แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 10
พิทยาเอนหลับทั้งๆที่ถือแก้วน้ำ พิสินีย์เดินเข้ามาแกะเอาแก้วน้ำออกจากมือของพิทยาอย่างแผ่วเบา พิทยารู้สึกตัวตื่น พิสินีย์วางแก้วน้ำลง พิทยาจับจ้องมองทุกการกระทำของพิสินีย์ พิสินีย์จับมือของพิทยาเอาไว้แล้วดึงให้ลุกขึ้น
“ไปนอนนะคะ พีท”
พิทยาจับมือของพิสินีย์เอาไว้ยังไม่ให้ไป พิสินีย์ชะงักแล้วหันมาด้วยความแปลกใจ
“ถ้าวันหนึ่ง...ผมทำให้คุณผิดหวัง คุณจะยังดีกับผมแบบนี้มั้ย”
พิสินีย์อึ้งแล้วค่อยๆคุกเข่าลงตรงหน้าพิทยา “สิ่งเดียวที่จะทำให้ฉันผิดหวังในตัวคุณได้คือ...คุณหมดรักในตัวฉัน”
“แค่นั้นจริงๆเหรอ”
“แต่รู้อะไรมั้ยคะ...ต่อให้คุณหมดรักฉันจริงๆ...ฉันก็จะไม่มีทางผิดหวังในตัวคุณอยู่ดี...เพราะความรักของฉันก็คือคุณ โกรธเกลียดคุณก็เหมือนทำร้ายหัวใจตัวเอง”
พิทยรวบตัวพิสินีย์เข้ามากอดเอาไว้
“คืนนี้คุณทำตัวแปลกๆอีกแล้ว” พิสินีย์บอก
“ผมขอโทษ อย่าคิดอะไรมากเลยนะ”
“ค่ะ”
พิสินีย์กอดพิทยาเอาไว้อย่างมีความสุข....
“ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว ขอแค่วินาทีนี้ตอนนี้ที่ฉันได้มีคุณ ฉันคิดแค่นั้น”
พิทยากอดพิสินีย์แน่นขึ้นเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ
พิแสงนอนจุกอยู่บนพื้น ชายชาวบ้านสองคนใส่ชุดกรีดยาง คนหนึ่งถือมีดกรีดยางส่วนอีกคนถือไม้ท่อนแลดูน่ากลัวมาก ทั้งสองเดินเข้ามาด้วยหน้าตาถมึงทึง เขมมิกมองพิแสงด้วยความตกใจ เธอกำลังจะวิ่งเข้าไปหาพิแสงแต่ก็ถูกหนึ่งในชาวบ้านดึงแขนห้ามเอาไว้
“อีหนู! มานี่!”
พิแสงพยายามจะยันตัวลุกขึ้นไปหาเขมมิกเพื่อปกป้อง
“เขม....”
ชายคนเดิมเตะเข้าชายโครงของพิแสง
“โอ๊ย!” พิแสงฟุบลงไปอีก
“คุณพิแสง!!! อย่านะ อย่าทำเค้า! ปล่อย!!”
เขมมิกสะบัดจนหลุดมือจากมือชายชาวบ้านแล้ววิ่งเข้าไปหาพิแสงก่อนจะกันตัวพิแสงเอาไว้
“อย่านะ อย่าเข้ามา !”
ชายชาวบ้านทั้งสองคนชะงัก
“จะเอาอะไร เงินเหรอ ไม่มีให้หรอก มีก็แต่ชีวิตนี่แหละ จะเอาหรือเปล่าล่ะ”
ชายชาวบ้านทั้งสองย่างสามขุมเข้ามา
“เขมมิก ถอย..ไป...” พิแสงบอก
“ไม่ ฉันไม่ถอย !” เขมมิกพูดกับชาวบ้านแล้วตัดสินใจยกมือไหว้อ้อนวอน “ฉันไม่มีอะไรให้พวกแกจริงๆ....อย่าทำร้ายพวกเราเลยนะ แต่ถ้าอยากจะทำ ทำฉันคนเดียว อย่าทำเค้านะ ฉันขอร้อง”
เขมมิกทนไม่ไหวจนถึงกับร้องไห้ออกมา พิแสงอึ้งที่เขมมิกยอมเสี่ยงตายเพื่อปกป้องเขา
“เขมมิก”
เขมมิกเข้าไปกอดพิแสงเอาไว้ “ฉันจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรคุณ!!”
เขมมิกกอดพิแสงแน่นไม่ยอมปล่อย ชายชาวบ้านทั้งสองมองหน้ากันอย่างเริ่มเข้าใจสถานการณ์
“ที่แท้เอ็งสองคนเป็นผัวเมียกันเรอะ!”
พิแสงกับเขมมิกอึ้ง...
ชาวบ้านคนที่สองพูดกับชายชาวบ้านคนแรก “ไม่ใช่แล้วจะกอดกันกลม อ้อนวอนขอชีวิตให้กันหรือไงวะ มีแต่คนรักกันเท่านั้นที่ยอมเสียสละชีวิตตัวเองให้อีกคน!”
พิแสงอึ้งและหัวใจเต้นแรง เขามองหน้าเขมมิก เขมมิกอึ้งและไม่กล้าสบตาพิแสง
“เออว่ะ...ไอ้เราก็คิดว่าไอ้หนุ่มนี่มันฉุดเอ็งมาทำมิดีมิร้าย! ก็เลยฟาดเปรี้ยงเข้าให้ จะช่วยเอ็งนะนังหนู!”
พิแสงกับเขมมิกงง “อ้าว.....”
“ขอโทษด้วยเว้ย เจ็บมากมั้ย ไอ้หนุ่ม”
พิแสงกับเขมมิกมองหน้ากันด้วยความโล่งใจที่สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
เขมมิกกับพิแสงเข้ามาในห้องที่อยู่ภายในบ้านของชาวบ้าน ชาวบ้านที่เป็นคนตีพิแสงและเมียเดินมาส่งที่หน้าห้อง
“พักที่บ้านพี่ก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าจะพาไปส่ง ตอนนี้ฝนตก ถนนเละ รถวิ่งลำบาก.... ขอโทษจริงๆนะหนุ่มที่เข้าใจผิด”
“ไม่เป็นไรครับ” พิแสงบอก
“พี่วางเสื้อผ้า ยาแก้ไข้ไว้ให้ในห้องแล้วนะน้อง ตากฝนมาตั้งนาน กินกันไว้ก่อน อ้อ...มียาหม่องด้วย นวดให้ผัวซะนะ สงสัยจะช้ำน่าดู” เมียของชายชาวบ้านบอก
พิแสงกับเขมมิกสบตากันอย่างเขินๆ
“เอ่อ...ไม่มีห้องอีกห้องเหรอคะ” เขมมิกถาม
“ห้าย!! ผัวเมียกันจะนอนแยกห้องกันทำไม เอ๊ะ...หรือว่า...”
พิแสงรีบขัด “คงจะยังงอนอยู่ที่ผมขับรถไม่ระวัง ทำให้เกิดอุบัติเหตุ”
เขมมิกหันมองพิแสงตาเขียว พิแสงรีบโอบเขมมิกเอาไว้ เขมมิกได้แต่ยิ้มแหย
“ห้าย เมียพี่ก็ประจำ งอนปุ๊บ ไล่ให้ไปนอนนอกห้องปั๊บ แล้วพอดึกๆก็ย่องมาสะกิดให้กลับไปนอนด้วยกัน” ชายชาวบ้านบอก
เมียเขิน “พี่ดำ!”
“ขอบคุณพวกพี่มากๆอีกครั้งนะครับ”
“เออ ตามบายๆ” ชายชาวบ้านพูดกับเมีย “ไป เราก็ไปนอนกันได้แล้ว”
ชายชาวบ้านและเมียพากันเดินออกไป เขมมิกทำท่าจะเรียกไว้อีกเพราะไม่อยากนอนห้องเดียวกับพิแสง
พิแสงพูดเบาๆกับเขมมิก “อย่าทำให้พี่เค้าลำบากอีกเลย บ้านเขามีแค่ห้องเดียว เขาเสียสละให้เรานอนแล้ว หรือคุณจะให้พี่เค้าไปนอนนอกบ้าน”
เขมมิกอึ้ง “แต่....ฉันเคยบอกแล้วไง...ฉันไม่ไว้ใจคุณ”
เขมมิกเหลือบมองพิแสงที่ยังโอบไหล่เธอไว้ไม่ปล่อย พิแสงยิ้มให้แต่ก็ยังไม่ปล่อย เขมมิกทำท่าจะถองแต่พิแสงจับแขนของเขมมิกเอาไว้
“เมื่อกี้...ใครกันนะที่ขอร้องพี่เค้าไม่ให้ทำร้ายฉัน แต่ตอนนี้เธอกลับจะทำซะเอง...” พิแสงว่า
เขมมิกอึ้งและหน้าแดง เธอสะบัดแขนหลุดจากพิแสงแล้วจะเดินเข้าห้อง พิแสงกันเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างทำให้เขมมิกไปไหนไม่ได้
“เธอเป็นห่วงฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ....” พิแสงถาม
“ใช่....”
“ทำไม”
“ฉัน....” เขมมิกตัดสินใจที่จะไม่พูดแล้วลอดแขนพิแสงเข้าห้องไป พิแสงปิดประตูแล้วเดินตามเขมมิกเข้าไป
ชมพู่ อนงค์ และวาสินียืนกระวนกระวายรออยู่หน้าบ้าน สักพักกนธี เสริม และหลอดก็เดินเข้ามา
“ได้ข่าวนายหัวบ้างมั้ยคะ คุณธี” วาสินีถาม
“ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีรถตกลงไปข้างทางแล้วระเบิด ใกล้ๆโรงพยาบาล กำลังไปตรวจสอบดูว่าใช่รถของพิแสงหรือเปล่า” กนธีบอก
“อย่าให้ใช่เลย น้ำหวานใจคอไม่ดีไปหมดแล้ว”
ทุกคนหน้าเสีย
“เพราะยัยเขมมิกคนเดียว” อนงค์ว่า “ดูซิ สร้างภาระ สร้างความเดือดร้อนให้นายหัวตลอด เจ้าประคุ้ณ ขอให้มันตกเขาตายๆไปซะ นายหัวจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะมันอีก”
“นี่ป้า! แช่งคุณเขม ก็เท่ากับแช่งนายหัวนะ เพราะเขาไปด้วยกัน” ชมพู่ว่า
“อุ๊ย...นายหัว อนงค์ขอโทษ อนงค์ไม่ได้ตั้งใจ”
“เราสองคนผิดเองแหละ ถ้าเราไม่ลืมคุณเขมไว้ที่โรงพยาบาล นายหัวก็ไม่ต้องไปรับ แล้วรถก็ไม่ต้อง.....” หลอดพูด
“เราสองคนสมควรตกเขาตายแทนนายหัวกับคุณเขม” เสริมบอก
“เอากันเข้าไป ช่วยกันแช่งให้สองคนนั่นตกเขาตายกันอยู่ได้!” กนธีว่า
ทุกคนจ๋อย
“ฉันจะตามไปสมทบกับตำรวจตรงที่เกิดเหตุ” กนธีบอก
หลอดกับเสริมอาสา “ผมไปด้วย!”
ปริญญ์เดินเข้ามา
“ผมไปด้วยครับ คุณธี...”
“หมอปิ๊นคงเป็นห่วงคุณเขมมากสินะคะ” วาสินีถาม
“มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่เป็นห่วงคนดีๆอย่างคุณเขมล่ะครับ”
วาสินีรู้สึกเหมือนถูกหลอกด่าจึงอึ้งไป
“ไอ้ย่ะ หล่ออย่างแรงอ่ะหมอปิ๊น” ชมพู่ชม
“พวกผู้หญิงที่อยู่ทางนี้ก็รอฟังข่าวแล้วกัน เผื่อพิแสงติดต่อกลับมา” กนธีบอก
วาสินี ชมพู่ และอนงค์รับคำ “ค่ะ”
กนธี หลอด และเสริมรีบพากันออกไป วาสินีกับอนงค์เป็นห่วงพิแสง ส่วนชมพู่เป็นห่วงทั้งพิแสงและเขมมิก
เขมมิกนั่งลงที่มุมหนึ่งของเตียง พิแสงเดินเข้ามานั่งอีกมุม ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบกับความคิดของตัวเองที่ยังติดใจสงสัย พิแสงอยากรู้จากปากของเขมมิกว่าเธอคิดยังไงกับตัวเขากันแน่ ในขณะที่เขมมิกเองก็ยังคาใจเรื่องที่พิแสงหาว่าเธออ่อยต่อลาภ พิแสงและเขมมิกอดทนต่อไปไม่ไหวจึงหันมาพูดพร้อมกัน
“คุณ / เธอ..”
เขมมิกและพิแสงอึ้ง....
“เธอพูดก่อนเถอะ” พิแสงบอก
“ที่ฉันปกป้องคุณกับพี่ชายคนนั้น เพราะ...ฉันเล่นละครให้ดูน่าสงสารเผื่อเค้าจะเห็นใจ...” เขมมิกบอก
พิแสงอึ้งและรู้สึกผิดหวัง
“แล้วก็....เรื่องที่เราเถียงกันในรถ...ฉันไม่ได้อ่อยคุณต่อลาภ แค่นี้แหละ”
“แล้วเค้าลวนลามเธอหรือเปล่า”
“เปล่า”
“แน่ใจ?”
“ค่ะ”
“ฉันเชื่อเธอ”
เขมมิกประหลาดใจ “ทำไมคราวนี้เชื่อฉันง่ายจัง”
“ไม่รู้สิ...ว่าฉันเชื่อใจเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฉันแคร์ความรู้สึกของเธอมาก ไม่อยากให้เธอผิดหวัง ถ้าฉันไม่เชื่อใจเธอ”
เขมมิกหันไปจ้องพิแสงด้วยใจที่เต้นโครมคราม
“ตั้งแต่เธอเข้ามาป่วนชีวิตฉันที่นี่ ระบบความคิดของฉันที่เคยมี มันพังหมดเลยเธอรู้มั้ย”
“พังยังไงคะ” เขมมิกถาม
“อยากฟังจริงๆเหรอ”
“ค่ะ”
พิแสงลุกขึ้นมายืนตรงหน้าเขมมิก
“ฉันไม่มีสมาธิทำงาน ในหัวคิดแต่เรื่องของเธอ ว่าวันนี้เธอจะสร้างเรื่องอะไรให้ฉันปวดหัวอีก ไอ้หลอดกับไอ้เสริมมันจะลืมเธอไปปล่อยทิ้งไว้ที่ไหนอีกหรือเปล่า เธอจะไปอารมณ์เสียใส่ไอ้ทีเด็ดมั้ย หรือว่าฉันใช้งานเธอหนักเกินกว่าที่ควรหรือเปล่า ทำไมกับไอ้หมอเธอถึงได้มีเรื่องคุยมีเรื่องหัวเราะได้ตลอดเวลา แต่กับฉัน...ทำไมเธอไม่เคยคุยด้วยอย่างนั้นเลย....สายตาฉันจับจ้องอยู่ที่เธอ ไม่ว่าเธอจะไปไหนหรือทำอะไร ไม่รู้ทำไมว่าฉันรู้สึกผูกพันกับเธอมานานนักหนา ทั้งๆที่เราเพิ่งจะเจอกัน”
เขมมิกอึ้ง น้ำตาของเธอซึมโดยไม่รู้ตัวด้วยความตื้นตันเพราะสิ่งที่พิแสงพูดคือการสารภาพรักชัดๆ
พิแสงค่อยๆเอามือไปเช็ดน้ำตาให้เขมมิกอย่างแผ่วเบาแล้วคุกเข่าตรงหน้าเขมมิก
“และที่สำคัญ” พิแสงพูดต่อ “ทำไมเราไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้ ก่อนที่เธอจะมีคู่หมั้น”
เขมมิกตกใจ “คุณพิแสง...”
“เหตุการณ์เมื่อกี้....ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย รู้มั้ยว่าฉันคิดอะไร”
เขมมิกส่ายหน้า
“ขอให้ฉันรอดตาย ขอให้เธอไม่เป็นอะไร....เพื่อที่ฉันจะยังมีลมหายใจมาบอกความรู้สึกของฉันกับเธอ ฉันไม่อยากตายไป โดยที่ยังเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะรู้ดีว่า....เมื่อบอกไปแล้ว สิ่งที่ฉันได้กลับมา จะมีแค่เพียง...ความว่างเปล่า แต่ฉันก็จะไม่เสียใจ”
เขมมิกโผเข้ากอดพิแสงไว้แล้วร้องไห้โฮ พิแสงอึ้ง เขาทั้งรู้สึกดีและเจ็บปวดในคราวเดียวกัน
“เธอกำลังปลอบใจฉันใช่มั้ยเขมมิก...ขอฉันกอดเธอบ้างได้มั้ย ฉันสัญญา พรุ่งนี้ ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ให้เธอต้องลำบากใจอีก”
เขมมิกได้แต่ร้องไห้เพราะพูดไม่ออก พิแสงค่อยๆโอบกอดเขมมิกเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ถ้าเธอร้องไห้เพราะสงสารฉัน...ขอร้องนะ...อย่าร้องไห้เลย อย่าทำให้ฉันดูน่าสมเพชมากไปกว่านี้”
เขมมิกผละออกมา “ไม่เลย...คุณไม่ได้น่าสมเพช ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะฉันสงสารคุณ....”
