำจดหมายจนเป็นก้อนๆ ถอนหายใจแรงๆ
วันนี้ร้านอาหาร “สวนราตรี” เปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว มีแขกนั่งตามโต๊ะจนเต็ม ทุกคนแต่งตัวสวยงาม บนโต๊ะวางแจกันใส่ดอกไม้ ปูผ้าขาวสะอาด
สารภี อ่อน สำลี แต่งตัวแบบที่แต่งอยู่ทุกวันเรียบร้อยและสะอาดตาคอยเสิร์ฟอาหาร
ด้านรุ้งกำลังรับออเดอร์อาหารที่โต๊ะหนึ่ง วางเมนู “อาหารไทยตำรับชาววังค่ะ”
ลูกค้าหญิงวัยกลางคนรับไปอ่าน บอกสามีเบาๆ “มีหลายอย่างเลยค่ะ คุณพี่จะรับออเดิร์ฟก่อนมั้ยคะ”
“ได้ครับน้อง” ลูกค้าชายหน้าตาท่าทางเรียบร้อย เสียงสุภาพขณะพูดกับภรรยา
ลูกค้าหญิงถามขึ้น “แนะนำได้มั้ยคะหนู”
ไม่นานต่อมามีอาหารวางลงบนโต๊ะลูกค้า
“กระทงทองค่ะ” เสียงรุ้งบอก
ตามด้วยอาหารอีกจานวางลง
“ช่อม่วงค่ะ”
ลูกค้าเงยหน้าแจ่มใส ยิ้มกับรุ้ง
“สีสวยจัง...”
“สีม่วงธรรมชาติค่ะจากดอกอัญชัญ” รุ้งอธิบาย
ไม่นานต่อมารุ้งวางจานอาหารลงบนอีกโต๊ะลูกค้าหนุ่มสาว
“ล่าเตียงค่ะ” รุ้งบอก
ลูกค้าหญิงฉงน “ชื่อแปลกนะคะ”
“เป็นของว่างโบราณค่ะ ชื่อมาจากรูปร่างที่เหมือนเตียง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “หรุ่ม” ค่ะ
รุ้งอีกวางจาน “ค้างคาวเผือกค่ะ ออเดิร์ฟอีกชนิดหนึ่ง แบบโบราณ ทานกับอาจาด นะคะ”
“ชื่อแปลกจัง ทำด้วยเผือกหรือคะหนู” ลูกค้าหญิงถาม
"ค่ะ เผือกค่ะ ที่หุ้มไส้อยู่ ไส้เป็นกุ้งปรุงรสหวานๆเค็มๆค่ะ”
ลูกค้าทุกโต๊ะทานอาหารกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยอาหารรสชาติอร่อยล้ำ พวกคนเสิร์ฟเดินเสิร์ฟอาหารอย่างเรียบร้อยนุ่มนวล สีหน้ายิ้มน้อยๆพองามดูรื่นรมย์สายตา
“มีกฎสำคัญที่ทุกคนต้องจำ และทำตามให้เป็นประจำอย่าละเลยเป็นอันขาด”
จันทร์อธิบายอยู่ในครัวของร้านอาหาร สำเนียง สำลี สารภี อ่อน ยอด และแนบฟังอยู่
“ข้อหนึ่ง ทุกอย่างต้องสะอาดเหมือนที่เราทำกินกันที่บ้าน ผักทุกชนิดล้างหลายๆ น้ำจนแน่ใจว่าสะอาด โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องปรุงบนโต๊ะ จานชาม ช้อน พวกนี้ทุกอย่างต้องสะอาดที่สุด”
ทุกคนรับฟังอย่างตั้งใจ
“ข้อสอง ฉันอยากให้ทุกคนทำงานนี้อย่างมีความสุข ถ้าเรามีความสุขสีหน้าเราจะบอก แขกเขาจะเห็นแล้วเขาจะเป็นไง”
ทุกคนประสานเสียง “ดีค่ะ...ดี”
“ถ้าใครทำงานไม่มีความสุข..บอกฉัน เราจะคุยกัน” จันทร์บอก
“แขกเค้าถามหนูว่าอาหารร้านนี้ทานแล้วจะอ้วนเหมือนคนเสร์ฟมั้ย” สารภีว่า
ทุกคนหัวเราะเกรียว
“แขกชอบทานช่อม่วงมากค่ะคุณจันทร์ บอกว่าสีสวยด้วย” อ่อนบอก
วันต่อมา สำเนียงและจันทร์ปรุงอาหารอยู่ในครัว สำลีอ่านในกระดาษออร์เดอร์ที่ถืออยู่
“ช่อม่วง หมี่กรอบ ยำถั่วพู แกงเนื้อพริกขี้หนู” อ่านเสร็จ เสียบกระดาษในที่เสียบ
อ่อนอ่านทวนเมนู “ช่อม่วง แสร้งว่ากุ้ง ยำหัวปลี ต้มโคล้งปลา ค่ะ” เสียบใส่กระดาษ แล้วไปหยิบอาหารที่เสร็จแล้วใส่ถาดออกไป
สารภีอ่านทวนของตัวเองอีก “ช่อม่วง น้ำพริกนครบาลผักต้ม แกงเลียงนพเก้า ค่ะ”
จันทร์กับสำเนียง ทำอาหารกันมือเป็นระวิง
“เอ้า...ยำถั่วพู เสร็จแล้ว” สำเนียงวางชามยำจัดแต่งจานอย่างสวยงาม
คืนนั้น หลังเก็บร้านเสร็จแล้ว สองแม่ลูกอยู่ในห้องนอนด้วยกัน
“อาหารที่คนสั่งมากที่สุด...แม่ทาย” รุ้งถาม
“แม่ปั้นจนนิ้วจะหักทุกวัน ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าคือ...ช่อม่วง” จันทร์บอก
รุ้งพูดพร้อมแม่ “ช่อม่วง” รุ้งหัวเราะแล้วพูดต่อ “เอ..ทำขายอย่างเดียวดีมั้ยเอ่ย”
จันทร์พลอยหัวเราะด้วย สุดท้ายสองคนมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าให้สัญญาต่อกัน
“แม่จ๋า แม่ไหวนะจ๊ะ”
“รุ้งล่ะลูก”
“ลูกไหวอยู่แล้วจ้ะ ทำเต็มที่แล้ว ไม่มีคนกินลูกก็ยอมรับ”
จันทร์ตื้นตันใจมาก กอดรุ้งแน่น
“แต่เราต้องทำให้ได้นะแม่ เงินคุณย่าหมดไปตั้งเยอะทำร้านเนี่ย แล้วยังเงินลงทุนช่วงแรกอีก”
เวลาผ่านไป ร้านอาหาร “สวนราตรี” เปิดให้บริการเช่นทุกวัน แนบกับยอด แบกของใส่หลัว อีกมือยังมีของเต็มๆ เดินกันเร็วๆ ตรงไปครัว เห็นผัก เห็นของแห้ง วางอยู่ตรงโต๊ะเตรียมในครัว
จันทร์สลักผักเป็นรูปร่างสวยงาม รุ้งทำอยู่ด้วย จันทร์บอกลูกว่าตรงนี้ยังไม่ดี ต้องขยับมีดสลักยังไงถึงจะสวย สำเนียงปรุงแกงในกระทะตักใส่ชาม เป็นเมนู “แกงเลียงนพเก้า”
จันทร์ยำหัวปลี ปรุงเสร็จ
สำเนียงตักน้ำพริกจากครก “น้ำพริกนครบาล สารภีจัดผักเสร็จหรือยัง”
สารภีวางจานผักที่จัดสวยงาม วางผักชิ้นสุดท้ายลง แล้วหยิบถ้วยน้ำพริก “เสร็จคอยตั้งนานแล้ว น้ำพริกถ้วยเดียวชิมอยู่นั่นแหละแขกเค้าไม่รอแล้วมั้ง (ออกไป)
สำเนียงพูดเบาๆตามหลัง “ลองได้ลิ้มคำเดียว ขี้คร้านจะรับกลับมาสั่งอีก”
ยอดล้างชาม สำลียกชามใช้แล้วมาวางให้ ยอดมองด้วยนัยน์ตาอาทร เป็นเชิงถามว่าเหนื่อยมั้ย
สำลีเข้าใจได้เหมือนกัน “ไม่เหนื่อย” แล้วกลับไป
ยอดยิ้มสดชื่น
ลูกค้าถามถามสารภี “นี่หรือน้ำพริกนครบาล แปลกดีนะ ดูๆ ก็เหมือนน้ำพริกกะปิใช่มั้ยหนู น้ำพริกกะปิใช่มั้ย”
สารภีเข้าครัวเร็วๆ หน้าตาตื่น ด้วยตอบปัญหาแขกไม่ได้ “คุณจันทร์คะคุณจันทร์ แขกถาม”
จันทร์ออกมา เป็นคนอธิบายแขก “ใช่ค่ะ เหมือนน้ำพริกกะปิ แต่ใส่มะดันหรือระกำซอยละเอียดด้วย ใส่ส้มซ่าให้หอมด้วยค่ะ”
“ไม่ได้ทานกับปลาทูเหรอคะ”
“ทานกับไข่ต้มยางมะตูมค่ะ” สารภีวางจานไข่ผ่าซีก “ดิฉันเตรียมมาให้แล้วไข่ต้มเป็นของแนะนำนะคะไม่คิดเงินค่ะ”
ชายเดียวขับเรือ “ศักดินา” ลำสีขาวมาตามลำคลอง มีท่านหญิงแขไขเจิดจรัสประทับอยู่กลางเรือ มองจากท่าน้ำบ้านปัณณธร ซึ่งมีป้ายชื่อร้าน “สวนราตรี” ติดอยู่
เห็นเรือศักดินาแล่นมาแต่ไกล นายสนนั่งมาด้วยทางหลัง
จันทร์เดินมามองไปในลำน้ำนั้น และเห็นยอดอยู่ใกล้ๆ รีบทำนัยน์ตาบอกให้รู้ว่าหลบไปก่อน ยอดพยักหน้าแล้วรีบหลบไป
เรือจอด จันทร์และคุณหญิงเพ็งเดินเข้าไปต้อนรับ ทักทายกันทุกคนตามธรรมเนียม
“ชื่อร้าน “สวนราตรี” หรือ” ท่านหญิงแขไขถาม
“ชื่อภรรยาพ่อพจน์เพคะ” คุณหญิงเพ็งตอบ
“จัดร้านได้สวยงาม ใครๆ ก็พูดถึงว่าอาหารอร่อย”
“ขอบพระทัยเพคะ”
ท่านหญิงเหลือบตามองไปที่จันทร์ “คุณจันทร์ พาชายเดียวไปนั่งก่อน ฉันอยากเดินดูต้นไม้สักครู่คุณหญิงเดินไหวมั้ยคะ”
“ไหวเพคะ...เชิญเด็จทางนี้” คุณหญิงเพ็งทอดเสียง
ท่านหญิงแขไขตามคุณหญิงไปตามทาง ท่านหญิงหยุดเดิน เหลียวมองไปทางจันทร์ เห็นจันทร์เดินไปกับชายเดียวและจ้องมองชายเดียวตลอดเวลา สีหน้าท่านหญิง...ฉงนนิดๆ สองคนเดินไปต่อ คุยกันไปด้วย
“หม่อมฉันให้จัดโต๊ะริมน้ำรับเสด็จเพคะ”
“คุณหญิงได้แม่ครัวมาจากไหน ได้ข่าวว่าทำอาหารชาววังเก่ง...อร่อยมาก”
“อ๋อ...ลูกสาวเพคะเขาเก่ง”
“คุณหญิงส่งลูกสาวไปเรียนทำอาหารที่ไหนหรือ”
“เรียนเองเพคะ เพื่อนๆหม่อมฉันสอนให้บ้าง อ่านจากตำราบ้างเพคะ”
ชายเดียวนั่งคอยที่โต๊ะริมน้ำ ซึ่งจัดเตรียมไว้รับรองท่านหญิงและคุณชายเป็นพิเศษ จันทร์เลื่อนแก้วน้ำที่อ่อนวาง
“น้ำข้าวตังค่ะคุณชาย”
“ขอบคุณครับคุณน้า”
จันทร์ลอบมองหน้าลูกชาย ไม่ออกนอกหน้าจนดูแปลกไป “หิวหรือยังคะ ดิฉันจะเสิร์ฟของว่างให้คุณชายรับทานก่อน...อ่อน” จันทร์หันไปเรียก
“คุณน้าอย่าเพิ่งครับผมคอยท่านแม่ก่อนครับ”
“ค่ะ” จันทร์ยิ้มๆ มองปกติ “เหนื่อยมั้ยคะ เรียนหมอ”
“เหนื่อยครับ เรียนเหมือนไม่จบสิ้น” ชายเดียวเล่า
“โถ” จันทร์ครางเบาๆ “ทำไมคุณชายถึงเลือกเรียนหมอคะ”
“ผมตั้งใจตั้งแต่ผมเป็นเด็ก เห็นท่านพ่อเจ็บ บรรทมอยู่บนพระที่ตลอดเวลา ท่านแม่ถึงไม่เป็นอะไรแต่ท่านชันษามากขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าต้องเป็นหมอเพื่อมาดูแลท่านครับ”
จันทร์พยักหน้า ตื้นตันใจจน น้ำตาคลอนิดๆ
“ท่านพ่อสิ้นเสียก่อน ผมต้องดูแลท่านแม่ต่อไป...คุณน้าร้องไห้..ทำไมครับ”
“ดิฉันร้องไห้เพราะซาบซึ้งค่ะ ถ้าดิฉันมีลูกชายอย่างคุณชาย” จันทร์พูดต่อไปไม่ออก
“คุณน้าครับ ขอโทษนะครับ คุณน้ามีรุ้ง...ก็เหมือนกัน รุ้งเป็นลูกสาวที่น่ารักที่สุดของคุณน้าแล้วนะครับ”
“ค่ะ”
“รุ้งก็เหมือนผมเรียนพยาบาลเพราะจะได้ดูแลคุณย่า ดูแลคุณน้า”
จันทร์มองนิ่ง
“ท่านแม่” ชายเดียวขยับตัว
สีหน้าจันทร์เปลี่ยนขณะหันไปมองตาม เห็นท่านเดินเข้ามาที่โต๊ะ พร้อมคุณหญิง
จันทร์ถอยไป มองชายเดียวที่เข้าไปประคองท่านหญิงให้นั่งอย่างนุ่มนวล พูดเบาๆ กับท่านแม่ว่า “ระวังนะคะท่านแม่...สบายหรือยังคะ”
ท่านหญิงนั่งเสร็จหันมา และสบตากับจันทร์เต็มแรง ในขณะที่ชายเดียวหันไปขยับเก้าอี้ให้คุณหญิงเพ็งนั่ง
อาหารทยอยวางบนโต๊ะหลายจาน สำเนียงวางจานสุดท้าย แล้วบอก
“เอ้า..ช่วยกันยกไปที่โต๊ะเสวย”
“ม้าฮ่อกับช่อม่วงนี่แม่ทำเหรอ” สำลีถาม
“ไม่เชิง”
“หมายความว่าไงไม่เชิง”
“หมายความว่าไม่ได้ทำสิวะจะสงสัยทำไมเนี่ย ยกไป...อ่อน” สำเนียงหันไปดู
อ่อนถือถาดจานอาหารในมือแล้ว “ยกไปนะป้า”
ส่วนที่โต๊ะริมน้ำ อาหารวางเสร็จแล้ว ท่านหญิงเอ่ยขึ้น
“ม้าฮ่อ...แม่ครัวของคุณหญิงเก่งมากทำอาหารโบราณได้ดี”
ชายเดียวตักให้ “นี่คะท่านแม่
“ชายล่ะจ๊ะ”
“ท่านแม่เหวยก่อนนะคะ”
จันทร์ที่นั่งโต๊ะอยู่ด้วย มองลูกชายปรนนิบัติท่านหญิง ตักอาหารที่วางเต็มโต๊ะให้ ยิ้มแย้มพูดด้วย
เวลาต่อมา ทุกคนทานขนมที่ใส่ถ้วยเล็กๆน่ารัก
“ขนมลูกชุบเพคะ” คุณหญิงเพ็งบอก
ลูกชุบเป็นต้นพริกสีต่างๆ สีหน้าท่านหญิงมองนิ่งสนิท สายตาตรึกตรอง จันทร์รู้สึกตะครั่นตะครอตามเนื้อตัว มองทอดสายตา
ชายเดียวยังคงมีท่าทีสุภาพกับท่านหญิงแขไข พูดคุย หยิบแก้วน้ำให้
จันทร์รู้สึกว่าว่างโหวงในกายตัวเองจนแทบจะฝืนไม่ไหว
“เป็นอะไรคุณจันทร์...ไม่สบายรึเปล่า” ท่านหญิงถามขึ้น
“เปล่ามังคะ”
“อาหารอร่อยมาก ที่วังท่านชายมีต้นเครื่องคนหนึ่งเขาทำอาหารเก่งมาก ถ่ายทอดวิชาให้หลานสาว แล้วต่อมาหลานสาวคนนั้นก็กลายมาเป็นหม่อมของเจ้าพี่” ท่านหญิงแขไขพูดไปเรื่อยๆ
จันทร์ก้มหน้านิ่ง ขาวซีด ใจเต้นแรง แต่พยายามไม่ให้ท่านหญิงเห็น
คุณหญิงเพ็งตั้งใจฟังมาก อุทานเบาๆ “ตายจริง”
ท่านหญิงพูดต่อด้วยหน้าตาปกติมาก ขณะมองดูขนมตรงหน้า
“ขนมอร่อยมากค่ะคุณหญิง”
“ขอบพระทัยเพคะ เอ้อ...หม่อมฉันไม่เคยทราบว่า....”
