สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 4
เช้าวันต่อมา...อากาศสดใส มีเสียงนกร้องดังเจื้อยแจ้ว ทีมงานค่อยๆเดินสะลึมสะลือ
ออกจากเต็นท์ ธราธรยืนเปลือยท่อนบนอยู่หน้ากระจก ผิวสีแทน กล้ามเป็นมัด แน่นเปรี๊ยะ ธราธรหันไปคว้าเสื้อมาใส่ แล้วสะพายกระเป๋าใส่เงิน เป็นกระเป๋าประจำตัว ข้างในมีเงินที่เบิกมาจากทางหน่วยงาน เขาแต่งตัวเตรียมออกไปจ่ายตลาด ชินกรเดินเข้ามา เพิ่งอาบน้ำเรียบร้อย ยังไม่ได้แต่งตัว พอเห็นธราธรแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ถามขึ้น
“คุณชายแต่งตัวเร็วจริง จะไปตลาดเลยหรือเปล่าครับ”
“ครับ พอดีพี่พรานอ่อนศรีบอกว่าป้าปลั่งที่เป็นแม่ครัวป่วย คงมาดูแลเรื่องอาหารให้เราไม่ได้แล้วผมเลยต้องพาแม่ครัว” ธราธรชะงัก รีบแก้ “เอ่อ...พ่อครัวจำเป็นไปจ่ายตลาดแทน”
ชินกรสงสัย
“ใครครับพ่อครัวจำเป็น”
ชินกรถามด้วยความสงสัย
ตลาดยามเช้า เป็นตลาดแบบบ้านๆ ขนาดไม่ใหญ่ มีชาวบ้านเก็บของป่ามาขายมากมาย มีทั้งผัก ผลไม้ ละลานตา ระวีรำไพ และ เกษรา อยู่ในชุดผู้ชาย เดินซื้อของด้วยความตื่นตาตื่นใจ ธราธรเดินตามคอยจ่ายเงินและถือของ บางจังหวะเกษราหลุดหยิบของเป็นท่าผู้หญิงส่งให้คนขายที่เป็นลุงหน้าเถื่อนๆ ลุงมองงงๆ ทำไมมันกรีดกราย เกษรารู้สึกตัวรีบเก๊กแมนแล้วก็ส่งผักให้แบบโหดๆ คนขายรับมาอย่างค่อยรู้สึกดีขึ้น
ระวีรำไพเลือกผักอย่างตั้งใจ แล้วก็เริ่มชะงักนิดๆ รู้สึกเหมือนมีคนมอง พอหันไปก็เห็นสาวน้อยหน้าใสมองไปยิ้มไป ขวยเขินด้วยแววตาเป็นประกาย ระวีรำไพมองงงๆ ยิ้มให้นิดๆ สาวน้อยยืนบิดอายจนปัดตะกร้าผักข้างหน้าตกกระจายโครม! ระวีรำไพตกใจ สาวน้อยรีบเก็บผักลนลานกลัวโดนแม่ด่า ธราธรยืนมองอยู่ก็ยิ้มๆ แล้วก็เดินมาแซว
“เสน่ห์แรงไม่ใช่เล่นนะเราเนี่ย”
ระวีรำไพถึงได้เข้าใจ หันมายิ้มให้สาวน้อยอีกที สาวน้อยถึงกับมือไม้อ่อน ผักที่เก็บขึ้นมาร่วงหล่นพื้นไปอีกรอบ ระวีรำไพรีบหันหลังให้เดินหนีทันที
รถของธราธร เป็นรถของหน่วยงาน จอดอยู่ที่หน้าตลาด ธราธรวางของไว้หลังรถ เป็นของสดที่มากพอจะทำอาหารให้คนประมาณ 20 คนในเวลา 2-3 วัน หนักไปทางผัก เนื้อสัตว์ ไข่ และข้าว ธราธรวางของแล้วหันมาทางระวีรำไพและเกษราที่ยืนรออยู่
“พี่ให้เราสองคนมาทำอาหารแทนแม่ครัวที่ป่วย อาหารวันละ 3 มื้อ ทำเสร็จแล้วถ้าอยากจะออกภาคสนามก็บอก พี่จะพาไป แต่ถ้าวันไหนไม่ไหวอยากพัก พี่จะบอกคนอื่นว่าเราสองคนอยู่เตรียมอาหาร คนจะได้ไม่สงสัย”
เกษรากับระวีรำไพรับคำ
“ค่ะ”
ธราธรทำตาดุ สองสาวรู้ตัว ตอบอีกที
“ครับ!”
“ถึงจะอยู่กันเองตามลำพัง แต่อยู่ในที่สาธารณะก็ต้องไม่ประมาท ถ้าเกิดมีใครเดินผ่านไป ผ่านมาได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง...รู้หรือเปล่า”
เกษรากับระวีรำไพเกือบจะหลุดปาก
“คะ...” สองสาวชะงักทัน “ครับ !”
“ไปรีบกลับไปเตรียมอาหารเช้ากันได้แล้ว”
ธราธรเดินนำขึ้นรถไป ระวีรำไพหันมาทางเกษรา
“พี่ก้องนั่งหน้าไปกับอาจารย์หม่อมนะครับ ผมนั่งข้างหลังเอง”
เกษราจะไม่ยอม
“เอ่อ...”
ระวีรำไพไม่ฟังเสียงปีนขึ้นไปนั่งหลังรถกับกองของมากมาย พร้อมกับยิ้มให้เกษราอย่างสบายใจ เกษรายิ้มรับนิดๆ แล้วก็ขึ้นไปนั่งข้างธราธรด้วยความเกรงใจ ระวีรำไพแอบมองเกษราที่นั่งคู่อยู่กับธราธรแล้วก็ใจหายวาบๆ เธอดึงหมวกมาปิดหน้านั่งพิงเบาๆมองไปทางอื่นจ๋อยๆ
รถธราธรแล่นออกไปจากตลาด อีริคยืนอยู่กับสมุนอีก 2 คนที่มุมหนึ่งของตลาด สมุนมองรถธราธรแล้วพูดขึ้น
“สงสัยจะเป็นไอ้พวกที่มาจากพระนคร”
สมุนอีกคนมองอย่างดูถูก
“อ้อนแอ้นยังกะผู้หญิง เตะทีเดียวตัวคงจะขาดกระเด็น”
อิริคหน้าเข้ม
“ถึงมันจะดูไม่มีพิษไม่มีภัย แค่ก็ต้องจับตาดูพวกมันไว้ให้ดี”
สมุนทั้งสองรับคำ
“ครับ”
อีริคปรายตามาถาม
“แล้วนี่...พรานสมไปหาเป้าหมายเราหรือยัง”
“เห็นบอกว่าจะไปแต่เช้านะพี่ ป่านนี้คงจะถึงแล้ว”
อีริคพยักหน้าด้วยความพอใจ...
อาทิตยรังสีอยู่ในห้องนอนของบ้านพักหลังใหญ่ หยิบกุญแจจากกระเป๋าเสื้อออกมาไขตู้เอกสารและหยิบแผนที่ที่อ่อนศรีให้เมื่อคืนออกมาดูอีกครั้ง เขามองด้วยแววตาครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเดินมาที่หน้าห้อง แล้วก็หยุด อาทิตยรังสีชะงักเงี่ยหูฟัง กุญแจห้องถูกบิดไปมา มีคนพยายามจะเข้าไปข้างใน อาทิตยรังสีหันขวับมาที่ประตู ตั้งสติแล้วรีบเก็บแผนที่เข้าไว้ในตู้ ไขปิดล็อคแล้วจะเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงพรานอ่อนศรีดังมาจากหน้าห้อง
“แกเป็นใคร เข้ามาทำอะไรที่นี่”
อาทิตยรังสีชะงักกึก รีบเปิดประตูผั้วะออกไปเห็นอ่อนศรียืนถือปืนเล็ง พรานสมที่เอามือกุมด้ามปืนที่ซ่อนอยู่ในเอว พร้อมจะตอบโต้ ถ้ามีการเริ่มต้น อาทิตยรังสีมองด้วยความแปลกใจ
“อ่อนศรี นี่มันอะไรกัน”
“ผมเห็นมันมาด้อมๆมองๆอยู่ที่หน้าห้องคุณชาย ทำท่าเหมือนจะงัดห้องเข้าไปน่ะครับ” อ่อนศรีตะคอกพรานสม “เฮ้ย ว่าไง ข้าถามว่าเอ็งเป็นใคร ทำไมไม่ตอบ เป็นใบ้หรือไงหะ”
อ่อนศรีขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิด พรานสมยังยืนเงียบตั้งรับ ทันใดนั้นเสียงเอ็ดเวิร์ดก็ดังขึ้น
“พรานสมเป็นคนของผมเอง !”
อาทิตยรังสีและอ่อนศรีหันไปที่ต้นเสียงด้วยความแปลกใจ เอ็ดเวิร์ดเดินเข้ามา แทนเดินทำหน้าพะเน้าพะนอตามมาด้วย เอ็ดเวิร์ดพูดต่อเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“ผมจ้างพรานสมเป็นการส่วนตัว ให้มาเป็นผู้ช่วยผมโดยเฉพาะ”
“ผู้ช่วย...ช่วยทำอะไรเหรอครับ” อ่อนศรีถามตรงๆด้วยความงง “งานในที่พักเราก็มีคนคอยดูแล ส่วนงานสำรวจที่ปราสาทก็มีทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งนักศึกษามาช่วย ไม่ทราบว่า คุณฝรั่งจะจ้างพรานส่วนตัวมาทำไมอีกครับ”
เอ็ดเวิร์ดชักสีหน้าไม่พอใจที่อ่อนศรีมาถามจุกจิก
“ฉันจะจ้างมาทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงกับพรานป่าอย่างแก”
เอ็ดเวิร์ดดูถูกอย่างแรง อ่อนศรีซะงักกึก แทนเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดพูดถูก ท่านจะจ้างผู้ช่วยมาสักกี่คน จะจ้างมาทำอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับเรา แค่ท่านให้เกียรติ์มาร่วมขบวนสำรวจก็ดีแค่ไหนแล้ว”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มยะโส พรานสมยิ้มพอใจ แทนใช้มือค่อยๆเบนกระบอกปืนซึ่งเป็นปืนยาวบ้านๆ ของอ่อนศรีออกไปทางอื่นแล้วก็หันมาพูดกับอ่อนศรี
“ไปๆ เก็บปืนผาหน้าไม้แล้วก็ไปทำงานของตัวเอง ส่วนเรื่องอื่น ไม่ต้องยุ่ง”
อ่อนศรียังไม่อยากยอม มันคาใจ เขามองหน้าอาทิตยรังสีเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไง อาทิตยรังสีพยักหน้าให้ยอม อ่อนศรีจำใจต้องลดปืนลง และยืนสงบเสงี่ยม เอ็ดเวิร์ดยิ้มพอใจ แล้วก็เดินออกไป แทนรีบหันมาพูดกับอาทิตยรังสี
“คุณชายอาทิตยครับ ผมพามิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดไปที่ปราสาทก่อนนะครับ”
แทนพูดจบก็รีบเดินตามเอ็ดเวิร์ดไป พรานสมยิ้มพอใจ อย่างผู้ชนะแล้วพูดกับศรีอ่อนน้ำเสียงกวนๆ
“ตอนนี้แกก็รู้แล้วนะว่าฉันเป็นใคร”
พรานสมเดินตามแทนและเอ็ดเวิร์ดไปด้วยความสะใจ อ่อนศรีมองตามด้วยความไม่พอใจ อาทิตยรังสี
เดินมาหาแล้วก็พูดเสียงนิ่งๆ เหมือนรู้ใจ
“เราไปที่ปราสาทกันเถอะ คนอื่นๆคงรออยู่ที่โน่นแล้ว”
อาทิตยรังสีเดินนำไป อ่อนศรียังยืนครุ่นคิดคาใจ
บริเวณปราสาทอากาศสดใสแดดร้อนไม่มาก ฟ้าใสสวยงาม กลุ่มนักศึกษานำโดยอุดม ปิติ มานะยืนอยู่ ส่วนระวีรำไพและเกษรายืนอยู่ข้างหลัง ชินกรกับธราธรที่ยืนอยู่ด้านหน้า ทั้งหมด ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของปราสาทในบริเวณที่ค่อนข้างรก ธราธรสั่งงาน
“งานจะแบ่งออกเป็นสองส่วน งานส่วนแรกคือช่วยอาจารย์หม่อมอาทิตย์รังสี จดบันทึกปราสาทด้านบน”
นักศึกษาพยักหน้ารับทราบ ธราธรสั่งต่อ
“งานส่วนที่สองคือ ตัดกิ่งไม้ ถางหญ้าปราสาทหลังนี้ แล้วค่อยเริ่มจดบันทึกสิ่งของทุกชิ้นในปราสาทให้ละเอียด ทับหน้า ทับหลัง หน้าบัน แม้กระทั่งเสาจำหลัก อย่าให้รอดหูรอดตาไปได้”
ชินกรเสริม
“เราต้องวัดขนาดสิ่งของทุกอย่าง วัดมุขข้างหน้า ด้านข้าง แม้แต่ระเบียง ถนน เฉลียงซ้ายขวา”
อุดมยกมือขึ้น
“วัดใจด้วยมั้ยครับอาจารย์”
เพื่อนฮาครืน ปิติกับมานะหัวเราะมากเป็นพิเศษ อุดมยิ้มหน้าบาน คิดว่าตัวเองแจ๋วมาก...ระวีรำไพกอดอกแอบส่ายหน้านิดๆ
อีกมุมหนึ่งของปราสาท เป็นเต็นท์สีขุ่นกางอยู่อย่างแน่นหนาใต้ต้นไม้ใหญ่ แทนขยับเก้าอี้ให้เอ็ดเวิร์ดนั่งอย่างเอาใจ
“เชิญครับๆ”
เอ็ดเวิร์ดนั่งลงอย่างถือตัว ข้างๆมีชุดน้ำชาวางไว้อยู่หรูหรา แทนกุลีกุจอรินชาให้ เอ็ดเวิร์ดจิบอย่างสบายอารมณ์เหมือนมาตากอากาศ พรานสมยืนอยู่ไม่ห่างออกไป ยืนมองซ้ายมองขวาสายตาสำรวจไปรอบๆเก็บข้อมูล อ่อนศรีเดินมากับอาทิตย์รังสี อ่อนศรีมองด้วยความไม่พอใจ อาทิตย์รังสีมองหน้าอย่างรู้ใจ ส่ายหน้า
ทำนองว่าอย่าไปสนใจแล้วก็เดินนำไปที่ปราสาท อ่อนศรีจำใจเดินตามไป เอ็ดเวิร์ดนั่งจิบชาพลางมองปราสาทที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เขามองด้วยแววตาของความโลภ ไม่ได้ชื่นชมความงามของปราสาทเบื้องหน้าแม้แต่น้อย
ธราธรกับชินกรยืนแจกงานให้นึกศึกษาอยู่ที่ภายนอกปราสาทอีกด้านหนึ่ง ธราธรมองหน้าอุดม
“ท่าทางอุดมจะอยากเริ่มงานแล้ว ดีเลย อุดมกับปิติ และมานะ ช่วยกันตัดกิ่งไม้แล้วก็ถางหญ้าทางด้านโน้นออกให้หมด”
เขาชี้ไปที่หญ้ารกๆ อุดม ปิติ มานะ ชะงักกึกหยุดขำทันที
“และก็วัดความกว้างของตัวปราสาทจากด้านนอกทั้งหมด เตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายรูป”
อุดมหน้าเหวอ
“ผมแค่สามคนเหรอครับ”
ชินกรพยักหน้า
“ใช่...อยากจะวัดใจไม่ใช่เหรอ ไปวัดใจเพื่อนเธอสองคนก็แล้วกัน”
อุดม ปิติ มานะ หันมามองหน้ากัน แล้วก็ผงะ ชินกรย้ำ
“ ไปได้แล้ว”
อุดม ปิติ มานะรับคำเสียงอ่อย
“ครับ”
อุดม ปิติ มานะ เดินไปพร้อมกับอุปกรณ์ถางหญ้าและตัดกิ่งไม้ในมือ ระวีรำไพอมยิ้มนิดๆ แอบขำ อุดมหันมาเห็นก็ ชิ ใส่ด้วยความกวน
“ยิ้มอะไรไอ้หน้าอ่อน”
ระวีรำไพหุบยิ้มแล้วก็ลอยหน้ามองไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจ อุดมมองแค้นๆ แล้วก็เดินไปด้วยความหงุดหงิด ธรากรหันมาสั่งคนอื่นๆ
"ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปจดบันทึกที่ปราสาทด้านบน”
นักศึกษารับคำ
“ครับ”
พอนักศึกษาเดินแยกกันไปแล้ว ระวีรำไพกับเกษรายืนเหวอๆอยู่ ชินกรเห็นพอดีก็หันมาทางธราธร
“คุณชายใหญ่ ผมขอตัวนายก้องไปช่วยผมบันทึกงานได้มั้ยครับ”
เกษราชะงักนิดๆ หน้าตาหวั่นๆ ธราธรมอง คิด แล้วก็ตัดสินใจ
“ไปเถอะก้อง”
เขาส่งสายตาบอกว่าไม่เป็นไร เกษราเข้าใจ
“ครับ”
ชินกรเดินนำไปเกษราเดินตาม ระวีรำไพมองให้กำลังใจ ธราธรพูดขึ้น
“ส่วนนายตะวันมาช่วยครูก็แล้วกัน”
“ครับ!”