เขมมิกพูดไม่ทันจบ พิแสงก็ตรงเข้าไปจูบเขมมิกทันที เขมมิกตกอยู่ในห้วงรัก เธอจึงยอมให้พิแสงจุมพิตโดยไม่ขัดขืน
ซากรถของพิแสงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจพิสูจน์หาหลักฐาน กนธี ปริญญ์ หลอด และเสริมวิ่งเข้ามา พอเห็นสภาพรถแล้วทุกคนก็อึ้งเหวอ
“ใช่รถของนายหัวครับ! ผมจำทะเบียนรถได้” หลอดบอก
ทุกคนอึ้งเพราะคิดว่าพิแสงและเขมมิกคงไม่รอด
“ไอ้พิแสง...” กนธีเอ่ย
“คุณเขม...” ปริิญญ์ตกใจ
หลอดกับเสริมร้องโฮ
พิแสงยังจุมพิตเขมมิก แล้วพิแสงก็ค่อยๆผละออกจากเขมมิก เขมมิกใจละลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ สายตาของเขมมิกตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกรักและยอมจำนนต่อพิแสง พิแสงอ่านสายตาของเขมมิกแล้วก็อึ้ง เขารีบลุกเดินออกห่างจากเขมมิก
“ฉันขอโทษ....ลืมทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นซะ เขมมิก”
“ทำไมคะ”
“ยังจะมาถามอีกว่าทำไม ก็เธอกำลังจะแต่งงาน!!”
“แล้วถ้า....”
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะ พิแสงรีบไปเปิดประตูทันที ชายชาวบ้านยืนยิ้มพร้อมยื่นมือถือให้พิแสง
“เพิ่งชาร์ตแบตเต็ม อ่ะ ที่หนุ่มขอยืมโทรบอกที่บ้านน่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ชาวบ้านชายตามองๆเข้ามาในห้องแล้วยิ้มกับเขมมิกก่อนจะเดินออกไป พิแสงปิดประตูแล้วรีบกดเบอร์มือถือโดยไม่มองเขมมิกเลย เขมมิกถอนใจด้วยความลังเลและสับสนว่าจะเอายังไงต่อดี พิแสงรอสายจนมีคนรับ
“ฮัลโหล...ชมพู่!”
เนตรนิภาที่งัวเงียอยู่รับมือถือ
“ว่าไง นายธี โทรมาทำไมป่านนี้เนี่ย...” เนตรนิภาตกใจจนลุกผรวด “อะไรนะ คุณพิแสงกับเขมรถคว่ำระเบิด !!!”
กนธีคุยมือถือกับเนตรนิภา โดยมีหลอดและเสริมยืนร้องไห้อยู่ข้างหลัง ส่วนปริญญ์ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงพยายามยืนสังเกตการณ์ทำงานของตำรวจ
“ใจเย็นๆก่อนนะคุณเนตร...ตอนนี้ตำรวจตรวจที่เกิดเหตุอยู่ ยังระบุให้แน่ชัดลงไปไม่ได้ว่าพิแสงกับคุณเขมเสียชีวิตในรถหรือเปล่าหรือกระเด็นออกไปนอกรถ หรือ...”
เนตรนิภาโวยวาย “ให้ฉันใจเย็นก็ไม่ต้องมาสันนิษฐานว่าเพื่อนฉันตายแบบไหน! พูดซะขนาดนี้ ใครจะเย็น! โธ่เขม เขม โอ๊ย ฉันจะไปบอกแม่เขมยังไง”
“ก็ยังไม่ต้องบอกซี่!!! รอจนกว่าจะหาศพเจอ อาจจะไม่เป็นตัวเป็นร่างนะ บอกแม่คุณเขมด้วย อาจจะเหลือแค่เป็นผงๆอ่ะ” กนธีบอก
“ไอ้นายกนธี! ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องสันนิษฐาน!”
“อ้าว...ก็พูดให้คุณทำใจให้ได้ซะตั้งแต่เนิ่นๆ”
“พูดยังกับว่านายทำใจได้แล้วงั้น?” เนตรนิภาถาม
“ยัง!” กนธีปล่อยโฮทันที “คุณเขม ไอ้พิแสงงเพื่อนรัก!!”
มือถือปริญญ์ดังขึ้น ปริญญ์รับสาย
“ว่าไง ชมพู่...” ปริญญ์ดีใจ “จริงเหรอ!!!! คุณพิแสงกับคุณเขมมิกปลอดภัย ตอนนี้อยู่ที่บ้านชาวบ้าน เค้าจะไปส่งที่ฟาร์มพรุ่งนี้เช้า”
กนธี หลอด และเสริมชะงักด้วยความดีใจ
หลอดกับเสริมกอดกันกลม “นายหัวกับคุณเขมปลอดภัย ไชโย!!”
เนตรนิภาเงี่ยหูฟังจากมือถือจนได้ยินชัดว่าพิแสงกับเขมมิกปลอดภัย
กนธีพูดกับเนตรนิภา “คุณเนตร..เอ่อ....ได้ยินป่ะ”
“ได้ยิน! ชัดมากด้วย! ทีหลังถ้ายังไม่มีอะไรชัดเจนก็ไม่ต้องพูด!! มาแช่งให้เพื่อนฉันตาย ฉันจะไปฆ่านาย!”
กนธีตกใจ “ว้าก!!!! อย่านะจ๊ะแม่จ๋า ก็เค้าไม่ได้ตั้งใจอ่ะ...เค้านอย”
ปริญญ์ หลอด และเสริมมองกนธีด้วยสายตาประนาม
เขมมิกยังนั่งนิ่งตรงที่เดิม พิแสงในชุดชาวบ้านที่เปลี่ยนเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา พิแสงเดินมาทิ้งตัวนอนฝั่งหนึ่งของเตียงโดยหันหลังให้เขมมิก เขาหลับตาลง เขมมิกตัดสินใจหันมาถามพิแสง
“คุณรู้สึกอย่างนั้นกับฉันจริงๆเหรอ”
พิแสงอึ้งแล้วรีบเฉไฉ “เธอควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวจะไม่สบาย แล้วรีบนอนซะ”
“ฉันถามคุณ”
พิแสงพูดโดยไม่หันมา “ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันจะไม่พูดถึงมันอีก ราตรีสวัสดิ์”
เขมมิกอึ้ง เธอมองแผ่นหลังของพิแสงด้วยความอึดอัด เขมมิกยังนั่งอยู่ในท่าเดิมโดยไม่ยอมลุก แต่กลับคิดหนัก พิแสงทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นดึงตัวเขมมิกขึ้นมา พร้อมหยิบเสื้อผ้าสำหรับเขมมิกที่วางอยู่ใกล้ๆมายัดใส่มือเขมมิก แล้วดันตัวเขมมิกไปที่ประตู
“ไปจัดการตัวเองซะ”
เขมมิกทำท่าจะแข็งขืน
“หรือจะให้ฉันจัดการให้!”
เขมมิกรีบเดินออกไปทันที พิแสงมองตามอย่างเหนื่อยหน่ายเพราะระอาในความดื้อ เขาค่อยๆปิดประตูโดยยังยืนพิงประตู เขมมิกยืนมองประตูอยู่ด้วยความรู้สึกสับสน
พิแสงพูดผ่านประตู “ฉันบอกให้ไปจัดการตัวเอง ทำไมถึงได้ดื้อด้านนัก หา!!”
เขมมิกสะดุ้งตกใจ
“ถ้าฉันเปิดประตูออกไป ยังเห็นเธอยืนอยู่ ฉันจัดการเธอแน่”
เขมมิกรีบเดินออกไปทันที พิแสงเดินมาที่เตียงแล้วค่อยๆลงนอนหลับตา
เช้าวันรุ่งขึ้น เขมมิกในชุดผ้าถุงปาเต๊ะ สวมเสื้อตัวหลวมโคร่ง หัวฟูฟ่องค่อยๆรู้สึกตัว ลืมตาตื่นขึ้น เธอบิดขี้เกียจแล้วมองไปข้างๆ ก็พบแต่ความว่างเปล่าไร้ร่างพิแสง เขมมิกสำรวจตัวเอง
“คิดว่า...คงไม่โดนนะ...ไม่หรอก...ฉันไม่ได้เมาจนไม่มีสติสักหน่อย เฮ้อ โล่งอก”
เขมมิกลุกขึ้นจนผ้าถุงเกือบหลุด แต่เธอเกี่ยวเอาไว้ได้ทัน
“ว้าย!!” เขมมิกพยายามมัดปมที่เอวใหม่ “มัดไงเนี่ย...โอย”
เขมมิกมัดๆม้วนๆ จนทำให้ตัวเธอยิ่งดูพอง เขมมิกเดินออกไปนอกห้อง
พิแสงที่เปลี่ยนมาใส่ชุดเดิมกำลังนั่งคุยกับเมียชาวบ้าน ชายชาวบ้านกำลังเช็ดรถกระบะเก่าๆ เพื่อเตรียมขับไปส่ง เขมมิกเดินออกมาเห็นพิแสงหันหลังให้
“ทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ ตื่นสายเลยเห็นมั้ย”
พิแสงผละจากการคุยกับเมียชาวบ้าน แล้วหันไปหาเขมมิก พิแสงเห็นเขมมิกในสภาพอ้วนกลม ผมฟูก็ถึงกับอึ้ง ภาพของปุ๊กลุ๊กเมื่อตอนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์แวบเข้ามาในความคิดของพิแสง ภาพนั้นกระแทกเข้าไปซ้อนกับใบหน้าของเขมมิกได้อย่างพอดิบพอดี พิแสงอ้าปากค้าง
“ปุ๊กลุ้ก....”
“อะไรนะคะ...” เขมมิกถาม
“เธอ....”
“เมื่อกี้ คุณพูดว่าอะไรนะ”
พิแสงพูดไม่ออกเพราะกลัวพลาดเลยปฏิเสธ “เปล่า....”
“พี่จะไปแล้วใช่มั้ยคะ รอหนูแป๊บนะคะ หนูขอ...จัดการตัวเองแป๊บนะ”
เขมมิกวิ่งเข้าไปในบ้านทันที พิแสงมองตามแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น
พิแสงและเขมมิกนั่งที่กระบะท้ายรถ ขณะที่ชาวบ้านขับไปเรื่อยๆไปตามถนนที่สองข้างทางเป็นสวนยาง เขมมิกนั่งมองทางรับลมยามเช้าโดยไม่กล้าสบตากับพิแสง พิแสงนั่งมองเขมมิกอย่างพินิจพิจารณา
พิแสงกับเขมมิกเดินเข้ามาที่หน้าบ้านพักโดยไม่พูดอะไรกันเลย กนธี ปริญญ์ พิสา อนงค์ วาสินี หลอด เสริม และชมพู่ที่รออยู่แล้วเห็นพิแสงกับเขมมิกก็ดีใจ
“ไอ้พิแสง คุณเขม!!!” กนธีร้องลั่น
วาสินีดีใจ “นายหัว!!”
“พี่ใหญ่!!!” พิสาดีใจ
วาสินีทำท่าจะโผเข้าถึงตัวพิแสงอยู่รอมร่อ แต่ถูกพิสาเข้าไปขวางด้วยการกอดพิแสงเอาไว้ก่อน วาสินีอึ้ง
“พี่ใหญ่!!”
กนธีที่กำลังจะถึงตัวเขมมิกก็ถูกชมพู่เข้าไปกอดเอาไว้ก่อนเหมือนกัน กนธีจ๋อย
“คุณเขมปลอดภัยแล้ว!!” ชมพู่ดีใจ
“คุณพิแสง คุณเขม...พวกเราทุกคนเป็นห่วงคุณสองคนมากนะครับ” ปริญญ์พูด
“ขอบคุณมากนะคะหมอปิ๊น...เขมดวงแข็งค่ะ ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก” เขมมิกบอก
“น้องเล็กรู้จากพี่ธี น้องเล็กนอนไม่หลับเลย ไหว้พระทั้งคืน ภาวนาให้พี่ใหญ่ปลอดภัย ส่วนคนอื่นอยากให้ตายๆไปซะ” พิสาว่า
เขมมิกสะดุ้ง ทุกคนก็สะดุ้งแต่อนงค์กับวาสินีแอบสะใจ
“น้องเล็ก....พี่เพลีย อยากพักผ่อน” พิแสงบอก
“ทานอะไรมาหรือยังคะ เดี๋ยวอนงค์ไปหาของให้นายหัวทานก่อนนะคะ จะได้นอนหลับสนิท”
“ไม่เป็นไร ผมไม่หิว กินไม่ลง”
พิแสงเดินเข้าบ้านไปทันทีโดยไม่มองเขมมิกแม้แต่หางตา เขมมิกยิ่งรู้สึกอึดอัด พิสาเดินตามพิแสงไป กนธีสังเกตปฏิกริยาระหว่างพิแสงและเขมมิกแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ รู้สึก...อยากเปลี่ยนชุด เน่าเต็มที” เขมมิกบอก
“คุณเขมน่าจะหยุดงานสักวันนะครับ ดูคุณ...ไม่ค่อยสบาย” กนธีเสนอ
ปริญญ์เห็นด้วย “นั่นสิครับ คุณพิแสงเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังรู้สึกเพลีย”
“ยังไงคุณเขมก็เป็นคนนะคะ ไม่ใช่เครื่องจักร พักบ้างเถอะค่ะ นายหัวไม่ว่าหรอกค่ะ เดี๋ยวน้ำหวานจะคุยให้” วาสินีบอก
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ เรื่องของฉัน ไม่ต้องให้ใครมาจัดการ”
วาสินีอึ้งแต่พยายามยิ้มให้เขมมิก “แล้วแต่คุณเขมแล้วกันค่ะ”
เขมมิกเดินเข้าบ้านไป อนงค์สังเกตเขมมิก
“ไม่มีอะไรแล้ว ฉันกลับรีสอร์ทก่อนนะหมอ...วันนี้มีพนักงานใหม่มารายงานตัว ไม่รู้จะทำได้สักกี่น้ำ” กนธีบอก
“ครับ ผมก็ต้องเข้าฟาร์มเหมือนกัน” ปริญญ์บอก
กนธีและปริญญ์แยกย้ายกันออกไป เหลือเพียงอนงค์ วาสินี ชมพู่ หลอด และเสริม
“ฉันว่านายหัวกับยัยเขมมิกดูแปลกๆนะ...เมื่อคืน...ไปค้างอ้างแรมกันสองต่อสอง แล้วกลับมาแบบ...ดู..ห่างเหิน...ไม่มองหน้ากัน” อนงค์ว่า
“ห้าย!!! เอาเวลาป้าไปทำงานดีกว่านะ” หลอดแขวะ
“ทุกคนขยันทำงานกันทั้งนั้น มีแต่ป้านี่แหละ เอาแต่นินทาเจ้านาย” เสริมว่า
“เอ๊าะลืมไป ว่าป้าแกกำลังจะถูกให้ออก แกเลยซ้อมทำตัวแบบคนว่างงาน” ชมพู่เสริม
“ห้าย!! ถึงยังไม่ออกจากงาน แกก็เป็นแบบนี้ งานการไม่ค่อยทำ” เสริมว่า
“ไอ้พวกเวรตะไล!!! เดี๋ยวแม่เพ่น!!” อนงค์เดือด
ชมพู่ หลอด และเสริมวงแตก เหลืออนงค์ยืนอยู่กับวาสินี
“แม่ว่า...เมื่อคืน ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆระหว่างนายหัวกับยัยเขมมิกใช่มั้ย” วาสินีถาม
“ฉันดูอะไรไม่มีพลาดหรอกแก แต่เรื่องอะไรนี่สิ”
“ไม่ต้องเสียเวลาเดาหรอกแม่ สร้างเรื่องให้มันเลยดีกว่า”
อนงค์ยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะเข้าใจความหมายของวาสินี “นั่นสินะ...เอาให้มันอายจนอยู่ที่นี่ไม่ได้เลยดีกว่า”
วาสินีกับอนงค์ยิ้มพึงพอใจกับแผนการชั่วร้ายเพื่อกำจัดเขมมิก
พิแสงจะเดินเข้าห้องแต่พิสารั้งไว้
“พี่ใหญ่ เมื่อคืน...นังเขมมันย่องเข้าหาพี่ใหญ่หรือเปล่า”
“น้องเล็ก เหลวไหล กลับบ้านได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว”
“น้องเล็กไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับตัวพี่ใหญ่หรอก น้องเล็ก...”
พิแสงไม่รอฟังพิสาพูดให้จบเขาเปิดประตูเข้าห้องแล้วปิดประตูทันที
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
พิสาฮึดฮัด
พิแสงเดินเข้าห้องแล้วตรงมาที่คอกของปุ๊กลุ้ก ปุ๊กลุ้กนอนหลับอุตุอยู่
“เธอใช่ปุ๊กลุ้กหรือเปล่าเขมมิก......เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันคือพี่เสือ”
พิแสงคิดถึงภาพตอนที่เห็นกรอบรูปสมัยที่ตัวเองถ่ายที่สวิตเซอร์แลนด์กับเพื่อนหล่นแตก
พิแสงยืนมองปุ๊กลุ้กอย่างใช้ความคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
เขมมิกยืนนิ่งอยู่กลางห้อง เธอนึกถึงตอนที่พิแสงจู่โจมจูบปากเธอ
นึกถึงตอนนั้นเขมมิกยังรู้สึกอุ่นที่ริมฝีปาก
“แปลว่า...เค้ารักเธอแล้วใช่มั้ยเขมมิก...เธอควรจะดีใจไม่ใช่เหรอที่คนที่เธอเกลียดชังกำลังหลงรักเธอ แผนร้ายของเธอกำลังจะสำเร็จแล้ว”
เขมมิกพยายามยิ้มแต่กลับเป็นยิ้มทั้งน้ำตาที่มีแต่ความเสียใจ
พิแสงเปิดตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักซึ่งข้างในลิ้นชักมีถุงผ้าเล็กๆใบหนึ่งวางอยู่ พิแสงหยิบถุงผ้าขึ้นมา เปิดออกแล้วหยิบโบผูกผมเส้นหนึ่งขึ้นมา แล้วพิแสงก็ตัดสินใจอะไรบางอย่าง
อ่านต่อเวลา 17.00 น.