“ไม่มีใครรู้หรอก เขาก็อยู่ในวังนั่นแหละไม่มีใครกระโตกกระตากอะไร”
“เพคะ...” คุณหญิงเพ็งยังคงตั้งท่าฟังต่อ
“ฉันรึ...ฉันจะทำอะไรได้เกิดเป็นผู้หญิง ที่เขาพูดกันว่าน้ำท่วมปาก เป็นยังไงฉันรู้ดีเชียวละ” ท่านหญิงพูดแกมหัวเราะนิดๆ
“ท่านแม่...” ชายเดียวทอดเสียงอ่อนโยนอย่างเห็นใจ “ชายไม่ทราบเลยค่ะว่าท่านพ่อทรงมีหม่อมคนอื่น ตอนนี้หม่อมคนนั้นไปไหนแล้วคะท่านแม่”
ท่านหญิงก็หันไปทางจันทร์ช้าๆ ยิ้มให้จันทร์แต่นัยน์ตาลึกล้ำ
จันทร์จำต้องหน้าปกติอย่างสุดความสามารถ มองสบตาแบบคอยฟัง
“ท่านแม่คะ...”
“ตาย” ท่านหญิงสวนคำชายเดียว
ทุกคนนิ่งอึ้ง ท่านหญิงพูดต่อ
“ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ไปไหน แต่เขาก็ตายไปแล้วตายไปจากวังรังสิยา”
“ทำไมดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ไปไหนล่ะคะท่านแม่”
“เขาดูเหมือนไม่ได้ไปไหนจริงๆ” ขณะพูดคำนี้ ท่านหญิงจ้องหน้าชายเดียวแน่วนิ่ง
สีหน้าชายเดียวสดใสบริสุทธิ์ “แต่เขาก็ไป ดีแล้วค่ะที่ชายไม่ได้พบเขา”
“ถ้าพบ ชายทำยังไงเหรอจ๊ะลูกรัก” น้ำเสียงท่านหญิงเย้าๆ
คุณหญิงยิ้ม แลเห็นแต่ความน่ารักของแม่ลูก
จันทร์ฝืนทำหน้าปกติ หายใจเข้าเต็มปอดแรงๆ เพื่อระงับความสั่นสะท้าน มือที่อยู่บนตักจับกันแน่น
“ชายจะไม่ทำอะไรเขาหรอกค่ะท่านแม่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะท่านพ่อกับตัวเขาคนนั้น ชายเป็นลูกท่านพ่อชายจะก้าวก่ายกับเรื่องของท่านพ่อหรือกับคนที่ยอมทำผิดกับท่านพ่อไม่ได้”
จันทร์ฟังในท่าทีนิ่งสนิท
“ชายจะไม่ทำอะไร” ท่านหญิงพูดเป็นเชิงถามด้วยน้ำเสียงเฉยขึ้นอีกนิด
“ค่ะ ไม่ทำอะไร แต่ชายคงจะเกลียดเขา เพราะเขาทำร้ายท่านแม่ ชายคงจะหลีกเลี่ยงไม่พูดกับเขา ไม่มองหน้าเขา ชายไม่ยกโทษให้เขาแต่ชายจะไม่ลงโทษ เขา...เขาจะเหมือนฝุ่นละอองที่ลอยไปลอยมาไม่มีความหมายในสายตาของชาย”
ท่านหญิงฟังแล้ว น้ำตาขึ้นมาคลอเต็มตา จันทร์เอง ก็น้ำตาเต็มตาเช่นกัน
“ชายเดียว...ลูกชายแม่” ท่านหญิงแขไขอ้าแขน โอบชายเดียวเข้าไปแนบแน่น “ลูกรักของแม่”
ชายเดียวกอดแม่ตบหลังแม่เบาๆ ปลอบโยนเต็มหัวใจ คุณหญิงเพ็งตื้นตัน ซับน้ำตานิดๆ จันทร์ปล่อยน้ำตาไหลพราก อย่างกลั้นไม่ได้แล้ว
“คุณจันทร์...ร้องไห้ทำไมหรือนั่น” ท่านหญิงถาม
จันทร์ก้มหน้าก้มตาซับน้ำตา
“คุณน้าครับ...ขอบคุณครับที่คุณน้าเห็นใจเรา”
“ค่ะ...คุณชาย”
สีหน้าท่านหญิงขณะก้มลงตักขนม เห็นนัยน์ตาวาววับขึ้นมาอึดใจหนึ่ง เนื่องเพราะตอนนี้ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า จันทร์ คือ บุหลัน นั่นเอง เพียงแต่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมมาเป็นลูกคุณหญิงเพ็ง และทำไมถึงมีลูกสาวอีกคน แม้จะสงสัยแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดแจ้ง
ท่านหญิงก็เลยยังงงๆกับความรู้สึกตัวเอง ด้วยเหตุนี้บางคราวตามมารยาทสังคมจึงพูดจาดีๆ เพราะจันทร์เองก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกคุณหญิงเหมือนกัน แต่บางคราว ในความแน่ใจก็เลยพลุ่งขึ้นมาก็โกรธเกลียด เคียดแค้นวูบวาบๆ อยู่เสมอ
ชายเดียวเอ่ยขึ้น “เอ้อ...เขามีลูกมั้ยคะท่านแม่”
“ไม่มี...ชายเป็นลูกแม่คนเดียว” ท่านหญิงบอกเสียงเข้ม
คำพูดนั้นกระแทกเข้าไปที่หน้าจันทร์เต็มๆ
ในขณะที่คุณหญิงเพ็ง พูดกับท่านหญิงเสียงเบาๆ ว่า
“ถ้ามีคงจะยุ่งยากมากนักเพคะ...ดีแล้วที่ไม่มี คุณชายเดียวก็เป็นยอดขวัญคนเดียวสมชื่อ”
หลังอาหารมือนั้น ท่านหญิงเดินมากับคุณหญิง ชายเดียวเดินใกล้ๆ ท่านหญิงคอยดูแลไม่ได้ประคอง จันทร์มองชายเดียว สะท้อนใจเหลือเกิน
“หนูรุ้งไม่อยู่หรือคะคุณหญิง”
คำถามนี้กระแทกเข้าหน้าจันทร์ทันที
“ตอนนี้ฝึกงานเพคะ จวนจะจบแล้ว” คุณหญิงตอบ
“ทำไมรุ้งไม่เรียกคุณหญิงว่ายายล่ะคะ”
จันทร์ตกใจเล็กๆ คุณหญิงเพ็งก้มลงเขี่ยอะไรบางอย่างที่ติดชายซิ่น สีหน้าท่านหญิงแขไขรับรู้ดีว่านั่นคือหญิงชราใช้เวลาคิด
คุณหญิงเพ็งทรงตัวยืน สบตาท่านหญิงที่คอยฟังอยู่ “ควรจะเป็นอย่างนั้นเพคะ แต่เด็กๆ ชอบเรียกตามกัน หม่อมฉันก็เลยไม่ว่าอะไร”
จังหวะนี้ท่านหญิงหันมามองจันทร์นิ่ง จันทร์ตกใจรีบปรับสีหน้าแทบตาย
“คุณหญิงไม่ต้องไปส่ง ชายเดียวพาแม่ไปลูก”
จันทร์ขยับตัว
“ไม่ต้อง...คุณจันทร์ ลูกชายฉันจะพาฉันไป”
ชายเดียวไหว้ลาผู้ใหญ่สองคน คุณหญิงกับจันทร์ไหว้ท่านหญิงแขไข ท่านหญิงรับไหว้ครึ่งอกแบบเจ้า
สองคนเดินไป ชายเดียวยื่นแขนให้ท่านหญิงเกาะ คุณหญิงหันไปมองตาม
จันทร์สะท้อนในใจนัยน์ตาพร่าพราย มองตามลูกชายไป
อ่านต่อหน้า 2
แค้นเสน่หา ตอนที่ 10 (ต่อ)
ในเวลาเดียวกันนั้น ทอแสงรัศมี อยู่ในห้องโถงวังรังสิยา กำลังถามคาดคั้นเอากับผ่อง
“ท่านป้าเด็จไหนผ่อง”
“เด็จร้านอาหารสวนราตรีค่ะ”
“เอ๊ะ ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ”
ผ่องยืนนิ่งเฉย สีหน้าเรียบร้อย
“ทำไมล่ะผ่อง เท่าที่ฉันรู้ท่านป้าไม่เด็จไหนวันนี้ พี่ชายเดียวก็จะอยู่ทั้งวัน กลับหอเย็น”
ผ่องนิ่งอย่างเดิม
หญิงทอแสงฉุนแล้ว “หูหนวกเหรอผ่อง”
“อิชั้นไม่ทราบค่ะคุณหญิง”
“ไม่จริง ท่านป้าจะทรงทำอะไรท่านต้องมีเหตุผล”
“อิชั้นไม่ทราบ ท่านไม่รับสั่งอะไรค่ะ”
สีหน้าหญิงทอแสงยามนี้อึดอัดอัดอั้นมาก สุดท้ายหันมาจ้องผ่อง
“ตอบให้เป็นผู้เป็นคนมั่งฉันถามดีๆ น่ะ”
“อิชั้นขอตัวค่ะ” ผ่องเดินกลับหลังนิดๆ ออกไปในทันที
ทอแสงรัศมีโกรธ ก้าวตามไปคว้าไหล่ให้หันมา แล้วผลักผ่องไปโดยแรง
“กำเริบ...วันไหนชั้นมาเป็นนายที่นี่”
“คุณหญิงคะ ให้มาเป็นก่อนเถิดนะคะ”
ผ่องบอกด้วยเสียงเรียบร้อยแล้วออกไป โดยไม่หันกลับมามองที่หญิงทอแสงอีก
ผ่องตรงมาที่ครัว เล่าให้ สาลี่ กับพิกุล ฟังแล้ว
“ไม่ใช่คนแบบนั้นนะแกน่ะ” สาลี่บอก
“อดไม่ไหวพี่ คุณหญิงเธอทำไมกิริยาวาจาแบบนี้ก็ไม่รู้นะ ท่านหญิงเล็กก็ไม่เป็น คุณหญิงลักษณ์ก็ไม่เป็น ท่านชายจักรก็ไม่เป็น ท่านหญิงปั้นก็ไม่เป็น”
พิกุลเหน็บ “จะสาวถึงต้นตระกูลท่านมั้ยพี่ผ่อง”
“สาวได้ก็จะสาวล่ะ” ผ่องว่า
สาลี่บอก “เราเป็นขี้ข้า”
“เออ...ฉันอยากจะถามมานานและ ขี้ข้านี่มันแปลว่าอะไรเหรอป้า” พิกุลเอ่ยขึ้น
“จะแปลทำไมนังพิกุล” สาลี่ย้อน
“สงสัย” พิกุลบอก
“เออ..ชั้นก็สงสัย” ผ่องผสมโรง
“ข้าเดาเอานะ ฟังแล้วเอ็งเหยีบไว้กรงนี้แล้วกัน ข้าแปลของข้าคนเดียว”
สองคนพูดแซงเกกัน “จ้ะรับรองไม่พูด” / “เหยียบแน่นอน”
“ขี้ข้า มันแปลว่า ขี้ของข้า ข้าจะเหยียบจะย่ำจะซ้ำจะเติม จะกระทืบยังไงก็ได้เพราะมันเป็นขี้ของข้า”
ฟังสาลี่แล้ว สองคนเหวอมาก ท่าทีน่าขัน
“เออได้ยินไม่ผิดหรอก”
สองคนยังหน้าเหวอไม่เสร็จ ละมัยเรียกมาแต่ไกล
“พี่ผ่อง ท่านหญิงเด็จแล้ว”
ไม่นานต่อมา ตรงทางเดินจากท่าน้ำ วังรังสิยา สนถือกับข้าวที่ซื้อมา เป็นตะกร้าหวาย ชามโคมห่อผ้าขาว ขณะ ผ่อง ชายเดียว และท่านหญิงแขไขเดินมาด้วยกัน สามคนเดินไปพูดไป
“อาหารอร่อยมั้ยมังคะ” ผ่องเอ่ยขึ้น
“อร่อยมากเหมือนที่เราทำกินที่วังเนี่ย” ขณะพูดสายตาเข้มขึ้น “เหมือนมาก”
ทอแสงโผล่หน้าต่างแอบฟัง
“ต้องเด็จบ่อยๆ” ผ่องยิ้มแย้ม
“นั่นสิ หรือไม่ก็ให้หนูรุ้งมาทำให้กินที่นี่นะผ่อง” ท่านหญิงแขไขว่า
“มังคะ...เธอน่ารักมังคะ” ผ่องยิ้มๆ
“ชายเดียว ดีมั้ยลูก”
“ดีค่ะ ชายก็อยากให้รุ้งมาที่นี่บ่อยๆ”
“ทำไมหรือชาย”
ชายเดียวนิ่งไปสีหน้าละมุน หญิงทอแสงเพ่งมอง ใจร้อนเร่าดั่งเผาไฟ
“ชายจ๊ะ” ท่านหญิงแขไข เรียกเป็นเชิงถาม
“ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่า อยากให้มาบ่อยๆ มาอยู่เลยยิ่งดี”
หญิงทอแสงร้อนรุ่ม ในใจมาก เสียใจด้วย ยืนน้ำตาคลอ
“อุ้ย จริงหรือคะคุณชาย” ผ่องถาม
“จริง...ผ่อง ฉันอยากให้รุ้งมาอยู่ที่นี่เลย” เสียงชายเดียวพูดไปเหมือนไม่รู้ตัว นัยน์ตาครุ่นคิดนิดๆ ยิ้มหน่อยๆ
หญิงทอแสงแทบด่าวดิ้น รู้สึกโหวงเหวงไปหมด ทุกคนเดินผ่านไป ทอแสงัศมียืนน้ำตาร่วงพรู
ทอแสงรัศมีเดินออกมา น้ำตายังเต็มตา มองขึ้นไปชั้นบนยินเสียงศักดินาแว่วๆ
“ผ่อง...เย็นนี้ร้านสวนราตรีถวายอาหารท่านแม่มาหลายอย่าง ตั้งเครื่องเลยนะไม่ต้องให้สาลี่ทำหรอก”
“ค่ะ คุณชาย”
ชายเดียวเดินลงบันไดมาชั้นล่าง เห็นหญิงทอแสงยืนอยู่
“หญิงทอแสง...ร้องไห้ทำไมคะ”
ทอแสงรัศมีมองศักดินาด้วยสายตาน้อยใจ เสียใจมาก
“หญิง”
“หญิงเกลียดพี่ชาย”
“อ้าว...” ชายเดียวยังนึกว่าอีกฝ่ายพูดขำๆ “ทำไมล่ะคะ”
“พี่ชายรักรุ้งเหรอ”
“หญิง” สีหน้าชายเดียวเฉยชาขึ้นมาทันที “เหลวไหล”
ทอแสงรัศมีสวนคำอย่างแรง “ไม่เหลวไหล พี่ชายพูดเองหญิงได้ยิน พี่ชายรักมันทำไม” หญิงทองแสงสะอื้นฮักๆ “ทำไมพี่ชายเห็นมันดีกว่าหญิง...” พูดแล้วสะอื้นอย่างแรง เพราะเจ็บในใจจี๊ดๆ แล้วหลุดคำออกมา
“หญิงรักพี่ชาย”
ชายเดียวนิ่งอึ้งไปนานมาก ไม่ใช่ไม่รู้ รู้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าหญิงทอแสงจะพูดออกมา ท่าทีน่าสงสาร และดูจริงใจ
“หญิงคะ...เรายังเด็กอย่าเพิ่งคิดเรื่องรักเรื่องใคร่ เรายังต้องเรียนหนังสือ พี่ชายอยากให้หญิงตั้งใจ สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ พอจบปริญญา...”
