ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 4
“แน่นอน ไม่ต้องห่วง ดึกๆฉันจะโทรไปเม้าท์แค่นี้นะ”ตะวันฉายบอก
“เดี๋ยวสิ ฉันจะบอกว่าพี่ยุทธมาหาฉันกับนิคที่โรงเรียน” เอวาบอก
“จริงเหรอ ไปทำไมอ่ะ”
นิคยืนมองเอวาพูดอย่างตั้งใจ
“เขาเป็นห่วงที่ติดต่อแกไม่ได้เลยแกโทรหาเขาหน่อยก็ดีนะ ฉันเห็นเขาจ๋อยๆว่ะ เห็นแล้วฉันสงสารเลยว่ะ”
“อืม....ได้ๆเดี๋ยวฉันโทรหาเขาพรุ่งนี้แล้วกัน” ตะวันฉายบอก
“พรุ่งนี้เลยเหรอ”
“ใช่สิ ถ้าเขาไม่พอใจเดี๋ยวฉันนัดเลี้ยงข้าวสักมื้อก็ได้ กับฉันน่ะพี่ยุทธเขาไม่ดื้อหรอก ขอบใจนะแกที่โทรบอก แค่นี้นะ”
เอวากดปิดโทรศัพท์แล้วส่งคืนให้นิค
“สบายใจหรือยังล่ะกามเทพสาวแสนสวย” นิคยิ้มล้อ
เอวาตอบห้วนๆ “เออ”
“เอ้า...ทำให้แฟนเขาได้คุยกัน แต่แกดูเศร้าๆนะ”
“เศร้าที่ไหน เข้าไปข้างในเถอะ”
เอวาเดินเข้าด้านใน นิคมองตามแล้วถอนใจก่อนจะเดินตามไป
เมฆ นิค และเอวาเล่นดนตรีด้วยกันบนเวที นักเที่ยวต่างก็ตั้งใจฟังเพลงอย่างซาบซึ้ง
ตะวันฉายนั่งอ่านนิทานให้หมอกฟังอยู่ที่ข้างเตียง
“หลังจากที่นักดนตรีเริ่มเป่าฟลุ๊ทด้วยเพลงสนุกสนาน หนูทั้งเมืองต่างก็ค่อยๆทะยอยกันออกมา และพร้อมใจกันเดินไปหานักดนตรีหนุ่ม”
ตะวันฉายหยุดมองดูก็เห็นว่าหมอกหลับแล้ว เธอค่อยๆห่มผ้าแล้วดับไฟแล้วจะเดินออกไป
เสียงหมอกถามขึ้น “พี่ซันไปไหน”
“อ้าว..พี่นึกว่าหลับไปแล้ว เอ่อ...พี่จะก็จะไปอาบน้ำนอนครับ”
“พี่ซันนอนนี่นะ”
“ไม่ได้ครับ คุณหมอกโตแล้วต้องนอนหัดนอนคนเดียวนะครับ”
“ไม่เอา หมอกจะให้พี่ซันนอนด้วย ไปเอาที่นอนมาเดี๋ยวนี้” หมอกออกคำสั่ง
“แต่พี่ยังไม่ได้อาบน้ำนะครับ”
“ไม่ต้องอาบ นอนเลย”
“ครับๆ จัดให้” ตะวันฉายแอบบ่น “เดี๋ยวหลับแล้วพี่ไปก็ด้ายยย อิอิ”
ตะวันฉายเปิดไฟแล้วเดินไปเอาที่นอนมาปูข้างเตียงก่อนจะหยิบนิทานขึ้นมาอ่าน
“พี่ซันเล่านิทานต่อนะครับ”
หมอกเปลี่ยนมานอนคว่ำแล้วก็เท้าแขนฟังตาแป๋ว
“นักดนตรีตั้งใจเป่าเพลงและเริ่มเต้นรำ เหล่าหนูทั้งหมดก็พากันเต้นรำไปด้วยความสนุกสนาน” ตะวันฉายหาว “นักดนตรีเริ่มเดินนำหนูนับพันๆตัวมุ่งหน้าเดินทางออกจากเมือง ชาวบ้านที่เห็นกองทัพหนูเดินตามนักดนตรีหนุ่มออกจากเมืองไปต่างก็พากันโห่ร้องดีใจ” ตะวันฉายหาวอีก
ยุทธการในชุดนอนนั่งดูทีวีแต่ก็ไม่มีสมาธิ เขาเอาแต่เหลือบดูโทรศัพท์ด้วยความกลุ้มใจ ภาพหน้าจอในโทรศัพท์ของเขาเป็นภาพถ่ายคู่กับตะวันฉาย พ่อกับแม่ของยุทธการในชุดไปงานเลี้ยงเดินเข้าบ้านมา
“อ้าว...ลูกชาย ยังไม่นอนอีกเหรอ” แม่ทัก
“ยังครับ”
แม่มองโทรศัพท์ในมือแล้วยิ้ม “อ๋อ...คุยกับหนูซันอยู่ละสิ”
“เปล่าครับ ผมถือติดมาเฉยๆ”
“นี่...อย่าขี้อายนักเลยเรา แม่รออุ้มหลานอยู่นะ”
“นั่นสิ ทีจับผู้ร้ายละไวเลย แต่เรื่องหนูซันทำไมมันช้านักล่ะเจ้ายุทธ” พ่อถาม
“ก็อย่างที่เคยบอกน่ะครับ ซันเขาอยากทำงานเขียนให้ประสบความสำเร็จก่อน”
“ตกลงกว่าแม่จะเห็นหลานพอดีแก่ตาย”
“เอาน่าคุณ เด็กสมัยนี้เขาก็แต่งงานช้ารอสร้างฐานะกันนั่นแหล่ะ” พ่อพูดกับยุทธการ “แต่ก็อย่าช้ามากนะ ไม่งั้นพ่อไปขอเองกับไอ้เกริกจริงๆด้วย” พ่อหันมาพูดกับแม่ “ไปเราไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ประชุมบอร์ดแต่เช้าด้วย”
พ่อกับแม่เดินจูงกันเดินออกไป ยุทธการมองตามไปแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีก
เมฆ นิค และเอวาเดินถืออุปกรณ์กับสมุดโน้ตออกมาที่ลานจอดรถ
“พี่ไปนะ” เมฆบอก
นิคกับเอวาโบกมือให้เมฆ เมฆขึ้นรถแล้วขับออกไป นิคกับเอวามองตามแล้วหันมายิ้มให้กัน
เอวาดูเวลา “ไม่รู้ป่านนี้ไอ้ซันจะเจออะไรเกี่ยวกับพี่ธีร์บ้างหรือยัง”
“ใจร้อนใจเร็วแบบมัน ป่านนี้เผลอๆได้เบาะแสครบ แล้วเก็บของออกมาจากบ้านพี่เมฆแล้วมั้ง”
“ยังหรอก ถ้ามันเจอจริงป่านนี้คงเรียกเราไปรับแล้ว” เอวาแย้ง
“เออ...ใช่ แต่ไงกว่าพี่เมฆจะเสร็จงานก็คงเช้า ไอ้ซันมันยังมีเวลาอีกนาน”
นิคกับเอวายิ้มอย่างมีความหวัง
ตะวันฉายกับหมอกนอนหลับปุ๋ยอยู่ในห้อง หนังสือนิทานหล่นอยู่ที่พื้น
เมฆเล่นดนตรีท่อนสุดท้ายจนจบ จอมสยามยืนยิ้มด้วยความพอใจแล้วตบไหล่ซาวด์เอ็นจิเนียร์
“ใช้ได้นะ พี่ว่าโอเคแล้ว” จอมสยามกดไมค์พูดกับเมฆ “สุดยอดมากเมฆ”
เมฆยิ้มแล้วเดินมาที่ห้องควบคุม
“ขอโทษด้วยนะพี่ที่ทำให้ช้าไปวันหนึ่ง” เมฆบอก
“ไม่เป็นไร เมื่อวานมันก็เหนื่อยกันทุกคน พี่สิต้องขอบคุณนายมากขนาดคอเจ็บยังมีน้ำใจให้พี่ พี่จะไม่ลืมบุญคุณเลย”
“คอเจ็บ มือยังดีก็โอเคครับพี่ ถ้ามีงานหน้าก็บอกได้นะครับ”
“งานหน้าน่ะพี่ขอเป็นงานของเมฆจะได้ไหม”
“โห...กดดันอีกแล้ว”
“เฮ้ย...ไม่ได้กดดัน แต่ต้องได้ เร็วๆด้วย บริษัทก็อยู่ตัวแล้วนี่ มาทำงานที่นายจะทำมันได้ดีที่สุดเถอะ”
“เอาเป็นว่าผมขอกลับไปนอนหลับให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยคุยกันนะครับ”
“ได้...พี่จะโทรไปตื้อเรื่อยๆละกัน”
จอมสยามกับเมฆจับมือกัน
รถเมฆแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน เก่งนั่งหลับอยู่หน้าทีวีภายในบ้าน เมฆเดินเข้ามาปลุก
“เก่ง....ไอ้เก่ง ตื่น”
เก่งงัวเงียแล้วสะดุ้งตื่น “อ้าวคุณเมฆ โทษทีครับผมเผลอหลับไป”
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วซันกับหมอกล่ะ”
“ขึ้นนอนตั้งแต่สองทุ่มแล้วครับ”
“งั้นแกปิดบ้านแล้วไปนอนเถอะ”
ไฟที่บ้านชั้นล่างดับลง เหลือไว้แต่ชั้นบนห้องหมอกที่มีแสงไฟจากหัวเตียง
เมฆเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของหมอกแล้วมองไปที่เตียง เมฆเห็นหมอกนอนหลับสนิท เขาเดินมาก้มลงหอมแก้มหมอกแล้วลุกขึ้นมองตะวันฉายที่นอนหลับอยู่ เมฆเพ่งมองด้วยความสงสัย
“นี่อาบน้ำหรือเปล่าเนี่ย”
เมฆเดินย่องไปที่ตะวันฉายแล้วก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ตะวันฉายนอนตะแคงทำให้แว่นตกลงมาเล็กน้อย
เมฆค่อยๆนั่งลงเพ่งมองหน้าแล้วจึงเอื้อมมือจะไปถอดแว่นแต่ตะวันฉายพลิกตัว เมฆชะงักแล้วรอสักพักแล้วก็เอามือดึงแว่นตาของตะวันฉายอีก เมฆจับแว่นของตะวันฉายแต่ตะวันฉายรู้สึกลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าเมฆ เมฆชะงักที่เห็นตะวันฉายลืมตาในขณะที่มือของเขายังคาอยู่ที่แว่นของตะวันฉาย
ตะวันฉายตกใจร้องเสียงผู้หญิง “อ๊ายย นี่นายจะทำอะไรฉัน!”