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
เขมมิกปาดน้ำตา เธอกำลังจะลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุด ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เขมมิกแปลกใจแต่ก็เดินไปเปิด พิแสงยืนอยู่หน้าประตู เขมมิกตกใจ
“คุณพิแสง”
พิแสงยื่นโบว์ผูกผมให้เขมมิก เขมมิกอึ้ง
“เธอจำโบว์เส้นนี้ได้มั้ย” พิแสงถาม
เขมมิกมองโบว์แล้วเริ่มลำดับความคิด
ภาพคืนวันวานปาร์ตี้ที่ฮัมบูร์กย้อนกลับมา คืนนั้นเขมมิกผูกโบว์เส้นนี้
หลังจากภาพนั้นย้อนกลับมา เขมมิกก็มองหน้าพิแสงตื่นๆ
“เธอจำได้ใช่มั้ย....” พิแสงถาม
“ฉัน.....”
“มันเป็นของเธอ....เธอทำมันหล่นไว้ วันที่เธอหนีไปจากฉัน เธอทิ้งมันไว้ปุ๊กลุ้ก!!!”
เขมมิกอึ้งแล้วรู้สึกหน้าชา เธอจะปิดประตูแต่พิแสงขืนเอาไว้
“เธอจะหนีฉันอีกทำไม!!”
“ฉันไม่ได้หนี ฉันไม่ใช่ปุ๊กลุ้ก!”
เขมมิกออกแรงกระแทกเพื่อปิดประตูจนได้แล้วก็ล็อกทันที เธอยืนพิงประตูร้องไห้ พิแสงทุบประตู
“ปุ๊กลุ้ก เปิดประตูให้ฉัน ฉันมีเรื่องคุยกับเธอ!”
“ไม่ ฉันไม่ใช่ปุ๊กลุ้ก!”
เขมมิกยืนร้องไห้อยู่ที่หลังประตู ส่วนพิแสงยังไม่ยอมไปไหน เขายังยืนอยู่ที่ประตูอย่างไม่ยอมแพ้
ปริญญ์ยืนดูลิเดียอยู่
“โตเป็นสาวแล้วนะเรา...อยากมีแฟนหรือยัง”
ลิเดียมองหน้าปริญญ์
ปริญญ์ตอบเอง “ยังเหรอ...โอเค ไม่ต้องรีบก็ได้ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ เรื่องแบบนี้เร่งไม่ได้ มันเป็นเรื่องของจังหวะและการเรียกร้องของธรรมชาติ”
หลอดและเสริมวิ่งมาหาปริญญ์
“หมอปิ๊นครับ หมอปิ๊น!!”
“เรื่องใหญ่ เรื่องฉาว เรื่องคาวครับหมอปิ๊น” เสริมบอก
“เบาๆสิ นายหลอด นายเสริม...เดี๋ยวลิเดียตกใจ” ปริญญ์ปราม
“ช่างหัวหมูก่อนเถอะครับ เอาเรื่องคนก่อน” หลอดบอก
“เรื่องของใครอีกล่ะ”
“คนงานเม้ากันใหญ่เลยหมอ...เรื่องคุณเขมกับนายหัว”
“ไม่รู้ใครปล่อยข่าว ว่าเมื่อคืนคุณเขมพยายามให้ท่านายหัว แต่นายหัวไม่เล่นด้วย เมื่อเช้านายหัวเลยตึงๆกับคุณเขม” หลอดบอก
“อยากรู้จริงๆว่าใครเริ่ม ทำเป็นรู้ดี เหมือนเข้าไปนั่งอยู่ข้างเตียงเค้างั้นแหละ” เสริมว่า
ปริญญ์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
อนงค์และวาสินีหัวเราะกันอย่างสะใจ
“ฮ่าๆๆๆ คราวนี้ล่ะเอ็งคอยดูนังน้ำหวาน ต่อให้หน้าหนาหน้าทนกว่าคอนกรีตสะพาน ยังไงมันก็ต้องอายบ้างล่ะว้า” อนงค์สะใจ
“นั่นสินะ มีคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคน ยังมาอ่อยให้ท่านายหัวอีก คาวสิ้นดี” วาสินีว่า
“แล้วมันก็จะอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป ฮ่าๆๆ”
เสียงเคาะหม้อดังรัวเข้ามา อนงค์และวาสินีสะดุ้งแล้วหันไปเห็นชมพู่ถือหม้อกับทัพพีเข้ามา พลางเคาะเสียงดัง
“จะเคาะทำไม นังชมพู่” อนงค์ถาม
“อ๋อ เรียกหมาแถวนี้ให้มากินข้าวน่ะป้า” ชมพู่ตอบ
“หมาเหมออะไร อยู่แถวนี้ ไปเรียกที่อื่น ไป๊!”
“เอ๊า แล้วหมาหมู่ไม่มีเหรอป้า ฉันว่าฉันได้ยินเสียมันหอนเห่าแง่งๆๆๆ อยู่นะตอนเข้ามาน่ะ แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่า...หมาขี้เรื้อน ไม่ได้รับการอบรม แถมชอบกัดชาวบ้านแบบกัดลับหลังด้วยนะ” ชมพู่ว่า
วาสินีชักสีหน้าทันทีเพราะรู้ว่าชมพู่พูดกระทบ แต่อนงค์ปากไวจึงจะด่า
“แกว่าใคร!”
วาสินีดึงมืออนงค์เพื่อปรามเอาไว้ ก่อนจะหันไปพูดดีกับชมพู่ “หมาหมู่ไม่มีหรอกจ๊ะชมพู่ หูเฝื่อนแล้วมั้ง”
“ก็อาจจะใช่นะ....สงสัยหูคงไม่ค่อยดี” ชมพู่บอก
“อย่างแกมันพังไปทั้งตัว” อนงค์ว่า
“แต่ตาเริ่มสว่างแล้วนะป้า...เริ่มมองเห็นว่า...ใครสันดานเป็นยังไง”
ชมพู่ปรายตามองวาสินี
“ชมพู่จ๊ะ...” วาสินีเรียก
“ไม่ต้องพูดยัยแอ๊บ! ตีสองหน้ามาซะตั้งนาน เลิกได้แล้ว! ฉันได้ยินเต็มสองรูหูว่าป้ากับเธอเป็นคนปล่อยข่าวใส่ร้ายคุณเขม! ความลับไม่มีในโลกหรอกนะจะบอกให้”
“ตัวเองบอกเองไม่ใช่เหรอว่าหูไม่ค่อยดี ฟังผิดแล้วล่ะจ๊ะ” วาสินีบอก
“ไม่ผิด! เรื่องนี้ต้องถึงหูนายหัว!”
ชมพู่รีบเดินออกไป อนงค์หันมามองวาสินีด้วยความกังวล
“เอาไงดี นังน้ำหวาน นังชมพู่มันกำลังจะทำเราเดือดร้อน”
วาสินีร้อนใจคิดหาทางแก้สถานการณ์
พิแสงยังยืนอยู่ที่ประตูห้องเขมมิก ส่วนเขมมิกยังยืนที่หลังประตู
พิแสงเรียก “ปุ๊กลุ้ก....”
เขมมิกทนไม่ไหวจึงเปิดประตูออกไป “เลิกเรียกฉันว่าปุ๊กลุ้กซะที ฉันชื่อเขมมิก ไม่มีผู้หญิงเสร่อๆ หน้าโง่ที่ชื่อปุ๊กลุ้กอีกต่อไปแล้ว”
“ทำไมเธอต้องโกหก ทำเหมือนว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”
“ในความคิดคุณ ปุ๊กลุ้กเป็นแค่คนรู้จัก ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีความสำคัญ! เหมือนกระดาษทิชชู่ใช้แล้วก็ทิ้ง....ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แม้แต่คนรู้จักฉันก็ไม่อยากเป็น ! ฉันไม่อยากรื้อฟื้นมัน!”
“ไม่จริงนะ ฟังฉันก่อน....”
“ไม่ฟัง! โบว์นั่นจะเก็บไว้ทำไม เก็บไว้เพิ่มความหยิ่งผยองให้กับตัวเองเหรอ แต่จะบอกให้นะ มันคือความอัปยศของฉัน ยิ่งฉันเห็นมัน มันยิ่งตอกย้ำความโง่เง่าปัญญาอ่อนของฉัน เอามันทิ้งไป”
เขมมิกเข้าไปแย่งโบว์มาจากพิแสงได้ แล้วเธอก็รีบวิ่งออกไป พิแสงวิ่งตามไป
เขมมิกวิ่งถือโบว์วิ่งหนีพิแสง พิแสงวิ่งมาคว้าตัวเขมมิกไว้ได้แล้วจับตัวให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
“เธอเจ็บปวดเพราะความคิดที่คิดไปเอง!”
เขมมิกอึ้ง “คิดไปเอง??? คิดไปเองเหรอ แต่สิ่งที่ฉันตื่นขึ้นมาเห็น มันอธิบายได้มากกว่าคำพูดเป็นร้อยเป็นพันซะอีกว่าคุณ....” เขมมิกพูดไม่ออก “คุณทำลายฉันยังไง.....”
ภาพในอดีตย้อนกลับมา วันนั้นเขมมิกตื่นขึ้นมาในตอนเช้าหลังงานปาร์ตี้ที่ฮัมบูร์กในสภาพเปลือย เธอเห็นเสื้อผ้าตัวเองกองอยู่ที่ปลายเท้า พอหันไปก็เห็นพิแสงนอนเปลือยท่อนบนอยู่ข้างๆ โดยเสื้อผ้าพิแสงก็กองอยู่ปลายเท้าเช่นกัน
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น เขมมิกก็มองพิแสงอย่างโกรธแค้น
“มันไม่พออีกหรือไง”
“ไม่พอ! เงียบ แล้วฟังฉัน!”
เขมมิกอึ้ง
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลย...ฉันจะทำได้ยังไง...ในเมื่อ...”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา พิแสงพาเขมมิกลงนอนบนที่นอน เขมมิกกรนจนพิแสงสะดุ้ง พิแสงมองเขมมิกพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดู พิแสงหันหลังจะลุก แต่เขมมิกทะลึ่งตัวลุกขึ้นมาคว้าคอเสื้อของพิแสงเอาไว้
“เดี๋ยว!!!”
พิแสงตกใจ “เฮ้ย!!”
พิแสงหันมาเห็นเขมมิกทำหน้ามึนมองพิแสงอยู่
“มีอะไร”
“หนู...จะ....” เขมมิกอ้วกออกมารดตัวพิแสงและตัวของเธอเอง
พิแสงกุมขมับด้วยความเซ็ง “เวร!!”
“เอิ๊ก” เขมมิกลงไปหลับต่ออย่างไม่ได้สติ
พิแสงเห็นสภาพตัวเองและเขมมิกแล้วกลุ้มใจ
พิแสงพยายามถอดเสื้อผ้าให้เขมมิกโดยพยายามไม่มองจึงถอดอย่างยากลำบาก
“ขอโทษนะ...ปุ๊กลุ้ก แต่ฉันคงให้เธอนอนจมอ้วกตัวเองไม่ไหวจริงๆ”
พิแสงถอดเสื้อของเขมมิกต่อไป
เวลาผ่านไป เสื้อ กางเกงและเครื่องในทั้งหมดของเขมมิกถูกโยนลงพื้น พิแสงเอาผ้าห่มมาห่มให้เขมมิก พิแสงเห็นสภาพตัวเองแล้วทนไม่ไหวจึงถอดเสื้อตัวเองออกแล้วจะลุกออกไปแต่เขมมิกเอามือมาจับแขนของพิแสงเอาไว้แน่นแล้วกระชากพิแสงลงมาลงนอนข้างๆ ก่อนจะเอาขาอันใหญ่โตพาดทับอีกที พิแสงนอนนิ่งตาปริบๆ เพราะกระดิกตัวไม่ได้จึงยอมให้เขมมิกกอด เขาค่อยๆเอาผ้าห่มมาห่มตัวเองด้วย ทำให้เกือบเห็นร่างของเขมมิกที่อยู่ใต้ผ้าห่ม พิแสงหลับตาปี๋เพราะจะไม่มอง เขานอนนิ่งข้างๆเขมมิกอยู่อย่างนั้นแต่แอบยิ้มอย่างสุขใจ
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขมมิกก็อึ้ง พิแสงมองเขมมิกด้วยความจริงจังและจริงใจ
“คุณไม่ได้.....”
“ฉันพยายามตามหาเธอ แต่ก็พบว่าเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยและกลับเมืองไทยแล้ว ทุกคนต่างเรียกเธอว่าปุ๊กลุ้ก ไม่มีใครรู้ว่าเธอชื่อเขมมิก ไม่อย่างนั้นฉันคงตามหาเธอที่เมืองไทยจนพบ” พิแสงบอก
“ไม่จริง เพลย์บอยอย่างคุณน่ะเหรอที่จะเสียใจ ไม่จริง”
“ไม่เพียงแค่เสียใจ แต่ฉันรู้สึกผิดมากที่ทำให้เธอต้องทิ้งอนาคตกลางคัน ทำให้เธอเรียนไม่จบ ฉันเลิกเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น ฉันกลับมาฝังตัวอยู่ที่นี่ ไม่คบใคร ไม่รักใคร รอวันที่จะได้พบเธออีกครั้งเพื่อแก้ไขความผิดพลาด”
เขมมิกอึ้ง
“เธอจะเชื่อฉันมั้ย....ถึงฉันจะมีผู้หญิงกี่คนต่อกี่คน แต่ตั้งแต่วันแรกที่ฉันได้เจอปุ๊กลุ้ก ผู้หญิงที่เดินไปไหน ก็มีแต่ความสดใส ไม่เคยเสแสร้ง ไม่เหมือนผู้หญิงพวกนั้นที่ฉันคบด้วย สายตาฉันก็คอยแต่จับจ้องเธอตลอดเวลา เหมือนทุกวันนี้...ฉันไม่แปลกใจอีกแล้ว ว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกผูกพันกับเธอนัก”
หมูปุ๊กลุ้กวิ่งออกมาหาพิแสง
“มานี่ ปุ๊กลุ้ก....” พิแสงอุ้มหมูไว้
“คุณตั้งชื่อมัน...ตามชื่อฉัน”
พิแสงพยักหน้า “เพราะฉันไม่เคยลืมเธอ...ต่อแต่นี้ไป ฉันจะพยายามสอนเธออย่างดีที่สุด เพื่อให้เธอไปเริ่มชีวิตครอบครัวกับคนรักของเธออย่างดีที่สุด ถือซะว่ามันคือการไถ่บาปของฉัน”
เขมมิกอึ้งเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อพิแสงดีหรือไม่ พิแสงค่อยๆเดินจากไป เขมมิกนั่งสับสนอยู่เพียงลำพัง
เขมมิกยกหูโทรศัพท์บ้าน เธอกดเบอร์แล้วรอสาย เสียงรับสายจากปลายทาง
“เนตร! ฉันต้องการไปหาหมอสูติ ตรวจเครื่องใน!” เขมมิกพูด
เขมมิกกับเนตรนิภายืนอยู่แผนกสูตินรีเวช ทั้งสองมองเข้าไปเห็นป้ายสูตินรีเวช
“เอาจริงเหรอเขม” เนตรนิภาถาม
“จริง!” เขมมิกยืนยัน
“น่ากลัวนะแก ขาหยั่งนะเว้ย”
“จะขาหยั่ง แขนหยั่ง หรือเอาทั้งตัวไปหยั่ง ฉันก็ต้องรู้ให้ได้ว่าฉัน....เสียไปหรือยัง เค้าโกหกหรือพูดจริงกันแน่ ขาหยั่งเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์”
“แต่...แกน่าจะเปลี่ยนชุดก่อนมานะ เน่าสิ้นดี”
“ชีวิตฉันเน่ากว่าอีก อย่าได้แคร์”
เขมมิกเดินเข้าไปในแผนกสูตินรีเวช เนตรนิภาเสียวแทนเพื่อน
กนธีไหว้สร้อยเพชรและรับไหว้สาวิกา
“เดินทางเหนื่อยมั้ยครับ คุณแม่ น้องวิกา” กนธีถาม
สาวิกาเอ่ยตอบ “มะ...” สร้อยเพชรแย่งพูด “เหนื่อยจ๊ะ ไกล้ไกล”
“อ่อ ครับ”
สร้อยเพชรสำรวจรีสอร์ท
“จะเดินชมรีสอร์ทมั้ยครับ ผมจะพาไป”
สาวิกาเอ่ยตอบ “ก็...” สร้อยเพชรแย่งพูด “ก็ดีจ๊ะ แต่ดูจากภายนอกแค่นี้...ก็โอเคนะ กี่ดาวนะจ๊ะ”
“ห้าดาวครับ”
“เหรอ?”
“เห็นมั้ยคะคุณแม่ วิกาต้องได้ประสบการณ์ที่มีค่าแน่ๆ ตื่นเต้นจังเลย ไม่ต้องชมรีสอร์ทก็ได้ค่ะพี่ธี เริ่มงานเลยดีกว่า วิกาอยากทำงาน คุณแม่จะได้รีบๆกลับไป”
พิสาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหากนธี โดยไม่ทันสังเกตเห็นสร้อยเพชรและสาวิกา
“พี่ธี!!!! เกิดเรื่องแล้ว!!”
“เรื่องอะไรเหรอ คุณเพื่อน” สาวิกาถาม
“อ้าว วิกา อุ๊ย สวัสดีค่ะคุณป้า”
“สวัสดีจ๊ะ มีเรื่องอะไรเหรอลูก น้องเล็ก” สร้อยเพชรถาม
“ที่ฟาร์มค่ะ ตอนนี้ยัยเขมมิกได้แทรกแผ่นดินเดินแน่ๆ!!” พิสาว่า
“ทำไม มีอะไร น้องเล็ก มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณเขม” กนธีถาม
“เดี๋ยวๆๆ เด็กเขมมิก ที่เคยมีเรื่องมีราวในงานแต่งงานของพี่สาวเราน่ะเหรอ” สร้อยเพชรสงสัย
“ค่ะ” พิสาตอบ
“แล้วเด็กเขมมิกมา...”