หญิงทอแสงสวนออกมา “ไม่...พี่ชายไม่ต้องพูดเรื่องเรียน หญิงจัดการของหญิงเอง พูดเรื่องพี่ชายเถอะทำไมต้องรักอีรุ้ง...”
ชายเดียวสวนทันทีเช่นกัน “หญิง” เสียงเข้มใส่ “พูดจาน่าเกลียดอย่างนี้ไม่ต้องพูดกันดีกว่า”
“หญิงจะเรียกมันอี...อี...อี พี่ชายจะทำไม”
“เขาเป็นเพื่อนหญิงนะ เพื่อนกันมานาน”
“ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเพื่อน มันเป็นศัตรูตลอดชาติ ไม่มีวันดีด้วย คนอย่างมันขอให้ตายเร็วๆ”
“เธอน่าเกลียดมากถ้ายังคิดอะไรที่เลวๆแบบนี้อย่ามาพูดกัน แล้วอย่าคิดทำร้ายรุ้งเขาเป็นคนดี เธอทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
ศักดินาตำหนิทองแสงรัศมีอย่างรุนแรง
ที่วังท่านหญิงเล็กในเวลาต่อมา ท่านหญิงปั้น แวะมาหา โดยท่านชายวรจักร ท่านหญิงเล็ก และหญิงลักษณ์ ต้อนรับอยู่ มีนางข้าหลวง เจียด และคนรถ บันลือ อยู่ด้วย
ท่านหญิงปั้นหันมาทางคนรถ
“บันลือวางของไว้ตรงนั้น แล้วเอาของกินไปส่งที่ครัวให้เขาจัดขึ้นมา” หันมาบอกน้องชาย “พี่ซื้อคุกกี้กับครัวซองจากโอเรียนเต็ลฝากเธอชายจักร แวะสีลมภัตตาคารซื้อสลัดเนื้อสันกับสตูว์ลิ้นมาด้วย” มองไปเห็นบางอย่างถึงกับร้อง “เอ๊ะ”
ด้วยเห็นทอแสงรัศมีวิ่งมาอย่างแรง จะผ่านทุกคนไป ท่านหญิงปั้นเสียงเข้ม
“หญิงทอแสง...หยุดก่อน”
หญิงทอแสงหยุด แล้วเดินหน้าเฉยเข้ามา
“คมท่านป้าสิหญิง” คม ที่ท่านหญิงเล็กบอกลูก คือ บังคม คือ ไหว้ นั่นเอง
ทอแสงรัศมีไหว้แต่หน้าตาขุ่นมัวมาก
“กิริยาชั่วมากหญิงทอแสง ไม่สมเป็นลูกชาติลูกตระกูล” ท่านหญิงปั้นสุดทน
“หญิงก็ไม่อยากเป็น” ทอแสงรัศมีย้อน แล้วออกไปทันที
ทุกคนตะลึง ท่านชายวรจักรรีบแก้แทนลูกรัก
“ประทานอภัยแทนลูกหญิงด้วยหม่อม”
“หญิงศศิ” ท่านหญิงปั้นหันมาทางหลานคนเล็ก
“คะ ท่านป้า” คุณหญิงศศิลักษณ์ไหว้
“ไปตามพี่สาวเธอมาหาป้า”
หญิงลักษณ์จะออกเดิน แล้วหันกลับมาลงนั่ง
“ท่านป้าคะ หญิงไม่กล้าค่ะ พี่หญิงทอแสงกำลัง...ไม่ทราบโกรธใครมาป่านนี้คง...”
“หญิงลักษณ์ไปทำอะไรก็ไปเถอะลูก” ท่านชายวรจักรบอก
หญิงลักษณ์ไหว้ท่านป้าแล้วออกไป
ท่านหญิงปั้น หันมาทางสองผัวเมียหน้าเข้มจัด “น่าเกลียดหรือทน เธอสองคนจะปล่อยให้หญิงทอแสงเป็นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาดฉันจะบอกไว้เลย ถ้าไม่อยากเสียใจ”
สองคนถอนใจใหญ่
“สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้กระหม่อม..เสียใจหนัก” ท่านชายวรจักรแก้ต่างให้ลูก
“ขอหญิงพูดซักครั้งเถิดนะคะพี่หญิง หญิงไม่เคยพูดอะไรเลย ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกสาวคนนี้เจ้าพี่วรจักรเป็นคนตัดสินทัยทุกอย่าง หญิงไม่เคยมีเสียงเลย” ท่านหญิงเล็กเสียงเครือๆ “เจ้าพี่ทรงตามใจลูกหญิงมากถึงได้เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ นี่ยังน้อยไปนะคะพี่หญิง เขาไม่พอใจแม่เขากระทืบเท้าใส่ ทั้งเถียงทั้งกระแทกโน่นกระแทกนี่”
ท่านชายวรจักรถอนใจยาว เหลือบมองท่านหญิงเล็กเป็นเชิงบอกว่า ฝากไว้ก่อน
“เขาไม่เคยคิดว่าหญิงเป็นแม่”
“ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะหญิงเล็ก” ท่านชายวรจักรฉุน
“จริงค่ะพี่หญิง ทอแสงคิดว่ามีพ่อคนเดียวไม่มีแม่”
ทางด้านทอแสงรัศมีเขียนจดหมายถึงฉัตต์ เขียนอย่างรวดเร็ว มีอารมณ์โกรธ เกลียด และแค้นรุ้งเพราะหึงหวงในตัวชายเดียว เป็นพาหะ
“คุณฉัตต์ ปัณณธร คุณคงยังไม่รู้ว่าที่บ้านของคุณมีการเปลี่ยนแปลง...”
ทอแสงหยุดเขียน สีหน้าตรึกตรอง วางปากกาแรงๆ นั่งพิงพนักเก้าอี้ไปอีก ภาพชายเดียวที่ด่าทอต่อว่าผูดขึ้นมา
“เธอน่าเกลียดมาก ถ้ายังคิดอะไรที่เลวๆ แบบนี้อย่ามาพูดกัน แล้วอย่าคิดทำร้ายรุ้ง เขาเป็นคนดี เธอทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
ทอแสงรัศมีหวนกลับมานั่งเก้าอี้อย่างแรง ดึงกระดาษที่เขียนเมื่อครู่มาอ่านทวนดังๆ
“คุณฉัตต์ ปัณณธร คุณคงยังไม่รู้หรอกว่า ที่บ้านของคุณมีการเปลี่ยนแปลง...”
แล้วจึงลงมือเขียนต่อ
“...อย่างใหญ่หลวงของคนที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบ้าน...เราไม่เห็นเหตุผลอะไรที่เขาไม่บอกคุณว่าคุณพ่อของคุณเสียชีวิตแล้ว เราหวังดีถึงเขียนมาบอกคุณ คุณรู้มั้ย เรื่องนี้ใครเป็นตัวการ”
ทอแสงรัศมีนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆยิ้มออกมานิดๆ ด้วยความสะใจ
จดหมายฉบับนั้นมาอยู่ในมือฉัตต์เรียบร้อย และฉัตต์กำลังอ่านอยู่
“คนที่เป็นตัวการชื่อรุ้ง...เขาวางแผนทุกอย่าง เขาไม่ให้บอกคุณ พ่อคุณตายทั้งคนปิดลูกชายทำไม คนชื่อรุ้งนี่แหละเป็นคนเอาบ้านคุณไปทำร้านอาหาร ตอนนี้ บ้านปัณณธรที่สวยงามและมีเกียรติของคุณเป็นร้านอาหาร มีคนเยอะแยะเดินเหยียบย่ำที่บ้านคุณทุกวัน เขาเอาบ้านคุณไปหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง”
สีหน้าฉัตต์นิ่งอย่างน่ากลัว มือฉัตต์หยิบรูปรุ้งที่คว่ำอยู่ในลิ้นชักขึ้นมา แล้วกระแทกบนโต๊ะอย่างแรง
ฉัตต์ยืนมือเท้าโต๊ะทั้งสองมือ ก้มหน้านิ่ง กิริยาแค้นใจสุดขีด
อยู่มาวันหนึ่ง ที่ร้านกาแฟร้านเดิมที่เมืองนอก พิสินีนั่งคุยกับเพื่อนผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง เสียงเบาๆ คุยกันไปดื่มกาแฟไปด้วย ดูหนังสือกันไปด้วย
“Where have you been - เธอไปไหนมา” เพื่อนถาม
“Went out of town for a week - ฉันไปนอกเมืองมาอาทิตย์หนึ่ง”
“Oh! What happened.serious thing เกิดอะไรขึ้น มีอะไรร้ายแรง”
“just visiting a friend - ฉันไปเยี่ยมเพื่อน”
“Did you go with Chatt - ไปกับฉัตต์หรือ”
“No..by myself - เปล่า..ไปคนเดียว” พิสินีบอก
“I haven’t seen him either - ฉันไม่เห็นเขาเหมือนกันนะ”
จังหวะนี้ เจษฎาเดินผ่านไป
“เจษฎ์...sorry” พิสินีบอกเพื่อน “ฉัตต์ไปไหนเหรอคะ เจอฉัตต์บ้างมั้ย”
“เออ...ผมไม่เห็นมันมาหลายวันแล้วนะคุณบัว หกเจ็ดวันมั้ง” เจษบอก
“ตายจริง แล้วคุณไม่ได้ไปดูเขาเลยหรือว่าเขาไม่สบายรึเปล่า คุณเป็นเพื่อนยังไงเนี่ย”
พิสินีพาตัวเองมาอยู่หน้าห้องฉัตต์ มือเคาะประตูเบาๆ แต่ทุกอย่างเงียบ พิสินีเคาะดังขึ้น ประตูเปิดออกในที่สุด ฉัตต์สีหน้าหมองคล้ำ ขอบตาดำเป็นวง ผมยุ่ง เคราเต็มแก้ม
พิสินีตกใจ “ฉัตต์...เป็นอะไรคะ”
“คุณพ่อผมเสียตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงฉัตต์ที่ถาม เย็นเฉียบ ทำให้พิสินีใจหายวับ “เมื่อไหร่ บอกผมมา รู้นะว่าคุณรู้”
“ฉัตต์คะ...” พิสินีจูงมือฉัตต์เข้ามาในห้อง “นั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวบัวจะพูดให้ฟังทั้งหมด” พาเขามานั่งอย่างนุ่มนวล
สีหน้าฉัตต์อึดอัดมาก พิสินีคุกเข่าตรงหน้า
“บัวทราบ แต่เห็นคุณไม่ทราบเรื่องอะไรเลย ตั้งแต่คุณพ่อคุณเริ่มเจ็บ”
“นานหรือยัง”
“หลายเดือนแล้วค่ะ”
“หลายเดือน! แล้วทำไม” ฉัตต์พูดเสียงดัง และรุนแรง “ทำไม...ทำไมต้องปิดผม”
“บัวก็แปลกใจเหมือนกัน”
ฉัตต์ลุกไปหยิบโค๊ทที่แขวนอยู่ข้างฝา “ผมจะไปโทรศัพท์”
“หาคุณริมาเหรอคะ”
“ผมโทร.ทุกวันตั้งแต่ได้จดหมาย ริมาไม่รับไม่รู้ว่าทำไม ถ้าวันนี้ไม่รับอีกผมคงต้องไป ไปบอกน้อง”
“คุณริมารู้แล้ว” พิสินีบอก
ฉัตต์ชะงักค้าง “คุณรู้ได้ไง”
“คุณริมาไปงานศพด้วย”
“ก่อนหรือหลังเราไปหาเขาที่มิชิแกน”
“ก่อนค่ะ”
“ก่อน...แล้วไม่บอกผม...ตอนนั้นคุณรู้หรือยัง”
“ทราบแล้วค่ะ คุณริมาขอไม่ให้บัวบอกคุณฉัตต์”
“ริมาบอกเหตุผลรึเปล่า”
“บอกค่ะ บอกว่าคุณพ่อไม่ให้บอก”
“เพราะอะไร”
“ฉัตต์ถามน้องเองเถิดนะคะ บัวเกรงว่าพูดไปแล้วไม่ตรงกับความจริง”
“ไม่...บอกผมมาบัว...บัวต้องบอกผม”
“บัวฟังไม่ค่อยเคลียร์อย่าให้บัวพูดเลยนะคะ”
“จะยังไงก็ตาม จริมาโกหก ผมเป็นลูกชายคนเดียว คุณพ่อต้องไม่ทำอย่างนั้นทุกคนเป็นบ้าไปหมด แล้วผมรู้ว่ามีคนเสี้ยมสอน...ผมรู้ว่าเป็นใคร”
“ฉัตต์คะ...ฉัตต์ต้องใจเย็นไว้ก่อนนะคะ บัวว่าต้องมีเหตุผลที่จำเป็นนะคะ”
ฉัตต์ลุกยืนพรวด “ผมยอมรับไม่ได้”นัยน์ตาฉัตต์ยามนี้ทั้งดุดันทั้งชอกช้ำ “สังเกตเหมือนกันว่าก่อนผมมาคุณพ่อมอบสิทธิ์ขาดให้คนๆหนึ่ง ผมสังหรณ์อยู่แล้ว...รู้อยู่แล้วว่าคนที่มามือเปล่าต้องพยายามกอบโกยให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ตอนนี้คุณพ่อเสียไปแล้ว...เสียเพราะอะไร...เสียเพราะใคร”
“ใครหรือคะฉัตต์ ฉัตต์พูดถึงใคร”
ฉัตต์ไม่ตอบเดินห่างออกไป มือสองข้างกุมหัว ตัวสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น
