xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 10

ชาติกล้าเดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่จะหยุดเหลียวกลับไปมองในบ้านแล้วเปลี่ยนสีหน้าแววตาเป็นเหี้ยมเกรียม

“คิดว่าแกจะหนีฉันพ้นหรือไงไอ้ภู” ชาติกล้าหันกลับมา แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะเห็นปลายฟ้ายืนจ้องอยู่
“ฟ้า”
“ชาติ...เรื่องภู” ปลายฟ้าเอ่ยขึ้น
“ฟ้าอย่าถามอะไรชาติเลย ชาติพูดเรื่องไอ้ภูมามากพอแล้ว”
ชาติกล้าจะเดินไป ปลายฟ้าเข้ามาขวางเอาไว้
“ชาติ ถ้างั้นตอบแค่คำถามเดียว ภูเป็นคนร้ายจริงเหรอ”
“แล้วถ้าชาติบอกว่าใช่ ฟ้าจะเชื่อชาติมั้ย” ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป “ฟ้า ชาติรู้ว่าฟ้ารู้สึกยังไง แต่ฟ้าต้องเชื่อชาติ ไอ้ภูมันหลอกทุกคนมาตลอด”
“ไม่ ภูไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“ฟ้า ไอ้ภูมันเป็นคนร้ายได้ยินมั้ยฟ้า ไอ้ภูมันไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่ฟ้าคิด ชาติเป็นตำรวจ ฟ้าต้องเชื่อชาติ”
ปลายฟ้านิ่งงันไป ชาติกล้าได้สติจึงค่อยๆ ปล่อยมือจากปลายฟ้า
“ฟ้าจะเข้าไปดูคุณลุงหน่อย”
ปลายฟ้าค่อยๆ เดินผ่านชาติกล้าไปโดยไม่มีคำพูดอะไรอีก ชาติกล้ามองตามปลายฟ้าแล้วยิ่งทำให้เขาแค้นภูวนัยมากขึ้น

ไผ่พญากลับเข้ามาในบ้านเช่า
“จะทำยังไงดี” ไผ่พญาหันไปมองภูวนัย ก่อนจะเดินลงมานั่งข้างๆ “นายคงต้องอยู่ที่นี่ซักพักแล้วละ”
ไผ่พญามองไปที่ภูวนัย “ยังหายใจอยู่หรือเปล่าเนี่ย” ไผ่พญาค่อยๆ ขยับมาสะกิดภูวนัย “นี่...นี่” ภูวนัยไม่แม้แต่กระดิก ไผ่พญาค่อยๆ เอามือขึ้นมาเอามืออังหน้าผากภูวนัย “โห ร้อนจี๋เลย”
ไผ่พญาหันรีหันขวางก่อนจะรีบลุกออกไป

ไผ่พญาเอากาละมังเล็กๆ มารองน้ำ ก่อนจะหันไปใส่กาต้มน้ำที่กำลังต้มน้ำอยู่ ไผ่พญากำลังเทน้ำร้อนลงในกาละมังก่อนจะลองมือจุ่มวัดอุณหภูมิ ไผ่พญาสะดุ้งชักมือกลับเพราะความร้อน
ไผ่พญาบิดผ้าเช็ดก่อนจะเอามาเช็ดตัวให้กับภูวนัย ไผ่พญาเปิดดูแผลที่หัวไหล่ของภูวนัย เห็นแผลของภูวนัยยังมีสภาพดี ไผ่พญาเอาผ้าเช็ดหน้ามาวางอังที่หน้าผาก
ภูวนัยค่อยๆ รู้สึกตัวลืมตาขึ้น สายตาของภูวนัยเห็นภาพจากพร่าเลือนค่อยๆ เริ่มชัดขึ้น ภูวนัยหันหน้ามองไปรอบๆ แล้วจึงเห็นว่าเขานอนอยู่ในบ้านหลังนึง แล้วภูวนัยก็แปลกใจเมื่อเห็นไผ่พญานอนหลับอยู่ข้างๆ ภูวนัยพยายามยันตัวเองลุกขึ้นแต่ภูวนัยก็เจ็บแผลจนร้องออกมา
“โอ๊ย”
เสียงร้องของภูวนัยทำให้ไผ่พญาที่นอนอยู่รู้สึกตัว ไผ่พญาหันมามองแล้วก็ดีใจที่เห็นภูวนัยฟื้น
“เป็นไงบ้าง ฉันนึกว่านายจะไม่ฟื้นซะแล้ว”
“ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วทำไมคุณ...”
“เรื่องมันยาวมากนะ เอาไว้ให้นายหายดีก่อนแล้วกัน รับรองว่านายต้องไม่เชื่อแน่ๆ”
ภูวนัยคิดไปถึงเรื่องที่ชาติกล้ายิงเขา
“ผมผ่านเรื่องไม่น่าเชื่อมาแล้ว ไม่มีอะไรที่ผมไม่เชื่ออีก
ภูวนัยกำหมัดแน่นด้วยความแค้น แล้วภูวนัยจะเจ็บแผลทันทีที่ออกแรง โอ๊ย!
“จะดีเหรอ ฉันอยากให้นายหายดีก่อนแล้วฉันจะเล่าให้ฟังเรื่องที่เพื่อนนายแอบเข้ามาฆ่านายถึงในห้องไอซียูเลยนะ”
“ไอ้ชาติ”
“นายต้องไปทำอะไรไว้แน่ๆ เพื่อนนายถึงต้องบุกมายิงนายถึงโรงพยาบาลแต่เอาไว้ให้นายหายดีก่อนแล้วกันแล้วเดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง เรื่องที่ฉันพานายหนีไปรอบโรงพยาบาลเลยนะ นี่ถ้าฉันไม่ช่วยนายเอาไว้ละก็ เอาไว้ให้นายหายก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”
ภูวนัยรู้สึกเจ็บแผลแปล๊บขึ้นมา
“นี่ผมสลบไปนานเท่าไหร่”
“สามวัน”
ภูวนัยฟังแล้วก็เปิดแผลออกดู ก่อนจะหันไปบอกกับไผ่พญา
“ช่วยผมอีกอย่างได้มั้ย”
ไผ่พญาสงสัยว่าเรื่องอะไร

ที่ร้านขายยา เจ้าของร้านขายยาเดินออกมากำลังจะปิดร้าน แต่แล้วจู่ๆ เสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“เดี๋ยวคะเดี๋ยว อย่าเพิ่งปิด” เจ้าของร้านขายยาหันมาก็เห็นไผ่พญารีบวิ่งเข้ามา “ซื้อยาหน่อยคะ”
“เอายาอะไร”
ไผ่พญายื่นกระดาษให้
“เอานี่คะ”
เจ้าของร้านขายยารับกระดาษแผ่นนั้นไปแล้วก็ทำหน้าแปลกใจ
ยาแก้ปวด แอลกอฮอล์ ผ้าก๊อตพันแผลวางกองรวมกันในถุงใหญ่ๆ
“แค่นี้คงพอ เท่าไหร่คะ”
“หนึ่งพันยี่สิบเอ็ดบาท ลดให้เหลือพันกับยี่สิบบาทแล้วกัน”
“บาทเดียวไม่ต้องลดก็ได้นะ”
ไผ่พญาแอบบ่นแล้วหยิบเงินจ่ายให้กับเจ้าของร้านยา เจ้าของร้านยาสงสัย
“ซื้อไปเยอะแยะอย่างนี้ไปทำอะไร”
“เอ่อ...พอดีแมวที่บ้านมันเป็นฝีน่ะคะ”
ไผ่พญายิ้มให้ก่อนจะรีบหยิบถุงยาแล้วรีบเดินออกมาก่อนที่เจ้าของร้านขายยาจะถามอะไรมากไปกว่านี้
เจ้าของร้านขายยามองตามไผ่พญาอย่างสงสัยก่อนจะตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมากด
“คุณตำรวจครับ...”

ไผ่พญากำลังเช็ดแผลให้กับภูวนัย ภูวนัยพยายามกัดฟันทนเจ็บ
“นายนี่ดวงแข็งจริงๆ โดนขนาดนี้ไม่ตายได้ยังไงเนี่ย”
“ถ้าอยากให้ผมตายแล้วคุณช่วยผมไว้ทำไม”
ไผ่พญาชะงักสบตากับภูวนัย ก่อนที่ทั้งคู่จะต่างคนต่างหลบตา
“ฉันไม่อยากมีบาปติดตัวไปจนตายไง” ภูวนัยแค่นยิ้ม ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ภูวนัยทำท่าจะลุกขึ้น
“จะไปไหนน่ะ”
“ผมหายไปอย่างนี้ ทุกคนคงเป็นห่วง ผมอยากโทรหาพวกเขา”
“ไม่ได้นะ” ภูวนัยแปลกใจที่ไผ่พญาห้ามเอาไว้ “ฉันลืมบอกนายไป ตอนนี้นายเป็นคนร้ายแล้ว”
ภูวนัยชะงักอึ้งไป

วันต่อมาที่สำนักข่าวแห่งหนึ่ง พนักงานคนนึงกำลังเดินเข้ามาหลังจากพักเที่ยง พนักงานคนนั้นเดินกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วพนักงานคนนั้นก็พบกับซองเอกสารซองนึงวางอยู่บนโต๊ะ
พนักงานคนนั้นมองซองเอกสารที่ไม่ลงชื่อที่อยู่แต่อย่างใด พนักงานคนนั้นมองไปรอบๆ สงสัยว่าใครเอาซองมาวางเอาไว้ เมื่อไม่เห็นว่าใครก็เลยเปิดซองออกดู พนักงานคนนั้นพบว่าเป็นซีดีอยู่ในซอง พนักงานคนนั้นลองเปิดซีดีดู
พนักงานคนนั้นดูบางอย่างที่ขึ้นหน้าจอคอมก่อนจะตกใจกับสิ่งที่เห็น
ภายในห้องบรรณาธิการ พนักงานคนนั้นเปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนรน
“บอกอครับ”
“มีอะไร”
“มาดูนี่หน่อยซิครับ”
บรรณาธิการยืนหน้าเครียดอยู่หน้าคอมพ์ของพนักงานคนนั้น
“ถ้าข้อมูลนี่เป็นของจริง ผมว่ามันทำลายองค์กรตำรวจได้ทั้งองค์กรเลยนะครับ”
บรรณาธิการหน้าเครียด ก่อนจะแทรกตัวเบียดพนักงานคนนั้นปิดข้อมูลนั่นแล้วกดเอาซีดีออกจากเครื่อง
“มีใครรู้เรื่องนี้หรือเปล่า
“ไม่มีครับ”
“แล้วคุณได้ก๊อบปี้เอาไว้มั้ย”
“เปล่าครับ”
บรรณาธิการพยักหน้าก่อนจะรีบเก็บซีดีใส่ซองเอกสารแล้วเดินหน้าเครียดออกไป พนักงานคนนั้นมองตามด้วยความสงสัยและตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็น

ที่สำนักข่าวอีกแห่ง ผู้คนกำลังพักเที่ยง ระหว่างนั้นเห็นชายคนนึงใส่หมวกแก๊ปและผ้าปิดจมูกเดินเข้ามาในสำนักข่าว ก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินมาที่หน้าห้องบรรณาธิการแล้วสอดเอกสารนั่นเข้าไปในห้องแล้วรีบเดินออกไป
ชายคนนึงเดินมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่หน้าสำนักข่าวอีกแห่ง ก่อนจะยื่นซองเอกสารให้กับพนักงานต้อนรับ
“ฝากให้บอกอ”
พนักงานต้อนรับรับซองมา เห็นหน้าซองเขียนไว้ว่า “ความจริง”

พายัพและลูกน้องเดินเข้ามาในบ้านของวศิน พายัพเดินเข้ามาที่หน้าห้องทำงานวศิน ระหว่างนั้นเห็นลูกน้องของวศินที่ยืนอยู่หน้าประตูยกมือห้ามลูกน้องของพายัพ พายัพเหล่มอง
“พวกแกรออยู่นี่แหละ”
พายัพจะเดินต่อ แต่แล้วลูกน้องของวศินคนนึงก็มาดักข้างหน้า พายัพรู้ธรรมเนียมจึงยกมือขึ้นให้ตรวจค้น
ลูกน้องของวศินเจอปืนของพายัพที่เหน็บอยู่ก็ดึงออกมาก่อนจะส่งให้กับลูกน้องอีกคน
“เร็วๆ เว้ย จักกะจี้”
ลูกน้องวศินตรวจเสร็จก็ผายมือให้พายัพเข้าไปข้างในได้ พายัพหันมามองบรรยากาศรอบๆ รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่พยายามเก็บอาการเอาไว้

พายัพเดินเข้ามาในห้องทำงานวศิน พายัพมองหาวศินแต่ไม่เห็น ระหว่างนั้นเห็นพายัพได้ยินเสียงขึ้นนก พายัพชะงักก่อนจะยกมือขึ้น เสียงของวศินดังขึ้นอย่างมีอารมณ์
“ลื้อคิดว่าลื้อเล่นอยู่กับใคร”
พายัพค่อยๆ หันไปแล้วก็เห็นวศินกำลังถือปืนเล็งมาที่เขาอยู่
“ใจเย็นซิท่าน ผมไม่เข้าใจว่าท่านพูดเรื่องอะไร”
“เรื่องอะไร ก็เรื่องนี้ไง”
ที่ซองเอกสารทั้งหมดที่ถูกส่งไปที่สำนักข่าวต่างๆ ถูกโยนลงมาตรงหน้าพายัพ เห็นว่าทุกซองเขียนเหมือนกันหมดว่า “ความจริง”
พายัพก้มลงหยิบเอกสารที่กระจัดกระจายขึ้นมาอ่าน พายัพหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“แกคิดว่าส่งข้อมูลพวกนี้ให้สื่อแล้วมันจะได้ผลเหรอ เฮ้ย! จำไม่ได้หรือไงว่าไอ้สื่อในประเทศนี้เป็นคนของอั้ว”
“ผมไม่ได้ทำ”
“อะไรนะ”
“ท่านเอาปืนลงก่อนเถอะ เกิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมา ท่านอาจจะขาดรายได้หลักนะท่าน” วศินจ้องหน้าพายัพ พายัพไม่หลบตา “ผมไม่ได้ส่งข้อมูลพวกนี้ให้กับสื่อ”
“ลื้อเป็นคนเดียวที่มีไอ้ข้อมูลบ้าพวกนี้ ถ้าไม่ใช่ลื้อแล้วจะเป็นใคร”
พายัพครุ่นคิดก่อนที่พายัพจะนึกบางอย่างออก

พายัพเดินออกมาบริเวณที่จอดรถ มีลูกน้องของพายัพเดินตามมา จู่ๆ พายัพก็หันไปแล้วตบหน้าลูกน้องทั้งสองคนจนลงไปกอง
“ผู้หญิงคนเดียวทำไมเอาตัวมาไม่ได้วะ”
“ใครพี่ เรื่องอะไรครับ”
“อีโคโยตี้นั่นไง หาตัวมันมาให้ได้ ไม่งั้นคนที่ตายจะเป็นพวกแก”