กนธีทนไม่ไหวเพราะอยากรู้เรื่องเต็มแก่ “คุณแม่อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้มั้ยครับ!”
สร้อยเพชรตกใจจึงหยุดพูดทันที “อุ๊ย....”
“น้องเล็ก จัดมา!” กนธีบอก
พิสายิ้มย่องด้วยความสะใจ
เนตรนิภานั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ
เสียงเขมมิกร้องดังมาจากในห้องตรวจ “อ๊าย!”
เนตรนิภาและคนที่รออยู่และเจ้าหน้าที่สะดุ้งตกใจกันหมด
“ไอ้เขม!!”
เขมมิกวิ่งออกมาจากห้องตรวจในชุดที่ใส่สำหรับตรวจภายใน เนตรนิภาลุกขึ้นด้วยความตกใจ
เขมมิกเห็นเนตรนิภาปุ๊บก็ตะโกนปั๊บ “เนตร!! เชอรี่ฉันยังอยู่อ่ะ อ๊าย!!”
คนมองเขมมิกทั้งโรงพยาบาล เนตรนิภารีบนั่งลงแล้วเอากระเป๋าปิดหน้าทำเป็นไม่รู้จักเขมมิกทันที เขมมิกรู้สึกตัวว่ากำลังเป็นจุดสนใจก็เริ่มอาย
เขมมิกดื่มเครื่องดื่มในร้านกาแฟด้วยความสบายใจ เนตรนิภามองเขมมิกอึ้งๆ เพื่อสังเกตอาการ เขมมิกมองออกไปนอกร้าน
“ฟ้าใสเนอะ” เขมมิกบอก
“อืม....”
“โลกสวยเนอะ”
“อืม....”
“แฮปปี้เนอะ”
“จะลั้ลลาอยู่คนเดียวอีกนานมะ”
“แหมแก...ขอฉันหน่อยไม่ได้หรือไง อย่าลืมสิว่าฉันต้องอยู่กับความทรมานเพราะเข้าใจว่าฉันถูกพี่เสือพรากพรหมจรรย์มาตั้งห้าปีเชียวนะ ขอแค่ห้านาทีเพื่อดื่มด่ำกับอิสรภาพทางจิตวิญญาณไม่ได้หรือไง”
“แล้วหลังจากห้านาทีนี้ แกจะเอาไงต่อ” เนตรนิภาถาม
“ฉันก็จะเลิกทะเลาะกับตัวเอง...เรื่องรักหรือเกลียดพี่เสือดี”
“สรุปว่า”
“ฉันรักเค้าได้อย่างที่ใจอยากจะรัก”
“เฮ้อ...เวรกรรม”
เขมมิกหมองลง “ใช่..เวรกรรม เพราะยังไง...สุดท้ายฉันก็ต้องถูกเค้าเกลียดอยู่ดีใช่มั้ย”
เนตรนิภาตอบทันที “ใช่”
“แต่ฉันห้ามใจไม่ให้รักเค้าไม่ได้จริงๆนะเนตร แล้วตอนนี้ ฉันก็รู้ดีว่าเค้าเองก็รู้สึกไม่ต่างกับฉัน กว่าจะถึงวันนั้นที่ความจริงเปิดเผย ขอให้ฉันรักเค้าได้มั้ย ถึงยังไง มันก็คุ้มค่ากับความเสียใจ”
“อาจจะเสียใจ เจ็บเจียนตาย”
“ยอม.....”
“ตามใจ...ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะเป็นคนถือรูปแกแห่รอบเมรุวันเผาเอง”
“ไอ้บ้า อย่ามาแช่ง แค่ตายทั้งเป็น ไม่ได้ตายจริงๆซะหน่อย”
เขมมิกและเนตรนิภาหัวเราะให้กัน ทันใดนั้นสายตาของเขมมิกก็เหลือบไปเห็นพิทยากำลังเดินตรงมาที่ร้าน
“กัปตันพีท!”
“ไหน!” เนตรนิภาถาม
เนตรนิภาหันไปมอง
“เอาไงดีเนตร เอาไงดี!!! จะให้เขาเห็นฉันหรือแกไม่ได้นะ!”
เขมมิกกับเนตรนิภาหาวิธีหลบพิทยาในระยะกระชั้นชิด
เขมมิกนั่งตัวแข็งพลางคิดหาทางเอาตัวรอด
"ไอ้เขม...ทำไงดี ไม่อยากให้เค้าเห็น แล้วจะนั่งรออยู่งี้เหรอ?” เนตรนิภาถาม
พิทยาเดินเข้ามาถึงหน้าร้านแล้วมองเข้าไปในร้าน พิทยากวาดตามองไปทั่วจนเห็นโต๊ะที่เขมมิกและเนตรนิภานั่งอยู่เมื่อสักครู่มีแต่แก้ววางอยู่บนโต๊ะแต่ไม่มีเขมมิกและเนตรนิภาที่เก้าอี้แล้ว
พิทยาเดินเข้าไปในร้าน เขาเลือกนั่งที่มุมในสุดและหันหลังให้กับทางเข้าร้าน เขมมิกและเนตรนิภาหลบอยู่ใต้โต๊ะที่ทั้งสองนั่ง ลูกค้าโต๊ะใกล้ๆพากันมองเขมมิกและเนตรนิภาอย่างงงๆ และขำๆ
"ยังไง ยังไง!!! แกช่วยดูหน่อย!” เขมมิกบอก
"เดี๋ยวนะ...”
เนตรนิภาโผล่ขึ้นมาส่องพิทยาก็เห็นพิทยากำลังสั่งเครื่องดื่มกับพนักงาน
เนตรนิภาผลุบกลับลงมา "กำลังสั่งเครื่องดื่ม นั่งหันหลังอยู่ เอาไง เอาไง"
เขมมิกครุ่นคิด ทันใดนั้นพนักงานคนหนึ่งก็เข้ามาคุยด้วยที่ใต้โต๊ะ
"นั่นสิครับพี่ เอาไง เอาไง"
เขมมิกกับเนตรนิภาตกใจ "ว้าย!!!" แล้วทั้งสองก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเบาๆ
พิทยาหันมามองทางโต๊ะของเขมมิกก็เห็นพนักงานของร้านกำลังก้มๆเงยๆอยู่ แต่พิทยาก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เพราะเขาให้ความสนใจกับการเปิดดูข้อมูลในมือถือของตัวเอง
พนักงานที่มุดใต้โต๊ะถาม "มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ"
"ไม่มีจ๊ะ พอดีทำของหล่น" เขมมิกควักเงินให้พนักงาน "ไม่ต้องทอนนะ"
พนักงานยิ้มแล้วโค้งให้ก่อนจะเดินออกไป
เขมมิกฉุดเนตรนิภาให้ลุกขึ้น "รีบไปเร็ว!!”
เนตรนิภาลุกตาม เขมมิกและเนตรนิภาลุกเดินออกไปหน้าร้าน เขมมิกอดไม่ได้จึงหันมองไปที่โต๊ะของพิทยาอีกครั้งแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นต่อลาภกำลังนั่งลงตรงข้ามพิทยา โดยหันหน้าออกมาทางหน้าร้าน...
"นายต่อลาภ!”
เนตรนิภาหันมองตามสายตาเขมมิกก็เห็นต่อลาภกำลังยิ้มแย้มทักทายพิทยาโดยไม่ได้สังเกตเห็นเขมมิกและเนตรนิภา
"กัปตันพีทกับนายต่อลาภ....” เขมมิกสงสัย
เขมมิกมองพิทยากับต่อลาภด้วยความตกใจและแปลกใจ
เขมมิกกับเนตรนิภาเดินคุยกันมา
"พีทรู้จักกับนายต่อลาภคนของยูเอฟได้ยังไง!” เขมมิกสงสัย
"ไปถามให้มะ" เนตรนิภาถาม
"ไอ้บ้า!”
"ก็แกถามฉัน แล้วจะให้ฉันไปถามใคร"
"งั้นฉันควรจะไปถามใคร"
"จะไปรู้เรอะ แต่...เดี๋ยว...ถ้ากัปตันพีทกับนายต่อลาภรู้จักกัน ก็เป็นไปได้ที่กัปตันพีทจะรู้ว่าแกอยู่ที่นี่"
"ถ้านายนั่นพูด ก็เป็นไปได้ แกว่า...นายนั่นจะพูดมะ"
"เดี๋ยวไปถามให้" เนตรนิภาบอก
"โอย เออ!! ฉันไม่ถามแกแล้วก็ได้"
"แล้วถ้ากัปตันรู้ว่าออกอยู่ที่นี่ เค้าจะตามมาตอแยแกอีกหรือเปล่า เขม"
"ไม่รู้เหมือนกัน! อาจจะหรืออาจจะไม่ แต่เรื่องที่น่าห่วงและน่าสงสัยมากที่สุดในตอนนี้สำหรับฉันคือพีทมาเกี่ยวข้องกับนายนั่นได้ยังไง"
เนตรนิภาอ้าปากจะพูดแต่เขมมิกพูดดักคอ
"ฉันไม่ได้ถามแก แค่เปรยขึ้นมาลอยๆ ไป!”
"ไปไหน"
"ไปหาคนที่ฉัน....รัก อ๊ายยยย!!! พูดและกระดาก...รัก รัก รัก รัก"
เขมมิกพูดไม่หยุดขณะที่เดินออกไป
"ค่ะ กระดาก กระดากไม่เป็นล่ะสิไม่ว่า"
เนตรนิภาเดินตามเขมมิกไป
พิแสงเครียดอยู่เพียงลำพังเพราะรู้สึกว่าอกหัก ชมพู่วิ่งไม่ติดเบรกเข้ามามองหาพิแสงแต่ยังไม่เห็น
"นายหัวคะ นายหัว! นายหัวอยู่ไหน"
"อยู่นี่!!! มีอะไรชมพู่"
ชมพู่ยืนหอบจะพูดแต่ก็พูดไม่ออกเพราะเหนื่อยมาก
"ชมพู่!” พิแสงเสียงดัง
ชมพู่ตกใจจึงหลุดออกมาเป็นชุด "ป้าอนงค์ปล่อยข่าวลือว่าเมื่อคืนคุณเขมพยายามจะปล้ำนายหัวด้วยความสิเน่หาแต่นายหัวขยะแขยงรังเกียจไม่เล่นด้วยแล้วก็ไล่ตะเพิด....”
พิแสงตัดบทอย่างไม่พอใจ "คุณอนงค์อยู่ที่ไหน!!”
"แสดงว่า...ไม่จริงชิมิคะ ว้า...เสียดาย อุตส่าห์ลุ้น"
"ฉันถามว่าคุณอนงค์อยู่ที่ไหน!”
ชมพู่ตกใจ "ว้าย!! อยู่ๆ...ที่....”
วาสินีเตรียมสมุดเซ็นรับและซองเงินอยู่ที่โต๊ะพลางชะเง้อมองหาใครบางคน คนงานกำลังเข้าแถวรอรับเงินค่าแรงพร้อมกับเม้าเรื่องเขมมิกไปด้วย ปริญญ์ หลอด และเสริมยืนอยู่แถวนั้นอย่างอึดอัด
"ทำไมเจ้าชู้พรรค์นี้ก็ไม่รู้" คนงานหนึ่งเม้าท์
"ฮ้าย! ผู้หญิงสมัยนี้ น่ากลัว" คนงานอีกคนว่า
ปริญญ์ หลอด เสริมเซ็ง เสริมและหลอดหันไปตะเพิดคนงาน
"หยุดนินทาผู้หญิงเลยนะเพ่ !!” เสริมว่า
"ใช่ ถ้าไม่หยุดได้มีเรื่องกันแน่ !" หลอดชูกำปั้น
คนงานทั้งสองเงียบไปทันที
"ทำไมชอบใช้กำลังนะ นายหลอด" ปริญญ์ถาม
"แล้วจะให้ใช้สมองเหรอหมอ...ผมเนี่ยนะ!” หลอดถามกลับ
"พี่หลอดไม่มีสมองหรอกหมอ เรียนป.สี่ ก็ซ้ำชั้นตั้งสามปี กว่าจะจบมาใช้ควายแลกไป3ตัว เลยต้องมาใช้แรงแทนวัวแทนควาย...” เสริมพูดเป็นชุด
"ไอ้เสริม!!! เอาหลาว หลอกด่ากูหลาว!!”
อนงค์เดินมาหน้าออฟฟิศพลางคิดถึงเรื่องที่คุยกับวาสินีเมื่อสักครู่
อนงค์คุยกับวาสีนีแล้วก็ตกใจ
"เอาจริงเหรอ นังน้ำหวาน"
"หรือแม่อยากถูกนายหัวให้ออกจากงานตั้งแต่วันนี้" วาสินีถามกลับ
"บ้า!!!! เรื่องอะไร! ฉันไม่มีทางยอม!”
"งั้นก็ยอมทำตามที่ฉันบอกซะ แม่ต้องพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส"
"ก็ได้!”
อนงค์หันไปมองบรรดาคนงานแล้วก็หนักใจ พอหันไปอีกทางก็เห็นสายตาวาสินีมองแบบบังคับให้ทำ อนงค์ตัดสินใจเดินเข้าไปแล้วตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อเรียกความสนใจ
"เฮ้ยๆๆ!!”
ปริญญ์ หลอด เสริม และคนงานตกใจ ทุกคนมองอนงค์เป็นตาเดียว
ที่ร้านกาแฟ พิทยายื่นซองใส่เงินตรงหน้าต่อลาภ ต่อลาภมองด้วยความตกใจ
"อะไรกันครับ! ซองขาว! นี่...เสี่ยเค้าไล่ผมออกเหรอครับ"
"หึ....เฮียเค้าไม่เกี่ยวและไม่รู้เรื่องนี้หรอก" พิทยาบอก
ต่อลาภโล่งอก
"นี่เป็นเงินพิเศษนอกเหนือจากค่าคอมมิชชั่นของนาย"
ต่อลาภดีใจ "ให้ผม??? ขอบคุณมากครับ"
ต่อลาภจะหยิบซองเงิน แต่พิทยาดึงคืนไปก่อน ต่อลาภอึ้ง
"ฉันไม่ได้ให้นายฟรีๆ”
"ผมกะแล้ว....ของฟรีไม่เคยมีในโลก"
"เงินพิเศษ หมายถึงงานพิเศษนอกเหนือจากสิ่งที่ต้องทำ"
ต่อลาภเล่นตัว "จะคุ้มหรือเปล่าเนี่ย เฮ้อ...ผมคงต้องพิจารณา...”
พิทยารีบขัด "นายจะได้เพิ่มอีกเท่าหนึ่งของในซอง เมื่อทำสำเร็จ"
ต่อลาภเห็นเงินในซองเป็นแบงก์พันเป็นฟ่อนก็ตาโต "ว่ามาเลยครับ"
"แล้วจะจัดการให้ฉันคุ้มค่าเงินหรือเปล่า" พิทยาถาม
"รับรอง...คุ้มกันทั้งสองฝ่าย! ผมไม่กล้าทำให้น้องชายเสี่ยผิดหวังหรอกครับ ตัดอนาคตตัวเองเปล่าๆ"
"และอย่าลืมว่าเรา...ไม่เคยรู้จักกัน"
"ไม่มีปัญหาครับ"
พิทยายิ้มย่องอย่างพึงพอใจที่ต่อลาภเป็นทาสของเงิน
พิแสงเดินมาที่หน้าออฟฟิศ ชมพู่ตามติดมาใส่ไฟ
"ไล่ออกเลยค่ะนายหัว เอาจากไหนมาเม้าก็ไม่รู้ ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงป่นปี้ นายหัวต้องปกป้องคุณเขมนะคะ ไม่งั้นชมพู่ไม่ยอม!!”