ธราธรเดินนำไป ระวีรำไพเดินตามอย่างร่าเริง อุดมกำลังตัดกิ่งไม้ แล้วก็มองเกษราเดินไปกับชินกร และระวีรำไพเดินไปกับธราธรอย่างร่าเริงแล้วก็แค้นใจ มันได้ทำงานสบายดีแหละ
วังจุฑาเทพ...ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์ คุยกันอยู่ในห้องโดม รณพีร์ประกอบเครื่องบินจำลองยังไม่เสร็จดี เงยหน้าถามด้วยความแปลกใจ
“หม่อมย่าเชิญคุณเกษมากินข้าวที่วัง”
ปวรรุจพยักหน้า รัชชานนท์ละสายตาจากนิตยสารเนชั่นเนล จีโอกราฟฟิค ที่กำลังอ่านอยู่ เงยหน้าขึ้นถาม
“ท่านไม่รู้เหรอว่าคุณเกษไปงานภาคสนามกับพี่ชายใหญ่”
ปวรรุจส่ายหน้า
“ไม่รู้”
รัชชานนท์กับรณพีร์หันมาทางปวรรุจ รณพีร์แนะ
“งั้นเราก็บอกท่านสิครับ”
พุฒิภัทรแย้ง
“บอกไม่ได้”
รัชชานนท์กับรณพีร์หันมาทางพุฒิภัทร รัชชานนท์ไม่เข้าใจ
“ทำไมบอกไม่ได้”
พุฒิภัทรอธิบาย
“หม่อมย่าต้องไม่ชอบใจแน่ๆ ถ้ารู้ว่าคุณเกษไปออกงานภาคสนามกับผู้ชายทั้งคณะมีผู้หญิงแค่ 2 คนและเราก็บอกไม่ได้ว่าคุณเกษแต่งเป็นผู้ชายไปกับน้องมะปราง”
รัชชานนท์กับรณพีร์ขมวดคิ้ว รณพีร์หนักใจ
“บอกความจริงก็ไม่ได้ แต่เราก็พาตัวคุณเกษมากินข้าวกับหม่อมย่าไม่ได้ แล้วเราจะทำยังไง”
ปวรรุจถอนใจ
“ก็ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดกันเป็นวันๆไป ถ้าหม่อมย่าถามถึงคุณเกษพี่ก็จะบอกว่าเธอไม่ว่าง หรือไม่ก็พี่ไม่ว่าง ส่วนพวกนายก็...หาคำตอบกันเองแล้วกัน”
รณพีร์ รัชชานนท์ พุทธิภัทรหน้าเหวอ
“อ้าว !”
“ทำยังไงก็ได้...ไม่ให้หม่อมย่า กับคุณย่าอ่อนรู้ว่าคุณเกษไปต่างจังหวัดกับพี่ชายใหญ่ เพราะถ้ารู้...ไม่งามแน่”
พุทธิภัทรคิดๆ
“แล้วถ้าท่านไม่ได้รู้จากพวกเราล่ะ”
ปวรรุจ รัชชานนท์ รณพีร์ ชะงักคิดตาม พุทธิภัทรพูดต่อ
“อย่าลืมสิ...ไม่ใช่แค่เราสี่คนที่รู้เรื่องนี้ คนที่วังเทวพรหมก็รู้เหมือนกัน แล้วถ้าพวกนั้นมา เราจะทำยังไง”
ปวรรุจ รัชชานนท์ รณพีร์สะอึก....
วังเทวพรหม...มารตีเชิดหน้าพูดอย่างมุ่งมั่น
“พี่จะไปเยี่ยมหม่อมย่าเอียด กับ คุณย่าอ่อน”
วิไลรัมภาลุกขึ้นพรวด ตาเป็นประกาย
“พี่มารตีจะไปทำไมคะ”
มารตียิ้มมีแผน
“พี่จะทำทีเป็นว่าไปถามไถ่ข่าวคราวของพี่เกษ แล้วก็...อาจจะอยู่กินข้าวเย็นซะด้วยเลย พี่จะได้เจอกับพี่ชายภัทร”
มารตียิ้มมีหวัง วิไลรัมภารีบเข้ามาเกาะแขน
“รัมภาอยากไปเจอพี่ชายพีร์เหมือนกัน รัมภาไปด้วยนะคะ”
“ก็ได้...แต่ก่อนจะไป เราไปบอกให้แย้มเตรียมขนมหนึ่งชุดใหญ่ สำหรับเอาไปให้หม่อมย่า”
“ได้เลยค่ะ ท่านชอบทานฝอยทอง และเม็ดขนุน รัมภาจำได้ รัมภาไปสั่งแย้มเองค่ะ เรียบร้อยแล้วจะรีบมาบอกนะคะ”
มารตีพยักหน้า วิไลรัมภารีบวิ่งออกไป
“แย้ม แย้ม แย้มอยู่ไหน มาช่วยฉันจัดขนมเดี๋ยวนี้เลย ฉันกับพี่มารตีจะไปวังจุฑาเทพ!!”
วิไลรัมภาประกาศก้องอย่างมั่นใจ และภูมิใจมั่กๆ
เกษราเดินอยู่กับชินกรที่มุมหนึ่งของปราสาท เธอมีสมุดคอยเดินตาม เตรียมทำงานเต็มที่ แต่ชินกรกลับหันมาแล้วก็ถาม
“ก้องเรียนอยู่ปีอะไรแล้ว”
เกษราชะงักนิดๆ ก่อนจะโกหกไป
“เอ่อ...ปี 4 ครับ”
“จบแล้วอยากทำงานอะไร หรือชอบมาทางนี้ ที่กรมศิลปากรยังต้องการเจ้าหน้าที่อีกหลายตำแหน่งนะ”
“ขอบคุณมากครับ พอจบแล้วผมอาจจะกลับไปต่างจังหวัด”
ชินกรแปลกใจ
“อ้าว จะไปจังหวัดอะไร”
“เอ่อ...เพชรบุรีครับ”
“อ้อ เมืองเพชร ขนมอร่อย...” ชินกรคิด แล้วก็ยิ้มอายๆ “แต่ก็สู้ฝีมือคุณเกษไม่ได้ คุณเกษทำขนมอร่อย สวยก็สวย...เฮ่อ...”
เกษราถึงกับชะงัก มองชินกรที่คิดถึงเกษราแล้วก็ตาลอยอยู่คนเดียว เกษรามองแล้วก็งงว่าอารมณ์ไหนเนี่ย
ธราธรเดินอยู่กับระวีรำไพอยู่มุมหนึ่งของปราสาท ระวีรำไพถือแฟ้มคอยจดบันทึกและถือป้ายตัวเลข
คอยวางตามที่เขาสั่ง พอวางเลขแล้วก็วิ่งออกมา ธราธรถ่ายรูปแต่ละจุดตามที่วางตัวเลขไว้ ระวีรำไพลอบมองตอนเขาถ่ายรูปอย่างตั้งใจดูเท่มากมาย มองแล้วก็ยิ้ม พอเขาหันมาก็รีบหุบยิ้มทำเป็นตั้งใจทำงาน ธราธรบอกสิ่งที่ให้จด ระวีรำไพจดไว้อย่างขมักเขม้น เขามองแล้วก็ยิ้มๆ ดูเธอตั้งใจทำงานดีจริง
ระวีรำไพยืนดูปราสาทเบื้องหน้า ด้วยแววตาชื่นชม
“สวยจังเลยนะคะ...ครับ”
เธอมองซ้ายมองขวา จะมีใครได้ยินหรือเปล่านะ โชคดีที่ไม่มีใครยืนอยู่แถวนั้น ธราธรยิ้มๆ
“เห็นปราสาทนี้อยู่กลางป่ารกร้าง แต่เมื่อพันกว่าปีที่แล้ว บริเวณนี้น่าจะมีชุมชน หรือไม่ก็เป็นเส้นทางผ่านสำคัญของภูมิภาคนี้”
“พี่...เอ่อ...อาจารย์หม่อมรู้ได้ยังไงครับ”
ธราธรมองไปรอบๆ
“เราดูได้จากรูปแบบการก่อสร้าง ปราสาทชุดนี้มี 3 หลัง หลังแรกเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุด ในตัวประสาทมีปรางค์อยู่ 3 องค์สร้างด้วยหินทราย ปรางค์ประธานขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ปรางค์อีกสององค์อยู่ถัดไปด้านหลัง ทางตะวันออกและตะวันตกมีวิหารสองหลังสร้างด้วยศิลาแลง อาคารทั้งหมดมีระเบียงคดทำจากหินทรายล้อมรอบ”
ระวีรำไพมองตาม พยายามจินตนาการ ธราธรอธิบายต่อ
“ปราสาทหลังนี้ถูกสร้างเป็นศาสนสถานสำหรับประกอบพิธีทางศาสนา หน้าปราสาทมีถนนตัดผ่านเชื่อมระหว่างเมืองพระนครกับเมืองพิมายซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในอดีต ถนนตัดมาถึงสระน้ำของปราสาท ก็น่าจะบ่งบอกว่าปราสาทนี้มีความสำคัญมากพอสมควร”
ระวีรำไพพยักหน้า
“อ๋อ...เข้าใจแล้วครับ ถ้าปราสาทหลังนี้เป็นที่พัก แล้วปราสาทอีกสองหลังสร้างขึ้นเพื่ออะไรครับ”
ระวีรำไพถามด้วยความสงสัย
ชินกรเดินสำรวจกับเกษราอยู่ที่มุมหนึ่งของตัวปราสาท เขาอธิบาย
“ปราสาทหลังนี้เป็น อโรคยาศาล”
“อโรคยาศาล คืออะไรครับ”
ชินกรหยุด และหันมาถาม
“ถ้าฉันบอก...นายจะต้องตอบคำถามฉันเหมือนกัน”
เกษรางง
“เอ่อ...ก็ได้ครับ”
ชินกรยิ้มพอใจแล้วก็ตอบ
“อโรคยาศาลคือ โรงพยาบาลในสมัยนั้น กษัตริย์สมัยก่อนจะสร้างอโรคยาศาลไว้ช่วยเหลือประชาราษฎร์ อโรคยาศาลหลังนี้ถือว่ามีสภาพสมบูรณ์มากที่สุด”
เกษราพยักหน้า
“อ๋อ...ออ...เข้าใจแล้วครับ”
ชินกรหันขวับมา
“ฉันตอบแล้ว นายต้องตอบบ้าง”
“เอ่อ...ครับ”
ชินกรตาเป็นประกาย
“นายสนิทกับคุณเกษหรือเปล่า”
“ก็...พอสมควรครับ”
ชินกรตาเป็นประกายขึ้นอีก
“เหรอ แล้วเจอกันบ่อยมั้ย”
“ก็...บ่อยพอสมควรครับ”
ชินกรยิ้มกว้าง
“เหรอๆ ดีจัง ได้เจอคุณเกษบ่อยๆ”
เกษราสะดุดกึก มองหน้าเขางงๆ ชินกรแก้เก้อ
“ก็...คุณเกษทำขนมอร่อย นายได้เจอบ่อยๆ ก็ได้กินขนมบ่อยๆ โชคดีออก”
เกษราพยักหน้า อืมมแล้วไป ชินกรพูดต่อ อย่างลืมตัว
“เฮ่อ..ว่าแล้วก็คิดถึง”
เกษราชะงัก
“หือ”
ชินกรเก้อๆแถไปเรื่อย
เอ้อ...ก็คือ คิดถึงขนมคุณเกษน่ะ มันทั้งหอม ทั้งหวาน เฮ่ออ อยากกิน”
เกษราพยักหน้าแล้วไป ชินกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว เกษราเหล่ๆ รู้สึกว่าเขาแปลกๆ
ธราธรเดินสำรวจอยู่กับระวีรำไพ ที่มุมหนึ่งของปราสาท ใกล้ๆกับบริเวณที่เอ็ดเวิร์ดนั่ง รอบๆมีนักศึกษา
กระจายทำงานกันอยู่
“ส่วนปราสาทหลังสุดท้ายเป็นหลังเล็กที่สุด เราเรียกว่า ธรรมศาลา – บ้านมีไฟ เป็นที่พักคนเดินทาง มีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวมีห้องยาวเชื่อมต่อมาทางด้านหน้า ผนังด้านนึงปิดทึบ แต่สลักเป็นหน้าต่างหลอก อีกด้านเป็นหน้าต่างจริงเคยมีคนพบทับหลังรูปพระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว 2-3 ชิ้น”
ระวีรำไพหยุดเดิน หันมาถาม
“เคย...แปลว่า ตอนนี้ไม่มีแล้วเหรอครับ”
ธราธรพยักหน้า
“ใช่...คาดว่าคงจะโดนขโมย”
ระวีรำไพตาโต
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 4 (ต่อ)
“ขโมย?” เธอหรี่เสียงลง มองซ้ายมองขวาว่าปลอดภัย ไม่มีใครอยู่ใกล้แล้วค่อยถาม “ใครขโมยเหรอคะ แล้วเค้าขโมยไปทำไม” ระวีรำไพถามด้วยความไม่เข้าใจ
“คนที่มาขโมยก็มีหลายกลุ่ม ทั้งชาวบ้าน ทั้งพ่อค้าวัตถุโบราณ บางกลุ่มก็เป็นชาวต่างชาติ ส่วนมากก็ขโมยไปขายให้นักสะสม หรือไม่ก็ส่งตามพิพิธภัณฑ์”
ธราธรพูดแล้วก็เดินนำไปจะทำงานต่อ ระวีรำไพครุ่นคิด
“ ถ้าอย่างนั้น ระหว่างที่คุณพ่อมาสำรวจ ถ้าเจอกับพวกโจรก็อาจจะเป็นอันตรายสิ...”