พายัพเดือดดาลเข้าใจว่าข้อมูลที่วศินได้ไปเป็นฝีมือของไผ่พญา

ไผ่พญาเดินมาในละแวกชุมชน ก่อนจะเดินเข้ามาที่ร้านอาหารตามสั่ง

“กะเพราไก่ไข่ดาวสองกล่องจ้ะเจ้”
ไผ่พญาสั่งเสร็จก็เดินไปนั่งรอ ระหว่างนั้นชายแปลกหน้าสองคนเดินมาตามทาง ชายแปลกหน้าทั้งสองเดินเข้ามาที่ร้านอาหาร
“เจ้เคยเห็นผู้ชายคนนี้มั้ย”
ชายคนหนึ่งยื่นรูปให้กับเจ้ตามสั่งดู เจ้ดูก่อนจะส่ายหน้า ชายคนนั้นเลยหันไปถามไผ่พญาที่นั่งอยู่
“โทษนะน้องสาว เคยเห็นผู้ชายคนนี้มั้ย”
ชายคนนั้นยื่นรูปให้ไผ่พญาดู ไผ่พญามองแล้วทันใดนั้นก็แอบใจหายเพราะมันคือรูปของภูวนัย ไผ่พญามองรูปแล้วครุ่นคิดก่อนจะร้องออกมาเสียงดัง
“อ๋อ”
“เคยเห็นเหรอ”
ไผ่พญาพยักหน้า
“วันก่อนหนูเห็นเขาเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ไหนน้า” ไผ่พญาทำท่าคิด “อ๋อ ใช่แล้ว เขาบอกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ปอยเปต”
“ปอยเปต”
ชายทั้งสองหันมองหน้ากันงงๆ
“ไปส่งปอยเปตเนี่ยนะ” ไผ่พญาพยักหน้า “แล้วเรารู้ได้ยังไง”
“เอ่อ ก็...พี่แท็กซี่คนนั้นเขาอยู่แถวนี้ไง เดี๋ยวพี่เดินไปตามทางนะ แล้วขวาพอขวาเสร็จพี่ก็ขวาอีกที แล้วพี่ก็เดินไปตามทาง บ้านพี่เขามีแท๊กซี่จอดอยู่หน้าบ้านแหละ”
“ขอบใจมาก”
ไผ่พญายิ้มเต็มใจ
“ไม่เป็นไรคะ”
ว่าแล้วชายทั้งสองก็รีบเดินออกไป ไผ่พญาลุกตามไปดูแล้วแอบมองตามพอเห็นว่าชายทั้งสองไปแล้วก็หันมาบอกกับเจ้ตามสั่ง
“ไอ้ที่สั่งเมื่อกี้ไม่เอาแล้วนะเจ้”
ไผ่พญาพูดเสร็จแล้วก็รีบวิ่งออกไปอีกทางที่ชายทั้งสองเดินไป เจ้โวยวาย
“อ้าว ไม่เอาได้ไง ทำแล้วเนี่ย”
ชายทั้งสองที่เดินมาได้ครู่ ชายคนหนึ่งก็นึกขึ้นได้
“ลืมถามว่ะว่าแท็กซี่คันนั้นสีอะไร” แล้วชายทั้งสองก็เดินกลับมาที่ร้านตามสั่งก่อนจะแปลกใจเมื่อไม่เห็นไผ่พญาอยู่แล้ว “เจ้ น้องผู้หญิงเมื่อกี้ไปไหนแล้ว”
“โน่นวิ่งไปโน่นแล้ว สั่งข้าวแล้วก็ไม่เอา ซวยจริงๆ”
ชายทั้งสองคนมองหน้ากันรู้สึกถึงความผิดปกติ
“ไปทางไหนนะเจ้”
เจ้ชี้ไปทางที่ไผ่พญาไป
“โน่น”
ชายทั้งสองรีบตามไผ่พญาไปทันที

ไผ่พญากึ่งวิ่งกึ่งเดินมาตามทางเดิน ชายแปลกหน้าทั้งสองวิ่งตามออกจากซอยแล้วก็เจอกับไผ่พญาที่กำลังร้อนรน
“นั่น”
ชายคนหนึ่งกำลังจะตาม แต่แล้วชายอีกคนกลับห้ามเอาไว้
“เดี๋ยว”
“ทำไม ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นต้องรู้จักหมวดภูวนัยแน่ๆ”
“ก็ใช่ไง เราก็รอให้สองคนนั้นเจอกันก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
ชายได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจว่าเพื่อนคิดจะใช้ไผ่พญาพาไปหาภูวนัยนั่นเอง

ที่บ้านเช่า ภูวนัยพยายามลุกขึ้นแล้วเดินมาที่แก้วน้ำ ภูวนัยเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำจะเทใส่แก้วแต่เพราะแผลที่ไหล่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่แขนทำให้ภูวนัยเจ็บแปล๊บ ขวดน้ำตกลงกับพื้นจนน้ำกระจาย โผล๊ะ! ภูวนัยมองมือของตัวเองที่สั่นเทาด้วยความเจ็บใจ ระหว่างนั้นไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาในบ้านอย่างร้อนใจ
“มีอะไร”
“มีคนมาตามหานาย” ภูวนัยสงสัย “ฉันว่ามันต้องเป็นคนของไอ้เพื่อนหักที่ส่งมาล่านายแน่ๆ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็พยายามหาทางออกทันที แต่แล้วก็มีเสียงดังโคร้งเคร้งดังขึ้นที่หน้าบ้าน ไผ่พญาเดินไปมองที่หน้าต่างด้วยความสงสัยแล้วไผ่พญาก็ตกใจเมื่อเห็นชายแปลกหน้าทั้งสองชนข้าวของที่เข็นมาจนล้มกระจาย
“เฮ้ย! สองคนนั่นแหละ”
“พวกมันตามคุณมา”
“ห๊า! แล้ว แล้วทำไงดี”
ภูวนัยนิ่ง พยายามใช้ความคิด

ชายแปลกหน้าทั้งสองกำลังขอโทษขอโพยแม่ค้าที่เข็นเก้าอี้แล้วถูกชายทั้งสองชนล้มระเนระนาด
“ขอโทษนะป้า”
ชายแปลกหน้าทั้งสองรีบตามไผ่พญาจึงไม่ได้ช่วยป้าเก็บเก้าอี้ ชายแปลกหน้าทั้งสองรีบเข้ามาที่หน้าบ้าน
ชายคนหนึ่งเคาะประตู แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา จึงเคาะประตูอีก
“เรารู้ว่าแกอยู่ข้างใน ออกมาซะดีๆ”
ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ออกมาอีก ชายคนที่หนึ่งจึงพยักหน้าให้กับชายคนที่สอง ชายคนที่สองค่อยๆ บิดลูกบิดประตู ก่อนที่จะเปิดประตูออก แต่แล้วชายทั้งสองก็ต้องแปลกใจเพราะไม่พบใครอยู่ในบ้าน
“เข้าไป”
ชายคนที่หนึ่งบอกกับชายคนที่สอง ชายคนที่สองเดินนำชายคนที่หนึ่งเข้าไปในบ้าน ก่อนที่ทั้งสองจะมองไปรอบๆ ภายในบ้านแล้วสงสัยว่าไผ่พญากับภูวนัยหายไปไหน
“หายไปไหนวะ ก็เห็นว่ามันเดินเข้ามาบ้านนี้นี่หว่”า
ระหว่างที่ชายทั้งสองกำลังสงสัยก็เห็นประตูหน้าบ้านค่อยๆ ปิด ชายทั้งสองหันมาเห็น
“อะไรวะ”
ด้านนอกไผ่พญารีบปิดประตูหน้าบ้านก่อนจะใส่แม่กุญแจล็อคทันที
“ฝากเฝ้าบ้านด้วยนะ”
ไผ่พญาพูดเสร็จก็รีบวิ่งเข้ามาหาภูวนัยที่ยืนรออยู่ด้วยความเจ็บ ขณะที่ชายทั้งสองก็พยายามจะพังประตูออกมาเสียงดังตึงตัง
ไผ่พญาพยายามพยุงภูวนัยออกมา แต่ภูวนัยเจ็บเกินจะเคลื่อนไหว
“โอ๊ย! ผมไปไม่ไหว”
“ต้องไหวซิ”
“คุณไปเถอะ เดี๋ยวผมหาทางเอง”
“ไม่ได้ รอดมาได้ขนาดนี้แล้ว จะมายอมง่ายๆ ได้ยังไง”
ไผ่พญารีบพยุงภูวนัยออกไป

ลำไยเดินหัวเสียมาตามทาง พร้อมกับดอกไม้ธูปเทียน
“เอาวะ เล่นไพ่ไม่เคยได้ ลองขูดเลขดูเพื่อจะมีโชคทางนี้”
ระหว่างนั้นเห็นลูกน้องของพายัพสองคนเดินออกมาจากซอย
“มันจะกลับมาอยู่แถวนี้จริงๆ เหรอพี่”
“เออ...ก็เห็นไอ้ปึ้ดมันบอกอยู่ว่าเห็นแม่มัน”
“ไอ้ปึ้ดที่ส่งยาให้เราน่ะเหรอพี่”
“เออ”
ทั้งสองคุยกันก็เดินชนเข้ากับลำไย
“เฮ้ย! อะไรวะ ชนซะโชคกระเด็นเลย” แต่แล้วลำไยก็ต้องช็อคตาตั้งเมื่อเห็นว่าเป็นลูกน้องของพายัพ “ห๊า”
ลำไยรีบกลับตัวจะวิ่ง แต่ลูกน้องของพายัพก็คว้าลำไยเอาไว้
“จะไปไหน ตายยากจริงๆ นะแก พวกฉันเพิ่งพูดถึงแกแหม่บๆ”
“ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่รู้อะไร”
“ไม่ต้องกลัวน่า พวกเราแค่จะชวนแกไปนั่งรถเล่น...ไป”
ลูกน้องพายัพทั้งสองบังคับลำไยให้เดินออกไป

ขณะนั้นไผ่พญาพยุงภูวนัยเดินมาตามทางเดิน ภูวนัยรู้สึกเจ็บแผลจนเดินไม่ไหว ขณะที่ชายแปลกหน้าทั้งสองก็กำลังตามมา ภูวนัยชั่งใจแล้วบอกไผ่พญา
“เข้าไป” ไผ่พญางงกับที่ภูวนัยพูดก่อนจะเห็นซอยที่อยู่ข้างๆ ไผ่พญาจึงพาภูวนัยเข้าไปหลบ “คุณไปเถอะ”
“ไม่”
“คุณต้องเชื่อผม”
ภูวนัยพูดจริงจัง ทำให้ไผ่พญาไม่รู้จะทำยังไง
ชายแปลกหน้าทั้งสองที่กำลังเดินตามมา ทันใดนั้นก็เห็นไผ่พญาวิ่งออกจากตรอก
“นั่น”
ชายแปลกหน้าทั้งสองรีบวิ่งตามไผ่พญาไป ไผ่พญาเลี้ยวตรงอีกมุมก็วิ่งสปีดด้วยความว่องไว ชายแปลกหน้าทั้งสองเลี้ยวตาม แต่พอชายแปลกหน้าตามมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
“อ้าว”

ไผ่พญาวิ่งมาตามทางเดิน ก่อนจะกลับมาหาภูวนัยที่นั่งหลบอยู่หลังกองไม้
“พวกมันไปแล้วใช่มั้ย”
ไผ่พญาพยักหน้า
“คิดได้ยังไงให้ฉันเป็นตัวล่อพวกนั้น”
“เอ้า ก็ผมบอกให้คุณทิ้งผม คุณก็ไม่ทำนี่ ถ้าจะรอดจากพวกนั้นก็มีวิธีเดียวแหละ”
“ชิ...มา ลุกไหวมั้ย” ไผ่พญาค่อยๆ พยุงภูวนัยลุกขึ้น ภูวนัยแอบมองไผ่พญาด้วยความซึ้งใจ ไผ่พญาหันมาก่อนจะเห็นภูวนัยหันมองอยู่พอดี “อะไร”
“ขอบคุณ”
ไผ่พญาเขินจนทำตัวไม่ถูกเลย
“เร็ว ไป เอาไว้ให้รอดจากพวกนั้นจริงๆ ก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้”
ระหว่างนั้นทั้งไผ่พญากับภูวนัยก็เห็นลำไยถูกลูกน้องพายัพสองคนจับตัวมา
“ปล่อยฉันเถอะ ฉันไม่รู้อะไรจริงๆ”
“แม่”
ลูกน้องทั้งสองคนของพายัพหันมาก็เห็นไผ่พญา ลำไยอาศัยจังหวะนั้นถีบไปที่ลูกน้องของพายัพคนที่จับตัวเธอ ก่อนที่จะรีบวิ่งหนีทันที
“นังบ้า” ลูกน้องจะตาม
“ไม่ต้อง”
ลูกน้องห้ามลูกน้องอีกคนเอาไว้ ก่อนจะหันมามองไผ่พญาที่กำลังพยุงภูวนัยอยู่ ไผ่พญาหน้าซีดเพราะนี่มันยิ่งกว่าหนีเสือปะจระเข้อีก

ภูวนัยกับไผ่พญาถูกลูกน้องพายัพบังคับเดินมาที่รถที่จอดอยู่
“เดินไปซิวะ”
ลูกน้องสองเข้ามาผลักภูวนัยกับไผ่พญาให้เดินต่อ ไผ่พญาเห็นสถานการณ์ก็รู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“นี่ ฉันว่าเราคงมีเรื่องเข้าใจกันผิดแน่ๆ ของที่ลูกพี่นายอยากได้ ฉันก็ให้ไปหมดแล้วนี่”
“ไม่รู้เว้ย หุบปากเลย”
“ถ้าอย่างนั้นขอผมคุยกับเจ้านายคุณได้มั้ย”
“โว้ย! พอแล้ว ถ้าพวกแกขืนพูดอีกคำเดียวก็ไม่ต้องเดินไปไหนแล้ว ฉันจะยิงแกทิ้งตรงนี้แหละ”
ภูวนัยกับไผ่พญาต่างชะงักสันหลังเย็นวาบ ลูกน้องพายัพดันให้ไผ่พญาเดิน ขณะที่ภูวนัยก็ถูกลูกน้องอีกเอาปืนดันหลังบังคับให้เดินไป แล้วภูวนัยก็หันไปเห็นเหล็กท่อนหนึ่งอยู่ที่พื้นห่างออกไปไม่ไกล ภูวนัยครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจจะทำบางอย่าง
ภูวนัยอาศัยจังหวะที่ลูกน้องพายัพเผลอเตะเข้าไปที่ปืนที่ลูกน้องพายัพถืออยู่ จนปืนกระเด็นหลุดมือ ภูวนัยหันไปต่อยลูกน้องอีกคนจนเซถลาไป ภูวนัยรีบคว้าท่อนเหล็กที่เล็งเอาไว้ขึ้นมาฟาดลูกน้องพายัพที่กำลังวิ่งเข้ามาจนลูกน้องล้มไป
ลูกน้องอีกคนหยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่ภูวนัย ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็เตะจนปืนของลูกน้องพายัพกระเด็นหลุดไปอีกคน ภูวนัยรีบกระโดดล็อคคอลูกน้องพายัพก่อนจะตะโกนบอกไผ่พญา
“หนีไป...เร็ว”
“ไม่ นายต้องไปด้วย”
“บอกให้หนีไปไง...เร็วซิ”
ภูวนัยตะคอกไผ่พญาเสียงดังจนไผ่พญาวิ่งออกไปเพราะความตกใจ ภูวนัยกับลูกน้องพายัพต่างกำลังยื้อยุดกันสุดกำลัง แล้วลูกน้องอีกคนก็กระทุ้งศอกเข้าไปที่ท้องของภูวนัย ภูวนัยเจ็บแผลทรุดลงไปกองกับพื้น ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็ตกใจเพราะลูกน้องพายัพกำลังหันปืนเล็งมาที่ภูวนัย
“ไม่”

ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น ปัง! ไผ่พญาแทบช็อก ท่าทีตื่นตะหนก

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 10 (ต่อ)

ครั้นเมื่อทุกอย่างสงบลง ลูกน้องพายัพกลับเป็นฝ่ายทรุดลงไปกองกับพื้น ภูวนัย ไผ่พญาและลูกน้องพายัพอีกคนต่างแปลกใจ เพราะเห็นชายแปลกหน้าทั้งสองคนยิงช่วยภูวนัยเอาไว้