“ฉัตต์...” ความสงสารพลุ่งขึ้นมาเต็มหัวใจพิสินี
ฉัตต์พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ แอบป้ายน้ำตาแรงๆ แล้วหันมา พิสินียืนอยู่ใกล้ๆ แล้วอ้าแขนโอบร่างฉัตต์ไว้ ลูบหลังปลอบใจ
ฉัตต์เกร็งสักครู่ แล้วปล่อยตามอารมณ์ รู้ได้ถึงความเข้มแข็งของอ้อมแขนที่โอบตัวเองอยู่ แต่เพียงสักครู่ ฉัตต์ก็ผละออก หยิบของบางอย่างบนโต๊ะ
“ฉัตต์จะไปไหนคะ”
“ขอบคุณนะบัว”
“จะไปไหน”
“ผมต้องเตรียมตัว มีเรื่องต้องทำหลายอย่างก่อนกลับเมืองไทย”
ฉัตต์ออกไปทันที พิสินียืนนิ่งงัน
ในวันต่อมา จริมาเปิดประตูห้องพักออกมามือถือตำรา และหิ้วกระเป๋าใบใหญ่พะรุงพะรัง เดินมาตามทางหน้าหอพัก เห็นพิสินียืนอยู่เหมือนรออยู่แล้ว จริมาชะงัก
“คุณบัว...เอ๊ะ มีอะไร พี่ฉัตต์เป็นอะไรหรือ”
“คุณฉัตต์ทราบเรื่องคุณพ่อเสียแล้ว”
จริมาตกตะลึง ใจหายวับ “ใครบอก”
พิสินีตอบทันที “ไม่ใช่บัว”
จริมามองจ้องบัวแน่วนิ่ง “ไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร”
“บัวรับปากแล้วไม่ต้องกลัว บัวรักษาสัญญา คุณฉัตต์ได้จดหมายไม่มีลายเซ็น คงเป็นคนไม่หวังดีมีใครทางเมืองไทยที่ไม่ชอบคุณฉัตต์มั้ยคะ”
ขณะเดียวกันที่วังท่านหญิงเล็ก ทอแสงรัศมียืนอยู่บนบันไดชั้นบนสุด สีหน้าเครียด คิด ตัดสินใจ แล้วในที่สุดก็หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางที่พื้นขึ้นมา ลงบันไดมาช้าๆ ท่านหญิงเล็กขึ้นบันไดมา ก้มหน้าก้มตา เงยหน้า
“ลูกหญิง...จะไปไหน”
“ไปวังรังสิยาค่ะ” หญิงทอแสงเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้ม เหมือนไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไปทำไม” ท่านหญิงเล็กมองกระเป๋า “ไปเฝ้าท่านป้าติดๆ กันหลายวันแล้ว ทำไมจะไปอีก”
“ขอโทษค่ะท่านแม่” หญิงทอแสงเดินหลีก
“เดี๋ยว” ท่านหญิงเล็กจับแขนลูก “พูดกับแม่ก่อน อย่าทำตัวอย่างนี้น่าเกลียดจริง”
“อย่าสนใจหญิงเลยค่ะท่านแม่ เดี๋ยวหญิงลักษณ์ก็กลับจากมหาวิทยาลัยแล้ว” หญิงทอแสงประชด
“แม่ไม่ให้ไป หรือถ้าจะไปก็ต้องมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ท่านป้าแขไขไม่เคยรับสั่งกับแม่ว่าจะให้หญิงไปอยู่ด้วย วังนั้นมีพี่ชายเดียว ไปมันไม่งาม”
“ท่านแม่ หญิงไม่ได้จะไปปล้ำพี่ชายเดียวซะหน่อย”
ท่านหญิงเล็กอ้าปากค้าง “หญิง”
“รับสั่งแบบนี้ทุกครั้ง หญิงฟังจนเบื่อ เบื่อด้วยงงด้วย ว่าท่านแม่คิดว่าผู้ชายผู้หญิงอยู่ที่เดียวกันจะต้องมีอะไรกันตลอดเวลาหรือคะ”
“หญิง...หญิงพูดจาไม่สมเป็นผู้ดีเลย ทำไมพูดจาอย่างนี้เอามาจากไหนเนี้ย”
“แหม...ท่านแม่ หญิงไม่ได้อยู่แต่ในวังเหมือนท่านแม่นะคะ”
ว่าพลางคุณหญิงทอแสงหลีกแม่ลงบันได ท่านหญิงเล็กจับแขนไม่ให้ไป ทอแสงรัศมีบิดแขน ดึงตัวเองลงไป ท่านหญิงเล็กไม่ยอมยื้อยุดกันไว้
ท่านหญิงปั้นเดินเข้ามา “นั่นอะไรกัน”
สองคนหันไปมอง
“หญิงทอแสง ทำไมทำกิริยากับแม่อย่างนั้นน่าเกลียดเหลือทน ปล่อย แล้วลงมานี่”
ทอแสงรัศมีลงมาเร็วรี่ มือถือกระเป๋า แล้วเดินจะผ่านท่านหญิงปั้นเรียกไว้
“ยังไม่ให้ไปไหน เธอต้องฟังฉันพูดก่อน”
ทอแสงรัศมีหันมาสบตาท่านป้าเต็มแรง นิ่งเหมือนจะเชื่อฟัง
“หญิงเล็กลงมา” ท่านหญิงปั้นเดินนำไป “พูดกันให้รู้เรื่อง”
ท่านหญิงเล็กลงมา มองลูกสาว ทอแสงรัศมีมองตาม ท่านหญิงเล็กเดินตาม ท่านหญิงปั้นไปที่นั่ง นั่งกันเรียบร้อย
“วันนี้เอาเช็คเงินสามแสนที่ชายวรจักรขอยืมไว้...เอามาให้” ท่านป้าพูดเบาๆ “เอ้า..เก็บซะไม่ต้องบอกทอแสง” พลางส่งเช็คให้
สองคนหันมา ปรากฏว่าทอแสงรัศมีไปแล้ว ท่านหญิงหญิงเล็กถอนใจยาว
“ปัญหาไม่ได้มีแต่ชาวบ้านร้านตลาด ดูซิวังใหญ่โตก็มีปัญหา อาจจะยิ่งกว่าเสียอีก” ท่านหญิงปั้นปรารภ
ท่านหญิงเล็กไหว้ “หญิงขอประทานอภัย หญิงหมดปัญญาจริงๆคะ”
“เธอต้องออกโรงมั่งนะหญิงเล็ก ดีแต่เก่งกับคนอื่น กับลูกสาวกลัวจนหงอ เธอก็เป็นแม่ที่ใช้ไม่ได้เหมือนกัน” ท่านหญิงปั้นบอก
“น้องชายพี่หญิง...บอกเค้าสิคะ” ท่านหญิงเล็กเสียงห้วน “เขาฟังพี่หญิงคนเดียวเพราะขอเช็คพี่หญิงทุกเดือน”
“เอาเถอะ...นี่หญิงทอแสงจะไปอาละวาดอะไรกับหญิงแขไขอีกละเนี่ย” ท่านหญิงปั้นมองหน้า ท่านหญิงเล็ก “ไม่รู้เรื่องตามเคย”
ฟากสองสาวเดินลงบันไดหอพักมา พิสินีจะกลับ
“เรื่องร้านอาหาร คุณฉัตต์โกรธเรื่องนี้ที่สุด”
“เรามีเหตุผล...รุ้งมีเหตุผล” จริมาบอก
“ไม่เคยเห็นฉัตต์โกรธขนาดนี้ บัวเห็นกลัวเลยค่ะ”
“ก็เพราะอย่างนี้ โกรธแล้วทำอะไรๆ ก็ได้ แม้แต่สิ่งที่ไม่น่าทำ” จริมายักไหล่ “แล้วแต่...จะโกรธขนาดไหนริมาไม่แคร์แล้ว”
“เขาว่าเหมือนมีคนเสี้ยมสอนคุณพ่อ” พิสินีว่าต่อ
“จะบ้าเหรอ...” จริมามองหน้าพิสินี “ขอโทษ คุณพ่อเป็นผู้พิพากษานะ มีใครเสี้ยมสอนท่านได้ ดูถูกแม้กระทั่งพ่อตัวเอง”
จริมาพูดแล้วต้องนิ่งไป เหมือนพยายามสะกดอารมณ์ พิสินีก็นิ่งไปด้วย ในที่สุดจริมาเปลี่ยนเสียง“ฝากคุณบัวไปบอกพี่ชายริมาว่า เขาคิดผิดมาก คนๆนั้นช่วยครอบครัวเรามาตลอด เขาเหมือน “แม่” ที่ริมาไม่เคยมี ถ้าให้เลือกพี่ชายคนเดียว ริมาไม่แคร์แล้ว เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าจากเด็กๆ มาจนโตขนาดนี้ ใครเป็นคนทำให้ทุกอย่าง เขาสบาย เขาเป็นใหญ่เขาเป็นคุณชาย ใครลำบากมั้งเขาไม่เคยรู้...สุดท้ายเรื่องแค่นี้ก็ไปโทษเขา”
จริมานิ่งไปอย่างสะเทือนใจ บอกย้ำ
“ฝากไปบอกเขาว่าอยากทำอะไร เชิญตามสบาย”
“คุณฉัตต์กลับเมืองไทยไปแล้วเมื่อเช้านี้” พิสินีบอกนิ่งๆ
จริมาชะงักกึก หวั่นใจว่าเรื่องร้ายๆ กำลังจะเกิดกับสองแม่ลูก แน่ๆ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่แล้ว
อ่านต่อหน้า 3
แค้นเสน่หา ตอนที่ 10 (ต่อ)
อยู่มาวันหนึ่ง ฉัตต์พาตัวเองมาอยู่ที่ร้านอาหารสวนราตรี แต่ไม่มีใครจำได้ เพราะฉัตต์ปลอมตัวมาในสภาพหนุ่มผมยาว เคราเต็มสองข้างแก้ม และใส่แว่นดำอันใหญ่ปิดครึ่งหน้า และแต่งชุดสีดำทั้งตัว
ฉัตต์นั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งในร้าน จานยำใหญ่ ถูกผลักลงไปอย่างแรง สารภียืนหน้าเหวออยู่
“ไม่เปรี้ยว...เอาไปแก้ใหม่”
“แก...แก้ หรือคะ”
“พูดภาษาไทยนะ”
สารภียกจานยำไปทันที ฉัตต์ตักต้มยำทาน แล้ววางช้อนแรงๆ
“เธอ...” เรียกอีก
อ่อนเดินหลีกโต๊ะอื่นมา “คะ ต้องการอะไรคะ”
“ไม่ต้องการอะไร”
“ค่ะ"
“ต้มยำนี้กินไม่ลง เอาไปแก้ใหม่”
“แก้ให้เป็นยังไงคะ”
“ให้กินลง” ฉัตต์บอกเสียงขุ่น
สำเนียงอยู่ในครัว พูดกับสารภี “อะไรนะ...ไม่เปรี้ยว ได้ไง ทำมาเป็นร้อยจานไม่มีใครบ่น”
“มี” สารภีบอก
“ใคร” สำเนียงถาม
สารภีชี้ไป “คนนี้ไง”
สำเนียงโมโห “ชะ”
อ่อนถือชามต้มยำมาวาง ถอนใจเฮือก
“อะไรอีกล่ะ” สำเนียงถาม
“ไม่ร้อนค่ะ” อ่อนว่า
“นี่...นี่อะไร..ฟัน” สำเนียงหมายถึงควัน “ใช่มั้ย”
อ่อนหน้าเหวอ
“เนี้ย...ฟัน...ฟันฉุยหยั่งเงียะ ไม่ร้อนเหรอ” สำเนียงเสียงดัง
สำลีเดินมาเร็วรี่ “ควันแม่ไม่ใช่ฟัน”
สำเนียงโวยอยู่นั่น “เออนั่นแหละ...ฉุย บอกไม่ร้อน เอาถ่านไปกินมั้ย”
“ก่อนอื่นเขาอยากพบแม่ครัว” สำลีว่า
สำเนียงอ้าปากค้าง “อะไรนะ”
สำลีย้ำ “แขกคนเดียวกันนี่แหละ คนผมยาวมีเคราใช่มั้ยพี่สารภี พี่อ่อน ที่สั่งอาหารเต็มเป็นสิบอย่างแล้วมั้ง”
สารภีกะอ่อน ว่า “ใช่” พร้อมกัน
“คนเดียวกันเขาอยากพบแม่ครัว...เร็วเลยแม่ไปพบเค้าหน่อย”
สำเนียง ปฏิเสธ “ไม่...ข้าไม่ไป ให้เขารอคุณรุ้ง”
เสียงรุ้งดังขึ้น “รอรุ้งทำไมเหรอคะป้าเนียง”
3 ปี แล้วที่ไม่ได้พบเห็น ฉัตต์มองรุ้งที่กำลังเดินมา สวยเหมือนภาพวาดที่เคลื่อนไหวได้ สีหน้าละมุนละไม กิริยาท่าทีไม่ใช่เด็กหญิงขี้อายคนเก่า ดูมั่นใจ ดูมีสง่าแต่ก็นุ่มนวล ฉัตต์เพ่งมอง ด้วยสายตาทึ่งๆ
รุ้งหยิบจานยำใหญ่ และชามต้มยำวางให้อย่างนุ่มนวล สารภีถือถาดมา
สายตาฉัตต์มองสำรวจเรือนร่างที่เต็มตึงของวัยสาว ทุกกิริยาอาการ มือรุ้งที่วางจานอาหารลง เสี้ยวหน้าที่ยิ้มน้อยๆ ก่อนที่รุ้งจะเอ่ยขึ้น
“ขอโทษค่ะ”
ฉัตต์ละสายตาทันที ด้วยการเหลียวไปทางอื่น
“เราปรุงให้ใหม่ทั้งสองอย่าง แต่ถ้ายังไม่ถูกใจเราก็พร้อมจะทำใหม่จนกว่าคุณจะพอใจ”
“ผมหมดอร่อยไปแล้ว” ฉัตต์พูดเสียงขุ่นตามเคย
รุ้งชะงักทันที คุ้นเสียงนัก “เอ๊ะ”
ฉัตต์เงยหน้ามอง “อะไร”
“ไม่...ไม่มีค่ะ เพียงแต่เสียงคุณ…”
ฉัตต์สวนออกมา “อย่าเปลี่ยนเรื่อง ผมหมดอร่อย..ไม่ถูกปากทั้งสองอย่าง”
รุ้งแตะชามใหญ่ “เชิญทานของใหม่...”
“ไม่...ไม่รู้สึกอยากทานอะไรอีก”
“แต่ว่า...”