ระวีรำไพเริ่มคิดมากกังวล มองซ้ายมองขวามองหาอาทิตยรังสีด้วยความเป็นห่วงพลันสายตาก็มาสะดุดหยุดที่แกงค์ของเอ็ดเวิร์ดที่นั่งไฮโซอยู่ในเต็นท์ เธอมองด้วยความแปลกใจ
เอ็ดเวิร์ดนั่งเชิดๆ จิบชาอยู่ที่เดิมมีแทนคอยพะเน้าพะนอ พยายามอธิบายให้ข้อมูลการทำงาน เปิดเอกสาร และชี้นั่นนี่ให้ดูตลอดเวลา เอ็ดเวิร์ดก็ฟังๆไปด้วยความรำคาญ ปรายๆตามามองไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่...ระวีรำไพมองแล้วก็ไม่ชอบใจ หันมาอีกทีธราธรหายไปแล้ว เธอรีบมองหา เห็นเขากำลังวางป้ายเตรียม
ถ่ายรูปอันต่อไป เธอรีบเดินมาหาทันที ธราธรวัดก้อนหินเตรียมจด ระวีรำไพเดินมาประกบ มองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีคนก็กระซิบกระซาบถามอย่างสงสัย
“พี่ชายใหญ่คะ...แล้วฝรั่งคนนั้นเขามาทำไมคะ ปรางเห็นตั้งแต่กรุงเทพแล้ว”
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดเป็นเจ้าของกองทุนต่างประเทศ ตามคณะมาดูการสำรวจ ถ้าเค้าพอใจกับการทำงานก็อาจจะให้ทุน”
“เพราะคิดว่าตัวเองมีเงินนี่เอง ถึงได้ทำตัวใหญ่โตนัก แต่จะให้ปรางไปเอาใจเหมือนคุณอาคนนั้น ปรางทำไม่ได้หรอกนะคะ”
ระวีรำไพพยักเพยิดไปทางแทน ธราธรเห็นเธอทำหน้าเฮี้ยวใส่แทนก็ขำๆ
“พี่ก็ไม่ได้จะให้ปรางไปทำสักหน่อย แค่ทำตัวให้เป็นผู้ชายไม่ไปค้อนใส่เค้าให้โดนจับได้ก็พอ”
ระวีรำไพชะงักแล้วก็รู้ตัวรีบเก๊กแมนขึ้นมาทันที
“ได้เลยครับอาจารย์หม่อม จะให้ผมไปช่วยอุดมถางหญ้าก็ได้เลยนะครับ ถางตั้งแต่เขาลูกโน้นมาเลยก็ยังไหวตะวันซะอย่างสบายมาก”
ระวีรำไพเอานิ้วโป้งเขี่ยปลายจมูกเหมือนบรูซลี ด้วยความกวน ธราธรขำส่ายหน้าในความกวน ทะเล้น แฝงไว้ด้วยความน่ารักของระวีรำไพ
“เรานี่...แก่นแก้วจริงๆ ฮึๆๆๆ เดี๋ยวก็สั่งให้ไปทำจริงๆซะเลย ไปจดบันทึกต่อได้แล้ว มัวแต่เล่นเดี๋ยววันนี้ก็ไม่ได้งานกันพอดี”
ระวีรำไพ ทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่ง
“ครับผม!”
ระวีรำไพยิ้มแฉ่งแล้วก็รีบเดินไปยังจุดต่อไป ธราธรมองแล้วก็ขำๆในความกวน
อุดมยืนถือกองหญ้าและกิ่งไม้ที่ตัดแล้วอยู่ที่มุมหนึ่งของปราสาท ยืนเหวอ อึ้ง เพราะภาพความกุ๊กกิ๊กที่
เห็นเมื่อครู่แล้วก็สะดุดกึก อุดมใจหายวาบยืนตัวแข็งทื่อ ความสงสัยไต่ขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ ปิติกำลังถางหญ้าอยู่ก็หันมาเร่ง
“ไอ้อุดมรีบเอาไปทิ้ง แล้วกลับมาช่วยกันสิเว้ย ยืนอู้อยู่ได้”
“เอ่อ...ปะ...ไปแล้วไปแล้ว”
อุดมยืนมองอีกที คราวนี้เห็นธราธรกับระวีรำไพทำงานกันตามปกติ ดูเหมือนไม่มีอะไรอุดมคาใจ...แต่เมื่อกี๊มันดูแปลกๆ!
นักศึกษาและเจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้นภายใต้แดดร้อน อาทิตยรังสีดูนาฬิกาแล้วหันมาทางอ่อนศรี ทั้งสองคนนั่งอยู่ในเต็นท์ทำงานมีก้อนหินวางพร้อมกับหมายเลข และแฟ้มสำหรับบันทึก มีนักศึกษาและเจ้าหน้าที่เดินเข้าเดินออก เชคของอยู่เป็นระยะๆ
“นี่ก็ใกล้จะได้เวลาพักเที่ยงแล้ว ฉันอยากจะเดินไปดูปราสาทหลังที่โดนขโมยสักหน่อย อ่อนศรีนำทางไปหน่อยนะ”
“ได้เลยครับ คุณชายจะไปตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ”
“ไปสิไป...ถ้าไปตอนนี้ กลับมาก็กินเที่ยงพอดี ไป”
อาทิตยรังสีลุกขึ้น อ่อนศรีเดินนำไป
อีกมุมหนึ่งของปราสาทระวีรำไพยืนถือแฟ้มอยู่กลางแดด เหงื่อไหลเป็นทาง คันหัวยิบๆๆๆ เธอเกาหัววิกกระดก กึกๆๆๆ แล้วก็รู้สึกตัวรีบจับให้เข้าที่ แล้วก็อดทนกลั้นความคันไว้ ระหว่างนั้นเองเธอก็หันไปเห็นอาทิตยรังสีกับอ่อนศรีเดินหายเข้าไปในป่า เธอเห็นแล้วก็เป็นห่วง กลัวว่าพ่อเดินๆไปจะเกิดเป็นลม หรือไม่สบายขึ้นมา ระวีรำไพหันมาทางธราธร ที่กำลังสอนนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งอยู่...
“ปราสาทชุดนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 มีปรางค์ประธานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขยื่นทางด้านหน้า ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีบรรณาลัยอยู่ด้านหน้าเยื้องไปทางขวาขององค์ปราง”
ระวีรำไพเห็นธราธรยังสนุกกับการสอน ก็ค่อยๆ เดินถอย ออกมา พอเห็นว่าปลอดภัยก็รีบวิ่งตาม
อาทิตยรังสีกับอ่อนศรีไปทันที ธราธรกำลังสอนอยู่ไม่ได้สนใจ
“ตรงกลางห้องของโคปุระได้พบศิลาจารึก 1 หลัก จารึกด้วยอักษรขอมภาษาสันสกฤต”
เขาปรายตาไปเห็นระวีรำไพเดินไปพอดีก็ชะงักกึก ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันมาบอกนักศึกษา
“แค่นี้ก่อน แยกย้ายกันไปจดบันทึกต่อ อีกหนึ่งชั่วโมงมารวมกันที่นี่เพื่อไปกินข้าวกลางวันที่บ้านพัก”
“ครับ”
นักศึกษาแยกตัวออกไปทำงาน ธราธรค่อยๆเดินตามระวีรำไพไปด้วยความแปลกใจ
อาทิตยรังสีเดินตามอ่อนศรีเข้ามาในป่า ค่อนข้างรก
“ผ่านป่านี่ออกไปอีกไม่ไกลก็จะถึง คุณชายเดินไหวนะครับ”
“ไหว...ไปต่อได้เลย”
อ่อนศรีพยักหน้ารับและเดินนำไป อาทิตยรังสีเดินตามไปอย่างถนอมแรง ไม่หักโหม ห่างออกไประวีรำไพเดินตามมาด้วยความระมัดระวัง เดินไปก็คันหัวไป เดินไปก็ร้อนไป แต่ด้วยความเป็นห่วงก็ยังสะกดรอยตามไปหวังจะได้ดูแล
“คุณพ่อนะคุณพ่อ...ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ยังจะแอบหนีเข้าในป่าอีก ถ้าอาการกำเริบ หรือเจอพวกโจรขึ้นมาจะทำยังไง”
ระวีรำไพบ่นๆ พึมพำด้วยความเป็นห่วง
อีกมุมหนึ่งของป่า ธราธรเดินตามระวีรำไพเข้ามา แต่มองซ้ายมองขวาไม่เห็นแล้ว เขามองหาร่องรอย เห็นมีกิ่งไม้หักเป็นทางคนเดิน ธราธรรีบเดินตามไปทันที
เกษรายืนชะเง้ออยู่ที่หน้าปราสาท ยืนรอระวีรำไพอยู่ข้างรถจี๊ป ชินกรเดินมาเห็นก็เข้ามาถาม
“ก้อง ! ยังไม่รีบไปทำอาหารอีกเหรอ จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่ทันพอดี”
“เอ่อ...คือ ผมรอตะวันน่ะครับ จะได้ไปด้วยกัน”
“โอ้ย มัวแต่รอกันไป รอกันมา เดี๋ยวก็สายพอดี เดี๋ยวฉันไปส่งนายก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยกลับมารับตะวัน ไปขึ้นรถ”
“เอ่ออ...”
ชินกรเดินนำขึ้นรถไป เกษราจำใจ
“ครับ”
เกษราขึ้นรถตามไป ชินกรขับรถไปอย่างเท่ เกษราหันมามองหาระวีรำไพ แต่ไม่มีวี่แวว
อ่อนศรีเดินนำ เดินลึกเข้าไปในป่าอีกเล็กน้อย อาทิตยรังสียังเดินตามไม่ทิ้งห่างมาก อาการยังดีอยู่ ห่างออกไประวีรำไพเดินตามใกล้เข้ามา เธอเดินไม่ทันระวังสะดุดกิ่งไม้แล้วก็ล้มลง วิกกระเด็นไปอยู่ในกอไม้
“ว้า...”
เธอร้องยังไม่เต็มเสียง รีบเอามือปิดปาก มั่บ! เธอล้มหน้าจุ๊บลงที่พื้นดิน อาทิตยรังสีชะงักหันขวับมา ไม่เห็นอะไร เขากวาดสายตาสำรวจอีกที ก่อนจะหันกลับมาแล้วก็เดินตามอ่อนศรีไป
ระวีรำไพนอนหมอบเอาหน้าแนบกับพื้นดินมีโคลนเล็กๆ เธอนอนนิ่งอยู่สักพักก็ค่อยๆลุกขึ้น หน้า
มอมแมมไปด้วยโคลน เธอเอามือปาดเช็ด โคลนออกบางส่วน แต่ก็ยังเลอะเทอะอยู่ดี เธอปาดไปมา
ก็รู้สึกตัวว่าหัวเบาๆ ค่อยๆเอามือจับถึงได้รู้ว่าวิกหลุดไปแล้ว ระวีรำไพตาเบิกโพลง
“วิก!!”
ระวีรำไพรีบมองซ้ายมองขวา แหวกพงหญ้าแถวนั้น แต่ก็หาไม่เจอ แหวกไปแหวกมาด้วยความร้อนใจ
"เฮ้ยย หายไปไหนเนี่ย”
เธอควานหา รื้อ แหวก กิ่งไม้ จ้าละหวั่น ใจสั่นใจเสีย วุ่นวายไปหมด แต่แล้วหนึ่งอึดใจต่อมาก็หาเจอ ระวีรำไพยิ้มกว้างรีบหยิบมาสวมทับ และขยับให้เข้าที่ ก่อนจะเงยหน้ามองไปข้างหน้า อาทิตย์รังสีและอ่อนศรี หายไป มีเพียงต้นไม้ และเสียงนกป่าร้องแหวกความเงียบเข้ามา ระวีรำไพหันซ้ายหันขวา ไม่มีใครเลย ทันใดนั้นเอง เธอรับรู้ได้ทันทีว่า กำลังหลงป่า
“แย่แล้ว...”
ธราธรเดินลุยเข้ามาในป่า ตามทางที่มีกิ่งไม้หัก เขายิ่งเดินยิ่งหวั่นใจ มีลางสังหรณ์ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ๆ ธราธรเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นใจคอไม่ดี
ของสดวางกองอยู่กลางครัว เกษรายืนมอง คิดว่าจะทำอะไรดี มองๆของสด แล้วก็มองๆออกไปข้างนอกมองหาระวีรำไพแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ทันใดนั้นชินกรก็วิ่งเข้ามา
“ก้อง...แย่แล้ว ฉันตามหาตะวันไม่เจอ ฉันว่านายคงต้องทำอาหารคนเดียวแล้วล่ะ ขืนรอ มีหวังเที่ยงนี้ไม่ได้กินแน่”
เกษราคิด แล้วก็ยอม
“ครับ..ผมทำเลยก็ได้ครับ”
“ดี มาฉันช่วยเอง นายจะทำอะไรบ้าง”
“ผมคิดว่าจะทำแกงเผ็ดพริกหยวกสอดไส้หมูสับ น้ำพริกลงเรือ แล้วก็ไก่ทอดขมิ้น”
ชินกรอึ้ง
“โอ้โห...นี่อาหารที่นายทำ ดูดีกว่าทุกครั้งที่ฉันออกภาคสนามเลยนะเนี่ย โชคดีจริงๆที่มีนายมาด้วย มา ตะวันไม่อยู่ ฉันช่วยเอง จะให้ทำอะไรบอกมาเลย”
เกษราคิดแล้วก็ส่งพริกหยวกให้
“อาจารย์ล้างผักให้ผมก็แล้วกันครับ ที่เหลือผมจัดการเอง”
ชินกรรับมา
“ได้เลย”
ชินกรรับกระจาดผักไปล้างอย่างขมีขมัน เกษราหันมาทำกับข้าวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่หมักไก่พักไว้ แล้วก็หันมาตำพริกแกง แล้วสับหมูอย่างคล่องแคล่ว ชินกรแอบมองด้วยความทึ่ง เขามองไปมองมา พลันภาพก้องเกียริต์ที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็น เกษรากำลังทำอาหารด้วยความคล่องแคล่ว และเธอก็หันมาทางเขาพร้อมกับถามด้วยเสียงห้าวใหญ่
“อาจารย์มองอะไรเหรอครับ”
ชินกรสะดุ้งโหยง ภาพตรงหน้ากลายมาเป็นก้องเกียรติ์เหมือนเดิม...เกษรามองหน้าเขางงๆ ชินกรอึกๆอักๆ เฉไฉไป
“ฉันก็มองนายนั่นแหละ เป็นผู้ชายแต่ทำกับข้าวคล่องแคล่วยังกับผู้หญิง แปลกดีไม่เคยเห็น”
ชินกรหัวเราะแห้งๆแล้วก็หันมาล้างผักต่อ เขาหันหลังให้เธอ พยายามสะบัดไล่ความคิดถึงเกษราออกไป ชินกรพึมพำ
“บ้าจริงๆ เอาไอ้ก้องไปเทียบคุณกับเกษได้ไงเนี่ย ฮึ่ย!!”
เกษราหันมาทำกับข้าวต่อ แอบบ่น
“น้องมะปรางอยู่ที่ไหน...รีบกลับมาด้วยนะคะ...”
เกษราคิดถึงระวีรำไพจับใจ
ระวีรำไพยืนอยู่กลางป่าอย่างโดดเดี่ยว เหงื่อแตกพลั่ก หน้าแดงกร่ำ ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน เธอ
เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองหลงป่ามองไปรอบๆ เสียงนก เสียงใบไม้ เสียงลม พัดไปมาดูน่ากลัว วังเวงๆ ระวีรำไพเดินมั่วเข้าไป พยายามจะหาทางออก แต่ยิ่งเดินยิ่งงง
“ทางออกอยู่ไหนเนี่ย เมื่อกี๊เรามาทางนี้นี่นา...แล้วทำไมมันเหมือนวนกลับมาที่เดิม...”
ระวีรำไพเดินงง คิดเอาไงดี
“ทางนี้ก็ไม่ใช่”
ระวีรำไพกลับมาเจอต้นไม้ต้นเดิม
“กลับมาที่เดิมอีกแล้ว”
ระวีรำไพหันเดินไปอีกหน้า หน้าเสีย ใจเสีย เธอเดินอยู่ในป่า อย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งหิว ทั้งกระหาย ทั้งเหนื่อย จะหน้ามืด เดินไปเดินมาก็ได้ยินเสียงเหมือนกิ่งไม้หัก มีคนเดินตามมา ระวีรำไพนึกถึงตอนที่ธราธรพูดเรื่องโจรก็หน้าซีด เอาไงดี แล้วก็ตัดสินใจวิ่งหนี ทันทีที่วิ่งหนี เสียงคนที่วิ่งตามก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น จนสุดท้ายระวีรำไพเห็นท่าจะไม่ไหวก็ตะโกนขึ้น
“ช่วย...!!”
ระวีรำไพยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นมือของธราธรพุ่งเข้ามาแล้วก็ปิดปากไว้มั่บ
“พี่เอง !!”