พิแสงชะงักเมื่อเห็นอนงค์กำลังไฮปาร์กกับคนงานจนชมพู่เบรกหัวทิ่มเกือบชนหลังพิแสง วาสินีแอบดูเหตุการณ์อยู่ที่มุมหนึ่ง พอเห็นพิแสงวาสินีก็ยิ้มกริ่ม
"แล้วจะให้ฉันไม่สงสัยได้ยังไง ว่ายัยนั่นจะไม่คิดอะไรสกปรกๆกับนายหัว!” อนงค์พูด
ปริญญ์ หลอด และเสริมเข้ามายืนฟังข้างหน้าคนงาน
"ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงดี มันมีอดีตแปดเปื้อน! ผ่านผู้ชายมาไม่รู้กี่คน! ฉันมีสิทธิ์สงสัย เพราะฉันรักนายหัว ทุกคนก็รักนายหัวเหมือนฉันใช่มั้ย"
คนงานคนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับอนงค์ ปริญญ์ หลอด และเสริมไม่พอใจ พิแสงยืนอึ้งอยู่ วาสินีลอบมองปฏิกิริยาของพิแสงด้วยความพอใจ
"ป้ามีสิทธิ์สงสัย แต่ป้าไม่มีสิทธิ์พูดลอยๆ โดยที่ไม่รู้ความจริง" ปริญญ์ขัด
"กลัวนายหัวจะไล่ออกหรือไง ที่ตัวเองนินทาใส่ร้ายคุณเขม ถึงได้ร้อนตัวรีบมาแถลงข่าว" ชมพู่ว่า
"ตั้งใจพูดจากดำให้กลายเป็นขาว" หลอดบอก
"ไม่มีใครเค้าเชื่อป้าหรอก พอเหอะ! อายเค้า!” เสริมว่า
อนงค์เริ่มกังวลเพราะถูกรุมจึงหันมองหาวาสินี
อนงค์พูดกับตัวเอง "นังน้ำหวาน.. ทำไมไม่มาช่วยกัน" อนงค์เห็นพิแสง "อุ๊ย...นายหัว นายหัวของอนงค์ อนงค์ไม่ได้ใส่ร้ายนะคะ อนงค์ก็สันนิษฐานก็พูดไปตามเนื้อผ้า"
อนงค์ถลาไปหาพิแสง ทุกคนหันไปมองพิแสงเป็นตาเดียว
"หยุดพูดเถอะครับ คุณอนงค์ เขมมิกจะเสียหาย" พิแสงบอก
"นายหัวเป็นสุภาพบุรุษอะไรอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องปกป้องมันหรอกค่ะ" อนงค์ว่า
เขมมิกกับเนตรนิภากำลังเดินมาจากมุมหนึ่ง ทั้งสองเห็นเหตุการณ์และได้ยินคำพูดของพิแสงพอดี ก็แปลกใจ วาสินีเห็นเขมมิกก็รีบปราดเข้าไปหาพิแสง
"แม่พอเถอะ...ต่อให้เป็นเรื่องจริง เราก็ไม่ควรพูด คุณเขมจะเสียหายอย่างที่นายหัวบอก..." วาสินีพูดกับพิแสง "อย่าโกรธแม่เลยนะคะ แม่ทำไปเพราะรักและเป็นห่วงนายหัว"
"ขอบคุณมากนะคุณอนงค์" พิแสงพูดกับทุกคน "ทุกคนฟังจากปากฉัน แล้วไม่ต้องไปพูดที่อื่นอีก เขมมิกไม่ได้ให้ท่าหรือเข้าหาฉันอย่างที่คุณอนงค์คิด"
ทุกคนฮือฮา เขมมิกมองอนงค์ด้วยความไม่พอใจมากจึงคิดหาทางตลบหล
ติดตาม "แผนร้ายพ่ายรัก" ตอนที่ 10 (ต่อ) เวลา 09.00 น.
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
รถเช่าคันหนึ่งแล่นตรงมาแล้วหยุดจอดที่ทางเข้าฟาร์มเพื่อนเกษตร ประตูกระจกฝั่งคนขับถูกลดลง พิทยาเป็นคนขับรถ เขามองที่ป้ายฟาร์มเพื่อนเกษตรอย่างดีใจและมีความหวังเพราะนึกถึงตอนที่คุยกับต่อลาภก่อนหน้านี้
ต่อลาภและพิทยากำลังจะลากัน
"คุณไม่ต้องห่วง ผมใช้กำลังภายในทำให้คนในของที่นั่นยอมร่วมมือทำให้นายหัวพิแสงเซ็นสัญญาได้ไม่ยาก" ต่อลาภบอก
"ใคร" พิทยาถาม
"เลขาของนายหัว แล้วตอนนี้ผมก็กำลังจะมีอีกราย...อีกไม่นานเธอจะต้องหลงเสน่ห์ผม ตอนนั้นจะให้ทำอะไรก็ง่าย"
"ใครอีกล่ะ"
"ชื่อเขมมิก..”
พิทยาตกใจ "ชื่ออะไรนะ"
"เขมมิก อดีตนางฟ้าแต่ตอนนี้ตกสวรรค์ ได้ยินมาว่าแม่ของนายหัวพิแสงสงสารเลยยอมให้มาฝึกงานที่ฟาร์ม"
พิทยาตกใจ
พิทยามองป้านฟาร์มเพื่อนเกษตรแล้วยิ้มอย่างดีใจ
"ในที่สุดผมก็หาคุณจนเจอ เขม"
พิทยาปิดกระจกแล้วขับรถบึ่งเข้าไปในฟาร์มทันที
เขมมิกตัดสินใจอะไรบางอย่างจึงพูดเสียงดังแทรกขึ้นมา
"คุณพิแสงโกหก!!”
ทุกคนร้องฮือ พิแสง อนงค์ วาสินี ปริญญ์ หลอด เสริม ชมพู่และทุกคนตกใจ เนตรนิภายิ่งงหนัก
"อะไรของแก เขม!” เนตรนิภาว่า
"ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกบิดเบือน" เขมมิกเข้าไปหาพิแสงแล้วเบียดจนอนงค์และวาสินีกระเด็น "คุณไม่จำเป็นต้องปกป้องฉัน"
"เธอพูดอะไรของเธอเขมมิก" พิแสงงง
"ความจริงไงคะ"
กนธี พิสา สาวิกา และสร้อยเพชรเดินเข้ามาพอดี
"ก็ที่ฉันพูดออกไปนั้นไงคือความจริง เราสองคนพักอยู่ในห้องเดียวกันก็จริง แต่...” พิแสงพูดยังไม่จบ เขมมิกก็พูดแทรกออกมา
"ฉันรักคุณค่ะ!”
พิแสงอึ้ง ทุกคนตกใจกันหมด เนตรนิภาแทบไม่เชื่อสายตาว่าเขมมิกจะมาไม้นี้ ในขณะที่สร้อยเพชรจะเป็นลมจนสาวิกาต้องประคองเอาไว้
"ฉันไม่อายที่จะพูดความจริง เพราะฉันรักคุณ รักมานาน ไม่เคยลืม"
พิแสงอึ้งเมื่อเห็นความจริงอยู่ในแววตาของเขมมิก เขารู้สึกสับสนว่าคืออะไรกันแน่
เขมมิกพูดต่อ "ฉันพยายามจะมีความรักครั้งใหม่ แล้วได้แต่เก็บคุณไว้ในที่ๆลึกที่สุดของหัวใจ มีชีวิตอยู่เหมือนคนไม่มีวิญญาณ จนกระทั่งได้เจอคุณ ได้รู้ความจริง....ฉันเป็นอิสระแล้วค่ะ ต่อไปนี้ฉันจะรักคุณอย่างที่อยากจะรัก"
"หมายความว่ายังไง" พิแสงถาม
"ฉันบอกเลิกคู่หมั้นฉันแล้วค่ะ" เขมมิกบอก
ทุกคนครางฮือเพราะทั้งตกใจทั้งงง
"และฉันก็รู้ว่าคุณรู้สึกไม่ต่างจากฉัน....คุณเองก็รักฉัน"
พิสาไม่พอใจ "กล้ามากไปแล้ว ทุเรศที่สุด!!”
พิสาเข้ามาจะตบเขมมิก แต่ถูกพิแสงรั้งเอาไว้
"พี่ใหญ่ ปล่อยน้องเล็ก น้องเล็กจะทำให้มันรู้จักคำว่ายางอาย!” พิสาโวยวาย
"ทุกคนจะโกรธจะเกลียดฉันหรือคิดว่าฉันหน้าด้าน ไม่มียางอายอะไรก็ได้ ฉันยอม แต่ฉันจะไม่ยอมโกหกตัวเอง!”
พิแสงสบตาเขมมิกเพราะพยายามอ่านเกมของเธอ "เธอแน่ใจเหรอ ที่จะทำอย่างนี้"
"แน่ใจ แล้วคุณล่ะค่ะ"
พิแสงปล่อยมือพิสาแล้วเข้าไปดึงตัวเขมมิกเข้ามากอดทันที "เขมมิก ฉันรักเธอ !”
ทุกคนตกใจกันทั้งฟาร์มโดยเฉพาะอนงค์ วาสินีที่ถึงกับช็อก สร้อยเพชรช็อกจนเป็นลมเลย
"ฉันอยากตาย" สร้อยเพชรร่วง
สาวิการับเอาไว้ แต่ก็ไม่ค่อยจะไหว "คุณแม่!!”
ปริญญ์เห็นเข้าก็รีบปราดเข้าไปช่วยสาวิกาประคองสร้อยเพชร
"ผมช่วยครับ"
"อุ้ย..." สาวิกาประทับใจปริญญ์ทันที
ปริญญ์รีบอุ้มสร้อยเพชรออกไป สาวิกาเดินตามไป
"น้องเล็กจะไปฟ้องคุณแม่!!”
พูดจบพิสาก็วิ่งออกไปอย่างขัดเคือง
หลอดกับเสริมยังป้าปากค้าง ชมพู่พอใจและมีความสุขมากเพราะเท่ากับแผนของแสงสุดาสำเร็จ หลอด เสริม และชมพู่ก็ปรบมือเกรียวแถมยังบิวท์คนงานคนอื่นๆ ให้ปรบมือด้วย
"นายหัวมีแฟนแล้ว เฮ!!” หลอดตะโกน
คนงานเฮลั่น
"เรามีนายแม่แล้ว เฮ!!” เสริมว่า
คนงานเฮรับ
อนงค์กับวาสินีมองภาพพิแสงที่กำลังกอดเขมมิกอย่างเดือดดาล
พิแสงยังคงกอดเขมมิกอยู่
พิแสงกระซิบเขมมิก "ทำแบบนี้ทำไม คนที่เสียหายคือเธอ"
เขมมิกกระซิบกลับ "เออน่ะ เล่นตามเกมฉันไปก่อน เดี๋ยวค่อยเฉลย..." เขมมิกพูดเสียงดัง "ฉันรักคุณที่สุดเลยค่ะ"
พิแสงกระซิบ "อย่าเยอะ!”
กนธีเดินเข้าไปหาเนตรนิภาที่ยังยืนอ้าปากค้าง
"เหวออ่ะเด่ะ คุณเขมเนี่ย กล้ามาก ยอดหญิงเป็นบ้า" กนธีชม
"ใช่ บ้าจริงๆ" เนตรนิภาหลุดปาก "ไม่คิดเลยว่ามันจะใช้แผนนี้"
"หา!! อะไรนะ แผนอะไร!”
"เปล่า! ไม่มีอะไร" เนตรนิภาหันไปเฮร่วมกับคนงาน "เอ้า เฮ!!”
กนธียังติดใจ ด้านหลังห่างออกไป พิทยามองมาที่พิแสงและเขมมิกด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
พิทยาเปิดประตูเข้ามาในรถด้วยความฉุนเฉียว เขาคิดอะไรบางอย่างได้จึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาต่อลาภ
"ต่อลาภรับสายครับผม"
"ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะไม่รอ....ถึงมันจะยอมเซ็นสัญญา...ฉันก็ยังอยากให้มันเจ็บตัวอยู่ดี" พิทยาบอก
พิทยากดวางสาย
"เขมมิกต้องเป็นของฉันคนเดียว!”
พิทยาโกรธจัด เขาออกรถไปอย่างแรง
พิแสงลากเขมมิกเข้ามาในห้องนอนแล้วปิดล็อกประตู เขมมิกยืนทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่กลางห้อง พิแสงหันมามองเขมมิกหน้าเข้ม
"โกหกทำไม" พิแสงถาม
"ฉันไม่ได้โกหก" เขมมิกบอก
"เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อคืน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา"
"จริงเหรอ"
"จริง"
"แต่มันเกิดขึ้นกับฉัน" เขมมิกบอก
"เขมมิก ตอนนี้ฉันไม่มีสมองจะมาคิดตามให้ทันเกมของเธอ ช่วยอธิบายมาเร็วๆ"
"ยัยป้าอนงค์นั่น...ต้องการกำจัดฉันไปให้พ้น เพราะหวงคุณไว้ให้ยัยแอ็ป"
"หมายถึงน้ำหวานใช่มั้ย" พิแสงถาม
"ใช่! จนต้องมาใส่ร้ายให้ฉันต้องเสื่อมเสียเกียรติ ฉันก็เลยตามน้ำซะเลย จะได้เลิกๆตอแยคุณซะที ซึ่งฉันก็รู้ว่าคุณไม่โง่...เลยยอมเล่นละครกับฉัน เพราะคุณเองก็อึดอัดกับยัยป้ามหาภัยนั่นเต็มทน ถูกมั้ย"
"อย่าบอกนะว่าเธอเห็นแก่ฉันจนยอมลงทุนโกหกคำโต บอกทุกคนว่าเธอรักฉันมาก แล้วก็บอกเลิกคู่หมั้น"
"ฉันโกหกแค่เรื่องเหตุการณ์เมื่อคืน แต่ฉันไม่ได้โกหกเรื่องความรู้สึกของตัวเอง" เขมมิกบอก
พิแสงอึ้ง "เธอหมายความว่า....”
เขมมิกสบตาพิแสงอย่างจริงใจซ้อนกับการเล่นละครตบตา
อนงค์กรี๊ดบ้านแตก ในขณะที่วาสินีนั่งเครียดที่ทุกอย่างผิดแผน
"อ๊าย!!” อนงค์ร้องออกมา "ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมวะ จะทำอะไรเทวดาไม่เคยเข้าข้าง ทำไมวะ!! อ๊าย!”
"นายหัวรักมันจริงๆเหรอ" วาสินีถาม
"ก็เออสิ แกไม่ได้แหกตาดูหรือไง ถ้าไม่รัก จะกอดกันกลม ปกป้องกันขนาดนี้เหรอ นายหัวนะนายหัว ไร้สติ ไปรักมันได้ยังไง ไม่เห็นจะมีอะไรดีสักอย่าง!”
"ไม่จริง!” วาสินีสวน
"อีนี่ก็ไร้สติไปอีกคนแล้วใช่มั้ย ไหนว่าตัวเองฉลาดนักไง บอกมาซิ จะให้ฉันเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นความวิบัติ ความพินาศอะไรอีก หา นังน้ำหวาน!!”
อนงค์เข้าไปจิกตีวาสินีด้วยความไม่พอใจ
"โอ๊ย แม่ หนูเจ็บนะ!”
"ฉันสิเจ็บกว่า! ที่เชื่อแก เห็นมั้ย ว่าสุดท้ายแล้ว ฉันต้องลงเอยยังไง...ถูกให้ออกจากงานซะงั้นทั้งๆที่ยังแข็งแรงดี ! อยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปชงให้มันกับนายหัวได้กันอีก เพราะแก!!! อีลูกโง่อวดฉลาด ออกไปเลย ไป๊ ออกไปจากบ้านฉัน ไป๊!!”
อนงค์ไล่ตีวาสินีออกไปนอกบ้าน
อนงค์ไล่ตีวาสินีออกมานอกบ้าน
"แม่ อย่า หนูเจ็บ!”
"ไปเลย จะไปไหนก็ไป เผื่อจะทำให้แกฉลาดขึ้น ไม่เคยทำอะไรให้แม่ได้ภูมิใจสบายใจเลย เหมือนพ่อแกไม่มีผิด ไม่รู้จะเกิดมาทำไม ไป ออกไป!!”
อนงค์เหนื่อยหอบ ส่วนวาสินีร้องไห้และมองอนงค์อย่างผิดหวัง อนงค์เข้าบ้านไปด้วยความฉุนเฉียว ทิ้งให้วาสินีร้องไห้ด้วยความเจ็บใจและแค้นใจ
"นังเขมมิก!”
เขมมิกสบตาพิแสงนิ่งนาน
"ฉันดีใจที่รักครั้งแรก และอาจจะเป็นรักครั้งสุดท้ายของฉัน...เป็นคุณ" เขมมิกบอก
"เธอไม่ได้เกลียดฉัน?” พิแสงถาม
"ฉันเชื่อแล้วว่าคุณพูดความจริง คุณไม่ได้ทำร้ายฉันอย่างที่ฉันเข้าใจ คุณทำให้ฉัน....เปิดใจให้กับความรักอีกครั้ง...”
"แต่เธอทำลายหัวใจของคนที่รักเธอ รอคอยเธอ เธอไม่เห็นใจคู่หมั้นของเธอเลยหรือไง"
"เราสองคนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก....เราควรจะซื่อสัตย์กัน ด้วยการไม่โกหกว่าเรา....ไม่ได้รักกันแล้ว ดีกว่ามาหลบซ่อน แล้วก็เจ็บปวดด้วยกันทุกคน"
"หมายความว่าไง"
"ลุทซ์กำลังมีความรักกับคนใกล้ตัว...เราสองคนจากกันด้วยดีค่ะ"
พิแสงอึ้ง เขาทั้งตกใจ ทั้งดีใจ และทั้งสับสน พิแสงเดินเลี่ยงไปเพื่อหลบหน้าเขมมิก เขมมิกแอบเกลียดตัวเองที่โกหกเรื่องลุทซ์และอีกหลายๆเรื่อง
"แต่คุณคงเกลียดฉันแล้ว....ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ คงไม่มีผู้ชายคนไหนรับได้ถ้าผู้หญิงจะลุกขึ้นมาประกาศปาวๆว่ารักใครสักคนแบบฉัน"
พิแสงนิ่งเงียบ
"ถ้าอย่างนั้น...ไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะฝึกงานต่อไปอีก เพราะไม่มีฟาร์มหมูที่ไหนต้อนรับฉันอีกแล้ว ลาก่อนค่ะ"
เขมมิกเดินออกไป เธอเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู พิแสงเื้อมมือมาจับมือของเขมมิก เขมมิกชะงัก แต่ยอมให้พิแสงจับมือของเธอเอาไว้
"แต่ฟาร์มเพื่อนเกษตรของฉันยินดีต้อนรับเธอ" พิแสงพูด
เขมมิกสบตาพิแสงด้วยหัวใจพองโต
"ให้เกียรติอยู่กับฉันที่นี่ต่อไปได้มั้ย" พิแสงถาม
"ให้อยู่ได้จนถึงเมื่อไหร่คะ สามเดือน หกเดือน....”
"ตลอดชีวิตได้มั้ย"
"คุณพิแสง....”
