xs
xsm
sm
md
lg

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 5

พิแสงเดินออกไปอย่างหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำอะไรเขมมิกได้ เขาตะโกนสั่งคนงานเพื่อระบายอารมณ์

“ไปทำงาน แลไหรอยู่ด๋าย ไป๊!”
“ไปเว้ยไป เดี๋ยวก็ถูกไล่ออกเหม็ดแหละ ไป๊!” หลอดกับเสริมต้อนคนงานไป
ปริญญ์ยกนิ้วให้เขมมิก เขมมิกยิ้มรับ ปริญญ์เดินออกไปผ่านวาศิณี ปริญญ์ไม่หันมาสบตาวาศิณีทำให้วาศิณีเสียหน้าและไม่พอใจ เนตรนิภาเห็นอนงค์กับวาศิณีมองเขมมิกอย่างไม่พอใจ
“ป้าคะ คุณน้ำหวานคะ ไปทำงานสิคะ แลไหรอยู่ด๋าย!!!” เนตรนิภาบอก
อนงค์และวาศิณีรีบเดินออกไปด้วยความเจ็บใจ
เขมมิกยืนยิ้มแป้น โดยมีกนธียืนมองอย่างชื่นชม เขมมิกหันมาเห็นก็ทำหน้าเข้มใส่
“คุณกนธี!”
“ดีใจจัง จำชื่อผมได้ด้วย”
“ค่ะ” เขมมิกพูดเสียงเข้มและดุ “ถ้ายังไม่เลิกตอแยฉันอีก รับรอง! คุณได้สิ้นชื่อแน่”
กนธีจ๋อย “คุณเขม....จะฆ่าแกงกันเลยเหรอครับ คุณไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก”
“ฉันไม่ได้ใจร้าย แต่ฉันใจดำ ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าคุณ แต่คู่หมั้นฉันทำแน่”
“คู่หมั้นเขม...เป็นมาเฟียนะ” เนตรนิภาเสริม
“ฉันจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
พูดจบเขมมิกก็รีบดึงมือเนตรนิภาเดินหนีกนธีไป เนตรนิภาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกนธีที่ยืนคอตกหูตก เนตรนิภานึกสงสารขึ้นมาแวบหนึ่งแต่ก็เปลี่ยนเป็นสมน้ำหน้าในเวลาอันรวดเร็ว กนธียืนมองไม้ขัดพื้นที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นเศร้าๆ ก่อนจะหยิบขึ้นมากอดแทนตัวเขมมิกด้วยความเศร้า

เขมมิกและเนตรนิภาเดินเข้ามาที่มุมหนึ่งของฟาร์ม
“ตัดอุปสรรคไปได้อีกหนึ่ง ยังเหลืออีก...เพียบ” เนตรนิภาบอก
“แต่แกเห็นสายตาและสีหน้าของนายพิแสงเวลามองฉันมั้ย” เขมมิกถาม
“ไม่เห็น ฉันมัวแต่มองแกอยู่”
“โธ่เอ้ย!!”

อนงค์โวยวายกับวาศิณี
“ฉันเห็นว่ามันจงใจอ่อยนายหัว!”
“หนูเห็นแล้วน่ะแม่” วาศิณีบอก
“ยังจะใจเย็นอยู่อีก เดี๋ยวมันก็คาบนายหัวไปกินหรอก”
“กะอีแค่มุกพริตตี้ล้างรถ ไม่ทำให้นายหัวใจอ่อนหรอก”
พูดจบวาศิณีก็เดินหน้าเจ้าเล่ห์ออกไป โดยอนงค์ไม่รู้เลยว่าวาศิณีคิดจะทำอะไร
“แล้วต้องใช้ทุกไหนล่ะยะ ย่ามใจไปเถอะ ฉันคนเดียว ช่วยแกไม่ไหวหรอกนะ ได้ยินมั้ย” อนงค์ตะโกนไล่หลัง วาศิณีไม่สน “นังน้ำหวาน! ทำไมมันดื้ออย่างนี้นะ โอ๊ย!”
อนงค์หัวเสียกับวาศิณี

เขมมิกจามอย่างแรง
“ชิ้ว!!!!! ใครนินทาฉัน”
“เพียบ!คนอย่างแกศัตรูเพียบ” เนตรนิภาว่า
“เฮ้ยย!”
“หรือไม่ก็เป็นหวัดแล้วล่ะ เดี๋ยวเปียก เดี๋ยวแห้ง เดี๋ยวเปียก รีบกลับไปทำตัวให้แห้งเถอะ”
“หรือไม่ก็...นายพิแสงกำลังคิดถึงฉัน”

พิแสงเดินเข้ามาในสวนสมุนไพรพร้อมกับจามอย่างแรง
“ชิ้ว!!!! ....สงสัยจะหวัดกิน”
พิแสงมองหาต้นฟ้าทะลายโจรแล้วก็เจออยู่ที่มุมหนึ่ง เขาเข้าไปเด็ดใบมาเคี้ยวกิน วาศิณีเดินเข้ามา
“นายหัวคะ”
“ว่าไง น้ำหวาน”
“ได้เวลาทานข้าวกลางวันแล้วนะคะ แม่ให้มาตามค่ะ”
“ฉันไม่หิว”
“แต่คุณเขมก็รอทานอยู่ด้วยนะคะ”
พิแสงอึ้ง “ไปบอกคุณอนงค์นะ ว่าต่อไปนี้ ฉันจะแยกมากินที่ฟาร์ม”
วาศิณีแอบยิ้มพอใจ
“บ่ายนี้ ฉันมีนัดที่ไหนหรือเปล่า” พิแสงถาม
“ไม่มีค่ะ อุ๊ย” วาศิณีทำเป็นเซเพราะมึนหัว
“เป็นอะไร น้ำหวาน”
“น้ำหวานมึนศีรษะค่ะ สงสัยจะนอนน้อย เมื่อคืนทำงานจนดึกน่ะค่ะ”
“ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง ฮึ...เป็นอะไรมากมั้ย”
“ไม่ค่ะ น้ำหวาน...โอเคค่ะ เดี๋ยวน้ำหวานจะไปบอกแม่นะคะว่าให้ตั้งโต๊ะให้นายหัวที่ฟาร์ม”
วาศิณีทำเป็นเดินไปแล้วก็เซ พิแสงปราดเข้าไปประคองทันที
“น้ำหวาน!!”

เขมมิกเดินมากับเนตรนิภา
“ชัวร์ นายพิแสงต้องคิดถึงฉัน เพราะฉันมั่นใจว่า..ความเซ็กซี่ของฉันเข้าตานายนั่นอย่างแรง”
เนตรนิภาชะงักแล้วสะกิดให้เขมมิกดูอะไรบางอย่าง
“ฉันว่าแกอย่าเพิ่งมั่นใจเลยนะ ดูนั่น”

เขมมิกหันไปดูตาม “ดูอะไร”

พิแสงประคองวาศิณีมาจากทางหนึ่ง วาศิณีเอียงหัวซบพิแสงด้วยท่าอ่อนแรงเต็มที่

“ยัยแอ๊บเปิ้ล!!” เขมมิกตกใจ
“ซบซะคุณพิแสงไหล่เอียงเลย แกดูสิ” เนตรนิภาชี้ให้ดู
“เห็นแล้ว! ทำไมยังงี้ล่ะ”
“จะไปรู้เรอะ ไปถามเขามั้ย”
“ไม่ๆๆๆๆ ไม่ถาม! แต่...”
พูดถึงตรงนี้เขมมิกก็เดินลิ่วไปหาพิแสงทันที
“เขม แกจะทำอะไร”
เนตรนิภาเดินตามไป

เขมมิกเดินเข้ามาแล้วรีบแทรกกลางระหว่างพิแสงและวาศิณีทันที เนตรนิภาตามมาดูอยู่ห่างๆ
“คุณพิแสงคะ!!” เขมมิกเรียก
พิแสงเซ็งแต่วาศิณีเซ็งกว่า
“อะไร!” พิแสงถาม
“คือฉันสงสัยน่ะค่ะว่า....”
วาศิณีแกล้งอ่อนแรง “โอ๊ย!!! น้ำหวานไม่ไหวแล้วค่ะ”
พิแสงปราดเข้าไปดูวาศิณี “น้ำหวาน!!! เป็นไงบ้าง”
เขมมิกกับเนตรนิภาถึงกับอึ้ง
“น้ำหวานขอโทษนะคะคุณเขมที่ขัดจังหวะ แต่น้ำหวาน...ไม่สบายค่ะ ยืนไม่ไหวแล้ว”
พิแสงพูดกับเขมมิกเสียงเขียว “สงสัยอะไร ไว้ถามทีหลัง” แล้วเขาก็หันไปพูดกับน้ำหวานด้วยเสียงอ่อนโยน “เดินไหวมั้ย น้ำหวาน ฉันจะพาไปพักที่ออฟฟิศ”
วาศิณีตอบเบาๆ “ไหวค่ะ”
“งั้นค่อยๆลุกนะ”
พิแสงประคองวาศิณีให้ลุกขึ้น เขมมิกกับเนตรนิภามองจริตของวาศิณีแล้วก็อ้าปากค้าง วาศิณีเห็น ก็ยิ่งทำเป็นทรุดลงทันที
“โอ๊ย!” วาศิณีโงนเงน
“ฉันอุ้มดีกว่านะ” พิแสงบอก
“อย่าค่ะ นายหัว น้ำหวานเกรงใจ นายหัวไม่ควร...”
พิแสงตัดบท “ไม่ต้องพูดแล้ว สิ่งที่ฉันควรทำในตอนนี้ คือดูแลเธอ”
พิแสงอุ้มวาศิณีขึ้นมาแล้วจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อนค่ะ นายหัว..” วาศิณีพูด
พิแสงชะงักด้วยความแปลกใจ วาศิณีพูดกับเขมมิก
“คุณเขมคะ ทานอาหารกลางวันกับเพื่อนตามลำพังนะคะ เพราะนายหัวจะแยกไปทานเองที่ออฟฟิศ ไม่เป็นไรนะคะ...โอ๊ย” วาศิณีซบ
“ยังจะเป็นห่วงคนอื่นอยู่อีกนะ ไม่ต้องพูดแล้ว น้ำหวาน”
พิแสงเดินออกไปทันที วาศิณีหันมายิ้มให้เขมมิกกับเนตรนิภาอย่างเยาะเย้ย
เขมมิกกับเนตรนิภาเจ็บใจ “เฮ้ย....”
“หืม...ยัยแอ๊บเปิ้ล เย้ยฉันอ่ะ...แกดู แกดู...” เขมมิกเจ็บใจ
“แกเจอคู่แข่งที่น่ากลัวแล้วอ่ะ ดูคุณพิแสง...เป็นห่วงยัยนั่นจริงจังมากเลยนะ...แผนสร้างความร้าวฉานของแก...ไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วว่ะ เอาไงดีอ่ะ”
“ตอนนี้ยังไม่รู้” เขมมิกคิดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ฉุน “อ๊าย อ๊าย ๆ...หืม...สิ่งที่ฉันควรจะทำในตอนนี้คือดูแลเธอ อ๊าย อ๊าย !!”
“ไปสงบสติอารมณ์ก่อนไป”
เนตรนิภาลากเขมมิกเดินไป เขมมิกยังฉุนจึงโวยวายกับตัวเองไม่เลิก
“อ๊าย แหวะ อ๊าย เลี่ยน อ๊ายๆ”

วาศิณีนั่งอยู่บนเก้าอี้ในออฟฟิศ
“ขอบคุณนะคะนายหัว”
“ไม่เป็นไร เธอเป็นพนักงานของฉัน ฉันต้องดูแลเธอสิ”
วาศิณีแอบเจ็บใจ ปริญญ์เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน
“มาแล้วเหรอไอ้หมอ”
“คุณน้ำหวานเป็นอะไรครับ” ปริญญ์ถาม
“นายหัว โทรตามหมอปิ๊นมาเหรอคะ” วาศิณีถาม
“ใช่ มาให้ดูอาการเธอหน่อย” พิแสงบอก
“น้ำหวานเป็นคนค่ะ ไม่ใช่หมู”
วาศิณีลุกขึ้นมาเป็นปกติ
“แต่หมอปิ๊นก็เป็นหมอ เค้ายังดูอาการของยัยเขมมิกได้เลย” พิแสงบอก
“น้ำหวานกับคุณเขม คนละคนกันค่ะ นายหัว”
“เอาน่ะ นั่งลง จะงอนทำไมเนี่ย” พิแสงว่า
“น้ำหวานไม่กล้างอนนายหัวหรอกค่ะ ขอตัวนะคะ จะไปดูแลอาหารกลางวันให้นายหัว”
“หายดีแล้วหรือไง” พิแสงถาม
“น้ำหวานไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ...ที่นายหัวช่วยหายาดมให้ ก็ทำให้น้ำหวานดีขึ้นมาก”
วาศิณีเดินออกไปทันที พิแสงงง ปริญญ์หน้าเสีย
“ไอ้หมอ...น้ำหวานคงไม่ได้ตั้งใจพูดให้แกเสียความรู้สึกหรอก เค้าอาจจะ...”
ปริญญ์ตัดบท “คุณน้ำหวาน...คง...ไม่อยากให้ผมดูแล คุณพิแสงต่างหากที่ได้สิทธิ์นั้น ไม่ต้องคิดช่วยผมแล้วครับ ผมควรจะทำใจ”

ปริญญ์รีบเดินออกไป พิแสงลงนั่งด้วยความเซ็ง

กนธีนั่งกอดไม้ขัดพื้นอยู่อย่างเซ็งๆ ปริญญ์เดินเข้ามานั่งข้างๆกนธีอย่างเซ็งเหมือนกัน แล้วทั้งคู่ก็ถอนหายใจขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะสะดุ้งไปทั้งคู่