เมื่อลูกน้องของพายัพเห็นอย่างนั้นก็หันมายิงใส่ชายแปลกหน้าทั้งสองทันทีเพื่อเปิดทาง ก่อนที่ลูกน้องของพายัพคนนั้นจะรีบวิ่งหนีไป
ชายแปลกหน้าทั้งสองจะตามแต่ลูกน้องายัพยิงสกัดจนหนีไปได้ ชายแปลกหน้าทั้งสองเดินถือปืนตรงเข้ามาหาภูวนัยกับไผ่พญา ภูวนัยกับไผ่พญาคิดว่าต้องโดนยิงทิ้งแน่ๆ แต่แล้วชายแปลกหน้าทั้งสองกลับยืนทำความเคารพภูวนัย
“ไม่ต้องกลัวครับ พวกเราเป็นตำรวจ”
ไผ่พญากับภูวนัยต่างงงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

ชายแปลกหน้าซึ่งก็คือตำรวจนอกเครื่องแบบนั่นเอง เดินนำไผ่พญาที่พยุงภูวนัยเข้ามาภายในเซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง
“ให้ผมพยุงหมวดภูวนัยดีกว่า”
“ไม่เป็นไรคะ ฉันพยุงเขาเองดีกว่า”
“ถ้างั้นคุณสองคนรอตรงนี้ก่อน”
ตำรวจคนนั้นเดินออกไป ไผ่พญามองไปรอบๆ เซฟเฮ้าส์อย่างระแวดระวัง
“นายว่าพวกนั้นจะฆ่าเราหรือเปล่า”
“ไม่หรอก ถ้ามันจะฆ่าเรามันคงทำไปนานแล้ว”
ระหว่างนั้นเสียงของชายคนนึงก็ดังขึ้น
“หมวดภูวนัย”
ภูวนัยกับไผ่พญาหันไปตามเสียง
อภิวัฒน์ นายตำรวจน้ำดีเดินเข้ามาพร้อมกับตำรวจผู้เป็นตำรวจติดตาม ภูวนัยเห็นอภิวัฒน์ก็จำได้ทันที
“สวัสดีครับ”
ภูวนัยทำวันทยาหัต ไผ่พญามองภูวนัยงงๆ แล้วเผลอทำวันทยาหัตตาม
“สวัสดี เอ๊ย” ไผ่พญานึกได้เปลี่ยนเป็นไหว้ “สวัสดีคะ”
“หมวดรู้จักผมเหรอ” อภิวัฒน์ถามภูวนัย
“ท่านคือพลตำรวจเอกอภิวัฒน์ ผู้บัญชาการกองสอบสวนกลางครับ...ในอดีตท่านเป็นผู้การจังหวัดมาหลายจังหวัด ผลงานที่โดดเด่นของท่านคือการปราบปรามผู้มีอิทธิพล”
“ไม่เสียแรงที่ผมเลือกคุณ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“เลือก”
“เรื่องนี้เราคงต้องคุยกันยาว”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็จะเดินไป แต่ไผ่พญารั้งแขนเอาไว้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว
“ไม่ต้องห่วง...ผมขอรับรองความปลอดภัยคุณสองคนด้วยเกียรติของผม”
อภิวัฒน์บอก ภูวนัยกับไผ่พญาต่างเบาใจแต่ยังไม่ทั้งหมด

ภูวนัยนั่งอยู่ภายในห้องทำงานอภิวัฒน์ที่ดูสะอาดสะอ้านและทันสมัย
“ก่อนอื่น ผมคงต้องขอโทษเรื่องที่ทำให้คุณเข้าใจลูกน้องผมผิด”
“ไม่เป็นไรครับท่าน ผมอยากทราบเรื่องที่ท่านบอกว่า...ท่านเลือกผม...มันเรื่องอะไรกันครับ”
อภิวัฒน์ยังไม่ตอบ แต่เดินไปที่เครื่องแบบตำรวจที่แขวนเอาไว้อยู่ที่ผนัง ข้างๆ มีทั้งโล่ รูปภาพและรางวัลต่างๆมากมาย
“แต่ก่อนประชาชนพูดถึงเราว่า ตำรวจจับโจร...แต่เดี๋ยวนี้หมวดรู้มั้ยว่าประชาชนเขาพูดถึงเรายังไง” ภูวนัยนิ่ง “เขาบอกว่าเราน่ะเลี้ยงโจร หมวดรู้สึกยังไง”
“แล้วท่านถามผมทำไมครับ”
“เพราะเพื่อนรักที่สุดของหมวดก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่เหรอ” ภูวนัยถึงกับนิ่งงันไปพูดไม่ออก “ทุกองค์กรย่อมมีคนดีและคนไม่ดี แต่องค์กรของเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ย่อมหมายความว่า ตำรวจต้องเป็นคนดีเพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ประชาชนจะไปพึ่งใคร” อภิวัฒน์พูดเสร็จแล้วเดินมาที่ป้ายชื่อของตัวเองที่ตั้งอยู่ ก่อนจะพลิกอีกด้านมาให้ภูวนัยดู “ผมได้รับมอบหมายจากเบื้องผม ให้จัดตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมา เพื่อจัดการกับตำรวจไม่ดีพวกนั้น”
“ถ้าถึงขนาดที่ท่านต้องตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมา แสดงว่าตำรวจไม่ดีพวกนั้นคงมีอยู่ไม่น้อย”
“นอกจากไม่น้อยแล้ว ยศและตำแหน่งก็ไม่น้อยเหมือนกัน” ภูวนัยแทบไม่อยากจะเชื่อ “แล้วคุณคิดว่าที่หมวดชาติกล้ายิงคุณอย่างนี้ เขาจะกล้าทำโดยที่ไม่มีแบ๊คหรือไง วศินเป็นแบ๊คให้หมวดชาติกล้าหรือจะพูดอีกอย่างก็คือ...หมวดชาติกล้า ทำงานให้กับวศิน”
“ท่านวศินเหรอครับ”
“แม้กระทั่งผู้กำกับมารุตที่คุณทำงานให้ก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ภูวนัยถึงกับช็อค
“อะไรนะครับ”
“ที่จริงแล้วผมขอตัวคุณมาทำงานให้ผมตั้งนานแล้ว แต่มารุตเขาเห็นว่าคุณหน่วยก้านใช้ได้ก็เลยใช้คุณไปต่อกรกับวศิน เพราะทั้งสองคนนี้เขามีผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกันอยู่”
“แล้วทำไมท่านไม่แจ้งคณะกรรมการครับ”
“แล้วหมวดรู้เหรอว่าคณะกรรมการที่มีอยู่ไม่ใช่คนของพวกนั้น” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนกับเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง “นอกจากพวกนั้นจะสร้างอำนาจในองค์กรตำรวจแล้ว พวกมันยังแผ่อิทธิพลไปยังสื่อ ตอนที่พวกนั้นสร้างข่าวใส่ร้ายหมวดว่าเป็นสายให้กับพวกค้ายา ผมเองก็พยายามล้างมลทินให้หมวด ผมส่งข้อมูลตำรวจไม่ดีพวกนี้ให้กับสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะทีวีหรือหนังสือพิมพ์ แล้วเกิดอะไรขึ้นรู้มั้ย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
“แล้วท่านได้ข้อมูลพวกนั้นมาได้ยังไงครับ”
“จากคนที่หมวดคิดไม่ถึงก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร และที่สำคัญถึงเราจะมีข้อมูลพวกนั้น แต่ถ้าเราไม่มีหลักฐาน เราก็ทำอะไรไม่ได้” อภิวัฒน์มองภูวนัยด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยวจริงจัง “ผมอยากให้หมวดทำงานนี้”
ภูวนัยนิ่งไป ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี

พายัพอยู่ที่บ้านกำลังยิ้มร่าท่าทางมีความสุข
“แล้วยังไงต่อ”
ลูกน้องคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้สองต่อสองกับพายัพกลางบ้าน โดยมีลูกน้องคนอื่นๆ ยืนอยู่ห่างๆ
“ผมกำลังพาแม่มันจะกลับมาให้พี่ แต่ตอนนั้นอยู่ๆ นังนั่นก็โผล่มา”
“แล้วแกทำยังไง”
“พี่...ผมได้ตัวนังนั่นมาแล้วจริงๆ นะครับ” ลูกน้องบอกย่างกลัวๆ พายัพโกรธ
“กูบอกให้เล่าก็เล่ามา” ลูกน้องได้ยินที่พายัพตวาดถึงกับตัวสั่น “แกรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงขึ้นมาอยู่จุดนี้ มีหลักง่ายๆ แค่สองข้อ...หนึ่งต้องไม่พลาด...สอง...ก็ต้องไม่พลาด เพราะถ้าพลาดก็หมายถึงอะไรรู้มั้ย...ตายไง”
“ผมขอโทษครับพี่”
พายัพถอนหายใจ
“ฉันได้ยินคำขอโทษแกบ่อยมากเลยวะ” พายัพดีดนิ้ว ก่อนจะเห็นลูกน้องอีกคนถือถาดที่มีโคเคนอยู่เต็มถาดเข้ามา “แกเป็นลูกน้องที่ฉันรักมาก ฉันก็อยากให้แกตายอย่างมีความสุข”
พายัพยื่นถาดที่มีผงโคเคนอยู่เต็มให้ลูกน้อง ลูกน้องกลัวมากถึงกับลงไปนั่งกอดขาพายัพ
“พี่...พี่ปล่อยผมไปเถอะ ต่อไปผมจะไม่พลาดอีก ถ้าคราวนี้ไม่มีพวกตำรวจนั่นมาช่วย ผมเอานังนั่นมาให้พี่ได้แน่ๆ”
“แกว่าอะไรนะ...ตำรวจ”
“ใช่พี่ ตำรวจพวกนั้นมาจากไหนไม่รู้ อยู่ๆ มันก็มาช่วยนังนั่นเอาไว้”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็สงสัยขึ้นมาทันที

พายัพให้ชาติกล้าสืบเรื่องนี้ จากนั้นก็นัดเจอกันที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง พายัพยืนอยู่บนดาดฟ้าตึกร้าง พายัพค่อยๆ ขยับเท้าไปชิดขอบตึกเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดแล้วมองออกไปเบื้องหน้า ระหว่างนั้นเสียงชาติกล้าดังขึ้น
“ไม่กลัวตกลงไปหรือไง”
พายัพไม่หันไปมอง ชาติกล้าเดินเข้ามายืนข้างๆ พายัพอย่างไม่กลัวตกเช่นกัน
“ฉันกลัวขึ้นไม่สุดมากกว่า”
“ตำรวจคนที่ลูกน้องแกบอก อยู่กองปราบ” ชาติกล้าเรื่อง
“กองปราบ... แล้วมันมาเกี่ยวอะไร แกแน่ใจนะว่าไอ้ภูมันไม่มีพรรคพวกที่ไหนอีก”
“แกก็รู้ว่าวงการนี่ ไม่มีอะไรที่มันแน่นอน แต่เท่าที่ฉันอยู่กับมันมา ฉันคิดว่าไม่มี”
“ไง แกอยากให้ฉันจัดการมันให้มั้ย”
ชาติกล้าเหี้ยมขึ้นมาทันที
“ไม่ต้อง แกยุ่งเรื่องที่แกต้องทำเถอะ ฉันจัดการได้” ชาติกล้าหันหลังจะเดินออกแต่เหมือนชาติกล้าจะนึกขึ้นได้
“อ๋อ...พักนี้เราเจอกันบ่อยเกินไป ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าติดต่อมา”
ชาติกล้าเดินไป พายัพแค่นยิ้มก่อนจะพูดขึ้น
“คงไม่ได้วะ” ชาติกล้าชะงัก “ถ้าขืนฉันหายไปเลย เดี๋ยวแกจะลืมว่าตัวแกเป็นสีดำ ไม่ใช่สีกากี”
ชาติกล้านิ่งไปก่อนจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร พายัพหันกลับมามองตามแล้วหรี่ตาร้าย

ภูวนัยยืนทอดอารมณ์อยู่ริมน้ำ ไผ่พญาเดินเข้ามา
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า ตั้งแต่นายคุยกับนายตำรวจคนนั้น ก็เห็นนายเงียบๆ ไป”
ภูวนัยยังครุ่นคิดถึงสิ่งที่อภิวัฒน์บอกกับเขา
“คุณเคยโกหกอะไรผมหรือเปล่า”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นถึงกับสะดุ้ง
“ห๊า!”
“สิ่งที่ผมรู้มาวันนี้ มันทำให้ผมรู้ว่าผู้คนรอบข้างผม ไม่เคยมีใครจริงใจกับผมเลย ทุกคนโกหกผมไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เจ้านาย หรือแม้แต่การเป็นตำรวจที่ผมศรัทธา”
“เอ่อ จริงๆ แล้ว”
ไผ่พญาอยากจะบอกเรื่องที่เธอไม่ใช่ครู แต่ภูวนัยกลับพูดขึ้นซะก่อน
“ขอโทษนะ”
“หือ”
“ก็ที่ผมทำให้ชีวิตคุณวุ่นวายอย่างนี้ แทนที่คุณจะได้สอนหนังสือใช้ชีวิตที่สงบสุขของคุณไป”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นลิ้นยิ่งจุกปากพูดไม่ออก
“เล่นพูดมาซะขนาดนี้ แล้วจะไปยังไงละเรา” ไผ่พญาแอบบ่น
“คุณว่าอะไรนะ”
“อ๋อ...เปล่า ฉันแค่อยากจะบอกนายว่าที่นายบอกว่าทุกคนโกหกนาย บางทีนายตำรวจใหญ่คนนั้นอาจจะโกหกนายอีกคนเพื่อให้นายไม่สบายใจก็ได้”
ไผ่พญาอยากจะพูดปลอบเพื่อให้ภูวนัยสบายใจ แต่กลายเป็นภูวนัยเชื่อ
“ก็อาจจะจริงของคุณ ตอนนี้ผมเชื่อใครไม่ได้อีกแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะผมขออยู่คนเดียวซักพัก”
“จะดีเหรอ นายยังไม่หายดีนะ”
“ผมไม่เป็นไรหรอก เพราะผมยังมีงานต้องทำ”
ไผ่พญาสงสัยในคำพูดของภูวนัย ก่อนจะเดินออกไปแต่ก็ยังเหลียวหลังมองมาที่ภูวนัยด้วยความเป็นห่วง
ภูวนัยมองตามไผ่พญาจนลับสายตาแล้วภูวนัยก็หยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมาดูแล้วคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
อภิวัฒน์ยื่นปืนกระบอกนึงให้กับภูวนัย
“ผมเชื่อว่าตอนนี้พวกมันคงจะตามหาหมวดแทบจะพลิกแผ่นดิน เก็บเอาไว้ดูแลตัวเอง”
ภูวนัยหยิบปืนขึ้นมาดู
ภูวนัยกำลังดูปืนในมือด้วยความแค้น
“ไอ้ชาติ”

