แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 4
ทางด้านชมพู่ยังเคาะประตูห้องเขมมิก แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
“คุณเขม! ได้ยินหรือเปล่าคะ”
“นอกจากนอนตื่นสายแล้วยังขี้เซา” อนงค์ว่า
“คุณเขม!!”
“หรือไม่ก็หูตึง”
“คุณเขม!!!”
“หรือไม่ก็...”
ชมพู่ทนไม่ไหวจึงหันมาตะคอกอนงค์ “ป้า!!”
อนงค์ตกใจ “ว้าย!!! นังชมพู่! จะตะคอกทำไม!”
“รำคาญ!”
“นัง....”
เสียงวาศิณีดังขึ้น “แม่!!”
อนงค์และชมพู่สะดุ้ง วาศิณีวิ่งเข้ามาแบบหน้าเสียและหอบเหนื่อย
“แม่!”
“จะเรียกทำไมเสียงดัง!!”
“ใช่! รำคาญ!” ชมพู่ว่า
“ลูกฉัน! ฉันด่าได้คนเดียว!”
“ค่ะ”
“มีอะไร น้ำหวาน ร้องซะลั่น ผีหลอกหรือไง” อนงค์ถาม
“ไม่ใช่ผี แต่เป็นผู้หญิงคนนั้น....เขมมิก..หลานคุณธรรมศักดิ์อ่ะแม่!!! ตรงโน้นอ่ะแม่!”
“อ้าว..แล้วในนี้อ่ะ” ชมพู่งง
ชมพู่เปิดประตูห้องเข้าไปก็ไม่เห็นเขมมิก เตียงนอนถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“อุ๊ย...แม่สอนมาดี ไม่เหมือนบางคน” ชมพู่แขวะ
ชมพู่หันมาอีกทีก็ไม่เห็นทั้งอนงค์และวาสิณีแล้ว
“อ้าว....”
พิแสงยังมองเขมมิกแบบอึ้งค้างอยู่ เขมมิกยิ้มสุขสมใจเพราะเข้าใจว่าพิแสงตกหลุมเสน่ห์เข้าให้แล้ว
เขมมิกพูดเสียงหวาน “แหม...ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยเหรอคะ”
“ใช่....”
“อยากรู้จัง...ทำไมน้า”
พิแสงใส่เป็นชุด “จะมาฝึกงานหรือมาเดินแบบ แต่งตัวไม่รู้จักกาละเทศะ!”
เขมมิกจ๋อย “อ้าว...”
“ทำไม รับไม่ได้เรอะ คิดว่าผู้ชายทุกคนที่เห็นเธอแต่งตัวเว่อร์อย่างนี้แล้วต้องหลงเสน่ห์เธอทุกคนหรือไง คิดผิดแล้ว เขมมิก มานี่เลย!!”
พิแสงลากตัวเขมมิกไปทางหนึ่ง
“จะพาฉันไปไหน!”
“เดี๋ยวก็รู้!”
อนงค์และวาศิณีเดินเข้ามาเห็นพิแสงกำลังจูงมือเขมมิกไป
“ว้าย แป๊บเดียวเอง จูงมือกันไปแล้วอ่ะ” วาศิณีไม่พอใจ
“แกแน่ใจนะ ว่าเป็นคนๆเดียวกันกับแฟนเก่าแฟนคุณสิณี” อนงค์ถาม
“ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ฉันว่า...ฉันได้กลิ่นตุๆ”
“ก็กลิ่นขี้หมูไงแม่”
“ฉันหมายถึงจากผู้หญิงคนนั้น มันดูบังเอิญเกินไปหรือเปล่า”
อนงค์ไม่ไว้ใจการมาถึงของเขมมิก ในขณะที่วาศิณีคิดไม่ทันแม่
พิแสงปิดประตูห้องทำงานแล้วเดินมาคาดคั้นเขมมิก เขมมิกจงใจตวัดขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแบบจงใจโชว์ขาอ่อน
“เอาขาลง!”
เขมมิกสะดุ้งแล้วเอาขาลง “พูดดีๆ อ่อนหวานๆ เป็นกับเขามั้ยเนี่ย”
“ไม่เป็น! เธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่”
“ฉันก็มาฝึกงานไง! ลุงฉันไม่ได้บอกคุณเหรอ”
“บอก”
“แต่จำไม่ได้ อะไรกัน ยังไม่แก่เลย”
“ฉันไม่เชื่อต่างหาก อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนี้”
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มีเหตุผล”
“เหตุผลอะไรของเธอ”
“เหตุผลที่ฉันมาฝึกงานที่ฟาร์มหมู....เพราะฉันถูกไล่ออกจากสายการบินของแม่คุณ”
“แล้วไง”
“ฉันตกงาน ลุงธรรมศักดิ์มาเห็นฉันนั่งร้องไห้ เลยเข้ามาปลอบ”
“แล้วไง”
“คุยไปคุยมา สืบสาวราวเรื่อง ทำให้รู้ว่าเราเป็นญาติห่างๆกัน”
“แล้วไง”
“ความเป็นญาติทำให้ต้องยื่นมือมาช่วยเหลือ”
“ทำไมต้องเป็นฟาร์มหมู มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตของเธอเลย ทำไมไม่ไปหางานอื่น”
“ฉันถูกแม่คุณแทงบัญชีดำ จนไม่มีใครรับเข้าทำงาน และฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้..ว่า...” เขมมิกพยายามนึกหาเหตุผล
“ว่าอะไร!!”
เขมมิกโกหกอย่างพร่างพรู “เพราะลุงฉันรักฉันต้องการช่วยเหลือฉัน และฉันเองก็มีคนที่ฉันรัก เค้าเป็นคู่หมั้นของฉัน...และเค้าก็เป็นเจ้าของฟาร์มหมูที่เดนมาร์ก อนาคตฉันต้องไปช่วยงานของเค้า ฉันควรจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เห็นมั้ย ว่าทุกอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!” เขมมิกแอบเหนื่อย
“คู่หมั้นเหรอ?”
“ใช่! คู่หมั้น”
“ไหนแหวนหมั้น” พิแสงมองนิ้วมือที่เปลือยเปล่าของเขมมิก
“แหวนหมั้นของเรา ไม่มีใครมองเห็นหรอก นอกจากหัวใจของเราสองคน”
“หมั้นกันตอนไหน”
“อาทิตย์ที่แล้ว สดๆร้อนๆ ข้าวใหม่ปลามัน”
“ชื่ออะไร” พิแสงถาม
“เขมมิกไง”
“คู่หมั้นเธอ!”
เขมมิกพูดๆไปงั้นๆ เท่าที่จะนึกได้ “ลุทซ์!!”
พิแสงอึ้ง เขมมิกแอบเซ็งที่พิแสงถามอยู่ได้
เนตรนิภาที่อยู่ในชุดไปรเวทเดินจ้ำลากกระเป๋าพร้อมโทรมือถือยิกๆ มาตามทางผู้โดยสารขาออก
“ยัยเขม ไม่รับสายฉันเรอะ หนอย!!!! หนีคดี ไม่กล้าเผชิญความจริง!!”
ลุทซ์ แฟมิลี่รุ่นพี่ของเขมมิกยืนถือกระเป๋ายืนเก้ๆกังๆอยู่ เนตรนิภาเห็นก็จำได้
“ลุทซ์!!! It’s you!!!”
ลุทซ์หันมาเห็นเนตรนิภาก็ดีใจจึงตรงเข้าไปกอด “เฮ้!!! เน็ต!”
เนตรนิภาสวมกอดทักทายลุทซ์ด้วยความดีใจ
“Glad to see you นะ...Wow!!! มาที่นี่ได้ยังไง จะไปไหน”
“ผมมาทำคดีให้บริษัทที่อเมริกา...ต้องมาคุยกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทลูกที่หาดใหญ่....แล้วเน็ตละ มาทำอะไรที่นี่”
“มาหาเขม”
“Oh!, เขม เขมสบายดีมั้ย”
“เขมเหรอ..” เนตรนิภาหน้าเศร้า
“เน็ต...มีอะไร เขมเป็นอะไรหรือเปล่า”
เนตรนิภามองหน้าลุทซ์อย่างหนักใจที่จะเล่าให้ฟัง
พิแสงเดินออกมา เขมมิกเร่งเดินตาม
“เดี๋ยวก่อนสิ” เขมมิกเรียก
“มีอะไรอีก” พิแสงถาม
“ฉันเริ่มฝึกงานได้หรือยังล่ะ”
“ไม่ให้ฝึก”
“เอ๊ะ....”
“เพราะฉันไม่เชื่อว่าเธอตั้งใจจะมาทำงานในฟาร์มหมู เพื่อไปช่วยงานว่าที่สามี”
“แล้วฉันจะอยากมาที่ฟาร์มหมูไกลปืนเที่ยงนี่ทำไม”
“ฉันไม่รู้ ตอบฉันสิ”
“เคยมีความรักมั้ย” เขมมิกถาม
พิแสงอึ้ง
“ไม่เคยมีน่ะสิ เลยไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าเมื่อคนเรามีความรัก ย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข ลอยด์เค้าคงดีใจและมีความสุขที่เห็นฉันยอมทิ้งวงการนางฟ้าเพื่อไปใช้ชีวิตกับหมูอยู่กับเค้า”
“เมื่อกี้เธอเรียกคู่หมั้นเธอว่าอะไรนะ”
“...หลุยส์” เขมมิกตอบ
“ตกลงชื่ออะไรกันแน่ ลอยด์ หรือหลุยส์ หรือลุทซ์”
“อ๋อ....ก็ทั้งสามชื่อนั่นแหละ เขามีหลายชื่อ แล้วแต่จะเรียก เรียกอะไรก็ได้”
พิแสงมองหน้าเขมมิกเข้ม เขมมิกสู้สายตเพื่อแสดงความมุ่งมั่น พิแสงมองเขมมิกหัวจรดเท้า
“เธอแน่ใจนะ ว่าจะสู้งานหนักได้ แค่แต่งตัวมาทำงานแบบนี้ก็ไม่ผ่านแล้ว”
“ยิ่งกว่าแน่ใจอีก ความรักทำให้เรามีพลังอย่างชนิดคาดไม่ถึง คอยดูสิ”
“ฉันไม่เชื่อ”
“แล้วฉันต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อ”
“หึๆๆ ผู้หญิงอย่างเธอทำได้ก็แค่อ่อยผู้ชายกับทำให้ชีวิตคนอื่นปั่นป่วน”
“ฉันมีดีมากกว่านั้น”
“พิสูจน์สิ”
พิแสงเดินหนีไป
เขมมิกเจ็บใจ “วะ!” แล้วเธอก็คิดขึ้นได้ “อาจจะไม่พอใจที่พูดถึงผู้ชายคนอื่น...หึหึหึ อย่างนี้นี่เอง...ยิ่งยากยิ่งอยากได้ แต่ทำเป็นไล่..หึๆๆ แผนร้ายยัยเซ็กซี่เฟสสอง ปฏิบัติการ!”
เขมมิกขยับเสื้อผ้าเพิ่มความเซ็กซี่แล้วเดินลั้ลลาตามพิแสงไป
ที่ร้านกาแฟในสนามบิน ลุทซ์ถอนหายใจหลังจากได้ฟังเรื่องราวของเขมมิกจากเนตรนิภา
“โธ่ เขม....ผมอยากเจอเขม อยากช่วยเหลือเค้า”
“เขมอยู่ที่พัทลุงนี่เอง....ไปมั้ย” เนตรนิภาถาม
“แต่คุณบอกว่า...จะต้องไม่ให้ใครรู้เรื่องแผนการของเขม ไม่อย่างนั้น เขมจะไม่ได้ค่าจ้าง ถ้าผมไปหา อาจจะทำให้คนที่นั่นสงสัย”
“เอาอย่างนี้ ฉันจะไปบอกเขม ว่าเจอคุณ แล้วหาทางติดต่อกัน ดีมั้ย”
“นี่เบอร์โทรที่โรงแรม ผมจะอยู่ที่นี่ประมาณหนึ่งอาทิตย์” ลุทซ์จดเบอร์ให้
กนธีกับลูกค้าเดินผ่านมา เขามองเห็นเนตรนิภากำลังนั่งอยู่กับฝรั่งหนุ่มหน้าตาหล่อเลยหยุดมอง
กนธีพูดกับลูกค้า “ไปรอผมที่เคาน์เตอร์เช็กอินเลยนะครับ ผมขอตัวไปห้องน้ำแป๊บเดียว”
กลุ่มลูกค้าเดินไป กนธีรีบแถเข้าไปอยู่ใกล้ๆเพื่อสอดแนมเนตรนิภาทันที ลุทซ์ยื่นเบอร์โทรศัพท์ให้เนตรนิภา เนตรนิภารับเบอร์มา
“ถ้าเขมได้เจอเธอก่อนหน้านี้คงจะดี” เนตรนิภาบอก
“ตั้งแต่เขมลาออกจากมหาวิทยาลัยที่สวิสแล้วกลับบ้าน เขมก็ไม่ติดต่อไปอีก แฟมิลี่เราคิดถึงเขมมาก เขมน่ารัก เราทุกคนรักเขมเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง”
กนธีพยายามจะเงี่ยหูฟังแต่ได้ยินไม่ถนัด
“ไม่ได้ยินเลยวุ้ย”
เนตรนิภายังคุยกับลุทซ์
“เดี๋ยวนี้พูดไทยคล่องนะ” เนตรนภาชม
“ต้องติดต่องานกับคนไทยบ่อย เลยต้องเรียน จะได้คุยกันง่ายๆ”
“น่ารักที่สุดอ่ะ”
เนตรนิภาหยิกแขนลุทซ์อย่างสนิทสนมแล้วทั้งสองคนก็หัวเราะกัน กนธีมองเนตรนิภาอย่างหมั่นไส้
“แหมๆ ระริกระรี้ น่าหมั่นไส้ คิดจะโกอินเตอร์..แหมๆ”
เนตรนิภาโบกมือให้ลุทซ์ซึ่งกำลังขึ้นรถรับจ้าง รถรับจ้างเคลื่อนตัวออกไป เนตรนิภาหันหลังกลับก็เห็นกนธียืนอยู่ข้างหลัง
เนตรนิภาตกใจ “ว้าย!” เนตรนิภาแสดงท่ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด “อี๋....!!”