“เป็นอะไรไป หมอ”
“เป็นคนนอกสายตา”
“อย่าพูดสิวะ แทงใจดำเฮือกเลย”
“คุณเขมไม่สนใจคุณเหรอ”
“ไม่ใช่แค่ไม่สนใจนะ ท่าทางจะขยะแขยงฉันเหมือนเป็นติ่งอะไรสักติ่ง นายอ่ะ”
“จะเป็นอะไรได้ครับ...นอกจากคำเดิม...ผมเป็นคนนอกสายตา”
ทั้งสองหนุ่มนั่งเศร้า
“แล้วจะทำยังไงต่อไปดี” กนธีถาม
“ทำใจไงครับ สำหรับผมเห็นแต่ทางแพ้”
กนธีเห็นด้วย “สำหรับฉัน เห็นแต่ทางขึ้นเมรุ รอเผา”
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเห็นใจก่อนจะเดินคอตกออกไปด้วยกัน
“เรามารักกันเองมั้ย” กนธีถาม
“อย่าดีกว่าครับ ผมถือ” ปริญญ์บอก
“ฉันก็พูดไปงั้น”

เขมมิกที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเดินลิ่วออกมาจากบ้าน เนตรนิภาเดินตามมา
“เขม แกจะไปไหน เขม!!”
“ฉันจะไม่ยอมให้ยัยแอ๊บนั่นทำคะแนนนำฉันเด็ดขาด คนอย่างเขมมิกไม่มีคำว่า...แพ้”
เขมมิกเดินลิ่วไป เนตรนิภาจะเดินตามแต่ก็ได้ยินเสียงมือถือดังมาจากในบ้าน
“โอ๊ย...เขม..มือถือ..มือถือ...เขม...โอ๊ย!! มือถือแล้วกัน”
เนตรนิภาวิ่งเข้าไปในบ้าน

แสงสุดาแอบคุยมือถืออยู่กับชมพู่
“ตกลงมีพายุเข้าหรือเปล่าคะ พี่ยุท” แสงสุดาถาม
ชมพู่คุยมือถือ
“อู๊ย...อย่างแซ่บเว่อร์ค่ะ น้องไบรท์ คุณเขมลงทุนเปลื้องผ้าล้างคอกหมู...”
แสงสุดาขัดคอ “อะแฮ่ม”
ชมพู่พูดต่อ “เคยเห็นเวลาพริตตี้โชว์ล้างรถมั้ยคะ น่านแหละค่ะ ต้องคุณเขมล้างคอกหมูค่ะ นายหัวงี้ หัวใจเต้นโครมคราม ละลาย เหลว สำลักเสน่ห์ของคุณเขมเต็มๆ ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า....”
“ติดอะไรคะพี่ยุท!! อย่าเว้นวรรคนานสิคะ!”
พิศาเดินผ่านมาได้ยินจึงแอบฟังด้วยความสงสัย
คุณแม่คุยกับใคร...พี่ยุท? ยุทไหน?” พิศางง
“ว่าไงคะ พักโฆษณาทำไมคะ ไม่ให้พัก!” แสงสุดาเร่ง
“แหม...ก็ต้องเว้นช่วงเพื่อความตื่นเต้นสิคะ...ถ้าไม่ติดตรงที่ว่า..ก็ไม่ติดอะไรนี่คะ ทุกอย่างไปได้สวย”
“ปั๊ดโธ่!!! เฮ้อ...โล่งอก กลับมาที่คำถามเดิมค่ะ กรมอุตุพยากรณ์แม่นมั้ยคะว่าจะมีพายุถล่ม”
“แม่นอะไรล่ะคะ มั่วมาก!”
แสงสุดาฉุน “พี่ยุท!”
“ทุกอย่างปกติออกค่ะ ไม่เห็นจะมีพายุถล่ม”
แสงสุดาลืมตัว “แกไม่เห็นน่ะสิ!!! ฉันไม่เชื่อหรอกว่ายัยแม่ลูกกาฝากนั่นจะไม่คิดทำอะไรยัยเขม” แสงสุดานึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดไป “เอ่อ...ไปเช็กข่าวมาใหม่นะคะพี่ยุท ว่าตกลงพายุจะเข้าหรือไม่เข้า”
พิศาสงสัย “เมื่อกี้คุณแม่พูดชื่อนังนั่นหรือเปล่า”
“แค่นี้นะคะ แล้วว่างๆจะโทรไปคุยด้วยใหม่นะคะ”
แสงสุดาวางสาย พิศาเดินเข้าไปถามทันที
“คุณแม่คุยกับใครคะ”
“อ๋อ...พี่ยุท เพื่อนแม่เอง..สนิทกัน” แสงสุดาตอบ
“น้องเล็กได้ยินคุณแม่เรียกชื่อเขม...เขมมิกหรือเปล่า”
แสงสุดาตกใจ พิศารอฟังคำตอบ

พิแสงกำลังจะตักกับข้าว อนงค์และวาศิณียืนดูแลอยู่ข้างๆ เขมมิกโผล่เข้ามานั่งข้างพิแสงทันทีจนพิแสงสะดุ้ง ส่วนอนงค์และวาศิณีก็ตกใจ
“หิ้ว หิวอ่ะคะ คุณพิแสงขา....” เขมมิกอ้อน
พิแสงเซ็ง อนงค์และวาศิณีไม่พอใจ แต่เขมมิกไม่แคร์
“จาน ช้อน ส้อมด้วยค่ะ” เขมมิกบอก
อนงค์และวาศิณีอึ้งรอฟังคำตอบจากพิแสง พิแสงหันไปหาอนงค์แล้วพยักหน้าให้ทำตามคำสั่งของเขมมิก อนงค์จำใจทำอย่างหมั่นไส้ เขมมิกเลื่อนเก้าอี้ใกล้ชิดพิแสงมากขึ้น
“เลื่อนมาทำไม” พิแสงถาม
“ไม่ชอบความอ้างว้าง” เขมมิกตอบ
เขมมิกยิ้มหวานให้พิแสง พิแสงเซ็งหนักในขณะที่สองแม่ลูกไม่พอใจ

แสงสุดาเดินหนีเพื่อเลี่ยงการตอบคำถามพิศา
“เขมมิกอะไร ใคร ยังไง เกี่ยวอะไรกับเรื่องพยากรณ์อากาศที่แม่คุยกับพี่ยุท”
“น้องเล็กอายุเท่าไหร่คะคุณแม่” พิศาย้อนถาม

“ยี่สิบสอง...ต๊าย ยี่สิบสองแล้วเหรอเรา จำได้ว่าเพิ่งจะพาไปส่งโรงเรียนวันแรก ร้องไห้ซะโรงเรียนแทบแตก..ถามแม่ทำไม”

“คุณแม่คะ...น้องเล็กไม่ใช่เด็กอนุบาล และก็ยังไม่ได้แก่ น้องเล็กหูไม่ฝาด และสติดี...น้องเล็กได้ยินว่าคุณแม่เรียกชื่อยัยเขมมิกแน่ๆ”

“แม่ก็ยังไมได้แก่งั่กจนประสาทเพี้ยนจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดหรือไม่ได้พูดอะไร...แม่ไม่ได้พูดชื่อเขมมิก”
แสงสุดาตีหน้าเครียดใส่พิศาจนพิศาถอยร่นไปเอง
“ก็ได้ค่ะ ไม่ได้พูดก็ไม่ได้พูด น้องเล็กคงมัวแต่คิดจะตามหามันจนหลอน”
“จะไปตามหาเค้าทำไม” แสงสุดาถาม
“น้องเล็กต้องการเอาคืนมันค่ะ”
“โอ๊ย เจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรนักหนา ปล่อยๆเค้าไปเถอะ เลิกแล้วต่อกันดีกว่า”
“ไม่ค่ะ กว่าน้องเล็กจะมีแฟนได้ มันยากมากนะคะ มันเป็นคนทำลาย มันก็ต้องรับผิดชอบ ต่อให้พลิกแผ่นดินหัวตัวมัน น้องเล็กก็จะทำ จะตามไปทำลายชีวิตมันบ้าง”
พิศาเดินหงุดหงิดออกไป
แสงสุดากลุ้มใจ “เวรล่ะสิ!”

อนงค์ตักข้าวให้เขมมิก เขมมิกเอาใจพิแสงด้วยการตักกับข้าวให้
“ทานนี่สิคะ นี่ด้วยนะคะ นั่นก็ด้วยดีกว่า”
“จะตามมารังควานฉันอีกทำไม” พิแสงถาม
วาศิณีหลุดขำ เขมมิกเหลือบมองอย่างไม่พอใจ
“รำคาญเหรอคะ” เขมมิกถาม
“ใช่...มีใครเคยบอกเธอมั้ย ว่าเธอมันน่ารำคาญที่สุดในสามโลก ฉันแปลกใจจริงๆ ว่าคู่หมั้นเธอตาบอดหลับหูหลับตาหมั้นกับเธอได้ยังไง”
เขมมิกอึ้งแล้วก็น้ำตาซึมในโหมดโศกเศร้า อนงค์กับวาศิณีเห็นแล้วก็หมั่นไส้ พิแสงลอบมองเขมมิกก็รู้ทันว่าแกล้ง
“ฉันรู้ทันเธอ จะบีบน้ำตา สร้างเรื่องฟูมฟายอะไรอีก”
เขมมิกยิ้มทั้งน้ำตา “ใครกันแน่ที่ตาบอด” เขมมิกปรายตามองวาศิณี “ระวังแอ๊ปเปิ้ลอาบยาพิษไว้ให้ดี”
พูดจบเขมมิกก็ลุกออกไป พิแสงแปลกใจว่าเขมมิกหมายความว่าอะไรจึงรีบลุกตามไป
“นายหัวคะ ไม่ทานข้าวก่อนล่ะคะ” อนงค์ถาม
วาศิณีจะเดินตาม “นายหัวคะ”
พิแสงหันมาออกคำสั่ง “เดี๋ยวกลับมากินเอง ไม่ต้องตาม”
พิแสงเดินออกไป วาศิณีหยุดกึกไม่กล้าตามก่อนจะหันไปมองอนงค์อย่างไม่สบายใจ
“แม่ว่า...ยัยนั่นมันหมายถึงหนูหรือเปล่า”
“เออสิ!”
“มันว่าหนูเป็นแอ็ปเปิ้ลเหรอ?”
วาศิณีเจ็บใจเขมมิก

เขมมิกเดินออกมาด้วยความโมโห
“ชิ...ทำมาเป็นฉลาดกับเรื่องของฉัน แต่โง่เรื่องยัยนั่น!”
พิแสงเข้ามาคว้าข้อมือของเขมมิกเอาไว้
“ใครโง่!” พิแสงถาม
“อยากรับก็รับไป”
“ฉันไม่รับ แต่เธอว่าใคร”
“ว่าตัวเอง”
“แล้วเมื่อกี้หมายความว่าไง...แอ็ปเปิ้ลอาบยาพิษอะไรของเธอ”
“โอ๊ย จะมาถือสาหาความอะไรกับคำพูดของฉัน ก็แค่เพ้อเจ้อไปวันๆ”
“เธอหมายถึงใคร”
“ยัยน้ำหวานคนสวย เลขาคุณไง”
“น้ำหวานเป็นคนดี”
“นั่นไง โง่จริงด้วย”
“นั่นไง เพ้อเจ้อไปวันๆจริงๆ” พิแสงย้อน
“ถามจริง...คุณชอบยัยน้ำหวานนั่นจริงเหรอ”
“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ชอบ”
“อืม...ต้องการเหตุผลใช่มั้ย”
“ทำไมถึงอยากให้ฉันไม่ชอบน้ำหวาน”
“เพราะยัยน้ำหวานนั่นเป็นแอ็ปเปิ้ลอาบยาพิษ”
“สงสัยเราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“คุณไม่คิดจะคุยกับฉันให้รู้เรื่องเองมากกว่า”
“เพราะเธอมันเพ้อเจ้อไปวันๆ”
“งั้นก็ไม่ต้องคุย”
“ได้!!”
พิแสงหมุนตัวกลับ เขมมิกเปลี่ยนใจจึงรีบเรียกไว้
“คุยเฉพาะเรื่องงาน!” เขมมิกบอก
“ได้!!! เราจะคุยกันเฉพาะแค่เรื่องงาน จำไว้นะ อย่าเพ้อเจ้อเรื่องน้ำหวานอีก ไม่งั้น...อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
พิแสงเดินเข้าไปในออฟฟิศ เขมมิกเจ็บใจ
เขมมิกนั่งเซ็งอยู่ เนตรนิภาวิ่งเข้ามาหา
“เขม เขม!”