วันต่อมาภูวนัยเดินเข้ามาหยุดที่หน้าคอนโดชาติกล้า ภูวนัยที่ใส่หมวกยืนมองขึ้นไปบนชั้นที่ชาติกล้าอยู่ด้วยความคับแค้น ภูวนัยเห็น รปภ.กำลังโบกรถให้เข้า - ออกอยู่ ภูวนัยมองไปที่ป้อมยาม
ภูวนัยเข้ามาหยิบคีย์การ์ดของรปภ.ที่ห้อยอยู่ในตู้ ภูวนัยเดินเข้ามาที่ประตูหน้าล๊อบบี้ พนักงานต้อนรับมองจับจ้องภูวนัย เพราะไม่คุ้นหน้า ภูวนัยรู้ว่าถูกจับจ้องอยู่เลยแกล้งหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาระหว่างที่กำลังจะถึงประตูกั้น พนักงานต้อนรับเห็นภูวนัยมีคีย์การ์ดจึงไม่ได้ติดใจอะไร แล้วหันกลับไปเล่นโทรศัพท์เหมือนเดิม ภูวนัยเดินผ่านเข้ามาจนถึงหน้าลิฟต์ ภูวนัยกดเรียกลิฟต์
พนักงานทำความสะอาดกำลังทำความสะอาดที่พื้น ระหว่างนั้นชาติกล้าเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี
“อุ้ย...ขอโทษคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ชาติกล้าเดินผ่านพนักงานความสะอาดมา ก่อนจะเดินมาที่ลิฟต์แล้วกดเรียกลิฟต์ ลิฟต์กำลังไต่ระดับขึ้นมา
ภูวนัยอยู่ภายในลิฟต์ เขาแอบชำเลืองมองกล้องวงจรปิด ภูวนัยบิดกระเป๋าสะพายให้มาไว้อีกข้าง
ชาติกล้ารอลิฟต์อยู่ด้านนอก คุณป้าคนนึงกำลังรอลิฟต์อยู่เช่นกันขณะที่ลิฟต์ใกล้จะถึงชั้นที่เขายืน ภายในลิฟต์ภูวนัยค่อยๆ รูดซิปกระเป๋าออก ก่อนจะเอามือซุกเข้าไปจับปืนเพื่อเตรียมพร้อม ลิฟต์กำลังจะถึงชั้นที่ชาติกล้าอยู่ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของชาติกล้าดังขึ้น ชาติกล้าหยิบมือถือออกมาดูก่อนจะมองไปที่ป้าที่ยืนอยู่ด้วย ชาติกล้าจึงเดินเลี่ยงไปทางบันไดหนีไฟ จังหวะเดียวกันประตูลิฟต์เปิดออก ภูวนัยก้าวออกมาจากประตูลิฟต์ทำให้เขาคลาดกับชาติกล้าเพียงนิดเดียวเท่านั้น ขณะที่คุณป้าเดินเข้าลิฟต์ไป
ชาติกล้ากำลังคุยโทรศัพท์กับวศิน
“ครับท่าน...ท่านอยากนัดห้าเสือเหรอครับ...ได้ครับ...เดี๋ยวผมขอจัดการธุระตอนเช้าเสร็จแล้ว ผมจะเข้าไปหาท่าน”
ชาติกล้าวางสายก่อนจะเดินออกมาที่หน้าลิฟต์แล้วกดลิฟต์อีกครั้ง

ภูวนัยเดินมาตามทางเดินมุ่งหน้ามาที่ห้องของชาติกล้า ภูวนัยเตรียมพร้อมจับปืนที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย

แต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไปเพราะมีพนักงานทำความสะอาดอยู่แถวนั้น

ชาติกล้ายืนรอลิฟต์อยู่อีกมุม ภูวนัยเดินมาที่หน้าห้องของชาติกล้าก่อนจะมองพนักงานทำความสะอาดที่กำลังทำเลยไป ภูวนัยเดินมากำลังจะใช้วิธีกุญแจผีเปิดประตูห้องชาติกล้า

แต่พนักงานทำความสะอาดหันมามองซะก่อน พอเห็นภูวนัยอยู่หน้าห้องชาติกล้าจึงพูดขึ้น
“คุณชาติเพิ่งออกไปเมื่อกี้เองค”ะ
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร รีบเดินกลับไปทางเก่าทันที พนักงานทำความสะอาดมองตามด้วยความสงสัยในการไม่พูดไม่จาของภูวนัย
ชาติกล้ายังยืนรอลิฟต์อยู่ ขณะที่ภูวนัยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าลิฟต์ ลิฟต์มาถึงประตูลิฟต์เปิดออก ชาติกล้าก้าวเข้าไปในลิฟต์ ภูวนัยเดินมาจนเกือบถึงหน้าประตูลิฟต์ แต่พอภูวนัยเดินพ้นมุมมาถึงหน้าประตูลิฟต์ก็เห็นประตูลิฟต์กำลังปิดสนิทลงพอดี ภูวนัยรีบวิ่งเข้ามากดปุ่มเผื่อจะทันประตูลิฟต์ แต่ก็ไม่ทันภูวนัยจึงตัดสินใจวิ่งลงบันไดหนีไฟไป

ภูวนัยวิ่งออกมาที่หน้าคอนโดมองไปรอบๆ เพื่อหารถของชาติกล้า ระหว่างนั้นเห็นรถของชาติกล้าแล่นมาพอดี ภูวนัยมองเข้าไปในรถก็เห็นว่าเป็นชาติกล้า ภูวนัยรีบหันหลังแล้วแอบชำเลืองมองก่อนจะเห็นชาติกล้าขับรถพ้นออกไป ภูวนัยคิดหาวิธีตามชาติกล้าทันที

ชาติกล้ามาที่วัดแห่งหนึ่งและยืนอยู่หน้าโกศที่มีรูปของนายตำรวจท่านนึงอยู่ข้างหน้า ชาติกล้ายื่นมือไป
กวาดเศษใบไม้ออกจากโกศแล้วยืนมองนายตำรวจที่อยู่ในรูป
“ถ้าพ่อยังอยู่ ผมอยากจะถามพ่อซักคำ ว่าการเป็นตำรวจดีมันให้อะไรกับพ่อ แม้แต่วันนี้วันที่พ่อตายเพื่อคนอื่นก็ไม่มีใครจำได้” ชาติกล้าหยิบธูปมาแล้วจุดก่อนจะปักลงที่กระถาง “ผมรู้ว่าผมเป็นตำรวจที่ไม่ดี แต่ผมมีเงินทองมีทุกอย่างที่ผมต้องการ”
เสียงของภูวนัยดังขึ้น
“แต่แกไม่มีเกียรติของตำรวจ”
ชาติกล้าหันไปตามเสียง แล้วชาติกล้าก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยเดินถือปืนตรงมาที่เขา
“ไอ้ภู”
“ชาติ แกมาเป็นตำรวจเพราะอย่างนี้เหรอ”
“ทำไม...แกจะยิงฉันเหรอ”
“ฉันเคยคิดว่าแกเป็นเพื่อนรักที่จะไม่ทรยศหักหลังฉัน แต่แกกลับเลือกเงินสกปรกพวกนั้นมากกว่าความเป็นเพื่อน มากกว่าความถูกต้อง”
“แล้วฉันผิดตรงไหน ใครๆ เขาก็ทำกัน แกต่างหากไอ้ภูฉันเคยบอกให้แกหลับตาข้างนึง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบ้างแต่แกกลับทำตัวขวางทางขวางโลก ภู...แกคิดว่าฉันไม่เสียใจหรือไงที่ยิงแก ภู...เราร่วมมือกันอีกครั้งเถอะ แกก็รู้ว่าถ้าเราจับมือกันก็ไม่มีใครที่จะหยุดเราได้”
“แม้กระทั่งท่านวศินด้วยเหรอ” ชาติกล้าชะงัก “ส่งปืนมา”
ชาติกล้าค่อยๆ หยิบปืนออกจากซองปืนที่อยู่ภายในเสื้อแจ๊คเก๊ต ก่อนจะวางไว้กับพื้น
“เริ่มหูตาสว่างแล้วใช่มั้ย แล้วแกรู้อะไรอีก” ชาติกล้าเตะปืนส่งให้ภูวนัย
“ทุกคนหลอกใช้ฉัน แม้แต่ผู้กำกับ”
“ถ้าอย่างนั้นแกก็คงจะรู้เรื่องเหมือนฝันแล้วซิ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็สงสัย ขณะที่ชาติกล้าแอบปืนที่อยู่ที่พื้น
“เหมือนฝัน”
“อ้าว...นี่แกไม่รู้หรอกเหรอว่าแฟนแกน่ะเกี่ยวข้องกับพวกค้ายาเสพติด”
“ค้ายาเสพติด...ไม่จริง ไอ้ชาติ แก...แกโกหกฉัน”
“ฉันจะโกหกแกทำไม แกจำวันที่แกโดนยิงได้มั้ย แกเข้าใจมาตลอดว่าแกคือเป้าหมาย แต่แกไม่รู้หรอกว่าเป้าหมายจริงๆ ก็คือ เหมือนฝันต่างหาก”
ภูวนัยถึงกับชะงักอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินจากชาติกล้า ชาติกล้าเห็นภูวนัยอึ้งอยู่อย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าเป็นโอกาส ชาติกล้าหันไปคว้ากระถางธูปก่อนจะปาใส่ภูวนัย ภูวนัยหลบทันชาติกล้าฉวยโอกาสนั่นรีบวิ่งหนีออกไป

ชาติกล้าวิ่งมาตามทางมีภูวนัยวิ่งตามมา ภูวนัยยิงใส่ชาติกล้า เปรี้ยง! กระสุนถากไปโดนต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ ขณะที่ภูวนัยกลับเจ็บเพราะแรงสะท้อนของปืน ภูวนัยวิ่งต่อ ชาติกล้าวิ่งต่อมาที่ศาลาเห็นชาวบ้านกำลังมาถวายสังฆทาน ชาติกล้าวิ่งเข้าไปในกลุ่มชาวบ้านหวังว่าจะใช้ชาวบ้านเป็เกราะป้องกัน ภูวนัยกวาดปืนไปมาแต่เพราะอาการเจ็บที่ยังไม่หายดีของเขาทำให้กลัวชาวบ้านจะโดนลูกหลง ภูวนัยตัดสินใจยิงขึ้นฟ้า เปรี้ยง!
“หลบไป”
สิ้นเสียงปืนชาวบ้านต่างตกใจแตกกันกระเจิงวิ่งหนีกันวุ่นวาย ชาติกล้าเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งต่อ ภูวนัยวิ่งฝ่ากลุ่มชาวบ้านไล่ตามชาติกล้าไปติดๆ

ชาติกล้าวิ่งต่อมาก่อนที่ชาติกล้าจะชะงักไปเพราะข้างหน้าเป็นคลอง ชาติกล้าหมดหนทางไป ภูวนัยวิ่งตามเข้ามา ชาติกล้าค่อยๆ หันมา
“เอาซิ ทีของแกแล้ว”
“ไอ้ชาติ แกกลับตัวกลับใจไม่ได้จริงเหรอวะ”
ขณะนั้นมีสายตรวจขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาตรวจตู้แดงที่อยู่ท้ายวัด
“ไอ้ภู แกคิดว่าฉันเป็นคนเลวจริงเหรอ”
ภูวนัยชะงักอยากฟัง สายตรวจกำลังจะขับมอเตอร์ไซค์ผ่าน ระหว่างนั้นสายตรวจทั้งสองก็เหลือบมาเห็นภูวนัยกับชาติกล้าที่ท่าน้ำ แล้วสายตรวจก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยกำลังเอาปืนจ่อชาติกล้าอยู่
“แกไม่คิดเหรอว่าที่แกรอดมาได้เพราะฉันต้องการให้แกรอด”
“ชาติ เลิกเล่นละครได้แล้ว ฉันไม่มีทางเชื่อแกอีก”
ชาติกล้ายกมือขึ้นก่อนจะเอาตัวเข้ามาติดกับปืนที่ภูวนัยจ่ออยู่
“ยิงสิ แกจะได้เชื่อ”
ชาติกล้าสบตาภูวนัย ทั้งสองสบตากันนิ่ง ขณะนั้นชาติกล้าเห็นสายตรวจกำลังวิ่งเข้ามาทางด้านหลังภูวนัย
ภูวนัยตัดสินใจเอานิ้วออกจากโกร่งไก แต่แล้วเสียงของสายตรวจก็ดังขึ้น
“วางปืนลงเดี๋ยวนี้”
ภูวนัยหันไปอย่างตกใจ ชาติกล้าฉวยโอกาสปัดปืนของภูวนัยออก ภูวนัยไม่ทันระวังจึงทำให้ปืนหลุดมือ
ชาติกล้าต่อยเข้าไปที่ท้องของภูวนัย ภูวนัยร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะโดนแผลที่ยังไม่หายสนิท
“อ้าก”
ภูวนัยฝืนเจ็บแล้วตอบโต้ชาติกล้า ภูวนัยต่อยเข้าไปที่หน้าของชาติกล้าจนชาติกล้าเซถลาไป ภูวนัยวิ่งไปหยิบปืนแล้วก็เห็นว่าสายตรวจกำลังวิ่งเข้ามา ภูวนัยรีบหยิบปืนแล้วรีบวิ่งออกไป ชาติกล้าหันไปบอกกับสายตรวจที่วิ่งเข้ามา
“ผมเป็นหัวหน้าหน่วยปปส.ผู้ชายคนนั้นเป็นคนร้ายหลบหนี”
สายตรวจได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามภูวนัยไปทันที ชาติกล้าลุกขึ้นมองตามภูวนัยอย่างเจ็บใจที่เกือบเสียท่าให้กับภูวนัย

ลำไยชะโงกหน้าออกมาจากประตูบ้านเช่าแล้วค่อยๆ ย่องออกมาพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า ลำไยเอากระดาษที่เขียนโน๊ตติดที่ประตู
“ดูแลตัวเองแล้วกันเว้ยไอ้ไผ่”
“แม่จะไปไหน” เสียงไผ่พญาดังขึ้นทางด้านหลัวลำไย
“เอ้า...ก็ไป” แล้วลำไยก็นึกได้ ก่อนจะหันมาแล้วตกใจเมื่อเห็นไผ่พญายืนอยู่ ในมือถือข้าวกล่องมาสามกล่อง
“ไอ้ไผ่”
ไผ่พญาหยิบกระดาษจากมือลำไยไปอ่าน
“แม่ นี่แม่จะทิ้งฉันไปอีกแล้วเหรอ”
“เออซิวะ แล้วเมื่อวานแกไม่เห็นหรือไงว่าฉันโดนอะไร แล้วยิ่งลูกน้องมันมาตายอย่างนี้ คิดว่ามันจะปล่อยแกกับฉันเอาไว้หรือไง”
“แม่ อย่าไปเลยนะ ตอนนี้ฉันไม่รู้จะให้ใครช่วยจริงๆ”
ลำไยมองหน้าไผ่พญา ก่อนจะถามโต้งๆ ขึ้นมา
“แกชอบเขาเหรอ”
“อะไรแม่”
“แกคิดว่าฉันดูไม่ออกหรือไง ถ้าแกไม่ได้ชอบเขา แล้วทำไมต้องยอมเสี่ยงชีวิตช่วยเขา ทั้งๆ ที่ตัวแกเองก็ยังเอาตัวไม่รอด” ไผ่พญานิ่งไปเหมือนต้องการสำรวจความรู้สึกตัวเอง “ฉันบอกให้นะไอ้ไผ่ แกกับเขาน่ะรักกันไม่ได้หรอก เขาเป็นตำรวจ แล้วแกละเป็นอะไร”
“พอได้แล้วแม่ ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ชอบก็ไม่ได้ชอบซิ” ไผ่พญาทำหงุดหงิดแล้วเดินเข้าไปในบ้าน แต่พอไผ่พญาเปิดประตูออกก็ไม่เห็นภูวนัย “อ้าว...แล้วคุณภูละแม่”
“ไม่รู้เว้ย ฉันลงมาก็ไม่เห็นแล้ว”
ไผ่พญาสงสัยและเป็นห่วงภูวนัยขึ้นมาทันที