“ขอพบเจ้าของร้าน...” เสียงที่เปล่งออกมาเจือเยาะหยัน “คุณใช่มั้ยเป็นเจ้าของ” ฉัตต์จงใจเน้นคำ
“มิได้ค่ะ เจ้าของร้านนี้ท่านไม่อยู่ค่ะ ดิฉันเป็นผู้จัดการ ขออนุญาตรับฟังคุณค่ะ”
“แค่ผู้จัดการคงทำอะไรไม่ได้หรอก” ฉัตต์บอก
“งั้น อะไรคะที่คุณอยากให้ทำ”
“แม่ครัว ทำอาหารไม่อร่อยจะจ้างทำไม”
รุ้งตกใจ
ฉัตต์เสียงดังมาก จนโต๊ะอื่นๆ หันมามอง ปยุตที่นั่งทานอีกโต๊ะกับเพื่อนผู้ชาย หันมาดู
“ดิฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด”
“ไล่แม่ครัวออกแค่นี้ไม่เข้าใจ...ง่ายๆ” ฉัตต์ย้ำ
“ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีค่ะ”
“พูดง่ายที่สุด ทำไมจะไม่เข้าใจ ร้านก็สวย สถานที่ก็ดี แม่ครัวไร้ฝีมืออย่างนี้เธอจะให้ลูกค้ากินแต่บรรยากาศเท่านั้นเหรอ อยากรู้มั้ยว่า แต่ละอย่างมันกินไม่ลงยังไง” เสียงต่อมาดังขึ้น “จะบอกให้”
อาหารถูกวางจนเต็มโต๊ะไปหมด
รุ้งรู้สึกหน้าชา “สารภี อ่อน ไปดูแขกโต๊ะอื่น” แล้วหันมาพูดกับฉัตต์ “ขอประทานโทษที่อาหารไม่ถูกปากคุณ ดิฉันจะไม่คิดเงินค่าอาหารทั้งหมดนี่ค่ะ”
ฉัตต์หัวเราะเสียงเย้ยหยัน “แล้วเวลาที่เสียไปล่ะ เอาอะไรมาชดเชย”
“เวลาที่เสีย” รุ้งคิด ตอบไปอย่างรวดเร็ว “ดิฉันจะออกค่าน้ำมันรถให้คุณ”
ฉัตต์ตบโต๊ะดังปัง!
“พูดอย่างนี้ดูถูกกันนี่”
รุ้งตกใจจนหน้าเสีย ในใจหวั่นกลัว ด้านยอดที่ดูอยู่ หันหลังกลับไปอย่างเร็ว ไปตามจันทร์
“ไปเรียกเจ้าของร้านออกมาเดี๋ยวนี้” ฉัตต์เสียงดังใส่
“ท่านอยู่ต่างประเทศค่ะ” รุ้งบอก
“เจ้าของบ้าน” ฉัตต์เสียงดัง
“เสียใจค่ะ คนที่คุณต้องการพบคือบุคคลเดียวกัน แต่ท่านอยู่ต่างประเทศ ดิฉันตกลงแทนท่านได้ค่ะ”
“แน่ใจ”
“ค่ะ”
“งั้นก็ดี” ฉัตต์ดันเก้าอี้ไปด้านหลังจนล้ม คว้าแขนรุ้ง “ไป..เราไปตกลงกัน”
รุ้งถอยหลังอย่างแรง สะบัดแขนเต็มแรง แต่ฉัตต์จับแน่น ดึงรุ้งมาใกล้จ้องเขม็ง
จังหวะนี้มือปยุตเอื้อมมาจับข้อมือฉัตต์ บิดอย่างแรงจนฉัตต์ต้องปล่อย
ฉัตต์ปล่อยเพราะไม่ทันรู้ตัว ปยุตเข้ามาอย่างเร็ว
“ถ้าคุณทำอะไรเธอเป็นเรื่องแน่”
“กงการอะไรของคุณ” ฉัตต์จ้องหน้าเขม็ง
“ไม่ใช่กงการของผม แต่คุณกำลังทำร้ายสุภาพสตรีคนนี้ในที่สาธารณะ คุณทำไม่ได้ เธอก็บอกแล้วว่า เธอเป็นแค่ผู้จัดการร้านอาหาร คุณจะเอาอะไรนักหนา” ปยุตมองตอบ
“ไม่เอาอะไร แค่จะพบเจ้าของเท่านั้นทำไมเรียกให้ไม่ได้ ผมมีสิทธิ์”
“ผมนั่งโต๊ะนั่นได้ยินชัดเจนว่า เธอบอกเจ้าของบ้านอยู่ต่างประเทศ ทำไมคุณไม่ฟัง เธอจะไม่คิดค่าอาหารซักบาท จะแถมค่าน้ำมันเป็นค่าเสียเวลาของคุณ เป็นผมผมเอาเงินแล้วรีบไปหาร้านอื่นกินดีกว่า”
“นี่คุณยุ่งอะไร ไม่ใช่เรื่องของคุณ จะเรียกว่าเสือกได้มั้ย”
“ใช่ หน้าที่ผมก็ต้องเสือกเรื่องประชาชนอยู่แล้ว ถ้าไม่อยากให้ผมจับฐานก่อวิวาท ก็ขอโทษสุภาพสตรีนี้ซะ แล้วรีบไปให้พ้น”
“คุณเป็นใครมาสั่งผม” ฉัตต์หัวเราะเยาะหยัน “ผมไม่ได้มาชวนทะเลาะ มากินอาหารไม่อร่อยก็ต้องเรียกร้องให้ปรับปรุง และผมก็แค่ถามหาเจ้าของร้าน” ฉัตต์หันมาทางรุ้ง “เฉไฉ ทำไมล่ะอ้างโน่นอ้างนี่ ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ..กลัวอะไร”
รุ้งก้าวเข้ามา “ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ใช่เจ้าของ เจ้าของบ้านเจ้าของร้านเป็นคนเดียวกันเขาเรียนอยู่ต่างประเทศ เขาชื่อคุณฉัตต์ ปัณณธร”
ฉัตต์ชะงัก แต่ยังคงจ้องมองรุ้ง หน้านิ่วคิ้วขมวด
รุ้งจงใจบอก “คุณรู้จักมั้ยคะ...คุณฉัตต์ ปัณณธร”
“คุณไม่ใช่เจ้าของ ทำไมทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของ”
รุ้งเถียง “ดิฉันทำหน้าที่ของดิฉันไม่ทราบว่าเหมือนเป็นเจ้าของตรงไหน”
ฉัตต์กัดกรามแน่น พยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด “ฉัตต์ ปัณณธร ไม่ทราบเป็นอะไรกับคุณพจน์ ปัณณธร ผมขอเข้าพบคุณพจน์”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้ารุ้ง ซึ่งหันมาอย่างช้าๆ ขมวดคิ้วนิ่ง มองฉัตต์ สายตาสงสัย ตรึกตรอง
“ว่าไงคุณ ผมรู้ว่าคุณพจน์ ปัณณธรเป็นผู้พิพากษา ท่านต้องยุติธรรมว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนผิดกันแน่”
“ไม่ต้องให้ท่านมาหาตัวคนผิดหรอกค่ะ” รุ้งบอก
“ทำไม ท่านอยู่ไหนล่ะ”
“เพราะดิฉันรับว่าดิฉันเป็นคนผิด เราผิดค่ะที่ไม่สามารถทำให้ลูกค้าผู้มีเกียรติอย่างคุณพอใจทั้งอาหารทั้งบริการ เราจะรับผิดทุกอย่าง คุณจะให้เราทำอะไรถึงจะลบล้างความผิดของเรา คุณกรุณาบอกเถอะค่ะ ดิฉันยินดีทำทุกอย่าง” รุ้งพูดเร็ว แรง แต่เสียงเป็นปกติ “ถึงท่านจะอยู่ คุณก็พบไม่ได้”
“ทำไมผมถึงจะพบไม่ได้” ฉัตต์พูดเสียงต่ำเบาๆ เหมือนเค้นคำออกมาจากอก
“เพราะท่านไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบกับเรื่องนี้”
“แปลว่า เธอคิดว่าเป็นเจ้าของที่นี่แทน..แทนคนที่เขามีสิทธิ์งั้นรึ”
“คุณคะ ขอโทษค่ะ ดิฉันคิดว่าคุณพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”
ฉัตต์จับแขนรุ้งดึงเข้ามาใกล้ทันที
“บังอาจว่าฉันรึ”
ปยุตจับแขนฉัตต์ดึงออกทันที ฉัตต์สะบัดแรงจนปยุตเซไป ฉัตต์ถอยออกมา พูดเสียงเข้ม
“ผมขอพบคุณพจน์ ปัณณธร ผมต้องการความยุติธรรม”
ปยุตตั้งตัวได้พุ่งตัวเข้ามาจะถึงตัวฉัตต์
รุ้งเข้าขวาง “คุณพบไม่ได้ เพราะท่านเสียชีวิตไปแล้ว”
ทุกอย่างเงียบกริบ ทุกคนอึ้ง ฉัตต์นิ่ง กัดกรามแน่น
สีหน้าทุกคนในครัวแอบมอง ลูกค้าที่จ้องมา ตามอารมณ์แต่ละคน
ในที่สุด ฉัตต์ผู้ที่ความอัดอั้นตันใจขึ้นมาเป็นริ้วๆ จนแน่นอกไปหมด ปัดแก้วน้ำอย่างแรง ตกแตกดังเปรี้ยงแล้วหันหลังกลับเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
รุ้งเห็นมือฉัตต์ที่ปัดแก้วน้ำ ถึงกับทรุดตัวนั่งอย่างหมดแรงหน้าตาตกตะลึงเล็กๆ
จันทร์มาอย่างเร็วรี่ ยอดตามมาอยู่ด้านหลัง
“รุ้ง...เกิดอะไรขึ้น” จันทร์เข้ามากอดลูกแน่น
รุ้งเงยหน้ามองแม่ สายตาสงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลมาก “แม่จันทร์”
“ใครลูก...ใครที่มาหาเรื่อง”
“แม่จันทร์” รุ้งกระซิบเบามาก กับแม่เท่านั้น “ลูกคิดว่า...เขาคือคุณฉัตต์”
จันทร์ตกใจ แต่รีบระงับอารมณ์อย่างรวดเร็ว กระซิบถาม
“อะไรนะลูก”
“คุณฉัตต์ เธอมาจ๊ะแม่จันทร์ ลูกคิดว่าเป็นเธอแน่ๆ”
สองแม่ลูกอยู่ในห้องนอนรุ้ง จันทร์กระซิบถาม
“รุ้ง แน่ใจหรือลูก”
“แน่ใจ..ลูกคิดว่าใช่”
“คิดไม่ได้นะลูก แน่ใจหรือเปล่า”
“เสียงเขาเหมือนมากแต่หน้าตาเขาดูไม่ออก...ลูกก็แค่สงสัยมาแน่ใจตอนที่เห็น...”
“เห็นอะไรหรือลูก”
“มือค่ะ...มือเค้าคือคุณฉัตต์แน่นอน ลูกจำได้ค่ะแม่”
“รุ้งจำมือคุณฉัตต์ได้...จำได้จริงๆหรือลูก”
“จำได้ คุณฉัตต์แน่ๆ จ้ะ แม่จันทร์จ๋า เขาโกรธเรามาก เขาพูดกระทบตลอดเวลาเรื่องเจ้าของบ้าน เขาโกรธเรื่องเอาบ้านเขามาทำเป็นร้านอาหาร”
“เขาพูดเรื่องคุณลุงพจน์หรือเปล่า”
“เปล่าจ้ะแม่ แต่เขาจะขอพบคุณลุงตลอดเวลา ลูกคิดว่าเขารู้แล้วว่าคุณลุงเสีย แม่จันทร์จ๋า เขาโกรธหลายอย่าง”
“ก็สมควรที่จะโกรธ”
“ลูกก็คิดอย่างนั้น เขาสมควรโกรธแต่เขาควรจะโกรธใครล่ะจ๊ะ...”
จันทร์นิ่ง ด้วยรู้คำตอบ สีหน้าไม่สบายใจเลย
“เราเหรอจ๊ะ...โกรธรุ้งเหรอ โกรธแม่เหรอ...”