พูดจบตะวันฉายก็ใช้เท้าถีบเมฆดังเปรี้ยง เมฆหงายท้องตกไปที่ปลายเตียงในสภาพเท้าชี้ฟ้า ตะวันฉายรีบจับแว่นใส่ให้กระชับแล้วดึงผ้าห่มที่ห่มหมอกมาปิดหน้าอก เมฆรีบตะกายมาเกาะขอบปลายเตียง
“เฮ้ย....ไอ้ซัน นี่นายมาถีบฉันทำไม”
ตะวันฉายนึกได้ก็รีบปิดปากแล้วลุกขึ้นยืนเก็กแมน
ตะวันฉายพูดเสียงผู้ชาย “ก็คุณจะทำอะไรผม”
หมอกขยับตัวตื่นขึ้นมาเพ่งมองเมฆ “พ่อ”
หมอกกางมือแล้วยิ้ม เมฆเข้ามากอดหมอก
“พ่อกลับมาแล้วครับหมอก ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ”
“หมอกรักพ่อครับ” หมอกหาว
“เดี๋ยวพ่อกล่อมนอนนะครับ” เมฆหันไปหาตะวันฉาย “ไปรอฉันข้างนอกเลย”
ตะวันฉายพยักหน้ารับเจื่อนๆ
เมฆเดินกุมท้องออกมากับตะวันฉาย พอปิดประตูลงตะวันฉายก็รีบถอยห่างเมฆทันที เมฆเดินเข้าไปจ้องหน้าตะวันฉาย
“เมื่อกี้ทำไมนายพูดเหมือนผู้หญิง เสียงก็เหมือน” เมฆซักทันที
“เอ่อ...ก็...ก็คนตกใจเสียงก็ต้องสูงสิครับ แต่ผมว่าผมไม่ได้พูดเหมือนผู้หญิงนะครับ”
“นายเรียกตัวเองว่าฉัน”
“ไม่หรอกครับ คุณเมฆหูฝาด ผมพูดว่า เฮ้ย...จะทำอะไรวะ”
เมฆมองหน้าตะวันฉายแล้วก็นิ่งคิดด้วยความแปลกใจ
“พูดอย่างนี้จริงๆเหรอ”
“ครับ”
“งั้นนายตกใจอะไรฉันมากมาย”
“ผมนึกว่าคุณเมฆเป็นผี”
“ดีนะ กลัวผีแต่ถามผีว่าฉันจะทำอะไรนาย”
“ขอโทษครับ”
“ฉันก็แค่เห็นว่านายนอนหลับแล้วแว่นหลุดก็จะถอดแว่นให้ก็เท่านั้น คอยังไม่หายมาโดนถีบอีก เฮ้อ....ซวยจริงๆ”
“ถ้าคุณเมฆมาแล้วผมขอไปอาบน้ำนอนนะครับ”
ตะวันฉายจะเดินไป แต่เมฆเรียกไว้
“เดี๋ยว....แล้วแว่นแก้แพ้แสงนี่ ตอนนอนก็ต้องใส่เหรอ”
“ครับ หมอบอกว่าต้องกันไว้ตลอดเวลา”
“อาบน้ำใส่ไหม”
“ใส่ครับ”
พูดจบตะวันฉายก็รีบเดินหนีไป เมฆมองตามด้วยความสงสัย
ตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องแล้วเดินมานั่งที่เตียงด้วยสีหน้าตื่นๆ
“ตาบ้า ไม่รักษาคำพูดเลย บอกจะกลับเช้าดันกลับเร็วตลอด เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
ตะวันฉายนั่งกอดเข่าอย่างเซ็งๆอยู่ในห้อง
เช้าวันใหม่ เสียงนาฬิกาปลุกดังไปทั่วบ้านของเมฆ เก่งเช็ดรถแล้วยืนหลับคารถ ตะวันฉายทำกับข้าวอยู่ในครัว เมฆพยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบากเพราะง่วงมาก เมฆปลุกหมอกแล้วก็หลับอยู่ข้างๆหมอก ตะวันฉายเปิดประตูเข้ามาเห็นก็ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ ก่อนจะเข้าไปปลุกสองพ่อลูกอย่างยากเย็น
ตะวันฉายอาบน้ำแต่งตัวให้หมอก ส่วนเมฆแต่งตัวอย่างเหนื่อยล้า เมฆกับหมอกจูงกันออกไปขึ้นรถ ตะวันฉายมองตามแล้วอมยิ้ม เธอมองเมฆขับรถออกไป เก่งปิดประตูรั้ว ตะวันฉายที่ยืนแอบดูอยู่หน้าบ้านยิ้มร้ายออกมา
ตะวันฉายเดินไปดูทั่วๆ บ้านแล้วจึงเดินไปที่หลังบ้าน เก่งเอาเสื้อผ้าของเมฆลงเครื่องไปหาวไป
“พี่เก่งง่วงเหรอ” ตะวันฉายถาม
“ก็เมื่อคือคุณเมฆเล่นกลับมาซะดึก คนคอยปิดประตูจะไม่ง่วงไงไหว” เก่งบอก
“งั้นพี่ก็ไปนอนสิ”
“ไม่ได้ งานไม่เสร็จ เอ็งจะไปไหนก็ไปเลยไป อย่ามาเกะกะ”
“ขอโทษครับลูกพี่ ผมก็แค่จะมาดูว่ามีอะไรที่พอจะช่วยได้บ้าง”
เก่งชะงักแล้วยิ้มทันที “จริงเหรอน้องชาย งั้นช่วยพี่กวาดถูบ้านได้ไหม พี่ให้เลือกจะเอาชั้นบนชั้นล่าง”
“ผมทำให้ทั้งหลังเลย แถมโปรโมชั่นเอาผ้าตากให้พี่ด้วย พี่เก่งไปนอนให้สบายเลยนะครับ”
“จริงเหรอ อย่าหลอกกันนะเว้ย เอ็งนี่มันดีเป็นทองเลยนะเนี่ย” เก่งหาว
เก่งเดินฮัมเพลงจากไป ตะวันฉายยิ้มร้าย
ตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องทำงานของเมฆแล้วเดินไปที่โต๊ะที่มีรูปต่างๆของเมฆ หมอก และธีรภพตั้งโชว์อยู่ ตะวันฉายหยิบรูปที่เมฆกับธีรภพถ่ายด้วยกันมาดู ตะวันฉายมาปิดหน้าเมฆ
“พี่ธีร์คะ เราจะได้เจอกันแล้วนะ” ตะวันฉายยิ้ม
ตะวันฉายจุ๊บรูปธีรภพแล้ววางลงพร้อมกับมองไปรอบๆ ห้อง
“เริ่มจากห้องนี้ก่อนแล้วกันดูน่าค้นหาเป็นที่สุด”
ตะวันฉายเริ่มต้นรื้อดูตามตู้ต่างๆ
เมฆจูงมือหมอกเดินเข้ามาในโรงเรียนจนมาเจอกับครู สองพ่อลูกยกมือไหว้ทักทาย
“หมอกไปแล้วนะครับ” หมอกบอกเมฆ
“ตั้งใจเรียนนะลูก”
“พ่อก็ตั้งใจทำงานนะครับ”
เมฆยิ้มให้ หมอกไหว้แล้ววิ่งไปหาเพื่อนๆ เมฆเดินกลับมาที่รถแล้วหาวเพราะง่วงนอนมาก เขาตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“คุณหนิง ช่วงเช้าผมมีประชุมอะไรไหม........ดีเลย เมื่อคืนผมกลับดึกเดี๋ยวคงจะกลับไปนอนต่อ ถ้ามีอะไรคุณโทรตามแล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะเข้าไปช่วงบ่าย”
เมฆขึ้นรถแล้วขับออกไป
ตะวันฉายนั่งกับพื้นดูแฟ้มต่างๆ ที่เกลื่อนเต็มพื้นห้อง โดยที่ตู้ต่างๆถูกเปิดออกจนหมด
“มีแต่โน้ตเพลงบ้าบออะไรก็ไม่รู้”
ตะวันฉายลุกขึ้นเดินสำรวจไปทั่วๆ แล้วหยิบรูปที่เป็นรูปถ่ายของธีรภพกับเมฆสมัยวัยรุ่นมาดูแล้ววาง ก่อนจะหยิบรูปใบใหม่ขึ้นมาดูไปเรื่อยๆ
“อะไรกันนอกจากรูปเก่าๆของพี่ธีร์แล้วมันไม่มีอะไรอีกเหรอ??”
ตะวันฉายเดินไปที่เปียโนไฟฟ้าแล้วนั่งลงเล่นเพลงไปตามเรื่อง
รถของเมฆแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เมฆลงจากรถมาเปิดประตูรั้วด้วยอาการอ่อนเพลีย แล้วเขาก็รีบขึ้นรถขับเข้าบ้านไป ตะวันฉายได้ยินเสียงรถก็ตกใจจึงรีบวิ่งไปดูที่หน้าต่างจนเห็นเมฆลงมาจากรถ
“ตายแล้ว.....”
ตะวันฉายรีบเก็บแฟ้มโน้ตทั้งหมดอย่างทุลักทุเล เมฆเดินไปปิดประตูบ้าน แล้วเดินจะเข้าบ้าน แต่นึกอะไรได้ก็เดินกลับมาที่รถแล้วเปิดประตูหยิบโน้ตบุ๊ค
เมฆเดินเข้ามาในบ้าน
“เก่ง....” เมฆเรียกดังขึ้น “เก่ง.....ซัน” ไม่มีเสียงตอบรับ เมฆสงสัย “หายไปไหนกันหมด”
เมฆหาวแล้วเดินไปจนถึงหน้าประตูห้องทำงาน ตะวันฉายที่อยู่ในห้องทำงานลุกขึ้นในจังหวะเดียวกับที่เมฆเปิดประตูเข้ามา ทั้งสองหันหน้ามามองกันอย่างอึ้งๆ
“เข้ามาทำอะไรในนี้” เมฆถาม
ตะวันฉายตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เมฆเดินเข้ามามองหน้าตะวันฉายแล้วมองไปที่ตู้ใส่เอกสารที่ปิดสนิท
“ว่าไงล่ะ ฉันถามว่าเข้ามาทำอะไรในนี้”
“เอ่อ...ผม...ผมจะเข้ามาทำความสะอาดครับ”
“ทำความสะอาด? มันไม่ใช่งานของนายนี่”
“คือผมเห็นว่าเมื่อคืนพี่เก่งนอนดึกก็เลยอยากช่วยแกครับ”
เมฆมองไปรอบๆด้วยความสงสัย
“มาทำความสะอาดนี่ไม่ต้องมีเครื่องมือเหรอ”
“ผมมาสำรวจห้องแต่ละห้องก่อนครับ อย่างห้องนี้ปูพรมหมดผมก็จะใช้เครื่องดูดฝุ่นน่ะครับ คงใช้ไม้กวาดหรือม็อบถูพื้นไม่ได้”
“เออ...ก็จริง”
เมฆจ้องหน้า ตะวันฉายนิ่งแล้วยิ้มให้
“เอ่อ...แล้วคุณเมฆไม่ได้ไปทำงานเหรอครับ” ตะวันฉายถาม
“ตอนแรกว่าจะไปแต่มันง่วงเลยกลับมานอนพักหน่อย งั้นฉันขอเอนหลังที่นี่ก่อน นายไปทำห้องอื่นแล้วกันนะ”
“ได้ครับ”
ตะวันฉายเดินออกไป เมฆเดินไปที่เก้าอี้นั่งเล่นในห้องแล้วนั่งลงเอนตัวเหยียดขาหลับตา ตะวันฉายยืนแอบดูที่หน้าประตูจนเมฆหลับ แล้วเธอก็เป่าปากโล่งใจ
ตะวันฉายยืนถืออุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่หน้าห้องนอนของเมฆ
“นี่ห้องนายนั่น แล้วอีกสองห้องล่ะ”
ตะวันฉายเดินไปเปิดประตูห้องหนึ่งแล้วเดินเข้าไป เธอมองไปรอบๆก็เห็นรูปพ่อกับแม่ของเมฆติดอยู่ ทุกอย่างในห้องถูกคลุมด้วยผ้าขาวไว้อย่างดี ตะวันฉายเดินมาหน้ารูปแล้วยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่พี่ธีร์ใช่ไหมคะ หนูชื่อซันเป็นรุ่นน้องพี่ธีร์ค่ะ” ตะวันฉายนึกได้ “งั้นอีกห้องที่เหลือก็ต้องเป็นห้องพี่ธีร์น่ะสิ” ตะวันฉายยิ้มอย่างมีความหวัง
ตะวันฉายเปิดประตูเข้ามาอีกห้อง เธอเห็นรูปธีรภพวางอยู่ 2-3 รูป ตะวันฉายยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเปิดดูตามลิ้นชักและตามตู้ต่างๆ แต่ทุกอย่างก็ว่างเปล่า
“นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับพี่ธีร์สักอย่างเลยเหรอ หรือจะอยู่ในห้องนายนั่นหมด”
ตะวันฉายเปิดประตูเข้าห้องนอนเมฆมาพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด พอเห็นห้องเธอก็มองด้วยความทึ่ง
“แหม...ห้องสะอาดเรียบร้อยผิดกับหน้าตาเลยนะนายเมฆ”
ตะวันฉายเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและกำลังจะเอื้อมมือเปิดตู้ แต่เธอได้ยินเสียงจับลูกบิดประตู ตะวันฉายรีบคว้าไม้กวาดมากวาดอย่างเนียนๆทันที เมฆเปิดประตูเข้ามา ตะวันฉายทำทีเป็นทักทาย
“อ้าว..คุณเมฆตื่นเร็วจังครับ”
“ฉันนอนข้างล่างไม่หลับ แสงมันเข้าตา ยังทำห้องนี้ไม่เสร็จเหรอ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปทำห้องอื่นก่อนแล้วกัน”
เมฆพยักหน้ารับรู้ ตะวันฉายหยิบอุปกรณ์เดินออกไปนอกห้อง พอปิดประตูเธอก็ฉุนทันที
“หลับยากหลับเย็นแบบนี้มันน่าสงเคราะห์จริงๆเล้ย”
พูดจบตะวันฉายก็มองไม้กวาดในมือด้วยความแค้นใจ
เมฆนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงโดยแอบกรนนิดๆ ตะวันฉายเปิดประตูแล้วค่อยๆย่องเข้ามายืนมองเมฆด้วยหางตาร้ายกาจและเจ้าเล่ห์มาก
ตะวันฉายพูดเบาๆ “ได้เวลาคืนกำไรคุณผู้ชมแล้ว ไอ้ปากเป็ด แกเสร็จฉันแน่”
ตะวันฉายเหลือบไปมองที่ชั้นวางของแล้วก็หยิบน้ำยาใส่ผมขึ้นมาดม
“ไอ้นี่แหละเหมาะสุด”
ตะวันฉายเทน้ำมันใส่ผมลงที่พื้นข้างๆเตียงจนเลอะไปหมด แล้วแอบหัวเราท้องคัดท้องแข็งอยู่คนเดียว
“คราวนี้แหล่ะแกตูดแตกแน่”
ตะวันฉายจะเดินออกไปแต่เผลอไปเหยียบน้ำมันจนลื่นเอง ตะวันฉายไถลไปบนเตียงทันที เดชะบุญตะวันฉายเอามือค้ำบนเตียงไว้ได้ทัน แต่หน้าของเธอก็เกือบจะจุ๊บแก้มของเมฆอยู่แล้ว
ตะวันฉายค่อยๆ เอามือไต่ออกมาเรื่อยๆ จนประคองตัวให้ยืนได้ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ ย่องไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป ทันใดนั้นมฆก็สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
“เอ้ยยยย!!”
เมฆลุกพรวดขึ้นแต่กลับลื่นไถลจนล้มลงกับกับพื้น
“เย้ย!!”