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 5 (ต่อ)

“เนตร...ฉันพลาดอีกแล้วอ่ะ แผนร้ายยัยเซ็กซี่ทั้งหมดที่ฉันลงทุนทำมา...มันไม่ได้ผลเลย แถมติดลบอีกต่างหาก นายนั่นมองฉันเหมือนฉันเป็นทิชชู่ใช้แล้วในห้องน้ำ”

“หนักหรือเบา”
“ค่อนข้างหนัก”
เขมมิกกับเนตรนิภาร้องพร้อมกัน “อี๋!!”
“เปลี่ยนเรื่องๆ...ลุทซ์โทรมา!” เนตรนิภาบอก
“ลุทซ์!!! ฉันลืมโทรหาลุทซ์”
“แกปิดเครื่องตลอด ลุทซ์จะโทรหาแกก็ไม่ได้”
“ว่าไง”
“ลุทซ์ต้องรีบกลับอเมริกาด่วนวันมะรืนนี้ แกจะไปพบเค้ามั้ย”
“ไปสิ ฉันมีเรื่องให้ลุทซ์ช่วย”
“งั้นก็ต้องรีบไป”
“วันนี้คงไม่ทัน...งั้นไปพรุ่งนี้”
“ไปยังไง ให้ทางนี้ไม่สงสัยแก”
เขมมิกครุ่นคิด

พิแสงกำลังจะหย่อนตัวลงนั่งดูทีวีที่บ้านพัก เขมมิกพรวดเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณพิแสงคะ!!”
พิแสงสะดุ้งโหยง “อะไร!!”
“คือว่า....”
“แค่เรื่องงานนะ”
“งานสิคะ”
“มีอะไร”
“ฉัน...จะขออนุญาตไปซื้อเสื้อผ้า”
“มันเกี่ยวกับเรื่องงานตรงไหน นี่มันเรื่องส่วนตัวชัดๆ”
“งานสิ ฉันไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะกับการทำงานที่นี่เลย มีแต่ชุดโอกูตูร์”
“อะไรนะ”
“โอกูตูร์”
“อะไรนะ”
“โอ๊ย ช่างเถอะ!!! สรุปว่ามันเป็นชุดที่ใส่ทำงานไม่ได้ ไม่อยากถูกคุณด่าว่าไม่ดูกาละเทศะอีก”
“จะไปซื้อที่ไหน”
“แถวๆนี้แหละ โอเคป่ะคะ”
“เออ!”
“น่ารักอ่ะ!!! ถึงจะพูดไม่เพราะเลยก็เหอะ”
“เออ!”
“เซ็ง! ราตรีสวัสดิ์ อย่าฝันถึงเค้านะ”
เขมมิกหัวเราะแล้ววิ่งออกไป พิแสงมองตามแล้วเผลออมยิ้มก่อนจะรู้สึกตัว
“จะยิ้มทำไม”
พิแสงหันความสนใจดูทีวีต่อโดยไม่รู้ตัวว่าเขมมิกมากระซิบใกล้
“ยิ้มบ้างก็ดีนะ” เขมมิกกระซิบ
พิแสงสะดุ้งโหยง “เฮ้ย!!”
“ไปของจริงแล้ว เจอกันค่ะ”
เขมมิกเดินออกไป พิแสงหันกลับมาดูทีวีแต่ไม่ค่อยมีสมาธิเพราะกลัวเขมมิกโผล่มาอีก

พิศาคุยโทรศัพท์กับสาวิกา
“แต่ฉันสาบานจริงๆนะวิกา ฉันได้ยินคุณแม่เรียกชื่อมันว่า...เขม”
พิทยาที่เพิ่งกลับมาจากทำงานได้ยินเข้าก็ชะงักแล้วแอบฟัง
“จะเขมไหนได้อีกล่ะ ก็ต้องเป็นชื่อนังเขมมิก!” พิศาบอก
“เขมมิก...” พิทยาสงสัย
“แต่คุณแม่ไปเกี่ยวอะไรกับมันได้ยังไงกับคนที่ชื่อพี่ยุท นี่สิที่ฉันไม่รู้”
พิทยารีบเดินออกไปทันที

พิทยาเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วนึกใคร่ครวญ เขานึกถึงตอนที่เจอธรรมศักดิ์ที่บ้านของขนิษฐา พิทยานึกสงสัย
“คุณธรรมศักดิ์...เป็นทนายความคนสนิทของคุณแม่ คุณแม่พูดถึงเขม..กับพี่ยุท?”
เสียงพิสิณีดังขึ้น “ใครคะ??”
พิทยาสะดุ้ง พิศิณีเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนเรียบร้อย
“ไม่มีอะไรจ๊ะ ผมก็...นึกอะไรเพลินๆ”
“ประชุมมอบหมายงานเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”
“จ๊ะ...ขอบคุณนะ ที่ไว้ใจให้ผมทำแทนคุณ”
“สิณีรู้ค่ะ ว่าคุณทำได้อยู่แล้ว ต่อไป สิณีก็จะค่อยๆวางมือ ให้คุณทำทั้งหมด แล้วสิณีก็จะมาเป็นแม่บ้าน...เลี้ยงลูก ดูแลคุณ ดีมั้ยคะ”
“ลูกเหรอ...ก็...ดีจ๊ะ”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ หิวมั้ยคะ ทานอะไรมั้ย”
“ไม่จ๊ะ ไม่หิวเลย เห็นหน้าคุณ ผมก็อิ่มแล้ว”
พิสิณียิ้มเขินอายแล้วเดินเลี่ยงไป “สิณีไปเอาชุดนอนให้นะคะ”

พิทยามองตามพิสิณีที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้ายิ้มๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเศร้าหมองเพราะคิดถึงเขมมิก

ภาพในอดีตย้อนกลับมา เขมมิกอยู่ในอ้อมกอดของพิทยาที่กำลังพูดถึงอนาคต
“อยากจะมีลูกสักกี่คนดีจ๊ะ เขม” พิทยาถาม
“แล้วแต่คุณสิ”
“ถ้าแล้วแต่ผม...ก็สักโหลนึงเนอะ”
“บ้า คนนะ ให้ออกลูกเป็นครอกเหมือนหมูเลยหรือไง” เขมมิกว่า
“ก็ผมรักเขมนี่ วิธีเช็กว่าสามีภรรยารักกันมากแค่ไหน ให้ดูที่จำนวนลูก ลูกยิ่งดกแสดงว่า...รักกันมาก”
“รักแค่...สิบสองเอง?”
“งั้นสักยี่สิบสี่”
“โอ๊ย!!”
เขมมิกและพิทยาหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข

เขมมิกนั่งมองดูชุดเดียวกับที่ใส่ตอนพูดถึงเรื่องอนาคตกับพิทยาอย่างเศร้าซึม เนตรนิภาเดินเข้ามาคุยด้วย
“พรุ่งนี้ จะใส่ชุดนี้เหรอ” เนตรนิภาถาม
“เปล่า...กำลังแปลกใจ ฉันหยิบมันลงกระเป๋ามาถึงที่นี่ได้ยังไง”
“เพราะแกยังคิดจะใส่มันอยู่”
“ไม่” เขมมิกตอบ
“งั้นก็บริจาคให้คนอื่นที่ยังใส่ได้”
“แกคิดว่าจะมีคนใส่มันเหรอ”
“ทำไมจะไม่มี...ของยังใช้ได้ ไม่ได้เสียหายอะไร พอดีตัวใคร คนนั้นก็ใส่ ไม่เห็นแปลก”
“ทั้งๆที่มันอาจจะเก่า ตะเข็บปริ สีซีด”
“เขม...แกพูดถึงชุดของแก หรืออดีตคนของแก”
เขมมิกอึ้ง
เนตรนิภาพูดต่อ “อย่าเอาคนไปเปรียบกับวัตถุ เพราะมันไม่เหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันคือ...เรากำจัดออกไปจากชีวิตเราได้ ถ้ามันไม่จำเป็น”
“โอเค! แกคือจุดอ่อนที่ฉันต้องกำจัด ขอโทษนะ”
เขมมิกทิ้งชุดนั้นลงถังขยะ
“โล่งที่สุดอ่ะ ไป นอน!” เขมมิกบอก
เขมมิกเอื้อมมือไปปิดไฟ

พิทยาที่เปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อยแล้วนอนอยู่บนเตียง พิสิณีลงนอนข้างๆ พิทยาหันไปจุมพิตอย่างแผ่วเบาที่หน้าผากของพิสิณี
“ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ ฝันดีนะ”
พิทยาล้มตัวลงนอนทันทีโดยหันหลังให้พิสิณี พิสิณีอึ้งเพราะเสียความรู้สึกที่สามีไม่สนใจจะทำการบ้านทั้งๆ ที่เธออุตส่าห์ตั้งความหวัง
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
พิสิณีลงนอนหันหลังให้พิทยาก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟ พิสิณียังลืมตาในความมืด ส่วนพิทยาเองก็ยังลืมตาเพราะนอนไม่หลับ

พิแสงนั่งอุ้มปุ๊กลุ้กดูดาวบนท้องฟ้ายิ้มๆ เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีความสุข
“ไปนอนกันเถอะ ปุ๊กลุ้ก....จะได้ตื่นเช้าๆ อยากรู้จังว่าพรุ่งนี้ ยัยนั่นจะสร้างเรื่องอะไรอีก...วุ่นวายชะมัด”
พิแสงอุ้มปุ๊กลุ้กเดินเข้าบ้านไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ฉันยิ้มแล้วดีมั้ย ปุ๊กลุ้ก”

เขมมิกและเนตรนิภาก้าวลงจากรถของฟาร์มเพื่อนเกษตร หลอดกับเสริมลงตามมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“เมืองหาดใหญ่นี่ไกลเกือบร้อยโล ใกล้ฟาร์มยังไงครับคุณเขม” หลอดถาม
“แหม จะให้ฉันซื้อเสื้อผ้าแถวฟาร์มตรงไหนล่ะ” เขมมิกว่า
“ตลาดนัดไงครับคุณเขม คนงานเขาก็ซื้อกันที่นั่น” เสริมบอก
“โอ๊ย!!! ผู้ชายเนี่ย ไม่เข้าใจผู้หญิงเลย ซื้อน่ะซื้อได้..แต่...ขอมาเปิดหูเปิดตาบ้างไรบ้างไง”
หลอดกับเสริมพูดพร้อมกัน “อ๋อ หาเรื่องเที่ยว”
“เราสองคนก็ได้มาเที่ยวด้วยไง ไม่ดีเหรอ” เนตรนิภาถาม
หลอดกับเสริมตอบ “ไม่ดีครับ”
“นายหัวด่าตาย” หลอดบอก
“ก็อย่าให้นายหัวรู้สิ...เอางี้...ฉันให้ทุนท่องเที่ยว แล้วรูดซิปปาก โอเคป่ะ” เขมมิกถาม
หลอดกับเสริมมองหน้ากันอย่างลำบากใจมากก่อนจะตอบพร้อมกัน “ดีครับ”
“นึกว่าจะไม่ดี”
เขมมิกกับเนตรนิภายิ้มๆที่แผนการสำเร็จ

เขมมิกกับเนตรนิภาเดินมาจะข้ามถนน รถของพิแสงและกนธีขับผ่านมา กนธีตาไวเห็นเขมมิกและเนตรนิภา
“เฮ้ย นั่นคุณเขม!”
พิแสงตกใจจึงเบรกรถหัวทิ่ม “ไหน!!”
“ไอ้พิแสง!!!” กนธีโวย
รถที่ตามหลังพิแสงเบรกตามกันเป็นแถวทั้งหมดต่างโผล่หน้าออกมาตะโกนด่า
“ขับรถภาษาอะไรวะ”
เขมมิกและเนตรนิภาข้ามถนนไปแล้วและเดินไปไกล พิแสงชะโงกมองก็เห็นหลังเขมมิกไวๆ หายเข้าซอยไป
“ยัยตัวแสบ เอาแล้วไง” พิแสงว่า
“เออ เอาแล้วไง เอาไงต่อ” กนธีถาม
“กลับรถ”
“กลับไม่ได้ วันเวย์ ไปข้างหน้าเร็ว เดี๋ยวก็ถูกรุมกระทืบหรอก”
พิแสงเจ็บใจแต่ก็จำใจเดินหน้ารถไปต่อทั้งๆ ที่ยังกังวลเรื่องเขมมิก

เขมมิกและเนตรนิภาเดินมาถึงหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป พอเขมมิกและเนตรนิภาเข้าประตูปุ๊บ พิแสงและกนธีก็เดินผ่านโรงแรมแห่งนั้นไปพลางคุยเรื่องเขมมิก

“แกจะโมโหอะไรนักหนาวะ” กนธีถาม
“ยัยนั่นโกหกฉัน!!! บอกว่าไปซื้อของใกล้ๆ แต่ดันมาโผล่ที่หาดใหญ่ แอบมาทำอะไรแน่ๆ” พิแสงบอก
“เฮ้ย..อคติ คิดมาก”
“ไม่ได้อคติ ถ้าบริสุทธิ์ใจ ทำไมต้องโกหก ยัยตัวแสบนั่นปิดเครื่อง ฉันต้องโทรหาไอ้หลอด”
พิแสงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาหลอดระหว่างที่เดินไป

หลอดรับโทรศัพท์ในขณะที่กำลังกินอาหารกับเสริมอย่างเอร็ดอร่อย
“ฮัลโหลครับ นายหัว”
พิแสงคุยมือถืออยู่ที่มุมหนึ่ง
“ไอ้หลอด แกพาเขมมิกไปซื้อของที่ไหน” พิแสงถาม
“ก็ใกล้ๆครับ นายหัว” หลอดตอบ
“ใกล้แค่ไหน”
“ใกล้มากเลยครับนายหัว ตดไม่ทันหายเหม็นก็ถึงแล้ว”
“มาตดถึงหาดใหญ่เนี่ยนะ”
หลอดอึ้งถึงกับช้อนตก “ไอ้หยา!!”
“อะไรพี่หลอด!” เสริมถาม
หลอดพูดกับเสริม “งานเข้า!”
“ไอ้หลอด ฮัลโหล ฟังอยู่หรือเปล่า ไอ้หลอด!”
หลอดแกล้งทำเป็นไม่มีสัญญาณ “ฮัล..โหล..ไม่..ได้ยิ..เลย...คะ..รับ...ครืดๆ”
หลอดรีบวางสายในสภาพเหงื่อแตก
“นายหัวจับได้แล้ว ว่าเรามาหาดใหญ่” หลอดบอก
หลอดกับเสริมมองหน้ากันอย่างประหวั่นพรั่นพรึง พิแสงกดปิดมือถือ
“ยัยเขมมิก!” พิแสงโกรธ
“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆๆๆๆ ก่อนจะพิพากษา แกควรจะฟังคำให้การของจำเลยก่อนนะ” กนธีบอก
“ฉันฟังแน่ แต่ตอนนี้ต้องหาตัวจำเลยให้เจอ”
“เฮ้ย...แล้วงานฉันล่ะ ฉันนัดคุยกับบริษัททัวร์ แกก็นัดคุยกับเฮียป๋อเรื่องซื้อหมูแม่พันธุ์ตัวใหม่”
“จัดลำดับความสำคัญเป็นมั้ยวะ” พิแสงถาม
“งานมาก่อน” กนธีตอบ
“จับผิดยัยเขมมิกมาก่อน เรื่องอื่นรอได้!”
พูดจบพิแสงก็เดินไปอีกทาง กนธีเหนื่อยใจกับพิแสงจึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรเลื่อนนัด พลางวิ่งตามพิแสงไป
“ครับ...ผมกนธีนะครับ จากรีสอร์ทกนธี”