ระวีรำไพทั้งตกใจทั้งโล่งอก หันขวับมา แล้วก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ น้ำตาซึมๆ
“พี่ชายใหญ่!!”
ด้วยความลืมตัวระวีรำไพโผเข้ากอดธราธรด้วยความโล่งอก ระวีรำไพปล่อยโฮออกมาอย่างโล่งอก
“พี่ชายใหญ่ช่วยปรางด้วย ปรางหลงกับคุณพ่อ ปรางออกไปไม่ได้ ฮือออออ...”
ธราธรกอดระวีรำไพไว้และลูบหัวเหมือนเด็กๆ
“พี่ชายใหญ่อยู่นี่แล้วครับ ไม่ต้องร้องนะ พี่ชายใหญ่มาช่วยแล้ว”
ธราธรกอดลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน ระวีรำไพกอดเขาไว้ค่อยๆคลายความตระหนกลง ธราธรอมยิ้มนิดๆ พาลนึกถึงเรื่องในอดีต
ในอดีตตอนเด็กๆ ระวีรำไพวิ่งอยู่ในวังจุฑาเทพใบหน้าตื่นตระหนกนิดๆ
“พี่ชายพีร์...”
รณพีร์วิ่งหนีหลบเข้ามุมตึก ระวีรำไพวิ่งตามไป แต่ไม่เห็น
“พี่ชายพีร์หายไปไหนคะ”
รัชชานนท์วิ่งหนีหลบเข้าไปอีกที่มุมหนึ่งห่างออกไป ระวีรำไพหันมองตามไป
“พี่ชายเล็ก”
ระวีรำไพวิ่งตามไปแล้วก็ไม่เห็น เธอเริ่มใจคอไม่ดีมองไปรอบๆวังในสายตาของเด็กตัวเล็กๆเหมือนวังใหญ่มาก และตัวเองหาทางออกไม่เจอ รัชชานนท์กับรณพีร์แกล้งวิ่งหลบออกทางโน้น เข้าทางนี้ ให้ระวีรำไพวิ่งตามหาพร้อมกับหัวเราะคิกคักที่ได้แกล้งน้อง ระวีรำไพก็วิ่งตามหาด้วยความตื่นตระหนก
“พี่ชายพีร์...พี่ชายเล็ก...พี่ชายพีร์ พี่ชายเล็ก...อยู่ที่ไหน”
ระวีรำไพวิ่งตามจนเหนื่อยแล้วก็มาหยุดยืนอยู่ที่กลางวังแล้วก็มองไปรอบๆ คราวนี้ไม่เห็นใครเลย เธอเริ่มร้องไห้
“ฮือๆๆๆ พี่ชายพีร์ พี่ชายเล็กหายไปไหน....ฮือๆๆๆ”
ระวีรำไพร้องไห้เพราะรู้สึกเหมือนโดนแกล้ง ทันใดนั้นเองธราธรก็เดินมาหา
“น้องปราง...”
ระวีรำไพหันไป น้ำตาอาบแก้ม
“พี่ชายใหญ่ !!”
ระวีรำไพวิ่งเข้าไปหาธราธร แล้วก็กอดไว้แน่นเหมือนเด็กที่เจออัศวิน
“น้องปรางร้องไห้ทำไมคะ”
“พี่ชายเล็ก กับ พี่ชายพีร์ แกล้งปรางค่ะ...พี่ชายเล็ก กับพี่ชายพีร์วิ่งหนีปรางไปไหนก็ไม่รู้...ฮืออ”
เธอยังกอดเขาอยู่ ธราธรส่ายหน้า แล้วก็มองไปที่มุมหนึ่งของวัง เห็นปวรรุจเดินหิ้วรณพีร์ออกมา รณพีร์หน้าจ๋อยๆ ส่วนอีกมุมเป็นพุฒิภัทรกับรัชชานนท์ที่ยิ้มแหยๆธราธรส่ายหน้าในความซนของน้อง แล้วก็พยักหน้าให้ปวรรุจและพุฒิภัทรจัดการแทน ปวรรุจและพุฒิภัทรดึงตัวสองตัวแสบออกไป ระวีรำไพยังร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของธราธร...
“ฮืออออ”
ธราธรกอดแล้วลูบผมเบาๆอย่างอบอุ่น
“ไม่ต้องร้องนะคะ พี่ชายใหญ่อยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องร้องนะคะ”
ระวีรำไพกอดแน่น ด้วยความกลัวและโล่งอก
ธราธรกอดระวีรำไพในท่วงท่าที่ใกล้เคียงกับตอนเด็ก แล้วก็ลูบผมเธอเบาๆ
“พี่ชายใหญ่อยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องร้องนะคะ”
ระวีรำไพรู้สึกดีขึ้น ค่อยๆหายตกใจ...หยุดร้องไห้ แล้วก็ปาดน้ำตา ธราธรค่อยๆดันตัวออกมามองหน้าหญิงสาวที่ยังมีคราบน้ำตาอยู่แล้วก็ส่ายหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้อย่างอ่อนโยน ระวีรำไพยิ้มนิดๆ อายๆ
“ปรางขอโทษนะคะ ที่ร้องไห้เป็นเด็กๆ”
“ร้องไห้ไม่ผิด ไม่ต้องขอโทษ...” เขาพูดเสียงดุขึ้น “แต่ที่เดินเข้ามาในป่าแบบนี้ต่างหากที่ต้องชี้แจง”
ระวีรำไพชะงักนิดๆ อึกอักๆ ขึ้นมาทันที
“เอ่อ...คือ...ปรางเห็นคุณพ่อเดินเข้ามากับพรานอ่อนศรีแค่สองคน ปรางก็เลยเป็นห่วง กลัวคุณพ่อจะเป็นอะไรไปกลางป่า หรือถ้าเจอพวกโจร ก็อาจจะโดนทำร้าย ปรางก็เลย...”
ธราธรต่อเอง
“ก็เลยเดินตามเข้ามา แล้วก็หลงอยู่ในป่าแบบนี้...ใช่มั้ย”
ระวีรำไพพยักหน้าจ๋อยๆ ธราธรส่ายหน้า
“คราวหน้าคราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก ถ้าพี่ไม่เดินตามมา ปรางจะทำยังไง”
ระวีรำไพหน้าจ๋อย
“ถ้าเป็นห่วงคุณชายอาทิตย์รังสีก็บอกพี่ หรือบอกคนอื่นที่พอจะช่วยได้ เราน่ะตัวเองยังเอาไม่รอดเลย อย่าทำอะไรเกินตัว...ถ้าพูดแล้วไม่ฟัง พี่ส่งกลับพระนครจริงๆด้วย”
ระวีรำไพรีบอ้อน
“ปรางขอโทษค่ะ...ปรางก็แค่เป็นห่วงคุณพ่อ คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วค่ะ พี่ชายใหญ่อย่าดุปรางเลยนะคะ นะคะ...นะคะ...”
ระวีรำไพส่งสายตาอ้อนทำตาปริบๆ ธราธรเห็นแล้วก็ใจอ่อน อมยิ้ม กลั้นไม่ให้หัวเราะ พยักหน้าแทนคำตอบ ระวีรำไพยิ้มกว้าง
“ขอบคุณค่ะ ! พี่ชายใหญ่ใจดีที่สุดเลย” เธอยิ้มกว้างแล้วก็นึกได้โพล่งออกมาด้วยความตกใจ “แย่แล้ว !!”
ธราธรตกใจตาม
“ปรางเป็นอะไร”
ระวีรำไพหน้าเสียสุดๆ
“อาหารกลางวัน!!”
ระวีรำไพโพล่งออกมา หน้าเสีย ใจสั่น กลัวความผิดสุดๆ
อาหารกลางวันหน้าตาดูดีมาก ถูกตักใส่ชามและวางไว้เป็นชุดๆ ทั้งหมดประมาณ 5 – 6 ชุด เกษรากำลังจัดอาหารวางบนโต๊ะด้วยความตั้งใจ ชินกรยกหม้อข้าวออกมาจากครัว
“ข้าวมาแล้ววว...”
ชินกรวางหม้อข้าวไว้บนโต๊ะที่เตรียมไว้ แล้วหันมามองดูกับข้าวที่วางอยู่ แล้วก็พูดด้วยความชื่นชม
“ก้อง...นายนี่ทำกับข้าวได้ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เกษราหันมายิ้มรับนิดๆ
“เห็นแล้วไม่น่าเกิดมาเป็นผู้ชายเลย เสียดายจริงๆ”
เกษราชะงักหุบยิ้มหันมามองหน้าชินกรงงๆ
“ทำไมต้องเสียดายครับ”
ชินกรหันมา
“อ้าว ก็ถ้าเกิดมาเป็นผู้หญิง นายก็จะได้เป็นแม่บ้านแม่เรือน ใครได้ไปเป็นเมียโชคดีตายเลย”
ชินกรยิ้มกว้าง เกษราฟังแล้วก็เกิดอายขึ้นมาซะงั้น ยิ้มๆ หน้าแดงๆ ก้มๆหน้า ชินกรหันมาเห็น
“นี่...”
เขาพยายามจะมองหน้าให้ชัดๆ ยิ่งมอง เกษรายิ่งเขิน
“นี่...ก้อง...หน้าแดงทำไม”
“คือ...เปล่านะครับ...ไม่ได้หน้าแดง”
ชินกรจับหน้าหันมามองจังๆ เกษรายิ่งเขิน หน้ายิ่งแดง
“ก็เนี่ย มันแดงชัดๆ ยังจะมาเถียงว่าไม่แดงอีก เป็นอะไรหะ ที่ฉันพูดหมายถึงว่า ถ้านายเป็นผู้หญิง แต่นายไม่ได้เป็นทำไมต้องเขินด้วย”
เกษราอึกอัก
“เอ่อ...คือ...”
ชินกรมองหน้าชัดๆ ใกล้ๆ แล้วก็พูดขึ้น
“แต่จะว่าไป...หน้านายก็เหมือนผู้หญิงมากเลยนะเนี่ย ทั้งผิวพรรณ คิ้ว ตา จมูก...แล้วก็...ปาก”
ปากอวบอิ่มของเกษราเผยอเล็กน้อยแอบดูเซกซี่...ทำเอาชินกรถึงกับอึ้ง อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนกับมันเป็นริม
ฝีปากของผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ ชินกรอึ้งใจเต้นแรงมองหน้าเกษราค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับโดนมนต์สะกด เกษราก็ยืนอึ้งมองตาเขาที่เริ่มเปลี่ยนไป เธอยังขยับหน้าหนีไม่ได้ เพราะโดนมือเขาจับล็อคไว้อยู่ ต่างคน
ต่างอึ้งค้างอยู่ในท่าที่ล่อแหลม ทันใดนั้นเสียงระวีรำไพก็ดังขึ้น
“พี่ก้องครับ พี่ก้อง!!”
เกษรารีบผงะดันตัวออก ชินกรสะดุ้งรีบปล่อยมือออกจากใบหน้าของเกษรา ต่างคนเด้งตัวออกจาก
กันอย่างเร็ว
ระวีรำไพเดินโผล่พรวดเข้ามาในที่กินข้าว มองซ้ายมองขวา เห็นเกษรายืนอยู่ก็รีบเรียกขึ้น
“พี่ก้อง !”
เกษรายืนเก้อๆเขินๆ แต่พยายามทำให้เป็นปกติ เช่นเดียวกับชินกรที่ทำเป็นหันไปเช็ดโต๊ะด้วยความเขิน แต่พยายามทำให้เป็นปกติ ระวีรำไพวิ่งเข้ามาหาด้วยความรู้สึกผิด
“พี่ก้องผมขอโทษที่มาช้า พอดี...มีปัญหานิดหน่อย”
เกษราตอบยิ้มๆ
“ไม่เป็นไร...พี่...ทำคนเดียวได้ แล้ว...อาจารย์ชินกรก็ช่วยอีกแรง”
ระวีรำไพเพิ่งสังเกตเห็นว่าชินกรยืนอยู่ เพราะมัวแต่รู้สึกผิด และสนใจแต่เกษรา เธอยกมือไหว้ชินกร
“ผมต้องขอบคุณอาจารย์มากนะครับที่ทำหน้าที่แทน”
ชินกรรับไหว้
“ไม่เป็นไร...คราวหน้าก็รักษาเวลาหน่อยก็แล้วกัน ครูคงมาช่วยแบบนี้ไม่ได้ทุกครั้ง”
ชินกรทำดุเล็กๆกลบเกลื่อน ระวีรำไพจ๋อยนิดๆ
“ครับ”
ชินกรหันมาทำเสียงเข้มใส่เกษรา
“ก้อง !”
เกษราหันมางงๆ
“ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วนะ ครูจะได้ไปรับนักศึกษาคนอื่นมากินข้าว”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ชินกรพยักหน้ารับแล้วก็...เดินออกไปเลย พยายามทำเป็นไม่อาย ไม่เขิน ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น เกษรามองตามงงๆ ระวีรำไพมองตามด้วยความแปลกใจ
“อาจารย์
ชินกรเป็นอะไร...ทำไมดูแปลกๆ”
ระวีรำไพขมวดคิ้วนิดๆ สงสัย เกษราคิดๆ งงๆ เหมือนกัน ไม่รู้คำตอบ
ชินกรเดินพรวดพราดออกมาที่จอดรถหน้าที่กินข้าว แล้วก็หยุดคิด หน้าเครียดๆเหวอๆ
“นี่เราเป็นอะไรไปวะเนี่ย”
ชินกรพยายามสะบัดหัว เอาภาพเกษราออก พร้อมกับตบๆหัว เหมือนภาพในความคิดเป็นชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคที่ตบๆแล้วมันจะแฮงค์ๆหายไปได้ ธราธรเดินมาเห็นพอดี
“อาจารย์ชินกร...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ชินกรรีบหยุดตบหัวตัวเอง แล้วก็ยิ้มแห้งๆ ปกปิด
“ปะ...เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร แหะๆ คือ...มันหูอื้อๆ นิดหน่อยครับ สงสัยน้ำจะเข้าหู ก็เลยตบๆให้น้ำมันออก ตะ...ตอนนี้...เป็นปกติแล้วครับ...ผมไปรับเด็กๆที่ปราสาทมากินข้าวก่อนนะครับ แหะ ๆ”
ชินกรยิ้มแห้งกลบเกลื่อนแล้วก็เดินต่อไปที่รถ ธราธรมองตามนิดๆ งงๆ ว่าเป็นอะไร
พุฒิภัทรกำลังเล่นเปียโนอยู่อย่างเข้าถึงอารมณ์ หลับตาพริ้ม อินมาก ถนอมเดินเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างๆ หน้าตาตื่น
“คุณชายภัทรครับ”
พุฒิภัทรยังอินไม่ได้ยิน ถนอมเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณชายภัทรครับ...คุณชาย...”
พุฒิภัทรยังไม่ได้ตอบ แต่เริ่มได้ยินนิดๆ ถนอมตัดสินใจพูดออกไปเลย
“คุณชายภัทรครับ เกิดเรื่องแล้ว ตอนนี้คุณมารตีและคุณวิไลรัมภาอยู่ที่หน้าวัง กำลังจะเข้าไปพบหม่อมเอียด กับคุณอ่อนขอรับ !!”
พุฒิภัทรถึงกับกระแทกมือลงบนเปียโน ตึ่ง!! เขาลืมตามาออกคำสั่ง
“รีบไปตามชายรุจ ชายเล็ก และชายพีร์ไปเจอกับฉันที่หน้าวังด่วน!!”
“ขอรับ”
ถนอมรีบวิ่งออกไป พุฒิภัทรคิดหนักว่าจะทำยังไงดี
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.00น.