เก่งประตูเปิดพรวดเข้ามาในห้องทันที
ตะวันฉายถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเข้ามาในห้องหมอกแล้วเริ่มความสะอาด เธอใช้ไม้ปัดขนไก่ปัดฝุ่น แต่เน้นที่รูปของธีรภพเป็นพิเศษ แล้วตะวันฉายก็ดูดฝุ่นในห้องรับแขก จากนั้นเธอก็ทำความสะอาดตามมุมต่างๆ เช่น บันไดบ้าน ตะวันฉายถึงกับเอา Cutton bud แยงเช็ดตามซอกเล็กซอกน้อยกันเลยทีเดียว
ตะวันฉายกลับมาทำความสะอาดในห้องทำงานของเมฆ เธอทำความสะอาดแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความหงุดหงิดก่อนจะวางอุปกรณ์แล้วเดินไปหยิบแจกันว่างๆ มาดู
ตะวันฉายเดินอยู่ในสนามหน้าบ้าน เธอตัดดอกไม้ที่อยู่ในสวนมา
ตะวันฉายสะบัดผ้าปูโต๊ะหน้าโซฟาใหม่ แล้วเอาแจกันใส่ดอกไม้วาง ตะวันฉายนั่งกลางห้องที่สะอาด พรมปูพื้นถูกจัดวางใหม่ กล่องดีวีดีวางเรียงใหม่ หนังสือในห้อง และทุกอย่างถูกจัดใหม่ทั้งหมด ตะวันฉายลุกขึ้นดูผลงานของตัวเองแล้วก็ยิ้มภูมิใจ
“แบบนี้สิ เรียบหรูดูดี”
เมฆเดินเข้าเฟรมมายืนดูจนตะวันฉายรู้สึกตัว เมฆมองไปรอบๆด้วยความชื่นชม
“ทำงานสะอาดดีนี่”
“ขอบคุณครับ ดีใจที่คุณเมฆชอบ”
เมฆยิ้ม “จริงๆฉันก็ไม่ชอบอะไรหวานๆแบบนี้หรอกนะ มันเหมือนผู้หญิงไปหน่อย”
ตะวันฉายตาโตด้วยอาการอึ้งแล้วคิดได้จึงแอบกัดปากตัวเองเพราะเจ็บใจที่พลาด
ตะวันฉายรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณเมฆจะไปแล้วเหรอครับ เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้”
“ไม่ต้องหรอก ทำงานต่อไปเถอะ แค่จะมาบอกว่าวันนี้ฉันคงไปรับหมอกไม่ทัน ฝากนายรับด้วยแล้วกัน” เมฆส่งเงินให้ “นี่ค่ารถแต่ถ้าไปโรงเรียนนายหมอกไม่ถูกก็ถามทางเก่งมันแล้วกัน”
เมฆเดินออกไป ตะวันฉายมองเงินในมือแล้วอมยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าฉันอยู่ไม่ถึงเวลาไปรับลูกนายจะให้พี่เก่งไปแทนนะ”
ตะวันฉายเดินไปมองที่หน้าต่าง เธอเห็นเมฆขึ้นรถแล้วขับออกไป
ตะวันฉายเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนเมฆ เธอมองไปรอบๆแล้วกระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นก็เริ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วจะดึงลิ้นชักแต่ลิ้นชักก็โดนล็อค ตะวันฉายอึ้งแต่ก็เดินไปเปิดลิ้นชักทุกตู้ ไม้เว้นแม้แต่ลิ้นชักหัวเตียงกับโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ทุกอย่างทุกปิดหมด
“หืมมมม....ตาบ้า...ทำไมต้องล็อคหมดอย่างนี้”
ตะวันฉายทรุดตัวนั่งด้วยความเซ็ง
ตะวันฉายถอนใจ “โอ๊ยยย....แล้วจะทำไงดีต่อละเนี่ย”
เก่งนอนหลับสนิทอยู่ในห้องนอน ตะวันฉายพยายามปลุก
ตะวันฉายเขย่าตัว “พี่เก่ง....พี่เก่ง...พี่เก่ง เฮ้ย...นี่หลับหรือตายวะเนี่ย”
เก่งยังแกล้งนอนหลับต่อ ตะวันฉายคิดแผนออก
ตะวันฉายตะโกน “คุณเมฆครับ พี่เก่งยังนอนไม่ตื่นครับ”
เก่งสะดุ้ง “เฮ้ย...คุณเมฆกลับมาเหรอ ไอ้ซันทำไมเอ็งไม่มาปลุก”
เก่งกระโดดลงจากเตียงทันทีแล้วจะรีบออกไปแต่ตะวันฉายดึงแขนเก่งไว้
“คุณเมฆมาแล้วไปแล้วพี่ แต่ไม่ต้องห่วงผมบอกแกแล้วว่าพี่เก่งเหนื่อยที่รอแกเมื่อวานเลยมานอน แกก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“แหม....เอ็งนี่มันนกรู้จริงๆ”
“ขอบคุณครับลูกพี่ ถ้างั้นผมขอไปข้างนอกหน่อยนะ แล้วจะเลยไปรับคุณหมอกให้ด้วย ลูกพี่นอนต่อให้สบายนะครับ แต่ก่อนนอนช่วยบอกทางไปโรงเรียนคุณหมอกให้ผมก่อนนะ”
เก่งเปิดลิ้นชักแล้วเอากระดาษมาเขียนที่อยู่โรงเรียนสักครู่ก็ส่งให้ตะวันฉาย
“ก่อนไปเจียวไข่เจียวหมูสับทิ้งไว้ให้พี่ด้วยนะ เผื่อตื่นมาหิว” เก่งสั่ง
พูดจบเก่งก็ล้มตัวลงนอนต่อ ตะวันฉายมองเก่งอย่างอึ้งๆ และพูดไม่ออก
ที่คอนโดของตะวันฉาย ตะวันฉายเอาเสื้อผ้าเก่าใส่ถุงไว้ในกระบุง แล้วพับเสื้อผ้าใหม่ใส่เป้เพิ่ม นิคกับเอวานั่งคุยกับเธออยู่ที่เตียง
“ตกลงแกก็เลยต้องอยู่ที่นั่นต่อ” เอวาสรุป
“โหย....พูดแล้วรมณ์เสีย นายนั่นล็อคทุกอย่างเลย ไม่รู้จะปิดอะไรกันนักกันหนา”
“เอ้า....คนเขาล็อคของๆเขาก็ผิดอีก” นิคงง
“ผิดสิ แล้วฉันจะรู้เรื่องพี่ธีร์ได้ยังไง”
“แล้วห้องอื่นๆน่ะไม่มีอะไรบ้างเหรอ” เอวาถาม
ตะวันฉายส่ายหน้า “นี่ถ้าบ้านนี้ไม่มีรูปพี่ธีร์ ฉันต้องคิดว่าไม่ใช่พี่น้องกันแน่ๆ ขนาดห้องพี่ธีร์นะฉันยังไม่เจอเอกสารอะไรที่เกี่ยวกับตัวพี่ธีร์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว”
“หรือพี่ธีร์จะย้ายกลับไปอยู่ต่างประเทศอีกรอบวะ เลยเอาของไปหมด” นิคสัณนิษฐาน
“ตายล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้แกจะเอาไงต่อ”
ตะวันฉายนิ่งคิดตามอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นทุบโต๊ะจนเพื่อนทั้งสองตกใจ
“ไม่รู้หล่ะ ไหนๆฉันก็มาไกลขนาดเข้าบ้านพี่ธีร์ได้แล้ว ยังไงฉันก็ต้องติดต่อกับเขาให้ได้สักครั้ง “ ตะวันฉายฮึกเหิม “ฉันจะไม่ยอมกลับไปจมอยู่กับความรู้สึกของการรอคอยแบบไร้จุดหมายอีกแล้ว”
นิคกับเอวาลุกขึ้นปรบมือชื่นชมเพื่อน
“สุดยอดเลยเพื่อน โดนใจกดไลค์ให้เต็มๆ”
“ซัน แกคือต้นแบบของฉันเลย ลูกผู้หญิงพูดจริงทำจริง” เอวาชม
ตะวันฉายเห็นเพื่อนชื่นชมด้วยความปลาบปลื้มมากก็นั่งลงอย่างจ๋อยๆ
“พวกแกไม่ต้องปลื้มฉันมากหรอก ฉันก็ฮึกเหิมไปแบบยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไงต่อ”
“อ้าว...”
“ก็ถ้าฉันคิดออกแล้วจะพึ่งพวกแกเหรอ”
นิคกับเอวาลงนั่งช่วยตะวันฉายคิด
“ฉันคิดออกแล้ว ในเมื่อพี่เมฆล็อคตู้ เราก็ต้องหาโอกาสปั๊มกุญแจมาไขสิ” เอวาเสนอ
“เฮ้ย...ทำแบบนั้นมันโจรชัดๆ” นิคขัด
“แหม...แล้วไอ้ที่หลอกเขาอยู่ทุกวันนี้อ่ะบริสุทธิ์ใจกับพี่เมฆเขามากเลยนะ” เอวาพูดกับตะวันฉาย “ตกลงแกว่าวิธีฉันโอเคไหม”
ตะวันฉายจับมือเอวาแล้วยิ้มซึ้ง “เอวา ที่แกว่าฉันเป็นต้นแบบของแกน่ะ เปลี่ยนความคิดซะเถอะนะ จริงๆแล้วแกต่างหากที่ฉลาดและเก่งกว่าฉัน ดูแต่ละเรื่องที่แกคิดให้ฉันสิ.....คุกล้วนๆเลย”
เอวาค้อน “แล้วจะทำไหม”
ตะวันฉายขมวดคิ้วเพราะคิดหนัก
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ตะวันฉายถือกระเป๋ามาส่งนิคกับเอวาที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าคอนโดของเธอ
“ที่จริงแกให้ฉันไปส่งที่โรงเรียนหมอกก็ได้นะ จะได้รับไปส่งบ้านเลย” เอวาเสนอ
“จ้ะ...เกิดพ่อเขารู้ได้มาถามน่ะสิว่าเรามาเจอกันได้ไง ไม่เอาหรอก ฉันไปเองดีกว่า เดี๋ยวว่าจะไปซื้อของก่อนด้วย พวกแกไปเถอะ”
นิคกับเอวาจะขึ้นรถแล้วเอวาก็นึกขึ้นมาได้
“แล้วนี่แกโทรหาพี่ยุทธหรือยัง”
“โอ๊ย...ตายแล้ว ลืมไปเลย”
เอวาดุ “แกนี่ไม่ไหวเลย รีบโทรหาเขานะ”
ตะวันฉายล้อเอวา “เออน่า...เดี๋ยวจะโทรนะคะคุณแม่”
“เดี๋ยวน่ะเมื่อไหร่” เอวาถาม
ตะวันฉายค้อน “ล้อแกหมุนปุ๊บ ฉันโทรปั๊บเลยเอาไหม”
“ดีฉันจะดูจากกระจกมองหลัง”
ตะวันฉายหัวเราะแล้วหยิบโทรศัพท์มาถือโชว์
“พร้อมกดแล้วย่ะ”
เอวาพูดเสียงเศร้า “งั้นฉันไปนะ”
เอวาขึ้นรถ นิคมองตามแล้วขึ้นไปนั่งในรถ เอวาสตาร์ทรถแล้วขับออกไป ตะวันฉายกดโทรศัพท์ออก เอวาเผลอถอนใจแล้วมองไปก็เห็นนิคมองเธออยู่ เอวาทำเฉยแล้วขับรถต่อไป
ตะวันฉายยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าคอนโดของเธอ
“พี่ยุทธ”
“ซัน...หายไปไหน รู้ไหมว่าพี่โทรหาซันกี่ครั้ง” ยุทธการว่า
ตะวันฉายหัวเราะ “15 สายที่ไม่ได้รับกับหกข้อความค่ะ”
“ซันพี่ไม่ตลกนะ”
“ขอโทษ เมื่อคืนเอวามันเล่าให้ฟังหมดแล้วว่าพี่ยุทธไปที่โรงเรียน”
“รู้ตั้งแต่เมื่อคืนแต่เพิ่งโทรหาพี่ตอนนี้”
“โห...สารวัตรโกรธแบบนี้น้องสาวใจเสียนะ”
“ก็เพราะพี่เป็นห่วงซันน่ะสิ”
“ซันเองก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่ยุทธเป็นห่วง แต่พอดีซันลืมเปิดเครื่อง”
ยุทธการถอนใจ “ต่อไปสัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
“ซันจะพยายามนะคะ”
ยุทธการยิ้ม “แล้วนี่ซันอยู่ไหน ทานกลางวันหรือยัง พี่ไปรับนะ”
“ก็ดีนะ” ตะวันฉายนึกได้แล้วก็ตกใจจับหัวตัวเองที่ผมสั้นอยู่ “อุ๊ย ไม่ได้แล้วพี่ยุทธ”
“อ้าว...ยังไงกันเนี่ย”
“เอ่อ...คือซันมีธุระน่ะไว้คราวหน้าแล้วกัน เอ่อ..ซันสายแล้วแค่นี้นะคะ”
“ซัน...เดี๋ยวก่อนสิ”
ยุทธการได้ยินเสียงสัญญาณตัดไป เขามองโทรศัพท์ในมืออย่างงงๆ ตะวันฉายมีสีหน้าหนักใจ
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะพี่ยุทธ”
ยุทธการนั่งเหม่อ จ่าสมเดินเข้ามาหาเขา
“ขออนุญาตครับ” จ่าสมเห็นยุทธการยังเหม่อก็เรียก “สารวัตรครับ”
“มีอะไรเหรอจ่า”
“สายรายงานว่าพบตัวคนไทยที่คนร้ายสองคนมันนัดคราวที่แล้วครับ”
“งั้นพาผมไปเลย”
ยุทธการกับจ่าสมรีบเดินออกไปด้วยกัน
ณ โรงเรียนดนตรี EVA Music Schoolนักเรียนสองคนนั่งรออยู่ในห้องคนละห้องกัน นักเรียนทั้งสองซ้อมตั้งเสียงและเตรียมโน้ตไปด้วย นิคกับเอวาเดินถืออุปกรณ์มาถึงหน้าห้องเรียน เอวาดูเงียบไปจนนิคสังเกตได้
“เฮ้ย เงียบนานไปป่าว ตั้งแต่ออกจากคอนโดซันมันเลยนะ” นิคทัก
“อ๋อ...ฉันกำลังคิดว่าวันนี้จะขึ้นเพลงใหม่ให้นักเรียนฉันน่ะ”
นิคงง “น้องปลาคนนี้เพิ่งมาเรียนได้สองวันเองนะ”
นิคมองเข้าไปในห้องของเอวา เอวามองตามแล้วหน้าจ๋อย
“ฉันลืมไป คิดว่าวันนี้จะสอนน้องต้น” เอวาบอก
“ตกลงแกเป็นอะไร”
“เปล่านี่ ฉันก็ปกติดี”
“แกปกติตอนคุยเรื่องไอ้ซันกับพี่ธีร์ แต่แกไม่ปกติหลังจากที่แกบอกให้ไอ้ซันมันโทรหาพี่ยุทธ”
เอวาโมโห “นี่ไอ้นิค...ตกลงแกจะคิดให้ได้ใช่ไหมว่าฉันชอบพี่ยุทธ”
“ก็แค่สงสัย”
“งั้นก็เป็นปัญหาของแกแล้ว ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้กับแกอีกแล้ว”
เอวาเปิดประตูเข้าไปหานักเรียน นิคถอนใจแล้วเปิดประตูก่อนจะยิ้มแล้วเดินเข้าไปหานักเรียน
รูปสถานที่ท่องเที่ยวในทิเบตปรากฏในจอ ไกด์ยืนอธิบายโดยมีเมฆกับวิวัฒน์นั่งฟัง
“จากที่ผมไปสำรวจมานะครับ ถ้าเราจะเปิดเส้นนี้จริงๆ ผมว่าเราบินไปลงเฉิงตูแล้วต่อรถไฟจากชิงไห่ไปทิเบตดีกว่า เพราะข้อดีคือราคาถูกกว่าบินตรง ได้เห็นวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ผมบอกได้เลยพี่ว่าสวยสุดยอด แต่ที่สำคัญคือลูกทัวร์เราจะไม่มีปัญหาเรื่องการปรับตัว เพราะถ้าบินตรงไปลง หลายคนจะมีอาการแพ้ความดันอากาศต่ำอย่างรุนแรงครับ”
ไกด์กดภาพวิวที่ท่องเที่ยวที่รถไฟวิ่งผ่าน