พิแสงโอบเขมมิกเข้ามาสวมกอดเอาไว้ด้วยความรัก เขมมิกกอดตอบด้วยความอิ่มเอมใจแต่เป็นความสุขที่เขมมิกรู้ดีว่า คงอยู่ได้ไม่นานนัก
สร้อยเพชรค่อยๆฟื้นขึ้น สาวิกาอังก้อนสำลีชุบแอมโมเนียจ่อที่จมูกสร้อยเพชร ส่วนปริญญ์ยืนอยู่ข้างๆ
"คุณแม่....คุณแม่รู้สึกตัวแล้วอ่ะค่ะ คุณ....เอ่อ..." สาวิกาไม่รู้จักชื่อปริญญ์
"คนที่นี่เรียกผมว่าหมอปิ๊นครับ" ปริญญ์เข้าไปประคองสร้อยเพชร "ช้าๆครับ"
สาวิกามองปริญญ์ด้วยความปลื้ม
"ขอบคุณค่ะหมอ" สร้อยเพชรพูด
สาวิการีบแนะนำ "หมอปิ๊นค่ะคุณแม่..หมอปิ๊นช่วยวิกาดูแลคุณแม่" สาวิกาพูดเบาๆ อย่างอายๆ "แม้นแมนอ่ะค่ะ"
"ขอบคุณนะคะหมอ อยู่โรงพยาบาลไหนคะ เป็นเพื่อนคุณพิแสงเหรอคะ"
"เป็นเพื่อนด้วย ลูกจ้างด้วยครับ" ปริญญ์ตอบ
สร้อยเพชรงง "หือ?”
"คือ...ผมเป็นหมอหมู เอ่อ..สัตวแพทย์ของฟาร์มนี้ครับ"
สร้อยเพชรงงหนัก "หื้อ?”
"หมอหมูแต่ดูแลคนดี๊ดีอ่ะค่ะ" สาวิกาบอก
สร้อยเพชรวีนแตก "คุณพิแสงนะคุณพิแสง ทำร้ายจิตใจกันยังไม่พอ ยังจะให้หมอหมูมาดูแลแม่อีก พาแม่กลับกรุงเทพ! แม่จะเคลียร์กับคุณแสงสุดา!!”
ปริญญ์ตกใจว่าตัวเองทำผิดตรงไหน สาวิกา
แสงสุดาคุยโทรศัพท์ด้วยความดีใจ
"ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว จริงเหรอ ชมพู่!!”
ชมพู่แอบคุยมือถืออยู่ที่ฟาร์ม
"เรื่องแบบนี้โกหกกันได้ที่ไหนล่ะคะ อู๊ย....ตอนสารภาพรักกันต่อหน้าคนทั้งฟาร์มนะ ขนชมพู่ลุกพรึ่บทั้งตัวด้วยความ....”
แสงสุดาตัดบท "ไม่ต้องบรรยาย! ฉันไม่อยากรู้บรรยากาศ รู้แค่ว่าเขมมิกทำสำเร็จก็พอ ทีนี้ก็เข้าสู่แผนขั้นต่อไป....”
"แหม...เสียดายจัง....ความจริงคุณเขมก็น่ารัก เหม้าะเหมาะกับนายหัว" ชมพู่บอก
"ไม่เหมาะ! ฉันไม่มีวันยอมรับยัยนั่นมาเป็นลูกสะใภ้"
"โอ๊ย...ลองเปิดใจดูบ้างสิค้า อย่าใจแคบต้ะ ฮ้าย!! คุณนายนิ ต้องให้สอน"
"นังชมพู่!!!แล้วคอยจับตาดูไว้ เห็นสองคนนั่นรักกันดูดดื่มจนจะเป็นจะตายเมื่อไหร่ รายงานฉันทันที"
แสงสุดากดวางสายแล้วยิ้มพอใจอย่างผู้ชนะ
ชมพู่กดวางสายด้วยความหงุดหงิดเพราะไม่อยากให้พิแสงกับเขมมิกเลิกกัน
"เรื่องอะไรจะบอก หึหึ"
วันต่อมา แสงสุดานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างอารมณ์ดี พิสาเดินเข้ามาทุ่มกระเป๋าเสื้อผ้าอย่างฉุนเฉียว
แสงสุดาทำเป็นตกใจเหมือนไม่รู้เรื่อง "เป็นอะไรไปลูก โกรธใครมา!”
"คุณแม่รู้หรือยังว่าพี่ใหญ่กับนังเขมมัน..." พิสาพูดไม่ออก
"มันอะไรล่ะ"
"น้องเล็กไม่อยากพูด ขยะแขยงปาก จะอ้วก! น้องเล็กไม่ยอม คุณแม่ต้องจัดการเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
"ไม่บอกว่าเรื่องอะไรแล้วแม่จะรู้มั้ยล่ะ"
พิสุทธิ์ซึ่งกำลังจะไปทำงานเดินเข้ามา
"โวยวายอะไรแต่เช้า ยัยน้องเล็ก อะไร กลับมาถึงก็แผลงฤทธิ์กับแม่เลยหรือไง"
พิสานั่งแค้นโดยไม่มองหน้าใครทั้งนั้น
"เรื่องอะไรกันคุณ" พิสุทธิ์ถาม
"ฉันก็ไม่รู้ จู่ๆก็เหวี่ยงเข้ามาอย่างที่เห็นเนี่ยล่ะ" แสงสุดาบอก
สร้อยเพชรและสาวิกาเดินเข้ามา
"พี่จะบอกให้เองค่ะ ว่าน้องเล็กเป็นแบบนี้เพราะอะไร ซึ่งคงไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของพี่หรอก" สร้อยเพชรบอก
"คุณแม่ขา ใจเย็นๆนะคะ อย่าโกรธ เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตก" สาวิกาเป็นห่วง "ช่างมัน ไหนๆก็จะแตกอยู่แล้ว แม่ไม่ชอบครึ่งๆกลางๆ" สร้อยเพชรบอก
"ตกลงวันนี้พวกเราจะรู้เรื่องกันมั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น" พิสุทธิ์ถาม
สร้อยเพชรพูดทันที "ตาใหญ่กับเด็กเขมมิก....สองคนนั่น...รักกัน! ได้ยินมั้ยคุณแสงสุดา คุณพิสุทธิ์"
แสงสุดากับพิสุทธิ์ร้องออกมา "หา!!”
"ซึ่งเป็นข่าวดีมากเลยใช่มั้ยคะ คุณอา" สาวิกาถาม
พิสากับสร้อยเพชรตวาดสาวิกาทันที "ไม่ดี!”
สาวิกาจ๋อย "ค่ะ"
พิสุทธิ์แปลกใจจนแทบช็อก เขามองหน้าแสงสุดา แสงสุดารีบทำเป็นตกใจทำเป็นช็อกอย่างเนียน
เขมมิกเปิดประตูออกมาจากห้องนอนในชุดทำงานในฟาร์ม แล้วเธอก็ต้องผงะเพราะเห็นพิแสงยืนรออยู่แล้ว พิแสงส่งยิ้มหวาน
"อรุณสวัสดิ์"
เขมมิกตั้งรับไม่ทัน "โอะ...”
"เป็นอะไร"
"เปล่าค่ะ คิดว่า....ฝันไป ได้ยินคุณพูดเสียงหวานพอๆกับรอยยิ้ม"
"ไม่ชอบหรือไง หรืออยากให้ฉัน...เป็นเหมือนเดิม"
"เป็นอย่างที่อยากเป็น...และทำในสิ่งที่ไม่ฝืนใจ...ได้มั้ยคะ"
"ได้...งั้น...ฉันจะทำอย่างที่เธอบอก"
พิแสงหอมแก้มเขมมิกทันที
"ว้าย คุณพิแสง! บ้า!”
"อ้าว...ก็บอกให้ทำอย่างที่อยากทำไม่ฝืนใจ ก็อยากทำแบบนี้ไง ไม่ชอบเหรอ งั้นฉันให้หอมคืนก็ได้นะ"
"ทำงั้นฉันก็เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่องน่ะสิ"
"สรุปว่าไม่ชอบ" พิแสงถาม
"ชอบ!” เขมมิกตอบ
"น่าไม่อายชะมัด" พิแสงว่า
"ด้านได้ อายอด"
"งั้นมาให้หอมอีกทีเร็ว!”
"ไม่เอา พอแล้ว! อย่า!”
เขมมิกวิ่งหนีพิแสงออกไป
เขมมิกวิ่งหนีพิแสงออกมาจากในบ้าน ทั้งสองคนหัวเราะร่าเริงพร้อมทั้งวิ่งไล่กันออกไปนอกตัวบ้านผ่านหลอดกับเสริมที่กำลังจะเดินเข้ามา พิแสงและเขมมิกไม่ได้สนใจ หลอดกับเสริมมองตาม แบบเคลิ้มและมีความสุขไปด้วย
"ข้าวใหม่ปลามัน เหมือนโลกนี้มีกันอยู่สองคน" หลอดบอก
"แล้วใครจะอยากมีมือที่สามเล่าพี่ เค้าก็ต้องอยากอยู่กันสองคน" เสริมขัด
"ไม่ต้องขัดทุกครั้งที่กูพูดก็ได้นะ...เฉยๆบ้างนะ ฮ้าย!!”
พิสาโวยวาย
"คุณแม่จะมานั่งทำเฉยอยู่แบบนี้ไม่ได้นะคะ!”
แสงสุดานั่งด้วยท่าทางอ่อนใจอยู่กับพิสุทธิ์ ส่วนสร้อยเพชรนั่งจะเป็นลมอยู่กับสาวิกาที่คอยถือยาดมส่งให้เป็นระยะๆ
"แล้วจะให้แม่ทำยังไง...แม่เองก็ช็อกอยู่" แสงสุดาบอก
"ทำไมจู่ๆ...ก็รักกันได้" พิสุทธิ์งง
"วิกาว่า...จริงๆแล้วเค้าทั้งสองคนอาจจะมีใจให้กันมาก่อนแต่เก็บซ่อนไว้ แบบว่ารักต้องห้ามอะไรเงี้ยค่ะ แต่มันคงเก็บต่อไปไม่ไหวก็เลย...”
สร้อยเพชรขัด "พอแล้ว ยิ่งพูด แม่ยิ่งเหวอ...เอายาดมมา"
สาวิกาส่งยาดมให้สร้อยเพชรเอาไปสูด
"แล้วคุณแม่รู้อะไรมั้ยคะ....พี่ใหญ่บอกกับน้องเล็กหลังจากที่สารภาพรักนังนั่นต่อหน้าคนงานทั้งฟาร์มว่า พี่ใหญ่รักมัน ตั้งแต่มันยังอ้วนเป็นหมูเรียนอยู่ที่สวิตซ์! และไม่เคยลืมมันเลย" พิสาบอก
ทุกคนแปลกใจ “หา!!!”
"รักแท้มิอาจลืมอ่ะ" สาวิกาบอก
"ยัยวิกา ไม่ต้องพูด!” สร้อยเพชรดุ
สาวิกาจ๋อย "ค่ะ"
"แล้วนังเขมมิกก็รักพี่ใหญ่เหมือนกัน แต่มันเจียมตัวไม่กล้าแสดงออก...แล้วก็ยังรักพี่ใหญ่ไม่เคยลืมเหมือนกัน" พิสาบอก
ทุกคนตกใจ "โฮ้!!!!”
"พรหมลิขิตชัดๆอ่ะ เกิดมาเพื่อรักกัน!” สาวิกาพูด
"ยัยวิกา!" สร้อยเพชรจะด่า
สาวิกาชิงจ๋อยก่อน "ค่ะ....”
แสงสุดาและพิสุทธิ์มองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาหาเรือ
"คุณแม่คุณพ่อต้องทำอะไรสักอย่างเดี๋ยวนี้เลย! น้องเล็กไม่อยากนับญาติกับมัน น้องเล็กเกลียดมัน!!!” พิสาบอก
แสงสุดาและพิสุทธิ์ปวดหัว ส่วนสร้อยเพชรเป็นลมอีกรอบ
"โอย.....”
พิสุทธิ์ แสงสุดา และสาวิกาตกใจ พิสุทธิ์กับแสงสุดาปราดเข้าไปดูแลสร้อยเพชร
"คุณพี่!!”
"ใจเย็นๆนะคะ เรื่องตาใหญ่กับเด็กเขมมิกต้องมีทางออกค่ะ ทำใจดีๆนะคะ" แสงสุดาบอก
"ตอนนี้จะตายเพราะเสียงยัยน้องเล็ก..เอิ่ก" สร้อยเพชรเป็นลม
"คุณป้า น้องเล็กไม่เกี่ยวนะ!!!” พิสาบอก
"เอิ่กกก" สร้อยเพชรเป็นลมอีกรอบ
"คุณเพื่อนก็เงียบก่อนได้มั้ยคะ!” สาวิกาว่า
พิแสงคว้าตัวเขมมิกได้ก็ดึงเข้ามากอด
"อย่าหนีนะ...ฉันจะไม่ให้เธอหนีฉันไปไหนอีก" พิแสงว่า
"ค่ะ ฉันจะไม่หนีคุณไปไหนอีก"
เขมมิกยิ้มเศร้า
"ไม่สูญเปล่าเลย กับการอดทนรอคอย...ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ฉันได้เจอเธอ เจอรักแท้ของฉัน....มันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว" พิแสงบอก
"คุณเชื่อในรักแท้จริงเหรอคะ" เขมมิกถาม
"เชื่อสิ เธอคือคนนั้น" พิแสงตอบ
"อะไรทำให้คุณคิดว่าฉันคือรักแท้ของคุณ ทั้งๆที่ฉันไม่เห็นจะมีอะไรดี ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้"
"ความรักมันไม่เคยมีเหตุผลหรอกนะ และฉันก็ไม่เคยเข้าใจว่าทำไม แล้วเธอล่ะ เขมมิก ฉันคือรักแท้ของเธอหรือเปล่า"
"ฉันไม่รู้หรอก"
พิแสงอึ้ง
"รักแท้คืออะไรคะ คือ คนที่เราคิดถึงในทุกลมหายใจ คือคนที่เราพร้อมจะเสียสละทุกอย่างในชีวิตให้ได้แม้ต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวด คือคนที่เราอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาและแก่เฒ่าไปด้วยกัน หรือเปล่าคะ ถ้าใช่...คุณก็คือรักแท้ของฉัน"
"เขมมิก"
พิแสงสวมกอดเขมมิกด้วยความรัก
"สัญญากับฉันนะ ว่าจะไม่หนีฉันไปอีก เราจะอยู่เคียงข้างกันอย่างนี้ตลอดไป"
"จนกว่าคุณจะไม่ต้องการฉันหรือเกลียดฉัน"
"ไม่มีทางที่ฉันจะเกลียดเธอ ฉันจะมีแต่รักเธอมากขึ้นทุกวันต่างหาก"
เขมมิกกอดพิแสงเอาไว้เพื่อซ่อนรอยยิ้มอันเศร้าหมอง
พิสุทธิ์ยื่นแฟ้มเอกสารคืนให้พิทยาซึ่งนั่งอยู่กับพิสินีย์
"ก็โอเคนะ...ทุกอย่างดูไม่น่าจะมีปัญหา ติดขัดอะไรบ้างหรือเปล่าพีท" พิสุทธิ์ถาม
"ไม่ครับ เพราะคุณพ่อสนับสนุน ผมได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี" พิทยาบอก
"เก่งมาก...เสียดายนะ ถ้าแม่เราไม่ดื้อดึงจะให้ตาใหญ่มาบริหารสายการบิน พ่อก็เล็งตาพีทนี่แหละ สินีย์"
"ผมพอใจกับการได้เป็นคนสนับสนุนคุณใหญ่แบบนี้ครับ คุณพ่อ" พิทยาบอก
พิสุทธิ์ถอนหายใจ "เฮ้อ....”
"คุณพ่อมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเหรอคะ หนูเห็นสีหน้าเครียดๆตั้งแต่ตอนเข้าออฟฟิศแล้ว"
"ก็เรื่องตาใหญ่น่ะสิ..." พิสุทธิ์มองพิทยาอยู่สักครู่อย่างลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ ในที่สุดก็ตัดสินใจพูด "ไหนๆก็ไหนๆ ปิดต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว...ตาใหญ่เพิ่งประกาศคบกับเขมมิก"
พิสินีย์ตกใจ "อะไรนะคะ"
พิสินีย์กับพิสุทธิ์หันไปมองพิทยา พิทยาแกล้งทำเป็นแปลกใจมาก
"เดี๋ยวก่อนนะครับ...แล้วเขมมิก...กับคุณใหญ่ไปรู้จักกันได้ยังไงตั้งแต่ตอนไหนครับ" พิทยาถาม
พิสินีย์คุยกับพิทยาที่ยืนนิ่งอยู่โดยที่พิสินีย์ไม่รู้ว่าพิทยาคิดอะไรในใจ
"ฉันขอโทษค่ะที่ไม่บอกคุณตั้งแต่แรกว่าเขมมิกไปทำงานที่ฟาร์มของพี่ใหญ่"
"ทำไมถึงไม่บอกผมล่ะ"
"ฉันยอมรับค่ะ ว่าฉันกลัว....กลัวว่าคุณจะหวั่นไหว"
"ที่รัก....ผมมาไกลเกินกว่าจะรู้สึกอย่างนั้นได้อีกแล้วนะ"
"ค่ะ ฉันรู้"
"ยิ่งตอนนี้ เขมกับพี่ชายคุณก็รักกัน....เลิกกังวลเรื่องผมเถอะ ไม่อย่างนั้นความกังวลของพวกคุณนั่นแหละจะเป็นตัวทำลายความรักของพวกเขา เชื่อผมสิ....แต่บอกตรงๆผมไม่ค่อยสบายใจนักที่รู้เรื่องนี้"
"ทำไมคะ"
"คุณใหญ่ยังไม่รู้จักเขมมิกดี....ผมกลัวว่าพี่ชายของคุณอาจจะถูกหลอก"
พิสินีย์ตกใจ พิทยายิ้มกริ่ม เขาต้องการใส่ร้ายเขมมิกเพราะไม่ต้องการให้พิแสงแย่งเขมมิกไป
สร้อยเพชรหายใจอ่อนแรงอยู่บนเก้าอี้ โดยมีแสงสุดานวดเฟ้นอยู่พลางคิดหาทางเล่าความจริงให้สร้อยเพชรฟัง แสงสุดาเห็นสาวิกานั่งเซ็ง
"หนูวิกาจ๊ะ กลับมาอย่างนี้ ตาธีไม่ว่าอะไรเอาเหรอ" แสงสุดาถาม
สร้อยเพชรรีบบอก "พี่ให้ลาออกแล้ว"
"อะไรกันคะ ยังไม่ได้เริ่มก็ลาออกแล้ว"
"ไม่ต้องทำแล้ว กลับมาอยู่บ้าน สวยๆ" สร้อยเพชรบอก
"แต่วิกาอยากทำนะคะ" สาวิการีบบอก
สร้อยเพชรร้อง "โอ๊ย"
"คุณพี่ใจเย็นๆค่ะ...หนูวิกาไปโทรหาตาธี บอกว่าจะกลับไปทำงานพรุ่งนี้" แสงสุดาเสนอ
สร้อยเพชรตกใจ "คุณแสงสุดา!”