“พอเห็นของไทยแล้วทำรังเกียจ กับของนอกแล้วยัวเวลคัม”
เนตรนิภาเดินหนี
“พูดด้วยแล้วไม่พูดด้วย”
“เออสิยะ! พูดด้วยแล้วเสียเวลา เสียน้ำลาย ไม่เกิดประโยชน์...อี๋!”
“อี๋เหรอ...ได้”
กนธีเข้าไปควงเขนเนตรนิภาทันที
“อี๋....ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ปล่อย! อี๋นักใช่มั้ย คราวนี้..กอด!”
กนธีกอดเนตรนิภา
เนตรนิภาตกใจ “อ๊าย!! ไอ้ทะลึ่ง ฉวยโอกาส ปล่อย!” เนตรนิภาพยายามแงะตัวกนธีออก
กนธีกอดอยู่นั้น “ไม่ปล่อย...คราวนี้....จูบ!!”
กนธีทำท่าจะจูบ เนตรนิภาดันหน้าออกไป กนธีดันกลับ เนตรนิภาง้างออก กนธีดันกลับ ทันใดนั้นเสียงนกหวีดเป่าดังลั่น เนตรนิภากับกนธีแยกตัวออกจากกันทันที ร.ป.ภ.เดินหน้าบึ้งเข้ามา
“ไปประเจิดประเจ้อกันที่อื่นครับ ถ้าไม่อยากถูกปรับข้อหาอนาจาร”
กนธีและเนตรนิภาหันมามองหน้ากันอย่างรังเกียจ
เนตรนิภากับกนธีร้องออกมาพร้อมกัน “อี๋!!”
ทั้งคู่สะบัดหน้าใส่กันแล้วเดินแยกกันออกไปคนละทาง
หลอดและเสริมกำลังให้อาหารหมู พิแสงเดินจ้ำมา หลอดกับเสริมมองพิแสง
“จ้ำเหมือนเดินตามควาย”
“เอ๊ะ หรือว่าควายตาม”
หลอดและเสริมหัวเราะร่วน เขมมิกเดินจ้ำตามพิแสงมา
“คุณพิแสง รอฉันด้วยสิ”
“ไม่ต้องตามมาได้มั้ย เขมมิก!” พิแสงว่า
หลอดกับเสริมมองหน้ากัน “คุณเขมมิก!”
เขมมิกหันมายิ้มให้หลอดและเสริม “สวัสดีจ๊ะ อากาศดีเนอะ สดชื้น สดชื่น”
หลอดและเสริมหันมามองหน้ากันแล้วหันไปมองขี้หมูที่ตามพื้น
“เสแสร้งที่สุด!” พิแสงว่า
พิแสงเดินหนีไป เขมมิกเดินตาม
“ฉันจริงใจนะ...เสแสร้งตรงไหน ก็มันจริงนี่” เขมมิกเดินลำบากเพราะใส่ส้นสูง “โอ๊ย!!! จะรีบไปไหนเนี่ย รอด้วย!”
หลอดกับเสริมมองตามเขมมิกอึ้งๆ...
“สวย..มองโลกในแง่ดี...มีออร่า....นางฟ้าชัดๆ !!” หลอดเพ้อ
เขมมิกถือส้นสูงเดินตามทางที่ขรุขระอย่างลำบากยากเย็น เธอเหนื่อยอ่อนและหมดแรงจึงทิ้งรองเท้า
“โอย!”
พิแสงที่เดินนำอยู่หันมามองเขมมิกแล้วยิ้มเยาะ ดูถูก
เขมมิกเห็นสายตาของพิแสงแล้วยิ่งเจ็บใจ เธอคิดแผนก่อนจะนั่งแปะลงกับพื้นแล้วร้องไห้
“ฮือๆๆๆ”
พิแสงชะงักแล้วหันมามองก่อนจะตกใจเล็กๆ
“เป็นอะไร”
“เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใครเชื่อ มีแต่คนซ้ำเติม ดูถูก ไม่ให้โอกาส เลว ชั่ว ไม่ใช่คน!”
“ว่าใคร” พิแสงถาม
“ว่าหมูมั้ง”
“อย่ามาว่าหมูฉัน หมูฉันมันยังมีประโยชน์กับโลกมนุษยชาติมากกว่าผู้หญิงอย่างเธอ”
เขมมิกร้องไห้อีก “โฮ!!!! น้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน ลุทซ์ขา...เขมคงเป็นได้แค่ภรรยาที่ใช้เงินสามีไปวันๆ ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ คิดกลับตัวกลับใจ เขาก็ไม่ให้โอกาส เขมอยากตาย ฮื้อ!!”
พิแสงเริ่มไขว้เขวและรู้สึกผิดที่พูดแรง
“ฉันพูดแรงไป...ขอโทษ”
“ไม่ คุณพูดถูกแล้ว คุณคงได้ข้อมูลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวฉันมาผิดๆ คุณถึงได้ปักธงว่าฉันเป็นผู้หญิงไร้ค่า แต่ถ้าคุณให้โอกาสฉัน คุณจะรู้ว่า...ฉันมีดี”
พิแสงอึ้งไป เขมมิกเหลือกตาขึ้นแอบมองท่าทีของพิแสงแล้วก็แอบยิ้ม
“ฉันยอมรับการตัดสินใจของคุณ แต่ฉัน...ไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ ฉันจะสู้ ต้องสู้เท่านั้นจึงจะชนะอคติที่มีอยู่ในใจคุณ เขมมิก สู้ สู้”
เขมมิกทำเป็นพยายามลุกขึ้นอย่างลำบากยากเย็นแต่ก็ตัวโงนเงนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ พิแสงทนดูไม่ได้จึงเข้าไปช่วยประคอง
“ดีๆๆ...ค่อยๆ เดี๋ยวล้ม”
“ขอบคุณนะคะ ความจริงแล้ว ลึกๆซึ่งคงจะลึกมาก คุณก็เป็นคนดีนะคะ”
เขมมิกตั้งใจสบตาพิแสงพร้อมทั้งส่งสายตาหวานหยดย้อย พิแสงอึ้งและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“มีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่เหรอ อย่ามาทำตาเจ้าชู้กับผู้ชายคนอื่น” พิแสงว่า
พิแสงดีดตัวออก
“อุ๊ยตาย เปล่านะคะ เนี่ยเป็นสายตาแห่งมิตรภาพต่างหาก”
พิแสงเดินหนี
“ตกลง ยอมให้ฉันฝึกงานกับคุณได้หรือยัง”
“ยัง!!”
เขมมิกหลุด “วะ!”
พิแสงหันขวับมามอง
เขมมิกรีบเปลี่ยนกริยา “วะคะ!”
พิแสงเดินไป เขมมิกเจ็บใจ
“เปลี่ยนชื่อเป็นนายหินดีกว่ามั้ย หา!!! กลับไปตั้งหลักก่อนก็ได้”
เขมมิกหยิบรองเท้าแล้วเดินกลับไปทางเดิม
อนงค์คุมคนงานให้ตักกับข้าวใส่ถาดหลุมให้คนงานที่มาต่อคิวรับอาหาร แต่สายตาของเธอสอดส่ายมองหาใครบางคน หลอดกับเสริมเข้ามาต่อแถว อนงค์รีบปราดเข้าไปสืบข้อมูลทันที
“ไอ้หลอด ไอ้เสริม เป็นไงบ้าง” อนงค์ถาม
“สบายดีจ้า แต่เหงาบ้างไรบ้าง” หลอดบอก
“ส่วนฉันเมื่อเช้ากินข้าวไม่ค่อยลง” เสริมพูด
“ฉันถามถึงคุณเขมหลานคุณธรรมศักดิ์ต่างหาก!”
หลอดกับเสริมพูดพร้อมกัน “อ๋ออ”
“ท่าทางนายหัวแกไม่ชอบมากๆเลยใช่มั้ย”
“พูดยังกะตาแกเห็นเลยนะป้า” หลอดว่า
“ป้า...อย่าเม้าเรื่องนายหัวเลย เขาจะหาว่าเราสาระแน แส่ไม่เข้าเรื่อง” เสริมบอก
“ว้าย!”
หลอดดึงตัวเสริมเดินเลี่ยงไป “หิวๆๆๆโว้ยหิว”
อนงค์เจ็บใจ วาศิณีเดินเข้ามาจะมากินข้าว เธอหยิบถาด
อนงค์เข้าไปตีมือ “ยังจะห่วงกิน!”
“เอ๊า ก็หนูหิว ไม่กินจะเอาแรงที่ไหนทำงานล่ะ”
“ตอนนี้ไม่ต้องห่วงงาน ห่วงนายหัวของแกก่อนเถอะ”
“จะห่วงทำไม ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วง”
“ทำไมจะไม่มี มีผู้หญิงฤทธิ์เยอะสวยๆอย่างนั้นในบ้านนายหัวทั้งคนนะแก”
“แล้วไง ก็นายหัวทำท่าเกลียดยัยนั่นจะตาย”
“ก็ต้องกันไว้ก่อน แกต้องไปแสดงความเป็นเจ้าของ มันจะได้ไม่กล้ายุ่งกับนายหัว รู้มั้ย”
“รู้ กินได้หรือยัง” วาศิณีถาม
วาศิณีเดินไปหยิบถาดข้าวด้วยความหงุดหงิด อนงค์ครุ่นคิด
“สงสัย ฉันต้องออกโรงเองซะแล้ว!”
อนงค์หันกลับมาเจอชมพู่ยืนอยู่
“ว้าย! ทำตัวเป็นสปายอีกหรือไง”
“เป็นขี้ข้านี่แหละค่ะ ไหนคะ อาหารกลางวันนายหัว มัวแต่คิดแผนอะไรอยู่ล่ะคะ” ชมพู่ถามกลับ
“ฉันคิดรายการอาหารวันพรุ่งนี้อยู่ย่ะ ไปจัดโต๊ะให้นายหัวไป เดี๋ยวฉันเอาสำรับไปให้”
ชมพู่ยอมเดินออกไปแต่เหลือบมองอนงค์อย่างไม่ไว้ใจ
แสงสุดาเดินคุยโทรศัพท์
“จับตาดูนังอนงค์ให้ดี นังนี่มันร้าย!!! แล้วเขมมิกเป็นไงบ้าง ทุกอย่างราบรื่นดีใช่มั้ย”
ชมพู่แอบคุยมือถืออยู่หลังบ้านพิแสง
“เรียบร้อยทุกอย่างค่ะ ยกเว้นอย่างเดียว” ชมพู่รายงาน
“อะไร”
“นายหัวแกเกลียดคุณเขมมิก เหมือนคุณเขมมิกแกเป็นไส้เดือนกิ้งกือเลยค่ะ แถมไล่ให้กลับบ้านอีกนะคะ”
“เนี่ยเหรอ เรียบร้อยทุกอย่างของแก!!”
“อ้าว ก็มีข้อยกเว้นแล้วไงคะน้องไบร์ทค่า ชมพู่ไม่ได้พูดอะไรผิดเลยนะคะ”
“แกต้องช่วยเขมมิกปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แต่ไม่ต้องแสดงตัวว่าแกเป็นสายของฉัน เข้าใจมั้ย แค่นี้นะ”
แสงสุดาวางสายแล้วยิ้มย่อง
“จะรอดมั้ยเนี่ย...เฮ้อ มีลูกชายฉลาดก็เงี้ย หลอกลำบาก”
พิสุทธิ์เดินผ่านไปในชุดตีกอล์ฟกับพิทยา แม่บ้านหิ้วถุงกอล์ฟเดินออกไปก่อน
“จะไปไหนกัน” แสงสุดาถาม
“อ๋อ...ไปช้อนลูกน้ำจ๊ะ” พิสทธิ์ตอบ
“คุณพิสุทธิ์!”
“แหม ก็แหย่เล่นบ้าง อยากให้คุณอารมณ์ดี ช่วงนี้คุณดูเครียดๆ”
“ฉัน...คิดถึงตาใหญ่” แสงสุดาบอก
“งั้นเราไปเยี่ยมคุณใหญ่ที่พัทลุงมั้ยครับ” พิทยาเสนอ
แสงสุดาตอบทันที “โน!!”
แสงสุดาเข้ามานั่งทำท่าเพลียๆ พิสุทธ์ปราดเข้ามาดูอาการอย่างเป็นห่วง
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
แสงสุดาเข้ามานั่งทำท่าเพลียๆ พิสุทธ์ปราดเข้ามาดูอาการอย่างเป็นห่วง
“คุณจ๋า คุณเป็นอะไร”
“ฉันชื่อแสงสุดา”
“คุณแสงสุดาจ๋า คุณเป็นอะไร”
“รู้สึกเพลียๆ อยากนอน อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ”
“คุณแม่ท้องเหรอครับ” พิทยาเข้ามาถาม
“ท้องมารมั้ง”
“คุณพิสุทธิ์!!”
“ขำๆจ๊ะ ก็คุณคงเครียด เลยทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไปพักผ่อนที่ฟาร์มตาใหญ่ อยู่หลายๆวันให้หายคิดถึงลูกก็ดีนะ เผื่ออาการจะดีขึ้น ทำไมไม่ไป”
“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าเพลีย เพลีย ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ฉันติดบ้าน ต้องให้ลูกขึ้นมาหาสิ”
“แต่....”