“เมฆว่าไง” วิวัฒน์ถาม
“ผมชอบนะครับ” เมฆพูดกับไกด์ “ใหญ่ไปทำ Budget คร่าวๆ กับรายระเอียดทุกอย่างมาให้เลขาพี่ด้วยแล้วกัน พี่จะได้เสนอกรรมการเลย”
ไกด์รับคำแล้วปิดเครื่องก่อนจะหยิบ Flashdrive แล้วเดินออกไป
“งั้นพี่ติดต่อการท่องเที่ยวเลยแล้วกัน ไม่อยากให้มีปัญหาล่าช้าเหมือนตอนขอเข้าลิซบอนอีก” วิวัฒน์บอก
วิวัฒน์จะลุกไปแต่เมฆเรียกไว้
“พี่วัฒน์ครับ ผมขอปรึกษาอีกเรื่องได้ไหม”
วิวัฒน์นั่งลง
“ตอนนี้บริษัทเราก็โอเคแล้ว พี่วัฒน์จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะแบ่งเวลาไปทำเพลง”
วิวัฒน์ตบไหล่ยินดี “เมฆ...นายเสียสละทิ้งงานที่นายรักมาช่วยพี่กับหุ้นส่วนคนอื่นๆตั้งหลายปี ทั้งๆที่บริษัทนี้ก็เป็นของไอ้ธีร์มัน ตอนนี้นายจะกลับไปทำงานของนายพี่กับทุกคนต้องยินดีกับนายสิ ไว้มีประชุมสำคัญๆนายค่อยเข้ามาก็ได้”
“ขอบคุณครับพี่วัฒน์”
“ไว้พวกพี่ทำเจ๊งอีก เราก็จะไปเชิญท่านประธานเมฆกลับมาช่วยนะครับ”
เมฆกับวิวัฒน์หัวเราะด้วยกัน
เมฆกับวิวัฒน์เดินคุยกันออกมาจากห้องทำงานของเมฆ
วิวัฒน์ตบไหล่เมฆ “พี่ขอให้ประสบความสำเร็จนะเมฆ”
เมฆยิ้มรับ วิวัฒน์เดินจากไป เมฆเดินไปที่โต๊ะเลขาแล้วพูด
“คุณหนิง เดี๋ยวผมจะไปธุระนะ แล้วต่อไปนี้ผมอาจจะไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ ถ้ามีอะไรก็โทรบอกแล้วกัน”
เลขารับคำ “ค่ะ”
เมฆจะเดินไปแล้วเขาก็นึกได้จึงหันกลับมาอีก
“แล้วเรื่องหาพี่เลี้ยงน่ะทางศูนย์ยังไม่ติดต่อมาใช่ไหม”
“ค่ะ เห็นว่าอีกสองสามวันอาจจะได้คนหนึ่ง” หนิงบอก
“สองสามวันเหรอ อืมมมม...ไม่เป็นไรถ้าได้รีบบอกผมนะ”
“ค่ะ”
ยุทธการกับจ่าสมเดินแยกกันไปคนละมุมของ Villageแห่งหนึ่ง ทั้งสองทำตัวนักท่องเที่ยวถือถุงช้อปปิ้ง
“ทุกคน ถ้าเห็นของเมื่อไหร่ลงมือได้เลย” ยุทธการสั่ง
ยุทธการมองจ่าสม จ่าสมมองเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เด็กเสิร์ฟเอาไมโครโฟนเล็กๆติดที่ใต้จานรองถ้วยกาแฟถ้วยหนึ่งจากสามถ้วย แล้วกดกาแฟจากเครื่องวางถ้วยนั้นบนจานรองแล้วถือถาดเดินไปวางบนโต๊ะๆหนึ่งที่มีชายผิวดำสองคนนั่งกับชายไทยคนหนึ่ง แล้วเด็กเสิร์ฟก็เดินไป
ยุทธการแกล้งเดินทำเป็นไม่สนใจและดูของไปเรื่อยๆ ที่โต๊ะของชายทั้งสาม หลังจากที่ชายไทยดื่มกาแฟเสร็จ ชายผิวดำคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“ตกลงเปเปอร์จะได้เมื่อไหร่”
ยุทธการกับจ่าสมมองหน้ากันด้วยความงง
“ใจเย็นๆสิ” ชายไทยบอก
“เย็นได้ไง ถ้าไม่ได้เปเปอร์ของก็ไม่ออก”
“ผมก็กำลังเร่งอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมทางโน้นถึงช้า”
“อย่าให้เรารู้นะว่ามีคนคิดหักหลัง ไม่งั้นได้พังกันทั้งสองข้างแน่”
ชายผิวดำทั้งสองจิบกาแฟแล้วลุกขึ้นเดินไป
“พวกมันจะแยกกันแล้วครับ” จ่าสมบอกยุทธการ
ยุทธการมองชายผิวดำทั้งสองเดินแยกไป แล้วก็เห็นชายคนไทยวางเงินค่ากาแฟแล้วเดินแยกไปอีกทาง
หน้า Village มีรถจอดอยู่เต็ม และมีรถตู้คันใหญ่สีดำติดฟิลม์มืดจอดอยู่ ยุทธการ จ่าสม เด็กเสิร์ฟ และตำรวจ 2-3 คนนั่งฟังคลิปเสียงที่อัดมาอยู่ในรถตู้
“เย็นได้ไง ถ้าไม่มีเปเปอร์ของก็ไม่ออก”
ยุทธการรีบสั่ง “หยุดก่อน”
คลิปเสียงหยุด
“แปลกมา พวกมันนัดการมาคุยเรื่องเปเปอร์บ้าบออะไร”
“นั่นสิครับ ผมว่ามีกลิ่นแปลกๆ หรือมันจะใช้โค้ดแทน” จ่าสมสงสัย
“ถ้าโค้ดคือของ แล้วมันจะพูดเรื่องการออกของทำไม”
ทุกคนนั่งนิ่งเพราะคิดไม่ออก
“ตอนนี้เราคงทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากจับตาตามพวกมันไว้อย่าให้คลาดสายตา”
ทุกคนรับคำ “ครับผม”
ยุทธการพึมพำ “เปเปอร์ มันคืออะไร?”
เก่งเดินหาวเข้ามาในห้องครัวแล้วเดินไปเปิดตู้กับข้าวหยิบข้าวกับไข่เจียวมาวางบนโต๊ะ พอมองไปรอบๆ เขาก็อึ้งเพราะเห็นครัวจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“โอ้โห...ไอ้ซันนี่มันทำเรียบร้อยเลยเว้ย”
เก่งเดินออกไปจากห้องครัว
เก่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วก็ตกตะลึง
“แม่เจ้าโว้ย ไอ้เก่งไม่ต้องถูบ้านไปสามวันเลยมั้งเนี่ย” เก่งนึกได้ “ต่อไปนี้ให้ไอ้ซันมันทำงานเวลาเจ้านายไม่อยู่ดีกว่า”
เก่งหัวเราะสะใจแล้วโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น เก่งรีบวิ่งไปรับ
“สวัสดีครับ บ้านคุณนภทีป์ครับ......อ๋อ...คุณเมฆเองเหรอครับ”
เมฆขับรถอยู่ แต่เปิดบลูธูทคุยกับเก่ง
“เก่ง แกช่วยบอกซันด้วยนะว่าไม่ต้องไปรับหมอกแล้ว ฉันเสร็จธุระแล้วเดี๋ยวจะไปรับเอง”
“ซันมันออกไปตั้งนานแล้วครับ” เก่งบอก
“เฮ้ย..ทำไมรีบไป นี่ยังเหลือเวลาตั้งเยอะนี่”
“เห็นมันว่าจะไปธุระก่อนครับ แล้วจะเลยไปรับคุณหมอก”
“เออๆ งั้นไม่เป็นไร”
เมฆกดตัดสายแล้วคิด
“เอาไงดี”
รถของเมฆแล่นมาจอดหน้าโรงเรียนของหมอก เมฆกำลังจะลงจากรถ แตเขาเห็นรถแท็กซี่คนหนึ่งแล่นมาจอด ตะวันฉายลงมาจากรถเแท็กซี่คันนั้นโดยเธอเอาหูบนของเป้คล้องแขนแบบผู้หญิง แล้วเก็บเศษตังค์ทอนจากแท็กซี่ใส่กระเป๋าสตางค์ใบยาวก่อนเก็บลงในเป้ แล้วจึงค่อยสะพายเป้เข้าหลังก่อนเดินเข้าโรงเรียนไป
เมฆลงจากรถแล้วรีบตามไป ตะวันฉายเดินเข้ามาก็เจอครู ครูทัก ตะวันฉายยิ้มตอบแล้วเดินไปนั่งรอรวมกับผู้ปกครองคนอื่นๆ เมฆเดินเข้ามาที่มุมหนึ่ง เขามองเห็นตะวันฉายนั่งอยู่ก็หยุดยืนมองเธอด้วยสีหน้านิ่ง
เมฆเห็นตะวันฉายนั่งไขว่ห้างแบบผู้หญิง แล้วหยิบนิตยสารผู้หญิงมาเปิดอ่าน ทันใดนั้นเสียงกริ่งเลิกเรียนก็ดังขึ้น เด็กๆกรูกันออกมาจากห้องเรียน ตะวันฉายรีบลุกขึ้นยืนดู แล้วเอากระเป๋าคล้องไหล่แบบผู้ชายพร้อมกับวางหนังสือเก็บเข้าที่
หมอกเดินออกมาจากทางหนึ่งกับเพื่อนๆ แล้ววิ่งตรงมา ตะวันฉายรีบเก็กแมนยิ้มรอ พอเห็นหมอกวิ่งมาใกล้ๆ ตะวันฉายก็เดินยิ้มไปหา ตะวันฉายคุยกับหมอกแล้วจูงมือกันเดินออกไปจากโรงเรียน
เมฆเห็นตะวันฉายกับหมอกเดินมาก็รีบหลบตรงมุมเสา จนทั้งสองเดินผ่านไป เมฆออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองตามหมอกและตะวันฉายด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ที่แท้ก็เป็นตุ๊ด” เมฆส่ายหน้า “สังหรณ์อยู่แล้ว”
เก่งรดน้ำต้นไม้อยู่ที่สนามหน้าบ้านเมฆ รถแท็กซี่แล่นมาจอด ตะวันฉายกับหมอกเดินเข้าบ้านมา พอเห็นเก่งหมอกก็ยิ้มทันที
หมอกตะโกน “พี่เก่ง”
หมอกวิ่งเข้าไปใส่ เก่งที่รดต้นไม้อยู่หันมาเห็นก็ตกใจ
“คุณหมอกอย่า.....” เก่งร้องห้าม
หมอกวิ่งไปถึงตัวแล้วกระโดดขึ้นขี่เก่งจนเก่งล้มลง หมอกหัวเราะสนุกสนานแล้วเริ่มจี้เอวเก่ง เก่งหัวเราะจนท้องแข็ง
“โอ๊ย...คุณหมอกอย่าครับ พอแล้ว พี่เก่งยอมแล้ว” เก่งยกมือไหว้
หมอกยอมหยุด เก่งลุกขึ้นมาพร้อมๆ กับที่ตะวันฉายเดินมาถึงพอดี เก่งมองทั้งสองอย่างงงๆ
“คุณเมฆล่ะ” เก่งถาม
ตะวันฉายงง “ทำไมเหรอพี่เก่ง คุณเมฆก็ไปทำงานไงครับ”
“อ้าว...เห็นโทรมาบอกว่าจะไปรับคุณหมอกที่โรงเรียน”
ตะวันฉายตกใจ “อะไรนะ คุณเมฆไปที่โรงเรียนเหรอ ไปกี่โมงแล้วทำไมผมไม่เห็น”
“ไปกี่โมงจะไปรู้เหรอวะ เห็นโทรมาสักชั่วโมงได้แล้ว แต่แกไม่เจอใช่ไหมล่ะ ก็คงจะไปไม่ทันโรงเรียนเลิก” เก่งมองด้วยความสงสัย “เอ็งหน้าซีดทำไมวะ”
“เปล่าหรอกพี่” ตะวันฉายพูดกับหมอก “ไปครับคุณหมอกเข้าบ้านกันเถอะครับ เดี๋ยวพี่เอากระเป๋าไปเก็บก่อน แล้วจะกลับมาพาคุณหมอกอาบน้ำนะครับ”
ตะวันฉายจะพาหมอกเดินเข้าบ้าน แต่หมอกวิ่งกลับมาจี้เก่งอีกก่อนวิ่งเข้าไปกับตะวันฉาย เก่งหยิบสายยางรถน้ำต้นไม้ต่อ สักพักรถของเมฆก็แล่นมาถึงหน้าบ้าน เก่งรีบไปเปิดประตูให้รถของเมฆแล่นเข้ามาจอด เมฆลงจากรถ
“คุณเมฆไปรับคุณหมอกไม่ทันเหรอครับ” เก่งถาม
“ทัน” เมฆตอบ
พูดจบเมฆก็เดินเข้าบ้านไป เก่งมองตามแล้วเกาหัวด้วยความงง
“ทันแล้วทำไมไม่มาด้วยกันวะ”
หมอกนอนเล่นของเล่นอยู่บนเตียงในห้องนั่งเล่น ตะวันฉายเดินเข้ามาหา
“คุณหมอกไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ตะวันฉายบอก
“ไม่เอาไม่อาบ หมอกจะเล่นหุ่นยนต์”
“คุณหมอกจะเล่นก็ได้นะครับ แต่หลังจากที่อาบน้ำ ทานข้าวและทำการบ้านแล้ว”
ตะวันฉายหยิบหุ่นยนต์ไปตั้งบนชั้นวางที่มุมห้องแล้วหันกลับมาพูด
“งั้นหมอกจะดูทีวี”
หมอกลุกขึ้นแล้วนั่งนิ่งมองไปที่รีบโมท ตะวันฉายมองตาม ทั้งสองยังนิ่งเพื่อรักษาเชิง พอหมอกพุ่งตัวไป ตะวันฉายก็ชิงไปหยิบมาก่อน หมอกร้องไห้จ้าทันที
“หมอกจะดูทีวี พี่ซันหมอกจะดูทีวี”
เมฆเดินเข้าห้องมา หมอกมองเห็นเมฆก็ร้องดังขึ้นอีกแล้ววิ่งไปหาเมฆ
“พ่อครับ พี่ซันแกล้งหมอก”
“ผมอยากจะให้คุณหมอกอาบน้ำ ทานข้าวเย็นและทำการบ้านก่อนครับ” ตะวันฉายบอก
“พี่ซันเขาก็ทำตามที่พ่อสั่งไงครับ หมอกต้องไม่ดื้อกับพี่ซันนะครับ ถ้าหมอกทำตัวไม่น่ารัก อีกหน่อยจะไม่มีใครมาดูแลหมอกนะครับ” เมฆพูดกับหมอก
หมอกนิ่งเงียบ เมฆดึงหมอกเข้ามากอด
“วันนี้พ่อพาหมอกไปอาบน้ำนะครับ” หมอกอ้อน
“ได้เลยครับคนเก่ง” เมฆพูดกับตะวันฉาย “นายไปเตรียมน้ำให้หน่อยนะ”
“ครับ”
เมฆจูงหมอกแล้วเดินออกไป ตะวันฉายเดินตามไป
ตะวันฉายผสมน้ำในอ่างอาบน้ำจนเสร็จ เมฆพาหมอกที่นุ่งผ้าเช็ดตัวเดินเข้ามาในห้องน้ำ เมฆจับมือหมอกจุ่มน้ำในอ่าง
“เป็นไง อุ่นพอดีไหมครับ” เมฆถาม หมอกพยักหน้ารับ “งั้นเราก็เริ่มอาบกันเลย”
เมฆปลดผ้าเช็ดตัวหมอกออกแล้วอุ้มลงอ่าง ตะวันฉายจะเดินไปแต่เมฆเรียกไว้
“จะไปไหนล่ะ ช่วยกันก่อนสิ”
ตะวันฉายหยุดยืนดูเพราะไม่รู้จะทำอะไร เมฆเริ่มอาบน้ำหมอก หมอกแกล้งวักน้ำใส่เมฆ
“โห...เล่นแบบนี้แกล้งพ่อเหรอ งานนี้ต้องเอาคืน เจอหมัดพลังน้ำหน่อยเป็นไง”
พูดจบเมฆก็ทำท่ายอดมนุษย์ก่อนวักน้ำคืนหมอก หมอกหัวเราะสนุกแล้วสองพ่อลูกก็สาดน้ำใส่กัน ตะวันฉายเห็นสองพ่อลูกเล่นกันก็ส่ายหน้าอมยิ้ม หมอกยิ่งสนุกวักน้ำสาดใส่ตะวันฉายด้วย
“คุณหมอก อย่าครับพี่เปียกหมดแล้ว” ตะวันฉายบอก
“งั้นก็มาเล่นด้วยกันสิ” หมอกชวน
เมฆถอดเสื้อออกจนเหลือแต่เสื้อกล้าม ตะวันฉายตกใจรีบหันหน้าหนี
“เป็นอะไร” เมฆถาม
“เอ่อ...ป..เปล่าครับ”
“ดี...ถอดเสื้อแขวนเลย”
“ห๊า !!” ตะวันฉายตกใจ
“ทำไมล่ะ ผู้ชายถอดเสื้อแปลกตรงไหน ถอดทั้งแว่นทั้งเสื้อด้วยนะ”
“พี่ซันมาเล่นด้วยกันเร็ว” หมอกชวน
หมอกวักน้ำใส่ตะวันฉายอย่างไม่ยั้ง เมฆช่วยอีกแรง ตะวันฉายเริ่มอายเพราะเสื้อเปียกจึงรีบหันหลัง
ตะวันฉายตวาด “หยุด!!”