"ได้เลยค่ะคุณอา" สาวิกาบอก
สาวิการีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจโดยไม่รอให้แม่ห้ามอีก
"คุณพี่ฟังน้อง...ที่ตาใหญ่กับเขมมิกรักกันน่ะ เป็นแผนของน้องเอง" แสงสุดาบอก
สร้อยเพชรตกใจ "คุณน้อง!!”
"ฟังแผนการของน้องก่อนสิคะ แล้วค่อยโวย ไม่งั้น น้องโวยกลับนะคะ!”
"เอ่อ..ก็ได้ค่ะ...”
สร้อยเพชรอ่อนลงแล้วรอฟังแผนการของแสงสุดา
กนธีคุยมือถือกับสาวิกา
"ได้เสมอน้องวิกา พี่เข้าใจและไม่โกรธ แล้วเจอกันจ๊ะ"
กนธีกดวางสายพอจะหันเดินไปก็ผงะเมื่อเห็นเนตรนิภายืนเซ็งอยู่
"มาได้ไงเนี่ย!” กนธีถาม
"ลอยมามั้ง" เนตรนิภาบอก
"ไม่กวน...ทรีน...สักวันได้มั้ยครับ"
"ก็ฉัน...เซ็ง"
"ทำไม"
"แฟนสำคัญกว่าเพื่อนป่ะ"
"กำลังน้อยใจล่ะสิท่า เพราะคุณเขมกำลังสวีทกับไอ้พิแสง จนลืมคุณชิมิ"
"อืม!”
"ก็มีแฟนเป็นของตัวเองสักคนซี่ จะได้ไม่กลายเป็นหมาหัวเน่าเวลาเพื่อนอยู่กับแฟน"
"มีขายในเซเว่นป่ะ ถ้ามี จะไปช็อปมาสักคน..พูดง่าย!”
"มานี่มา" กนธีจูงมือเนตรนิภาไปทางหนึ่ง
เนตรนิภางง "ไปไหน!”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 10 (ต่อ)
พิแสงกุมมือเขมมิกเอาไว้ตลอดเวลาที่เดินมาด้วยกันตามทางในฟาร์ม
"คุณพิแสง" เขมมิกเรียก
"มีอะไร"
"คือ...รู้สึกอะไรเปียกๆป่ะ"
พิแสงชะงัก "อะไรเปียก"
"คือ...มือฉันที่คุณจับไม่ปล่อยเลยน่ะ เหงื่อมันออกจนเปียกไปหมดเลย ไม่รู้สึกเหรอ"
"ไม่รู้สึก...”
"หนังหนาเนอะ"
"เธอนี่มันจริงๆเลย ชอบทำให้บรรยากาศเสีย งั้นปล่อย"
"ไม่ได้บอกให้ปล่อย แต่จะบอกให้..เปลี่ยนข้างบ้าง"
เขมมิกวิ่งไปยืนอีกข้างของพิแสงแล้วจับมือพิแสงเอาไว้
"แบบนี้!” เขมมิกบอก
พิแสงยิ้ม
"อย่ายิ้ม!”
"ทำไม" พิแสงงง
"เดี๋ยวใจละลาย เดินต่อไม่ไหว"
"ยัยบ๊อง!”
พิแสงเขกหัวเขมมิกอย่างเอ็นดู
"ไปกันเถอะ ไปหาลูกๆของเรา" พิแสงชวน
เขมมิกตกใจ "เฮ้ย!! ลูกไหน"
"หมูไง....ไอ้ทีเด็ด ลูกเธอไม่ใช่เหรอ"
"ตกใจหมดเลย"
"แต่อีกไม่นาน...เราก็จะต้องมีลูกๆของเราเอง"
"บ้า..อายนะ"
"กี่คนดี สักสิบ"
"คนนะ ไม่ใช่หมู!”
พิแสงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินจูงมือเขมมิกไป ใครบางคนแอบดูพิแสงและเขมมิกอยู่ที่มุมหนึ่ง
เนตรนิภานั่งตรงข้ามหมอดูไพ่ยิปซี
เนตรนิภาร้องออกมา "ดูหมอ?”
"ไพ่ยิปซี ขอบอกแม่นมาก...ผมลงทุนเชิญอาจารย์มาประจำที่รีสอร์ทเดือนนึงเต็มๆเลยนะ เพื่อบริการลูกค้า" กนธีบอก
หมอดูยิ้มให้เนตรนิภา เนตรนิภายิ้มตอบแล้วก็ลุก
"เฮ้ย ทำไมอ่ะ" กนธีถาม
"โทษนะ พอดี ไม่ได้มาทางนี้อ่ะ" เนตรนิภาบอก
"ผู้หญิงกับหมอดูเป็นของคู่กันไม่ใช่เหรอ หรือคุณไม่ใช่ผู้หญิง พิสูจน์หน่อยซิ!”
"เดี๋ยวต่อยตาแตก!”
"เอาน่า...ถือซะว่าขำๆก็ได้" กนธีดันเนตรนิภาให้นั่งลงตามเดิม "หมอ! เน้นเรื่องแฟนโดยเฉพาะ ผมอยากรู้ว่าเมื่อไหร่นางจะมีแฟนสักที จะได้ไม่ต้องมาเจอหน้าผมอีก"
"ทำไม เบื่อแล้วหรือไง" เนตรนิภาถาม
"เปล่า แต่ไม่อยากเห็นคุณอิจฉาตาร้อน เวลาเห็นผมควงกับแฟน"
"มีแฟนใหม่แล้ว? นายนี่มันรักง่ายลืมง่ายจริงๆนะ"
"ยัง! แต่อีกหน่อยก็จะมี พบเนื้อคู่แล้ว เพิ่งดูเมื่อเช้า...เลยอารมณ์ดีไง หมอ เริ่มเลย!”
เนตรนิภาจำยอมดูไพ่ยิปซีทั้งที่ไม่เต็มใจ หมอดูเริ่มกระบวนการดูไพ่ยิปซี
ปริญญ์เดินมาหาหลอดกับเสริม
"เดี๋ยวเราสามคนไปเตรียมหาซื้อชุดดีๆกันสักชุดนะ" ปริญญ์บอก
เสริมงง "ซื้อไปทำไมครับหมอ"
"คาดว่า...ที่ฟาร์มของเรา คงมีงานมงคลเกิดขึ้นเร็วๆนี้"
"อั๊ยย่ะ ไม่ใช่แค่เป็นหมอหมูนะ เป็นหมอดูอีกต่างหาก" หลอดว่า
"โธ่ พี่หลอด หมอปิ๊นเค้าหมายความถึงนายหัวกับคุณเขมคงจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ เหรอพรรค์หนั่น!" เสริมคิดว่าหลอดเซ่อจริงๆ
"เอาหลาว หลอกด่ากูหลาว!” หลอดว่า
อนงค์วิ่งหน้าตาตื่นตกใจเข้ามาหา
"นี่ๆๆ!!”
"มีอะไรครับป้า" ปริญญ์ถาม
"เห็นนังน้ำหวานบ้างมั้ยหมอ ไอ้หลอด ไอ้เสริม"
ทั้งสามคนส่ายหน้า
"ไม่อยู่ที่ออฟฟิศเหรอครับ" ปริญญ์ถาม
"มันไม่ได้กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว โทรเข้ามือถือมันก็ปิดเครื่อง ไม่รู้มันไม่ไปไหน โอ๊ย! สร้างแต่เรื่องให้แม่มัน"
อนงค์เร่งเดินออกไปเพื่อตามหาวาสินี ปริญญ์ หลอด และเสริมมองหน้ากันแล้วก็เริ่มกังวล
ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง วาสินีนอนอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มคลุมร่างของเธอ ต่อลาภพลิกตัวเข้ามากอดวาสินีพลางระดมหอมไปทั่วตัว วาสินีสะอื้นเล็กน้อย
"น้ำหวานจ๋า น้ำหวานหวานสมชื่อจริงๆ รักน้ำหวานจังเลย"
"คุณได้น้ำหวานเป็นเมียแล้ว คุณต้องรับผิดชอบน้ำหวาน อย่าทิ้งน้ำหวานนะคะ” วาสินีบอก
"รับรอง...ฉันจะดูแลน้ำหวานอย่างดี ยกย่องเชิดชูออกหน้าออกตาให้สมเกียรติเลยจ๊ะ"
"สัญญานะคะ น้ำหวานไม่มีใครแล้วจริงๆ แม่ก็เพิ่งไล่น้ำหวานออกมาจากบ้าน น้ำหวานรักคุณ น้ำหวานเลยมาหาคุณ"
"สัญญาสิจ๊ะ สัญญาลูกผู้ชายเลย"
เสียงมือถือต่อลาภดังขึ้น ต่อลาภขยับไปหยิบมารับสาย
"ฮัลโหลครับ!!”
พิทยาคุยมือถือกับต่อลาภ
"จัดการแล้วหรือยัง"
"ส่งคนไปแล้วครับ...คาดว่า...คงจะลงมือกันแล้ว" ต่อลาภบอก
พิทยายิ้มสะใจแล้วกดวางสาย นัยน์ตาของเขาวาวโรจน์
พิแสงกับเขมมิกเดินคุยกันมาตามทางในฟาร์ม
"ขอถามอะไรนิดหนึ่งนะคะ"
"ว่ามาสิ"
"เรื่องป้าอนงค์...คุณจะจัดการยังไงคะ"
"ก็ไม่จัดการอะไร แกรักลูกสาวและตั้งความหวังเอาไว้มากว่าลูกจะช่วยให้แกสบายขึ้นได้ ผมเข้าใจ...ผมไม่โกรธแกหรอก"
"คุณน่ะ...ดีเกินไปหรือเปล่า"
"ผมเคยบอกแล้วไง...ผมต้องรักและดีกับทุกคนและทุกอย่างที่ปู่ผมรัก"
เขมมิกเข้าใจ เห็นใจ และยอมรับ "ค่ะ...ฉันจำได้..งั้นฉันจะไม่ถามเรื่องนี้อีก ถ้าคุณให้อภัยป้าอนงค์ ฉันก็จะให้อภัยแกเหมือนกัน"
"มาหอมให้รางวัลหน่อย"
"เซี้ยวอีกแล้ว! ไม่เอา!”
เขมมิกหลบพิแสงเป็นพัลวัล ข้างหลังพิแสงมีชายฉกรรจ์สองคนสวมหมวกไอ้โม่งกำลังเงื้อไม้หน้าสาม เตรียมฟาดพิแสง
"คุณพิแสง ระวัง!” เขมมิกร้อง
พิแสงโดนฟาดด้วยไม้จนล้มลงไปกอง ชายอีกคนเข้าไปเตะพิแสงซ้ำ
"หยุดนะ หยุด!!!” เขมมิกร้องตะโกน
เขมมิกพยายามเข้าไปห้าม แต่ถูกตบกระเด็นออกมา
"โอ๊ย!!”
พิแสงตกใจและเป็นห่วงเขมมิก "เขมมิก!”
พิแสงฮึดขึ้นมาต่อสู้กับไอ้โม่งโดยเป็นฝ่ายรุกบ้าง แต่ก็ถูกสองรุมหนึ่ง
พิแสงตะโกน "เขมมิก หนีไป!”
เขมมิกละล้าละลังว่าจะเอายังไงดี แต่เพื่อช่วยพิแสง เขมมิกก็ตัดสินใจวิ่งออกไปทางหนึ่งแต่กลับมีชายฉกรรจ์สวมหมวกไอ้โม่งโผล่มาดักหน้าเขมมิกไว้อีกคน เขมมิกชะงักก่อนจะตัดสินใจถีบทันที
"ย้ากส์!!”
ธรรมศักดิ์โค้งทำความเคารพพิสุทธิ์
"คืบหน้าบ้างมั้ย คุณธรรมศักดิ์"
ธรรมศักดิ์อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพูด "ยังเลยครับ...แต่กำลังพยายามกันอย่างสุดความสามารถครับ"
"ไม่ได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับตาพีระบ้างเลยเหรอ"
"พอได้มาบ้างครับ แต่กำลังตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลให้แน่ใจก่อน เลยยังไม่อยากรายงานท่านครับ"
"เร่งมือหน่อยแล้วกัน...ผมรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ช่วงนี้ รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เหมือนมีสิ่งที่มองไม่เห็นรบกวนจิตใจ และมันก็กำลังบีบคั้นผมมากขึ้นเรื่อยๆ"
"อ๋อ...ท่านคงอ้วนขึ้นน่ะครับ บวกกับเข็มขัดคงรัดแน่นไป เลยรู้สึกอึดอัด"
พิสุทธิ์เซ็ง "แค่นี้ล่ะ ขอบใจมาก"
ธรรมศักดิ์โค้งให้กับพิสุทธิ์แล้วเดินออกไป
ธรรมศักดิ์ปิดประตูแล้วปาดเหงื่อ เขาคิดถึงเรื่องที่กำลังเครียดอยู่ในสมองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ทีมงานยื่นซองเอกสารให้ธรรมศักดิ์ ธรรมศักด์เปิดออกดูพบเอกสารระบุรายละเอียดเป็นตัวอักษร ธรรมศักดิ์พลิกผ่านไปแล้วก็ต้องอึ้ง เมื่อเห็นรูปถ่ายใบหนึ่งซึ่งก็คือพิทยาในชุดกัปตัน
"แน่ใจเหรอว่านี่คือคุณพีระ ที่ฉันให้ตามหา" ธรรมศักดิ์ถาม
ทีมงานตอบ "ครับ"
ธรรมศักดิ์ยังยืนอึ้ง พิทยาเดินเข้ามา ธรรมศักดิ์ตกใจ
"คุณพิทยา"
"ครับ ผมเอง"
ธรรมศักดิ์จ้องมองพิทยานิ่งนาน
เขมมิกถูกไอ้โม่งตบกระเด็นมาที่พิแสง พิแสงประคองเขมมิกไว้
"เขมมิก เป็นไงบ้าง!” พิแสงถาม
"ก็เจ็บสิค้า!!” เขมมิกตอบ
"ระวังตัวนะ!”
พิแสงกับเขมมิกยืนหันหลังชนกันอย่างระวังตัว ไอ้โม่งสามคนย่างสามขุมเข้าหาพิแสงและเขมมิก
ปริญญ์ หลอด และเสริมเดินมาที่มุมหนึ่งในฟาร์ม
“เราสามคนแยกกัน ช่วยป้าอนงค์ตามหาคุณน้ำหวาน” ปริญญ์บอก
หลอดกับเสริมรับคำ “ครับผม”
หลอดพูดกับเสริม “ไอ้เสริม เอ็งไปถามคนงาน ข้าจะไปดูข้างนอกโน่น แล้วหมออ่ะ...จะไปหาน้องน้ำหวานแถวไหน”
หลอดกับเสริมหันไปจะคุยกับปริญญ์ แต่ปริญญ์หายไปแล้ว
“อ่าว.....”
พิแสงและเขมมิกหันหลังชนกัน ทั้งสองมองคนร้ายด้วยความเครียด เขมมิกทนไม่ไหวจึงด่าออกมา
“นี่!!! พวกแกเป็นใคร! อยู่ๆก็เข้ามาทำร้ายพวกเรา อยากได้อะไร ก็บอกมาสิ พูดจากันดีๆไม่เป็นหรือไง...”
พิแสงปราม “เขมมิก...พอเถอะ”
เขมมิกด่าต่อโดยไม่สนพิแสง “ทำไมชอบใช้กำลัง! พ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนบ้างหรือไง ว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงกับเด็ก สตรี คนชรา...และ...แฟนของสตรี!”
คนร้ายคนหนึ่งรำคาญ “เฮ้ย!!!”
เขมมิกตกใจ “ว้าย!”
“รำคาญ!!” คนร้ายพูดกับพรรคพวก “เฮ้ย!!! จัดการ!”
คนร้ายอีกคนจะเข้าไปฉุดมือของเขมมิก
“อย่าเข้ามา ว้าย!!!”
พิแสงเตะกันเอาไว้เพื่อปกป้องเขมมิก คนร้ายอีกคนเลยเข้าไปทำร้ายพิแสง พิแสงสู้กับคนร้ายคนนั้น คนร้ายอีกคนเข้ามาจับตัวเขมมิกเอาไว้
เขมมิกขัดขืน “อย่านะ!”
คนร้ายคนนั้นชักมีดขึ้นมาขู่ “อยู่เฉยๆ!”
“ว้าย!!! มีด!!!”