“หรือว่าอยากจะไปเจอหน้าชิ้นเก่า”
“งั้นอยู่บ้านดีแล้วจ๊ะ นอนเยอะๆ ไม่ต้องไปไหนเลย ดีกว่าเนอะ”
แสงสุดาค้อนพิสุทธิ์ พิสุทธิ์เลี่ยงไปคุยกับพิทยา
“ตาพีท ไปไดรฟ์คนเดียวได้นะ พ่ออยากอยู่เป็นเพื่อนแม่เค้า เป็นห่วง”
“ได้ครับคุณพ่อ งั้นผมขอตัวนะครับ”
พูดจบพิทยาก็เดินออกไป เขาเหลือบมองพิสุทธิ์และแสงสุดาด้วยสายตาเหยียดๆ แล้วเดินไป พิสุทธิ์พยายามเอาใจแสงสุดาที่แกล้งอ่อนเพลีย
“ให้นวดให้มั้ย”
“ดีค่ะ แต่อย่าแรงนะ กลัวเจ็บ”
“ไม่เจ็บหรอกจ๊ะ เบาๆ”
พิทยาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกแล้วรอสาย โทรศัพท์บ้านเนตรนิภาดังขึ้นแต่ไม่มีคนรับสาย พิสิณีเดินเข้ามาเห็นว่าพิทยากำลังโทรศัพท์หาใครสักคนอยู่
“มือถือก็ไม่รับทั้งคู่ ที่บ้านอีก....ทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ เขม”
พิทยารู้สึกเป็นห่วงเขมมิก พิสิณีตกใจและหวั่นใจที่ได้ยินว่าพิทยากำลังโทรหาเขมมิก พิทยากดวางสาย พิสิณีเก็บอารมณ์แล้วเดินเข้าไป
“มีอะไรเหรอคะ พีท”
“อ๋อ...พอดีโทรหาเพื่อน ชวนไปไดรฟ์กอล์ฟด้วยกันน่ะจ๊ะ เพราะคุณพ่อจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ ท่านไม่ค่อยสบาย”
“เพื่อนไปได้มั้ยคะ ให้สิณีไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เพื่อนผมออกมาได้ ผมไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับ”
พิทยาหอมแก้มพิสิณีหนึ่งทีแล้วรีบเดินออกไป พิสิณีมองตามและเก็บกลั้นความรู้สึกที่รู้ว่าพิทยาโกหก
อนงค์ตักข้าวใส่จานให้พิแสง พิแสงเหลือบมองจานเขมมิกที่ว่างเปล่า
“ยัยผีกระเป๋าลาก ทำไมยังไม่มากินข้าว”
“อ้าว...ก็เห็นไปกับนายหัวไม่ใช่เหรอคะ” อนงค์บอก
“ไปด้วยกัน แต่ไม่ได้กลับมาด้วยกัน แต่ผมเห็นเค้าเดินกลับมาแล้วนะ”
ชมพู่กระแทกขวดน้ำที่กำลังจะเสริ์ฟลงทันทีอย่างตื่นตัว
“หรือว่า จะหลงทางคะ!!” ชมพู่เดา
“ดี หลงขึ้นเขาไปได้ยิ่งดี ให้เสือจับกินซะให้เข็ด” พิแสงว่า
อนงค์ยิ้มย่อง
“ชมพู่ไปตามให้เองค่ะ” ชมพู่บอก
ชมพู่รีบเดินออกไป พิแสงจะร้องห้ามแต่ก็ไม่ทัน
“ทานข้าวเถอะค่ะนายหัว เดี๋ยวกับข้าวจะเย็น ไม่อร่อย”
พิแสงหยิบช้อนแต่ก็กินไม่ลงเพราะรู้สึกเป็นห่วงเขมมิก เขาวางช้อนลงแล้วหยิบขึ้นมาใหม่ แล้วก็วางช้อนลงก่อนจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวค่อยกิน...”
“จะไปไหนคะ”
พิแสงไม่ตอบแต่เดินออกไป อนงค์หงุดหงิดและนึกไม่ไว้ใจ
พิแสงเดินออกมาเจอเนตรนิภาที่ลากกระเป๋าเดินเข้ามาเจอพิแสง พิแสงแปลกใจเพราะจำเนตรนิภาไม่ได้ แต่คุ้นๆ
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเนตรนิภา เป็นเพื่อนของเขมมิกค่ะ”
พิแสงไม่พอใจที่มีเพื่อนมาหาแต่รักษามารยาท “สวัสดีครับ” พิแสงบ่นกับตัวเอง “มาแค่วันเดียว เพื่อนก็แห่กันมาแล้วเหรอ”
“เขมอยู่ไหนคะ ฉันมีเรื่องด่วน” เนตรนิภาบอก
“หายตัวไปไหนก็ไม่รู้”
“หา!!!!! หายตัวไป จะบ้าเหรอคุณ เพื่อนฉันอยู่ในฟาร์มของคุณแท้ๆ แต่คุณดูแลไม่ได้ ปล่อยให้หายตัวไปแบบนี้ได้ยังไง แล้วทำไมไม่ไปตามล่ะคะ!”
“ก็กำลังจะไปเนี่ยไง คุณยังไม่หยุดพูด ก็ไปไม่ได้”
“หยุดแล้วค่ะ ขอโทษค่ะ”
พิแสงจะไป เนตรนิภาเดินตาม
“ไปด้วยค่ะ”
กนธีเดินปรี่เข้ามาหาพิแสง ยังไม่ทันสังเกตเห็นเนตรนิภา
“ไอ้พิแสง ฉันซ้วยซวยว่ะ” กนธีเห็นเนตรนิภา “น่าน ซวยได้ทั้งวัน”
“ฉันไม่มีเวลามาทะเลาะกับนายหรอกนะ ฉันจะไปตามหาตัวเขม”
“คุณเขมมิกมาแล้วเหรอ..แล้วทำไมต้องตามหา”
“หายตัวไปไง ถ้าไม่หายจะตามหาทำไม บื้อ!”
“หายตัวไป!! เฮ้ย ตามสิวะ ไอ้พิแสง”
พิแสงขับรถจิ๊ปมาจอดเทียบเรียบร้อย พิแสงดูร้อนใจมาก
“จะไปก็ขึ้นรถ”
“ไมไวจังวะ”
เนตรนิภาขึ้นรถ “รีบไปเถอะค่ะ ทิ้งไอ้ตัวน่ารำคาญไว้ตรงนี้แหละ”
พิแสงออกรถ กนธีรีบกระโดดขึ้นรถไปเบียดเนตรนิภา
“ไอ้บ้า มาเบียดฉันทำไม!”
พิแสงขับรถมา ได้ยินเสียงคุยกันดังมาแต่ไกล
“คนงานบอกว่าเขมมิกเดินมาทางนี้”
“หลงไม่รู้จักทางแล้วทำไมไม่ถามน้า คุณเขม เจอตัวจะจับตีก้นซะให้เข็ด” กนธี
“เพื่อนฉันน่ะถึงถามแล้วก็ยังหลง”
“ทำไมต้องว่าคุณเขม เป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่เหรอ หา!!”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับนาย!”
พิแสงจอดรถจนเนตรนิภาและกนธีหัวทิ่ม
“ลงไปเลยไป ทะเลาะกันอยู่ได้!”
พิแสงเหลือบไปเห็นรองเท้าของเขมมิกแล้วจำได้
“นั่นมันรองเท้ายัยผีกระเป๋าลาก แล้วตัวไปไหน” พิแสงว่า
“อย่าบอกนะว่าถูกเสือจับไปกิน”
เนตรนิภาร้องโฮ “เขม!!! ไอ้เขม!!”
เนตรนิภากระโดดลงไปเก็บรองเท้าเขมมิกเสมือนว่าเป็นตัวแทนของเพื่อน
“เขม ฉันขอโทษ ฉันมาช้าไป เพราะผู้ชายเลวๆสองคนแท้ๆ”
พิแสงกับกนธีร้องพร้อมกัน “อ้าว....”
กนธีหงุดหงิด แต่พิแสงมีเซ้นส์ว่าเขมมิกเดินเข้าป่าไป พิแสงรีบเดินไปทางเดียวกับที่เขมมิกเดินไปทันที
“นี่!!! คนเลวที่ไหนจะออกมาตามหาคุณเขม”
“ดีแตกน่ะสิ ฉันรู้นะว่านายคิดอะไรกับเขม ถ้าไม่ได้คิด นายคงไม่คิดจะออกมาตามหาตัวเขมหรอก นี่แหละ...เลว!”
“บ๊ะ อย่าเพิ่งตื่นตูมได้ป่ะ คุณเขมอาจจะไม่ได้เป็นอะไรก็ได้ จริงมั้ยพิแสง” กนธีหันไปถามเพื่อน
แต่กนธีไม่เห็นพิแสงแล้ว
“หายไปไหนแล้ววะ”
“เข้าไปทางโน้น เขม ฉันขอโทษ ฉันผิดเองที่ปล่อยแกมาตามลำพัง” เนตรนิภาคร่ำครวญ
กนธีรีบตามพิแสงไป ทิ้งเนตรนิภาเอาไว้คนเดียวเพราะรำคาญ เนตรนิภารู้สึกตัวว่าอยู่คนเดียว ท่ามกลางป่าใหญ่ เธอมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นว่าเปลี่ยวมาก พอโกยรองเท้าเขมได้ก็รีบวิ่งตามกนธีไปทันที
“รอด้วยสิ!!”
พิแสงเดินตามหาเขมมิกด้วยความเป็นห่วง
“อย่าเป็นอะไรไป นะเขมมิก...”
กนธีเดินตามมามองหา เนตรนิภาเดินตามมาอย่างกลัวๆ จึงเข้าไปจับแขนของกนธีเอาไว้ แต่กนธีสะบัดออก
“อย่ามาจับ!” กนธีบอก
“ไอ้คนเห็นแก่ตัว!” เนตรนิภาว่า
“เออ!”
“เบาๆสิ เข้าป่าอย่าเสียงดัง” พิแสงต่อว่า
กนธีกับเนตรนิภาเงียบกริบแล้วเดินตามพิแสงไป พิแสงมองสำรวจไปรอบๆ แล้วได้ยินเสียงน้ำตกดังมาจากทางหนึ่ง พิแสงรีบเดินไปทันที กนธีและเนตรนิภาเดินตาม กนธีเห็นเนตรนิภาทิ้งช่วงห่างจึงเข้าไปจับมือเนตรนิภาให้รีบเดินตามมา เนตรนิภาสะบัดออก
“อย่ามาจับ!” เนตรนิภาว่า
“เออ! ไม่จับ!”
เขมมิกวิ่งมาจนเห็นน้ำตกสวยงามก็ตื่นตะลึง
“โอวแม่เจ้า!!! สวย สวย สวย สวย!!”
เขมมิกค่อยๆเดินไปยืนริมตลิ่งดั่งต้องมนตร์
ปริญญ์เปลือยท่อนบนโผล่ขึ้นมาจากน้ำแล้วเสยผม โดยที่สะเก็ดน้ำเกาะพราวตามตัว เขมมิกเห็นแล้วก็อ้าปากหวออย่างตกตะลึง
“โอว แม่เจ้า!!! หล่อ ล่ำ ล่ำ ล่ำ มาก!!”
ปริญญ์เหลือบมาเห็นเขมมิกยืนปากค้างอยู่ก็ตกใจ จึงรีบเอามือปิดนมด้วยความอาย
“เฮ้ย!!”
“ว้าย!”
เขมมิกหันหนีแต่เสียการทรงตัวจนเริ่มเอียงจะตกน้ำ
“ว้ายๆๆ”
ปริญญ์ลุ้นแล้วรีบว่ายน้ำเข้าหาฝั่งไปทางที่เขมมิกยืนอยู่ เขมมิกรักษาบาล้านซ์เอาไว้ได้จึงกลับมายืนทรงตัวได้อีกครั้งอย่างโล่งใจ ปริญญ์ขึ้นมาจากน้ำข้างๆเขมมิก เขมมิกตกใจทำให้ก้าวถอยหลัง ตกน้ำลงไปทันที
“ว้าย!!”
ปริญญ์ตกใจ ด้วยสัญชาติญาณเขารีบกระโดดพุ่งหลาวลงไปใหม่เพื่อช่วยเขมมิก เขมมิกจมลงไปใต้น้ำ ปริญญ์รีบดำน้ำลงไปหวังจะช่วย เขมมิกโผล่พรวดขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่ปริญญ์ก็โผล่ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน โดยที่ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันมาก เขมมิกและปริญญ์สบตากันแล้วอึ้งไป พิแสง กนธี และเนตรนิภาวิ่งเข้ามาเห้นพอดี พิแสงถึงกับเซ็ง...
“ที่แท้ก็หนีมาเล่นน้ำกับผู้ชาย แล้วทำให้ชาวบ้านเค้าเป็นห่วงแทบตาย ยัยปลวก!!”
เขมมิกกับปริญญ์สะดุ้งเฮือก ทั้งสองหันมาเห็นพิแสง เนตรนิภาและกนธีก็รีบผละออกจากกัน
“ว่าใครปลวก!” เขมมิกถาม
“เธอนั่นแหละ” พิแสงบอก
พิแสงกระฟัดกระเฟียดเดินออกไปทันที เนตรนิภาและกนธีดีใจ
“เขม แกไม่ได้ถูกเสือกิน!!” เนตรนิภาดีใจ
“ใครบอกฉันถูกเสือกิน ใครแช่งให้ฉันตาย ฉันจะไปฆ่ามัน!”
เนตรนิภาชี้ไปที่กนธี “ไอ้นี่”
“ผมแค่สันนิษฐานครับ ไม่ได้จริงจัง” กนธีหันไปเอาเรื่องเนตรนิภา “เธอ!”
“ทำไม!” เนตรนิภาถาม
ปริญญ์ยิ้มให้เขมมิก
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณเขมมิก ผมปริญญ์ครับ”
พิแสงเดินเข้ามาตะโกนสั่งดังลั่น
“เค้าเป็นหมอหมู ไม่ชอบผู้หญิง ไม่ต้องลิงโลด ขึ้นมาได้แล้ว! เร็ว!”
พิแสงลืมตัวจึงยื่นมือให้เขมมิก เขมมิกกระโจนจับมือพิแสงทันที
“เป็นห่วงเค้าใช่มั้ยล่า!!” เขมมิกว่า
เขมมิกจะโหนขึ้น พิแสงรำคาญจึงปล่อยตกน้ำอีกรอบ
“ว้าย!”
พิแสงก็เดินออกไป เขมมิกผุดขึ้นมาด้วยความแค้นแล้วรีบตะกายเข้าฝั่ง ปริญญ์รีบช่วย เขมมิกขึ้นจากน้ำได้ก็วิ่งตามพิแสงออกไปทันที ปริญญ์ขึ้นจากน้ำ เนตรนิภาเห็นหุ่นของหมอปริญญ์แล้วก็อึ้ง
“โอว...แม่เจ้า...หล่อ..ล่ำ ล่ำ ล่ำ มาก!!”