สองพ่อลูกชะงัก
ตะวันฉายดุ “ผมจะไปทำกับข้าวให้คุณหมอก...” ตะวันฉายนึกได้ “..ครับ”
ตะวันฉายรีบหันหลังเดินเลี่ยงๆออกไป เมฆกับหมอกมองตามอย่างงงๆแล้วก็เล่นสาดน้ำกันต่อ
ตะวันฉายเดินหน้าตื่นเข้ามาในห้อง
“ไอ้ลามก...จู่ๆจะมาให้ฉันถอดเสื้อเหรอ บ้าจริงๆ”
ตะวันฉายเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมแล้วเดินไปหน้ากระจกพอเห็นหน้าตัวเองแล้วก็นึกได้
“แต่นายนั่นไม่รู้ว่าเราเป็นผู้หญิงนี่หรือว่านายนั่นจะเป็นผู้ชายเจี้ยวจ้าว”
ตะวันฉายนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ตะวันฉายถามเมฆ “ชั้นบนนี่มีแค่คุณเมฆกับคุณหมอกสองคนเองเหรอครับ”
“ใช่” เมฆตอบ
“มีห้องตั้งเยอะทำไมอยู่กันสองคนละครับ”
“ก็มันมีสองคนก็อยู่กันสองคนน่ะสิ”
“แล้วแม่คุณหมอกล่ะครับ”
เมฆจ้องหน้าตะวันฉายจนตะวันฉายต้องหลบตา แล้วเมฆก็เดินลงไป ตะวันฉายเดินตาม
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ตะวันฉายก็พยักหน้าเพราะหายสงสัย
“มิน่าเวลาถามถึงแม่น้องหมอกต้องหงุดหงิดใส่เรา ที่แท้หล่อนแอ๊บนี่เอง”
ตะวันฉายยิ่งคิดยิ่งรู้สึกขนลุกและขยะแขยง
ตะวันฉายเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเป้ออกมาก่อนจะหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาดูอย่างเซ็งๆ
“ดูสิ เสียเสื้อผ้าไปอีกชุดเลย”
ตะวันฉายที่เปลี่ยนเสื้อใหม่แล้วทำอาหารเสร็จแล้วก็ตักอาหารมาจัดใส่ถาด แล้วไจึงปตักข้าวใส่จาน เมฆเดินเข้ามาดูตะวันฉายในครัว
“วันนี้ไปรับนายหมอกเป็นไงบ้าง ไปลำบากไหม” เมฆถาม
“ไม่ครับ”
“ถือเป้ใบใหญ่ขนาดนั้นยังไม่ลำบากอีกเหรอ”
ตะวันฉายชะงัก “คุณเมฆอยู่ที่โรงเรียนเหรอครับ”
เมฆพยักหน้ารับรู้ “ยังเห็นนายนั่งอ่านแม็กกาซีนผู้หญิงเลย”
ตะวันฉายอึ้งและมือไม้อ่อนจนแทบประคองจานไม่ไหว แต่เธอก็พยายามถือจานข้าวด้วยมือไม้สั่นมาวางบนถาด
“ที่ฉันแอบดูนาย เพราะฉันก็แค่อยากจะรู้ให้แน่ว่านายเป็นใคร แล้วตอนนี้ฉันก็รู้แล้ว”
ตะวันฉายตกใจ “คุณรู้?...”
เมฆยิ้ม “ที่แท้...นายก็คือ.....”
เมฆจ้องหน้าตะวันฉายแล้วเดินเข้ามาใกล้ ตะวันฉายถอยหนี
“ผ..ผะ...ผมคือใคร”
เมฆกระซิบ “ตุ๊ด”
ตะวันฉายชะงัก “อะไรนะ”
“ไม่ต้องตกใจหรอก นายจะเป็นอะไรฉันไม่ว่า ขอให้เป็นคนดีก็แล้วกัน”
เมฆดึงตะวันฉายมากอดไหล่บีบแน่นแล้วยิ้มให้
“จำไว้นะ เป็นอะไรก็เป็นแต่ต้องเป็นคนดี” เมฆกำชับ
เมฆเดินออกไป ตะวันฉายมองตาม
“นี่เราหล่อกระชากใจเกย์เหรอเนี่ย...ขนลุก!” ตะวันฉายทำท่าสยอง
หมอกเล่นกีตาร์ตัวเล็กๆ และร้องเพลงไปด้วย โดยมีเมฆปรบมือให้จังหวะ ตะวันฉายจัดโต๊ะอาหารของหมอกเสร็จเรียบร้อยแล้วยืนรอ หมอกเล่นกีตาร์จบเมฆก็ยกนิ้วให้
“สุดยอดเลยครับ” เมฆมองไปที่โต๊ะอาหาร “พี่ซันจัดโต๊ะเสร็จแล้ว เดี๋ยวหมอกทานข้าวกับพี่ซันนะครับ พ่อจะไปทำงานแป๊บนึงนะครับ”
หมอกเศร้า “พ่อไม่ไปทำงานไม่ได้เหรอครับ หมอกอยากอยู่กับพ่อเยอะๆ”
หมอกอ้อนเมฆตาละห้อย เมฆยิ้มแล้วกอดหมอก
“ถ้าหมอกขอร้องแบบนี้ พ่อก็มีข่าวดีจะบอก จากวันพรุ่งนี้ไปพ่อจะไปทำงานแค่ตอนเย็นแล้วเวลาที่เหลือก็จะอยู่บ้านทั้งวันเลยดีไหม”
หมอกดีใจ “ดีครับ เย้ๆๆ พ่อจะอยู่บ้านกับหมอก”
ตะวันฉายตกใจ “คุณเมฆไม่ทำงานเหรอครับ”
“ใช่ ฉันทุ่มเทให้กับงานจนห่างลูกมาหลายปีแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะทำงานที่ผับรวมไปกลับไม่เกินสี่ชั่วโมง นอกจากนั้นก็จะอยู่บ้านวันละยี่สิบชั่วโมงกับลูก” เมฆยิ้มกับซัน “นายว่าดีไหม?”
ตะวันฉายแทบฝืนยิ้มไม่ออก เธอยืนมองดูเมฆหันกลับไปกอดกับหมอกอย่างมีความสุข
เอวาขับรถอยู่ โดยมีนิคนั่งอยู่ข้างๆ เเอวาปิดบูลธูทออกลำโพงในรถทำให้เสียงตะวันฉายที่โทรศัพท์มาคุยดังลั่นจนเอวากับนิคแสบแก้วหู
“ไม่ดี ไม่ดีแน่ๆ แบบนี้ฉันจะทำไง ถ้านายนั่นอยู่บ้านทั้งวัน อย่าว่าแต่ทำกุญแจผีมาไขตู้ได้เลย ต่อให้เปิดทิ้งไว้ฉันก็ค้นอะไรไม่ได้” ตะวันฉายโวยวาย
“เฮ้ย...แกช่วยหยุดโวยวาย แล้วค่อยๆคิดกันดีกว่าไหม” นิคบอก
“งั้นพวกแกก็คิดเร็วๆสิ ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”
“หรือว่าพี่เมฆจะไหวตัวทันวะว่าแกปลอมตัวเข้าบ้านเขา” เอวาคิด
ตะวันฉายยืนคุยมือถือที่สนาม ด้านหลังของเธอเป็นห้องนั่งเล่นที่หมอกกับเก่งนั่งดูการ์ตูนอยู่ด้วยกัน
“เป็นไปไม่ได้ วันนี้นายนั่นยังชวนฉันอาบน้ำเลย” ตะวันฉายบอก
นิคกับเอวาร้องออกมาพร้อมกัน “ห๊า...ชวนอาบน้ำ”
“เอ่อ...ฉันหมายถึงอาบน้ำให้น้องหมอกอ่ะ แต่นายนั่นดันถอดเสื้อแล้วยังมาชวนฉันถอดเสื้อด้วย”
นิคกับเอวาร้องออกมาพร้อมกัน “ห๊า...ชวนถอดเสื้อ”
“ใช่ แถมยังบอกด้วยนะว่าผู้ชายด้วยกันอายทำไม ถ้าชวนฉันแบบนี้รับรองไม่รู้ชัวร์ว่าฉันเป็นผู้หญิง แต่ฉันน่ะชัวร์ว่าในนั่นเป็นเกย์ ดีไม่ดีปิ๊งฉันก็ไม่รู้”
นิคกับเอวาพูดพร้อมกัน “ห๊า...พี่เมฆเป็นเกย์”
“โอ๊ย...พวกแกไม่ต้องหาแล้ว ฉันหาให้แล้วไง มาช่วยฉันคิดดีกว่าว่าทำไงฉันจะได้เรื่องของพี่ธีร์”
“ฉันว่าตอนนี้เรายังทำอะไรไม่ได้ แกคงต้องอยู่ที่นั่นไปเรื่อยๆก่อน” เอวาบอก
“ห๊า....อยู่ไปเรื่อยๆ” ตะวันฉายร้องออกมาบ้าง
“แกก็ไม่ต้องหาเหมือนกัน ฉันว่าเอวามันพูดถูกนะ ถ้าแกไม่อยู่ที่นั่นแล้วเราจะไปหาสืบเรื่องพี่ธีร์จากทีไหน” นิคถามกลับ
ตะวันฉายเสียงอ่อย “พวกแกไม่มีแผนที่ดีกว่านี้เหรอ”
“เอ่อ...ขอโทษนะซัน แผนปลอมตัวนี่มันเริ่มจากแกนะ”
ตะวันฉายหันไปมองในห้องนั่งเล่นที่หมอกกับเก่งนั่งดูทีวีอยู่
“เฮ้อ...แล้วนี่ถ้าเกิดศูนย์หาคนได้ก่อนจะสืบรู้เรื่องจะทำไงดีวะ” ตะวันฉายกังวล
“ก็อยู่ที่แกแล้วว่าจะทำงานได้เร็วแค่ไหน” เอวาบอก
ตะวันฉายกดปิดเครื่องแล้วเอาใส่กระเป๋ากางเกง
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 4 (ต่อ)
หัวค่ำ หมอกนอนกระสับกระส่าย ตะวันฉายที่อ่านหนังสือนิทานให้เขาฟังอยู่จึงต้องหยุด
“นอนไม่หลับเหรอครับ”
หมอกงอแง “หมอกจะหาพ่อ”
“เอางี้ไหม คุณหมอกนอนก่อนแล้วพรุ่งนี้เราตื่นแต่เช้าไปปลุกคุณพ่อกัน”
“ไม่เอา หมอกจะหาพ่อ” หมอกร้องไห้
ตะวันฉายตกใจ “คุณเมฆ ร้องไห้ทำไม ไม่เอานะครับ คนเก่งต้องไม่ร้องไห้นะ”
“หมอกจะหาพ่อ หมอกหนาว” หมอกร้องไห้ดังขึ้น แล้วจู่ๆก็อาเจียนออกมา
ตะวันฉายตกใจรีบจับตัวหมอก
“ตายแล้ว ทำไมตัวร้อนอย่างนี้ล่ะ คุณหมอกไปหาหมอกันนะครับ”
“ไม่เอา หมอกจะหาพ่อ หมอกจะหาพ่อ”
ตะวันฉายไม่รู้จะทำไงรีบวิ่งเปิดประตูออกไปตะโกนเรียกเก่ง
ตะวันฉายตะโกน “พี่เก่ง...พี่เก่ง มาช่วยกันพาคุณหมอกไปหาหมอเร็ว”
ตะวันฉายรีบวิ่งกลับมาก็เห็นหมอกนอนตัวสั่นเหงื่อแตกร้องไห้อยู่บนเตียง เก่งเปิดประตูเข้ามา
“พี่เก่ง...รู้จักโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแถวนี้ไหม”
“รู้...ไปพี่พาไปเอง”
ตะวันฉายกับเก่งช่วยกันอุ้มหมอกแล้ววิ่งออกไป
รถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลมารับตัวหมอกขึ้นรถเข็นไป ตะวันฉายกับเก่งรีบวิ่งตามไปจนถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ตะวันฉายดึงเก่งไว้
“พี่เก่งช่วยไปโทรบอกคุณเมฆได้ไหม เดี๋ยวผมเข้าไปดูคุณหมอกเอง” ตะวันฉายบอก
“เอ่อ...พี่จำเบอร์คุณเมฆไม่ได้ว่ะ” เก่งว่า
“โอ๊ย...ตายล่ะ ทำไงดีล่ะ”
“พี่นั่งแท็กซี่ไปที่ผับไหม พี่เคยไปครั้งหนึ่งพอจำทางได้” เก่งอาสา
“อย่าดีกว่าผมจัดการเอง”
ตะวันฉายหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก เธอได้ยินเป็นเสียงสัญญาณบริการฝากข้อความ ตะวันฉายตัดสินใจกดวางสายแล้วเปลี่ยนเป็นพิมพ์ข้อความ
เมฆ นิค และเอวาเล่นดนตรีบนเวทีของผับจบพอดี แล้วทั้งหมดก็เดินลงจากเวทีไป เมฆ นิค เอวาเดินเข้ามาแล้วเก็บของในห้องพัก
“พี่เมฆจะกลับเลยหรือเปล่าครับ” นิคถาม
“ทำไมเหรอ” เมฆถามกลับ
“แหม...ก็พรุ่งนี้พี่ไม่ต้องไปทำงานแล้ว วันนี้ไปกินซีฟู้ดทีเยาวราชกันสักมื้อดีไหมครับ” นิคชวน
เมฆดูเวลา “ป่านนี้นายหมอกคงนอนแล้ว ไปก็ได้ เดี๋ยวน้องๆจะว่าเอาว่าชวนหลายครั้งไม่ค่อยไปเลย”
“สุดยอดครับพี่ ไปแล้วเป็นเจ้ามือด้วยนะครับ”
“เฮ้ย...เจ้าเล่ห์นี่หว่า ไปกันเถอะพี่หิวแล้ว”
ระหว่างนั้นเอวาเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดข้อความดู
“เอ่อ...เดี๋ยวค่ะพี่เมฆ”
“มีอะไรเหรอ” เมฆถาม
“ซันบอกว่าหมอกเข้าโรงพยาบาลค่ะ”
เมฆตกใจ แล้วเขาก็รีบวิ่งออกไปทันที นิคกับเอวามองหน้ากันแล้วรีบวิ่งตามไป
หมอกนอนร้องไห้ลั่นพร้อมกับดิ้นอย่างแรงจนหมอกับพยาบาลก็เอาไม่อยู่
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ร้องนะครับ น้องหมอกคนเก่งนะ หมอขอเจาะเลือดนิดเดียวจะได้รู้ไงครับว่าน้องหมอกเป็นอะไร”
หมอจะเจาะเข็ม พยาบาลจับหมอกไว้ แต่หมอกดิ้นหลุดพร้อมกับปัดเข็มตกพื้น พยาบาลจับไม่อยู่