รุ้งก้มหน้า ทอดถอนใจ น้ำตาเม็ดโตๆ หยดใส่ผ้านุ่ง
“รุ้ง” จันทร์โอบลูกไว้ในอก “ไม่ต้องกลัว..เรามีเหตุผลทุกอย่าง”
รุ้งสะอื้น “เขาเกลียดลูก เขาเกลียดลูกมากนะแม่ เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ยังไง ลูกว่าเราต้องคิดเรื่องไปอยู่ที่อื่นแล้วนะจ๊ะแม่”
จันทร์ตกใจ “ไปอยู่ที่อื่น...พูดอะไรอย่างนั้นนะรุ้ง”
“ลูกคิดตลอดเวลา” รุ้งบอก
“ไม่ได้นะลูก เราจะทิ้งคุณย่าไม่ได้”
“อีกหน่อยคุณฉัตต์แต่งงาน ภรรยาเขาก็จะดูแลเอง”
“รุ้งคิดว่าจะไปอยู่ที่ไหน...” รุ้งไม่ตอบ “รุ้งไปแต่แม่ต้องอยู่”
จันทร์ลุกออกจากห้องไปหลังสิ้นคำ หน้าตาไม่สบายใจอย่างยิ่ง รุ้งก้มหน้าอาดูรกับตัวเอง
คืนนั้นฉัตต์นั่งหมดอาลัยตายอยาก อยู่ในห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ก้มหน้าต่ำ สักครู่จึงถอดแว่นดำโยนไป ถอดวิกผม ปาไปสุดแรง เหลือแต่หนวดเครา แล้วกราดไปชกฝาอย่างแรง ชก ชก...ชก สุดท้าย นั่งลง ระเบิดเสียงร้องไห้ดังกังวานทั่วห้อง
“คุณพ่อ...คุณพ่อครับ..อยู่ที่ไหน”
“สายน้ำเหมือนชีวิต จะทำอะไรต้องระวังเพราะทำไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ” เสียงพจน์ดังก้องขึ้นมา
“คุณพ่อ” ฉัตต์สะอื้นอย่างรุนแรงๆ
อีกวันหนึ่งที่ครัววังรังสิยา พิกุล กะละมัย ช่วยกันเด็ดใบกะเพรา โหระพา ปอกกระเทียม หอม กันอยู่ ส่วนสนผ่าฟืน ขณะที่สาลี่กินหมากอยู่เคี้ยวหยับๆ
“ป้าเฟืองแกไปเกิดแล้วมั้งป้าลี่” ละมัยเปิดประเด็น
สาลี่เคี้ยวหมากหยับๆ “ไปผุดไปเกิดอะไร้ วันก่อนมันยังมารังควานข้ากับนังพิกุลเฮ้ย..พิกุลเอ็งเล่าซิวันนั้นจำได้ใช่มั้ย”
“วันไหนป้า” พิกุลงง
“วันที่เรากลับจากตลาด”
“วันที่กลับจากตลาด...กลับทุกวันป้าจะเอาวันไหนล่ะ” พิกุลปากดีใส่
สาลี่ฉุน “ล้อเล่นกะข้าเรอะนังพิกุล”
“เปล่า ฉันพูดจริง ป้าเอาวันไหนบอกมา”
“วันที่ท่านหญิงปั้นเด็จมาไง ท่านรับสั่งพาดพิงถึงเขา เขาคงเกรี้ยวเอาน่ะสิ” สนว่า
“เอ๊า..โกรธท่านหญิงปั้นแล้วทำไมมาหลอกข้าล่ะวะ” สาลี่งง
“อ๋อ ที่เขาแล่นผ่ากลางไปเลยใช่มั้ยป้าลี่” พิกุลว่า
“นั่นแหละ แปลว่ามันยังไม่ไปผุดไปเกิด คิดๆไปก็สงสารเหมือนกัน อยู่เป็นสัมภเวสีร่อนเร่ไปมา”
“อยู่กะท่านหญิงไง ท่านหญิงเลยต้องเลี้ยงผี”
ทุกสายตาหันมาดูพิกุลเป็นตาเดียว
“พิกุล จะพูดจะจาอะไรระวังหน่อยนะเอ็ง มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” สนติง
สาลี่เห็นด้วย “ปากเนี่ยนะ” ตบปากพิกุลเบาๆ เล่นๆ “เดี๋ยวข้าเอามะพร้าวยัดซะเลยรู้แล้วรู้รอด”
พิกุลหลบวูบ ยังปากดีอยู่ “หนูพูดจริง รู้แล้วกันน่า ไม่รู้ไม่พูดหรอก”
ตรงทางเดินกลับเรือนคนใช้ พิกุลเดินพลางบ่นพลาง
“ไม่ใช่คนปั้นน้ำเป็นตัวนะเว้ย”
นางเฟืองเดินตามมา มีลมเบาๆ พัดผ่านพิกุล
“เฮ้ย...” พิกุลกลัวขึ้นมาทันที หันขวับไป ไม่มีอะไร “ใคร...มาเดินตามข้า”
พิกุลคอยสักครู่ เดินต่อ พื้นดินที่ใบไม้ทับถมกัน เห็นเป็นรอยเท้าเดินตาม เห็นถนัดว่า มีคนเหยียบและตามพิกุลมา
พิกุลหยุดแล้วหันไปดูแบบฉับพลัน ระดับสายตา ทุกอย่างว่างเปล่า พิกุลเหลือบดูที่พื้น แล้วตาค้างเห็นแล้วรอยใบไม้ถูกเท้าเหยียบให้ตามรอยตัวเอง
พิกุลโกยแน่บ ร้องโวยออกมาว่า “ผีหลอก...ผีหลอก” ตลอดทาง
พิกุลกระโจนขึ้นเรือนคนใช้ หน้าต่างหรือประตูเปิดผางออกมาทันที พิกุลร้องวี๊ด แล้วตะกายหนี ลมกระโชกวูบใหญ่ผ่านพิกุลพร้อมเสียงขู่ของนางเฟือง พิกุลยิ่งอยากตาย
“กูยังไม่ตายมึงนับถือกู กูตายแล้วมึงจองหองกะกูเรอะนังพิกุล”
พิกุลใส่สี่ตีนหมาโกยอ้าว แต่ไปได้สองสามก้าวก็หมดแรง ตัวอ่อน ลมลง ปีศาจเฟืองรับร่างพิกุลไว้ในมือ พิกุลสลบไปแล้ว
สาลี่โผล่พรวดมา ผงะตกใจจะหันหนี
“หยุด! นังสาลี่”
สาลี่หันกลับมา ผีนางเฟืองค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น จากจางๆ จนปรากฏเต็มตัว คนกับผียืนเผชิญหน้ากันจ้องหน้ากัน
“ไปเกิดซะทีเถิดแม่เอ๊ย ผู้คนขี้ขึ้นไปอยู่บนหัวขะหมองหมดแล้ว”
“ฮ่ะ...ฮ่ะ กราบกู”
“อะไรนะ”
“กราบกู กราบที่ตีนกู แล้วกูจะไม่มาหลอกมาหลอนพวกมึงอีก”
“ไปเองมาเองสิ ไม่ต้องให้ใครกราบ กุศลเกิดแล้วจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที”
“มึงจะกราบหรือไม่กราบ”
สาลี่ฮึดขึ้นมามั่ง ด่ากลับ “ไม่กราบเว้ย กูไม่มีวันกราบคนอย่างมึง อีผีบาปผีกรรม ใครๆ เค้าตายแล้ว เขาก็ไปเกิดทั้งนั้น มีแต่มึงนี่แหละ มันคนบาปถึงไปไหนไม่รอด”
ร่างนางเฟืองเหมือนจะปริไปทั้งตัวด้วยความโกรธ สั่นสะท้าน เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาก
สาลี่มองนางเฟือง ทั้งกลัวทั้งกล้า ต่อสู้กันในใจ หายใจหอบแรง
“นังสาลี่ กล้าดีสู้กะกูรึ”
“มึงทำอะไรกูไม่ได้ ผีกับคนอยู่คนละโลกกัน” สาลี่บอก
นางเฟืองหัวเราะเย้ยหยันเต็มเสียง “กูทำไม่ได้งั้นรึ...อีสาลี่”
เสียงนางเฟืองเรียก “สาลี่” เสียงกลับกลายเป็นแหบสั่นพร่า น่าสยดสยองยิ่ง
สาลี่พนมมือทันที สวดมนต์เสียงดัง “นะโมตัสสะ...” แต่ยังไม่ทันขาดคำ ปีศาจนางเฟือง พุ่งตรงมาสุดแรงเกิดเข้าไปในร่างของสาลี่เต็มแรง จนสาลี่กระเด้งขึ้นทันที สาลี่ชะงัก แล้วกลายเป็นนางเฟืองทันที
“โน่น นังพิกุล”
พิกุลฟุบอยู่ มือสาลี่ประคองปลุก
“ป้าลี่..ป้าลี่ช่วยฉันด้วย” สาลี่ผวาเข้ากอดเต็มแรง “ผีป้าเฟือง ผีป้าเฟืองมาหลอกฉันฉันอยู่ไม่ได้แล้วป้าลี่”
“อยู่ไม่ได้ก็ไป” สาลี่เสียงแหบพร่า
พิกุลเงยหน้ามองสาลี่เต็มๆ อยู่ตรงหน้า แต่ไม่รู้ว่าสาลี่ถูกปีศาจร้ายสิงแล้ว
“ป้าลี่”
“เออ..กูเอง” สาลี่อ้าปากแสยะ ปากแดงจ้า นัยน์ตาลุกวาว
พิกุลร้องกรี๊ดเหมือนคนเสียสติ อ้าปากค้าง นัยน์ตาก็ค้าง
“นังพิกุล...แค่นี้ยังไม่พอกับความผิดมึง ..มึงต้องมากกว่านี้”
สาลี่เงื้อมือ เหมือนถูกบังคับให้เงื้อ แล้วตบเปรี้ยง
ด้วยแรงของปีศาจ พิกุลตัวลอยเหมือนถูกหมัดของนักมวย หล่นลงโครมคราม พิกุลกระเด็นกระดอน ร่างฟุบลง
สาลี่ยืนขึ้นเต็มแรง หัวเราะเสียงแหบพร่าอย่างสะใจ
ส่วนอีกทาง ผ่องเดินมาอย่างรีบเร่ง ด้วยท่านหญิงให้มาดูเหตุการณ์
“พิกุล..พี่ลี่ เป็นอะไรรึเปล่า” ผ่องเลี้ยวลับมุมต้นไม้ออกมา “พี่ลี่ ใครร้องเสียงดังท่านหญิงได้ยินทรงให้ฉันมาดู...อ้าว พิกุลเป็นอะไรนั่น”
“ถูกกูตบ” นางเฟืองในร่างสาลี่บอก
“ตบ..ตบมันทำไม”
“มันกำเริบกะกู”
ผ่องผิดสังเกตุที่เสียง เงยหน้ามอง สาลี่ยืนหน้านิ่ง แต่สายตากล้าแข็งมาก
“พี่เฟือง”
“เออ ข้าเองนังผ่อง”
“พี่ทำไมทำยังงี้ล่ะพี่เฟือง ทำมันทำไมนังพิกุล ดูสิหน้าเยินหมดแล้ว แล้วจะทำอะไรพี่ลี่เขา...อย่าทำเลยนะพี่เฟือง”
“มันสองคนบังอาจมาก นังพิกุลยิ่งหนักจ้วงจาบถึงท่านหญิง กูจะเอามันไว้ทำไมฮะ นังผ่อง ใครมาหยาบหยามท่านหญิงมึงยอมรึ ยอมมั้ย”
“ไม่ยอมฉันก็ไม่ยอม แต่พี่ให้พวกเราจัดการกันเองสิพี่ พี่ลงมือเองพี่ไม่พ้นบาปนะพี่จะไปเกิดตรงไหนล่ะ นะพี่ พี่ปล่อยพวกเขาเถอะ” ผ่องอัดอั้น น้ำตามาเป็นระลอก “ถ้าเขาไม่ดีกะท่านหญิง เดี๋ยวท่านก็ทรงรู้ เชื่อฉันนะพี่เฟือง”
นางเฟืองในร่างสาลี่ยืนนิ่ง
ผ่องร้องไห้ไปด้วยพูดไปด้วย “ท่านหญิงทรงห่วงพี่เฟืองนักหนา ทรงใส่บาตรให้พี่ทุกวัน สวดมนต์ให้พี่ทุกวัน พี่อย่าทำให้ท่านห่วงกว่านี้เลยนะพี่ สงสารท่าน ท่านไม่ทรงมีความสุขนักหรอก ท่านอยากให้พี่ไปเกิดที่สุด”
“ข้ารู้ผ่องเอ๊ย ข้ารู้น้ำพระทัยท่านทุกอย่างไม่มีใครแล้วที่จะรักเฟืองเหมือนท่านหญิง”
“พี่ออกมาเถอะนะ แต่ให้ฉันไปก่อนนะพี่เฟือง”
“ทำไม”
ผ่องไหว้ “ฉันกลัวพี่...พี่อย่าโกรธฉันเลย ฉันมันคนกลัวผี”
“ข้าไม่น่ากลัวหรอก ข้าก็เป็นข้าเหมือนตอนยังไม่ตาย”
“ฉันไหว้นะพี่...ให้ฉันไปก่อน” ผ่องรีบไปโดยไว
สาลี่ยืนนิ่งงัน แต่สีหน้ากลับกล้าแข็งขึ้นมาอีก
“มึงลอยนวลไม่ได้อีสาลี่ มึงต้องรับกรรมของมึงด้วย กูขอเบาะๆ เท่านั้น มึงตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้”
แล้วสาลี่ก็ตบไปด้วย พูดไปด้วยตลอดเวลา
“เพราะมึงมันปากไม่ดี” ตบเปรี้ยง “บังอาจลบหลู่ท่านหญิง” สาลี่ตบอีก “อยู่กะท่านแต่ไม่จงรักภักดี” ตบอีก “มึงจะจงรักแต่กับเจ้านายเก่าของมึงรึ” สาลี่ตบ ตบ แล้วตบ
และในที่สุดสาลี่ก็ตัวอ่อน ร่วงลงนอนกับพื้น ใบหน้าสาลี่ ช้ำไปทั้งหน้า ยิ้มส่งท้ายของเฟือง
“ถ้ายังไม่หลาบจำ จะโดนมากกว่านี้”
นางเฟืองออกจากร่างสาลี่ เยื้องย่างออกมา อย่างผู้ชนะ สีหน้ายิ้มแสยะ หันไปมองสาลี่ มองพิกุล ที่ฟุบหมอบอยู่
เสียงท่านหญิงแขไขดังขึ้น “เฟือง”
นางผีร้ายหันขวับไปดูทางตำหนัก
ท่านหญิงอยู่ในห้องโถงที่วังรังสิยา รู้เรื่องจากผ่องแล้ว
“เฟือง...มานี่เดี๋ยวนี้”
ลมเย็นวูบเข้ามา ผ่องหมอบกราบลา แล้วรีบไปทันทีอย่างรวดเร็ว
“ผ่องจะไปไหน”
ผ่องหันมาหมอบกราบ ชำเลืองไป ตรงมุมห้องมืดๆ มีแต่แสงรางๆ ส่องไป นางเฟืองนิ่งก้มหน้าอยู่
“หม่อมฉันขอประทานอภัยมังคะ...” ผ่องหันหลังไปอย่างรวดเร็ว ท่าทีน่าขำ
ท่านหญิงหันไปดูนางเฟือง “เฟือง”
นางเฟืองหมอบกราบลง ฟุบอยู่อย่างนั้น
“ต่อไปนี้ ถ้าแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีกไม่ต้องอยู่ที่นี่” ท่านหญิงโกรธนางเฟืองอย่างแรง
นางปีศาจร้าย หมอบฟุบนิ่ง น้ำตาค่อยๆ เอ่อ...จนล้นนัยน์ตาสีแดงก่ำแล้วหยดเผาะๆ ลงสู่พื้น
“คนทุกคนในวังนี้เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง ไม่ต้องสงสัยใครว่าจะคิดไม่ดีกับหญิง ถ้าต่อไปจะมีใครคิดก็มีแต่เฟืองเท่านั้น เพราะทำอะไรไม่คิด ไม่รู้หรือว่าทำอย่างนี้ใครจะทุกข์ที่สุด”
นางเฟืองเจ็บร้าวไปหมดทั้งกายทั้งใจ
“หญิงจะยอมให้เฟืองทำบาปมากไปกว่านี้...ไม่ได้” น้ำเสียงท่านหญิงเฉียบขาดนัก
ร่างนางเฟืองบิดเบี้ยวไปทั้งตัว กลายร่างเป็นควันดำๆ ที่บิดไปมาเจ็บปวดรวดร้าว แต่หน้ายังเป็นหน้าเดิม เงยหน้ามองท่านหญิงแบบโศกศัลย์ เสียใจเป็นที่สุด ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพรากๆ ก่อนที่จะสลายหายไป ท่านหญิงมองด้วยหัวใจที่เจ็บปวดพอกัน
ทอแสงรัศมีเข้ามา “ท่านป้า”
ท่านหญิงเซซวน...ล้มลง
“ผ่อง...ผ่อง ท่านป้าเป็นลม” หญิงทอแสงร้องเสียงดัง
ท่านหญิงหลับตา นอนนิ่งอยู่บนโซฟา ในห้องโถงนั้น ผ่องเอายาลมให้ดม
“ทำไมไม่เฝ้าท่านป้า ไปไหนผ่อง”
“อยู่ตรงนี้ค่ะ”
“ทำไมปล่อยท่านป้าอยู่องค์เดียว”
ผ่องนิ่งไม่ตอบ
“ฉันถามก็ตอบสิผ่อง”
ผ่องยังนิ่ง
“ฉันถาม...ตอบมาเดี๋ยวนี้”
“อิฉันตอบไม่ถูก เมื่อกี้อิฉันอยู่แต่ออกไปชั่วประเดี๋ยว”
“ก็ไม่ได้ เป็นข้าหลวงดูแลต้องอยู่ตลอดเวลา”
ผ่องไม่ตอบ ขี้คร้านต่อล้อต่อเถียง
“จำไว้” ทอแสงรัศมีเน้นเสียง