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 4 (ต่อ)
มารตีและวิไลรัมภาเดินเข้ามาในวังจุฑาเทพ วิไลรัมภาถือถาดขนมมาด้วยใบหน้าระรื่น แจ๋วเดินมา ต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ”
“ฉันมาพบหม่อมย่าเอียด กับ คุณย่าอ่อน”
“คุณท่านอยู่ที่เรือนด้านในค่ะ แจ๋วจะไปเรียนท่านให้นะคะ”
แจ๋วจะไป มารตีรีบพูดขึ้น
“ไม่ต้อง...ฉันสองคนไปเอง”
แจ๋วชะงัก มารตีกับวิไลรัมภาเชิดหน้านิดๆ แสดงความสนิทสนมแกมอภิสิทธิ์ แล้วก็เดินตรงที่เรือนหม่อมเอียด
ระหว่างทางเดินเชื่อมต่อสองตึก ปวรรุจ กับรณพีร์โผล่พรวดออกมาจากตึกที่มีห้องเต้นรำและ พุฒิภัทรกับรัชชานนท์ก็วิ่งพรวดออกมาจากอีกตึกด้านที่มีห้องใต้โดม
“น้องมารตีกับน้องรัมภากำลังจะมุ่งหน้าไปหาหม่อมย่า” พุฒิภัทรเข้ามาบอก
ปวรรุจหน้าเครียด
“ถ้าทั้งสองคนเจอกับหม่อมย่า ต้องคุยถึงคุณเกษแน่ๆ”
รัชชชานนท์หน้าตื่น
“และความลับก็ต้องแตก...ทำยังไงดี”
ทั้งสี่คนคิดและแล้วรณพีร์ก็คิดออก
“ผมรู้แล้ว !”
ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานนท์ หันขวับมาทางรณพีร์
มารตี และ วิไลรัมภา เดินยิ้มกริ่มตรงไปที่หาเป้าหมาย ทันใดนั้นรณพีร์ รัชชานนท์ และ พุฒิภัทร ก็เดินออกมาอย่างเร็ว มารตี กับ วิไลรัมภาถึงกับตะลึงอึ้ง ร้องออกมาพร้อมกัน
“คุณชาย...”
รณพีร์ยิ้ม
“สวัสดีครับ”
มารตีนึกได้ ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่ชายภัทร พี่ชายเล็ก พี่ชายพีร์”
เธอยกมือไหว้ ทีละคน สามคุณชายรับไหว้ รัชชานนท์ยิ้มให้สองสาว
“น้องมารตีกับน้องรัมภามาถึงนี่ มีอะไรให้พี่รับใช้หรือเปล่าครับ”
สองสาวขวยเขินเล็กๆ มารตีพูดอย่างมีจริต
“แหม...เราสองคนจะกล้าใช้พวกพี่ๆคุณชายได้ยังไงคะ สาวๆทั้งพระนครคงจะเคืองแย่”
รณพีร์ยิ้มหน้าบาน รัชชานนท์ยิ้มรับ ส่วนพุฒิภัทรยิ้มรับนิดๆ ดูท่าที แล้ววิไลรัมภาก็โพล่งขึ้นมา
“เราสองคนมาหาหม่อมเอีอด กับคุณย่าอ่อนค่ะ มีของหวานมาฝากท่านแล้วก็จะถามข่าวของพี่เกษด้วยค่ะ”
ทั้งสามคุณชายหุบยิ้มแทบไม่ทัน ปรายตามองปรึกษากัน ทำไงดี
ปวรรุจเดินอ้าวๆๆมาที่หน้าเรือนหม่อมเอียดอย่างเร็ว หม่อมเอียดและย่าอ่อนเดินออกมาพอดี
“ชายรุจ...จะรีบไปไหน” หม่อมเอียดถามอย่างสงสัย
ปวรรุจชะงักหยุดเดิน เงยหน้ามองตามเสียง เห็นหม่อมเอียดกับย่าอ่อนยืนอยู่ เขาพยายามทำตัวปกติ
“คือ..ผมมีเรื่องจะมาเรียนปรึกษาหม่อมย่ากับคุณย่าน่ะครับ”
ย่าอ่อนทำเสียงรำคาญนิดๆ
“จะมาปรึกษง ปรึกษาอะไรตอนนี้ ฉันกับคุณพี่จะไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายที่หน้าวัง เอาไว้ปรึกษาทีหลังก็แล้วกัน”
ปวรรุจชะงักกึก รีบบอก
“แต่ว่า...มันเป็นเรื่องด่วนมากครับ เรื่องเกี่ยวกับคุณเกษครับ”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อนขมวดคิ้วอยากรู้ขึ้นมาทันที
วิไลรัมภาบ่นด้วยความเสียดาย
“หม่อมย่านอนกลางวันเหรอคะ”
รณพีร์รีบตอบ
“ใช่ค่ะ” เขาแอบหวานกลบพิรุธ “เวลานี้จะเป็นเวลาเอนหลังของท่าน...ใช่มั้ยชายเล็ก”
รณพีร์เอาศอกถองน้องชาย รัชชานนท์ยืนเงอะงะนิดๆ
“อะ...เอ่อ...อ๋อ ใช่ครับ เวลานี้กำลังหลับสบายเลยทั้ง 2 คนเลย ไม่เชื่อถามพี่ชายภัทรได้”
รัชชานนท์โยนมา พุฒิภัทรอึกอัก
“เอ่อ...”
มารตีหันมารอฟัง
“คือ...” เขาไม่อยากโกหก เลยเปลี่ยนประเด็น “เอาเป็นว่า...หลังจากที่หม่อมย่า กับคุณย่าตื่น พี่จะเรียนท่านว่าน้องมารตีและน้องรัมภามาเยี่ยมนะครับ”
พุฒิภัทรไล่แบบอ้อมๆ รัชชานนท์กับรณพีร์รีบพยักหน้ารับพริ้มยิ้ม ใช่ๆ มารตียิ้ม
“ขอบคุณพี่ชายภัทรมากค่ะ แต่...มารตีกับรัมภาขอรอจนกว่าหม่อมย่า กับคุณย่าตื่นดีกว่าค่ะ”
สามคนหุบยิ้ม รัชชานนท์กับรณพีร์ ชะงัก
“รอ”
มารตียิ้มตอบอย่างผู้ดี
“ใช่ค่ะ...ไหนๆก็มาแล้ว รอนิดรอหน่อยคงไม่น่าจะเป็นอะไร เราขอไปรอที่เรือนท่านนะคะ”
มารตีพยักหน้าให้วิไลรัมภา เตรียมจะไป สามคุณชายมองหน้ากันเอาไงดี ทันใดนั้นรัชชานนท์ก็คิดได้
“เดี๋ยวก่อนครับ...อย่าเพิ่งไป พี่มีความคิดที่ดีกว่านั้น”
ทุกคนหันขวับมาทางรัชชานนท์ รวมทั้งรณพีร์และพุฒิภัทรด้วย
หม่อมเอียดพูดขึ้นด้วยความเสียดาย
“หนูเกษไม่ว่างมากินข้าวกับย่าอย่างนั้นเหรอ”
ปวรรุจตอบอย่างสุภาพ พยายามคุมอาการไม่ให้มีพิรุธ ทั้งที่ในใจแอบร้อนใจ
“ครับ คือ...ช่วงนี้มีคนสั่งขนมหวานเทวพรหมค่อนข้างมาก คุณเกษจำเป็นต้องรีบทำขนมส่ง เธอฝากผมมากราบขอโทษหม่อมย่า กับ คุณย่าด้วยครับ”
“ไม่เป็นไร ย่าเข้าใจ ไม่ว่ากัน อีกอย่างชายใหญ่ก็ไม่อยู่ รอให้ชายใหญ่กลับมาแล้วค่อยมาตอนนั้นก็ได้”
ปวรรุจยิ้มรับ แล้วก็แอบชะเง้อ ชะแง้ มองไปที่หน้าบ้าน ดูลาดเลาว่าปลอดภัยไม่มีใครเดินมา ย่าอ่อนพูดขึ้น
“คิดแล้วก็เสียดาย...น่าจะให้หนูเกษเดินทางไปกับชายใหญ่ จะได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ดูสิอีกคนอยู่นี่ อีกคนไปซะตั้งไกล จะได้เรียนรู้กันได้ยังไง”
ปวรรุจทำเป็นฟัง แต่ตาก็แอบมองไปที่หน้าบ้านตลอดเวลา หม่อมเอียดหันมาแย้งย่าอ่อน
“แม่อ่อนก็พูดพิเรนทร์ จะให้หนูเกษไปกับชายใหญ่ได้ยังไง มีแต่ผู้ชายทั้งคณะ เป็นผู้หญิงแทรกเข้าไปในขบวนรู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
ปวรรุจชะงักกึก ทำหน้าไม่ถูก ย่าอ่อนหน้าม่อยไปเล็กน้อย
“คุณน้องก็เย้าเล่นค่ะใครจะให้ไปเข้าป่าจริงๆหล่ะคะคุณพี่ น่าเกลียดแย่...น้องว่า เราไปเดินเล่นกันเถอะค่ะ...หมดธุระแล้วใช่มั้ย” ย่าอ่อนหันมาทางปวรรุจ
ปวรรุจอึกอัก
“เอ่อ...คือ...ก็...”
ย่าอ่อนรำคาญ
“มัวแต่เอ่อ...คือ...ก็...เสียเวล่ำเวลา เราไปกันเถอะค่ะคุณพี่ เมื่อครู่น้องได้ยินเสียงรถเข้ามาในวัง จะได้ไปดูว่าของใคร”
หม่อมเอียดพยักหน้า จะลุกขึ้น ปวรรุจก็ขยับตัวคลานเข่าเข้ามาจะขวาง
“หม่อมย่าครับ”
ย่าอ่อนส่งสายตาดุ
“หลบ ไป”
“เอ่อ...”
ปวรรุจเกรงๆลำบากใจ ทำไงดี ทันใดนั้นเสียงรัชชานนท์ก็ดังขึ้น
“พี่ชายรุจ”
ปวรรุจหันขวับมา รัชชานนท์รีบเดินเข้ามา ปวรรุจมองน้องชายอย่างแปลกใจ เหมือนจะถามทางสายตาว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง รัชชานนท์ตอบเป็นนัยๆ แบบรู้กันเอง
“ทางสะดวกแล้วนะครับ”
ปวรรุจพยักหน้า...โล่งอก ก่อนจะหันมาพูดกับหม่อมเอียดและ ย่าอ่อนยิ้มๆ
“ผมหมดธุระแล้วครับ เชิญหม่อมย่า กับคุณย่าครับ”
หม่อมเอียดลุกขึ้นก้าวขาจะเดินไป คราวนี้ย่าอ่อนเป็นฝ่ายไม่ยอมไป
“เดี๋ยวสิ...เมื่อกี๊ชายเล็กบอกว่า ทางสะดวกคืออะไร”
ปวรรุจน์กับรัชชานนท์มองหน้ากันเอาไงดี หม่อมเอียดส่ายหน้า แล้วก็หันมาเอ็ด
“แม่อ่อน...พอได้แล้ว พวกคุณชายคงจะมีธุระส่วนตัวต่อกัน เราจะไปรู้ทุกเรื่องได้ยังไง ไปได้แล้ว ฉันไม่อยากอุดอู้อยู่ในเรือนแล้ว...ไป”
ย่าอ่อนจำใจ
“ค่ะ คุณพี่”
หม่อมเอียดเดินนำไป ย่าอ่อนเดินตาม แต่ยังค้างคาใจ คล้อยหลังสองคน ปวรรุจรีบหันมาถาม
“น้องมารตีและวิไลรัมภากลับวังเทวพรหมไปแล้วเหรอ”
รัชชานนท์ส่ายหน้า ปวรรุจขมวดคิ้ว
“อ้าว...แล้วเราทำยังไง ทางถึงได้สะดวก”
หน้าวังจุฑาเทพ รถหรูของรณพีร์แล่นออกมา รณพีร์และพุฒิภัทรนั่งหน้าจ๋อยๆ อึดอัดๆ อยู่ข้างหน้า มารตีและวิไลรัมภาที่นั่งเชิด ยิ้มอย่างพอใจ มีความสุขมั่กๆ อยู่เบาะหลัง พุฒิภัทรหน้าเซ็งมาก คิดถึงก่อนหน้านี้...มารตีพูดยิ้มๆ
“ขอบคุณพี่ชายภัทรมากค่ะ แต่...มารตีกับรัมภาขอรอจนกว่าหม่อมย่า กับคุณย่าตื่นดีกว่าค่ะ”
รัชชานนท์กับรณพีร์ชะงัก
“รอ”
มารตียิ้มตอบอย่างผู้ดี
“ใช่ค่ะ...ไหนๆก็มาแล้ว รอนิดรอหน่อยคงไม่น่าจะเป็นอะไร เราขอไปรอที่เรือนท่านนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ...อย่าเพิ่งไป พี่มีความคิดที่ดีกว่านั้น”
ทุกคนหันมา รวมทั้งรณพีร์และพุฒิภัทรด้วย หันขวับมาทางรัชชานนท์
“พี่คิดว่า...ให้พี่ชายภัทรและชายพีร์พาน้องมารตีกับน้องรัมภาไปดูหนังดีกว่าครับ”
พุฒิภัทรกับรณพีร์เลิกคิ้ว เหรอ มารตีกับวิไลรัมภาตาโตดีใจ รัชชานนท์พูดต่อ
“ตอนนี้กำลังมีเรื่อง...วันก่อนพี่ชายภัทรกับชายพีร์บ่นว่าอยากดู”
สองคุณชายเลิกคิ้วอีกที
“แต่ไม่มีเพื่อนไป วันนี้น้องมารตีกับน้องรัมภาไปดูเป็นเพื่อนพี่ชายทั้งสองได้หรือเปล่าครับ”
พุฒิภัทรกับรณพีร์ถึงกับเหวอไป จะอ้าปากแย้ง แต่มารตีและวิไลรัมภาตอบพร้อมกัน
“ได้ค่ะ”
พุฒิภัทรกับรณพีร์ถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก วิไลรัมภากระตือรือร้นมากมาย
“เราไปกันเลยตอนนี้เลยนะคะ”
สองคุณชายอึ้งหนักกว่าเดิม ถอนใจเบาๆ
ปัจจุบัน...พุฒิภัทรบ่นเบาๆ
“คราวหน้า ให้คนต้นความคิดไปดูหนังเองนะ”
รณพีร์กัดฟันตอบอย่างแค้นๆ
“จริงครับ”
รณพีร์และพุฒิภัทรส่ายหน้าอย่างเซ็ง ซึ่งผิดกับสองสาวหลังรถ มารตีและวิไลรัมภายิ้มร่าเริงมีความสุข
รถรณพีร์แล่นออกมาจากวังจุฑาเทพที่เด่น งาม อลังการณ์
อาทิตยรังสียืนดูซากปราสาทหลังแรกที่โดนขโมยของไปอย่างฌสร้าๆ เสียดาย อ่อนศรีเดินเข้ามายืนข้างๆ
“น่าเสียดายจริงๆ ปราสาทหลังนื้ถือว่างดงามมาก”
“ยังดีนะครับที่พวกโจรมันแค่สะกัดเอาหน้าบันไป ปราสาททางเหนือด้านโน้น โดนไดมาไมค์ ระเบิดพังยับเลยครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกมันคิดยังไง ระเบิดปราสาทอายุหลายร้อยปี เพียงเพราะจะเอาหน้าบัน เอาทับหลังแลกเงินแค่ไม่กี่หมื่นบาท” อ่อนศรีพูดด้วยความอ่อนใจ
“เพราะเขาไม่เห็นคุณค่า...และคิดว่ามันเป็นแค่ก้อนหินเก่าๆที่กองอยู่ในป่า เขาถึงทำแบบนี้ได้”
อาทิตยรังสีเอามือลูบแผ่นหินที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ พูดด้วยความเข้าใจ
“ถ้าเราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เราต้องช่วยกันให้ความรู้ และทำให้ชาวบ้านเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ นอกจากจะไม่กล้าทำลาย เขายังช่วยกันรักษาและดูแลแทนเรา”
อ่อนศรีพยักหน้ารับทราบ และเห็นด้วย อาทิตย์รังสีหันมาทางอ่อนศรี
“ส่วนปราสาทอีก 5 หลังที่อ่อนศรีวาดแผนที่ให้ฉันไว้ เสร็จจากงานที่ปราสาทพนมธมฉันจะรีบไปสำรวจและเสนอเรื่องให้ทางการรีบเข้ามาดูแลอย่างเร็วที่สุด”
“ครับ”
อาทิตยรังสี หันมามองดูซากปราสาทที่กองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ด้วยความเศร้า เสียดาย
หน้าบ้านพักของอาทิตย์รังสี ระวีรำไพยืนซุ่มด้อมๆ มองๆ อยู่ที่มุมประจำ มองไปที่ระเบียงบ้านที่มีโต๊ะอาหารและมีอาหารวางอยู่ พร้อมกับฝาชีที่ครอบปิดไว้ เธอชะเง้อชะแง้มองหาด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นก็มีมือมาตบลงที่ไหล่ ระวีรำไพร้องตกใจ
“ว้าย...”