ปริญญ์รีบเดินเอามือปิดนมไปหยิบเสื้อที่พาดอยู่แถวนั้นมาใส่ด้วยความอาย กนธีหมั่นไส้เนตรนิภามากจึงเอามือดันคางให้ปากของเธอปิด
พิแสงเดินจ้ำมา เขมมิกเดินตามมาติดๆ ด้วยความหนาวสั่น แต่ก็ตามติดไม่ลดละ
“เป็นห่วงเค้า แต่ทำปากแข็ง”
“ปากฉันไม่แข็ง”
“แข็ง”
“ลองแล้วหรือไง”
“ก็ลองแล้วไงถึงรู้ว่านุ่ม” เขมมิกลืมตัว “อุ๊ย...พูดอะไรออกไป”
“น่าไม่อาย! แล้วรองเท้าไปอยู่ตรงโน้นได้ยังไง”
“อ๋อ”
เขมมิกเล่าให้พิแสงฟัง
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เขมมิกเดินเป๋มาตามทาง
“ฉันอยู่ที่ส่วนๆไหนของประเทศไทยเนี่ย ข้ามชายแดนมาหรือยังก็ไม่รู้ โอย!”
เขมมิกได้ยินเสียงน้ำตก
“น้ำตก....น้ำตก...น้ำ...ฉันหิวน้ำ..น้ำ!!!”
เขมมิกลืมเหนื่อยจึงเหวี่ยงรองเท้าไปคนละทิศละทางแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่าข้างทาง
เขมมิกยิ้มเผล่ให้พิแสง พิแสงส่ายหัวอย่างเซ็งๆ
“อ๊ะ ฉันทำอะไรผิดอีกล่ะ คนหิวน้ำจนลืมตัว ผิดเหรอ เดินหาทางกลับตั้งหลายกิโล ไม่ใช่อูฐนะยะจะเก็บน้ำไว้ที่หนอกได้”
พิแสงตัดบท “รีบกลับเถอะ ปากเขียวสั่นไปหมดแล้ว เร็วๆ! เสียเวลาจริง!”
พิแสงเดินไป เขมมิกมองตามยิ้มๆ
“เอาวะ...หินเริ่มกร่อนแล้ว...อย่างนี้สิถึงจะน่าลุ้น”
เขมมิกหน้าเสียในขณะที่ถือกระโปรงแดงที่ขาดและมอมแมมสภาพยับเยินโชว์ให้เนตรนิภาดู
เนตรนิภาตกใจ “อะ....อ๊ายย!!”
“กระโปรงแดงแสลงใจมากเลยใช่มั้ย” เขมมิกถาม
“ฉันจะฆ่าแก ไอ้เขม!!”
เนตรนิภาพุ่งเข้าไปใส่เขมมิก เขมมิกวิ่งหนีโดยใช้ประโปรงแดงเป็นเป้าคล้ายล่อกระทิง
เขมมิกหลบได้ “ใจเย็นก่อนสิเนตร หายนะที่เกิดกับกระโปรงของแกมันไม่ได้เกิดจากฉัน”
“ต้นเหตุคือแก ถ้าแกไม่แฮ้บมา มันก็ไม่เกิด!” เนตรนิภาพุ่งไปขวิด
เขมมิกหลบ “ฉันแฮ้บ แต่ฉันก็ใส่แบบทนุถนอมมันมาก อาจจะเผลอทำกาแฟหกใส่นิดนึง”
“ทำกาแฟหกใส่ด้วย!” เนตรนิภาพุ่งไปขวิด
เขมมิกหลบ “นิดเดียว! แต่มันก็ไม่ร้ายแรงเท่าที่ไอ้เสือยิ้มยากนั่นมันปู้ยี่ปู้ยำฉัน จนทำให้กระโปรงแกเป็นแบบนี้!”
เนตรนิภาอึ้ง “แกโดนปู้ยี่ปู้ยำเหรอ!!”
“ก็...ทำนองนั้น ฉันเจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจนะแก ความเจ็บปวดของแกกับของฉันมันเทียบกันไม่ได้เลย”
เขมมิกทำเป็นน้ำตาซึม เนตรนิภาเกือบใจอ่อนแต่แล้วก็ตั้งสติทัน
“ไม่ต้องดราม่า! เปลี่ยนประเด็น เรื่องของแกทีหลัง กลับมาเรื่องกระโปรงฉัน”
“ก็ได้....ฉันขอโทษ”
เนตรนิภาใจอ่อนลง “ทำไมต้องเป็นกระโปรงฉันตัวนี้”
“ก็สีแดงเป็นสีนำโชคของฉัน แล้วเวลามาต่างจังหวัดก็ต้องสีแรงๆแบบนี้และต้องสั้นแบบนี้ มันถึงจะเป็นแผนร้ายยัยเซ็กซี่...ซึ่งฉัน...ไม่มีเลยสักตัว”
“แล้วทำไมไม่บอกกันดีๆ”
“ถ้าบอก แกก็ไม่ให้...แกหวงมันมาก”
“ใช่!” เนตรนิภาเท้าความ “วันนั้นเป็นวันที่หนาวเหน็บมาก ที่ปารีส ฉันไปยืนรอขาแข็งปากแข็งตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด แล้วฉันก็ทำได้ ฉันเอาชนะชะนีแฟชั่นนิสต้าตัวแม่เป็นร้อยที่ต้องการเป็นเจ้าของมันเหมือนฉันได้ในที่สุด มันคือประวัติศาสตร์ !!”
“แล้วแกจะเอาไงต่ออ่ะ” เขมมิกถาม
เขมมิกมองเพื่อนที่เกลือกกลิ้งกับกระโปรงอย่างรู้สึกผิดมาก
เนตรนิภาลากกระเป๋าออกมาจากในบ้าน เขมมิกตามง้อ
“เดี๋ยวก่อนสิเนตร แกเอาเสื้อผ้ามาขนาดนี้ ไม่อยู่ต่อสักคืนสองคืนเหรอ” เขมมิกง้อ
“ตอนแรกก็ว่าจะอยู่ เพราะลึกๆฉันก็คิดถึงแก...แต่พอมาเห็นสภาพมันแล้ว รุนแรงกว่าที่คิด...ฉันทำใจนอนกับแกไม่ได้จริงๆ....ฉันโกรธ!!”
เนตรนิภาจะเดินออกไป กนธีเข้ามาเสนอหน้าคุยกับเขมมิกข้ามหัวเนตรนิภา
“อ้าว..คุณเขม คิดว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วซะอีก ระวังจะไม่สบายนะครับ” กนธีเตือน
เขมมิกเซ็ง “ค่ะ”
“หรือว่าเป็นแล้ว...ไหนแตะตัวดูซิ”
พูดจบกนธีก็เอื้อมมือจะแตะหน้าผากเขมมิกแบบเฉียดหัวเนตรนิภา เขมมิกเอนตัวหลบ เนตรนิภาฉุน จึงต่อยเข้าเบ้าตากนธี กนธีหน้าหันมาเพราะเจ็บ
“โอ๊ย!”
“อย่ามาแต๊ะอั๋งเพื่อนฉัน!!” เนตรนิภาว่า
“มือไวเป็นบ้าเลย โอ๊ย!!”
เนตรนิภาเดินหนีออกไป เขมมิกวิ่งตาม กนธียังเจ็บเบ้าตาและเจ็บใจเนตรนิภา
“ยัยก้างเอ๊ย!!! ขวางตลอดๆ แค้นนี้ต้องชำระ!!”
เนตรนิภาจะเดินออกไป กนธีเข้ามาเสนอหน้าคุยกับเขมมิกข้ามหัวเนตรนิภา
“อ้าว..คุณเขม คิดว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วซะอีก ระวังจะไม่สบายนะครับ” กนธีเตือน
เขมมิกเซ็ง “ค่ะ”
“หรือว่าเป็นแล้ว...ไหนแตะตัวดูซิ”
พูดจบกนธีก็เอื้อมมือจะแตะหน้าผากเขมมิกแบบเฉียดหัวเนตรนิภา เขมมิกเอนตัวหลบ เนตรนิภาฉุน จึงต่อยเข้าเบ้าตากนธี กนธีหน้าหันมาเพราะเจ็บ
“โอ๊ย!”
“อย่ามาแต๊ะอั๋งเพื่อนฉัน!!” เนตรนิภาว่า
“มือไวเป็นบ้าเลย โอ๊ย!!”
เนตรนิภาเดินหนีออกไป เขมมิกวิ่งตาม กนธียังเจ็บเบ้าตาและเจ็บใจเนตรนิภา
“ยัยก้างเอ๊ย!!! ขวางตลอดๆ แค้นนี้ต้องชำระ!!”
เนตรนิภาลากกระเป๋าเดินมา เขมมิกวิ่งตาม
“เดี๋ยวก่อนเนตร อย่าเพิ่งไปสิแก จะกลับไปทั้งที่เรายังผิดใจกันแบบนี้เหรอ” เขมมิกถาม
“เออ!”
“ก็ได้! แกจะไม่ยกโทษให้ฉันก็ได้! แต่...แกจะเดินออกไปเองเหรอ ไกลนะ”
เนตรนิภาอึ้งนิดนึง ก่อนจะกลับมาทำฟอร์ม “เออ!”
เนตรนิภาเดินงุดๆ ออกไป เขมมิกถอดใจหันหลังเดินกลับแล้วก็สะดุ้งโหยงเพราะเจอพิแสงยืนอยู่ข้างหลัง เขมมิกชนเข้ากับแผงอกของพิแสงเต็มๆ
“ว้าย!”
เขมมิกทำท่าจะล้ม พิแสงจับตัวเธอเอาไว้ได้ทัน เขมมิกสบตาพิแสงแล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้
“เมื่อไหร่เลิกเอะอะล้ม เอะอะล้ม น่ารำคาญ” พิแสงว่า
เขมมิกไม่พอใจ “ฉันไม่ได้ตั้งใจ! ปล่อย!!”
เขมมิกผลักพิแสงออกไป
“เชื่อยากหน่อยนะ กับมารยาหวงเนื้อหวงตัวของเธอ”
เขมมิกพยายามระงับอารมณ์ “ค่ะ ฉันจำเป็นต้องหวงเนื้อหวงตัวเพราะ...ฉันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันต้องรักษาเกียรติของตัวเองเพื่อคู่หมั้น”
“รักจริงหวังแต่ง?” พิแสงถาม
“แน่นอน”
“ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุด ตกลงจะฝึกงานมั้ย ?”
“ใจอ่อนแล้วเหรอคะ ทำไมอ่ะ”
“บอกให้รู้ตัวไว้ว่าฉันมั่นใจว่าเธอมาที่นี่อย่างมีเบื้องหลัง และฉันเป็นคนนิสัยเสีย ถ้ารู้ว่ามีใครมาลูบคม ฉันจะไม่ยอมถอยหนี”
“แล้วไง”
“ฉันอาจจะชินกับหมูที่เป็นสัตว์ซื่อๆ ขี้ตื่น หวาดกลัวก็ถอยหนี แต่ถ้ามีเธอมาอยู่ที่นี่ คงทำให้หัวสมองฉันแล่นขึ้น”
“ยินดี”
“แต่ฉันก็ไม่ใช่หมูให้เธอเคี้ยวง่ายๆหรอกนะ เขมมิก”
“สรุป...สั้นๆ??”
“ฉันให้เวลาสิบห้านาที เปลี่ยนชุดแล้วไปที่ฟาร์ม สายแม้เพียงหนึ่งนาที...ฉันไล่เธอกลับ!”
“สิบห้านาที บ้าไปแล้ว!”
“เสียเวลาบ่นไปสิบวินาที เหลือสิบสี่นาที สี่สิบวิ!”
เขมมิกวิ่งออกไป “กรี๊ดด”
พิแสงมองตามเขมมิกยิ้มๆ ขำๆ ก่อนจะรู้ตัว
“จะยิ้มทำไม”
พิแสงเดินออกไป
เนตรนิภานั่งอยู่บนกระเป๋าเพื่อรอคอยรถที่จะผ่านมาอย่างเซื่องซึมอยู่หน้าฟาร์ม
“เขม..แกนะแก...ทำไมถึงทำกับฉันได้”
รถคันหนึ่งแล่นออกมาจากถนนเข้าฟาร์ม เนตรนิภาเห็นรถก็ดีใจจึงรีบลุกไปโบก
“จอดด้วยค่ะ จอดด้วย!”
รถจอดเทียบข้างถนน เนตรนิภาหันไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินมาที่รถ กนธีเปิดประตูรถออกมา
เนตรนิภาตกใจ “ว้าย!”
“กลับบ้านเก่าเหรอ” กนธีถาม
“กลับบ้านเฉยๆ ไม่ต้องบ้านเก่า ไม่ต้องแช่ง!”
เนตรนิภาหันกลับไปวางกระเป๋าที่เดิมโดยไม่สนใจกนธีอีกต่อไป กนธีมองมาที่เนตรนิภาอย่างมีแผน เนตรนิภาเห็นหน้ากนธีแล้วก็อึ้งจึงพูดดัก
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
“นายกำลังคิดจะทำอะไร” เนตรนิภาตกใจถอยหลังกรูด “อย่านะ ฉันมีพระนะ”
เนตรนิภาล้วงเข้าไปในเสื้อ ชูสร้อยพระขึ้นมาขู่กนธี
“อ๊อย! ฉันไม่ได้ทำอะไร แค่คิดจะไปส่ง กลับไง เครื่องบินใช่มั้ย”
“ทำดีมีเมตตาแบบนี้...คิดไม่ซื่อกับฉันแน่ๆ นายต้องการอะไร”
“อยากจะกลับ ก็จะพากลับ จะได้กลับไปเร็วๆ ไปให้พ้นๆ ชีวิตรักของฉันกับคุณเขมจะได้ราบรื่น ไม่มีเธอเป็นก้างขวางคอ!”
“เหร้ออ!!”