“คุณหญิงช่วยคิดดีกว่าทำยังไงดี ท่านหญิงประชวรวาโยแบบนี้” ผ่องหมายถึงเป็นลมนั่นเอง
“เพราะแกคนเดียวน่ะสิ”
ผ่องมองหน้าหญิงทอแสงนิ่งๆ
“มองอะไร”
ท่านหญิงเอ่ยขึ้น “ผ่อง”
“มังคะ”
“ฉันจะขึ้นข้างบน พาไปหน่อย”
“หญิงเองคะท่านป้า”
“ไม่ต้อง ทอแสงหลีกไป ผ่องเขาจะได้พยุงป้า”
ผ่องพาท่านหญิงไป ทอแสงรัศมีมองตามหน้านิ่ง มองตาม
หญิงทอแสงตัดสินใจโทรศัพท์บอกศักดินา
“พี่ชายเดียวคะ ท่านป้าประชวรค่ะ...ไม่ทราบค่ะว่าเป็นอะไรพี่ชายรีบกลับวังนะคะ”
อ่านต่อหน้า 4
แค้นเสน่หา ตอนที่ 10 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ศักดินาวัดความดันให้ท่านหญิงแขไขด้วยเครื่องมือวัดอันทันสมัย สีหน้าชายเดียวนิ่งในขณะที่จับชีพจรไปด้วย ทอแสงรัศมีและผ่องคอยมองอยู่ ท่านหญิงหลับตาบ่นเบาๆ
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก ใครตามชายเดียวมา”
ชายเดียวพึมพำเบาๆ “135-90 ความดันท่านแม่สูงนิดหน่อยนะคะ ท่านแม่บรรทมพักสักครู่เดี๋ยวชายมาวัดอีกที ทมให้หลับนะคะ”
ท่านหญิงพยักหน้า ชายเดียวไหว้และแตะหน้าผาก แตะซอกคอ
“ชายวัดไข้นะคะ” พลางหยิบปรอทออกจากซอง สะบัดๆ แล้วใส่ใต้ลิ้นท่านหญิง เป็นวิธีวัดปรอทใหม่ล่าสุด “เมื่อเช้าพระอาการเป็นไงผ่อง”
“เมื่อเช้าไม่เป็นอะไรเลยค่ะคุณชาย เด็จไปใส่บาตรก็ปกตินะคะ”
ชายเดียวดูปรอท “มีไข้ต่ำๆ เดี๋ยวชายถวายยานะคะ”
ท่านหญิงพยักหน้า “ชายรู้ได้ไง ใครบอก”
“หญิงทอแสงให้สนไปรับชายค่ะ”
ท่านหญิงเหลือบมาทางทอแสงรัศมี ซึ่งหลบตาตอบท่านหญิง
“หญิงเห็นท่านป้าประชวร”
“ทีหลังอย่าทำอะไรโดยไม่ถามป้า ชายเดียว” ท่านหญิงหลับตาท่าทางเหนื่อย
“คะ ท่านแม่”
“ท่านป้าคะ ท่านป้าประชวรหญิงต้องบอกพี่ชายคะ”
คราวนี้ท่านหญิงโบกมือห้ามอย่างอ่อนแรง หลับตานิ่งไป
“ผ่อง ตามไปห้องฉันเอายาแก้ไข้ ถวายให้เหวยด้วย เดี๋ยวนี้เลยนะท่านจะได้บรรทม” ชายเดียวเดินออกทันที ผ่องเดินตาม
“ค่ะ คุณชาย...พิกุลตั้งโต๊ะแล้วค่ะ” ผ่องบอกเสียงเบาๆ
ที่โต๊ะอาหารวังรังสิยา ค่ำนั้น คุณหญิงทอแสง กับคุณชายเดียว สองคนทานข้าวด้วยกัน
หญิงทอแสง ตักอาหารให้ชายเดียว หน้าตาทอแสงยังหมองๆ โดนดุ
ชายเดียวบอกด้วยสีหน้าอ่อนโยน “แต่ถึงยังไงพี่ชายก็ขอบใจหญิงที่โทร.บอก”
ทอแสงรัศมียิ้มออก
ไม่นาน หลังมื้อค่ำผ่านไป ชายเดียวอ่านหนังสือเรียนอยู่ในห้องโถง ส่วนหญิงทอแสงจับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ ขาวดำ ของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม
“พี่ชายรู้มั้ยคะ เขาจะทำโทรทัศน์สีแล้วค่ะ...ปีหน้า” หญิงทอแสงเอ่ยขึ้น
“ดีนะ...ดูทีวีขาวดำ ผู้หญิงไม่สวยเลย”
หญิงทอแสงหัวเราะชอบใจ “พี่ชายชอบดูผู้หญิงสวยด้วย”
“อ้าว...ดู๊” ชายเดียวทำเสียงสูงปน ๆ หัวเราะ
“พี่ชายอ่านอะไรคะ”
ชายเดียวยกหนังสือเรียนให้ดู เป็นหนังสือเกี่ยวกับ Anatomy
“อุ๊ย น่ากลัว...โครงกระดูกทั้งนั้น”
“เมื่อไหร่หญิงจะเรียนต่อ”
“ปีหน้าค่ะ” ทอแสงรัศมีตอบส่งๆ
ชายเดียวมองดูก็รู้ว่าหญิงทอแสงไม่สนเรื่องเรียน
“หญิงก็อยากเรียนนะคะ” หญิงทอแสงเห็นสายตาชายเดียว
“รู้ไว้นะว่า พี่อยากให้หญิงเรียนต่อมากๆ หญิงเรียนแค่เตรียมอุดมไม่ได้ มันน้อยไปต่อไปหญิงต้องทำงานจะได้งานที่ดี”
“เผื่อหญิงแต่งงานล่ะคะ”
“แต่งงานก็ต้องทำงาน แต่งงานอยู่บ้านเฉยๆ จะเป็นคนไร้ค่ามาก”
หญิงทอแสงหน้านิ่งลง คิดตาม
“เชื่อพี่นะหญิง”
หญิงทอแสงพยักหน้าน้อย ๆ ซาบซึ้งมาก “พี่ชาย...เรียนจบแล้วพี่ชายจะแต่งงานเลยมั้ยคะ”
“หญิง” ชายเดียวขำนิดๆ “พูดอะไร เรายังเด็กนะ”
“ผู้หญิงเขาก็แต่งงานอายุ 18...19 เท่าหญิง เพื่อนหญิงที่เรียนจบด้วยกัน แต่งแล้วตั้งหลายคน”
“ความคิดโบราณ สมัยใหม่ผู้หญิงต้อง 20 ไปถึง 30 เค้าถึงแต่ง”
“ต๊าย...แก่ตาย”
ชายเดียวไม่ตอบอ่านหนังสือต่อ
“พี่ชายรักใครหรือยังคะ”
คำถามนั้นกระแทกเข้าหน้าชายเดียวเต็มแรง
ด้านจริมาไขกุญแจเปิดประตูเข้าห้องพักมา ในมือหอบหนังสือเรียนเยอะแยะ สักครู่เพื่อนนักศึกษาชาวเกาหลีโผล่หน้าเข้ามาบอก
“Many calls..all the whole afternoon - โทรศัพท์ดังตลอดบ่าย”
“Sorry they disturbed you - ขอโทษที่ดังรบกวนเธอ” จริมาว่า
“Not al all..l think a long distance call from Thailand Anything wrong? - เปล่าเลย..สงสัยโทรศัพท์จากเมืองไทย มีอะไรรึเปล่า”
“Don’t know Thanks - ไม่รู้ ขอบใจ”
จริมามีสีหน้าไม่ตรงกับคำพูด
เพื่อนไปแล้ว จริมาเขียนจดหมายอย่างรวดเร็ว
“ตัวเล็ก ริมาเขียนจดหมายบอกตัวเล็กมาครั้งหนึ่งว่าพี่ฉัตต์กลับเมืองไทยไปแล้ว ได้จดหมายริมารึเปล่า แล้วเจอเขารึยัง เขาอาละวาดยังไงมั่ง”
วันต่อมา รุ้งอ่านจดหมายฉบับก่อนหน้านี้ของจริมายู่ในมุมหนึ่งของโรงพยาบาล
“ตัวเล็ก ริมามีเรื่องสำคัญมากจะบอกตัวเล็กสำคัญที่สุดในชีวิต วันนี้คุณบัวเพื่อนพี่ฉัตต์มาหาริมาถึงนี่...มาบอกว่าพี่ฉัตต์กลับเมืองไทยแล้ว ริมาตกใจมากแสดงว่าพี่ฉัตต์ต้องรู้เรื่องคุณพ่อแล้ว คงมีใครบอก พี่ฉัตต์กลับไม่บอกริมาซักคำ รุ้งเตรียมตัวให้ดีเค้าต้องโกรธมากที่สุด...พูดกับเค้าดี ๆ อย่าเถียงเค้านะรุ้ง จริง ๆ แล้วเป็นคำสั่งคุณพ่อเค้าไม่น่าโกรธเราหรอก”
รุ้งหลับตา มั่นใจว่าใช่แน่แล้ว ใช่คุณฉัตต์แน่นอนวันนั้น
ภาพมือฉัตต์ที่ปัดแก้วน้ำตกแตก แวบขึ้นมาหลายๆ ครั้งติดๆ กัน
รุ้งอดคิดถึงภาพความหลังในอดีตขึ้นมาไม่ได้ วันนั้นฉัตต์ไม่สบายมาก นอนซม หน้าตาแดงก่ำเพราะพิษไข้ รุ้งก้มหน้าก้มตาจัดยาอยู่ข้าง ๆ เตียง เตรียมใส่ถ้วยจะให้ฉัตต์กิน
ฉัตต์พลิกตัว มือเหวี่ยงมาวางบนมือรุ้ง รุ้งสะดุ้งสุดตัว ก้มลงมองมือฉัตต์ ทำอะไรไม่ถูก สายตารุ้ง จ้องที่มือฉัตต์
รุ้งดึงตัวเองกลับมา แล้วสีหน้าหวนคิดถึงความหลังวันนั้นขึ้นมาอีก
ตอนนั้นรุ้งใจสั่นหวั่นไหว จับมือฉัตต์ออกจากมือตัวเอง ยังไม่ทันยกมือฉัตต์ออก ก็ต้องสะดุ้ง
เมื่อยินฉัตต์พึมพำเบาๆ “แม่...แม่ครับ”
รุ้งนิ่งงันไป แล้วฉัตต์ก็จับแขนรุ้งดึงอย่างค่อยๆ นุ่มนวล แต่มีพลังจนรุ้งไม่กล้าขืน เข้าไปแนบชิดกับฉัตต์ ฉัตต์ซุกหน้าเข้ากับตักของรุ้ง พร้อมกับดึงแขนรุ้งเข้าไปกอดแน่น
“แม่มาหาฉัตต์เหรอครับ”
รุ้งระทึกไปหมดทั้งกายและใจ แต่ก็นิ่ง เป็นวินาทีของความรู้สึกอ่อนโยนที่หลั่งไหลเข้ามาในใจ มองหน้าฉัตต์ที่มองมือที่
แล้วรุ้งก็ใช้อีกมือของตัวเองไล้บนมือของฉัตต์เบาๆ สอดนิ้วเข้าไปในมือฉัตต์อย่างนุ่มนวล พร้อมจะดึงให้ฉัตต์กลับไปนอนอย่างเดิม
แต่ฉับพลันฉัตต์ก็รู้สึกตัว ลืมตาเห็นุร้ง สบตากันเต็มแรง รุ้งจับมือฉัตต์จะดึงออก แต่ ฉัตต์สะบัดเต็มแรง
“ทำอะไร...ไปให้พ้น”
รุ้งดึงตัวเองกลับมา พร้อมๆ กับเสียงเพื่อนพยาบาลเรียก
“รุ้ง...อยู่ไหน มีคนไข้ admit”
รุ้งออกไปทันทีอย่างเร็วรี่
ไม่นานนักรุ้งในชุดพยาบาลฝึกหัด เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างเร็ว คนเข็นรถพาคนไข้เข้ามา มีแผลที่ทำมาแล้วเรียบร้อยที่หัว แขน และตามตัวเพราะถูกรถชน ท่าทีเจ็บมากมีเลือดซึมทุกแผล พยาบาลตามมา ถือน้ำเกลือ รุ้งหยิบที่แขวนอย่างว่องไว ทั้งรุ้ง ทั้งพยาบาล ช่วยกันเอาคนไข้จากรถเข็นไปนอนเตียงคนไข้
“ถูกรถชน” พยาบาลกระซิบบอกรุ้งเบาๆ
“โถ...” รุ้งสงสารมาก
ขณะเดียวกันชายเดียววัดความดันให้ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสอีกครั้ง สีหน้านิ่งเฉย วัดเสร็จแล้วดู หน้าดีขึ้นนิด
ผ่องถามเบาๆ “เท่าไหร่คะ”
ชายเดียวตอบ “ดีขึ้นนิด”
ชายเดียวหยิบผ้าชุบน้ำในอ่างแก้วเจียรนัย บิดผ้าแรงๆ พันทบกันเรียบร้อยวางบนหน้าผาก
“คุณชาย” ผ่องถามอย่างกังวล
“ไม่เป็นอะไรมากผ่อง ท่านแม่อาจบรรทมน้อย ยังไม่มีอาการอะไร”
“คุณชายจะอยู่ถึงวันไหนคะ”
“พรุ่งนี้เย็นฉันต้องกลับ มะรืนฉันสอบ”
“ตายจริง แล้วใครจะเฝ้าท่านหญิงละคะคุณชาย” ผ่องกังวลมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น รุ้งก้มหน้าก้มตาทำแผลให้คนไข้อยู่ กำลังพันผ้าโพกหัวเสร็จแล้ว ปลาสเตอร์ปิด ลูบผ้าก๊อซให้เรียบ
“ทำแผลที่แขนนะคะ”
คนไข้พยักหน้า พี่พยาบาลชื่อเกดบอกเบาๆ ว่า “แกะผ้า” และตัวเองเตรียมเครื่องมือ รุ้งแกะผ้าก๊อซเก่าที่เลือดซึมออกมาจนชุ่ม อย่างคล่องแคล่ว
“อูย” คนไข้ครางท่าทางเจ็บ
“นิดเดียวนะคะ เจ็บนิดเดียว” รุ้งค่อยๆทำ “หนูจะทำมือให้เบาเหมือนสำลีเลยค่ะ” รุ้งยิ้มหวานนุ่มนวล คนไข้ยังนิ่วหน้า เกดช่วยอยู่ตลอดเวลา ช่วยสอนให้ด้วย
“จะเสร็จแล้วนะคะ...นิดเดียว”
แผลถูกทำใหม่เรียบร้อย สองคนช่วยกัน เกดปิดปลาสเตอร์บนผ้าก๊อซ
สองคนเก็บของ กำลังจะไป มือคนไข้จับหมับที่แขนของรุ้ง เกดตกใจแต่นิดเดียวก็คุมได้ แต่รุ้งนิ่งมาก ยิ้มมองหน้าคนไข้ แสดงถึงความมั่นคงในจิตใจ
“ต้องการอะไรหรือคะ”
“ขอบใจ..มือเบา”
รุ้งยิ้มหวาน “เบาไปหรือคะ”
คนไข้บอกเสียงหลง “ดีแล้ว”
เวลาต่อมา รุ้ง และพยาบาลรุ่นพี่ชื่อเกด เดินมาตรงเคาน์เตอร์พยาบาล มือถือถาดเครื่องใช้มาด้วย เกดถาม “เจ็บมั้ย” รุ้งตอบว่า “ไม่เจ็บค่ะ”
“เห็นแกบีบแขนรุ้งซะแน่น ขนาดพี่เจอคนไข้แบบเนี้ย...บ่อยๆ พี่ยังตกใจเลย”
รุ้งหัวเราะเบาๆ “พยาบาลต้องแข็งแรง รุ้งว่า...แข็งแรงกว่าหมออีก เพราะต้องทำทุกอย่าง พานั่ง พานอน ถ้าคนไข้ตัวร้อนด้วยตายเลย นี่...รุ้งต้องยกแขนทุกวันเลยค่ะพี่เกด” รุ้งทำท่าเบ่งกล้าม
“ทำไมเหรอ” เกดงง
“เอาไว้ยกคนไข้” รุ้งบอกขำๆ
พยาบาลที่เคาน์เตอร์ ยื่นหน้าออกมาบอก
“รุ้ง โทรศัพท์”
เป็นผ่องโทร.มาจากห้องโถงวังรังสิยา
“อิฉันเองค่ะคุณรุ้ง ขอโทษที่รบกวนคุณรุ้ง...ค่ะ มีเรื่องขอให้คุณรุ้งช่วยค่ะ..คือว่าท่านหญิงประชวร คุณชายเดียวมาดูท่านแม่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่เย็นนี้ต้องกลับแล้วค่ะ เพราะเธอจะสอบ อิฉันก็เลย...จะขอแรงคุณรุ้งช่วยมาที่วังได้มั้ยคะ เดี๋ยวให้สนไปรับนะคะ”
“ไม่ต้องให้ลุงสนมารับหรอกคะ รุ้งไปเอง”
รุ้งวางสายแล้วรีบลงจากตึกพร้อมเกด ถือกระเป๋า ถือถุงกันเต็มมือ เกดโบกมือ แยกไปอีกทาง รุ้งเดินดุ่มๆ ไปตามทาง ก้มหน้าก้มตาเดิน แล้วหยุดกึก รู้สึกเหมือนมีใครมองจ้องอยู่ รุ้งเหลียวไปเหลียวมา สักครู่เดินต่อ
ที่แท้เป็นฉัตต์ ยืนนิ่งอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ไม่ได้ใส่วิกแล้ว แต่ยังมีหนวดเครา ไม่ได้ใส่แว่นตา จ้องมองรุ้งสีหน้าทั้งรักทั้งแค้น
รุ้งหยุดอีก เหลียวขวับมา ฉัตต์หลบอย่างเร็ว
รุ้งเดินต่อ รถตำรวจของปยุตในชุดร้อยตำรวจตรี แล่นเข้ามาจอด ปยุตกระโดดลงมา ฉัตต์เพ่งมองขณะรุ้งมองปยุตประหลาดใจ
“คุณ...”