เกษรารีบส่งเสียง
“น้องปราง พี่เองค่ะ”
ระวีรำไพหันขวับมา โล่งอก
“เฮ่อ...พี่เกษ”
“พี่ขอโทษ ที่ทำให้ตกใจ น้องปรางกำลังทำอะไรอยู่คะ”
“ปรางมารอคุณพ่อน่ะค่ะ เห็นเดินเข้าป่าไปกับพรานอ่อนศรี เมื่อตอนกลางวัน ยังไม่กลับออกมาทานข้าวเลย ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า”
เกษรามองด้วยความเห็นใจ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอาทิตยรังสีเดินมากับอ่อนศรี
“น้องปรางคะ คุณชายอาทิตย์กลับมาแล้วค่ะ”
ระวีรำไพรีบหันขวับไปดูทันที ในจังหวะเดียวกันอาทิตยรังสีก็หันขวับมา เพราะได้ยินเสียงคนพูดแว่วๆ สองพ่อลูกสบตากัน ระวีรำไพตกใจรีบหลบวูบลงข้างหลังต้นไม้ ดึงเกษราลงมาด้วย อาทิตย์รังสีชะงักนิดๆ อย่างรู้ทันแล้วก็อมยิ้มที่มุมปาก อ่อนศรีแปลกใจ
“คุณชายมองอะไรครับ”
อาทิตย์รังสีหันมา
“อ๋อ...คงจะเป็นเด็กๆมาเล่นซนแถวนี้ เรารีบกินข้าว แล้วไปทำงานต่อกันดีกว่า”
อาทิตย์รังสีพูดยิ้มๆ แล้วก็เดินขึ้นบ้านไป อ่อนศรีมองๆ ไปที่พุ่มไม้แล้วก็เดินตามขึ้นบ้านพักไป
ระวีรำไพกับเกษราค่อยๆโผล่ออกมาจากหลังพุ่มไม้ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“คุณพ่อมาแล้ว เรารีบกลับไปทำงานกันเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ชายใหญ่กับอาจารย์ชินกรจะรอ”
ระวีรำไพพูดจบก็หันเดินไปเลย ทิ้งให้เกษรายืนหนักใจ แล้วก็ตัดสินใจรีบเดินตามไปเพื่อจะบอกความในใจบางอย่างที่เก็บไว้
ระวีรำไพเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ กำลังจะรีบเดินไปหาธราธรที่หน้าแคมป์ เกษรารีบเดินตามมา
“น้องปรางคะ...น้องปราง”
ระวีรำไพหันมา เกษรารีบเดินมาหา และหรี่เสียงคุยกันแบบสองคน
“คือ...พี่มีเรื่องไม่สบายใจ”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“เรื่อง...อาจารย์ชินกร”
เกษราพูดถึงชินกรด้วยความไม่สบายใจ
ชินกรเดินไปเดินมาอย่างงุ่นง่านใจอยู่บริเวณหน้าแคมป์ ภาพก้องเกียรติ์เป็นเกษรายังติดตาเขาอย่างประหลาดใจ
“บ้าจริงๆ เราคิดอะไรอยู่เนี่ย”
ชินกรส่ายหน้าด้วยความเครียด
ระวีรำไพถามเกษราด้วยความไม่สบายใจ
“อาจารย์ชินกรสงสัยพี่เกษ”
“ค่ะ พี่ว่า...อาจารย์ชอบมองพี่แปลกๆ แล้วก็พูดแต่ว่าพี่หน้าเหมือนเกษรา หรือว่า...พี่จะปลอมตัวไม่แนบเนียน พี่กลัวความลับจะแตก แล้วน้องปรางจะเดือดร้อนไปด้วย”
ระวีรำไพจับมือ
“พี่เกษอย่าคิดมากเลยนะคะ ถ้าพี่เกษไม่สบายใจ บอกพี่ชายใหญ่ดีมั้ยคะ เผื่อพี่ชายใหญ่จะได้ไม่ให้ไปทำงานกับอาจารย์ชินกร”
เกษราหนักใจ
“พี่ไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าทำแบบนั้น คนอื่นจะคิดว่าพี่เรื่องมาก จะยิ่งโดนเพ่งเล็ง พี่คิดว่า จะเลี่ยงด้วยการไม่อยู่ใกล้ๆอาจารย์ชินกร พยายามไม่เผชิญหน้า และอยู่ห่างๆเข้าไว้ ยิ่งไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี”
เกษราตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ชินกรยังยืนอยู่ที่เดิม แต่สีหน้ามุ่งมั่น
“ไอ้ก้องมันเป็นผู้ชายเหมือนเรา เราจะต้องไปคิดมากทำไม มันเป็นผู้ชาย...มันเป็นผู้ชาย เฮ่อ...สงสัยเราจะต้องอยู่ใกล้ๆมันให้มากๆ จะได้ชิน ไม่คิดว่ามันเป็นอย่างอื่น...”
ชินกรพูดอย่างปักใจ และปลอบใจ สะกดจิตตัวเอง
ธราธรยืนรออยู่ข้างรถที่หน้าแคมป์ เกษรากับระวีรำไพวิ่งมา
“พร้อมทำงานตอนบ่ายแล้วนะ” ธรารธรหันมาถาม
เกษรากับระวีรำไพตอบพร้อมกัน
“ครับ”
“ไปขึ้นรถ”
ทั้งสามคนเตรียมขึ้นรถ ระวีรำไพจะขึ้นนั่งหน้าคู่กับธราธรแล้วก็นึกได้เดินหลบให้เกษรา และพูดเบาๆ
“พี่เกษนั่งหน้ากับพี่ชายใหญ่นะคะ”
เกษราจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ไม่ทันบอก ระวีรำไพก็รีบเดินเลี่ยงไปขึ้นด้านหลังทันที เกษราจำต้องนั่งหน้า ธราธรกำลังจะขึ้นประจำที่คนขับ ทันใดนั้นชินกรก็ตะโกนขึ้น
“คุณชายใหญ่รอด้วยครับ ผมไปด้วย”
ระวีรำไพหันขวับไปทางเกษรา ที่ก้มหน้าแย่แล้ว ชินกรวิ่งมาแล้วก็ชะงักนิดๆ เห็นเกษรานั่งก้มหน้าอยู่ด้านหน้ารถ ไม่ยอมสบตา ชินกรก็สูดลมหายใจพูดเบาๆ
“ไอ้ก้อง...มันเป็นผู้ชาย” แล้วเขาก็หันมาบอกธราธร “คุณชายครับ ผมขับให้เองครับ”
ระวีรำไพหันไปมองเกษรา เกษราสะดุ้งนิดๆ เอาไงดี ธราธรยิ้มไม่รู้เรื่อง
“ขอบคุณครับ”
ธราธรลงมาจากรถ ชินกรรีบเดินมาประจำที่คนขับ ธราธรกำลังจะไปนั่งหลังกับระวีรำไพ เกษรารีบพูดขึ้น
“อาจารย์หม่อมครับ ผมไปนั่งหลังกับตะวันเองครับ”
เกษรากำลังจะลงจากรถ ชินกรรีบคว้าข้อมือไว้ หมั่บ
“ไม่ต้อง...นายนั่งหน้ากับฉันนี่แหละนายก้อง อาจารย์หม่อมท่านไม่ถือหรอก”
เกษราอึกอัก ธราธรมองมือชินกรที่จับข้อมือของเกษราอยู่แล้วก็รู้สึกเป็นห่วง ก่อนจะพูดขึ้น
“อาจารย์ชินกรพูดถูก ฉันไม่ถือ นายนั่งไปเถอะ”
“เอ่อ...ครับ”
เกษราค่อยๆดึงมือตัวเองกลับมาอย่างเขินๆ ชินกรมองๆแล้วก็ใจสั่นนิดๆ แต่พยายามไม่คิด แล้วก็หันไปขับรถ ระวีรำไพมองเกษราและชินกรด้วยความเป็นห่วง แล้วก็หันมาทางธราธรที่กำลังมองเกษราด้วยความกังวลใจ แต่แววตาของธราธรดูแล้วตีความได้ว่าอาจจะ หึง ทำให้ระวีรำไพใจหายวาบ ใจเสีย เธอค่อยๆหันกลับมาอย่างเศร้าๆ
หน้าปราสาท...นักศึกษากระจายกันทำงาน อุดม ปิติ มานะ ยังง่วนอยู่กับการถางหญ้า แทนเดินลนลานมาถามมานะ ที่ยืนเช็คก้อนหินอยู่ด้านหน้าของปราสาท
“มานะเห็นมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดหรือเปล่า”
มานะส่ายหน้า
“ไม่เห็นครับ”
แทนเดินมาหาอุดม
“นี่เธอ...เห็นมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดหรือเปล่า”
อุดมหันมา
“ฝรั่งผมทองๆ ตัวสูง ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ๆ เห็นหรือเปล่า”
“ไม่เห็นครับ”
แทนส่ายหน้า
“ไม่เห็น แหม แล้วถามซะยังกะเห็น...ไม่ได้ความ”
“อ้าว...”
แทนชักสีหน้าใส่แล้วก็เดินไป อุดมงง
“ผิดตรงไหนเนี่ย”
ปิติหันมาปลอบใจ
“เอาน่า อย่าคิดมากเลยไอ้ดม...มากินหญ้ามา”
ปิติกวาดๆหญ้าที่เพิ่งถางมาให้
“ขอบใจ...มอ” อุดมรู้ตัว “เฮ้ย คนน่ะ ไม่ใช่นก จะได้กินหญ้า”
ปิติกับมานะขำในความสับสนเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตของอุดม
รถชินกรเข้ามาจอดเทียบด้านหน้า ทั้งสี่คนกำลังจะลงจากรถ แทนเดินตามหาเอ็ดเวิร์ดผ่านมาพอดี พอเห็นคณะของธราธร ก็รีบเดินเข้ามาถาม
“คุณชายใหญ่ อาจารย์ชินกรครับ ไม่ทราบว่าเห็นมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดบ้างหรือเปล่าครับ”
ธราธรคิดนิดนึง
“ไม่เห็นนะครับ”
ชินกรหันมาบอก
“เมื่อกี๊มาจากที่แคมป์ผมก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
แทนแปลกใจ
“เอ...หายไปไหนของเค้านะ ผมเดินหาทั่วไซท์แล้วก็ไม่เจอ หายไปทั้งมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดทั้งพรานสม ไม่รู้หายไปไหน งั้นผมขอตัวไปเดินหาต่อก่อนนะครับ”
ธราธรกับชินกรพยักหน้ารับ แทนรีบเดินไป เกษราถือโอกาสนี้รีบชิ่ง
“ผมไปช่วยอุดมตัดต้นไม้นะครับ”
ชินกรหันขวับมา ธราธรยังไม่ทันได้พูดอะไร เกษราก็รีบวิ่งไปเลย ชินกรเหวอๆ แล้วก็พูดเก้อๆ
“งั้นผม...ไปดูนักศึกษาทางด้านโน้นนะครับ”
ชินกรเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่แอบหันมามองเกษรานิดๆ รู้สึกแปลกๆ ...แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ธราธรกับระวีรำไพยังยืนอยู่ที่เดิม เธอหันมาเห็นเขาครุ่นคิด ก็มองแล้วก็ถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่ชายใหญ่มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ”
ธราธรหันมาตอบ
“พี่แค่สงสัยว่ามิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดทำตัวแปลกๆ อยู่ๆก็มาหายตัวไป หายไปไหนของเขา”
ธราธรคิด สังหรณ์ใจในแง่ไม่ดี
ในป่า...บริเวณใกล้ๆกับถ้ำของอีริค เอ็ดเวิร์ดเดินอยู่ในป่า มีพรานสมเดินนำอยู่
“แกจะพาฉันไปไหน”
พรานสมหันมา แล้วก็หยุดยืน
“พามาที่นี่แหละ...”