ภูวนัยพยายามพาตัวเองกลับมาในชุมชน ภูวนัยเจ็บแผลที่ท้องที่เพิ่งโดนชาติกล้าต่อยมา ขณะนั้นไผ่พญากำลังเดินตามหาภูวนัยมาอีกมุม
“ไปไหนของเขานะ” แล้วไผ่พญากับภูวนัยก็เดินมาจนเกือบจะชน ไผ่พญาร้องโวยวายก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วเห็นว่าเป็นภูวนัยนั่นเอง “ไปไหนมา”
“ก็...ไปเดินเล่นแถวนี้”
“เดินเล่น สภาพอย่างนี้เนี่ยนะ”
“ทำไม ตอนนี้ผมแข็งแรงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว”
ภูวนัยทำท่าเบ่งกล้ามให้ไผ่พญาดู ไผ่พญาหมั่นไส้
“รู้งี้ไม่น่าห่วงเลย ไป...ฉันซื้อกับข้าวมาให้ที่บ้านแล้ว” ไผ่พญาหันหลังเดินกลับ ระหว่างนั้นไผ่พญานึกขึ้นได้
“เออนี่ แล้วถ้าแม่ฉันถามว่าเมื่อวานเรารอดจากมือพวกนั้นมาได้ยังไง นายบอกว่านายมีพลังวิเศษแล้วกัน...โอเค๊”
ไผ่พญาแปลกใจเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากภูวนัย ไผ่พญาจึงหันกลับไปแล้วก็พบว่าภูวนัยลงไปนอนกองกับพื้น
“เฮ้ย”
ไผ่พญารีบเข้ามาดูภูวนัยทันที เห็นภูวนัยหมดสติหน้าซีด

ด้านวศินเดินอยู่ภายในบ้านกับนักการเมืองคนนึงที่มาพร้อมกับลูกชาย
“แหม...ที่จริงลื้อให้อั้วไปหาที่บ้านน่าจะสะดวกกว่านะ”
“ไม่เป็นไรครับ เราคนกันเองแล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้เจอท่านวศินมาตั้งนานแล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมซะเลยทีเดียว” นักการเมืองหันไปทางลูกชาย “เอาให้ท่านซิลูก”
ลูกชายนักการเมืองส่งกล่องใบนึงให้กับวศิน
“พอดีผมเพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส เลยนำไวน์มาฝากท่านครับ”
วศินรับมาแล้วเปิดกล่องออกดู ก่อนจะเห็นมัดเงินจำนวนมากเรียงอัดอยู่ภายใน
“แหม ดีจริงๆ เขาบอกให้ดื่มวันละแก้วช่วยลดโรคหัวใจนี่ ดีๆ” วศินตบไหล่ลูกชายนักการเมือง “ไม่ต้องห่วงนะคดีของเรา อาจะให้ความยุติธรรมที่สุ”ด
ระหว่างนั้นชาติกล้าเดินเข้ามา พอเห็นวศินมีแขกก็หยุดอย่างรู้งาน วศินเห็นชาติกล้าก็หันไปบอกกับนักการเมือง
“เดี๋ยวอั้วขอคุยงานแป๊ปนึง อย่าเพิ่งไปไหนละอยู่กินข้าวกันก่อน...ตามสบายนะ”
คนสนิทของวศินพานักการเมืองกับลูกชายเดินเลี่ยงออกไป วศินมองตามยิ้มส่งจนลับสายตาแล้วจึงเดินเข้ามาหาชาติกล้า
“ท่านอยากคุยกับห้าเสือเรื่องอะไรครับ”
“พอดีอั้ว อยากไปลงทุนอะไรนิดๆ หน่อยๆ แถวประเทศเพื่อนบ้านเราซะหน่อย แต่การลงทุนมันก็ต้องใช้เงินเยอะ ไปบอกพวกมันแล้วกันว่าเดือนนี้อั้วขอเพิ่มอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
“แต่ท่านครับ เราเพิ่งเรียกเพิ่มมาเมื่อตอนต้นปีเองนะครับ”
“เฮ้ย! ลื้อเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอั้ว พูดได้แค่คำเดียวว่าอะไร”
“ครับ”
“ไปได้แล้ว”
ชาติกล้าทำความเคารพวศินแล้วกำลังจะออกไป ระหว่างนั้นวศินเหมือนนึกขึ้นมาได้
“อ้อ เมื่อเช้าได้ข่าวว่าเจอเพื่อนเก่าหรือไง”
ชาติกล้าชะงัก หันมา
“ครับ แต่ท่านไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ผมจัดการได้”
“ยังไง” ชาติกล้านิ่งเหมือนยังไม่ได้คิดหาทาง “ตอนนี้มันเหมือนเสือลำบากที่หายเข้าไปในป่า ถ้าลื้ออยากฆ่ามัน ลื้อก็ต้องทำให้มันโผล่หางออกมา”
ชาติกล้าคิดตามที่วศินแนะนำ
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ผมจะนำมันไปปฏิบัติทันทีครับ”

ชาติกล้าหรี่ตาลง พร้อมกับความคิดชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวทันที

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 10 (ต่อ)

ภูวนัยนอนไม่ได้สติอยู่ภายในบ้านเช่าลำไย ไผ่พญานั่งอยู่ข้างๆ ลำไยแอบมองการกระทำและสายตาที่ไผ่พญามองภูวนัยอยู่

“แล้วนี่เขารู้หรือยังว่าแกไม่ได้เป็นครูจริงๆ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“เบาๆ ซิแม่ เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก”
“เอ้า ได้ยินก็ได้ยินซิ ถ้าแกไม่ได้ชอบเขาแล้วกลัวอะไร”
“มันไม่ได้เกี่ยวว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่เขาควรรู้”
“แล้วแกจะบอกเขาเมื่อไหร่”
ไผ่พญานิ่งไปเพราะเธอเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ระหว่างนั้นภูวนัยละเมอออกมา
“ไอ้ชาติ”
ไผ่พญารีบหันไปดูก็เห็นว่าภูวนัยละเมอนั่นเอง แต่ลำไยกลับอยากรู้ว่าภูวนัยละเมอว่าอะไร
“ไอ้ไผ่ เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไร”
“แม่รู้มั้ยว่า คุณภูเขาโดนเพื่อนที่เขารักที่สุดหักหลัง แล้วคนที่ทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้ก็คือเพื่อนเขาเอง”
ไผ่พญามองภูวนัยด้วยความสงสาร ลำไยก็เพิ่งรู้เรื่องเหมือนกัน “แล้วอย่างนี้แม่จะให้ฉันบอกเขา ว่าฉันก็โกหกเขาอีกหรือไง”
ลำไยพยักหน้าแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ไผ่พญาอยู่กับภูวนัยสองคน ลำไยหันมองไผ่พญาที่กำลังดูแลภูวนัยแล้วก็พูดกับตัวเองด้วยความเป็นห่วง
“ไผ่เอ๊ย แกโกหกเรื่องอื่นได้ แต่แกโกหกว่าไม่ชอบเขาไม่ได้หรอกนะ”
ไผ่พญาหันมาดูภูวนัยด้วยความเป็นห่วง แล้วไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นเลือดซึมออกมาบริเวณแผลที่หัวไหล่

คืนนั้นภูวนัยค่อยได้สติ ลืมตาขึ้น ภูวนัยค่อยๆ หันมองไปรอบๆ แล้วภูวนัยก็เห็นไผ่พญานั่งจ้องเขาอยู่ข้างๆ
“คุณ...ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่”
ภูวนัยค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
“แล้วค่อยยังชั่วขึ้นหรือยังละ” ภูวนัยพยักหน้า “นายไปไหนมา”
“เอ่อ...ก็บอกแล้วไงว่าไปเดินเล่น”
ทันใดนั้นไผ่พญาก็ปาผ้าที่เช็ดตัวภูวนัยใส่ทันที
“เดินเล่นบ้าอะไร แผลถึงได้ปริอย่างนั้นน่ะ” ภูวนัยนิ่ง ไม่อยากบอกไผ่พญาว่าไปไหน “นายไปหาเพื่อนนายมาใช่มั้ย”
“ใช่! มันทำผมขนาดนี้ แล้วคุณคิดจะให้ผมอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือไง”
ภูวนัยตวาดกลับ ไผ่พญาต้องเป็นฝ่ายนิ่ง
“ฉันเพิ่งรู้ว่านายอยากตาย ทีหลังฉันจะได้ไม่ต้องช่วยนายไว้อีก”
ไผ่พญาพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ภูวนัยทั้งเซ็งทั้งเครียด

วันต่อมาที่ฟาร์มสุข เผ่าพงศ์นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่เก้าอี้โยกหน้าบ้าน ม่านหมอกยืนมองอยู่ด้านหลัง
ระหว่างนั้นพรรษายกชามข้าวต้มออกมา ม่านหมอกหันมาเห็น
“เดี๋ยวหมอกเอาไปให้เองคะ”
พรรษาส่งถ้วยข้าวต้มให้ม่านหมอก ม่านหมอกรับมาแล้วเดินมาหาเผ่าพงศ์
“คุณตา ข้าวต้มกุ้งที่ตาชอบมาแล้วคะ”
เผ่าพงศ์หันมอง
“เธอเป็นใคร”
ม่านหมอกชะงักไป พรรษาถึงกับหลับตาไม่อยากเห็นภาพนี้
“หมอกหลานตาไง ตาจำหมอกได้มั้ย”
ม่านหมอกจับมือเผ่าพงศ์ เผ่าพงศ์มองม่านหมอกที่ยิ้มให้แล้วเผ่าพงศ์ก็ปล่อยมือม่านหมอกก่อนจะลุกแล้วเดินออกไป พรรษาเดินเข้ามาอย่างสงสารเผ่าพงศ์
“หมอฟ้าเคยบอกว่าคนที่เป็นอัลไซเมอร์ ถ้ามีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจจะยิ่งทำให้อาการหนักขึ้น คุณเผ่าแกคงจะห่วงคุณภูมาก”
“ทั้งหมดเป็นเพราะเขาคนเดียว”
“คุณหมอก อย่าเพิ่งโทษคุณภูเลยคะ”
ระหว่างนั้นชาติกล้าเดินเข้ามาพร้อมกับตำรวจ
“น้าษาครับ”
พรรษากับม่านหมอกหันไปเห็นชาติกล้ามาพร้อมกับตำรวจก็หวั่นใจ
“คุณชาติ” พรรษามองตำรวจ “คุณภูไม่ได้ติดต่อมาเลยคะ”
“ครับ แต่ที่ผมมาวันนี้...”
ชาติกล้านิ่งไปก่อนจะส่งกระดาษใบนึงให้กับม่านหมอก ม่านหมอกและพรรษาอ่านแล้วก็อึ้งไป
“อายัดทรัพย์”
“ครับ ฟาร์มนี้และทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในฟาร์ม ผมตรวจสอบแล้วคือชื่อของภู ตามกฎหมายแล้วผมจะต้องอายัดทรัพย์ทุกอย่างที่เป็นของภูวนัย”
“ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย”
“หมอก น้าขอโทษ แต่น้าต้องทำตามกฎหมาย”
ม่านหมอกกับพรรษาถึงกับอึ้ง เหมือนโดนฟ้าผ่า เปรี้ยง!

ขณะเดียวกันไผ่พญากำลังซักผ้าอยู่หน้าบ้านเช่า ภูวนัยเดินออกมาพอเห็นไผ่พญาก็ชะงักไป
“ผมขอโทษ”
ไผ่พญาชะงักแล้วหันไปเห็นภูวนัยกำลังเดินเข้ามา
“นายไม่ต้องขอโทษฉันหรอก เพราะคนที่เจ็บก็คือนายเอง”
ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็เดินมานั่งข้างไผ่พญา
“มา...ผมช่วย”
“ไม่ต้อง นายไปหาเรื่องเจ็บตัวเถอะ” ภูวนัยเห็นไผ่พญายังโกรธอยู่ก็เลยเอื้อมมือไปหยิบผ้าขึ้นมา “นี่...ก็บอกว่าไม่ต้องไง”
“ก็ผมอยากช่วยนี่”
แล้วไผ่พญากับภูวนัยก็เกิดสงครามแย่งผ้ากัน จนกระทั่งมีเสียงกระแอมดังขึ้น
“แฮ่ม” ภูวนัยกับไผ่พญาชะงักหันไปมองจึงเห็นอภิวัฒน์พร้อมกับตำรวจติดตามยืนอยู่ “ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะนะ”
ภูวนัยรีบลุกขึ้น ทำให้ไผ่พญาต้องลุกขึ้น
“ท่านอภิวัฒน์ เอ่อ...รู้ได้ยังไงครับว่าผมอยู่นี่”
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าผมเป็นใคร ที่ผมมาวันนี้เพราะผมมีเรื่องอยากจะแจ้งให้หมวดทราบ”
“เรื่องอะไรครับ”
อภิวัฒน์มีสีหน้าเครียดลงทำให้ภูวนัยกับไผ่พญารู้ว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่นอน

ภูวนัยกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเมื่อรู้ว่าชาติกล้าทำอะไรกับครอบครัวเขา
“ไอ้ชาติ”
“ทำไมเขาถึงได้ทำขนาดนี้”
อภิวัฒน์เห็นภูวนัยกำลังโกรธก็อยากจะเตือนสติ
“เพราะเขาอยากให้หมวดกลับไปที่บ้านไง”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป
“นายจะไปไหน”
“ในเมื่อมันอยากเจอผม ผมก็จะไปเจอมัน”
“ตอนนี้หมวดชาติกล้าคงวางกำลังไว้ที่ฟาร์มของหมวดแล้ว ขืนหมวดกลับไปคงรู้นะว่าหมวดอาจจะไม่โชคดีรอดมาได้เหมือนครั้งก่อน”
“แล้วท่านจะให้ผมอยู่อย่างนี้เหรอครับ พ่อผม...หลานๆ ผม...พวกเขาจะอยู่ยังไง”
ไผ่พญาเห็นภูวนัยกำลังเดือดก็พยายามปลอบ
“ใจเย็นๆ ซิ นายไปตอนนี้ก็เท่ากับไปตายนะ”
ภูวนัยหันไประบายอารมณ์อย่างเดือดดาล
“โธ่เว้ย”
ภูวนัยกำหมัดแน่น แค้นใจที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย

เหตุการณ์ที่ฟาร์มสุข เผ่าพงศ์นั่งเครียดอยู่ภายในบ้าน พรรษา ม่านหมอกก็นั่งเครียดไม่ต่างกัน
“แล้วเขาให้เวลาเราย้ายออกกี่วัน”
“ภายในวันพรุ่งนี้คะ”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งเครียด ม่านหมอกระเบิดออกมา
“ทำไมมันต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ด้วย ทำไม”
ม่านหมอกกวาดข้าวของจนแตกกระจาย เผ่าพงศ์ต้องลุกขึ้นมาแล้วดึงม่านหมอกมากอด
“เข้มแข็งไว้หลานตา เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้” เผ่าพงศ์หันไปทางพรรษา “พรรษา”
“คะ”
“พวกตำรวจอายัดทรัพย์สินที่ชื่อเป็นไอ้ภูใช่มั้ย”
“ค่ะ” พรรษาไม่เข้าใจที่เผ่าพงศ์ถาม ระหว่างนั้นเผ่าพงศ์เดินไปเปิดลิ้นชักออก แล้วก็สงสัยเผ่าพงศ์หันไปเปิดอีกลิ้นชักนึง แล้วก็เปิดอีกลิ้นชักหนึ่ง “คุณท่านหาอะไรคะ”
“เงินเก็บฉันไง ฉันเอาไว้ในนี้ แล้วมันหายไปไหน”
ระหว่างนั้นสมส่วนวิ่งหน้าตาตื่นลงมา
“นายท่านครับนายท่าน”
“อะไร มีเรื่องอะไรอีก”
“ครูขิงกับครูงาครับ”
“มีอะไร”
“ครูขิงกับครูงาไม่อยู่แล้วครับ”
เผ่าพงศ์ได้ยินอย่างนั้นก็หันมองที่ลิ้นชัก คิดว่าขิงกับกระดังงาต้องเอาเงินเก็บของเขาไปแน่นอน เผ่าพงศ์ถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เราจะทำยังไงกันดีแม่ษา”
พรรษานึกขึ้นมาได้
“ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ถ้าเราไปเช่าบ้านอยู่ก็น่าจะได้ซักเดือนสองเดือน”
“จะให้ฉันใช้เงินแม่ษาเนี่ยนะ”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาเกรงใจษานะคะ คุณท่านกับคุณภูช่วยษามาตั้งเท่าไหร่ เราจะต้องอยู่เพื่อรอคุณภูกลับมานะคะคุณท่าน”
ม่านหมอกโผเข้ากอดเผ่าพงศ์กันเศร้า พรรษากับสมส่วนเองก็อยากจะร้องไห้ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้