“ช่าย!....เชิญ!”
กนธีเดินไปเปิดประตูรถให้เนตรนิภา เนตรนิภาเดินไปที่รถแต่ไปปิดประตูรถใส่จนประตูหนีบมือกนธี
“จ๊าก!!! อะไรของเธออีกเนี่ย!!”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันไม่กลับ จะรวบรวมวันลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อน ลาคลอด ดีนะที่ลาบวชไม่ได้ ไม่งั้นได้เพิ่มอีกตั้งพรรษานึงแน่ะ....เพื่ออยู่ที่นี่”
“จะอยู่เป็นก้างหรือไง!”
“ถูก!!! คราวนี้ก้างติดคอนายตายแน่ หึหึหึ!”
เนตรนิภาลากกระเป๋าเดินกลับเข้าไปในฟาร์มทันที กนธีเจ็บใจเนตรนิภา
ชมพู่เล่าเรื่องตื่นเต้นให้หลอด เสริมและคนงานคนอื่นๆฟัง
“ฉันออกตามหาคุณเขมมิกแทบจะพลิกแผ่นดิน ไม่เจอ แต่พอนายหัวออกไปตามเท่านั้นแหละ..แป๊บเดียวเจอ”
“ก็นายหัวฉลาด ส่วนแกมันโง่นิ” หลอดว่า
“งั้นอย่าฟังเลย งอน!!”
“เฮ้ย พวกเรา ทำงาน!!” หลอดลุกขึ้นพร้อมคนงาน
“ว้าย! ฟังเถอะ ใครฟังจนจบ ชมพู่เลี้ยงขนมจีน”
“เฮ้ย พวกเรา นั่ง!” หลอดลงนั่งพร้อมคนงาน
ชมพู่เล่าต่อ “นายหัวเห็นรองเท้าคุณเขมอยู่บนพื้น กระจายไปคนละทาง เหมือนเกิดเหตุร้าย นายหัวหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอกแล้วนายหัวก็...”
เสริมตัดบท “นายหัวไปเจอคุณเขมที่ไหน...เล่าสักที”
“หืม...ไอ้พวกไม่โรแมนติก...เจอที่น้ำตก คุณเขมหลงทาง”
หลอดกับเสริมพูดพร้อมกัน “เออ!! ก็แค่นั้น!!”
อนงค์เข้ามา
“เป็นขี้ข้าแต่มาจับกลุ่มนั่งนินทานาย!!! เดี๋ยวจะตัดเงินกันให้หมด”
หลอด เสริม และคนงานลุกฮือแล้วกระจายกันไปทำงาน เพราะเกรงใจอนงค์เหลือก็แต่ชมพู่
“ไม่ได้นินทานะคะป้า เรียกว่าพูดถึงในทางที่ดี....เหมือนเทวดาอุ้มสม” ชมพู่บอก
“อุ้มใครกับใคร!”
“เอ๊า...ก็อุ้มคุณเขมมิกให้มาเจอกับนายหัวไงป้า...ยิ่งตอนนี้นะ กำลังอีลุ้กกุ๊กกิ๊กกัน...อู๊ย...แน่ๆ แน่ๆ!”
อนงค์ไม่พอใจจึงเดินออกไปทันที ชมพู่หัวเราะสะใจ
เขมมิกในชุดใหม่ที่ยังสวยและเซ็กซี่แต่ดูทะมัดทะแมงขึ้นเดินเข้ามา คนงานกำลังทำงาน
“ขอโทษนะคะ คุณพิแสงล่ะคะ” เขมมิกถาม
คนงานชี้ไปทางเล้าหมูเล้าหนึ่ง เขมมิกเห็นพิแสงกำลังก้มๆเงยๆอยู่ในเล้าหมูก็นึกแปลกใจว่าทำอะไร แต่ไม่ได้ติดใจอะไรจึงรีบเดินเข้าไปทันที
เขมมิกเดินเข้าไปอ้าปากประกาศทันทีว่าตัวเองมาตรงเวลาโดยไม่ได้ตั้งใจมองไปข้างหน้ามากนัก
“ฉันมาตรงเวลา” เขมมิกบ่นกับตัวเอง “ฮู่ว์ ไม่รู้จะเรียกว่าแต่งตัวหรือลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวดี” เขมมิกหันไป มองพิแสงแล้วก็ตาโต เพราะเขมมิกเห็นพิแสงกึ่งนั่งกึ่งคร่อมแถวบั้นท้ายหมู
พิแสงร้องพลางขย่มเป็นจังหวะอย่างตั้งอกตั้งใจ “อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ”
เขมมิกเห็นแขนและศอกของพิแสงอยู่แถวหน้าขาของตัวเองซึ่งติดกับก้นหมูสาวที่กำลังร้องครวญครางและขยับ เขมมิกอ้าปากค้างหน้าซีดเผือด
“วิตถารที่สุด! ฟิทเจอริ่งกับหมู!!! อ๊าย!!”
พิแสงตกใจหันมาโดยที่ในมือถือกระบอกน้ำเชื้อที่เตรียมฉีดเข้าช่องคลอดหมูแม่พันธุ์อยู่ หมูเองก็ตกใจวิ่งหนีหลุดไป
พิแสงเซ “เฮ้ย!!” พิแสงหันมามองเขมมิกด้วยความโกรธมาก
“ยังจะมามองอีก คุณมันลามก วิตถาร! !กระทำชำเราหมูตัวเมียอยู่ใช่มั้ย หรือตัวผู้! โรคจิต! หมูเหมอก็ไม่เว้น!”
“หยุดโวยวายสักที!!”
“ไม่หยุด!” เขมมิกเห็นคราบที่เป้ากางเกงพิแสง “นั่นไง หลักฐาน ชัดๆ คาเป้าคาตา! มิน่า เมื่อคืนคุณเห็นเรียวขาของฉัน...ก็เกิดอารมณ์เหมือนกันใช่มั้ย”
“เวร ไปกันใหญ่”
“คุณคิดข่มขืนแต่ไม่สำเร็จเลยเพราะฉันขัดขืน เลยทำเป็นเข้มใส่ เนียนๆ ไอ้โรคจิต บ้ากาม! กรี๊ด!”
เขมมิกหันไปเห็นหลอดพลาสติกสำหรับใส่น้ำเชื้ออยู่แถวๆ นั้นสองสามอันจึงจะหยิบมาเขวี้ยงแต่ถูกพิแสงเข้ามารวบตัวกอดไว้แน่น
“หยุดเดี๋ยวนี้! ยัยสมองกลวง! มาทำไมตอนนี้วะ ยัยเบื้อกเอ๊ย!!”
พิแสงเห็นหมูทั้งเล้าร้องและวิ่งกันพล่านเพราะแตกตื่น
“ช่วยด้วย ช่วยที คนอุบาทว์ข่มขืนหมูค่า!!”
ปริญญ์ หลอด เสริม และคนงานพากันวิ่งเข้ามาอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณพิแสง” ปริญญ์ถาม
“ช่วยด้วย!!! กรี๊ดด!!” เขมมิกร้อง
พิแสงตัดสินใจลากตัวเขมมิกออกไปจากที่เกิดเหตุทันที ในขณะที่เขมมิกยังดิ้นและกรี๊ดไม่หยุด
พิแสงพูดกับหลอด เสริมและคนงาน “มายืนมุงแลไหร!! ไปทำงาน! ไป๋!!”
หลอดเสริมและคนงานรีบสลายตัวไปทันที พิแสงลากเขมมิกที่ยังดิ้นไป ปริญญ์เดินตามพิแสงไป
เขมมิกนั่งจ๋อยอยู่ ปริญญ์ที่อยู่ใกล้ๆ อมยิ้มขำๆ พิแสงเข้ามาตวาดลั่น
“ฉันกำลังจะผสมเทียมหมู! ไม่ได้ฟิทเจอริ่งกับมัน” พิแสงบอก
“ก็จะไปรู้เหรอ เห็นกำลังอั๊พแอ๊นด๋าวน์ ฉันก็คิดว่าใช่”
“เธอรู้มั้ยว่าฉันรอเวลานี้มานานแค่ไหน กว่าจะบิวท์ให้หมูมันมีอารมณ์และสมยอมได้”
“โห...” เขมมิกเอามือปิดหู “เรต ฉ.ฉิ่งเลยนะเนี่ย ไม่ฟังได้ป่ะ”
พิแสงปัดมือเขมมิกออก “แล้วยังไอ้น้ำเชื้อที่หกเลอะเป็นคราบอยู่นี่อีก กว่าจะรีดออกมาจากไอ้ทีเด็ดได้”
“โอ๊ย...ผู้ปกครองควรใช้วิจารณญาณและควรให้คำแนะนำในการรับฟังค่ะ”
“ฟังแล้วใช้วิจารณญาณให้มากๆด้วย...ว่าฉันเหนื่อยและทุ่มเทกับมันมาก แต่เธอทำมันพัง!”
เขมมิกหน้าจ๋อย
“คุณพิแสงครับ ใจเย็นๆนะครับ คุณเขมมิกเธอไม่รู้หรอกครับว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย” ปริญญ์บอก
“ใครใช้ให้เธอเข้ามาตอนที่ฉันกำลังทำงาน หา!”
“คุณนั่นแหละ บอกให้ฉันรีบเปลี่ยนชุดแล้วรีบมาหาภายในสิบนาที!”
พิแสงอึ้งเพราะเป็นความจริงแต่ก็ยังวางฟอร์ม
“โอเค...ผมยอมแพ้ คุณกลับกรุงเทพซะเถอะ ผมจะบอกคุณธรรมศักดิ์เองว่าผมขอบาย”
“เฮ้ย! ไหงเปลี่ยนใจไปมางี้ล่ะ!!”
“บอกตรงๆ ผมไม่กล้าแนะนำให้คุณไปฝึกงานที่ไหนด้วย กลัวจะไปป่วนเค้าเพราะความทะเล่อทะล่าไม่มีวิจารณญาณ!”
เขมมิกอึ้ง พิแสงเดินออกไปอย่างเซ็งเต็มที่ ปริญญ์มองเขมมิกด้วยความเห็นใจ
“คุณเขมมิก ผมจะช่วยพูดกับคุณพิแสงให้เองนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ..ฉัน...ฉันทำมันพังเอง..ฉันควรจะยอมแพ้”
เขมมิกเดินลอยๆ จากไป ปริญญ์มองตามด้วยความเห็นใจ
พิแสงเดินเข้ามาด้วยความหงุดหงิดแต่ก็พยายามจะสงบสติอารมณ์ เขมมิกเดินหน้าเศร้าผ่านมาพอเห็นพิแสงแล้วก็ชะงักมองพิแสงที่กำลังเครียดและมีท่าทางเสียดายและเสียใจมากจนเขมมิกรู้สึกผิด
“ฉันคงทำให้คุณผิดหวังมากเลยสินะ....” เขมมิกถาม
เขมมิกเหมือนจะตัดใจเดินจากไป แต่แล้วเขมมิกก็เดินกลับเข้ามาใหม่ เธอมองไปที่พิแสงแล้วแกล้งเดินผ่านในระยะสายตาของพิแสง พิแสงเหลือบมองมาเห็นเขมมิกแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ เขมมิกแกล้งทำเป็นล้มพลิกขาแพลงทันที
“โอ๊ย!!”
พิแสงตกใจแล้วหันไปเห็นเขมมิกล้มขาแพลงอยู่
เขมมิกร้องครวญครางน่าสงสารมาก “โอ๊ย เจ็บจังเลย โอ๊ย!”
พิแสงลังเลที่จะเข้าไปช่วย เขมมิกเพิ่ม level เสียงร้องและความเจ็บปวดให้ดังมากขึ้น
“โอ๊ย!!!! จะ จะ จะ เจ็บ!!”
พิแสงทำท่าจะวิ่งเข้ามา แต่แล้วเนตรนิภาก็ปาดหน้าวิ่งเข้ามาดูเขมมิกอย่างตกใจและเป็นห่วง ทำให้พิแสงชะงักยืนอยู่ที่เดิม
“เขม แกเป็นอะไร!” เนตรนิภาถาม
เขมมิกแอบเซ็ง “เนตร..แก...จะกลับมาทำไมตอนนี้”
“ฉันเปลี่ยนใจ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนแก”
เขมมิกพยายามเล็งพิแสงเพราะกลัวพิแสงจะหายตัวไป
“ขาแพลงเหรอ มาฉันช่วย ลุกไหวมั้ย”
พิแสงกำลังจะเดินกลับไป เขมมิกรีบร้องออกมาทันที
“ไม่ไหวอ่ะ โอ๊ย ทำไงดี เนตร แกคงอุ้มฉันไม่ไหวหรอก!”