เอ็ดเวิร์ดมองไปรอบๆ
“แล้ว..พามาที่นี่ทำไม”
ทันใดนั้นก็มีเสียงซวบๆ ของต้นไม้ดังรอบๆ ทันใดนั้น อีริค และสมุนอีก 5-6 คนก็โผล่ขึ้นพร้อมอาวุธครบมือ เอ็ดเวิร์ดหน้าตาเลิ่กลั่กนิดๆ อีริคเดินหน้าเหี้ยมเข้ามา ในมือถือปืนกระบอกโต แล้วก็มาหยุดที่หน้าเอ็ดเวิร์ด กระชับปืนเหมือนจะยิง เอ็ดเวิร์ดมองหวาดๆ และทันใดนั้นอีริคก็เก็บปืนพร้อมกับยื่นมือออกมาขอเชคแฮนด์
“ผมอีริค หลังจากที่ติดต่อทำธุรกิจกันมานาน เพิ่งจะได้เจอกันเป็นครั้งแรก...ยินดีที่ได้รู้จัก”
บรรยากาศอันตรายหายไป กลายเป็นบรรยากาศแห่งความชั่วร้ายปกคลุมเข้ามาแทนที่ เอ็ดเวิร์ดยิ้มร้าย เยือกเย็น และยื่นมือมาจับ
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน หวังว่าเจอกันครั้งนี้นายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”
อีริคยิ้มร้าย ยักคิ้วทำนองว่า แน่นอน
เย็นนั้น เอ็ดเวิร์ดอยู่ในถ้ำ มีวัตถุโบราณวางอยู่ให้เลือก อีริคยืนอยู่ใกล้ๆ ถัดไปเป็นพรานสมและสมุนอื่นๆ คุมอยู่ที่หน้าถ้ำ แผ่นทับหลังวางอยู่ เอ็ดเวิร์ดยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยความพอใจ
“สวยมาก”
อีริคยิ้ม
“ถ้าคุณโอเค ผมจะได้จัดส่งไปให้คุณตามที่อยู่ที่ให้ไว้”
“ส่งไปได้เลย คนของฉันเตรียมเงินส่วนที่เหลือไว้แล้ว ว่าแต่...ไม่มีปัญหาเรื่องการขนออกจากประเทศไทยแน่นะ”
“ผมไม่ใช่มือใหม่ ก่อนหน้าคุณผมก็ส่งมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ไม่รู้กี่ประเทศ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เส้นสายผมแข็งพอ ไม่มีปัญหา”
“ดี...งั้นก็รีบส่งไปได้เลย”
อีริคพยักหน้ารับ แล้วพยักหน้าสั่งให้ลูกน้องขนทับหลังไปใส่เพื่อเตรียมบรรจุส่งออก เอ็ดเวิร์ดถามขึ้น
“แล้วนอกจากของชุดนี้มีอะไรน่าสนใจอีก”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 4 (ต่อ)
อีริคพยักหน้าให้พรานสมเป็นคนตอบ
“ผมได้ยินมาว่าไม่ไกลจากนี้ มีปราสาทอีกชุดอยู่กลางป่า มีอยู่ 5 หลัง ทางการยังไปไม่ถึง มีชาวบ้านแค่ไม่กี่คนที่รู้ แต่เราต้องใช้เวลาในการค้นหา”
เอ็ดเวิร์ดเสียงเข้มขึ้น
“แต่ฉันไม่มีเวลา”
อีริคหันมาบอก
“ผมรู้ ผมถึงแนะนำให้คุณแฝงตัวมากับคณะสำรวจของทางการ เพราะเราสงสัยว่าไอ้พรานอ่อนศรีมันจะรู้ว่าปราสาทชุดนี้อยู่ที่ไหน และมันอาจจะบอกกับไอ้อาจารย์แก่ที่มากับคณะ”
พรานสมเสริม
“เราต้องรีบหาทางเอาที่ตั้งของปราสาทชุดใหม่มาให้ได้ และรีบเข้าไปก่อนที่คณะสำรวจจะไปถึง”
อีริคพูดต่อ
“เพราะถ้าทางการเข้าไปบูรณะเมื่อไหร่ เราก็จะแตะต้องอะไรไม่ได้เหมือนปราสาท พนมธม ที่มันกำลังจับแต่งหน้าทาปากอยู่ตอนนี้”
เอ็ดเวิร์ดคิดๆ แล้วก็เห็นด้วย เสนอความคิด
“พวกมันไว้ใจฉัน พวกแกก็ใช้ความไว้วางใจที่ฉันมี เข้าไปหาข้อมูลมาให้เร็วที่สุด แต่อย่าทำให้ฉันต้องเดือดร้อน พอเรารู้ว่าปราสาทชุดใหม่อยู่ที่ไหน ฉันจะแยกตัวออกจากคณะแล้วไปสำรวจกับพวกแก”
อีริคเดินมาที่วางขวดวิสกี้แล้วก็รินใส่แก้วสองใบที่วางอยู่
“วิเศษที่สุด รับรองว่าเราจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวัง สิ่งที่คุณต้องทำคือเตรียมเงินไว้ก็พอ เพราะถ้าหาปราสาทเจอ คุณอาจจะได้หินแกะสลักเทวรูปองค์งามๆ หรือหลักศิลาจารึกไปประดับไว้ที่คฤหาสน์”
“ขอให้ได้อย่างที่คุย จะตกรางวัลให้อย่างงาม”
อีริคหันมา
“ด้วยความยินดีครับ” อีริคส่งแก้ววิสกี้ให้เอ็ดเวิร์ด “แด่มิตรภาพและความสำเร็จของเรา”
เอ็ดเวิร์ดรับแก้วมาและชูแก้วขึ้น
“แด่ของสะสมชิ้นงามชิ้นต่อไปของฉัน”
สองคนชนแก้วกันอย่างพอใจ
นักศึกษา และ ทีมงานแยกย้ายกันทำงานตามมุมต่างๆของปราสาท ชินกรเดินคุมนักศึกษาทำการบันทึกก้อนหินที่วางระเกะระกะอยู่ บางคนบันทึกแล้วก็ลงรหัสตัวเลขด้วยสีที่ก้อนหิน
“ลงสีให้ชัดๆนะ เดี๋ยวอ่านไม่ออกจะยุ่งวุ่นวายกันไปอีก”
“ครับ”
นักศึกษาค่อยๆเขียนอย่างตั้งใจ ชินกรเดินผ่านไป แล้วก็คิดถึงก้องเกียรติ์ เขามองหา แล้วก็เจอเกษรากำลังช่วยแกงค์อุดมถางหญ้า ตัดต้นไม้ ชินกรยิ้มๆ กำลังจะเดินมาหา เกษราตัดต้นไม้อยู่ข้างๆเห็นมานะกำลังจะโกยเศษหญ้าไปทิ้ง เธอเหลือบมาเห็นว่าชินกรกำลังจะเดินมาพอดี ก็รีบหันหลังวูบบ่นเบาๆ
“มาอีกแล้ว”
เกษราเห็นมานะกำลังจะยกเศษหญ้าไปทิ้ง เธอรีบหันขวับมาทางมานะ
“มานะ เราเอาไปทิ้งให้”
เกษรารีบแย่งกองหญ้ามา แล้วก็รีบก้มหน้าเดินงุดๆๆๆ ไปที่ด้านหน้าปราสาททันที ชินกรชะงักเท้ากึก หยุดเดินได้แต่มองเกษรที่เดินชิ่งหนีไป ชินกรขมวดคิ้วเดินหนีอีกแล้วเหรอ เขางงๆ ด้วยความไม่เข้าใจ
ปราสาทอีกหลังชื่อ อโรคยาศาล ธราธรกำลัง สเก็ตภาพร่างของมุมหนึ่งปราสาทอย่างสวยงาม เขาดู
เท่มากเวลาตั้งใจทำงาน ระวีรำไพแอบมองแล้วก็อมยิ้มอย่างลืมตัว...ทันใดนั้น ภาพตอนธราธรมองชินกรจับมือเกษราแล้วเหมือนหึงก็แว่บเข้ามาในหัว ระวีรำไพชะงักกึก หุบยิ้ม เศร้า ธราธรหันมาพอดี ระวีรำไพสะดุ้งนิดๆ แล้วก็เฉไฉมองไปทางอื่นแก้เก้อ ธราธรลุกเดินมาหา แล้วก็พูดขึ้นอย่างไม่รู้ใจ
“เป็นอะไร ทำไมเงียบๆ เบื่อเหรอ”
ระวีรำไพไม่ตอบ แต่ก็ไม่กล้าปฎิเสธว่าไม่ได้เบื่อแต่เศร้า ธราธรเลยคิดหาวิธีแก้เบื่อ
“พี่มีเรื่องมาเล่าแก้เบื่อ...”
ระวีรำไพเงยหน้ามองเขาแล้วก็ตั้งใจฟัง แต่เขาไม่ยอมเล่า และเดินนำเข้าไปใน ปราสาท เธอเหวอไป
“อ้าว...พี่ชายใหญ่” เธอลืมตัว แล้วก็รีบหรี่เสียง “พี่ชายใหญ่ รอด้วยสิคะ แล้วเรื่องแก้เบื่อคือเรื่องอะไรคะ”
ระวีรำไพรีบเดินตามเข้าไป
ธราธรกับระวีรำไพ เดินอยู่ในมุมสวยของปราสาท
“เรื่องแก้เบื่อมีอยู่ว่า...นานมาแล้วมีคนค้นพบจารึกข้อความที่เกี่ยวกับโรงพยาบาล หรือ ที่เรียกว่า อโรคยาศาล ในยุคนั้น ในจารึกบอกไว้ว่า อโรคยาศาลแต่ละแห่งจะมีหมอ 2 คน พยาบาล 2 คน เภสัชกรจ่ายยา 2 คน แล้วก็มี...หมอดูอีก 1 คน”
ระวีรำไพขมวดคิ้วถามขึ้น
“หมอดู”
ธราธรพยักหน้า
“ใช่ หมอดู หรือว่าโหรมีหน้าที่ทำนายว่า...คนไข้แต่ละคนถ้ารักษาแล้ว จะหาย หรือไม่หาย”
“ทำไมต้องทำนายด้วยคะ”
“ก็คงจะเป็นการให้ กำลังใจ หรือไม่ก็ให้ ทำใจ”
“แบบนี้ก็มีด้วย...แต่ก็ดีเหมือนกันนะคะ การรู้อนาคตมันอาจจะช่วยทำให้เราไม่ต้องเจ็บปวด ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราหมายปองมันเป็นไปไม่ได้ เราจะได้ไม่ต้องเริ่มแม้แต่จะคิดฝัน”
ธราธรมองหน้าแปลกใจ แล้วก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาตามประสาพี่ชาย
“ปราง...เป็นอะไรหรือเปล่า พูดยังกับคนกำลังมีความรัก”
ระวีรำไพสะอึก หน้าร้อนผ่าว ธราธรเห็นอาการรีบถาม
“นั่นแน่ แอบมีความรักแต่ไม่ยอมบอกพี่ชายใหญ่หรือไงคะ” เขาจับไหล่เธอให้หันหน้ามาสู้หน้า “บอกมาเดี๋ยวนี้...ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
ธราธรมองหน้าระวีรำไพรอคำตอบ โดยไม่ได้รู้เลยว่าคือตัวเอง ระวีรำไพมองหน้าเขาแล้วก็เขินธราธรมอง ยิ้ม เลิกคิ้ว รอคำตอบ อย่างน่ารัก ระวีรำไพเขินอย่างแรง ก้มหน้าแล้วก็เฉไฉ
“ไม่มีสักหน่อย ปรางไม่ได้...รักใคร หรอกค่ะ ก็แค่ คิดถึงบทละครที่เคยเล่นในมหาวิทยาลัย”
เธอค่อยๆเอามือเขาออกจากไหล่ และพยายามทำเสียงปกติ กลบเกลื่อน
“พี่ชายใหญ่คิดมากไปเองค่ะ ทำงานต่อเถอะค่ะ”
ระวีรำไพหันหลังจะเดินไป ธราธรจับข้อมือไว้
“เดี๋ยว...”
ระวีรำไพชะงัก หันมามองข้อมือที่โดนจับอยู่ แล้วก็มองหน้าเขา
“วันนี้ยังไม่มีไม่เป็นไร...แต่มีเมื่อไหร่ ต้องบอกพี่ชายใหญ่เป็นคนแรก ในฐานะที่พี่เป็นผู้ปกครองเฉพาะกิจ และเป็น พี่ชาย ห้ามปิดบังรู้หรือเปล่า”
ระวีรำไพมองหน้าเขาสะท้อนใจตรงคำว่า พี่ชาย แล้วก็ตอบด้วยความเศร้า
“ปรางไม่เคยคิดที่จะปิดบัง แต่บางที...ปรางบอกไป พี่ชายใหญ่อาจจะไม่ได้ยินก็ได้”
เธอพูดเป็นนัยแล้วก็ค่อยๆดึงมือออกจากมือของเขา ก่อนจะเดินไป...ธราธรถึงกับอึ้งงงไม่เข้าใจ
ค่ำนั้นในวังจุฑาเทพ ...รัชชานนท์นั่งคุยอยู่กับรณพีร์ พุฒิภัทร และ ปวรรุจ
“ไม่ได้ยิน...พูดใหม่อีกทีสิ” รัชชานนท์ทำเป็นไม่ได้ยิน ย้อนถามกวนๆ
รณพีร์เซ็งๆ
“ฉันบอกว่าครั้งหน้า ฉันกับพี่ชายภัทรไม่ไปดูหนังกับสองสาวเทวพรหมอีกแล้ว นายเป็นคนต้นคิด ก็ไปดูเอง ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน”
รัชชานนท์สะอึกนิดๆ หน้าเสีย รณพีร์บ่น
“น้องรัมภาก็เอาแต่พูดไม่หยุด ฉันฟังจนหูชา ดูหนังไม่สนุกเลย”
พุฒิภัทรท่าทางเบื่อๆ
“ส่วนมารตีก็เอาแต่ถามตื้อให้ฉันไปทำงานกับเธอที่โรงพยาบาลเอกชน ขนาดฉันบอกว่าได้งานที่โรงพยาบาลรัฐแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด ฟังจนเหนื่อยจริงๆ”
รณพีร์มองหน้ารัชชานนท์
“เพราะฉะนั้น...ครั้งต่อไปฉันกับพี่ชายภัทรไม่ไปดูหนังกับสองสาวแล้ว นายไปกับพี่ชายรุจก็แล้วกัน”
รัชชานน์กับปวรรุจสะดุ้งนิดๆ
“แต่พี่ว่า...เราจะใช้วิธีนี้ทุกครั้งคงไม่ได้ มันผิดปกติเกินไป เราต้องใช้วิธีอื่นที่แนบเนียนกว่านี้” ปวรรุจรีบบอก
ปวรรุจทำหน้าเหมือนคิดได้ว่าจะทำอะไร ทุกคนหันมาสนใจ รัชชานนท์รีบถาม
“วิธีอะไรครับ”
ปวรรุจเชิดหน้า
“มันคือ...อะไรก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”
“อ้าว” ทุกคนร้องออกมาอย่างเซ็ง แกมผิดหวัง
“แต่ก็เอาเถอะ อย่าเพิ่งกังวลกันมาไป ถ้ามารตี และวิไลรัมภามาจริงๆ เดี๋ยวเราก็คงคิดกันออกเอง เหมือนครั้งนี้”
ปวรรุจยิ้ม ให้กำลังใจ สามคุณชายคิดแล้วก็ใช่ไม่แย้ง แต่รณพีร์ก็ยังแอบบ่น
“กว่าพี่ชายใหญ่กับคุณเกษจะกลับมา ไม่รู้ว่าสองสาวจะมาที่นี่อีกกี่รอบ แล้วเราจะปิดคุณย่าไปได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้”
ทั้งสี่คุณชายฟังแล้วก็คิด...
ระวีรำไพล้างกะทะ ตะหลิว หม้อ ชุดใหญ่อยู่หลังครัว เกษราเช็ดโต๊ะอาหาร ขณะที่ทุกคนแยกย้ายไปอาบน้ำ มีอาหารอีกหนึ่งชุดวางไว้ที่โต๊ะ มีฝาชีปิดอยู่ ระวีรำไพล้างเสร็จ ยืนปาดเหงื่ออย่างเหนื่อย เกษราเดินมาพร้อมกับผ้าขี้ริ้ว มองสรรพสิ่งที่กองอยู่แล้วก็ทึ่ง
“น้องมะปรางล้างหมดเลยเหรอคะ เร็วจัง เหนื่อยมั้ยคะ”
“นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำก็ สนุกดี ไปอีกแบบ”
ระวีรำไพ ยิ้มสดใส เกษราเห็นรอยยิ้มก็ยิ้มตามด้วยความเอ็นดู พลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นชินกรกำลังเดินมา
“อาจารย์ชินกร”
ระวีรำไพหันขวับไปดู เห็นชินกรมองมาพอดีเธอรีบหันกลับมาทางเกษรา แต่เกษราหายไปแล้ว
“อ้าว...พี่เกษ”
เกษราแอบอยู่หลังตู้ แถวนั้น ส่งเสียงมาเบาๆ
“พี่อยู่นี่ อย่าบอกอาจารย์นะ”
ระวีรำหันไปพยักหน้ารับ ชินกรเดินพรวดเข้ามา แล้วก็มองกวาดไปรอบห้องด้วยความแปลกใจ
“เมื่อกี๊เหมือนครูเห็นนายก้อง...แล้วนี่นายก้องหายไปไหน”
“เอ่อ...พี่ก้องไปแล้วครับ ออกไปแล้วครับ เมื่อครู่นี่เอง”
“ทำไมไปเร็วจัง ทำยังกับจะหนีหน้าฉันอย่างนั้นแหละ”
เกษราหลับตาปี๋อย่างเสียวๆที่โดนรู้ทัน
“ปล่ะ...เปล่านะครับ มันบังเอิญมากกว่า พี่ก้องจะหนีหน้าอาจารย์ทำไมหล่ะครับ”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเขาจะหนีหน้าฉันทำไม”
เกษราคอตก เฮ่อ...ระวีรำไพอึกอักๆ พูดไม่ออก
“นายสนิทกับก้อง ถ้ารู้ว่าเขาตั้งใจจะหนี ก็บอกเหตุผลครูด้วยแล้วกัน ครูอยากรู้ว่าเขาหนีครูทำไม”
เกษราหน้าเศร้านิดๆ เห็นใจระ วีรำไพจ๋อยๆ
“ครับ”
ชินกรพูดจบก็เดินออกไป ระวีรำไพมองตามนิดๆ ด้วยความเห็นใจ...ชินกรเดินออกมาจากศาลาที่กินข้าว แล้วก็หยุดคิด...