เขมมิกโผเข้ากอดลุทซ์ด้วยความดีใจ
“ลุทซ์!!!”
“เขม!”
เนตรนิภามองอย่างปลื้มใจ
“ดีใจที่สุด...เธอเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลย” เขมมิกบอก
“แต่เธอ สวยขึ้นมาก...ไม่หมือนเดิม”
“พูดไทยเก่งขึ้นมาก”
“THANK YOU นั่งก่อน แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง ทำไมเธอถึงมีหนี้สินหลายสิบล้าน”
“งั้นระหว่างนี้ ฉันไปซื้อของให้แกแล้วกันนะ จะได้ไม่เสียเวลา” เนตรนิภาบอก
“ขอบใจนะเนตร”
เนตรนิภายิ้มให้กำลังใจเขมมิกที่มีสีหน้าหมองลงแล้วเดินออกไปจากโรงแรม เขมมิกนั่งคุยกับลุทซ์

ธรรมศักดิ์รายงานความคืบหน้าเรื่องการตามหาตัวลูกชายเพื่อนของพิสุทธิ์
“ตอนนี้เป็นไปได้ว่า....ลูกชายเพื่อนของท่านคนนั้นอาจจะเปลี่ยนชื่อและนามสกุลของตัวเอง ทำให้ตามหาตัวยากลำบากมาก”
“เขาทำแบบนี้ทำไม”
ธรรมศักดิ์ยิ้มไม่ตอบ
“มีทางตามหาตัวเจอมั้ย”
“คงต้องใช้เวลาสักพักครับ....”
“นานแค่ไหน ผมก็จะรอนะ”
พิสุทธิ์รู้สึกเป็นกังวล เสียงเคาะประตูดังขึ้น
พิสุทธิ์พูด “เข้ามา”
พิทยาเปิดประตูเข้ามาเห็นธรรมศักดิ์
“สวัสดีครับ คุณธรรมศักด์” พิทยาทัก
“สวัสดีครับ”
“ผมไม่ทราบว่าคุณพ่อมีแขก”

“กำลังจะกลับพอดีครับ ขอตัวนะครับ สวัสดีครับท่าน”

ธรรมศักดิ์ทำความเคารพพิสุทธิ์แล้วเดินออกไป พิทยามองตามอย่างติดใจสงสัย

“มีอะไรตาพีท” พิสุทธิ์ถาม

“ผม...จะมาปรึกษาเรื่องโครงการเส้นทางการบินที่เสนอไว้นะครับ” พิทยาบอก
“เอาสิ”
“แต่ขออนุญาตไปเอาเอกสารที่ห้องก่อนนะครับ”
“เชิญ”
พิทยารีบเดินออกไป พิสุทธิ์หันไปเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นเกมคลายเครียด
“เออ สนุกดีเว้ย...พักหน่อยแล้วกัน ขอสักสิบนาที”

ธรรมศักดิ์เดินมาตามทางเดินในออฟฟิศ พิทยาเร่งฝีเท้าตามธรรมศักดิ์
“คุณธรรมศักดิ์ครับ!” พิทยาเรียก
“ครับ”
“ผมมีเรื่องสงสัยอยากจะถาม ขอคุยด้วยหน่อยครับ”
พิทยาเชิญธรรมศักดิ์ไปคุยที่มุมหนึ่ง ธรรมศักดิ์เดินตามไปอย่างแปลกใจ

เนตรนิภากำลังซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานในฟาร์มให้เขมมิกทั้งประเภทเสื้อเชิ้ตโดยพยายามจะจัดให้แมทช์และดูดีมีสไตล์
“เสื้อตัวนี้ กับกางเกงตัวนั้น...ควรจะมีผ้าพันคอไว้ซับเหงื่อ หรือไม่ก็ไว้มัดคอตัวเองตายลาโลก”
คนขายมองหน้าเนตรนิภาเหวอๆ
“ขอโทษค่ะ ชอบพูดอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสาคนไม่มีสติค่ะ เอาตัวนี้ ตัวนั้น ตัวโน้น ตัวนี่...”
กนธีเดินนำพิแสงเข้ามาในร้านแล้วยิ้มให้เนตรนิภา
“ตัวนี้ด้วยมั้ย” กนธีถาม
เนตรนิภาหันมาแต่ยังไม่รู้ตัว “ตัวไหน” เนตรนิภาเห็นกนธีกับพิแสงก็ตกใจมาก “ว้าย!!! ตัวใครตัวมันดีกว่าค่ะ ลาล่ะค่ะ สวัสดี”
เนตรนิภาจะวิ่งหนี กนธีรั้งตัวเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิครับ คุณเนตรนิภา”
“เอ่อ..อะไรเหรอคะ”
“มาซื้อซะไกลเลยนะครับ” กนธีว่า
“ไม่ไกลค่ะ ไม่ไกล ใกล้แค่นี้เอง”
“เขมมิกอยู่ไหน!!” พิแสงถาม
เนตรนิภาอึ้งแล้วหาทางแก้ตัว ในขณะที่กนธีและพิแสงจ้องเธอเขม็ง

พิทยาถามธรรมศักดิ์
“คุณไปบ้านของแม่เขมมิกทำไม”
ธรรมศักดิ์อึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าพิทยาจะรู้

เขมมิกเล่าเรื่องให้ลุทซ์ฟัง
“พ่อฉันมีเมียน้อย เลิกกับแม่ โดยที่ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า แล้วไปอยู่อเมริกาทำธุรกิจร้านอาหารไทยที่นั่น...พ่อฉันตายหลังจากนั้นไม่นาน แล้วก็มีคำสั่งศาลให้แม่ฉันใช้หนี้ที่พ่อฉันไปกู้เงินมาทำธุรกิจ สิบล้าน”
ลุทซ์ตกใจ “โอมายก็อด”
“ตอนนี้พระเจ้าหรือใครก็ช่วยฉันไม่ได้ ตอนนี้แม่ฉันป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่สี่”
เขมมิกน้ำตาซึม ลุทซ์จับมือเขมมิกเพื่อปลอบใจ
“เธอรู้เรื่องฉันตกงานแล้วมารับงานบ้าๆที่พัทลุงนี้แล้วใช่มั้ย” เขมมิกถาม
“ใช่...เขม ฉันอยากช่วยเธอ เธอเป็นเหมือนน้องสาวของฉัน”
“เธอ และพ่อแม่ของเธอก็เป็นเหมือนครอบครัวของฉัน ฉันไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของเธอตอนที่ไปเรียนที่สวิส ยังจำได้ว่าฉันอบอุ่นมาก”
“ฉันพอมีเงิน”
“อย่าช่วยฉันด้วยเงินเลย”
“แล้วจะให้ฉันช่วยได้ยังไง”
“หนี้ก้อนโตนี้ แม่ฉันไม่ได้มีส่วนรู้เห็น แม่ฉันไม่ได้เป็นคนเซ็นยินยอมการกู้เงิน...ฉันมั่นใจว่ามีคนปลอมลายเซ็นแม่ฉัน อีกอย่าง ฉันรู้ดีว่าธุรกิจของพ่อฉันไปได้ดีมาก ไม่จำเป็นต้องกู้เงินมาทำธุรกิจเลย”
“ได้ ฉันจะช่วยหาหลักฐานมาเคลียร์คดีให้เธอ ไม่ต้องห่วง”
“ขอบคุณมากนะลุทซ์”
เขมมิกโผเข้ากอดลุทซ์ด้วยความซาบซึ้งใจ

กนธีจับตัวเนตรนิภาเดินมาถึงหน้าโรงแรม โดยมีพิแสงตามมาติดๆ
“เขมมิกมาที่นี่ทำไม” พิแสงถาม
“มาเข้าห้องน้ำคะ” เนตรนิภาตอบ

พิแสงไม่เชื่อ เขามองเข้าไปอย่างหมายมั่นจะจับผิดเขมมิก

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 5 (ต่อ)


พิแสงเปิดประตูโรงแรมเข้ามา กนธีเดินตาม ส่วนเนตรนิภาเดินลุ้นหายใจไม่ทั่วท้องเพราะกลัวเขมมิกถูกพิแสงจับได้ว่าอยู่กับลุทซ์
พิแสงกวาดสายตาหาเขมมิกในล็อบบี้โรงแรม พิแสงห็นเขมมิกนั่งหันมาหน้ามาในท่ากำลังฟังผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งหันหลังเห็นเพียงว่าสวมเสื้อสูท
พิแสงปราดเข้าไปทันที เนตรนิภาตกใจจนหน้าซีด
“เอาแล้วไง...เขม”
“เอาอะไร! ยัยเพี้ยน!” กนธีถาม
“เอาปากนายไปห่างๆได้มั้ย เหม็นมาก”
เนตรนิภารีบวิ่งตามพิแสงไป กนธีวิ่งตามไปติดๆ

พิแสงเดินตรงลิ่วไปหาเขมมิก เขมมิกเห็นพิแสงก็ตาค้างด้วยความตกใจ
“คุณพิแสง.....มาได้ไง” เขมมิกถาม
“เธอมาที่นี่ทำไม!” พิแสงถาม
“คือ....”
“เธอมาหาใคร!!”
เนตรนิภาก้มหน้าหลับตาปี๋เพราะไม่กล้ามองเหตุการณ์ ผู้ชายคนที่นั่งตรงข้ามเขมมิกลุกขึ้นยืนพร้อมถือเครื่องกรองน้ำสาธิตไว้ในมือ
“สวัสดีครับ ผมชื่อประกอบ เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านของเครื่องกรองน้ำครับ ผมกำลังสาธิตให้คุณผู้หญิงท่านนี้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานอันยอดเยี่ยมของเครื่องกรองน้ำเรา สนใจร่วมฟังกันมั้ยครับ”
“สนใจมั้ยคะ” เขมมิกถาม
พิแสงกับกนธีอึ้ง เนตรนิภากลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์ เขมมิกมองหน้าพิแสงแบบทำหน้าไร้เดียงสา
“เครื่องกรองน้ำเนี่ยนะ”
“ค่ะ เครื่องกรองน้ำประสิทธิภาพสูงด้วย” เขมมิกย้ำ
พิแสงเดินออกไปเลย
กนธีเดินตาม “พิแสง รอด้วย!”
เนตรนิภาเห็นพิแสงและกนธีเดินลับออกไปจากโรงแรมก็รีบเข้ามาหาเขมมิก
“ฉันเกือบหัวใจวายรู้มั้ยแก” เนตรนิภาบอก
“รีบไปเหอะ”
เขมมิกรีบลากเนตรนิภาออกไปปล่อยผู้เชี่ยวชาญเครื่องกรองน้ำยืนงงอยู่คนเดียว
“ผมยังสาธิตไม่จบเลยนะครับ...”