พิแสงชะงักแล้วหันมา เขมมิกแอบยิ้มกริ่ม เนตรนิภามองเขมมิกงงๆ เขมมิกขยิบตาให้เนตรนิภาตามน้ำ
“อ๋อ...ว้า...ทำไงดีล่ะ เขม หรือว่าฉันต้องลากแกไปเหมือนลากกระเป๋า” เนตรนิภาว่า
พิแสงตัดสินใจเดินมาหาเขมมิกอย่างเสียไม่ได้แล้วอุ้มเขมมิกขึ้นมาทันที
“ว้ายๆๆๆๆๆๆ คุณพิแสง ไม่เป็นไรนะคะ เกรงใจ” เขมมิกทำเป็นพูด
“โอเค งั้นไม่อุ้ม” พิแสงจะวาง
เขมมิกเหนี่ยวคอพิแสงเอาไว้ “ว้ายๆๆๆ อุ้มแล้วอุ้มเลยค่ะ”
พิแสงมองเขมมิกเซ็งๆ แล้วก็เดินออกไป เขมมิกยิ้มแล้วยักคิ้วให้เนตรนิภาที่มองตามเพื่อนอย่างนับถือ
“มารยาจริงๆ” เนตรนิภาว่า
พิแสงอุ้มเขมมิกเดินมาจะเข้าบ้าน เนตรนิภาลากกระเป๋าตามมา เขมมิกแอบหัวใจเต้นแรงเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของพิแสง อนงค์และวาศิณีเดินมาที่บ้านพิแสงพอเห็นเข้าทั้งสองก็อึ้ง
เขมมิกเห็นอนงค์และวาศิณี ก็รีบออเซาะพิแสง
“อุ้มดีๆสิคะ ฉันจะตกแล้วนะ” เขมมิกบอก
“จะไม่ตกได้ไง ตัวโคตรหนักเลย”
เขมมิกกอดคอพิแสงแน่น “งั้นฉันจะเกี่ยวคุณไว้เอง กลัวตก อิอิ”
“เบาๆหาย...ใจ..ไม่...ออก”
พิแสงรีบเดินเข้าบ้านไป เขมมิกแอบยิ้มให้อนงค์และวาศิณี อนงค์และวาศิณียิ่งเหวอ
“แม่เห็นผู้หญิงคนนั้นยิ้มมั้ย” วาศิณีถาม
“ยิ้มท้าทายกันชัดๆ ผู้หญิงคนนี้มันร้าย แกเห็นหรือยัง!” อนงค์ฉุน
อนงค์รีบจูงวาศิณีเข้าบ้านตามไป
พิแสงวางเขมมิกลงบนโซฟา
“ขอบคุณนะคะ ไม่น่าทำให้คุณเสียเวลาเลย” เขมมิกกล่าว
“สำนึกตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ” พิแสงว่า
เขมมิกหันไปแอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อนงค์และวาศิณีเดินเข้ามา
“คุณเขมมิกเป็นอะไรคะ นายหัว” อนงค์ถาม
“ขาแพลงค่ะ” เขมมิกตอบ
“ถามนายหัวค่ะ” อนงค์บอก
เขมมิกและเนตรนิภาร้องพร้อมกัน “อ้าว....”
วาศิณีเดินเข้ามาเอาใจเขมมิกทันที “ขาแพลงเหรอคะ ตายจริง ปวดมากมั้ยคะเนี่ย น่าสงสารคุณเขมมิกจังเลยค่ะนายหัว”
เขมมิกมองวาศิณีแล้วเห็นความซื่อใสอยู่ในใบหน้า เธอหันไปสบตากับเนตรนิภา
เนตรนิภาพูดเบาๆ “แอ๊ปเปิ้ลสุดๆ”
“อืม...ลูกใหญ่มากด้วย”
“อยากทานแอ๊ปเปิ้ลเหรอคะ แม่จ๋า เรามีหรือเปล่าจ๊ะ” วาศิณีหันไปถามแม่
อนงค์ตอบห้วนๆ “ไม่มีอ่ะ ไม่ได้ซื้อ”
“ไม่ต้องซื้อหรอก เพราะเค้าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” พิแสงบอก
อนงค์และวาศิณีแอบสบตากันด้วยความดีใจ ซึ่งไม่รอดพ้นสายตาของเขมมิก
“คุณอนงค์ไปตามไอ้หมอมาดูขาเค้าทีซิ ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“มีหมอประจำฟาร์มด้วยเหรอคะ ดีจัง ไฮโซที่สุดอ่ะ” เขมมิกพูด
“มีสิ ก็ไอ้หมอปิ๊นไง” พิแสงบอก
“หมอหมูเนี่ยนะ!”
“รักษาได้เหมือนกัน ฉันคงไม่เสียเวลาพาเธอไปหาหมอที่อื่นหรอก”
พูดจบพิแสงก็เดินออกไป เขมมิกมองตามพิแสงด้วยความเจ็บใจ อนงค์เดินออกไป วาศิณีลุกขึ้นทันที แล้วก็เลิกแอ๊บเป็นใส่ใจ
“ขอตัวนะคะ พอดีต้องไปสรุปงานกับนายหัวค่ะ” วาศิณีบอก
วาศิณีเดินออกไป เขมมิกกับเนตรนิภามองตามอึ้งๆ
“โห....ยัยแอ๊ปเปิ้ล พอลับหลังนายหัวก็สะบัดบ็อบใส่เลยนะยะ” เขมมิกว่า
“ท่าทางแฟนนายหัวของแกจะไม่ใช่เล่นๆนะ” เนตรนิภาบอก
“ชีวิตเขมมิกมันไม่เคยง่ายเลยจริงๆแต่...ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอกแก”
เขมมิกลุกขึ้นยืนอย่างหมายมาด ปริญญ์เดินเข้ามาพอดี เขมมิกรีบลงไปนั่งทรุดเหมือนเดิม
“โอ๊ย...เจ็บบ”
“ให้ผมดูเท้าหน่อยนะครับ ข้างไหนครับ”
“ขวาค่ะ” เนตรนิภาพูด
แต่เขมมิกพูดออกมาพร้อมๆ เนตรนิภา “ซ้ายค่ะ”
“ตกลงข้างไหนกันแน่ครับ” ปริญญ์งง
“ทั้งสองข้างนั่นแหละค่ะ” เขมมิกบอก
เขมมิกยกเท้าทั้งสองข้างให้ปริญญ์แต่ในใจคิดแผนการที่จะอยู่ในฟาร์มนี้ต่อ
“จับไป ไม่เจ็บตรงไหนเลยเหรอครับ”
เขมมิกนึกขึ้นได้ว่าควรจะร้อง “โอ๊ย!”
ปริญญ์ยิ้มๆ เพราะรู้ทันเขมมิก
ขนิษฐาที่อ่อนเพลียมากกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านแต่ไม่ได้มีสมาธิกับการดูเพราะกำลังคิดมากถึงอาการของตัวเอง เปี่ยมพงษ์แต่งตัวหล่อเดินเข้ามา
“ขนิษฐา ฉันมีเรื่องจะปรึกษาจ๊ะ คือว่า...ฉันอยากจะออกไปเปิดหูเปิดตา”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ”
“แต่ว่า ถ้าหนูเขมรู้เข้า”
“ฉันไม่บอกหรอก ไปเถอะ”
เปี่ยมพงษ์เข้ามาหอมแก้มขนิษฐา “ขอบใจจ๊ะ แล้วฉันจะไปไหนรอด มีเมียที่แสนดีและเข้าอกเข้าใจอยู่ทั้งคน”
เปี่ยมพงษ์รีบเดินออกไปทันที ขนิษฐามองตามเปี่ยมพงษ์อย่างเศร้าใจก่อนจะหันไปถามพยาบาล
“เขมโทรมาบ้างมั้ยหนู”
“วันนี้ยังเลยค่ะ” พยาบาลตอบ
“ไปอยู่พัทลุง จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ขนิษฐาเป็นห่วงเขมมิกมาก ธรรมศักดิ์เดินเข้ามา
“อ้าว..คุณธรรมศักดิ์”
“สวัสดีครับ คุณขนิษฐา”
เขมมิกวางเท้าที่มีผ้าพันแผลข้างนึงลงกับพื้น
“พันข้างนึงก็พอนะครับ พันสองข้างเลยเดี๋ยวจะเดินไม่สะดวก” ปริญญ์บอก
เขมมิกงงๆ “ค่ะๆ”
ปริญญ์เก็บกล่องเครื่องมือ
“คุณเป็นหมอหมูไม่ใช่เหรอคะ มีอุปกรณ์สำหรับปฐมพยาบาลคนด้วยเหรอคะ” เนตรนิภาถาม
“อ๋อ ก็เอาของหมูมาใช้เนี่ยล่ะครับ ใช้กันได้ครับ”
เขมมิกแอบเซ็ง
“กะว่าสักกี่วันถึงจะหายดีล่ะครับ ผมจะได้บอกคุณพิแสงถูก”
เขมมิกกับเนตรนิภาอึ้ง ทั้งสองมองหน้ากันโดยหน้าเสียทั้งคู่ ปริญญ์ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้
“สักอาทิตย์หนึ่งดีมั้ยครับ ค่อยเอาผ้าออก ระหว่างนี้คุณก็ยังไม่ควรเดินทางไปไหน ควรจะพักอยู่ที่นี่”
“โอ๊ย หมอ เริ่ดอ่ะ แฮปปี้เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่สุด”
เขมมิกเข้าไปจับมือปริญญ์แสดงความขอบคุณจนปริญญ์เขิน พิแสงเดินเข้ามากับวาศิณีพอดีทำให้เห็นเขมมิกกับปริญญ์กำลังจับมือกัน พิแสงไม่พอใจ ส่วนวาศิณีก็แอบไม่พอใจเหมือนกัน
“เสร็จหรือยัง!!” พิแสงถาม
เขมมิกกับปริญญ์สะดุ้งแล้วรีบชักมือกลับทันที ปริญญ์สบตากับวาศิณีแล้วรีบหลบ
“เสร็จแล้วค่ะ” เขมมิกบอก
“พรุ่งนี้กลับกรุงเทพไปเลย”
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อย เรื่องอาการของคุณเขมมิก”
พิแสงอึ้ง เขามองเขมมิกที่ส่งสายตาเศร้าสร้อยทำท่าบาดเจ็บมากแล้วพิแสงก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
ปริญญ์กำลังจะเดินกลับ เขมมิกเดินกะเผลกๆ ออกมา
“เดี๋ยวค่ะ หมอปิ๊น”
“มีอะไรเหรอครับ”
“ทำไมถึงช่วยฉัน คุณรู้ว่าฉัน..” เขมมิกพูดเบาๆ เพราะกลัวใครได้ยิน “ไม่ได้ขาแพลงจริง”
“ผมอยากให้คุณได้พิสูจน์ตัวเองครับ” ปริญญ์บอก
“พิสูจน์ตัวเอง ยังไงคะ”
“แค่ความผิดพลาดครั้งเดียว ไม่ควรเป็นตัวตัดสินว่าคุณจะทำงานที่นี่ไม่ได้”
“โห....”
วาศิณีเดินออกมาเห็นเขมมิกกับปริญญ์ยืนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งก็แอบฟัง
“ผมเข้าใจความรู้สึกคุณนะ ถ้าคุณต้องแพ้โดยที่ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเอง คุณพิแสงปากร้ายแต่ใจดี ง้อๆหน่อยเดี๋ยวก็ใจอ่อนยอมรับคุณให้ทำงานต่อสู้ๆนะ”
“ค่ะ เขมมิกสู้ สู้!!!” เขมมิกให้กำลังใจตัวเอง
ปริญญ์ชอบใจกับท่าทางของเขมมิกก็เผลอยิ้มออกมาอย่างชื่นชมก่อนจะรู้สึกตัวจึงรีบดึงตัวเองกลับ
“เอ่อ ผมขอตัวนะครับ”
ปริญญ์รีบเดินออกไปทันที...
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ หมอปิ๊น...แล้วเจอกันนะคะ บาย!!”
เขมมิกเดินกลับแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะกะเผลกเลยเดินกะเผลกเข้าบ้านไป วาศิณี ไม่พอใจที่เห็นเขมมิกกับปริญญ์สนิทสนมกัน
เขมมิกเดินเข้ามา ชมพู่เดินออกมาจากในบ้าน
“กำลังจะออกไปตามเลยค่ะ นายหัวรอทานข้าวอยู่นะคะ” ชมพู่บอก
“อ่อเหรอ...งั้น..ให้รอต่อไปอีกหน่อยดีกว่านะ”
“ไม่ดีหรอกค่ะ อย่าทำให้นายหัวโมโหหิวเลยนะคะ ไม่ดี”
“อารมณ์ไหนของนายหัวเธอก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่แค่ตอนโมโหหิวหรอก ฉันชินแระ”
ปุ๊กลุ๊กวิ่งมา เขมมิกเห็นเข้าก็ชอบ
“อุ๊ย หมูเด็ก น่ารักอ่ะ ของใครอ่ะชมพู่” เขมมิกอุ้มปุ๊กลุ๊กขึ้นมา
“หมูของนายหัวค่ะ มีชื่อด้วยนะคะ”
“ชื่ออะไรเหรอ”
เสียงพิแสงดังขึ้น “ชื่อปุ๊กลุ๊ก!”
เขมมิกอึ้งจนตัวแข็ง เธอหันไปก็เห็นพิแสงเดินเข้ามาแย่งปุ๊กลุ๊กคืนไป
“คุณเอาชื่อนี้มาจากไหน” เขมมิกถาม
“เรื่องของฉัน...และนี่ก็หมูของฉัน อย่าถือวิสาสะอุ้มโดยไม่ได้รับอนุญาต จะกินข้าวมั้ย หรือไม่กิน จะได้ไม่ต้องให้เขาเตรียมจาน”
เขมมิกตัดบท “กินสิ ! โอย! วันทั้งวันจะมีสักช่วงมั้ยคะ ที่อารมณ์ดี”
“ตั้งแต่เธอมา ทุกช่วง ฉันอารมณ์เสีย” พิแสงว่า
พิแสงอุ้มปุ๊กลุ๊กหายเข้าบ้านไป เขมมิกกำมือแล้วกัดฟันกรอด
“อดทนไว้ อดทนไว้”
“ถูกค่ะ...ทำการใหญ่เราต้องอดทนค่ะ” ชมพู่บอก
เขมมิกเอะใจจึงมองหน้าชมพู่ “การใหญ่อะไรของเธอจ๊ะ”
“เพื่อคนที่เรารักไงคะ ไปค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ”
ชมพู่เดินนำเขมมิกออกไป เขมมิกยังติดใจชื่อปุ๊กลุ๊ก
“ปุ๊กลุ้กเหรอ?”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 4 (จบตอน)
เนตรนิภาที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วคุยกับเขมมิกซึ่งใส่ชุดนอนปอนๆ
“ไม่เห็นจะแปลกเลยแก หรือแกจะให้เรียกหมูตัวอ้วนกลมว่านวลนาง” เนตรนิภาบอก
“ไม่เห็นจะเข้าเลย” เขมมิกว่า
“เออ ก็นั่นสิ..ทำไม แกสงสัยอะไร”
“ก็...เป็นชื่อเดียวกับที่พี่เสือเรียกฉัน...มันสะกิดใจฉันขึ้นมาอีก”
“ไม่เอาน่าอย่าคิดมาก เรื่องแบบนี้มันบังเอิญกันได้”
“ใช่ บังเอิญว่านายเสือยิ้มยากนั่น ดันมีส่วนคล้ายพี่เสือ ช่างมันเหอะ..คิดขึ้นมาทำไมอีกน้า”
“เพราะงี้ไง ฉันถึงต้องกลับมาหาแก...แกต้องการเพื่อนคุยและปรับทุกข์ คุยกับตัวเองคงไม่สนุกเท่าไหร่”
“เหรอ แค่เนี้ย?”