“แล้วเราจะไปอยู่กันที่ไหน”

เสกสรรพาพรรษาเดินมาตามทางในรีสอร์ต โดยมีสมหมายยกกระเป๋าให้กับพรรษาตามมา เสกสรรพูดขึ้นอย่างหน้าชื่นตาบาน

“ก็อยู่มันซะที่นี่แหละ จะไปอยู่ที่ไหนไกลๆ ทำไม”
“ต้องขอบคุณมากที่กรุณา”
พรรษายกมือไหว้เสกสรร เสกสรรรับไหว้แล้วถือโอกาสจับมือพรรษา
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ที่นายผมให้มาอยู่ เพราะดีกว่าทิ้งห้องเอาไว้ให้ปลวกแทะเปล่าๆ”
สมหมายบอกขณะที่เสกสรรยังประคองมือของพรรษาอยู่ไม่ยอมปล่อย แต่พยายามใช้เท้าถีบสมหมาย
“ไอ้หมาย” เสกสรรรีบหันมาบอกกับพรรษา “อย่าไปฟังมันนะจ้ะแม่ษา ไอ้หมายมันชอบพูดจาไร้สาระ”
ทันใดนั้นเสียงเผ่าพงศ์ก็โวยวายขึ้น
“อ้าว...เฮ้ยๆ”
เผ่าพงศ์ ม่านหมอก ม่านเมฆ ผจญและสมส่วนเพิ่งเดินตามพรรษามาทางด้านหลังเป็นขบวน เผ่าพงศ์ทิ้งกระเป๋าแล้วปรี่เข้ามาแยกเสกสรรกับพรรษา
“ถือดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวแม่พรรษาของฉัน”
“คุณเผ่า” พรรษาพยายามห้าม
“อะไร แม่พรรษาเป็นของแก ไหนพูดให้ฟังอีกทีซิ” เสกสรรตบบ่าเผ่าพงศ์ เผ่าพงศ์ปัดออก “จะบอกให้ฟังนะไอ้อ้วน ก่อนจะพูดอย่างนั้นดูตัวเองก่อนนะว่าเลี้ยงเขาได้หรือเปล่า”
คำพูดของเสกสรรพุ่งเสียดแทงทะลุใจดำของเผ่าพงศ์ จนเผ่าพงศ์ทนไม่ไหวกระโดดใส่เสกสรร จนพรรษา ม่านหมอก ม่านเมฆ และทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต้องปรี่เข้ามาแยกกันวุ่นวาย
“ไป ไปอยู่ที่อื่นที่มันสบายใจกว่านี้ดีกว่า”
เผ่าพงศ์จะไป พรรษาดึงเอาไว้
“คุณเผ่า จะไปอยู่ที่ไหนคะ ลืมแล้วหรือไงคะว่าเราต้องรอคุณภูกลับมา”
พรรษาบอกเบาๆ เผ่าพงศ์พยายามใจเย็นลง แต่ก็มองเสกสรรที่กำลังทำหน้าเยาะด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้

สมหมายเดินนำม่านหมอกและม่านเมฆมาตามทางเดิน ม่านเมฆแปลกใจจึงถามม่านหมอก
“พี่หมอก พี่หมอกไม่สงสัยเหรอว่าตาหนวดนั่นรู้ได้ไงว่าเราบ้านเรากำลังมีปัญหา แถมยังไปรับถึงที่อีก”
ม่านหมอกนิ่งคิด สมหมายที่เดินนำอยู่เลยหันมาตอบแทน
“คุณพั้นซ์ไง” ม่านหมอกกับม่านเมฆแปลกใจ “คุณพั้นซ์แกเป็นคนบอกไปกับเจ้านายให้ไปรับพวกแกมาอยู่นี่”
“ยัยนั่นน่ะนะ”
“อ้าว อย่างนี้เขาเรียกว่าอกตัญญูนะ เรียกคุณพั้นซ์ให้ดีๆ หน่อย...เดี๋ยวปั้ด”
ระหว่างนั้นเสียงของพรรณรายดังขึ้น
“ทำอะไร”
ทุกคนหันไปก็เห็นพรรณรายเดินกรีดกรายเข้ามา สมหมายรีบเข้ามาประจบ
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่จะสั่งสอนเจ้าเด็กสองคนนี้ให้รู้จักที่ต่ำที่สูงน่ะครับ เอ้า...หวัดดีคุณพั้นซ์ซิ”
“สมหมาย”
สมหมายลากเสียงยาวอย่างประจบ
“ครับ”
สมหมายหันมาแล้วก็โดนพรรณรายตบปากเบาๆ เผียะ! สมหมายถึงกับงง เช่นเดียวกับม่านหมอกและม่านเมฆที่พรรณรายเหมือนจะอยู่ข้างเธอ
“แกน่ะแหละที่ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง นี่เป็นหลานของภูก็เท่ากับเป็นหลานของฉันเหมือนกัน” สมหมายทำหน้างง “ไป เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บได้แล้ว” สมหมายก้มหน้างุดแล้วรีบเดินออกไป พรรณรายมองตามก่อนจะหันมาหาม่านเมฆและม่านหมอกที่ยังไม่เข้าใจถึงการแสดงออกของพรรณราย “ไม่ต้องขอบใจฉันหรอก เพราะถ้าภูไม่ขอร้อง พวกเธอไม่ได้มาเหยียบที่นี่แน่”
พรรณรายพูดเสร็จแล้วก็จะเดินออกไป ม่านหมอกได้ยินอย่างนั้นก็เอะใจรีบเข้าไปขวางพรรณรายเอาไว้
“คุณได้คุยกับอาภูเหรอ” พรรณรายพยักหน้า “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“ฉันอยากบอกนะ แต่ว่ามันเป็นความลับของฉันกับภู พักให้สบายนะ”
พรรณรายเดินเชิดยิ้มออกไป ม่านเมฆเข้ามาถามม่านหมอก
“พี่หมอก เมื่อกี้เขาบอกว่าอาภูโทรหาเขาเหรอ”
ม่านหมอกมองตามพรรณรายอย่างอยากรู้เหมือนกัน

เสกสรรกำลังทำบัญชีอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้า
“ไอ้ลูกชิ้นห้องหนึ่ง เด็กๆ อีกห้องหนึ่ง คนงานห้องหนึ่ง ส่วนแม่พรรษาก็นอนห้องเรา...อิอิ”
เสกสรรหัวเราะคิกคักกับความคิดสัปดนของตนเองอยู่คนเดียว ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคนพูดภาษาอังกฤษดังเข้ามา
“สวัสดี”
เสกสรรเงยหน้าขึ้นก็ตกใจเพราะเห็นชาวต่างชาติชายหญิงคู่นึงซึ่งก็คือภูวนัยกับไผ่พญาปลอมตัวใส่วิก ผมหยิก แต่งตัวเป็นชาวจาไมก้า ใส่แว่นดำยืนอยู่ตรงหน้า
“ฮัลโหล”
“ผมต้องการห้องพัก” ภูวนัยพูดภาษาอังกฤษ เสกสรรฟังไม่รู้เรื่อง
“เอ่อ...เอ่อ”
พรรณรายเดินเข้ามา
“มีอะไรพ่อ”
เสกสรรหันไปเห็นก็ดีใจจนน้ำตาแทบไหล
“โอ้จอร์จ มาได้จังหวะพอดี ยัยพั้นซ์แกคุยกับเขาซิว่าเขาต้องการอะไร”
พรรณรายหันมองภูวนัยกับไผ่พญา แล้วพรรณรายก็รู้สึกคุ้นๆ หน้า ภูวนัยกับไผ่พญาเลยทำเป็นก้มหน้าก้มตา
“ผมอยากพักที่นี่ซักคืนนึง” ภูวนัยบอกเป็นภาษาอังกฤษ
“ได้คะ” พรรณรายหันไปบอกเสกสรร “เขาบอกว่าอยากพักที่นี่ซักคืนน่ะพ่อ”
“ได้เลย บอกไปว่าคืนละหมื่น”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ร้องออกมาอย่างตกใจ
“ห๊า”
เสกสรรกับพรรณรายถึงกับหันขวับไปมองไผ่พญา ไผ่พญาเลยเฉไปร้องเพลงจาไมก้าแบบมั่วๆ
“คืนละหมื่น ไม่แพงไปเหรอพ่อ”
“ไอ้สองคนนี่มันไม่รู้เรื่องหรอกน่า นานๆ จะมีลูกค้าต่างชาติหลงมาที ต้องฟันให้เละ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็หันไปบอกกับภูวนัย
“ถ้าอย่างนั้น ฉันว่าเราไปที่อื่นก็ได้นะ”
“อ้าว ทำไมละครับ” เสกสรรถามแล้วนึกขึ้นได้ “เฮ้ย! พูดไทยได้นี่หว่า”
“อ๋อ คะ...พวกเราพูดไทยได้นิดหน่อย แต่ก็พอรู้ว่าค่าห้องที่คุณบอกเมื่อกี้มันแพงไป”
เสกสรรถึงกับไปไม่ถูก
“เอ่อ พอดีลูกสาวผมเขาสื่อสารผิดน่ะครับ ผมได้ยินว่าคุณจะเช่าสักอาทิตย์นึงก็เลยคิดราคาแบบเหมาให้”
“เราขอพักแค่คืนเดียว”
“คืนละสองพันครับ”
ภูวนัยกับไผ่พญาหันมองหน้ากันแล้วรับได้กับราคา
“ถ้าอย่างนั้นผมขอกุญแจด้วย”
เสกสรรส่งกุญแจห้องให้กับภูวนัย
“เดี๋ยวผมเรียกเด็กมายกกระเป๋าให้นะครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเรายกกันเอง ไปกันเถอะจ้ะที่รัก”
แล้วภูวนัยกับไผ่พญาก็ยกกระเป๋าเดินออกไป เสกสรรมองตามสุดแสนเสียดาย
“พูดไทยได้แต่แรกก็ไม่บอก ฮึ่ยย์ เสียดาย เงื้อดาบแล้วไม่ได้ฟัน”
พรรณรายมองตามภูวนัยและไผ่พญาด้วยความสงสัย
“พ่อคุ้นๆ หน้าสองคนนั่นมั๊ย”
“ทำไม อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนเก่าแกตอนอยู่ที่อเมริกา”
“จะบ้าเหรอพ่อ ไม่รู้ซิ ฉันรู้สึกคุ้นหน้าสองคนนั่นยังไงชอบกล”
พรรณรายมองตาม รู้สึกตะหงิดๆ

ภูวนัยกับไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“โห...ตาหนวดนั่นเล่นจะฟันเราซะหัวแบะเลย” ไผ่พญาชะงักไปเมื่อเห็นเตียงหนานุ่ม “เอ่อ นี่เราต้องนอนด้วยกันเหรอ”
“ทำไม”
“ถามได้ ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เกิดใครรู้จะว่าไง”
“แค่นี้คุณเสกกับพั้นซ์ก็มองเราแปลกๆ แล้ว ขืนเราแยกห้องนอนกันอีก พวกเขาจะยิ่งสงสัยแล้วอีกอย่าง ผมบอกคุณแล้วใช่มั้ยว่าผมจะมาคนเดียว”
“อ้าว นี่หาว่าฉันจุ้นเรื่องของนายหรือไง ท่านอภิวัฒน์ก็บอกอยู่ว่าถ้านายมานี่รับรองว่านายต้องตายแน่ๆ”
“แต่ผมต้องมา จะให้ผมรอดคนเดียว แล้วเห็นพ่อกับหลานๆ ผมต้องตายหรือไง”
ไผ่พญาเข้าใจหัวอกของภูวนัย
“แต่นายสัญญากับฉันแล้วนะ ว่านายต้องการมาดูความเป็นอยู่ของพวกเขาเท่านนั้น” ภูวนัยเงียบไปไม่อยากจะพูดคำว่า “สัญญา” “ทำไม นี่นายคิดจะผิดคำสัญญาหรือไง ถ้านายบอกว่านายจะมานี่เพราะคิดจะล้างแค้นเพื่อนนายละก็ ยังไงฉันก็ไม่ให้มา”
“เอานะ ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร”
“ไม่ได้ นายต้องสัญญาก่อน” ว่าแล้วไผ่พญาก็จับมือของภูวนัยขึ้นมาแล้วเอานิ้วก้อยมาเกี่ยว “ดี นายสัญญาแล้วนะ เดี๋ยวฉันขอเข้าห้องน้ำก่อนเหนียวตัวจะแย่”

ไผ่พญาเดินเข้าห้องน้ำไป ภูวนัยหน้าเครียดขึ้นมาทันที

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 10 (ต่อ)

ภูวนัยในคราบนักท่องเที่ยวจาไมก้า เดินมาตามทางในรีสอร์ต มองหาคนในครอบครัว จังหวะที่ภูวนัยเดินพ้นมุมออกมา ก็เห็นม่านหมอกกับม่านเมฆเดินสวนเข้ามาพอดี ภูวนัยรีบหยิบแว่นดำขึ้นมาใส่พรางตัว

ม่านหมอกกับม่านเมฆเดินสวนภูวนัย ทั้งสองมองภูวนัยแปลกๆ ภูวนัยยิ้มให้กับม่านเมฆและม่านหมอกเหมือนนักท่องเที่ยวยิ้มให้เจ้าบ้าน
พอเดินสวนกันภูวนัยเดินเข้ามาหลบที่มุมตึกก่อนจะถอดแว่นกันแดดออกแล้วแอบมองม่านเมฆและม่านหมอกด้วยความคิดถึง ภูวนัยตัดสินใจเดินตามม่านเมฆและม่านหมอกไปเรื่อยๆ เขาต้องการจำภาพของหลานๆ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ม่านหมอกและม่านเมฆเดินมาตามทางในรีสอร์ต โดยไม่รู้ว่าภูวนัยแอบเดินตามมาอยู่
“พี่หมอกว่ายัยคุณพั้นซ์พูดจริงเหรอ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่พ่อภูโทรหาเขาแล้วบอกให้ช่วยเราไว้ไง”
ภูวนัยที่เดินตามมาก็ชะงักไปเมื่อได้ยินทั้งสองคุยถึงตน
“จริงหรือไม่จริง แล้วมันสำคัญตรงไหน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาแล้วเราจะมาอยู่อย่างนี้เหรอ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกผิดมากขึ้น ม่านหมอกพูดจบก็เดินไปหยุดที่ระเบียง ม่านเมฆตามเข้ามา
“ที่เรามาอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เพราะพ่อภูซะหน่อย เพราะครูขิงกับครูงาขโมยเงินคุณตาไปต่างหาก”
ภูวนัยสงสัยเรื่องที่ขิงกับกระดังงาขโมยเงิน
“นี่เมฆ โง่จริงหรือแกล้งโง่ ถ้าเขาไม่ได้ทำเรื่องชั่วๆ แล้วพวกเราจะเป็นอย่างนี้มั้ย”
ม่านหมอกพูดจบก็เดินไปหยุดสงบสติอารมณ์ที่ระเบียง
“ไม่จริง! พ่อภูไม่ใช่พวกค้ายาซะหน่อย”
“แต่ตำรวจบอกว่าเขาเป็น”
“ตำรวจโกหก เมฆไม่เชื่อว่าพ่อภูจะเป็นพวกนั้น”
ม่านเมฆระเบิดอารมณ์ใส่ม่านหมอก ม่านหมอกเดินเข้ามาหาม่านเมฆแล้วจับตัวม่านเมฆเขย่า
“เขาเป็นคนเลว เขาหลอกพวกเรา เขาทำให้พวกเราต้องมาเป็นอย่างนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะเขา เพราะเขาได้ยินมั้ย”
ม่านเมฆทนไม่ไหวสะบัดแขนม่านหมอกออกก่อนจะวิ่งออกไป ม่านหมอกมองม่านเมฆก่อนจะเดินกลับมาที่ระเบียงแล้วความรู้สึกที่เก็บมาทั้งหมดจะพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่
ภูวนัยยืนแอบมองอย่างรู้สึกผิด เขาอยากเดินเข้าไปบอกความจริงกับม่านหมอก ภูวนัยถอดแว่นกันแดดออก จะเดินเข้าไปหาม่านหมอก แต่ระหว่างนั้นเห็นคนงานภายในรีสอร์ตเดินมาทำให้ภูวนัยต้องชะงักรีบหลบไป พอคนงานเดินผ่านไป ภูวนัยก็อยากจะเดินเข้ามาหาม่านหมอกแต่ปรากฏว่าม่านหมอกเดินออกไปแล้ว ภูวนัยมองตามม่านหมอกไปด้วยความเป็นห่วง