“ไม่เอาไม่ฉีดหมอกกลัว พ่อค๊าบพ่ออยู่ไหน”
ตะวันฉายกับเก่งยืนลุ้นอยู่ไม่ไกล ตะวันฉายรีบเดินเข้าไปหาหมอก
“พี่ซันโทรบอกคุณพ่อแล้วนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อก็มาแล้วนะครับ แต่คุณหมอกต้องให้หมอรักษานะครับ เดี๋ยวคุณพ่อมาเราจะได้กลับบ้านกัน”
“ไม่เอาหมอกจะหาพ่อ พ่ออยู่ไหน หมอกจะหาพ่อ พ่อ...พ่อ” หมอกร้องไห้ลั่น
เมฆ เอวา และนิครีบเปิดประตูวิ่งเข้ามา เมฆรีบวิ่งไปหา หมอกกางแขนแล้วร้องหาเมฆทันที
“หมอก”
“พ่อค๊าบบบบ หมอกหนาวคับพ่อ”
เมฆกอดหมอกแน่น “พ่ออยู่นี่แล้วนะครับคนเก่ง”
เมฆรู้สึกว่าหมอกเงียบจึงจับตัวหมอกดูทำให้รู้ว่าหมอกสลบไปแล้ว
เมฆตกใจ “หมอกก”
เมฆอุ้มหมอกที่สลบด้วยความตกใจ หมอกับพยาบาลรีบเข้ามาดู
“หมอครับ หมอกเป็นอะไรครับ” เมฆถาม
“เดี๋ยวขอเชิญญาติข้างนอกก่อนนะครับ”
“ผมขออยู่กับลูกนะครับ...นะครับคุณหมอ” เมฆอ้อนวอน
“งั้นท่านอื่นผมขอเชิญด้านนอกนะครับ” หมอบอก
พยาบาลเข้ามาอุ้มหมอก ตะวันฉาย เอวา นิค และเก่งเดินออกไปข้างนอก ก่อนออกจากห้องตะวันฉายหันกลับไปมองในห้องด้วยความเป็นห่วง นิคกับเอวากระตุกแขนให้เธอออกไปด้วย
“รอข้างนอกเถอะ หมอจะได้ทำงานสะดวก” เอวาบอก
หมอทำการปฐมพยาบาลหมอก โดยมีเมฆยืนเฝ้าใกล้ชิดอยู่ที่เตียง พยาบาลปิดประตู ตะวันฉาย นิค เอวา และเก่งยืนเศร้าอยู่หน้าประตู
ยุทธการนั่งกดโทรศัพท์ต่อสายแต่เป็นสัญญาณฝากข้อความ ยุทธการกดวางแล้วต่อใหม่แต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยุทธการโยนโทรศัพท์ทิ้งด้วยความเซ็งแล้วล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผากคิดหนัก สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นยุทธการดีใจรีบไปคว้าโทรศัพท์มาดูหน้าจอแต่ก็ต้องผิดหวัง
ยุทธการกดรับสาย “สวัสดีครับอาเกริก”
เกริกไกรคุยโทรศัพท์โดยมีสายรุ้งยืนอยู่ด้วย
“อาขอโทษที่ต้องโทรมารบกวนดึกๆนะ” เกริกไกรบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่นอน”
“ยุทธได้เจอกับซันบ้างไหม อากับอารุ้งซันโทรหามาสองวันแล้ว ตามตัวไม่ได้เลย ไม่รู้หายไปไหน โทรไปคอนโดก็ไม่รับสาย”
“เอ่อ...คือ...ผม”
“ไม่ต้องอายหรอก จะไปเที่ยวพบปะกันอาไม่ว่าหรอก แต่มันเล่นหายไปแบบนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่มันห่วง”
“ครับผมเข้าใจครับ”
“แล้วตกลงได้เจอซันหรือเปล่า”
“ครับ...ก็เจอครับ”
เกริกไกรเริ่มอารมณ์ดีขึ้น “นั่นไง อาว่าแล้ว นี่บอกยัยซันจอมแก่นด้วยนะว่าให้โทรกลับพ่อกับแม่บ้าง ทางบ้านให้อภัยหมดแล้ว” เกริกไกรหัวเราะลั่น
“ครับ ผมจะบอกให้ครับ”
“เอาละๆ อารู้ว่ายุทธดูแลน้องอยู่ก็สบายใจ งั้นอาไม่กวนแล้วนะ”
เกริกไกรวางสายไป ยุทธการยิ่งครุ่นคิดหนักด้วยความสงสัย
“นี่ซันกำลังทำอะไรอยู่”
เกริกไกรกับสายรุ้งนั่งคุยกันอยู่ที่ริมหาดพร้อมกับดูพระจันทร์ไปด้วย
“ยุทธเขาบอกว่าได้เจอกับซัน เดี๋ยวเขาจะบอกให้ซันมันโทรกลับเรา” เกริกไกรเล่า
สายรุ้งงอน “ดีนะ ลูกเราแท้ๆ แต่จะคุยกันก็ต้องไปให้คนอื่นบอกให้”
“คนอื่นที่ไหน ท่าทางจะเป็นอนาคตลูกเขยเราแน่ๆ”
สายรุ้งถอนใจ “นี่ถ้ายัยซันแต่งงานกับตายุทธไป สงสัยคงติดแฟนจนลืมพ่อแม่ก็ไม่รู้”
เกริกไกรหัวเราะ “นี่ซ้อมน้อยใจลูกแล้วเหรอเนี่ย”
“ก็แม่กลัวนี่คะพ่อ หรือพ่อไม่กลัวว่าอีกหน่อยลูกจะทิ้งเรา”
“กลัวสิ...แต่กลัวลูกไม่มีความสุขมากกว่า ถ้าเขามีความสุขพ่อยอมกลัว”
“ถูกของพ่อเน๊อะ อะไรจะทำให้พ่อกับแม่มีความสุขได้เท่ากับเห็นลูกมีความสุข”
เกริกไกรกับสายรุ้งนั่งซบกัพร้อมกับมองไปที่ทะเลที่มีเงาของพระจันทร์สะท้อนอยู่
ตะวันฉาย นิค และเอวาเดินมาที่ตู้น้ำ นิคกดกาแฟ
“มีใครเอาอะไรไหม” นิคหันไปถาม
สองสาวส่ายหน้าพร้อมกัน ตะวันฉายนั่งลงที่ม้านั่งข้างๆ ตู้ด้วยความเซ็ง เอวานั่งจับมือปลอบใจ
“เพราะฉันไม่เคยใส่ใจที่จะดูแลน้องหมอกอย่างจริงจัง น้องหมอกถึงป่วย” ตะวันฉายบอก
“ตอนนี้หมอกอยู่ในมือหมอแล้วยังไงก็ต้องดีขึ้น” เอวาให้กำลังใจ
“ฉันเห็นแก่ตัวมาก ฉันไม่ควรมาเป็นพี่เลี้ยงน้องเขาแต่แรก”
“นี่แกจะลาออกเหรอ” นิคถาม
“ถ้าเป็นแก ทำลูกเขาป่วย จะกล้าอยู่ต่อไหมอ่ะ”
นิคกับเอวานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มเป็นกำลังใจให้กับตะวันฉาย
“ก็ดีนะ ให้มืออาชีพเขามาเลี้ยงเถอะ แล้วเราค่อยหาวิธีสืบทางอื่นเอา” เอวาบอก
เสียงเก่งดังขึ้น “ซัน คุณเอวา คุณนิคครับ”
ทั้งสามหันไปมองก็เก่งวิ่งกระหืดกระหอบมา
“คุณหมอกออกจากห้องฉุกเฉินแล้ว ตอนนี้ขึ้นห้องไปแล้วครับ”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วยิ้มดีใจ ตะวันฉายยิ้มมีความสุข
“คุณหมอกอยู่ห้องไหน” ตะวันฉายถาม
เก่งนึก “ห้อง...เลขที่....เออ...ลืมถามครับ”
นิคโยนแก้วกาแฟทิ้งแล้วอุ้มเก่งขึ้นเอวทันที
“ไปถามที่พยาบาลแล้วกัน”
ทุกคนวิ่งตามกันไป
เมฆยืนอยู่ข้างเตียงที่หมอกหลับอยู่ หมอกับพยาบาลยืนอยู่ใกล้ๆ พยาบาลใส่สายน้ำเกลือเสร็จ ตะวันฉาย เอวา และนิคที่อุ้มเก่ง ก็วิ่งพรวดพราดเข้าห้องมาพอดี พอเข้าห้องได้ทุกคนก็สงบแล้วเดินไปยืนข้างเมฆ
“ตอนนี้ผมคิดว่าที่น้องหมอกแกสลบอาจเป็นเพราะพิษไข้ที่สูง ร่างกายอ่อนแอ แล้วแกร้องไห้มากจนหายใจไม่ทันเลยหมดแรงไป” หมออธิบาย
“แล้วตกลงหมอกเป็นอะไรครับ” เมฆถาม
“ตอนนี้ผมให้ยาลดไข้แล้ว แต่ก็กลัวว่าแกจะเป็นไข้เลือดออก ยังไงคงต้องรอผลเลือดพรุ่งนี้เช้าครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
หมอกับพยาบาลเดินออกไป
“ขอบใจมากนะซัน เก่ง ที่พาหมอกมาโรงพยาบาล เดี๋ยวเราสองคนกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ นิค เอวาพี่ฝากส่งซันกับเก่งด้วยนะ” เมฆบอก
“ให้ผมอยู่เฝ้าคุณหมอกเถอะนะครับ มันเป็นหน้าที่ผม” ตะวันฉายรีบพูด
“ไม่เป็นไร นายไปพักผ่อนเถอะ”
ตะวันฉายมองหมอกเพราะไม่อยากกลับบ้านจนเอวาต้องสะกิดให้เดินออกไป
“ไป...กลับกันเถอะ” เอวาบอกตะวันฉาย
รถของเอวาแล่นมาจอดที่หน้าบ้านเมฆ ตะวันฉายกับเก่งลงมาจากประตูด้านหลัง
“ขอบคุณมากนะครับคุณนิคคุณเอวา” เก่งพูด
เก่งยิ้มแล้วเดินเข้าบ้านไป ตะวันฉายรอเก่งเข้าบ้านแล้วก็มาเกาะประตูข้างที่นิคนั่ง
“ตกลงแกจะลาออกวันพรุ่งนี้หรือเปล่า” นิคถาม
ตะวันฉายพยักหน้ารับ
“งั้นพรุ่งนี้จะให้มารับกี่โมงก็บอกแล้วกัน”
ตะวันฉายโบกมือลาเพื่อนแล้วเอวาก็ขับรถออกไป ตะวันฉายเดินเข้าบ้านแล้วปิดประตู พอเข้ามาในบ้านเธอก็หยุดยืนมองนิ่งแล้วถอนใจด้วยความเครียด
นาฬิกาในห้องพักผู้ป่วยบอกว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า หมอกนอนหลับโดยมีสายน้ำเกลือติดที่แขน มืออีกข้างจับมือเมฆที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ เตียง พยาบาล 2 คนเปิดประตูเข้ามา เมฆรู้สึกตัวตื่นขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ขอวัดไข้น้องหน่อยนะคะ” พยาบาลคนหนึ่งบอก
พยาบาลเดินไปวัดไข้วัดความดันสักพักก็ยิ้มให้เมฆ
“ไข้ลดลงแล้วนะคะ”
เมฆยิ้มดีใจ “แล้วเรื่องไข้เลือดออกล่ะครับ”
“ผลเลือดคงออกเช้านี้เลยค่ะ เพราะเมื่อคืนคุณหมอก็โทรมากำชับที่แล็ปว่าขอผลด่วน ถ้าไงคุณหมอมาแล้วคงจะรีบแจ้งคุณพ่อนะคะ” พยาบาลบอก
เมฆยิ้มดีใจ หมอกขยับตัวตื่น เมฆกับพยาบาลยิ้มต้อนรับ
“พ่อครับ”
“ตื่นแล้วเหรอครับ เป็นไงบ้าง” เมฆถาม
“หมอกไม่หนาวแล้ว”
“แบบนี้แสดงว่าเดี๋ยวก็หายแล้วนะครับคนเก่ง งั้นพี่ๆขอเช็ดตัวน้องหมอกหน่อยนะคะ” พยาบาลบอก
“ได้ครับ”
พยาบาลจัดแจงปิดม่าน เมฆเดินออกไปนอกห้อง
เมฆเปิดประตูออกมาแล้วจะเดินไปแต่ก็เห็นคนนั่งฟุบหน้าอยู่กับเข่าที่หน้าห้อง เมฆมองด้วยความสงสัยแล้วก็เดินวนดู เมฆลงนั่งยองๆพยายามจะดูว่าใช่ตะวันฉายหรือเปล่าแต่ก็เห็นไม่ชัดจึงก้มลงเข้าไปใกล้อีก ตะวันฉายรู้สึกเมื่อยจึงเงยหน้าขึ้นมาบิดขี้เกียจพอเห็นหน้าเมฆจ้องอยู่ใกล้ๆ ก็ตกใจ
“เห็นว่านายฟุบอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่าก็เลยจะดูให้ชัดๆ” เมฆอธิบาย
“คุณหมอกเป็นไงบ้างครับ เห็นพยาบาลที่เข้าไปวัดไข้เมื่อตอนตีสามบอกไข้ลดลงมากแล้ว”
“ นี่เมื่อคืนนายกลับมาที่นี่อีกเหรอ”
“อยู่บ้านผมก็นอนไม่หลับ เลยมานั่งรอผลที่นี่ดีกว่าครับ”
เมฆมองตะวันฉายด้วยความแปลกใจ
เมฆถือกาแฟกับแซนวิชมายื่นให้เมฆที่ยืนรอหน้าร้านสะดวกซื้อชุดหนึ่ง แล้วทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน
“ทำไมถึงกลับมาที่นี่” เมฆถาม
“คือผมรู้สึกผิดกับคุณหมอก ถ้าผมดูแลแกดี แกอาจจะไม่ป่วยก็ได้”
“ไม่หรอก บางทีอาจจะเป็นเพราะเล่นน้ำกับฉันก็ได้”
“แต่ถ้าคุณหมอกมีพี่เลี้ยงที่เป็นมืออาชีพก็คงจะดีกว่านี้ คุณเมฆครับ คือผมคิดว่า....ผมจะขอลาออก”
เมฆงง “ตอนนี้น่ะเหรอ?”