“และฉันต้องการกันนายกนธีนั่นให้ห่างแก ไม่งั้นภารกิจแกยุ่งยากแน่ว่าแต่ว่า ฉันยังไม่ได้ขออนุญาตคุณพิแสงเลยอ่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เขมมิกถาม “ใครคะ”
ไม่มีเสียงตอบออกมา
“ฉันถามว่าใคร”
“เจ้าของบ้าน” พิแสงบอก
“ตายยากจริง! เค้ามาหาฉันถึงห้องนอนอ่ะแก!! ว้าย..ชุดนอนไม่เซ็กซี่อ่ะ”
เขมมิกรีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วรื้อหาชุดใหม่
ประตูห้องเปิดออก เขมมิกในชุดนอนเซ็กซี่ลายลูกไม้มีเสื้อคลุมสยายผมต่อหน้าพิแสง พิแสงหายใจไม่ทั่วท้องและพยายามไม่มอง
เขมมิกทำเสียงหวาน sexy “มีอะไรเหรอคะคุณพิแสง”
“เพื่อนเธอ จะอยู่นานแค่ไหน” พิแสงถาม
เนตรนิภาเดินมายืนข้างเขมมิก
“อยู่เป็นพยานค่ะ ว่าคุณจะทำตามคำพูดที่ได้รับปากคุณลุงธรรมศักดิ์ว่าจะรับเขมมิกมาฝึกงานจนกว่าจะทำงานเป็น แต่ได้ข่าวว่าคุณพยายามจะไล่เขม”
“เพราะเพื่อนคุณมัน...”
เขมมิกสยายผมอีก “มันอะไรคะ...”
พิแสงอึ้งแต่พยายามไม่มอง “งี่เง่า”
“ก็...เนี่ยค่ะ นิสัยของเขม...งี่เง่าแต่เร้าใจ...มั้ยคะ”
“เชิญคุณอยู่ตามสบาย แต่...ขออย่างเดียว อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายเหมือนที่เพื่อนคุณชอบทำ ไม่งั้นผมไล่เปิง”
พูดจบพิแสงก็ปิดประตูเดินออกไป
“ผู้ชายอะไรดิบเถื่อน กักขฬะ นี่ฉันยั่วขนาดนี้แล้ว ก็ระเบิดต่อมในตัวเค้าไม่ได้สักต่อม” เขมมิกว่า
“เค้าอาจจะกำลังเก็บกดซ่อนอารมณ์อยู่ก็ได้”
“ขอบใจมากเนตร แกทำให้ฉันไม่ลืมสโลแกนของชาวเรา เป็นนางฟ้าต้องคิดบวกฮ่ะ”
เขมมิกยิ้มอย่างมีความหวัง
พิทยาเดินเข้ามาที่หน้าบ้านขนิษฐาแล้วจะกดกริ่ง แต่เห็นขนิษฐาเดินออกมาส่งธรรมศักดิ์พอดี
พิทยาตกใจ “คุณธรรมศักดิ์!!”
พิทยารีบหลบออกไปจากหน้าบ้าน
ขนิษฐาพูดกับธรรมศักดิ์ “ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาเยี่ยม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรับปากคุณเขมเอาไว้ ว่าผมจะมาดูคุณทุกวัน”
“ฉันก็มีทั้งเปี่ยมพงษ์ และก็หนูพยาบาล”
“แต่ไม่เห็นคุณเปี่ยมพงษ์” ธรรมศักดิ์ว่า
“เขาออกไปซื้อของน่ะค่ะ เดี๋ยวก็กลับ”
ธรรมศักดิ์รู้ทันแต่ไม่ขัด “ครับ....งั้นผมลา”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
“ครับ”
“ฉันเป็นโรคอะไร”
ธรรมศักดิ์อึ้งก่อนจะยิ้มออกมา “เป็นโรคตับอักเสบอีกนิดก็เป็นตับแข็งครับ”
“แค่นี้เองเหรอ ทำไมยามันเยอะเหลือเกิน”
“ครับ แค่นี้ อย่ากังวลไปเลยครับ อีกไม่นานก็หาย”
ธรรมศักดิ์เดินออกไป ขนิษฐาถอนใจแล้วเดินเข้าบ้านไป พิทยาเดินออกมาจากมุมมืดที่เข้าไปแอบเมื่อสักครู่ด้วยความแปลกใจสงสัย
“คุณธรรมศักดิ์ มาที่นี่ได้ยังไง?”
เขมมิกคุยมือถือกับธรรมศักดิ์
“ขอบคุณมากนะคะลุง...” เขมมิกบอก
“ผมบอกแม่คุณว่าคุณยุ่งมากจนไม่มีเวลาโทรหา...ตกลงยุ่งจริงๆหรือเปล่า ทำไมไม่โทรหาท่านบ้าง”
“โอย...ยุ่งจริงๆสิคะ...งานนี้ไม่หมูเลยนะจะบอกให้ กว่าจะทำให้ตานั่นเลิกถามถึงเหตุผลของการมาของฉันได้ ซึ่งตอนนี้ก็ใช่ว่าจะเลิกสงสัย”
“คุณพิแสงเป็นคนฉลาดมาก คุณต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้มีพิรุธ”
“จะทำให้สุดฝีมือเลยค่ะ”
“แม่คุณสงสัยนะว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ สักวันท่านก็ต้องรู้นะคุณเขม เมื่อวันที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยคีโม”
“ฉันรู้ แต่...ฉันไม่แน่ใจว่ากำลังใจของแม่จะเป็นไงบ้างถ้ารู้ตอนนี้ เอาเถอะค่ะ ไว้ฉันจะเป็นคนบอกกับแม่เอง แล้วเปี่ยมพงษ์ล่ะคะ”
“ปกติดีครับ...คุณสบายใจเถอะ รีบทำภารกิจให้เสร็จสิ้น จะได้รีบมาดูแลคุณแม่”
“ขอบคุณค่ะลุง”
เขมมิกวางสายแล้วถอนใจเมื่อนึกถึงภารกิจในวันพรุ่งนี้ก็หนักใจ
แสงสุดารับประทานอาหารเช้าอย่างไม่สะดวกใจตรงกันข้ามกับพิสุทธิ์ที่ตั้งใจเสพข่าวจาหนังสือพิมพ์ไปด้วย แสงสุดาเหลือบมองพิทยาที่จ้องมาที่เธออย่างใช้ความคิด ในขณะที่พิสิณีรับประทานอาหารอยู่ข้างๆ
แสงสุดาทนไม่ไหวจึงวางมือจากอาหาร “หน้าแม่เป็นอะไรเหรอตาพีท”
พิทยาสะดุ้ง “เอ่อ ไม่มีอะไรครับ..ผม..เอ่อ...”
“ทำไม หน้าแม่เค้ามีรอยตีนกาเพิ่มเหรอ ไหนผมดูซิ” พิสุทธิ์ยื่นหน้ามา
“ไม่มี!” แสงสุดารีบบอก
“นั่นสิ หน้าออกจะตึงสามสิบปีที่แล้วตึงยังไง ตอนนี้ก็ตึงอย่างนั้น ไปทำงานดีกว่า” พิสุทธิ์บอก
“ผมไปด้วยครับคุณพ่อ”
พิทยารีบลุก
“แต่คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะคะพีท” พิสิณีบอก
“ทานแค่กาแฟก็พอ...คุณล่ะเรียบร้อยหรือยัง”
พิสิณียังกินไม่เรียบร้อย แต่ก็ยอมตามใจพิทยา “เอ่อ ค่ะ...เรียบร้อยพอดีค่ะ ไปนะคะคุณแม่”
“จ๊ะ”
พิสิณีลุกขึ้นเดินตามพิทยากับพิสุทธิ์ไป พอแสงสุดาเห็นทุกคนคล้อยหลังก็รีบหยิบมือถือมา
พิทยาเดินเคียงคู่กับพิสิณีเพื่อจะไปขึ้นรถของตัวเอง พิสุทธิ์ที่เดินตามหลังสังเกตสองสามีภรรยา แล้วก็ทักขึ้นมา
“ใจคอเราสองคนจะทำแต่งาน แล้วไม่คิดจะไปฮันนีมูนกันบ้างเลยหรือไง”
พิทยากับพิสิณีชะงักแล้วหันมามองหน้ากันยิ้มๆ
“ก็คิดไว้เหมือนกันค่ะ”
พิทยาตัดบท “แต่ผมอยากจะทำโครงการที่ค้างไว้ให้เสร็จก่อนนะครับ ไม่งั้นคงเที่ยวกันไม่สนุก ว่ามั้ยจ๊ะที่รัก”
พิสิณีซึมลง เพราะใจจริงอยากเที่ยว “ค่ะ”
“งานเป็นเครื่องพิสูจน์เราก็จริง แต่อย่าลืม ไม่มีใครประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงถ้าล้มเหลวเรื่องครอบครัวนะตาพีท” พิสุทธิ์บอก
“เอ่อ ครับ”
“หยุดเรื่องงานไว้ก่อน ไปฮันนีมูนซะ พ่ออนุญาต”
พิสุทธิ์เดินไป พิทยาเห็นใบหน้าของพิสิณีที่ไม่สบายใจก็รีบเอาใจทันที
“ผมขอโทษ...ที่ทำงานจน...ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของคุณเลย”
“ถ้าคุณไม่อยากไป สิณีก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ”
“ไม่จริง..ผมรู้ว่าคุณอยากไปฮันนีมูน...ผมตามใจคุณนะ ไปไหนกันดี”
พิทยาโอบพิสิณีแล้วคุยกระหนุงกระหนิงกันไป
แสงสุดาคุยโทรศัพท์ในมุมลับที่บ้าน
“เหตุการณ์ราบรื่นมั้ย” แสงสุดาถาม
“อู๊ย..ใจหายใจฟ่ำค่ะน้องไบร์ทขา” ชมพู่บอก
“มีเรื่องอะไร”
“นายหัวไล่คุณเขมเปิงยังกะไล่หมูไล่หมา คุณเขมก็ช่างอึดฮึดสู้ทนซะยิ่งกว่า...”
“สรุป!”
“นายหัวยอมให้คุณเขมฝึกงานแต่โดยดีแล้วค่ะ”
“แล้วยัยสองแม่ลูกนั่นล่ะ มันแสดงฤทธิ์เดชอะไรบ้างมั้ย” แสงสุดาถามต่อ
“โหะๆๆๆ...ยังค่ะ คลื่นลมสงบมากค่ะน้องไบร์ท”
“คลื่นลมสงบมากผิดปกติ แสดงว่าอีกไม่นานมันจะเกิดพายุ”
“พายุ!!”
เขมมิกในชุดทะมัดทะแมงที่ไม่ได้เซ็กซี่แล้วกับเนตรนิภามองอาหารเช้าตรงหน้าที่เป็นน้ำเปล่าคนละแก้ว อนงค์ยืนหน้าเฉยอยู่ข้างๆ
“ป้าคะ...พวกหนูเป็นคนนะคะ ต้องการอาหารเช้าที่ครบห้าหมู่ ไม่ใช่ต้นบอนไซแคระ ที่ใช้น้ำแค่แก้วเดียวรดแล้วก็พอ” เขมมิกว่า
เนตรนิภาหลุดขำ
“อ้าวตายจริง ไม่ทราบนี่คะ เห็นหุ่นแต่ละคน ไม่รู้ว่าเอาไส้ไปไว้ที่ไหน กลัวกินเข้าไปแล้วจะไม่มีที่เก็บ” อนงค์บอก
“โอ๊ยย ป้าคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ เห็นพวกหนูอย่างนี้ กินดะค่ะ เผลอๆหัวคนก็กินนะคะ ยิ่งหัวหงอกๆเนี่ย ยิ่งชอบกิน...ถ้าโมโหหิว” เขมมิกบอก
อนงค์ไม่พอใจ “จะทานอะไรล่ะคะ”
“นายหัวทานอะไร พวกหนูก็ทานอย่างนั้นค่ะ” เขมมิกบอก
“ค่ะ”
อนงค์เดินออกไปอย่างไม่พอใจ เขมมิกและเนตรนิภาหันมาหัวเราะชอบใจ พิแสงเดินเข้ามาถาม
“พร้อมหรือยัง!”
เขมมิกตกใจ “พร้อมอะไรคะ!”
พิแสงลากตัวเขมมิกออกไป เนตรนิภาจะเดินตาม
พิแสงพูดกับเนตรนิภา “ไม่ต้องตาม!”
เนตรนิภารีบนั่ง “ค่ะ”
พิแสงลากตัวเขมมิกที่เดินกะเผลกมาตามทาง
“โอ๊ย คุณพิแสง ช้าๆได้มั้ย ฉันเจ็บเท้าอยู่นะ เดินไม่ถนัด เจ็บ! จะพาฉันไปไหน”
“ทำงาน” พิแสงตอบห้วนๆ
“หมอปิ๊นบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้ฉันพักห้าวัน”
พิแสงชี้ไปที่เท้าของเขมมิก “งู!!”
เขมมิกตกใจ “งู!!”
เขมมิกตกใจกระโดดตัวลอยไปกอดพิแสงแล้วเต้นเร่าๆ โดยลืมเจ็บข้อเท้า
“อี๊!! งูๆๆๆๆๆ ฉันกลัวงู อี๊!!”
พิแสงมองขาของเขมมิกที่เต้นเป็นปกติ
“น่านไง...ว่าแล้ว”
เขมมิกอึ้ง “ว่าอะไร”
“เมื่อกี้ทำอะไร” พิแสงถาม
“เต้น” เขมมิกตอบ
“แล้วลืมอะไร”
“ลืมว่าตัวเองขาเจ็บ”
“เออ!!! ซึ่งไม่ได้เจ็บจริง!”
เขมมิกจ๋อย “ฉัน...”