“เฮ่อ...ไอ้ก้องมันเป็นอะไรของมัน”
เขาส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจแล้วก็เดินกลุ้มใจสำรวจรอบๆสถานที่ต่อไป ชินกรแอบแคร์ก้องเกียริต์โดยไม่รู้ตัว
ระวีรำไพมองจนแน่ใจว่าชินกรเดินพ้นไปแล้ว ก็หันมาเรียกเกษรา
“ปลอดภัยแล้วค่ะ”
เกษราค่อยๆออกมาจากที่ซ่อน หน้าตาไม่ค่อยสบายใจ ระวีรำไพเข้าใจ
“ปรางขอโทษด้วยนะคะ ที่พาพี่เกษมาลำบากแบบนี้ ลำบากกายยังไม่พอ ต้องลำบากใจอีก”
“ไม่เป็นไรค่ะ...ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ก็สนุก ไปอีกแบบ”
ระวีรำไพรู้ว่าเกษราย้อนคำพูดตัวเอง ก็หัวเราะออกมาเบาๆ รู้สึกสบายใจ เกษรายิ้มแต่ในใจก็แอบคิดเป็นห่วงชินกรเล็กๆ เธอปรายตามองตามหลังเขาไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเอ็ดเวิร์ดดังโวยวายมาจากบริเวณที่กินข้าว
“ฉันสั่งไม่ได้ยินหรือไง”
ระวีรำไพ และเกษราหันไปตามเสียงด้วยความแปลกใจ
เอ็ดเวิร์ดโวยวายด้วยอาการเมานิดๆ มีพรานสมยืนประกบอยู่ไม่ห่าง ส่วนอ่อนศรียืนเผชิญหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ตรงกลางมีอาหารวางอยู่ 2-3 อย่าง มีซุป ผัดผัก และไข่ลูกเขย อ่อนศรีตอบนิ่มๆ
“ผมได้ยินครับ แต่ผมทำกับข้าวไม่เป็น ถ้าคุณหิวเราก็เก็บอาหารเอาไว้ให้แล้ว เชิญคุณกินได้ตามสะดวก
ระวีรำไพกับเกษราค่อยๆ โผล่หน้าออกมาแอบดูสถานการณ์ด้วยความแปลกใจ ระวีรำไพเบ้หน้า
“อี๊...กลิ่นเหล้าหึ่งเลย ขนาดยืนตั้งไกลยังได้กลิ่น ท่าทางจะเมาหนัก”
เอ็ดเวิร์ดมองกับข้าวที่วางอยู่ แล้วก็เอามือจับชามต้มจืดก่อนจะไสกลับไปที่เดิมด้วยความไม่พอใจ น้ำแกงกระฉอกออกจากชามเลอะโต๊ะ
“เย็นชืดแบบนี้ ใครจะไปกินได้ ไปทำมาใหม่ ฉันอยากกินอะไรร้อนๆ”
ระวีรำไพเห็นแล้วโกรธไม่พอใจ เลือดไม่ยอมคนพลุ่งพล่าน อ่อนศรีเสียงแข็ง
“ก็ผมบอกคุณแล้ว ว่าผมทำไม่เป็น”
“ทำไม่เป็น ก็ไปตามคนทำเป็นมาทำสิ นี่เป็นคำสั่ง”
อ่อนศรีทำหน้าอ่อนใจ พรานสมเสียงเข้ม
“นายฝรั่งสั่ง ไปทำสิ”
“นี่มันดึกแล้ว มันเป็นเวลาพักผ่อน และเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่มารับใช้พวกคุณ”
พรานสมไม่พอใจ
“แกไม่ไปเอาตัวมันมา ฉันไปเอง บอกมาใครเป็นคนทำอาหาร”
อ่อนศรีเงียบ พรานสมทุบโต๊ะเสียงดังปัง
“บอกมา”
อ่อนศรีสะดุ้ง พร้อมกับเสียงระวีรำไพที่ดังขึ้นมา
“ผมเอง”
อ่อนศรี เอ็ดเวิร์ด พรานสม หันไป ระวีรำไพยืนอยู่หน้าตาไม่ยอมคน เกษรายังยืนหลบอยู่ที่เดิม มองระวีรำไพด้วยความอึ้ง เกษราพึมพำ
“น้องปราง...”
ระวีรำไพมองเอ็ดเวิร์ดและพรานสมแววตานิ่งแข็ง ไม่ยอม ไม่กลัว
อุดมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินผ่านหน้าอาคารกินข้าวพอดี เห็นยังเปิดไฟสว่างจ้าก็มองด้วยความแปลกใจ
“ทำไมที่ศาลากินข้าว ยังไม่ปิดไฟ ไอ้ตะวัน กับไอ้ก้องมันต้องลืมแน่ๆ”
อุดมจิกหางตาร้ายกาจ กะเล่นงานทั้งสองคน เขาเดินตรงดิ่งไปที่อาคารกินข้าวทันที
ระวีรำไพยืนอยู่ที่เดิม เกษราค่อยเดินออกมาสมทบ บรรยากาศอึมครึมพร้อมเกิดเรื่อง พรานสมสั่งทันที
“มาก็ดีแล้ว นายฝรั่งอยากกินอะไรร้อนๆ”
ระวีรำไพไม่สน
“ถ้าอยากกินร้อนๆ ก็ต้องมากินให้ตรงเวลา มากินเอาป่านนี้ ถ้าอยากกินร้อนก็ต้องไปอุ่นเอง”
เกษรามองหน้าระวีรำไพอึ้ง เอ็ดเวิร์ดกับพรานสมชักสีหน้า มองจิกระวีรำไพ อ่อนศรียิ้มนิดๆ พอใจ
“พรานอ่อนศรีพูดถูก พวกเราไม่มีหน้าที่มารับใช้ใคร พวกคุณไม่รักษาเวลา มากินข้าวช้าเอง ถ้าทุกคนทำแบบคุณ เราคงต้องทำอาหารให้กินกันทั้งวัน”
เอ็ดเวิร์ดสวน
“อย่ามาใช้คำว่า ทุกคนกับฉัน เพราะฉันไม่เหมือนคนอื่น คนพวกนั้นไม่มีเงินมาให้แก...แต่ฉันมี”
ระวีรำไพโกรธจี๊ด สวนกลับอย่างไม่ยอม
“แต่เงินของคุณ ไม่ได้ทำให้คุณอยู่เหนือคนอื่น เงินอาจจะซื้อทุกอย่างในประเทศของคุณได้ แต่มันซื้อ แกงจืดร้อนๆ ของที่นี่ไม่ได้ ถ้าคุณอยากจะกิน...ต้องทำเอง”
เอ็ดเวิร์ดทั้งแค้นทั้งเสียหน้า
“ไอ้เด็กนี่มันเป็นใคร บังอาจมาพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง”
เอ็ดเวิร์ดพูดจบใช้มือดันโต๊ะที่มีจานอาหารวางอยู่ล้มลงอย่างแรง เกษราสะดุ้งด้วยความตกใจ ระวีรำไพยังยืนนิ่ง ตกใจแต่รับได้ อุดมหน้าเหวอ
“ไอ้ตะวัน...แก...ตายแน่ๆ”
อุดมรีบวิ่งแจ้นไปที่บ้านพักธราธรทันที...บรรยากาศในศาลาเต็มไปด้วยความกดดัน ระวีรำไพกับเอ็ดเวิร์ดมองตากันไม่มีใครยอมใคร
ธราธรกำลังตอกราวม่านเพื่อทำห้องมืด อุดมวิ่งหน้าเชิดมา กระหืดกระหอบ
“อาจารย์หม่อมครับ อาจารย์หม่อม อาจารย์หม่อม”
ธราธรหันมาด้วยความแปลกใจ
“อุดมมีอะไร”
“ไอ้ตะวันครับไอ้ตะวัน...ไอ้ตะวันมันทะเลาะกับนายฝรั่งใหญ่เลยครับ”
ธราธรตกใจ
จานชามที่แตกเกลื่อนอยู่ที่พื้น พรานสมเหยียบลงไปเต็มๆ อย่างไม่กลัว เพราะใส่รองเท้าเดินป่าหนามาก พรานสมมองระวีรำไพ จะกินเลือดกินเนื้อ
“ไอ้หนู แกคิดผิดแล้ว ที่มาต่อปากต่อคำนายฝรั่ง”
ระวีรำไพยังมองหน้าไม่กลัว อ่อนศรีเดินเข้ามาขวาง
“เป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่ารังแกเด็ก”
พรานสมมองหน้ากวนๆ
“หลบไป...ไอ้แก่”
พรานสมผลักอ่อนศรีกระเด็นล้มไปอย่างแรง
“โอ้ย”
อ่อนศรีล้มลงไปกองที่พื้น เกษรารีบวิ่งเข้าไปช่วย
“ลุง”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มสะใจ ระวีรำไพจะตามไปพยุงอ่อนศรี แต่พรานสมกระชากเสื้อไว้ไม่ให้ไป
“แกกับฉันยังคุยกันไม่เสร็จ”
พรานสมกระชากตัวมา
“โอ้ย”
“ปากเก่งนักนะมึง”
ระวีรำไพเซตามแรงกระชากของพรานสม ทันใดนั้นเสียงธราธรก็ดังขึ้น
“ปล่อยมือจากนักศึกษาของผมเดี๋ยวนี้”
ทุกอย่างหยุดนิ่ง ธราธรเดินเข้ามาหน้าเข้ม เครียด อุดมวิ่งตามมาไม่ห่าง ธราธรมองที่พรานสมและย้ำเสียงดุมาก
“ผมบอกให้ปล่อย”
พรานสมจำต้องปล่อยแต่แถมด้วยการผลักหนักหนึ่งที ระวีรำไพเซตามแรงผลักไปชมกับโต๊ะ
“โอ้ย”
ธราธรมองด้วยความไม่พอใจ พรานสมยักไหล่ทำนองว่า ก็ปล่อยแล้วไง ธราธรมองไปรอบๆ เห็นอ่อนศรีล้มอยู่มีเกษราดูแล ระวีรำไพค่อยๆยันตัวลุกขึ้นไม่ค่อยกล้ามองหน้าธราธร พรานสมยืนหน้ากวน เอ็ดเวิร์ดยิ้มสะใจ
ธราธรยืนอยู่ตรงกลาง เอ็ดเวิร์ด พรานสม ยืนอยู่ด้านหนึ่ง เผชิยหน้ากับอ่อนศรี เกษรา และระวี
รำไพที่ยืนอยู่ด้วยกัน มีอุดมยืนสังเกตการณ์อยู่อีกมุม ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด สาระแนอย่างเดียว ธราธรพูดด้วยความหนักแน่น
“ผมทำตามความต้องการของคุณไม่ได้ จะให้ผมลงโทษคนที่ไม่ผิด...ผมทำไม่ได้”
เอ็ดเวิร์ดสวน
“ทำไมจะไม่ผิด คนของคุณไม่มีมารยาท พูดจาดูถูกผม ยังไม่ผิดอีกเหรอ”
“ที่ผมพูดว่าไม่ผิด เพราะคุณเองก็ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าคุณทำตามกฎระเบียบมากินอาหารให้ตรงเวลา เรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้น”
เอ็ดเวิร์ดชะงัก ชักสีหน้า
“คุณชายกำลังจะบอกว่าผมเป็นต้นเหตุของปัญหา ไม่ใช่ไอ้เด็กบ้านั่น”
ธราธรตอบตรงๆ นิ่งๆ
“ใช่ครับ...คุณเข้าใจไม่ผิด”
ระวีรำไพมองหน้าธราธร รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด อุดมอึ้ง ธราธรปกป้องไอ้ตะวันเอ็ดเวิร์ดไม่พอใจ
“มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ผมไม่เคยเห็นใครโง่ อย่างนี้มาก่อน”
ระวีรำไพชักสีหน้า ของขึ้นอีก เกสรรีบจับตัวไว้ เอ็ดเวิร์ดพูดต่อ
“ฟังไว้เลยนะ...ถ้าประเทศไทยจะไม่ได้รับเงินบริจาค จากฉัน มันก็เพราะความไม่มีมารยาท ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของพวกแก” เอ็ดเวิร์ดชี้หน้ากราด “จำไว้”
เอ็ดเวิร์ดพูดจบก็เดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ พรานสมมองหน้าธราธร
“คุณชาย...คุณตัดสินใจผิดครั้งยิ่งใหญ่มาก รู้ไว้ซะด้วย”
พรานสมทิ้งท้ายและเดินตามเอ็ดเวิร์ดไป ระวีรำไพมองธราธรด้วยความขอบคุณ และเป็นห่วง ธราธรไม่สนใจคำพูดของทั้งสองคน และหันมามองระวีรำไพด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน อุดมยืนอยู่ตรงกลางเห็นสายตาของทั้งสองคนแล้วก็อึ้ง
อุดม มานะ ปิติกำลังนั่งเม้าธ์กันอยู่ที่มุมหนึ่งของเต็นท์ที่พัก มานะและปิติโพล่งออกมาพร้อมกัน
“อาจารย์หม่อมเนี่ยนะ”
นักศึกษาคนอื่นๆ หันมามองเล็กน้อย อุดมรีบจุ๊ปาก
“ชู่ว์...ไอ้บ้า ข้าบอกให้คุยกันเบาๆ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน มึงสองคนตะโกนหาพ่อหรือไง”
มานะจ๋อย
“ก็...มันตกใจนี่หว่า”
ปิติยังไม่แน่ใจ
“แก...แกพูดใหม่สิ แกว่าอาจารย์หม่อมชอบใครนะ”
อุดมเน้นๆ หนักๆ แต่เบาๆ
“อาจารย์หม่อม – ชอบ – ไอ้...ตะวัน”
“เฮ้ย”
ปิติกับมานะสะดุ้ง
ข้างเต็นท์ชินกรเดินมาพอดี เขาเดินส่องไฟฉายตรวจตราข้างๆเต็นท์ และมาหยุดยืนตรงบริเวณที่
สามหนุ่มกำลังเม้าธ์อยู่ ชินกรชะงักกึก
“อาจารย์หม่อม...ชอบไอ้ตะวัน”
ชินกรพูดตามงงๆหยุดเดิน เงี่ยหูฟัง...ปิติแย้งขึ้นมา
“ไอ้บ้า...มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็อาจารย์หม่อมเป็นผู้ชาย ส่วนไอ้ตะวันมันก็เป็นผู้ชาย”
อุดมสวน
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้...เค้าเรียกกันว่า ชายรักชาย เว้ย”
ชินกรสะอึกนิดๆ...มานะเตือนอุดม
“เฮ้ย แกอย่ามาพูดลอยๆ ไม่มีหลักฐานนะเว้ย”
“ลอยอะไร ข้าจับตาดูตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแล้วเว้ย อาจารย์หม่อมมองไอ้ตะวันไม่วางตา ไม่ว่ามันจะเดินไปทางไหนก็มองตามตลอดเวลา ไม่ว่ามันจะทำอะไรอาจารย์หม่อมก็ต้องคอยช่วยเหลือ ดูแล ปกป้อง ทำยังกะมันเป็นผู้หญิง”
ชินกรฟังแล้วก็คิดตาม...อุดมพูดต่อ
“ขนาดเมื่อกี๊มันทะเลาะกับนายฝรั่ง อาจารย์หม่อมยังเข้าข้างไอ้ตะวัน ทำเอานายฝรั่งโกรธประกาศจะไม่ให้ทุนเลยนะเว้ย”
ชินกรฟังแล้วก็คิด ขนาดนั้นเลย...อุดมพูดต่อ
“นี่ๆ และที่สำคัญ ข้าเคยแอบเห็นอาจารย์หม่อมลูบหัวไอ้ตะวันด้วยนะเว้ย”
ปิติกับมานะหน้าตื่น
“เฮ้ย”
ชินกรตกใจเสียงดังมาจากนอกเต็นท์
“เฮ้ย”
ปิติกับมานะสะดุ้ง เฮ้ย...มาจากไหนอีกคนวะ ปิติหันมา
“เมื่อกี๊แกได้ยินเสียงใครอีกคนหรือเปล่าวะ”
ปิติลุกเดินไปที่หน้าเต็นท์ ชินกรชะงักนิดๆ แล้วก็ค่อยๆเดินชิ่งออกไปทันที ปิติเปิดเต็นท์ออกมา แต่ไม่เห็นใครแล้ว เขากลับเข้ามา อุดมสรุป
“ข้ารู้ว่าพวกเอ็งต้องไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ พวกเอ็งก็คอยสังเกตดูเอาเอง แล้วเอ็งจะเห็นเหมือนที่ข้าเห็น...อาจารย์หม่อม – ชอบ – ไอ้ตะวัน แน่นอน”
อุดมฟันธงอย่างมั่นใจ...ชินกรเดินอยู่ในหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก แล้วก็เปรยๆออกมาอย่างไม่วางใจ
“คุณชายใหญ่กับไอ้ตะวัน...เนี่ยนะ”
ชินกรคิดๆ อย่างแปลกใจและไม่เข้าใจ