พิทยารอฟังคำตอบจากธรรมศักดิ์ที่ยังอึ้งอยู่
“ว่าไงครับ....คุณไปที่บ้านของคุณแม่เขมทำไม”
“เพราะมนุษยธรรม ตามคำสั่งของคุณแสงสุดาครับ”
“คุณแม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้”
“ท่านมีจิตใจที่เมตตาครับ ถึงคุณเขมมิกจะไม่ใช่พนักงานของ P บูติกแอร์ไลน์แล้ว แต่ท่านก็เป็นห่วงความเป็นอยู่ เพราะได้ข่าวว่า...คุณเขมมิกยังไม่มีงานทำ จึงให้ผมไปเยี่ยมเยียน”
“ที่บ้านของแม่เขมเนี่ยนะ”
“ผมไม่ทราบว่าคุณเขมมิกอยู่ที่ไหน เพราะติดต่อเธอไม่ได้ จึงมาหาที่บ้านของคุณแม่เธอครับ”
พิทยาอึ้งโดยยังไม่เชื่อธรรมศักดิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
“แล้วคุณพิทยาทราบได้ยังไงครับว่าผมอยู่ที่นั่น หรือว่าคุณเองก็ไปตามหาคุณเขมมิกที่นั่นเหมือนกัน” ธรรมศักดิ์ถามกลับ
พิทยาอึ้งเพราะตั้งตัวไม่ทันสำหรับคำตอบ ธรรมศักดิ์รอฟังคำตอบด้วยรอยยิ้มปกติ

เขมมิกเดินลิ่วมากับเนตรนิภาด้วยความโล่งใจ
“ฉันคิดว่าแกจะถูกจับได้ซะแล้ว” เนตรนิภาบอก
“ก็เกือบเหมือนกัน...เฉียดฉิวแค่เส้นยาแดงผ่าแปด” เขมมิกบอก

ภาพในอดีตย้อนกลับมา เป็นตอนที่เขมมิกกอดร่ำลากับลุทซ์
“รอฟังข่าวดีจากฉันนะ” ลุทซ์บอก
“โอเค”
เขมมิกเหลือบไปเห็นพิแสงซึ่งกำลังผลักประตูเข้ามากับกนธีและเนตรนิภา พิแสงมองหาเขมมิก เขมมิกตาโตรีบผลักลุทซ์ออกไป
“บาย!!! โก ๆๆ”
ลุกซ์เดินไปอย่างงงๆ
เขมมิกรีบหาที่นั่งทันทีซึ่งเป็นที่นั่งตรงข้ามเซลส์ขายเครื่องกรองน้ำ เซลส์ยิ้มให้เขมมิก เขมมิกเหลือบดู พิแสงที่เดินดิ่งตรงมาแล้วก็รีบหาเรื่องคุยกับเซลส์
“อุ๊ย...เครื่องอะไรอ่ะคะ...ดูดี๊ดี มีนวัตกรรม”
“อ๋อ...เครื่องนี้....เป็นเครื่องกรองน้ำครับ” เซลล์บอก
เซลส์เม้าท์ยาวเป็นชุด เขมมิกแอบเซ็ง ขณะที่พิแสงก็ตรงเข้ามาพอดี

เนตรนิภาหัวเราะขำ
“ฮ่ะๆๆๆ”
“จะหัวเราะอีกนานมั้ย” เขมมิกถาม
“ขอโทษ นับว่าดวงแกยังแข็งอยู่”
“ใช่..ไม่งั้นอีตาพิแสงนั่นเล่นฉันไม่ปล่อยแน่ ชิ...คนบ้าอะไร จะต้องมาเจอเวลาที่ไม่อยากเจอทุ้กที เกลียดอะไรต้องเจออย่างนั้นใช่มั้ย เนตร”
“ใช่!”
“กลับเหอะ ป่านนี้ หลอดกับเสริมคงรอแย่แล้ว”

พิแสงและกนธีเดินเข้ามา

“ฉันไล่ให้มันสองคนกลับฟาร์มไปแล้ว” พิแสงบอก
เขมมิกกับเนตรนิภาตกใจ “ว้าย!”
“กลับได้ไง! แล้วฉันสองคนล่ะ ต้องกลับด้วยสิ” เขมมิกว่า
กนธีกะโชว์หล่อ “พิแสง ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ค่อยๆจา อย่าใช้อารมณ์”
“นี่! หล่อใส่ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะยะ เฟคมาก!!” เนตรนิภาว่า
“อะไรของเธอ”
“รู้ทันย่ะ ว่ามาไม้ไหน!” เนตรนิภาบอก
“ไม้อะไร!” กนธีถาม
เขมมิกพูดกับกนธี “เงียบเลยคุณกนธี! ฉันกำลังเคลียร์กับเพื่อนคุณ อยู่เฉยๆ!”
กนธีหุบปากแล้วหันไปเข่นเขี้ยวใส่เนตรนิภา เนตรนิภาไม่สนใจ
“แล้วจะให้ฉันกลับฟาร์มยังไง” เขมมิกถาม
“ก็หาทางกลับเองสิ! รถของฟาร์มฉันไม่ได้มีไว้ให้เธอเอามาเสียเวลาไกลถึงที่นี่!”
พูดจบพิแสงก็เดินออกไป กนธีเดินตามพิแสงไป เขมมิกเดือด
“จงใจแกล้งกันชัดๆ!”

ธรรมศักดิ์ยิ้มรอฟังคำตอบจากพิทยา
“คุณไปบ้านของคุณแม่ของคุณเขมมิกทำไมครับ”
“ผม..เอ่อ....” พิทยาอ้ำอึ้ง
“คุณเป็นห่วงคุณเขมมิกเหมือนกับคุณแสงสุดา ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ ผมเป็นห่วงเขม”
“คุณพิสินีย์รู้เรื่องนี้แล้วใช่มั้ยครับ”
“เหมือนคุณกำลังก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผมอยู่นะครับ...ผมไม่ชอบเลย”
“ผมไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาท ผมแค่เช็กข้อมูลให้ถูกต้อง หากผมต้องรายงานคุณแสงสุดา และคุณพิสินีย์อาจจะอยู่ด้วย คุณจะให้ผมรายงานท่านว่าอย่างไร”
“คุณอยากจะรายงานว่ายังไงก็ได้ สินีย์จะรู้เรื่องก็ไม่เห็นแปลก”
“แสดงว่าคุณพิสินีย์ยังไม่รู้เรื่อง”
“คุณธรรมศักดิ์น่าจะเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงนะครับ ต่อให้ปากพูดว่าไม่คิดอะไร แต่ลึกๆมันก็อดคิดไม่ได้ ผมไม่อยากให้สินีย์ไม่สบายใจด้วยเรื่องที่ไม่ได้มีสาระอะไร และผมก็คิดว่า คุณคงไม่อยากให้ภรรยาของผมต้องรู้สึกอย่างนั้นใช่มั้ยครับ”
ธรรมศักดิ์อึ้งแล้วก็พยายามอ่านพิทยา พิทยาแสดงท่าทีบริสุทธิ์ใจ
“ในฐานะเพื่อนเก่า ผมอดเป็นห่วงเขมไม่ได้ ที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมแบบนี้ คุณคงเข้าใจ”
พิสุทธิ์เดินเข้ามาพอดี
“อยู่นี่เอง ตามหาซะทั่วออฟฟิศ จะคุยงานกับพ่อไม่ใช่เหรอ พีท” พิสุทธิ์ถาม
“พอดีผมมีเรื่องปรึกษาคุณธรรมศักดิ์นิดหน่อยครับ กำลังจะไปหาคุณพ่อพอดีครับ” พิทยาพูดกับธรรมศักดิ์ “ขอบคุณมากนะครับ สำหรับข้อมูล”
พิสุทธิ์พูดกับธรรมศักดิ์ “ช่วยๆหน่อยนะ ลูกเขยกำลังไฟแรง”
“ครับท่าน”
พิสุทธิ์เดินคุยออกไปกับพิทยาที่ทำทีเป็นปรึกษาเรื่องงาน ธรรมศักดิ์มองตามพิทยาอย่างไม่ไว้ใจ

พิแสงเดินหงุดหงิดมา
“มาซื้อของที่หาดใหญ่ ทำไมไม่บอก หรือว่ากลัวถูกด่า” พิแสงบ่น
“ใช่ ต้องตามไปด่า” กนธีบอก
พิแสงมองกนธีด้วยความแปลกใจ “แกอยากให้ฉันไปด่ายัยเขมมิกเหรอ ทำไม ปกติปกป้องจะเป็นจะตาย”
“ฉันตัดใจจากคุณเขมแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเขมเป็นคนผิด ฉันก็จะไม่เข้าข้างแล้ว”
“ถ้าทำได้จริง ก็ดีใจด้วย จะได้ไม่ต้องปีนต้นงิ้ว ไปล่ะ สายแล้ว แล้วเอาไง จะให้รอรับกลับด้วยมั้ย”
“ไม่ต้อง ฉันจะกลับกับรถตู้บริษัททัวร์”
“เจอกัน”
พิแสงเดินออกไป กนธีเดินออกไปอีกทางแต่ใบหน้ายังติดใจสงสัย
“ยัยเนตรนิภารู้ทันอะไรเราวะ....” กนธีสงสัย

เขมมิกเดินตามเนตรนิภามา
“กลับยังไง” เขมมิกถาม
“ก็นั่งรถกลับสิ โน่น...ไปรอขึ้นรถทัวร์หรือรถบัสหรือรถอะไรก็ได้” เนตรนิภาตอบ
“ฉันไม่กลับ”
“บ๊ะ!!! จะเอายังไงเนี่ย จะรอให้ใครมารับยะ นายหัวพิแสงหรือไง”
“นายนั่นแกล้งฉัน เพราะโกรธที่เอาผิดฉันไม่ได้ ฉันไม่ยอมเป็นหมูให้เชือดง่ายๆหรอก”
“แปลว่าใช่ งั้นตามสบาย เพราะถ้าแกจะกลับกับคุณพิแสง ฉันขอบาย เพราะฉันไม่อยากร่วมทางกับนายกนธี”
เขมมิกเสียงอ่อน “เนตรร”
“เข้าใจฉันด้วยนะเขม ส่วนฉัน เข้าใจแกดี...เจอกันที่ฟาร์ม”
เนตรนิภาเดินออกไปทันที
“เฮ้ย..เนตร เดี๋ยวก่อนสิ!”
เนตรนิภาหันกลับมา “อะไร”
“ฉันปล่อยให้แกกลับคนเดียวไม่ได้หรอก มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ”
“ฉันรู้ว่าแกรักฉัน มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันเนอะ”
เนตรนิภาพอใจที่เขมมิกยอมเปลี่ยนใจ แล้วสองสาวก็เดินออกไปด้วยกัน

เนตรนิภายืนต่อแถวเซ็งๆ เพื่อขึ้นรถบัสหาดใหญ่-พัทลุงต่อท้ายคนอื่นๆอยู่
“เพื่อนทรยศ !!! ทิ้งให้ฉันกลับคนเดียวจนได้!” เนตรนิภาบ่น

เนตรนิภานึกย้อนกลับไป ก่อนหน้านี้เนตรนิภาเดินมากับเขมมิกเพื่อจะเข้าคิวขึ้นรถบัส โดยที่เขมมิกยังคาใจและไม่พอใจพิแสงอยู่ เขมมิกเห็นคนบนรถมีเยอะ
“ท่าทางคนจะแน่นเนอะ” เขมมิกว่า
“ใช่...ก็ดีนะ อบอุ่นดี”
“ฉันดีใจที่แกรู้สึกอบอุ่นแสดงว่าแกต้องเดินทางกลับอย่างสบายใจและปลอดภัยได้”
เนตรนิภาหันมองรถ “ฉันก็ว่างั้น...น่าสนุกนะแก ฉันว่าถ้าอยากเรียนรู้ชีวิตของคนในพื้นที่ ก็ต้อง...”
เนตรนิภารู้ทันว่าเขมมิกหายไปไหนแต่ก็เซ็ง “เขม!!”

เนตรนิภายืนเซ็งเพื่อนอยู่ในแถวพร้อมกับมองถุงผ้าในมือ
“แล้วก็ปล่อยให้เพื่อนถือของกลับเองอีกต่างหาก....น่าฆ่าให้ตายนัก”
กนธีเดินคุยกับเอเจนซี่ทัวร์ใกล้ๆ เนตรนิภา
“ติดธุระด่วนก็ไม่เป็นไรครับ สบายมาก ผมให้คนงานขับรถมารับแล้ว”
“ขอโทษจริงๆนะคะ งั้น ลาเลยนะคะ สวัสดีค่ะ”
พูดจบเอเจนซี่ก็เดินออกไป กนธียิ้มพอใจ
“ได้ลูกค้าเพิ่มอีกแล้ววุ้ย” กนธีหันไปเห็นเนตรนิภายืนรอขึ้นรถอยู่ “ยัยเพี้ยน!”
กนธีมองเนตรนิภาอย่างคาใจ เขารีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก
“ฮัลโหล....ยังไม่ต้องออกมา เดี๋ยวฉันโทรหาอีกที”
กนธีกดวางสายแล้วเดินไปหาเนตรนิภาทันที

เนตรนิภาเซเพราะถูกคนชนจากข้างหลัง
“โอ๊ย!!! ระวังหน่อยสิคะคุณ”
กนธีคือคนที่มาชนเนตรนิภา
กนธีแกล้งไม่ได้ตั้งใจ “ขอโทษครับ พอดีผมรีบวิ่งมา....” กนธีทำเป็นอึ้งเมื่อเห็นหน้าเนตรนิภา “โอ๊ะ ยัยเพี้ยน!”
“โอย!!! อีกแล้วเหรอ!! โอย!!”
กนธียิ้มเจ้าเล่ห์แต่แกล้งโวย “โอยอะไร!”