“ครับ”
เมฆนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“ถ้านายอยากออกฉันก็ไม่ว่า แต่ช่วยอยู่จนฉันได้พี่เลี้ยงคนใหม่ก่อนได้ไหม”
ตะวันฉายนิ่งคิด
“ก็คงไม่กี่วันหรอก เห็นเลขาฉันบอกว่าน่าจะได้เร็วๆนี้” เมฆบอก
“ครับ”
เมฆยิ้มให้ตะวันฉาย ตะวันฉายเดินแกะแซนวิชกิน
เอวากำลังนอนสบายอยู่ในคอนโดแล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เอวาตื่นด้วยความหงุดหงิดทันที
“โอ๊ย...ใครบังอาจปลุกฉันก่อนเที่ยงเนี่ย”
เอวาค่อยๆตะกายไปคว้าโทรศัพท์มารับ พอเพ่งมองหน้าจอเธอก็ต้องขยี้ตาแล้วเด้งตัวนั่งทันที
เอวารีบปรับเสียง “สวัสดีค่ะพี่ยุทธ...อ๋อ...ตื่นแล้วค่ะ เอวาตื่นเช้า” เอวาฟังแล้วตกใจ “อะไรนะคะ ตอนนี้เลยเหรอ....ได้ค่ะได้ เจอกันที่ร้านอาหารข้างล่างนะคะ”
เอวากดวางสายแล้วแอบอมยิ้มก่อนจะรีบพุ่งลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำไป
ยุทธการกับเอวานั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟใต้คอนโดของเอวา
“เอวา บอกพี่มาตรงๆเถอะว่าซันกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อเช้าพี่ไปที่คอนโดฯ รีเซพชั่นบอกพี่ว่าซันไม่ได้กลับมาหลายวันแล้ว” ยุทธการบอก
“เอ่อ...คือ...ซันเขามีธุระน่ะค่ะ” เอวาอึกอัก
“ธุระที่แม้แต่พ่อกับแม่เขาก็รู้ไม่ได้งั้นเหรอ”
เอวาตกใจ “นี่พี่ยุทธคุยกับพ่อแม่ซันเหรอคะ”
“เปล่าแต่อาเกริกโทรหาพี่ เพราะเขาก็ติดต่อซันไม่ได้เหมือนกัน”
“แล้วพี่ยุทธบอกอะไรบ้างคะ”
“พี่ก็บอกไปว่าพี่เจอซัน อาเกริกกับอารุ้งจะได้ไม่ต้องห่วง”
“ขอบคุณพี่ยุทธมากนะคะ”
“แล้วตกลงจะบอกพี่ได้หรือยังว่าซันอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เพราะพี่คงช่วยปิดผู้ใหญ่แบบนี้ได้อีกไม่นาน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พี่ยุทธคงได้เจอซันเร็วๆนี้ค่ะ”
ยุทธการดีใจ “จริงเหรอ”
“พี่ยุทธดูเป็นห่วงซันเขามากเลยนะคะ”
ยุทธการยิ้ม “ก็ซันเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่พี่รัก ถ้าพี่ไม่ห่วงเขาแล้วจะให้ไปห่วงใครล่ะ”
เอวายิ้มเศร้า “นั่นสิคะ”
เอวาหน้าเจื่อนและไม่กล้าสู้ตายุทธการ
นิคเดินถือโน้ตเพลงใหม่เดินเข้าล้อบบี้คอนโดของเอวาพร้อมๆกับต่อโทรศัพท์ก่อนจะตัดสายแล้วกดโทรใหม่ แล้วก็ตัดสายก่อนจะเดินไปที่เคาเตอร์
นิคพูดกับพนักงาน “ผมฝากนี่ให้คุณเอวาได้ไหมครับ”
“คุณเอวาทานอาหารอยู่ค่ะ” พนักงานบอก
“ทำไมวันนี้ตื่นเร็ว ขอบคุณครับ”
นิคจะเดินเข้าไปที่ห้องอาหารแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเอวากับยุทธการนั่งคุยกันอยู่ ทั้งสองกินอาหารเสร็จ ยุทธการขยับเก้าอี้ให้เอวาลุก แล้วเดินออกมาด้วยกัน นิครีบหลบ เอวาเดินมาส่งยุทธการขึ้นรถขับออกไป แล้วเธอจะเดินเข้าตึกแต่ก็เจอนิคยืนรออยู่
“อ้าว...นิคมาทำไมแต่เช้า” เอวาถาม
“เอาโน้ตเพลงที่แกะใหม่มาให้” นิคตอบ
“แหม...เสียดาย แกมาช้าไปนิดเดียว ฉันเพิ่งทานข้าวเช้ากับพี่ยุทธเมื่อกี้นี้เอง”
“เหรอ”
เอวาถอนใจ “พี่ยุทธเขามาปรึกษาเรื่องซันน่ะ ตอนนี้อาเกริกกับอารุ้งเริ่มตามหาตัวไอ้ซันแล้วนะ แต่ถ้าซันมันลาออกจากบ้านพี่เมฆวันนี้ ต่อไปเราก็ไม่ต้องโกหกพี่ยุทธอีกแล้ว”
“แกดีใจไหมที่พี่ยุทธจะได้เจอซัน” นิคถาม
เอวาชะงัก “แกหมายความว่าไง”
นิคเงียบ
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาเล่นเรื่องนี้อีก ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่ยุทธ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง” เอวาฉุน
“ฉันขอโทษ เดี๋ยวฉันไปก่อนนะจะกลับไปหาข้าวกินที่หน้าหอ”
“ได้งั้นฉันขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน แล้วเดี๋ยวมาเจอกัน แกไปเป็นเพื่อนฉันทำธุระที่แบงก์หน่อยนะ”
“วันนี้ฉันจะไปโรงเรียนเอง” นิคบอก
พูดจบนิคก็เดินออกไปทันที เอวามมองตามอย่างงงๆ
“เป็นอะไรของมันวะเนี่ย”
ณ หอพักเก่าๆโทรมๆของนิค นิคเปิดประตูเดินเซ็งๆ มานั่งที่ระเบียง เขานึกถึงตอนที่เอวาพูดถึงยุทธการถึงสามครั้ง นิคนั่งคิดแล้วก็ถอนใจด้วยความเครียด ระหว่างนั้นก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น นิคหยิบมาดูแล้วกดรับ
“ครับแม่”
“เออ..นี่...นุ๊กมันจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว แม่เลยว่าจะลงทุนให้มันหน่อย นิคมีให้แม่สักสามหมื่นไหม”
“อีกแล้วเหรอ คราวที่แล้วแม่ก็เอาผมไปสองหมื่นบอกจะพี่นาทจะขายเสื้อผ้า คราวนี้พี่นุ๊กอีก ผมไม่มีหรอกครับ”
“ไอ้นิค แกเรียนสูงกว่าพี่ๆ พอได้ดีแล้วจะทิ้งแม่ทิ้งพี่เหรอ”
“แม่ แต่ที่ผมได้เรียนผมก็ชิงทุนเองนะ”
“แล้วไง ได้ทุนแล้วเขาสอนให้เนรคุณพ่อแม่เหรอ” แม่นิคร้องไห้ “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ต้องกลับมาบ้านแล้วนะ แม่กับพี่ๆก็จะอยู่กันอย่างจนๆต่อไป”
นิคเดินไปหยิบสมุดบัญชีมาดู “ตอนนี้ผมเก็บได้สองหมื่นหนึ่ง เดี๋ยวผมโอนให้สองหมื่นแล้วกัน”
“เอามาให้หมดนั่นแหล่ะ”
“แล้วผมจะกินอะไรอ่ะแม่”
“ก็ไหนว่าที่ผับเขามีข้าวให้ไม่ใช่เหรอ กินเสร็จก็เก็บมาบ้านด้วยสิ โอนมาเร็วๆนะ อ้อ...แล้วไอ้ร้านเสื้อของเจ้านาทมัน แม่ว่าคงไปไม่รอด ยังไงแกดูๆให้พี่เขาหน่อยแล้วกันว่าจะเปลี่ยนมาขายอะไร”
“เปลี่ยนนี่คือผมต้องหาเงินมาลงทุนให้ใหม่ใช่ไหม” นิคถาม
แม่วางหูไปโดยไม่ฟังนิคให้จบ นิคมองโทรศัพท์แล้วมองตัวเลขสมุดบัญชี
“ฮึ...ผู้ชายมีแต่ตัวใครเขาจะมอง”
หมอยืนอ่านรายงานให้ เมฆ ตะวันฉาย และหมอกที่อยู่บนเตียงฟัง
“เป็นอันว่าไข้เลือดออกไม่มีนะครับ แต่ต้องระวังเรื่องไข้อย่าให้เขาเล่นน้ำนานๆอีกนะครับ”
“ผมผิดเองครับที่ไม่ได้ระวัง” เมฆบอก
“อย่าลืมให้เขาทานยาตามที่หมอสั่งแล้วอีกสามวันค่อยกลับมาดูอาการนะครับ” หมอพูดกับหมอก “ดีใจไหมลูกจะได้กลับบ้านแล้ว”
หมอกยิ้มสดใส “ครับ”
หมอยิ้มแล้วเดินออกไป พอหมอปิดประตูหมอกก็ลุกขึ้นยืนบนเตียง
หมอกกระโดด “เฮ้...ดีใจจะได้กลับบ้านแล้ว”
“หมอกไม่เอาลูก เดี๋ยวตกนะ”
“ก็หมอกดีใจนี่ เฮ้ๆๆ”
หมอกกระโดดแล้วลื่น เมฆกับตะวันฉายรีบเข้ามารับ เมฆกับตะวันฉายตัวชนกัน หมอกกอดคอเมฆกับตะวันฉายไว้ ตะวันฉายตาโตด้วยความตกใจพร้อมกับมองหน้าเมฆเพราะรู้ว่าหน้าอกของเธอไปโดนอกของเมฆ เมฆมองหน้าตะวันฉายด้วยสีหน้านิ่ง
ตะวันฉายเหลือบตามองลงล่างแล้วค่อยๆถอยออกมา เมฆกับตะวันฉายค่อยๆประคองให้หมอกนั่งบนเตียง
“เจ็บไหมลูก” เมฆถาม
“ไม่คับ พ่อชนพี่ซัน ไม่ได้ชนหมอก” หมอกตอบ
เมฆมองตะวันฉาย ตะวันฉายรีบหลบตา
เมฆนั่งเหม่อคิดหนักอยู่ที่หน้าแผนกการเงิน เขาแอบเอามือลูบหน้าอกตัวเองแล้วก็อึ้งๆ
“นี่ ซันมันเป็นผู้หญิงเหรอเนี่ย” เมฆตกใจ
เจ้าหน้าที่การเงินเรียกเมฆ
“ผู้ปกครองเด็กชายธีรดลเชิญการเงินค่ะ” เมฆยังเงียบ “คุณนภทีป์ ผู้ปกครองเด็กชายธีรดลเชิญการเงินค่ะ”
เมฆสะดุ้งแล้วรีบลุกไปจ่ายเงิน
เมฆจูงมือหมอกเดินมาตามทางในโรงพยาบาล ตะวันฉายเดินหน้าบูดบึ้งตามมาด้านหลัง ในมือของเธอถือถุงยาของหมอก ส่วนอีกมือจับคอเสื้อไว้แน่นและพยายามอยู่ห่างๆเมฆ พอเดินใกล้ถึงรถ เมฆก็เกิดเบรกกะทันหันแล้วหันมา ตะวันฉายตกใจรีบปิดหน้าอกทัน
เมฆทำหน้างง “เป็นอะไร”
“เอ่อ..ปะ..เปล่าครับ คุณเมฆหยุดทำไม”
“ฉันเพิ่งนึกได้ว่า เรื่องยาของหมอกนายต้องดูอย่าให้ขาดนะ”
เมฆพูดจบแล้วเดินต่อ ตะวันฉายแอบค้อน
ตะวันฉายบ่น “เบรกเพื่อจะบอกแค่นี้นะ”
เมฆกดรีโมทที่กุญแจรถ หมอกวิ่งปรู๊ดไปเปิดประตูหลังแล้วก้าวขึ้นไปนั่ง
“ทำไมคุณหมอกไม่นั่งหน้าล่ะครับ” ตะวันฉายถาม
“หมอกอยากนอน”
ตะวันฉายรีบเข้าไปนั่งด้านหลังกับหมอก เมฆเห็นก็แปลกใจจึงเดินมาที่ประตูที่ตะวันฉายกำลังจะปิดแล้วดึงเอาไว้
“งั้นนายก็ไปนั่งหน้ากับฉันสิ” เมฆบอก
“ผมไม่อยากตีเสมอเจ้านาย”
“อ้าว...แต่คราวก่อนนายก็นั่งข้างหน้ากับฉันนี่ ไปนั่งข้างหน้าไป”
ตะวันฉายพูดเสียงแข็ง “ไม่” เมฆมองหน้าเธออย่างงงๆ ตะวันฉายจึงได้สติ “คือ คือวันนี้ผมเวียนหัวน่ะครับ ขอนั่งข้างหลังนะครับ”
“มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย”