เขมมิกกลัวจึงยืนตัวแข็ง แต่ในหัวก็พยายามหาทางเอาตัวรอดและช่วยพิแสง ที่กำลังจะพลาดคนร้ายอีกคนอยู่ที่มุมหนึ่ง เขมมิกตัดสินใจกัดแขนของคนร้ายที่จับตัวเธอไว้
“อ๊ากส์!!”
เขมมิกดิ้นจนหลุด แต่เธอยังไม่สะใจจึงเตะผ่าหมากเข้าอีกที
คนร้ายจุกจนทรุดและร้องไม่ออก
เขมมิกวิ่งไปช่วยพิแสง เธอกระโดดเข้าขี่หลังคนร้ายคนนั้นพลางบีบคอ
“แฟนข้าใครอย่าแตะ!!!! ใครแตะ ตาย!!” เขมมิกทั้งบีบทั้งขย่ม “นี่ๆๆ”
คนร้ายหายใจไม่ออก “อ่อก!!”
พิแสงชอบใจเขมมิก เขาหันไปเล่นงานคนร้ายอีกคน คนร้ายคนนั้นถูกพิแสงเตะไปกอง พิแสงตามไปสอยปลายคางซ้ำจนสลบเหมือด คนร้ายอีกคนเหวี่ยงเขมมิกจนตกจากหลังเขาลงไปก้นจ้ำเบ้า
“โอ๊ย!!”
คนร้ายคนนั้นตรงเข้าไปซัดพิแสงจากทางด้านหลัง พิแสงถูกถีบจนล้มคว่ำ พิแสงหันมาเห็นคนร้ายกำลังจะซ้ำ พิแสงตกใจแต่ก็ได้ยินเสียงดังพลั่ก
พิแสงเห็นคนร้ายคนนั้นยืนมึนก่อนจะร่วงลงไป เขมมิกยืนถือท่อนไม้อยู่ข้างหลัง คนร้ายอีกคนคลายความจุกแล้วนึกแค้นใจเขมมิก เขมมิกทิ้งไม้เพราะเป็นห่วงพิแสง
“เป็นไงบ้างคะ....”
“ไม่เป็นไร” พิแสงบอก
“มา ฉันช่วย”
เขมมิกส่งมือให้พิแสงเพื่อจะช่วยฉุดให้ลุกขึ้น พิแสงจับมือเขมมิกแล้วดึงตัวเองขึ้นมา แล้วพิแสงก็ตกใจเมื่อเห็นคนร้ายวิ่งถือมีดตรงมาจะเสียบเขมมิก พิแสงเหวี่ยงตัวเขมมิกให้หันไปอีกทาง แล้วใช้ตัวเองดอกบังเขมมิกเอาไว้ มีดเสียบเข้ากลางหลังพิแสง พิแสงสะดุ้งเฮือก เขมมิกตกใจจนช็อก คนร้ายชักมีดออก พิแสงสะดุ้งอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดแล้วก็ทรุดลงไป
“คุณพิแสง.....”
เขมมิกกอดพิแสงเอาไว้เพราะทำอะไรไม่ถูก
คนร้ายอีกสองคนฟื้นได้สติมาเห็นพิแสงถูกแทง
“เฮ้ย!!! ไปเสียบมันทำไม นายสั่งให้แค่หยอดน้ำข้าวต้ม!!”
ปริญญ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาพอดี
คนร้ายคนหนึ่งเห็นก็รีบตะโกน “เฮ้ย!!! หนีก่อน!!!”
ปริญญ์เห็นสามไอ้โม่งหนีเข้าป่าไปทางหนึ่ง และเห็นเขมมิกกอดพิแสงด้วยอาการช็อกอยู่เขาก็ตกใจรีบจอดมอเตอร์ไซค์ แล้ววิ่งเข้าไปหาเขมมิกและพิแสงทันที
พิแสงกำลังเจ็บปวดอยู่ในอ้อมกอดของเขมมิก
“เกิดอะไรขึ้น คุณเขม!” ปริญญ์รีบเช็กดูบาดแผลของพิแสง
“คุณพิแสงถูกแทง....อย่าเป็นอะไรนะ...อย่านะคุณพิแสง!!” เขมมิกว่า
“โชคดี ไม่โดนจุดสำคัญ...มา คุณพิแสง ไหวมั้ย ผมจะพาไปที่รถ”
“ไหวสิ” พิแสงบอก
ปริญญ์ช่วยเขมมิกประคองพิแสงให้ลุกขึ้น
ธรรมศักดิ์ยังมองพิทยา
“คุณธรรมศักดิ์มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า” พิทยาถาม
“คุณ...สบายดีนะครับ” ธรรมศักดิ์เอ่ยออกมา
“ครับ ผมสบายดี สบายมากด้วย”
“ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของคุณที่เสียไปแล้วรับรู้ว่าตอนนี้คุณสบายดี ท่านคงสบายใจ”
“ใช่ครับ ที่ผมทำทุกวันนี้ก็เพื่อให้ท่านสบายใจ ขอตัวนะครับ ผมมีงานต้องคุยกับคุณพ่อ”
พิทยาเคาะประตูห้องพิสุทธิ์แล้วเปิดเข้าไป ธรรมศักดิ์มองตามพิทยาไปอย่างไม่สบายใจนัก
เนตรนิภายังคุยกับหมอดูอยู่ กนธีเดินเข้ามา
“เฮ้ย! คุณ ไหนบอกว่าไม่ได้มาทางนี้ไง คุยกับหมอเป็นชั่วโมงๆ ผมไปทำงานเสร็จไม่รู้กี่อย่างแล้ว ถามอะไรนักหนา”
“หมอยังไม่บ่นเลย แล้วนายจะมาบ่นทำไม ใช่มั้ยคะหมอ”
หมอดูยิ้มแต่ปาดเหงื่อ
“ให้คำถามสุดท้าย ลูกค้าผมรอคิวอยู่อีกหลายคน” กนธีบอก
“ก็ได้! คำถามสุดท้ายค่ะ ลักษณะเนื้อคู่ที่หนูยังไม่รู้ว่าใครเนี่ย...เป็นยังไงคะ เอาแบบละเอียดๆเลยนะคะ”
หมอดูยื่นไพ่ให้เนตรนิภาเลือก เนตรนิภาเลือกมาหนึ่งใบแล้วยื่นให้หมอดู หมอดูรับมาแล้วหงายวางบนโต๊ะ
หมอดูทำนาย “ลักษณะสันทัด ผิวเข้ม ผมสั้นค่อนไปทางหยิกเล็กน้อย บุคลิกออกจะดูหลุกหลิก กะล่อน แต่เอาการเอางาน ดูเหมือนคนเจ้าชู้ เพลย์บอย แต่ไม่ใช่ เป็นการแสดง เพราะจีบใครไม่เคยติด เป็นปมด้อย ทำให้เสียโอกาสที่จะรู้ใจตัวเองว่ารักใครจริงๆกันแน่”
กนธีอึ้ง
“หมอยังไม่ได้บอกเลย ว่าเนื้อคู่หนูหน้าตาดีหรือเปล่าคะ” เนตรนิภาถาม
กนธีรีบตอบ “ดีสิ! หล่อขั้นเทพเลยล่ะ!”
“รู้ได้ไง!”
“ก็ที่หมอพูดน่ะ มันตัวฉันชัดๆ”
เนตรนิภาอึ้ง กนธีก็อึ้ง ทั้งสองมองหน้ากันอึ้งๆ
หมอดูยิ้มๆ แล้วรวบไพ่เก็บช้าๆ ก่อนจะค่อยๆลุกออกไปเงียบๆ เนตรนิภาและกนธียังอึ้งตะลึงค้างกันอยู่ เสียงมือถือของเนตรนิภาและกนธีดังขึ้นพร้อมกันทำลายความเงียบ เนตรนิภาและกนธีรู้สึกตัวจึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเดินแยกกันไปคนละทางทันที
“ว่าไงเขม!”
“มีอะไรไอ้หมอ!”
พิแสงนอนหลับอยู่บนเตียง เขมมิกนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ
“เอาตัวมารับมีดแทนฉันทำไม...ไม่ต้องห่วงฉันขนาดนี้ก็ได้ ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้าง”
พิแสงยังคงนอนหลับ
“ยิ่งคุณแสนดีเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกผิดและเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น รู้มั้ย....”
เขมมิกเสียใจมากที่พิแสงยอมเจ็บเพื่อปกป้องเธอ เขมมิกซบหน้าลงแล้วร้องไห้ พิแสงเอื้อมมือมาลูบหัวเขมมิกเบาๆ เขมมิกสะดุ้งแล้วรีบเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นพิแสงยิ้มให้
“ร้องไห้ทำไม”
“คุณเจ็บเพราะช่วยฉัน”
“ฉันไม่เจ็บ แต่รู้สึกดีที่คนนอนอยู่บนเตียงเป็นฉัน ไม่ใช่เธอ”
เขมมิกอึ้ง “ดีกับฉันให้น้อยลงได้มั้ย”
“ไม่ได้....ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกเขมมิก ฉันเต็มใจ เพราะฉันรักเธอ มันไม่มีวันน้อยลง มีแต่จะมากขึ้น มากขึ้น”
เขมมิกโผเข้ากอดพิแสง
“โอ๊ย เบาๆสิ เจ็บ...”
“ไหนบอกว่าไม่เจ็บไง โกหก”
“ตอนนี้เจ็บแล้ว...เจ็บมาก” พิแสงอ้อน “อูย...”
เขมมิกตกใจ “ฉันขอโทษ...ทำไงดี ทำไงดี เรียกพยาบาล!”
พิแสงจับมือเขมมิกเอาไว้ “จะเรียกมาให้ขัดจังหวะทำไมล่ะ ไม่ได้รู้เรื่องเลย”
“หืม....ออกลายเก่าเลยนะ พี่เสือ”
“กับเธอคนเดียว”
พิแสงจับมือแล้วมองเขมมิกอย่างซาบซึ้งจนเขมมิกเขินอาย
สร้อยเพชรเดินหน้าเสียมากับแสงสุดาพลางกระซิบเพราะกลัวใครจะได้ยิน
“พี่ไม่ค่อยสบายใจเลยคุณแสงสุดา ที่งานแต่งงานของลูกวิกาต้องแลกมากับน้ำตาและหัวใจที่แหลกสลายของคุณใหญ่ มัน...รู้สึกผิดบาปยังไงไม่รู้ หรือคุณน้องไม่รู้สึกคะ”
“ไม่เลยค่ะ” แสงสุดาตอบ
“หัวใจทำด้วยอะไรคะ”
แสงสุดาตกใจเพราะคิดว่าถูกหลอกด่า “อุ๊ย...”
“พี่จะได้ฝึกให้ตัวเองแกร่งอย่างคุณบ้าง” สร้อยเพชรบอก
“อ้อ...แล้วไปค่ะ”
พิสาและสาวิกาวิ่งหน้าตาตื่นตกใจเข้ามา
“คุณแม่ขา..แย่แล้วค่ะ”
แสงสุดากับสร้อยเพชรหันไปมองด้วยความตกใจ
“พี่ใหญ่ถูกคนทำร้าย....บาดเจ็บสาหัสค่ะ”
แสงสุดาตกใจ “ตาใหญ่!!”
แสงสุดาเป็นห่วงพิแสงมาก
อ่าต่อเวลา 17.00 น.
เขมมิกคุยกับเนตรนิภา กนธี ปริญญ์ หลอดและเสริม
“ตำรวจว่ายังไงบ้างคะหมอปิ๊น” เขมมิกถาม
“ตำรวจรับแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว กำลังสืบหาและตามตัวคนร้าย” ปริญญ์บอก
“ทางเข้าออกฟาร์มเรามันมีหลายทาง แถมอยู่ติดป่าติดเขา กว่าจะหาเจอ ป่านนี้พวกมันคงเปิดหนีไปไกลแล้ว” เสริมว่า
“อย่าให้จับได้นะมึง กูจะกระทืบให้ยับ ตายคาที่เลย” หลอดโกรธ
“สอบปากคำมันก่อนดีมั้ยพี่ จะได้รู้ว่ามันทำทำไม หรือใครสั่งให้มันทำ” กนธีเสนอ
“ก็ได้ครับ” หลอดบอก
“น่าแปลก...จะว่าเป็นพวกโจรปล้นทรัพย์ก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้เอาอะไรไปเลย” กนธี
“และก็ไม่น่าใช่พวกโจรปล้นสวาท เพราะไม่งั้นคงลากเขมเข้าป่าไปแล้วตั้งแต่แรก หรือพอพวกมันเห็นแกชัดๆแล้วเกิดเปลี่ยนใจ” เนตรนิภาบอก
“เนตร...ฉันกำลังเครียด” เขมมิกขัด
“แล้วฉันร่าเริงตรงไหน” เนตรนิภาถาม
“แต่ฉันว่าพวกมันไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ฉันหรอก พวกมันตั้งใจจะรุมคุณพิแสงคนเดียว ฉันได้ยินพวกมันพูดว่า...นายสั่งให้แค่หยอดน้ำข้าวต้ม” เขมมิกบอก
“เท่าที่ผมรู้ คุณพิแสงไม่เคยสร้างศัตรูที่ไหนนะครับ” ปริญญ์พูด
“ไอ้พิแสงอาจจะบังเอิญไปเหยียบหัวแม่เท้าใคร โดยที่มันไม่รู้ตัวก็ได้” กนธีว่า
เขมมิกและทุกคนเครียด
พิทยาเดินจะกลับเข้าห้องทำงาน เสียงมือถือดังขึ้น พิทยาหยิบขึ้นมาพอเห็นชื่อเขาก็รีบกดรับ
“โดนแบบนั้นไปก็ดีเหมือนกัน...ยิ่งมันเจ็บ ฉันยิ่งสะใจ”
พิทยากดวางสายด้วยความสะใจ พิสินีย์เดินเข้ามาหาพิทยาด้วยสีหน้าตกใจ
“ฉันต้องลงไปพัทลุงกับคุณพ่อคุณแม่ด่วนค่ะ”
“ทำไมเหรอ มีเรื่องอะไร” พิทยาถาม
“พี่ใหญ่ค่ะ พี่ใหญ่เข้าโรงพยาบาล เพราะถูกแทงอาการสาหัส”
พิสินีย์ร้องไห้เพราะเป็นห่วงพิแสง พิทยาโอบพิสินีย์เข้ามากอดปลอบใจ
“ทำใจดีๆไว้ คนดีอย่างคุณใหญ่พระย่อมคุ้มครอง ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ๊ะ”
พิทยาลอบยิ้มอย่างมีความสุข
แสงสุดาเดินนำทุกคนมาตามทางเดินในโรงพยาบาลด้วยท่าทางร้อนใจและเคร่งเครียด พลางสาปส่งคนร้าย
“ขอให้ไอ้คนเลวที่มันทำร้ายลูกชายฉันตกนรกอย่าได้ผุดได้เกิด!”
พิทยาสะอึกเล็กน้อย
พิสุทธิ์ปราม “ใจเย็นๆคุณ เดี๋ยวความดันขึ้น ป่วยเข้าโรงพยาบาลไปอีกคน”
“ตาใหญ่อาการสาหัสนะคะคุณ! เย็นไม่ไหว!” แสงสุดาว่า
“ห้องอะไรนะน้องเล็ก” พิสินีย์ถาม
“ห้องนี้ค่ะ ถึงแล้วค่ะ” พิสาบอก
พิสารีบผลักประตูเข้าไป แสงสุดา พิสุทธิ์ และพิสินีย์เดินเข้าไปทันทีเหลือแต่พิทยาที่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูเพื่อปรับอารมณ์สักพักแล้วจึงเปิดประตูเดินตามเข้าไป
พิแสงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เขมมิกที่นั่งอยู่ข้างๆ ยกมือไหว้แสงสุดาและพิสุทธิ์ แสงสุดาทำเป็นรับไหว้ตึงๆ ส่วนพิสุทธิ์รับไหว้ตามมารยาท
เขมมิกพูดกับพิสินีย์ “สวัสดีค่ะ คุณพิสินีย์”
พิสินีย์ลำบากใจแต่รักษามารยาท “ค่ะ”
เขมมิกมองเลยไปที่พิทยา พิทยายิ้มให้เขมมิกเป็นปกติทั้งที่ในใจดีใจมาก
“สวัสดีค่ะ คุณพิทยา” เขมมิกทัก
พิทยายิ้มตอบ “ครับ”
พิสาที่มองเขมมิกด้วยความไม่พอใจอยู่นานแล้วสอดขึ้นมา
“ส่วนฉัน ไม่ต้องมาดีด้วย เพราะฉันไม่มีทางดีกับแก ต่อให้แกเป็นแฟนกับพี่ใหญ่ก็เถอะ”
“น้องเล็ก....พี่ขอล่ะ” พิแสงบอก
“แต่น้องเล็กไม่ให้ค่ะ!” พิสาพูดกับเขมมิก “ช่วยออกไปข้างนอกก่อนได้มั้ย คนในครอบครัวเค้าจะคุยกัน ไป๊!”
“ยัยน้องเล็ก! พูดกับเค้าดีๆหน่อย ไล่เหมือนอะไรก็ไม่รู้” พิสุทธิ์ว่า
“เหมือนหมาค่ะคุณพ่อ!” พิสารีบบอก “น้องเล็กไม่มีวันให้เกียรติผู้หญิงที่จะมาหลอกพี่ใหญ่!”
เขมมิกสะกดกลั้น พิทยาลอบมองเขมมิกด้วยความสงสาร
พิแสงโกรธมาก “น้องเล็ก!”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพิแสง...ฉันควรจะออกไปก่อน”
พิแสงเห็นใจเขมมิก แต่เขมมิกยิ้มเพื่อให้พิแสงสบายใจแล้วเดินออกไป พิแสงลอบสังเกตปฏิกิริยาของพิทยาแต่ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ แสงสุดา พิสุทธิ์ พิสา และพิสินีย์เข้าไปถามไถ่พิแสงด้วยความป็นห่วง