พิแสงลุกขึ้นเช็กแฮนด์กับเฮียป๋อ คนขายหมูพ่อแม่พันธ์
“ขอบคุณครับเฮียป๋อ”
“เฮียรู้ว่าที่ฟาร์มนายหัวเลี้ยงดี เอาใจใส่ เฮียก็อยากให้ลูกสาวไปอยู่กับนายหัว จะได้ออกลูกออกหลานเยอะๆ เลยคิดค่าสินสอดกันเอง ฮ่ะๆๆๆ”
“เฮียโทรไปนัดเวลากับเลขาผมอีกทีนะครับ ว่าจะมาส่งลูกสาวให้ผมได้เมื่อไหร่”
“ครับ...เอ๊..แล้วเมื่อไหร่คุณเลขาจะเขยิบฐานะเป็นเมียนายหัวสักที”
“โอ๊ย เมียเมออะไรกันครับเฮีย ผมยังไม่อยากมีตอนนี้หรอก”
เขมมิกเดินลิ่วเข้ามาขวางกลางวง
“คุณต้องรับผิดชอบฉัน!!! จะมาทิ้งขว้างกันง่ายๆแบบนี้ไม่ได้!” เขมมิกว่า
“เขมมิก!”
“สงสัยไม่อยากไม่ได้แล้วล่ะนายหัว ได้เค้าเป็นเมียแล้ว ไม่มีใครยอมหรอก” เฮียป๋อว่า
เขมมิกตกใจ “ห้ะ?”
“เฮียกำลังเข้าใจผิดครับ ยัยนี่ไม่ใช่....”
เขมมิกตัดบทด้วยการควงแขนพิแสง “ค่ะ หนูตกเป็นของเขาแล้วค่ะ! แล้วหนูก็มาถามหาความรับผิดชอบ”
พิแสงตกใจ “เฮ้ย!!”
“เรื่องผัวเมีย เฮียไม่ยุ่งนะ แต่...แต่งๆไปเถอะนายหัว คุณหนูเนี่ยลักษณะดีเหมาะจะเป็นแม่พันธุ์”
เขมมิกตกใจ “ว้าย!”
เฮียป๋อรีบออกไป พิแสงเซ็ง
“ยัยผีกระเป๋าลาก ! ลากตัวเองกลับมาป่วนฉันทำไม เห็นมั้ยว่าฉันเสียหายเพราะคำพูดห่ามๆไม่ได้คิดของเธอ”
“ฉันสิเสียหายกว่า! ถูกคุณใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำให้ต้องกลับฟาร์มเอง ไร้คุณธรรม”
“จะเอาไง” พิแสงถาม
“เอาฉัน....” เขมมิกบอก
“พูดดีๆ”
“ฟังให้จบก่อนสิ...เอาฉันกลับไปด้วย ไม่งั้น ไม่จบ!”
“จะทำไม”
“ทำตัวเป็นเมียที่คุณไม่รับผิดชอบต่อไปน่ะสิ คุณไปไหน ฉันจะตามไปเกาะแข้งเกาะขา ร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจที่ถูกคุณทิ้ง ฉันจะ....”
พิแสงตัดบท “กลับ!”
พิแสงเดินฉุนเฉียวและปวดหัวออกไป เขมมิกยิ้มพอใจมาก

วาสินีคุยโทรศัพท์อยู่กับเฮียป๋อ
“ได้ค่ะ น้ำหวานจะแจ้งนายหัวตามนี้นะคะเฮียป๋อ..คะ? เมียนายหัวเหรอคะ!”
วาสินีอึ้งฟังแล้วก็ยิ้มสู้
“คงมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆค่ะ นายหัวยังไม่มีเมีย หรือถ้าจะมี น้ำหวานเป็นคนแรกค่ะที่ต้องรู้ แค่นี้นะคะ” วาสินีวางสายแล้วกรี๊ดลั่นอย่างไม่พอใจ “ยัยเขมมิก!”
อนงค์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาถาม
“น้ำหวาน เกิดอะไรขึ้นลูก เป็นอะไร!!”
“ยัยเขมมิก มันไปเที่ยวโพนพะนาว่ามันเป็นเมียนายหัวอ่ะ แม่!!”
“หา?!” อนงค์ตกใจ
“มันตามนายหัวไปหาดใหญ่ได้ไง โอ๊ย!! แผนสูงนัก หนูเกลียดมัน”
“แกจะปล่อยให้มันไล่งับขาอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วนะ น้ำหวาน”
วาสินีตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเผด็จศึกพิแสง

พิสินีย์เข้ามาหาพิสุทธิ์

“เรียกสินีย์มา มีอะไรหรือเปล่าคะคุณพ่อ”
“ตกลงกับตาพีทได้หรือยัง ว่าจะไปฮันนีมูนกันที่ไหน” พิสุทธิ์ถาม
พิสินีย์หน้าหมองลง แต่พยายามยิ้มกลบเกลื่อน “พีทขอไปหาดใหญ่ก่อนค่ะ เขาจะไปคุยกับเอเจนซี่ทัวร์ที่นั่น กลับมาแล้วค่อยคิด”
“แล้วเราล่ะ คิดยังไง”
“สินีย์ก็แล้วแต่พีทค่ะ”
“งั้นพ่อคิดออกแล้ว”
“คิดอะไรคะ”
“ไปทำงานไปเที่ยวในคราวเดียวกันซะเลย ดีมั้ย สถานที่ไม่สำคัญเท่ากับเวลาที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน”
“อยู่ด้วยกัน ที่ไหนล่ะคะ”
“รีสอร์ทตากนธีไง เรายังไม่เคยไป ได้ข่าวว่าสวยมาก”
พิสินีย์อ้ำอึ้ง พิสุทธิ์รีบพูดต่อ “บอกตรงๆพ่ออยากมีหลานเร็วๆ ครอบครัวเราจะได้สมบูรณ์ พอมีเจ้าตัวเล็ก แม่เราก็จะได้เลิกฟุ้งซ่านไปวุ่นวายกับชีวิตตาใหญ่ เพราะต้องคอยช่วยเลี้ยงหลาน”
แสงสุดาเปิดประตูเข้ามา
“พูดถึงฉันอยู่หรือเปล่าคะ คุณ”
“แหม้!!!! ตายยากจริงๆ” พิสุทธิ์ว่า
“คุณพิสุทธิ์!!!”
“ผมกำลังคิดถึง ไม่ได้แช่งจ๊ะ นั่งก่อนนะ พอดีมีเรื่องอยากจะแจ้งให้ทราบ”
แสงสุดานั่งหน้าง้ำ พิสินีย์รู้สึกเป็นกังวลเพราะไม่แน่ใจว่าพิทยาจะเห็นด้วย
“เรื่องอะไร ว่ามา” แสงสุดาถาม
“ให้ยัยสินีย์กับตาพีทไปฮันนีมูนที่รีสอร์ทของกนธีที่พัทลุงดีมั้ย เราก็ไปด้วย ไปกันทั้งบ้าน จะได้ไปเยี่ยมตาใหญ่ในคราวเดียวกัน”
แสงสุดาตกใจ “ฮ้า!”
พิสินีย์กับพิสุทธิ์สะดุ้งตกใจไปด้วย
“คุณแม่ดูตกใจมากเลยนะคะ”
แสงสุดาเก็บอาการที่ร้อนระอุไว้ข้างในทันที

พิแสงขับรถโดยมีเขมมิกนั่งยิ้มมองทิวทัศน์สองข้างทางอย่างสบายใจ
“สวยจังเนอะ” เขมมิกบอก
พิแสงลอบมองใบหน้าของเขมมิกก็เห็นสีหน้าและแววตาของเขมมิกที่กำลังชื่นชมธรรมชาติ พิแสงเผลอมองอึ้งๆ เพราะประทับใจอย่างไม่รู้ตัว
เขมมิกหันมองไปข้างหน้าจนเห็นว่ารถกำลังกินเลน “ว้าย!!! คุณพิแสง!”
พิแสงหันมามองถนนแล้วรีบหักพวงมาลัยกลับ
“ขับรถยังไง ไม่รู้จักดูทาง จะปลอดภัยมั้ยเนี่ย หลับในหรือเปล่า เมื่อคืนมัวทำอะไรอยู่ ถึงไม่ได้หลับไม่ได้นอน”
พิแสงขัด “หยุดพูดทีได้มั้ย ประสาทจะกิน”
“ไม่หยุด ฉันจะพูด คุณจะได้ไม่ง่วง เพราะฉันเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง”
“ไม่หยุดเหรอ”
“เออสิ!”
พิแสงเอามือไปปิดปากเขมมิก
เขมมิกพยายามจะแกะมือพิแสงออก “เอามือออกไป แหวะ เค็ม!!”
“เงียบๆ ฉันต้องการสมาธิ”
“เอามือออกไป!”
รถของพิแสงแล่นเป๋ไปเป๋มา

รถทัวร์หาดใหญ่ - พัทลุงแล่นมาตามถนน เนตรนิภาและกนธียืนเบียดกันเพราะรถโดยสารแน่นเอี๊ยด
“ยืนห่างๆหน่อยสิ!” เนตรนิภาว่า
“มีตาหรือเปล่า เห็นมั้ยเนี่ยว่าคนมันแน่น” กนธีบอก
“โอย อึดอัด”
“อึดอัดคนเดียวหรือไง ผมก็อึดอัด”
“รู้งี้ ตามยัยเขมกลับไปกับคุณพิแสงก็ดี ถ้ารู้ว่าจะต้องมาขึ้นรถคันเดียวกับนาย”
“รู้งี้ กลับกับพิแสงก็ดี ถ้ารู้ว่าคุณเขมกลับด้วย...”
“แล้วทำไมไม่กลับ”
“ฉันตั้งใจจะกลับกับรถตู้ของบริษัททัวร์ แต่เค้าติดงานด่วนกะทันหัน เลยต้องกลับเอง”
“ซวย!” เนตรนิภาสรุป
“ซวยกว่า!” กนธีไม่ยอมแพ้
เนตรนิภาจ้องคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อกนธี กนธีก็มองอย่างไม่ลดราวาศอก คนเบียดเนตรนิภาทำให้เนตรนิภาเซไปชนกนธีและยิ่งเบียดกันแนบแน่น
“โอ๊ย!”
เนตรนิภาแอบหวั่นไหวเมื่อต้องอยู่ใกล้กนธี เธอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นกนธีมองลงมาสบตาเธออึ้งๆ หัวใจของกนธีเต้นโครมครามเพราะรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมากะทันหัน

รถของพิแสงยังแล่นส่ายไปส่ายมาเหมือนงู เขมมิกยังพยายามจะแกะมือของพิแสงออก พิแสงบังคับรถด้วยมือเดียวทำให้ไม่ถนัดนัก
“จะเงียบได้หรือยัง ไม่เงียบ รถคว่ำนะเอาสิ!” พิแสงว่า
“ก็ได้” เขมมิกหยุดร้องโวยวาย พิแสงค่อยๆลดมือลง
เขมมิกพูดอีก “อี๋.....เค็มปี๋เลย มือก็ด้าน สาก...”
พิแสงรำคาญเต็มทีจึงหักรถหลบข้างทางอย่างเร็ว
“ว้าย!! จะจอดทำไม!”

รถของพิแสงลงจอดที่ข้างทาง

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 5 (ต่อ)

พิแสงลงจากรถ แล้วอ้อมไปลากเขมมิกลงมา แต่เขมมิกไม่ยอมลงมาง่ายๆ เธอเกี่ยวหนึบรถเอาไว้สุดฤทธิ์
“ลงมา!”
“ไม่ลง!”
“บอกให้ลงมา!”
“ไม่ลง!”
พิแสงเห็นท่าทางของเขมมิกแล้วอดขำไม่ได้
“ขำอะไร” เขมมิกถาม
“ดูตัวเองสิ!”
เขมมิกมองสำรวจตัวเองก็เห็นทั้งมือและขาเกาะเกี่ยวรถไว้เหมือนลิงเกาะต้นไม้
“น่ารักเนอะ!” เขมมิกบอก
“มองโลกได้บิดเบี้ยวมาก ฉันบอกให้ลงมา!”
“จะให้ลงไปทำไม เดี๋ยวคุณก็ทิ้งฉัน ให้ฉันเดินกลับเอง รู้ทันหรอก”
เขมมิกกลับไปนั่งเกาะเข็มขัดนิรภัยแน่น ไม่ยอมปล่อย พิแสงอ่อนใจ

เนตรนิภายังซบอยู่กับอกของกนธี เนตรนิภาดึงตัวเองออกห่างกนธีแต่ไปเจอรักแร้ของผู้ชายข้างๆซึ่งเหม็นมาก เนตรนิภาหน้าเบ้และต้องหันหน้ามาซบกับอกกนธีเหมือนเดิม
“หันกลับมาทำไม” กนธีถาม
“ณ จุดๆนี้ ขออยู่ตรงนี้แป๊บนะ คือ...ข้างๆเค้าแรงมากอ่ะ”
“อื้อหือ...จริงด้วย...โอเค หันมาทางนี้ก็ได้!”
กนธียินยอมแบบเขินๆ เนตรนิภาพยายามสำรวมอาการตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้
“นี่...ถามหน่อย เธอบอกว่ารู้ทันฉัน รู้อะไร” กนธีถาม
“ตอนไหน ลืมไปแล้ว”
“สมองปลาทองจริงๆ ก็ตอนที่พิแสงมันโวยคุณเขมที่หาดใหญ่ไง”
“รู้ทัน ก็แปลว่ารู้ทัน...ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่”
“ฉันถอดใจจากคุณเขมแล้ว ที่เหลืออยู่คือความสัมพันธ์อันดี”
“อยากจะหัวเราะให้รถระเบิด! คนเจ้าชู้อย่างนาย ไม่มีทางยอมถอดใจง่ายๆหรอก”
“ฉันถอดใจจริงๆนะ”
เนตรนิภาอึ้งและเหลือบมองหน้ากนธีก็เห็นแววตาเศร้าสร้อยและจริงใจมาก
“เหลือเพียงความเป็นเพื่อนก็ยังดี...หรือเธอคิดว่าแม้แต่ความเป็นเพื่อน คุณเขมก็ให้ฉันไม่ได้ ฉันมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
เนตรนิภาอึ้งเพราะตอบไม่ถูกและเริ่มเห็นใจกนธีขึ้นมาเหมือนกัน

เขมมิกนั่งนิ่งอยู่ในรถ พิแสงยืนมองเงียบๆ โดยปล่อยให้ความเงียบทำงานสักพัก
“เงียบได้แล้วใช่มั้ย” พิแสงถาม
“ก็ถ้าไม่ขับรถดีๆ ฉันก็จะพูดอีก คุณเป็นคนผิดนะ ที่ขับรถอันตราย”
“โอเค...ฉันผิด”
“ขอโทษด้วยที่ทำให้ฉันตกใจ”
“ได้คืบจะเอาศอก”
“ไม่ได้เอาศอก จะเอาคำขอโทษ”
“ก็ได้...ขอโทษ”
เขมมิกยิ้มหวาน “ขอบคุณค่ะ ถ้าคุณทำตัวน่ารัก ฉันก็จะน่ารักกับคุณ”
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่ผิดนะ”
“ฉันผิดเรื่องอะไร”
“โกหกฉันเรื่องที่มาหาดใหญ่”
เขมมิกอึ้ง
“ขอโทษฉันด้วย”
เขมมิกยอม “ขอโทษ....”
“แต่งานนี้ต้องมีบทลงโทษ”
เขมมิกสะดุ้ง “เฮ้ย”