ภายในห้องพัก ไผ่พญาเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ แล้วไผ่พญาก็นึกได้รีบปิดประตูแล้วชะโงกหน้าออกมา
“นี่...ฉันจะออกไปแล้วนะ นายโป๊อยู่หรือเปล่า” เงียบไม่มีเสียงตอบจากภูวนัย “นี่” เมื่อไผ่พญาเห็นว่าภูวนัยไม่ตอบเลยเดินออกมาจากห้องน้ำ ไผ่พญาสงสัยเมื่อไม่เห็นภูวนัยอยู่ภายในห้อง “ไปไหนของเขา”

เสกสรรกำลังสอนพรรษาจัดโต๊ะอยู่ภายในห้องอาหารของรีสอร์ต
“อุ้ยๆ ไม่ได้นะจ้ะ วางผ้าอย่างนั้นไม่ได้ต้องวางอย่างนี้” เสกสรรจับมือพรรษาแล้วจับผ้าให้เข้ากับมุมโต๊ะ
“ต้องอย่างนี้ แม่ษารู้มั้ยว่าฉันกำลังทำอะไร”
“ก็จัดโต๊ะไงคะ”
“เปล่า ฉันกำลังจีบ”
“หืม”
“จีบผ้าน่ะจ้ะ”
เผ่าพงศ์เดินเข้ามา พอเห็นเสกสรรกำลังจีบพรรษาก็ของขึ้น
“ทำอะไรน่ะแม่ษา”
พรรษาหันมาก็เห็นเผ่าพงศ์เดินหน้านิ่วเข้ามา เผ่าพงศ์เข้ามาแทรกกลางจนเสกสรรถึงกับกระเด็น
“ก็เช็ดโต๊ะจัดโต๊ะ ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยแหละคะ”
“ทำทำไม เราไม่ได้อยู่ฟรีๆ นะแม่ษา พอเลย” เผ่าพงศ์เข้าไปห้าม
“อ้าว ก็คนเขาจิตใจดี เลยคิดจะช่วยไม่เหมือนคนบางคน ขี้อิจฉาริษยา”
“แกว่าใคร”
“ไม่เอาน่าคุณเผ่า อยู่ที่ฟาร์มฉันทำโน่นทำนี่ตลอด แล้วพอมาอยู่นี่ ให้อยู่เฉยๆ ฉันรู้สึกแปลกๆ นะคะ”
“ฉันว่าที่แม่ษารู้สึกแปลกๆ เพราะอยู่ใกล้ไอ้คนหน้าแปลกๆ อัปลักษณ์อย่างไอ้นี่มากกว่า ก็ฉันบอกว่าไม่ต้องทำไง”
เผ่าพงศ์เดินไปขยุ้มผ้า เตะเก้าอี้จนพรรษาตกใจ
“ทำอะไรน่ะคุณเผ่า”
“แม่ษา เราจ่ายเงินไอ้หัวลูกชิ้นมันนะ ไม่ได้มาอยู่ฟรีๆ ไม่ต้องทำ”
“อ้าวเฮ้ย หยุดเลยไอ้อ้วน”
เสกสรรกับเผ่าพงศ์กำลังตั้งการ์ดเข้าใส่กัน ระหว่างนั้นตะวันฉายเดินเข้ามาเป็นอันว่าหมดยกเสียก่อน
“สวัสดีครับ กำลังทำอะไรกันอยู่ครับเนี่ย”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะจัดการไอ้ชีกอนี่หน่อย”
“คุณเผ่าคะ”
พรรษาทำเสียงดุ เผ่าพงศ์เลยจำต้องเย็นเข้าไว้ เสกสรรแลบลิ้นปลิ้นตายั่วโมโห พรรษาหันมาหาตะวันฉาย
“พอดีผมไปที่ฟาร์ม แล้วเห็นหมายที่ติดอยู่ด้านหน้า” ตะวันฉายชะงักเพิ่งรู้ว่าไม่น่าพูด “เอ่อ...แล้วพอดีเจอคนงานที่กำลังจะกลับบ้านเขาบอกว่าพวกคุณมาอยู่ที่นี่กันครับ”
“คะ เราก็มากันแค่นี้ ส่วนพวกคนงานเราจำเป็นต้องเลิกจ้าง เอ่อ...คุณตะวันฉายมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแวะมาหาเผื่อว่ามีอะไรให้ผมช่วยได้บ้าง”
“แหม คุณตะวันนี่เป็นคนดีจริงๆ นะครับ ขนาดไอ้พวกนี้ไม่ได้ช่วยอะไรคุณตะวัน คุณตะวันยังเป็นห่วงเป็นใยแต่ผมเนี่ยซิครับขนาดช่วยเอาไว้ยังไม่รู้จักบุญคุณ”
“แกช่วยอะไร พวกฉันมาเช่าเว้ย จ่ายตังค์ ไม่ได้มาอยู่ฟรี”
เหมือนยกสองกำลังจะเริ่มอีก แต่แล้วม่านเมฆก็วิ่งเข้ามา
“ตา”
ทุกคนหันไปก็เห็นม่านเมฆวิ่งเข้ามาแล้วโผเข้ากอดเผ่าพงศ์
“เป็นอะไร หือ”
“พี่หมอกเขาบอกว่าพ่อภูเป็นคนชั่ว พ่อภูทำให้เราต้องเป็นอย่างนี้ ไม่จริงใช่มั้ยตา”
ทุกคนนิ่งไปจุกคอพูดไม่ออก เผ่าพงศ์นั่งลงลูบหัวม่านเมฆ
“พ่อภูเป็นดี”
“อะโด่”
เสกสรรกำลังจะขัด คราวนี้พรรษากลับหันไปมองตาดุใส่เสกสรร เลยทำให้เสกสรรต้องหุบปาก เผ่าพงศ์ยังคุยกับม่านเมฆต่อ
“แล้วเราคิดว่าพ่อภูเป็นคนดีหรือเปล่าละ” ม่านเมฆพยักหน้า “ดีแล้วหลานตา ตอนนี้พี่หมอกเขาคิดอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไป แล้ววันไหนที่พ่อภูกลับมา พี่หมอกเขาก็จะรู้ความจริงเอง”
ม่านเมฆโผกอดเผ่าพงศ์ เผ่าพงศ์ลูบหลังปลอบใจ ตะวันฉายเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกอยากคุยกับม่านหมอก

ที่บริเวณหน้ารีสอร์ตเสกสรร ชาติกล้ากำลังใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการเคลื่อนไหวภายในรีสอร์ตอยู่ภายในรถ
ชาติกล้าหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา
“มีความเคลื่อนไหวอะไรมั้ย”
วีระกับราชัยอยู่ในรถอีกคันซุ่มอยู่ในพงหญ้าอีกมุมของด้านหน้ารีสอร์ต
“ไม่เลยครับหัวหน้า เอ่อ...หัวหน้าคิดว่าหมวดภูจะมาจริงๆ เหรอครับ”
แววตาชาติกล้าฉายความมั่นใจ
“ผมรู้จักเพื่อนผมดี...หมวดภูต้องมาแน่นอน”
“แกคิดว่าหมวดภูเป็นพวกไอ้พายัพจริงๆ หรือเปล่าวะ” วีระคุยกับราชัย
“ไม่รู้เว้ย ฉันทำตามหน้าที่แล้วกัน”
ระหว่างนั้นมีรถคันนึงแล่นผ่านวีระกับราชัยไป วีระรีบหยิบวิทยุสื่อสารบอกชาติกล้า
“หัวหน้าครับ มีรถคันนึงมาครับ”
ชาติกล้าได้ยินที่วีระบอกก็รีบหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูทันที จึงเห็นรถคันนึงกำลังเลี้ยวเข้ารีสอร์ตเสกสรร แล้วชาติกล้าก็อึ้งไปเมื่อเห็นปลายฟ้า ชาติกล้าลดกล้องส่องทางไกล เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับหัวหน้า”
ชาติกล้าครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี

ปลายฟ้ากำลังเดินมาตามทางกำลังจะมุ่งหน้าเข้าไปที่รีสอร์ต ระหว่างนั้นเสียงของชาติกล้าดังขึ้น
“ฟ้า”
ปลายฟ้าหันมาแล้วก็แปลกใจเมื่อเห็นชาติกล้ายืนอยู่
“ชาติ...ชาติมาทำไม”
“เรามาปฏิบัติราชการ”
ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจว่าชาติกล้าหมายถึงอะไร
“มารอจับภูใช่มั้ย”
ชาติกล้าเลี่ยงที่จะตอบ เปลี่ยนคำถาม
“ภูติดต่อคุณหรือเปล่า”
“ชาติอยากให้เราตอบในฐานะอะไร ผู้ต้องสงสัย...หรือว่าเพื่อน”
“ฟ้า เราหวังดีกับฟ้านะ เราไม่อยากให้ฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับภู รู้ใช่มั้ยว่าฟ้าทำอย่างนี้อาจจะโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิด”
“เราแค่เป็นห่วงคุณลุง เป็นห่วงเด็กๆ แต่ถ้าชาติจะคิดว่าเราสมรู้ร่วมคิดให้ความช่วยเหลือภู...เอาซิ” ปลายฟ้ายื่นมือให้กับชาติกล้า “จับซิ”
“ฟ้า”
ปลายฟ้าสบตากับชาติกล้า ก่อนที่ปลายฟ้าจะลดมือลง
“ถ้าไม่จับ งั้นฟ้าขอตัว”
ปลายฟ้าจะเดินเข้าไป แต่ชาติกล้าคว้ามือเอาไว้
“ฟ้า เราขอโทษ เราแค่ไม่อยากเห็นฟ้าเดือดร้อน”
“ปล่อยมือฟ้าเถอะชาติ “
ชาติกล้าค่อยๆ ปล่อยมือปลายฟ้าอย่างเจ็บปวด ปลายฟ้าหันหลังจะเดินเข้ารีสอร์ตแต่แล้วปลายฟ้านึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันกลับมา
“ชาติถามเราใช่มั้ยว่าภูติดต่อมาหรือเปล่า...เปล่า...ภูไม่ได้ติดต่อฟ้าเลย แต่ถ้าภูติดต่อมา เราก็จะไม่บอกชาติ” ชาติกล้าถึงกับอึ้งไป “เพราะอะไร ชาติอยากรู้ใช่มั้ย...เพราะฟ้าเชื่อว่าภูเป็นคนดี”

ปลายฟ้าพูดจบก็เดินออกไป ชาติกล้าถึงกับหน้าชา ทั้งโกรธและเจ็บใจ

ไผ่พญาในคราบนักท่องเที่ยวจาไมก้าเดินมาตามทางเดิน พยายามสอดตามองหาภูวนัย

“ไปไหนของเขานะ”
ไผ่พญาเดินมาแล้วหยุดที่หน้าห้องอาหาร ยืนคิดพร้อมกับเสียงท้องร้องดังขึ้น ไผ่พญาเดินเข้ามาในห้องอาหาร แต่ทันใดนั้นก็ต้องหยุดกึกเมื่อเห็นเผ่าพงศ์นั่งอยู่กับม่านเมฆที่โต๊ะนึง ไผ่พญาคิดๆๆ จะเอาไง แล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจหันหลังจะเดินกลับ ทันทีที่หันหลังไผ่พญาก็เจอกับพรรษาเดินเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ”
ไผ่พญาแอบตกใจเล็กน้อย
“อุ้ย”
พรรษาเห็นว่าเป็นคนต่างชาติเลยฟังไม่รู้เรื่อง
“เอ่อ...พูดภาษาไทยได้มั้ยคะ”
ไผ่พญาทำเป็นพูดไม่ชัด
“นิดหน่อยคะ”
พรรษายิ้ม โล่งอกที่ไม่ต้องเรียกล่าม
“เชิญทางนี้เลยคะ” ไผ่พญาตกกระไดพลอยโจนเมื่อถูกพรรษาพามานั่งที่โต๊ะ “เดี๋ยวรอซักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันเอาเมนูมาให้”
“ไม่เป็นไร ฉันเอาผัดไทยคะ” พรรษาแปลกใจที่สั่งได้เลย “อ๋อ...ฉันชอบผัดไทย...ผัดไทย...อร่อย”
“ได้คะ งั้นรอซักครู่นะคะ”
พรรษาเดินออกไป ไผ่พญามองไปที่เผ่าพงศ์กับม่านเมฆที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักแล้วไผ่พญาก็ชะงักเมื่อเห็นม่านเมฆมองมา
“ตา...เมฆรู้สึกคุ้นหน้าฝรั่งคนนั้นจัง”
“พอเลย แหม จะโกอินเตอร์หรือไงเรา”
ไผ่พญาได้ยินที่ทั้งสองคุยกันก็พยายามเอาผมปิดหน้าปิดตา
“จริงๆ นะตา เมฆคุ้นหน้าจริงๆ ไม่เชื่อตาลองดูดิ”
แล้วเผ่าพงศ์กับม่านเมฆก็หันมาจ้องไผ่พญา ไผ่พญาหันไปเห็นทั้งสองจ้องมาก็สะดุ้ง ระหว่างนั้นปลายฟ้าเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“แหม มาอยู่กันตรงนี้เอง”
ไผ่พญาเห็นปลายฟ้าก็จุกเข้าไปอีก
“วันอะไรวะเนี่ย”
ไผ่พญายิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเมื่อชาติกล้าเดินตามปลายฟ้าเข้ามา
“ฟ้า” ชาติกล้าเห็นเผ่าพงศ์เลยยกมือสวัสดี “สวัสดีครับคุณลุง”
“หวัดดีๆ เป็นไง ได้ข่าวเจ้าภูบ้างหรือยัง”
“ยังหรอกคะคุณลุง ไม่อย่างนั้นชาติเขาคงไม่มาอยู่แถวๆ นี้”
ทุกคนงงกับคำพูดของปลายฟ้า
“ฟ้า เราขอคุยด้วยหน่อย”
ไผ่พญาที่นั่งอยู่ก็ร้อนจนทนไม่ไหว
“อยู่ไม่ได้แล้ว”
ไผ่พญาพยายามทำตัวลีบจะลุกเดินออกไป ทันทีที่ไผ่พญากำลังก้มมุดออกมาก็ไม่ทันเห็นผจญที่ยกน้ำมาเสิร์ฟ ไผ่พญาชนเข้ากับผจญจนทำให้แก้วน้ำหกใส่ไผ่พญา ไผ่พญาร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ
“ว้าย”
ไผ่พญาเปียกไปทั้งหัว ผจญตกใจรีบหาผ้ามาจะเช็ดให้
“อุ้ย...ขอโทษครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้นะครับ”
“ไม่ ไม่ต้อง”
ผจญพยายามเช็ดน้ำที่หกรดผมไผ่พญา ทุกคนหันมองตามเสียงของไผ่พญาจนทำให้ไผ่พญาตกเป็นเป้าสายตา แต่แล้วทุกคนก็ต้องอึ้งไปเมื่อผจญที่กำลังจะเช็ดผมให้กับไผ่พญาดันหยิบวิกผมไผ่พญาติดมือมาซะงั้น
“ครูไผ่”
ม่านเมฆอุทานออกมา ไผ่พญาสะดุ้งแต่ยังพยายามใจดีสู้เสือเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้วิกผมเธอได้หลุดไปอยู่ในมือผจญแล้ว ไผ่พญายังพยายามพูดฝรั่ง
“โอ้ว...ไอไม่ใช่ครู” ไผ่พญาหันไปก็เห็นผจญที่กำลังอึ้งเพราะถือวิกผมเธออยู่นั่นเองเลยทำให้ไผ่พญาตกใจ
“เฮ้ย” ไผ่พญาเอามือจับหัว ชาติกล้าเห็นไผ่พญาก็จำได้ทันที ไผ่พญาหันมาสบตากับชาติกล้า ไผ่พญาตกใจเพราะความลับแตก “ขอโทษนะคะทุกคน”
ว่าแล้วไผ่พญาก็หันหลังรีบโกยอ้าวออกไปทันที ชาติกล้ารีบตาม
“หยุดนะ”
ชาติกล้ารีบวิ่งตามไผ่พญาออกไป ทุกคนยังงงจับต้นชนปลายไม่ถูกปลายฟ้าเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามชาติกล้าออกไป เผ่าพงศ์กับม่านเมฆมองหน้ากันแล้ววิ่งตามปลายฟ้าออกไปเหมือนกัน