“คราวนี้จะใช้มารยาอะไรกับฉันอีก เขมมิก”
“ฉันยอมรับว่าฉันโกหก แต่รู้มั้ยทำไม”
“พอเหอะ ขี้เกียจจะฟัง ตอนนี้เธอมันเป็นเด็กเลี้ยงแกะ”
พิแสงเดินหนี เขมมิกเซ็ง
“พัง พังอีก โอ๊ย!!”
เขมมิกงุ่นง่านไม่รู้จะเอายังไงดี
เนตรนิภาร้อนใจอยู่
“เขมแก..เป็นไงบ้างเนี่ย !”
เนตรนิภาเดินไปจะไปหาเขมมิกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อกนธีเดินมา
“มาทำไม!” เนตรนิภาถาม
“ถามทำไม รู้ทั้งรู้”
“นั่นสินะ...มาหาเขมเหรอ...ขอโทษนะ เขมไปทำงานไม่ว่าง”
“รู้ ไม่เป็นไร ผมรอได้”
กนธีเดินออกไปทางหนึ่ง เนตรนิภาเดินตามกนธีไปทันที
พิแสงเดินมา เขมมิกวิ่งตามมาตะโกนลั่น
“ฉันต้องการโอกาสจากคุณ ฉันถึงต้องโกหกคุณ!”
พิแสงหยุดเดินแล้วหันมา “โอกาสอะไร”
“โอกาสพิสูจน์ว่าฉันทำได้ ฉันซื้อเวลาเพื่อจะได้ง้อคุณ ให้คุณเปลี่ยนใจ ฉันขอโทษที่ทะเล่อทะล่าเข้าไปขัดขวางงานสำคัญ แต่นั่นเพราะเกิดจากความไม่รู้”
พิแสงอึ้ง
“คนไม่รู้ ไม่ผิดนะ” เขมมิกบอก
พิแสงอ่อนลง “ใช่ คุณไม่รู้”
“แต่ฉันพร้อมจะเรียนรู้ ขอโอกาสให้ฉันได้มั้ย”
“คุณมุ่งมั่นที่จะฝึกงานกับหมูของผมให้ได้เลยใช่มั้ย”
“ใช่! ฉันยอมทำได้ทุกอย่าง เพื่อให้ได้ทำงานที่นี่”
พิแสงอึ้ง เขมมิกแอบลุ้นให้พิแสงใจอ่อน
กนธีเดินตามหาเขมมิก
“คุณเขมครับ...คุณเขม”
เนตรนิภาเดินตามมาตีคู่ “นี่...ไม่รู้เหรอ ว่าเขมมีคู่หมั้นแล้ว”
กนธีอึ้ง เขาหันมองเนตรนิภาด้วยความตกใจ
“คุณเขม มีคู่หมั้นแล้ว!”
“ใช่!!! และเมื่อเขมเสร็จสิ้นภารกิจที่นี่ เขาก็จะไปแต่งงานกับคู่หมั้นที่เดนมาร์ก” เนตรนิภาบอก
กนธีตกใจอีก “ไปอยู่ต่างประเทศ”
“ใช่! เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากตกนรกปีนต้นงิ้ว ก็ช่วยมาทางไหนไปทางนั้น”
กนธีเดินเหม่อลอยกลับไปทางเดิม
“ฉันบอกให้มาทางไหนไปทางนั้น ไม่ใช่ทางนี้”
“ทางนี้แหละถูกแล้ว! เพราะฉันไม่สน คู่หมั้นยังไม่ใช่สามี มีสิทธิ์เปลี่ยนใจเพราะยังไม่มีอะไรผูกมัด เสียใจ แผนเธอไม่สำเร็จ”
กนธีวิ่งหนีเนตรนิภาไป เนตรนิภาเจ็บใจ
“โอย...ดื้อด้าน...”
เนตรนิภาวิ่งตามกนธีไปอีก
เขมมิกเดินเข้าที่คอกหมู
“ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาสฉัน” เขมมิกบอก
“ฉันให้โอกาสเธออีกครั้ง ถ้าเธอทำให้ฉันเห็นว่าเธอทำได้” พิแสงพูด
“ฉันทำได้ทุกอย่าง บอกมาเลยว่าให้ทำอะไร”
“ล้างคอกหมูแม่พันธุ์”
เขมมิกเห็นคอกหมูกว้างและยาวเหยียด เขมมิกอ้าปากค้างกลืนน้ำลายเอื้อก
“ทั้งหมด คนเดียว!” พิแสงย้ำ
“ทั้งหมด พูดผิดพูดใหม่ได้นะคะ”
“ทั้งหมด! คนเดียว!”
เขมมิกจะเป็นลม
“โอกาสเธอหมดแล้ว เนี่ยเหรอ...มุ่งมั่น หึ..น้ำลาย”
เขมมิกเด้งตัวขึ้นมา “ฉันทำได้”
เนตรนิภาเดินมาแต่ไม่เห็นกนธีแล้ว
“ไปไหนแล้วอ่ะ โอย!!”
เนตรนิภาเดินออกไป กนธีที่แอบอยู่ข้างทางหัวเราะสะใจก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง
4.4.4
หลอดและเสริมกำลังสาธิตให้เขมมิกดูวิธีการล้างคอกหมู พิแสงยืนดูอยู่อย่างสะใจ ปริญญ์เดินเข้ามา
“ไม่โหดไปหน่อยเหรอครับ คุณพิแสง” ปริญญ์ถาม
“อยากไปช่วยป่ะล่ะ ไหนๆก็ช่วยกันโกหกกันมาตั้งแต่แรกแล้วนี่” พิแสงย้อนถาม
“ผม...เพียงแต่...”
“แกเป็นคนดีนะไอ้หมอ แต่ระวังยัยนั่น เค้าจะทำให้แกเสียหมอ”
“คุณมองคนในแง่ร้ายเกินไป”
“ฉันมองโลกในแง่ความเป็นจริงมากกว่า” พิแสงตะโกน “เฮ้ย ไอ้หลอด ไอ้เสริม สอนพอแล้ว ปล่อยให้เค้าทำเอง”
“ครับนายหัว!” หลอดรับคำ
หลอดและเสริมวางอุปกรณ์ไว้ให้เขมมิก เขมมิกยืนเอ๋ออยู่ชั่วครู่
“ใครขัดคำสั่งโดยการแอบช่วยเด็กฝึกงาน ฉันไล่ออก!” พิแสงบอก
หลอดกลัว “ไอ้หยา! ใครจะกล้า”
“ใครมีงานอะไรทำก็ไปทำ เขมมิก!” พิแสงเรียก
เขมมิกรับคำ “คะ?”
“ก่อนเที่ยง ต้องเสร็จ!”
เขมมิกตกใจ “หา!”
พิแสงเดินออกไป ปริญญ์เห็นใจเขมมิกแต่ก็เดินออกไปกับพิแสง หลอดและเสริมเดินตามไป เขมมิกยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางคอกหมู
“หึ....ถึงชุดไม่พร้อม แต่ใจฉันพร้อม ฉันจะเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสคอยดู แผนร้ายยัยเซ็กซี่เฟสสาม!”
พิแสงยืนมองทีเด็ดอย่างเหนื่อยใจ
“ไอ้หลอด ไอ้เสริม ไปกระตุ้นมันหน่อย”
หลอดกับเสริมทำท่าเซ็งมาก
“ให้ไอ้เสริมได้มั้ยนายหัว ตอนนี้ผมหลอนไปหมด”
“หลอนอะไร” พิแสงถาม
“เห็นแต่ทีเด็ดของไอ้ทีเด็ดมาพักใหญ่ๆ จนฝันเห็นลอยเต็มหน้าไปเหม็ดแล้วนิ” หลอดบอก
“ขอพักก่อนได้มั้ยนายหัว ไอ้ทีเด็ดก็คงอยากจะพักเหมือนกัน”
พิแสงมองทีเด็ดที่นิ่งซึมอยู่
“ว่าไง หมอ ไอ้ทีเด็ดมันว่าไง” พิแสงถาม
ปริญญ์ตอบ “เซ็งครับ”
“เออ พักก็พัก”
คนงานส่งเสียงวี้ดวิ้วกันมาแต่ไกล พิแสง ปริญญ์ หลอด และเสริมมองตาม คนงานเฮกันไปทางคอกหมูที่พิแสงให้เขมมิกทำความสะอาด
พิแสงแปลกใจ “มีอะไร”
พิแสง ปริญญ์ หลอด และเสริมฝ่าฝูงคนงานเข้ามาแล้วก็อึ้งตะลึงค้างเมื่อเห็นเขมมิกกำลังฉีดน้ำเป็นฟองฝอยกระซ่านกระเซ็นจนชุดเปียกลู่แนบเนื้อเหมือน pretty โชว์ล้างรถ พิแสงอ้าปากค้าง เขมมิกเห็นพิแสงก็ยิ่งจงใจล้างคอกหมูด้วยท่าที่ยั่วยวนมากขึ้นไปอีก
กนธีได้ยินเสียงเป่าปากปิ๊ดปิ้วดังมาแต่ไกล
“เสียงไรวะ”
กนธีเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อจะไปดูด้วยความอยากรู้ แต่แล้วเนตรนิภาก็วิ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้
“เฮ้ย...ตามมาตอนไหนเนี่ย” กนธีตกใจ
“ตอนที่นายไม่รู้ตัวไง...ฉันไม่โง่!” เนตรนิภาบอก
“ถอยไป”
“ก็ได้..”
กนธีแปลกใจ “ทำไมคราวนี้ ยอมถอยง่ายจัง”
“เพราะฉันรู้ไง ว่าคนอย่างนายดื้อด้าน ขวางไปก็เท่านั้น ฉันมาก็เพื่อที่จะบอกว่า...อยากจะทำอะไรก็ทำ เชิญ ฉันจะไม่ขวางทางนายอีกต่อไป”
เนตรนิภาถอยออกให้กนธีเดินไป
“ไม่ขวางแน่นะ”
“แน่สิ!”
กนธีรีบเดินไป เนตรนิภากระโดดตะครุบหลังกนธีทันที
“แต่ฉันจะตามนายไปทุกที่!” เนตรนิภาบอก
“เฮ้ย!”
“นายไปไหน ฉันไปด้วย !!! ไปสิ!!”
“ปล่อยนะ ยัยเพี้ยน!! ปลิง!”
กนธีพยายามสลัดเนตรนิภาออกไป ในขณะที่เนตรนิภาก็เกาะไม่ยอมปล่อย
เขมมิกยังคงตั้งใจล้างคอกหมูด้วยท่วงท่าเย้ายวนเซ็กซี่ พิแสง ปริญญ์ หลอด และเสริมมองแบบอ้าปากค้างท่ามกลางกลุ่มคนงานที่จ้องมองเขมมิก
“คุณพิแสง...จ้างคุณเขมให้เป็นพริตตี้คอกหมูด้วยเหรอครับ” ปริญญ์ถาม
พิแสงมองปริญญ์ตาเขียว
“โอเคครับ ไม่ได้จ้าง”
“เขมมิก พอได้แล้ว!” พิแสงสั่ง
เขมมิกตั้งใจเดินเลื้อยมาล้างคอกหมูใกล้ๆ พิแสง กนธีและเนตรนิภาวิ่งไล่กันมาจนเห็นลีลาเขมมิกล้างคอกหมู
กนธีตาโต “โอว ตะลึง ตึง ตึง”
“ไอ้เขม!!!! ทำอะไรน่ะ” เนตรนิภาเสียงดัง
เขมมิกจงใจส่งสายตายั่วยวนเร้าใจให้พิแสง “กำลังล้าง...ขัด...ถู...หัวใจ เอ้ย...คอกหมู ตามคำสั่งคุณพิแสง”
“เขมมิก บอกให้พอ....” พิแสงย้ำ
เขมมิกยังไม่หยุด เธอใส่ความแรงเพิ่มจนทุกคนฮือฮา พิแสงต้องเบือนหน้าหนี อนงค์และวาศิณีเข้ามา เห็นเขมมิกกำลังเลื้อยก็ตกใจและรับไม่ได้
5.1.1
เขมมิกเห็นสองแม่ลูกเดินมาก็ยิ่งเพิ่ม level ความเย้ายวนใกล้ชิดพิแสงมากขึ้นไปอีกเพื่อเย้ยอนงค์และวาศิณี คนงานยิ่งโห่ฮา
พิแสงทนไม่ไหว “ฉันบอกให้พอ!”
เขมมิกหยุดกึก คนงานหยุดโห่ฮา ทุกคนจ๋อยไป
เขมมิกทิ้งสายฉีดน้ำอย่างเซ็งๆ “พอก็พอ เสร็จพอดี!!! เป็นไง สะอาดวิ้งๆเลยมั้ย”
พิแสงมองไปรอบๆคอกหมูก็เห็นว่าสะอาดจริง
“ทุกคนคะ...ให้เขมผ่านมั้ยคะ” เขมมิกหันไปถาม
คนงานทุกคนยกเว้นพิแสง อนงค์ และวาศิณีตอบออกมา “ผ่าน!!”
ทุกคนปรบมือ เขมมิกดีใจจึงวิ่งไล่แตะมือกับทุกคน
พิแสงกุมขมับ เขมมิกวิ่งมาหยุดตรงหน้าพิแสงแล้วส่งสายตาหวาน เชื่อม เพื่อเย้ยวาศิณีและอนงค์
“ดูเวลาสิคะ...”
พิแสงดูนาฬิกาก็เห็นว่าอีกห้านาทีเที่ยง
“ไม่ถึงเที่ยงด้วยครับ เสร็จก่อนเวลา” ปริญญ์บอก
“เขมทำได้!!! เยส!!” เขมมิกดีใจวิ่งไล่แตะมือกับทุกคนอีกรอบ แล้ววนกลับมาหาพิแสง
“เห็นมั้ยคะ ว่าฉันทำได้ ห้ามผิดคำพูดนะคะ นายหัว...”
“ได้...เธออยู่ที่นี่เพื่อฝึกงานต่อไปได้” พิแสงบอก
“กรี๊ดอ่ะ ดีใจที่สุด”
“ยัยถึกเอ้ย” พิแสงว่า
ติดตาม "แผนร้ายพ่ายรัก" ตอนที่ 5