เขมมิกยืนอยู่หน้าคอกทีเด็ด ทีเด็ดยืนจ้องหน้าเขมมิกอยู่ ส่วนปริญญ์ยืนอยู่ข้างๆ
“ให้เป็นพี่เลี้ยงหมูยักษ์ตัวนี้คนเดียวเนี่ยนะ!!” เขมมิกถาม
ทีเด็ดร้องดังคร่อก
“มันชื่อทีเด็ด เรียกให้ถูก” พิแสงบอก
“ทีเด็ดก็ทีเด็ด”
ทีเด็ดร้องรับดังคร่อก
“คุณเขมไม่เคยเลี้ยงหมู ผมว่า...เป็นงานที่เกินกำลังไปสักหน่อยนะครับคุณพิแสง” ปริญญ์บอก
“น่ารักที่สุดอ่ะ ขอบคุณค่ะหมอปิ๊นที่เข้าใจฉัน”
“แสดงว่า....ไม่สู้” พิแสงว่า
“นี่คุณพิแสง หมอปิ๊นก็เพิ่งพูดอยู่หยกๆว่า ฉันไม่เคยเลี้ยงหมู ให้ฉันได้ลองฝึกดูก่อนไม่ได้หรือไง หรือไม่ก็มีคนช่วยบ้างก็ยังดี”
“ไม่ดี! เธอต้องทำคนเดียว ทั้งให้ข้าวให้น้ำ อาบน้ำ ล้างคอก พาไปเดินออกกำลัง ที่สำคัญ อย่าให้มันหลุดออกมาจากคอก เพ่นพ่านไปอยู่กับหมูตัวเมีย”
“เฮ้ยย เยอะอ่ะ!”
“ทำไม่ได้ล่ะสิ”
เขมมิกฮึด “ทำไมจะไม่ได้ ชิ...ง่ายจะตายไป หมูกับคนมันจะต่างกันแค่ไหนเชี้ยว!”
“ต่างนะครับคุณเขม” ปริญญ์บอก
“ต่างยังไงคะ หมอปิ๊น”
วาสินีเดินเข้ามา
“กลับมากันแล้วเหรอคะ นายหัว คุณเขม” วาสินีปรายตามองเขมมิกอย่างไม่พอใจ
“อุ๊ยตาย! มองฉันเหมือน...ไม่พอใจนะคะ คุณน้ำหวาน มีอะไรอยากจะเคลียร์หรือเปล่าคะ” เขมมิกถาม

"วาสินีรีบยิ้มกลบเกลื่อน “น้ำหวานว่าคุณเขมคิดไปเองนะคะ อย่างน้ำหวานเหรอคะจะกล้ามีอะไรไม่พอใจคุณเขม”
 

“วัวสันหลังหวะก็อย่างนี้แหละ กลัวไปหมดว่าจะมีคนหาเรื่อง”
เขมมิกไม่พอใจพิแสงจึงจะเถียง พิแสงตัดบทหันไปคุยกับวาสินีด้วยเสียงอ่อนโยน
“มีอะไร น้ำหวาน”
“เชิญที่ออฟฟิศดีกว่าค่ะ มีเอกสารรอให้นายหัวพิจารณา”
“จ๊ะ”
พิแสงเดินไปกับวาสินีและคุยกันใกล้ชิด เขมมิกมองอย่างไม่พอใจ
“สิ่งที่แตกต่างระหว่างหมูกับคน...ก็คือหมูไม่เคยให้ความหวังเราแล้วก็ลงมือทำลายความหวังนั้นในเวลาอันรวดเร็ว....เหมือนบัวไม่เหลือใย” ปริญญ์บอก
เขมมิกเอะใจ “หมอ...ชอบยัยน้ำหวานเหรอ”
ปริญญ์ตอบเลี่ยงๆ “จริงๆแล้วมันก็แค่ต่างในรายละเอียด เลี้ยงหมูไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก ถ้าเราใส่ใจเค้า เหมือนกับการเลี้ยงคนนั่นแหละครับ ไว้ผมจะแอบๆคุณพิแสงมาช่วยคุณเขมนะครับ สู้ๆ!”
ปริญญ์รีบออกไป เขมมิกประมวลผลในสมองทันที
“แน่ๆ หมอปิ๊นชอบยัยแอ๊ป แต่ยัยแอ๊ปไม่เล่นด้วย...แน่ แน่!!! หึหึหึ”
เขมมิกหัวเราะกับแผนการร้ายของตัวเองแล้วก็หันไปหาทีเด็ด
“ทีนี้ก็ว่าด้วยเรื่องของเรา....”
คอกว่างเปล่าเพราะทีเด็ดหายไปแล้ว
“ทีเด็ด!! แกหายตัวได้ด้วยเหรอ! หา!!?”
เขมมิกมองไปรอบๆ ก็เห็นประตูคอกเปิดทิ้งอ้าไว้อยู่
“ซวยแล้วว!!”

รถบัสจอดหน้าทางเข้าฟาร์มเพื่อนเกษตร เนตรนิภาลงจากรถ กนธีเดินลงตามมา โดยที่เนตรนิภาไม่รู้ รถเคลื่อนออกไป เนตรนิภาเมื่อยพอหันมาเห็นกนธีก็ตกใจ
“เฮ้ย...ตามลงมาทำไม”
“ฉันไม่ได้ตาม แต่จะมาส่ง”
“ประสาทกลับหรือเปล่าเนี่ย...อยู่ดีๆก็มาทำดีด้วย”
“เพื่อนไง...ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ กับคุณเขม”
เนตรนิภามองกนธีอย่างไม่ไว้ใจ
“เดินเข้าฟาร์มตั้งไกล จะเดินไปจริงๆเหรอ”
“ฉันก็โทรบอกให้คนออกมารับสิ”
“งั้นฉันรอเป็นเพื่อน”
“นี่มันเย็นแล้วนะ ฉันว่า...นายกลับๆไปซะเถอะ เดี๋ยวก็มืดกันพอดีกว่าจะถึงบ้านนาย”
“ฉันจะให้คนที่รีสอร์ทขับรถมารับที่นี่....ขอบใจนะที่เป็นห่วง”
“ไม่ได้ห่วง แค่พูดลอยๆ”
เนตรนิภาเลี่ยงไปคุยมือถือทันที กนธียิ้มอย่างซื่อใสแต่แอบมีประกายเจ้าเล่ห์โดยที่เนตรนิภาไม่เห็น

แสงสุดารอพิสุทธิ์อย่างวุ่นวายใจอยู่ในบ้าน พิสุทธิ์เดินเข้ามาเพราะเพิ่งกลับจากการทำงาน แสงสุดาเห็นปุ๊บก็ลากพิสุทธิ์ออกไปทางหนึ่งทันที
“อะไรกันคุณ จะพาผมไปไหน!”
“ตามฉันมาเถอะน่า เงียบๆ อย่าโวยวาย”

แสงสุดาเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วเหวี่ยงพิสุทธิ์เข้าไปในห้องอย่างแรง แล้วแสงสุดาก็ล็อกประตูทันที
“แหม คุณก็...เร่งขนาดนี้เลยเหรอ รอให้ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนก็ได้”
“ไม่ได้ ฉันรีบ!”
พิสุทธิ์กระชากสูทออกด้วยท่าทางซู่ซ่ามาก “ให้มันได้อย่างนี้สิ เร้าใจ เหมือนกลับไปอายุสิบสี่อีกครั้ง ตื่นเต้นที่สุด”
พิสุทธิ์จะกระโจนเข้าขย้ำแสงสุดา
แสงสุดารีบห้าม “หยุด!!!”
พิสุทธิ์หยุดทันทีจนหัวแทบทิ่ม
“คิดอะไรของคุณเนี่ย ฉันจะคุยเรื่องไปฮันนีมูนของตาพีทกับยัยสินีย์”
“อ้าว...ไม่ใช่เรื่อง...เสวนาโต๊ะกลมของเราเหรอ”
“ไม่ใช่! แก่แล้วยังคึกอีกนะ!” แสงสุดาว่า
พิสุทธิ์จ๋อยและเซ็ง

พิสินีย์ช่วยพิทยาถอดสูท
“คุณคิดว่าไงคะ พีท”
“ก็ดีนะ ไปทำงานไปเที่ยวคราวเดียวกัน...คุณจะได้ไปกับผมด้วย ดีกว่าอยู่บ้านคนเดียว ถือว่าซ้อมฮันนีมูนดีมั้ย”
“ดีใจจังค่ะ ที่คุณไม่ขัดคุณพ่อ”
“เพราะผมรู้ว่าท่านปรารถนาดีกับเราไงจ๊ะ ผมโชคดีที่สุดที่มีพ่อตาแม่ยายที่แสนดีขนาดนี้”
พิทยาโอบพิสินีย์เข้ามากอด เขาสบตากับพิสินีย์ลึกซึ้งจนพิสินีย์เคลิ้มและอ่อนไหว
“โชคดีที่สุด ที่มีภรรยาที่แสนดี แสนสวยคอยอยู่เคียงข้างและสนับสนุนเสมอ” พิทยาบอก
“เพราะฉันรักคุณนี่คะ”
“ขอบคุณนะจ๊ะ ที่รัก....”
พิทยาโอบกอดพิสินีย์เข้ามา
“คุณเป็นคนดีซะจน...บางทีผมก็คิดว่าตัวเอง...ช่างเป็นคนเลว เทียบไม่ได้แม้เสี้ยวหนึ่งของคุณเลย”

“อย่าพูดแบบนี้สิคะพีท เราเป็นเหมือนคนๆเดียวกัน ไม่มีแบ่งแยกฉันหรือว่าคุณ นะคะ”

พิทยาจุมพิตที่หน้าผากของพิสินีย์อย่างแผ่วเบาและซาบซึ้ง แล้วค่อยๆลามไปถึงส่วนอื่นๆ พิสินีย์หลับตาพริ้มปล่อยใจโอนอ่อนตามพิทยา พิทยาค่อยๆ โน้มตัวพิสินีย์ให้นอนลงไปบนเตียง

แสงสุดาตีแขนพิสุทธิ์
“ทำไมถึงได้อยากไปพัทลุงนัก หา! บอกมาเดี๋ยวนี้ ทำไมไม่ให้ลูกไปที่อื่น”
“ก็ลูกเขยเราไปทำงานที่หาดใหญ่ ผมมีเหตุผลนะ”
“เพราะตัวคุณจะได้ไปเจอนังอนงค์ กิ๊กเก่าด้วยใช่มั้ย หา!!”
“โอว คิดไปได้!!! คุณจ๋า แก่จนจะเป็นตาเป็นยายอยู่แล้ว ยังจะมาหึงเรื่องกิ๊กเรื่องกุ๊กอะไรอีก เพลีย!!! ไปอาบน้ำดีกว่า”
“อย่าเลี่ยง!!”
“ไม่ได้เลี่ยงจ๊ะ แต่หลบ”
“หลบ...จบ...ตาย!!”
“บ๊ะ...” พิสุทธิ์นั่งฟังเรียบร้อย “ว่ามาเลยจ๊ะ”
“คุณพิสุทธิ์ บ้านนี้ใครใหญ่”
“คุณสิจ๊ะ...”
“ไปยกเลิกการเดินทางเดี๋ยวนี้”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงพิศาดังเข้ามา “คุณพ่อขา คุณแม่ขา!”
แสงสุดารีบไปเปิดประตู พิศายืนยิ้มในมือถือมือถืออยู่
“ว่าไง ยัยน้องเล็ก” แสงสุดาถาม
“คุณพ่อให้ชวนคุณป้าสร้อยเพชร กับยัยวิกาไปเที่ยวพัทลุงกับพวกเราด้วยอ่ะค่ะ คุณป้ากับยัยวิกาโอเคและเคลียร์คิวกันเรียบร้อยแล้วค่ะ”
แสงสุดาหันไปเอาเรื่องพิสุทธิ์ “คุณพิสุทธิ์!!! ไม่ชวนยามหน้าหมู่บ้านไปด้วยล่ะ ฮึ!”
“ชวนมั้ย เดี๋ยวจะโทรไปเลย” พิสุทธิ์ประชด
แสงสุดาโมโห “อ๊าย!!”
แสงสุดาเดินออกไป พิสุทธิ์กับพิศาตกใจที่เห็นแสงสุดาวุ่นวายใจขนาดนี้