ม่านหมอกนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรีสอร์ต ภูวนัยยืนอยู่ด้านหลัง ภูวนัยเห็นม่านหมอกกำลังเศร้าเสียใจก็รู้สึกผิด ตัดสินใจเดินเข้าไป แต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักหยุดเพราะตะวันฉายเดินเข้ามาหาม่านหมอก
“ไม่ชอบที่นี่เหรอ”
ม่านหมอกหันไปเห็นตะวันฉายก็ตกใจรีบปาดน้ำตา
“พี่ตะวัน...”
ตะวันฉายเดินมานั่งข้างม่านหมอก
“พี่เชื่อนะ ว่าตอนนี้คงมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้หมอกต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้”
“บางอย่างเหรอ หึ...ก็เขาไง ที่ทำให้พวกเราต้องมาอยู่แบบนี้”
“แต่พี่ไม่คิดอย่างนั้นนะ” ม่านหมอกสงสัยว่าตะวันฉายคิดยังไง “พี่รู้ว่าหมอกเกลียดคุณภูเพราะเรื่องในอดีต แต่เหตุการณ์ที่หมอกกำลังเจออยู่ตอนนี้ มันอาจจะทำให้หมอกรู้ตัวเองก็ได้ว่าตัวเองไม่ได้เกลียดคุณภู”
ม่านหมอกชะงักไปเมื่อได้ยินตะวันฉายพูดอย่างนั้น ขณะที่ภูวนัยเองก็แปลกใจที่ได้ยินแบบนั้นเช่นกัน
“พี่ตะวันพูดอะไร”
“พี่เชื่อว่าตอนนี้คนที่หมอกอยากเจอมากที่สุด ก็คืออาภูของหมอก” ม่านหมอกนิ่งตัวแข็งเหมือนตะวันฉายอ่านทะลุเธอออกหมด “พี่พูดถูกมั้ย”
ม่านหมอกเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“พี่ตะวัน ตอนนี้หมอกต้องทำยังไง ตาก็ไม่สบาย เมฆก็ยังเด็ก หมอกทำยังไง”
ม่านหมอกร้องไห้ก่อนจะโผเข้ากอดตะวันฉาย ตะวันฉายอยากจะห้ามแต่ก็เปลี่ยนเป็นเอามือตบหลังอย่างปลอบโยน แต่แล้วเสียงของภูวนัยก็ดังขึ้น
“หมอก”
ม่านหมอกกับตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นตกใจ ทั้งสองหันมองไปตามเสียงแล้วทั้งสองก็นิ่งงันไปเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่ ภูวนัยถอดวิกออกแล้ว
“คุณภู” ตะวันฉายรีบเดินเข้ามาหาภูวนัย “คุณภูเป็นยังไงบ้างครับ”
“ผมสบายดี คุณตะวัน ขอบคุณที่ช่วยดูแลทุกคนตอนที่ผมไม่อยู่” ภูวนัยพูดจบก็หันไปมองม่านหมอกที่นิ่งอึ้ง ภูวนัยเดินเข้ามาหาม่านหมอก “หมอก”
“ทำไมอาทำอย่างนี้ ทำไมอาไม่ติดต่อกลับมา ทุกคนคิดว่าอาตายไปแล้ว”
ทันใดนั้นภูวนัยก็ดึงม่านหมอกเข้ามากอด
“อา...อาขอโทษ...อาไม่อยากให้ทุกคนต้องเดือดร้อนเพราะอา” ภูวนัยกับม่านหมอกต่างกอดกันด้วยความคิดถึงและเป็นห่วง ภูวนัยดึงม่านหมอกออก “หมอก ต่อไปนี้อาคงไม่ได้เจอเราบ่อยๆ แต่ก่อนที่อาจะไป อาอยากให้หมอกยกโทษให้อา สำหรับเรื่องที่ผ่านมาได้มั้ย”
“หมอกไม่เคยโกรธอาเลย หมอกต่างหากที่ไม่ยอมรับความจริง ถ้าวันนั้นไม่ใช่วันเกิดหมอก พ่อกับแม่ก็คงไม่ตาย”
“ไม่ใช่...อย่าคิดอย่างนั้น” ภูวนัยไม่อยากบอกเรื่องเหมือนฝัน “มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“หมอกขอโทษ”
แล้วภูวนัยกับม่านหมอกก็โผเข้ากอดกันอีกที่ปรับความเข้าใจกันได้ ภูวนัยดึงม่านหมอกออกแล้วปาดน้ำตาให้ม่านหมอก
“สัญญากับอานะ ต่อไปนี้หมอกต้องเข็มแข็ง อาไม่อยู่แล้วหมอกต้องดูแลคุณตา ดูแลเมฆให้ดี”
“ไม่...หมอก...หมอกทำไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้” ภูวนัยเอามือลูบหน้าผากม่านหมอกทั้งปลอบโยนและให้กำลังใจ “หลานอาเก่งอยู่แล้ว”
ภูวนัยยิ้มให้กำลังใจม่านหมอก ม่านหมอกเห็นรอยยิ้มของภูวนัยก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา ตะวันฉายที่ยืนอยู่ด้วยก็ดีใจที่ภูวนัยกับม่านหมอกปรับความเข้าใจกันได้ แต่แล้วจู่ๆ เสียงของไผ่พญาก็ดังเข้ามาเหมือนร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ
ตะวันฉายได้ยินเสียงไผ่พญาก็จำได้ทันที
“เสียงคุณไผ่”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็หันมาบอกม่านหมอก
“อาต้องไปแล้ว”
แล้วภูวนัยก็รีบวิ่งออกไป ม่านหมอกพยายามร้องเรียก
“อาภู”
ตะวันฉายตัดสินใจวิ่งตามภูวนัยไปด้วยอีกคน

ไผ่พญาวิ่งหนีมาตามทางเดิน หันรีหันขวางหาที่ซ่อน แล้ววิ่งไปเปิดประตูห้องพักที่อยู่เรียงรายแต่ก็ไม่สามารถเปิดได้ ชาติกล้าวิ่งตามมา เผ่าพงศ์และปลายฟ้าวิ่งตามชาติกล้ามาติดๆ ชาติกล้าไม่เห็นไผ่พญาก็พยายามมองหา ปลายฟ้ากับเผ่าพงศ์วิ่งเข้ามาแล้วปลายฟ้ากับเผ่าพงศ์ก็เห็นไผ่พญาแอบอยู่ด้านหลังของรถเข็นอุปกรณ์แม่บ้านที่จอดอยู่ตรงนั้น ชาติกล้าจะเดินเข้าไปที่รถเข็นอุปกรณ์นั่น ปลายฟ้าเห็นอย่างนั้นก็เข้ามาดึงความสนใจของชาติกล้า
“ชาติ” ชาติกล้าชะงักแล้วหันมองมาทางปลายฟ้า ขณะที่เผ่าพงศ์พยายามส่งซิกให้ไผ่พญาหนีไป “ทำไมต้องตามครูไผ่ด้วย ครูไผ่ไม่ได้มีความผิดอะไรนี่”
ไผ่พญาค่อยๆ ลากรถเข็นอุปกรณ์ไหลไปตามทาง โดยมีเผ่าพงศ์พยายามยืนบังให้
“เดี๋ยวเราค่อยเล่าให้ฟัง” ชาติกล้าหันมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นรถเข็นอุปกรณ์เคลื่อนที่เอง ชาติกล้ารู้ทันที
“หยุดนะ”
ไผ่พญาโผล่พรวดขึ้นหลังรถเข็น ขณะที่ชาติกล้าวิ่งเข้ามาไผ่พญาเลยผลักรถเข็นล้มขวางทางชาติกล้าเอาไว้
ขณะที่เผ่าพงศ์ก็แกล้งทำเป็นสะดุดข้าวของอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้วพยายามจับตัวชาติกล้าเอาไว้เหมือนหาที่พยุงตัว
“เฮ้ย”
ชาติกล้าเสียจังหวะ แล้วก็พยายามปัดเผ่าพงศ์ออกก่อนจะรีบวิ่งตามไผ่พญาออกไป ปลายฟ้าเข้ามาดูเผ่าพงศ์
“เป็นไรมั้ยคะคุณลุง”

ภูวนัยรีบวิ่งมาตามเสียงเอะอะโวยวายที่ได้ยิน โดยมีตะวันฉายวิ่งตามภูวนัยมาห่างๆ ภูวนัยหยุดยืนมองว่าจะเอายังไง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณภู” ระหว่างนั้นไผ่พญาวิ่งผ่านหน้าเขาไป ตะวันฉายอึ้งเมื่อเห็นไผ่พญา “คุณไผ่”
แต่แล้วภูวนัยก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชาติกล้าวิ่งไล่ตามไผ่พญาไปติดๆ
“วีระ...ราชัย...เจอตัวคนร้ายแล้ว...รีบเข้ามาด่วน”
ชาติกล้าโทรศัพท์บอกวีระกับราชัยขณะวิ่งตามไผ่พญาออกไป ตะวันฉายสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ตะวันฉายรีบวิ่งตามไผ่พญาออกไป ขณะที่ภูวนัยครุ่นคิดหาวิธีช่วยไผ่พญา

ไผ่พญาวิ่งมาตามทางแต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นทางที่เธอเลี้ยวมาเป็นทางตัน ไผ่พญาหันหลังกลับจะวิ่งกลับทางเดิม แล้วไผ่พญาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นชาติกล้าเดินเข้ามาด้วยสายตาเหี้ยม
ขณะนั้นเสกสรรกำลังเดินตามพรรษามาตามทาง พรรษามีท่าทางร้อนใจเพราะเสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่วรีสอร์ต
“แหม...ไม่มีอะไรหรอกแม่ษา ฉันว่าเราไปนั่งเล่นที่สระว่ายน้ำดีกว่านะ”
“คุณเสกไม่สงสัยเหรอคะว่าเสียงโวยวายอะไร”
พรรณรายเดินพ้นมุมเข้ามาพอดี แปลกใจที่ได้ยินเสียงโวยวายเหมือนกัน
“เสียงอะไรน่ะพ่อ”
“ไม่ทราบเหมือนกันคะคุณพั้นซ์ ฉันว่ากำลังจะไปดูอยู่นี่แหละคะ”
“ฉันถามพ่อ”
“ยัยพั้นซ์ พูดกับแม่ษาดีๆ หน่อย แม่ษาเขาเป็นแขกเรานะ”
“ไม่เป็นไรหรอกคะ”
พรรษาพูดเสร็จก็เดินออกไป เสกสรรชี้หน้าพรรณรายเพราะเกือบทำให้เขาเสียคะแนน เสกสรรรีบเดินตามพรรษาออกไป พรรณรายทำหน้าหมั่นไส้ทั้งเสกสรรและพรรษา ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยก็ดังขึ้น
“พั้นซ์”
พรรณรายชะงักไปเพราะรู้สึกว่าเสียงคุ้นๆ พรรณรายหันไปแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่
“ภู”

วีระกับราชัยวิ่งลงมาจากรถ วีระกระชับปืนเตรียมพร้อม ราชัยรีบจับมือวีระเอาไว้
“ทำอะไร แกคิดจะยิงหมวดภูเหรอ”
วีระนิ่งไป ระหว่างนั้นไผ่พญาถูกชาติกล้าจับล๊อคแขนเดินออกมาที่ลานจอดรถ วีระกับราชัยเห็นก็แปลกใจ
“ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร จับฉันได้ยังไง”
“เงียบเลย”
วีระกับราชัยรีบเดินเข้ามาหาชาติกล้าด้วยความสงสัย
“หัวหน้าครับ คนร้ายที่ว่าคือ...ผู้หญิงคนนี้เหรอครับ”
“ผมก็นึกว่าเป็นหมวดภูซะอีก”
“เดี๋ยวถามดูก็รู้ว่าไอ้ภูอยู่ไหน”
“คิดว่าฉันจะบอกหรือไง”
ทันทีที่ไผ่พญาท้าทาย ชาติกล้าก็ยกแขนขึ้นทำให้ไผ่พญาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เสียงม่านเมฆดังขึ้น
“อย่าทำอะไรครูไผ่นะ”
ชาติกล้าหันไปก็เห็น เผ่าพงศ์ ตะวันฉาย ปลายฟ้า ม่านหมอก ม่านเมฆ ผจญ สมหมาย สมส่วน กำลังเดินเข้ามา
“ชาติ นี่มันเรื่องอะไร อธิบายให้ฟังซิ”
“ขอโทษนะครับคุณลุง แต่เรื่องนี้มันเป็นความลับทางราชการ”
ระหว่างนั้นเสียงพรรษาดังขึ้น
“ครูไผ่” ทุกคนหันไปก็เห็นพรรษากับเสกสรรเดินเข้ามาอีกมุม “ครูไผ่มาได้ยังไงคะ”
“อ้าวเฮ้ย! เธอปลอมตัวเป็นฝรั่งสองคนนั่นเองเหรอ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็เอะใจ
“สองคน มีอีกคนนึงเหรอครับ” ชาติกล้าถามเสกสรร
“เปล่า...ฉันมาคนเดียว” ไผ่พญารีบบอก
“เงียบ”
“ก็มีผู้ชายอีกคนไง แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” เสกสรรถามด้วยความอยากรู้ ระหว่างนั้นพรรณรายก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อร๊าย...ช่วยด้วยคะ” ทุกคนหันมองพรรณรายด้วยความสงสัย พรรณรายรีบวิ่งเข้ามาบอกชาติกล้า “ภู...ภูเขาอยู่ที่นี่”
“อะไรนะ”
“เมื่อกี้ภูจะจับฉันเป็นตัวประกัน แต่ฉันหนีมาได้”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็รีบหันไปฝากไผ่พญากับวีระและราชัยทันที
“ผมฝากด้วย”

แล้วชาติกล้าก็รีบวิ่งออกไป ทุกคนได้ยินว่าภูวนัยมาก็รีบวิ่งตามชาติกล้าไปเช่นกัน เหลือแต่ตะวันฉายกับม่านหมอกที่ไม่ยอมขยับไปไหน

อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น