ปยุตทัก “อ้าวคุณ...”
“รุ้งค่ะ”
“ยินดีที่ได้พบอีกนะครับ ผมปยุตครับ ผมจะมาสอบเรื่องคนที่ถูกรถชน”
“ค่ะ” รุ้งไหว้ “ยินดีค่ะ อาการดีขึ้นแล้วค่ะ” รุ้งมองปยุต “คุณเป็นตำรวจ..มิน่า”
“อ๋อ ไม่ใช่เพราะเป็นตำรวจหรอกครับ ผมเพียงแต่ทนไม่ได้ที่คุณโดนกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม”
“เมื่อวานไม่ได้ขอบคุณ มัวแต่ตกใจกันไปหมด ขอบคุณด้วยนะคะ”
“ครับ ที่จริงเราควรจะรู้จักกันตั้งนานแล้ว”
“คะ”
“คุณพ่อของผม คุณหลวงวิเศษ...”
“อ๋อ...จริงหรือคะนี่ คุณลุงหลวงวิเศษไปที่บ้านบ่อยๆ”
“ครับ คุณพ่อไปทานอาหารที่ร้านของคุณและมาแนะนำผม ทีแรกผมยังนึกว่าคุณเป็นน้องคุณฉัตต์”
“น้องคุณฉัตต์ชื่อจริมาค่ะ เรียนอยู่อเมริกาค่ะ”
“น้องสาวผม พิสินี เรียนอเมริกาเหมือนกัน รู้จักคุณจริมาด้วย”
“ค่ะ”
“บัว...น้องสาวผม สนิทกับคุณฉัตต์มากครับ”
สีหน้ารุ้งเปลี่ยนไปนิด
ฉัตต์เห็นปยุตพูดอีก 2-3 คำกับรุ้ง ไม่ได้ยินสองคนคุยกัน แต่ท่าทางยิ้มแย้มของรุ้งบาดหัวใจเขามาก แล้วปยุตจึงแยกขึ้นรถไป ส่วนรุ้งเดินต่อไปทางออกโรงพยาบาล
ฉัตต์ยังคงจ้องมองรุ้งจนเดินลับตาไป
ด้านทอแสงรัศมี นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ยาว ในห้องรับแขก ผ่องพารุ้งเดินเข้ามา รุ้งวางของที่ถือมาลงแถวนั้น แล้วเดินผ่านหญิงทอแสงขึ้นบันไดไป
ฟากชายเดียวดึงปรอทวัดไข้มาดู “ไข้ลดแล้วค่ะ ท่านแม่ทมเยอะๆ นะคะวันนี้”
“ชายกลับหอกี่โมง”
“เย็นๆค่ะ อยู่กับท่านแม่ได้ทั้งวัน”
“ขอบใจนะลูก” ท่านหญิงมองแล้วซาบซึ้งจัด อ้าแขนออกชายเดียวโน้มตัวลงให้ท่านหญิงกอดเต็มอ้อมแขน
เสียงชายเดียวครั้งที่โต้เถียงกันเรื่องไม่ไปเรียนต่อเมืองนอกดังขึ้น
“ชายไม่ไปเรียนเมืองนอก”
“ไม่ได้ ท่านพ่อทรงสั่งไว้”
“ชายขอขัดรับสั่ง ชายไม่ไป ชายไม่ทิ้งท่านแม่อยู่องค์เดียวเป็นอันขาด”
ท่านหญิงนึกแล้วยิ่งตื้นตัน กอดชายเดียวแน่นเข้าไปอีก น้ำตาจางๆ
“ลูกชายแม่...ลูกชายคนเดียวของแม่”
“ชายรักท่านแม่ที่สุดในโลก” ชายเดียวถอยห่างออกมามองหน้าท่านหญิง “ท่านแม่ต้องอยู่กับชายไปอีกนานๆมากๆ ชายจะดูแลท่านแม่ให้แข็งแรง ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ”
ท่านหญิงยิ้มชื่นใจ ชายเดียวก้มลงจูบแก้มท่านหญิงอย่างนุ่มนวล
ฝีนางเฟืองหมอบอยู่ที่พื้นในมุมมืด สีหน้าตื้นตันใจสุดๆ
รุ้งเดินตามผ่องเข้ามาพอดี นางฝีร้ายหันขวับมามองเห็น สายตาเกรี้ยวกราดขึ้นทันควัน
รุ้งมองจ้องภาพนั้น ใจอ่อนยวบเหมือนมีอะไรทำให้น้ำตาขึ้นมาเอ่อ
“รุ้ง...รุ้งมาหรือ”
รุ้งเข้าไปกราบลงข้างๆ กายท่านหญิง “หม่อมฉันมังคะ” เงยหน้าเห็นน้ำตายังจางๆ
ชายเดียวเพ่งมองพิศวง
“มายังไง”
“ป้าผ่องโทร.บอกมังคะ”
“ผ่อง...ทำไมต้องไปรบกวนรุ้ง..เขาต้องฝึกงาน”
“เสร็จพอดีมังคะ”
“ต้องไปดูร้านอีก”
“แม่จันทร์อยู่มังคะวันนี้...แม่จันทร์อยู่ดีกว่าหม่อมฉัน” รุ้งยิ้มแย้มแจ่มใส
สีหน้านางเฟือง เครียด ดุดันขึ้นมาอีก
“ขอบใจมาก” ท่านหญิงบอก
ชายเดียวนั่งท่องหนังสืออยู่ตรงมุมห้อง ท่านหญิงนอนหลับตา รุ้งจัดของบนโต๊ะที่วางเครื่องใช้ของคนเจ็บ
ผ่องเข้ามากระซิบ “คุณรุ้ง พี่สาลี่ขอให้คุณรุ้งไปที่ครัวได้มั้ยคะ”
สักครู่ผ่องพารุ้งลงบันได ทอแสงรัศมีนอนเปลี่ยนท่า แต่หลับไม่รู้เรื่องเล้ย ท่านอนดูตลกๆนิดๆ
รุ้งมาที่ครัวแล้ว สาลี่กับพิกุลยังมีร่องรอยที่ถูกเฟืองทำร้ายให้เห็น
“แม่คุณ...ทำไมสวยงามอย่างนี้” สาลี่เอ่ยขึ้น
“อุ๊ย..” รุ้งยิ้มเขิน “ยายสาลี่จะให้หนูทำอะไรหรือคะ”
“อะไรที่ท่านหญิงโปรดเสวย อะไรที่คุณชายชอบรับประทาน สอนยายให้หมดนะคะ” สาลี่ว่า
“งั้นหนูต้องมาทุกวันถึงปีหน้าแล้วล่ะค่ะ”
คนในครัวที่ล้อมวงฟังหน้าสลอน หัวเราะกันเบาๆ สนนั่งห่างออกไปพลอยหัวเราะด้วย
“เอาของสมัยใหม่ๆ หน่อยสิคะคุณรุ้ง เออ...อาหารฝรั่งก็ได้” พิกุลว่า
“หนูทำไม่เป็นค่ะ ทำเป็นแค่อาหารโบราณ” รุ้งบอก
“เออ...ทำไมคุณรุ้งทำอาหารโบราณเก่งล่ะคะ...คุณจันทร์สอนเหรอคะ” สาลี่ถาม
“ค่ะ แม่ทำเก่งค่ะ บางอย่างหนูยังไม่รู้จัก อย่างขนมบุหลันดั้นเมฆที่จะทำคราวที่แล้ว”
สาลี่มองรุ้งอย่างพินิจพิเคราะห์ หน้าออกสงสัยเล็กๆ
ไม่นานต่อมารุ้งเดินมาตามทางช้าๆ เหมือนถูกสะกด
ส่วนสาลี่ พิกุล ผ่อง ละมัย และสนอยู่ที่ครัวกันหมด
“ฉันจะหยิบให้ดู” สาลี่หยิบยันต์จากเชี่ยนหมาก “นี่ไง เขาว่าขลังนัก พกติดตัวผีตัวไหนๆก็ไม่กล้า ที่นี้ล่ะ...นังเฟืองเอ๊ย”
ทุกคนรุมอยู่ที่สาลี่หยิบยันต์ไปดู
“อ้าว...คุณรุ้งหายไปไหน” ผ่องลุกขึ้น “ขึ้นตำหนักแล้วมั้ง ฉันไปก่อนนะ”
ผ่องเดินกลับไปที่ตำหนักใหญ่
เวลานั้นปีศาจนางเฟือง นั่งยองๆ หันหลังอยู่ตรงทางที่รุ้งเดินมาซึ่งตรงนั้นเป็นที่รกๆ นางผีร้ายหันขวับมาจ้องมองรุ้งที่กำลังเดินมาอย่างเกลียดชัง
“นังบุหลัน มึงไม่ตาย เหนียวจริงนะมึง หนอย อุตส่าห์รอดตายไปมีผัว มีลูก ชะ...ส่งลูกสาวมารังควานท่านหญิงของกูถึงวังท่าน ท่านทรงเกลียดมึง...กูก็เกลียดมึง...ทำมึงไม่ได้ ลูกสาวมึงก็ต้องรับกรรมแทนเถอะ”
รุ้งตรงเข้าไป แล้วเห็นแต่หลังนางเฟือง และมีเสียง แชะ...แชะ...แชะ...และมีดลอยขึ้นมาและตวัดลงเหมือนคนกำลังตัดหญ้า รุ้งมองฉงนว่าใคร จนเดินเข้าไปใกล้
“ป้าคะ”
นางเฟืองหันหน้ากลับมา เป็นใบหน้าคนปกติยิ้มใจดี “คะ...คุณรุ้ง”
“ป้ารู้จักหนูด้วยหรือคะ”
“ลูกสาวบุหลันใช่มั้ยคะ”
“อ๋อ..ไม่ใช่ค่ะ แม่หนูชื่อจันทร์ค่ะ ไม่ใช่บุหลัน ป้าจำผิดแล้วค่ะ”
“ไม่ผิด...ลูกบุหลัน” นางเฟืองบอก
“บุหลันเป็น...ใครหรือคะ” รุ้งงง
สีหน้านางเฟืองค่อยๆแข็งกร้าวขึ้นด้วยอารมณ์เกลียดปะทุมาจากภายใน เสียงดังเปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ..
“ป้าคะ...ป้าเป็นอะไร”
แล้วฉับพลันนั้น นางผีร้ายก็ลุกขึ้นอย่างเร็ว
ชายเดียวกับผ่องวิ่งมาด้วยกันมองไปเห็นพอดี
ผ่องรู้ทันที “อย่า...” วิ่งพรวดไป
ชายเดียวตามไปงงๆ “รุ้ง...”
นางเฟืองอ้าแขนเข้าหารุ้ง ท่าทีประสงค์ร้ายเต็มๆ
“อย่า...พี่เฟือง”
ชายเดียวพุ่งเต็มแรง คว้าแขนรุ้งกระชากสุดแรงเกิด รุ้งถลาเข้าอ้อมกอดชายเดียว นางเฟืองวูบ เสียงดังแรง และหายตัวไปในทันที
นางเฟืองหอบ เหนื่อยมากๆ จนแทบทุกอย่างในร่างกายจะแตกสลาย พลังที่สะสมไว้ สลายไปเรื่อยๆ บางส่วนของร่างกาย จางลงจนหายไป ....หายไป
นางเฟืองพลิกร่าง ดิ้นไปมา สักครู่ ร่างก็จางหายไปจนหมด
ด้านทอแสงรัศมีขยับตัวเปลี่ยนท่า แล้วลืมตา ชายเดียวอุ้มรุ้งเข้ามา หญิงทอแสงลุกพรวด จ้องมอง อารมณ์ขึ้นมาเป็นริ้วๆ ชายเดียวมาจนใกล้
หญิงทอแสงโยนตัวขึ้นอย่างแรง “อีกแล้ว...อุ้มกันอีกแล้ว” พร้อมกับดึงตัวรุ้งอย่างแรง จนรุ้งหล่นจากตัวชายเดียว แม้ชายเดียวจะยื้อไว้ก็ทานแรงหึงหวงไม่ได้ ร่างรุ้งกระแทกพื้นอย่างแรง
“ตายแล้ว คุณหญิง” ผ่องตกใจมาก รีบเข้าไปประคองรุ้ง
หญิงทอแสงผลักผ่องอย่างแรง “แกอย่ายุ่ง นังผ่อง”
ผ่องสู้..ไม่ยอม “อย่านะคะคุณหญิง อย่าทำคุณรุ้งนะ...”
“จะทำ”
“คุณหญิงไม่มีสิทธิ์จะทำร้ายคน ไม่อย่างนั้นอิฉันจะฟ้องตำรวจ” ผ่องเถียง
“แก....อีผ่อง”
ผ่องสุดทนแล้ว “ท่านหญิงยังไม่เคยรับสั่งเรียกอีผ่องหรือนังผ่อง คุณหญิงเรียกอิฉันอีก อิฉันจะเรียกอีหญิง”
ทอแสงรัศมีกรี๊ด โผเข้าหาผ่อง แต่ถูกชายเดียวจับแขนลากออกไปในทันที
ชายเดียวลากหญิงทอแสงมา แต่ทอแสงดึงขืนตัวเองไว้
“ไม่...ปล่อย...ปล่อยหญิง”
ชายเดียวลากออกมาถึงประตูห้อง ทำท่าจะโยนออกไป “ถ้าไม่หยุดจะโยนออกไปเดี๋ยวนี้”
ละมัยจะเดินขึ้นมา ชะงักกึก
“พี่ชาย...ทำกับหญิงอย่างนี้เหรอ”
“จะหยุดมั้ย”
“ไม่...จะไปเอามันให้ตาย อีผ่อง อีรุ้ง”
ชายเดียวลากต่อไป หญิงทอแสงดิ้นรน ละมัยกระเด้งตัวไปแอบดู
“เป็นลูกชาติลูกตระกูล ทำตัวไม่เหมาะสมเลย”
“ไม่ใช่คนเหรอ...คนนะ มีหัวใจเหมือนกัน”
“คนอื่นเขาไม่มีงั้นสิ”
“พี่ชาย...ทำกับหญิงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใครไปทำอะไรเธอนะหญิงทอแสง”
“พี่ชาย...เห็นคนอื่นดีกว่าหญิง”
“เพราะเขาดีกว่าหญิงจริงๆ” ชายเดียวปล่อยแรงๆ ทอแสงรัศมีเซไปนั่งกับพื้น ชายเดียวเดินหนีเข้าห้องไป
หญิงทอแสงหยุดไม่ได้กรี๊ดกร๊าด เพราะเห็นว่าชายเดียวไปแล้ว กรี๊ดไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงได้แต่คำรามในลำคอ
“อีรุ้ง”
อ่านต่อตอนที่ 11