เขมมิกนั่งง้อทีเด็ดที่นั่งขดกลมอยู่มุมหนึ่ง
“ทีเด็ดจ๋า....กลับคอกเถอะนะ นะๆๆ อู๊ดๆๆ”
ทีเด็ดยังนิ่ง เขมมิกสุดจะทนเพราะเหนื่อยล้าเต็มที
“ทีเด็ด! ไม่ไหวแล้วนะ ถ้าไม่ยอมกลับคอก ฉันจับลงหม้อแน่ จะต้มยำหรือพะโล้ เลือกเอา”
พิแสง หลอด และเสริมแอบดูเขมมิกกับทีเด็ดอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ไอ้หยา...โมโหทีก็จะจับไอ้ทีเด็ดลงหม้อเหมือนกันเลยว่ะ” หลอดว่า
“ท่าทางนายหัวกับคุณเขมจะเกิดมาคู่กันนะครับ” เสริมบอก
“ไม้หน้าสามหรือถูกไล่ออก เลือกเอา” พิแสงถาม
“ไอ้เสริม ปากพาเดือดร้อนนะมึง เงียบไปเลย!” หลอดว่า
เสริมจ๋อย
“นายหัวจะปล่อยให้คุณเขมง้อไอ้ทีเด็ดอยู่อย่างนี้ทั้งคืนเหรอครับ” หลอดถาม
“เออ! ใครช่วย...ซวยแน่” พิแสงบอก
พิแสงเดินออกไป
“นายหัวไซใจดำจังนิ” หลอดว่า
“ไม่เคยเห็นนายหัวโหดกับใครขนาดนี้มาก่อนเลยนะพี่หลอด เอาไงดีอ่ะ สงสารคุณเขม”
“เฮ้ย อย่านะโว้ย นายหัวคาดโทษเราไว้ทีหนึ่งแล้วที่ช่วยคุณเขมโกหกตอนไปหาดใหญ่ ขืนฝ่าฝืนคำสั่งอีก เอ็งกับข้าได้ตกงานแน่”
เสริมถอนใจ หลอดเองก็สงสารแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเขมมิกที่ยังนั่งง้อหมูแบบหมดแรงอยู่
พิแสงเองไม่ได้เดินกลับแต่แอบไปซุ่มอยู่ที่อีกมุมโดยที่หลอดกับเสริมไม่เห็น เขามองมาที่เขมมิกเห็นเขมมิกก้มลงไหว้ทีเด็ด
“ทีเด็ดขา....เห็นมั้ย...ว่าไหว้แล้วนะ กลับเถอะนะ ได้โปรด”
ทีเด็ดจ้องหน้าเขมมิกนิ่ง เขมมิกนึกดีใจเพราะคิดว่าได้ผล แต่ปรากฏว่าทีเด็ดเมินใส่
“หืม..หยิ่งนักนะแก ได้ ให้มันรู้ไป ใครมันจะเด็ดกว่ากัน...แกนั่งใช่มั้ย ฉันนอน!”
เขมมิกนอนรอทีเด็ดอยู่บนพื้นโดยมองทีเด็ดแบบเย้ยหยัน
“หึ...ยัยถึกเอ๊ย..ดูซิ...จะถึกทนได้สักกี่น้ำ” พิแสงว่า
หลอดกับเสริมหันมามองหน้ากัน
“กลับเหอะว่ะ” หลอดชวน
“จะดีเหรอพี่”
“เอางี้..อีกครึ่งชั่วโมงเราค่อยมาดูแกใหม่ เห็นไม่ได้การแล้วค่อยว่ากัน”
“ก็ได้”
หลอดกับเสริมเดินออกไปทางหนึ่ง พิแสงยังคงเฝ้าดูเขมมิกต่อไป

เนตรนิภานั่งครุ่นคิดถึงท่าทีของกนธี
“นายกนธี...ถอดใจจากยัยเขมแน่แล้วจริงๆเหรอ จะเชื่อได้เหรอ” เนตรนิภาตัดใจ “ป่านนี้ทำไมเขมยังไม่กลับมาอีกนะ”
เนตรนิภาเหลือบไปเห็นหลังชมพู่ไวๆ แวบหายไปทางมุมหนึ่ง
“ชมพู่นี่...ทำไมต้องแอบ”
เนตรนิภานึกสงสัยจึงรีบตามไปทันที

เขมมิกนอนต่อไม่ไหวจึงลุกขึ้นมานั่งใช้ไม้อ่อน
“ทีเด็ด ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”
ทีเด็ดหันมาขู่คร่อกเหมือนไม่พอใจ เขมมิกลุกขึ้นยืนเพราะไม่พอใจทีเด็ด
“ขู่อะไร! ขู่ทำไมนักหนา เป็นหมูนะยะ ไม่ใช่งู ขู่อยู่ได้ แน่จริงไม่ทำเสียงฟ่อๆๆ ออกมาเลยล่ะ”
ทันใดนั้นเขมมิกก็หยุดกึกเพราะได้ยินเสียงฟ่อๆดังมาจากข้างหลัง
“เสียงอะไรอ่ะ...เสียงงูหรือเปล่า ทีเด็ด แกดูให้ฉันหน่อยสิ งูหรือเปล่า ข้างหลังฉันน่ะ!”

ทีเด็ดเมินแล้วเดินออกไป พิแสงมองไปแล้วก็ตกใจ

เขมมิกขาแข็งจนวิ่งไม่ออก “ทีเด็ด อย่าเพิ่งทิ้งฉันสิ ฉันกลัวนะ เฮ้ย”

พิแสงเดินมาหาเขมมิก
“คุณ...พิ..แสง...”
“ชู่..เบาๆ...อยู่นิ่งๆ” พิแสงบอก
“งูใช่มั้ย...งูใช่มั้ย....”
“ใช่”
“ทำไมต้องงู....งูทุกที...โอย..ไม่ไหวแล้ว...”
พิแสงเข้ามาใกล้เขมมิกจนประชิดตัว “บอกให้อยู่นิ่งๆ เงียบๆ ชู่...”
เขมมิกปิดปากตัวเองแล้วยืนนิ่งตัวแข็งอยู่กับอกพิแสง เธอน้ำตาซึมด้วยความกลัว พิแสงเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงโอบเขมมิกเข้ามากอด พิแสงจ้องไปที่งูซึ่งอยู่ข้างหลังเขมมิก งูจ้องมาพร้อมแผ่แม่เบี้ย ท่ามกลางความเงียบ
พิแสงโอบเขมมิกเอาไว้แล้วค่อยๆหมุนตัวให้ตัวเองเป็นที่กำบังเขมมิกจากงู เขมมิกใช้ร่างของพิแสงเป็นที่พึ่ง พิแสงพยายามปกป้องเขมมิกไว้ในอ้อมอก แล้วงูก็ค่อยๆเลื้อยหายไป พิแสงโล่งใจลง เขากระซิบข้างหูเขมมิก
“มันไปแล้ว”
เขมมิกโล่งใจแต่แล้วก็เป็นลมล้มลงในอ้อมแขนของพิแสง
พิแสงตกใจ “เขมมิก เขมมิก....”
พิแสงร้อนใจเพราะเป็นห่วงเขมมิกและกังวลเรื่องทีเด็ดด้วย

ชมพู่มาซุ่มหลบคุยมือถือกับแสงสุดา
“อะไรนะคะน้องไบรท์....จะแห่กันมาเยี่ยมนายหัวที่ฟาร์มเหรอคะ”
“เออสิยะ...ยุ่งแล้วมั้ยละ ถ้าทุกคนรู้ว่า” แสงสุดามองไปรอบๆ ก็เห็นว่าปลอดคน “ถ้าทุกคนรู้ว่ายัยเขมมิกอยู่ที่นั่น แผนการฉันพังแน่”
“แล้วจะให้ทำยังไงดีล่ะคะ”
“บอกให้ยัยนั่นหลบไปอยู่ที่อื่น”
“จะให้คุณเขมไปหลบที่ไหนล่ะคะ หลุมหลบภัยก็ไม่มี”
เนตรนิภาโผล่เข้ามา
“คุยกับใครอยู่เหรอ...ชมพู่”
“น้องไบรท์ค่ะ” ชมพู่หันไปเห็นเนตรนิภาก็ตกใจ “ไอ้หยา!!! คุณเนตร”
ชมพู่รีบกดปิดมือถือ แสงสุดาตกใจ
“กดสายฉันทิ้งได้ไง ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย..พี่ยุท พี่ยุท!!”
แสงสุดาถอนใจแล้วหันไปเจอพิสุทธิ์ยืนงอนอยู่
“คุณคุยกับผู้ชายคนอื่นลับหลังผมเหรอ คุณแสงสุดา”
“ไม่ใช่นะ คือ เอ่อ...”
“เรียกพี่งั้นงี้ เสียงอ่อนเสียงหวาน....ผมเสียใจ”
พิสุทธิ์เดินหนีไป แสงสุดากลุ้มใจ
“เฮ้อ...วุ่นวาย วุ่นวาย โอย......”

พิแสงวางเขมมิกลงแล้วมองอย่างกลุ้มใจ
“บทจะถึกก็ถึก บทจะของหมด ก็หมด เฮ้อ...ยัยบ๊องเอ๊ย..ชมพู่ ชมพู่!!”
ไม่มีเสียงขานรับ พิแสงสงสัย “ไปไหนของเขานะ”
พิแสงหันรีหันขวางก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านเพื่อช่วยเหลือเขมมิกเอง

ชมพู่เดินหนีเนตรนิภามา
“ไม่มีอะไรจริงๆค่ะ คุณเนตรขา ชมพู่แค่เม้าคุณเขมกับเพื่อนเฉยๆ”
เนตรนิภาจับตัวชมพู่ได้ก็บังคับให้หันมา “มองตาฉัน”
“ชมพู่พูดจริงๆ ไม่ได้โกหก”
“คนโกหกจะไม่ยอมสบตา”
ชมพู่มองตาเนตรนิภาเขม็ง “บริสุทธิ์ใจมาก พูดจริงที่สุด เห็นมั้ยคะ”
“โกหกชัดๆ”
“โอย”
“โกหกตกนรก ตกกระทะทองแดง ถูกหอกทิ่มแทงทุกวันๆ”
“พยายม...ว่าไง ฮ่ะๆๆๆๆๆ...พยายม..ว่าไง...ฮ่ะๆๆๆๆๆ โอ๊ย!!! กลัวแล้วค่ะ ไม่ต้องขู่”
“ก็พูดความจริงมาสิ จะได้ไม่ต้องเจอพยายม หรืออยากเจอ”
“เฮ้อ....” ชมพู่จนตรอกแล้วก็เริ่มลังเล
เนตรนิภารอฟังความจริงจากชมพู่

วาสินีในชุดสวยหวานปลดง่ายเดินยิ้มออกมาหน้าบ้าน อนงค์เดินตามมาส่ง
“ฉีดน้ำหอมแล้วนะ” อนงค์ถาม
“อวยพรหนูหน่อยสิ” วาสิณี
“ขอให้ได้ ขอให้โดนนะลูก”
“หืม..แม่ก็...ยังโดนไม่ได้”
“ทำไมล่ะแก จะรออะไร รวบหัวรวบหางไปเลย แม่ใจร้อนจะแย่”
“อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็ไม่มีค่าสิจ๊ะ ค่อยๆแหย่ให้อยากแล้วจากไปก็พอ”
“แน่ใจเหรอ ว่าจะทันกิน”
“นายหัวเอ็นดูหนู...ไปไหนไม่รอดหรอก หนูมั่นใจ”
วาสินีเดินออกไป อนงค์ยืนลุ้น
“ต๊าย มีลูกฉลาด อภิชาตบุตรจริงๆ”

พิแสงบิดผ้าขนหนูชุบน้ำเพื่อจะเช็ดตัวให้เขมมิก แล้วก็ต้องชะงัก เพราะเขมมิกขยับตัวแล้วเพ้อออกมา
“แม่....แม่ต้องหายนะ...เขมไม่ยอมให้แม่ตาย”

พิแสงอึ้ง “หึ...มีโหมดคิดถึงแม่ด้วยเหรอ...ผู้หญิงร้ายๆอย่างเธอเนี่ยนะ”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 1
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 1
บรรยากาศภายในห้องนั้นดูร้อนเร่าขึ้นมาทันตา ด้วยรองเท้าส้นสูงสีสดดีไซน์เปรี้ยวเฉี่ยวของสาวนางหนึ่ง ซึ่งสวยเด่นรับกับเรียวขาเนียนงามที่พาดไขว่ห้างบนโซฟายาวเดย์เบดกลางห้อง หญิงสาวหน้าตาสวยเฉี่ยวสไตล์ลูกครึ่ง รูปร่างระหงคนนี้เธอคือ เขมมิก และกำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ขณะนั่งไขว่ห้างอยู่ที่มุมซ้ายบนโซฟายาวหรูหรา “รักแท้น่ะเหรอ...บอกหน่อยเหอะ จะหาได้จากใครบนโลกใบนี้” เขมมิกหันไปมองซ้ายมือของตัวเองด้วยท่าทีเยาะหยัน “เกิดมาจนจะยี่สิบห้า...ยังไม่เคยเจอจากผู้ชายสักคน” พิแสง ชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งอยู่ที่มุมขวาของโซฟายาว เขามองผู้หญิงตรงด้วยสีหน้าเงียบขรึม “เขมมิก...หญิงสาวที่ไม่เชื่อในความรัก และมักล้อเล่นกับความรักด้วยกลเกมแผนร้ายที่เธอวางไว้…แต่เมื่อเธอพบกับรักที่ตามหามานาน แผนการไหนๆ ก็ใช้ไม่ได้ มีเพียงความจริงใจของเธอเท่านั้นที่จะพิสูจน์รักแท้” เขมมิก (ภีรนีย์ คงไทย) สาวน้อยร่างอวบที่ทุกคนต่างเรียกเธอว่า ปุ๊กลุ๊ก รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในอ้อมอกของ พี่เสือ ฉายาที่ได้มาเพราะความเจ้าชู้ ความเมามายที่ต่างฝ่ายต่างดื่มหนักในงานปาร์ตี้สังสรรค์ของนักเรียนไทยในฮัมบูร์ก เยอรมัน สภาพของทั้งคู่สามารถบอกได้ว่าเมื่อคืนหนุ่มสาวคู่นี้ผ่านอะไรกันมาบ้าง แต่แทนที่จะได้รับคำพูดที่ทำให้หายตระหนกจากฝ่ายชาย กลับได้ยินคำพูดจากปากเขาว่าเรื่องที่เกิดขึ้น “we just wanna have fun” !
กำลังโหลดความคิดเห็น