เมฆขำแล้วก็ปิดประตูก่อนจะเดินไปนั่งที่คนขับแล้วขับรถออกไป
เมฆกับหมอกนั่งคุยกันอย่างมีความสุข
“อีกไม่กี่วันก็วันเกิดหมอกแล้วนะ หมอกอยากให้พ่อจัดงานวันเกิดที่บ้านหรือจะให้พ่อพาไปกินของอร่อยข้างนอก”
“ชอบทั้งสองอย่างเลย เอาอย่างไหนดีน้า..” หมอกลังเล
ตะวันฉายยังแอบมองเมฆด้วยความเจ็บใจโดยไม่ได้สนใจว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน เธอยังรู้สึกเจ็บใจกับเรื่องที่ผ่านมา
ตะวันฉายคิดในใจ “ตาบ้า ดันมาโดนจุดยุทธศาสตร์เราได้ เอ..แต่ทำไมนายปากเป็ดไม่เห็นแสดงท่าทางอะไรเลย หรือว่าจะเป็นอย่างที่ไอ้นิคมันว่าว่าเราจอแบน เขาเลยไม่รู้สึกอะไร โอ๊ย...กรี๊ดดดด ยิ่งคิดยิ่งโมโห”
ตะวันฉายคิดไปก็ตีหน้าโมโหไป เธอมองเมฆจากด้านหลังแล้วกำมือแน่นด้วยความโกรธ จนเมฆรู้สึกตัวจึงมองตะวันฉายจากกระจกหลังแล้วก็สงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าซัน...จมูกบานเลย”
ตะวันฉายกลบเกลื่อน “เอ่อ..เปล่าครับ คือผมเวียนหัว คลื่นไส้คงเมารถ ขอนอนพักนะครับ” ตะวันฉายพิงพนักหลับตาไปทันที
เมฆงง “อ้าว”
เมฆขับรถต่อแต่เหลือบมองกระจกหลังดูตะวันฉายที่ทำเป็นหลับเป็นระยะๆ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เมื่อมาถึงบ้าน เมฆ หมอก และตะวันฉายลงจากรถโดยที่ตะวันฉายถือถุงยาของหมอกลงมาด้วย เก่งมายืนรอรับหมอก
เก่งกอดหมอก “มาแล้ว คุณหมอกของพี่เก่ง หายดีแล้วนะครับ”
“หายดีแล้ว เล่นขี่ม้าก็ไหว ชกมวยก็ไหว” หมอกทำท่าชก “ต่อสู้ผู้ร้ายก็ไหว” หมอกทำท่าตีเข่า แล้วจับทุ่ม
“หมอก...ไม่เอาลูก อย่ารังแกพี่เก่ง” เมฆปราม
“ถ้างั้นวิ่งแข่งกัน ใครถึงบ้านก่อนชนะ” หมอกท้า
“ได้เลยครับ เอานะครับ นึง...ส่องงงง....ซั่ม” เก่งนับ
เก่งกับหมอกวิ่งเข้าบ้านไป เมฆมองตามยิ้มๆ แล้วหันมาหาตะวันฉาย เมฆจ้องตะวันฉายจนตะวันฉายเริ่มกลัว แล้วเมฆก็เดินเข้ามาหาทำให้ตะวันฉายถอย เมฆจับบ่าตะวันฉาย ตะวันฉายตกใจรีบสะบัดทันที เมฆก็ตกใจไปด้วย
“คุณเมฆมีอะไรอีกครับ”
“ฉันแค่จะบอกว่าขอบใจนะสำหรับทุกอย่าง”
เมฆยิ้มให้ตะวันฉายแล้วเดินเข้าบ้านไป ตะวันฉายเป่าปากโล่งอกแล้วเอามือจับไหล่ตัวเอง
“ตาบ้าเอ๊ย...วันนี้ฉันหัวใจจะวายสามทีแล้วนะ”
หลังจากฟังตะวันฉายเล่าผ่านโทรศัพท์ เอวาก็มีสีหน้าตกใจสุดขีด
“กรี๊ดดดด...นี่พี่เมฆเขาโดน” เอวาทำมือบีบแตร “ของแกเหรอ”
ตะวันฉายยืนเช็ดหัวในเสื้อผ้าชุดใหม่หลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“มันก็ไม่เชิงโดนหรอก แต่มันก็เรียกว่าโดนนะ หรือไม่โดน เพราะนายนั่นก็เฉยๆนี่” ตะวันฉายบอก
“เอาไงกันแน่ แล้วตอนที่ตบไหล่น่ะโดนสายเสื้อในแกหรือเปล่า” เอวาถาม
“เขาก็เฉยๆอีกนะ”
“งั้นก็สบายใจได้ เขาคงไม่สงสัยแล้วล่ะ”
“แกคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ก็ถ้าสงสัยเขาก็น่าจะโทรมาถามฉันในฐานะที่พาแกไปอยู่กับเขาสิ ต้องขอบคุณจอแบนของแกนะเนี่ย” เอวาหัวเราะ
ตะวันฉายค้อน “ย่ะ”
“งั้นเวลาที่เหลือแกก็หลบๆเขาให้ดีแล้วกัน อย่าให้เกิดไปปะทะปะผุกันอีก”
“รู้แล้วน่า แกไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฉันไปทำงานก่อนนะ”
“เฮ้ย...เดี๋ยวสิ พี่ยุทธเพิ่งบอกฉันว่าเมื่อคืนพ่อกับแม่แกโทรหาพี่ยุทธ เพราะเขาโทรหาแกไม่ได้”
ตะวันฉายตกใจ “เหรอ...แล้วพี่ยุทธบอกอะไรไปบ้าง”
“เขาก็บอกแกว่าเจอกับแก พ่อแม่แกก็เลยไม่ห่วง แต่ก็อยากให้โทรกลับไปบ้าง” เอวาบอก
“เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะโทร”
“แล้วอย่าลืมโทรหาพี่ยุทธด้วยนะ”
“เออ..น่า เดี๋ยวโทรคืนนี้เหมือนกัน แค่นี่นะ”
ตะวันฉายกดวางสายแล้วเดินไปหน้ากระจกแล้วหยิบแว่นมาใส่
“นายเมฆ จากวินาทีนี้ไปอย่าหวังว่าจะได้ใกล้ฉันเกินสามเมตรเลย”
ตะวันฉายเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วใส่ในถุงผ้าแล้วใส่ในตู้เสื้อผ้าข้างๆเป้
เมฆเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ตะวันฉายกำลังป้อนยาให้หมอกที่งอแงเพราะไม่ยอมทาน
“ไม่เอา ไม่กินมันขม”
หมอกไม่สนใจ เขาวิ่งไปเล่นของเล่นแล้วเอาของขว้างใส่ตะวันฉาย จนตะวันฉายต้องหลบเป็นพัลวัน
“ถ้าคุณหมอกป่วยบ่อยๆ ร่างกายไม่แข็งแรง ก็ไปเที่ยวกับคุณพ่อบ่อยๆ ไม่ได้นะครับ แล้วทีนี่อย่าหาว่าพี่ซันไม่ดูแลนะ”
หมอกมองยาแล้วเหลือบไปเห็นเมฆจึงรีบวิ่งหนีไปหาเมฆ
“พ่อครับหมอกไม่กินยานะ” หมอกบอก
“เชื่อพี่ซันเขาเถอะลูก หรือหมอกไม่อยากไปเที่ยวกับพ่อแล้ว” เมฆถาม
หมอกหยุดเล่นแล้วคิดตาม ตะวันฉายเดินมาหาหมอกแล้วยื่นยาให้ หมอกอ้าปากกินยาแล้วกลั้นใจกลืน แต่เพราะความขมทำให้หมอกหลับตาปี๋แล้วกระโดดไปรอบๆ ห้อง
“แว๊กกก ขมๆๆๆๆ ขอน้ำ ขอน้ำ”
ตะวันฉายกับเมฆหันไปหยิบแก้วน้ำพร้อมกัน ทำให้มือโดนกัน ตะวันฉายเด้งตัวลุกถอยห่างทันที เมฆมองอย่างงงๆ หมอกวิ่งมาคว้าแก้วน้ำจากมือเมฆแล้วดื่ม ตะวันฉายรีบวางยาใส่ถาดแล้วลุกขึ้นทันที
“คุณเมฆจะอยู่กับคุณหมอกใช่ไหมครับ งั้นผมขอไปทำอย่างอื่นนะครับ”
ตะวันฉายจะเดินออกไปแต่เมฆเรียกไว้
“อ้าว...เดี๋ยวสิ หมอกต้องนอนกลางวันไม่ใช่เหรอ”
ตะวันฉายถามหมอก “คุณหมอกอยากนอนกับใครครับ คุณพ่อหรือพี่ซัน”
“หมอกจะนอนกับพ่อ” หมอกรีบตอบ
หมอกกระโดดขึ้นตักเมฆ ตะวันฉายรีบเดินหนีออกไป เมฆมองตาม หมอกกระตุกคอเมฆแล้วพูด
“พ่อเล่านิทานให้หมอกฟังสักสิบเรื่องนะครับ”
ตะวันฉายกำลังเก็บเสื้อผ้าของหมอกที่ตากอยู่ พอเก็บเสร็จเธอก็หันไปก็เจอเมฆยืนอยู่ ตะวันฉายตกใจ
“คุณเมฆ” ตะวันฉายรีบถอยห่าง
“ก็ฉันน่ะสิ หมอกหลับไปแล้ว”
“เหรอครับ แล้วคุณเมฆมีอะไรครับ”
“ฉันจะมาบอกว่าเย็นนี้ไม่ต้องทำอาหาร หมอกเขาอยากให้สั่งพิซซ่า”
“ครับ”
ตะวันฉายรีบเดินหนีไป เมฆมองตามไปด้วยความงง
“อะไรของมันวะ”
ตะวันฉายเดินเอาเสื้อผ้าเข้ามาในห้องรีดผ้าแล้วใส่ไม้แขวน เมฆเดินตามมาดูที่ประตูแล้วถาม
“จะรีดผ้าวันนี้เลยเหรอ”
“ไม่รีดแล้วครับ ไว้คราวหน้าดีกว่า”
ตะวันฉายเก็บตะกร้าแล้วรีบแทรกตัวหนีไป เมฆเริ่มส่ายหน้าเพราะไม่พอใจ
ตะวันฉายเดินมาหาเก่งที่กำลังกวาดใบไม้อยู่หน้าบ้าน
“พี่เก่งให้ผมช่วยไหม”
เก่งมองซ้ายมองขวา “เวลาเจ้านายอยู่ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวคุณเมฆจะหาว่าพี่ขี้เกียจ ว่าแต่เอ็งไม่มีอะไรทำแล้วเหรอวะ”
ตะวันฉายส่ายหน้า “คุณหมอกก็นอน เย็นก็ไม่ต้องทำอาหาร”
“อ่ะ...งั้นถือเป็นเหตุอันสมควร กวาดนี่ให้หมดเลย”
เมฆเดินตามออกมาแล้วเรียก
“ซัน”
ตะวันฉายกับเก่งหันไป เก่งรีบคว้าไม้กวาดกลับมาถือทันที
“ผมไม่ได้อู้นะครับ ไอ้ซันมันว่างเลยมาของานผม”
“ถ้าว่างมากก็ไปหาฉันที่ห้องทำงาน” เมฆบอก
“คุณเมฆจะให้ผมทำอะไรครับ”
“อย่าเรื่องมากได้ไหมไป”
เมฆเดินมาจับข้อมือตะวันฉายแล้วลากไป เก่งมองตามอย่างอึ้งๆ
“เฮ้ย คุณเมฆจับมือไอ้ซัน”
เมฆพาตะวันฉายเดินเข้าบ้าน ตะวันฉายพยายามแกะมือของเมฆออก
“คุณเมฆปล่อยครับ”
เมฆเบรกทำให้ตะวันฉายเกือบชจนนต้องรีบเอามือปิดหน้าอกไว้ เมฆปล่อยมือตะวันฉาย ตะวันฉายถอยห่างไปหนึ่งก้าว
“แล้วอย่าเดินหนีฉันอีกล่ะ”
เมฆเดินไป ตะวันฉายมองเขม่นแล้วเดินตามห่างๆ ก่อนจะทำปากขมุบขมิบด่า
เมฆเดินนำเข้ามานั่งที่เก้าอี้ยาวในห้องทำงาน ก่อนจะตบมือให้ตะวันฉายมานั่งข้างๆ
“มานั่งนี่สิ นายเป็นพี่เลี้ยงหมอกฉันไม่ว่าหรอก”
ตะวันฉายเดินไปยืนห่างๆ
“ผมยืนอยู่ตรงนี้ก็ได้ครับ”
“เป็นอะไร ทำไมดูแปลกๆ”
“เปล่านี่ครับ”
“เปล่าอะไร พอฉันเดินไปตรงไหนนายก็หนีฉันทันที กลัวอะไรฉันหรือเปล่า”
“ผมต้องกลัวอะไรคุณเมฆล่ะครับ”
“นั่นน่ะสิ นายไม่ได้ทำผิดอะไรไว้นี่นะ”
ตะวันฉายอึ้งไปเล็กน้อย “แล้วนี่คุณเมฆจะให้ผมทำอะไรครับ”
เมฆขยับลุกขึ้นเดินเข้าไป ตะวันฉายเขยิบถอยออกมานิดๆ
“ฉันเห็นนายโทรหาเอวาเรื่องหมอก เลยนึกได้ว่าเรายังไม่มีเบอร์กัน เอาเบอร์นายมาหน่อย ต่อไปนี้เผื่อมีอะไรจะได้ติดต่อกัน”
เมฆหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมกด ตะวันฉายยืนอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก
“ว่าไง เบอร์นายเบอร์อะไร”
ตะวันฉายอึกอัก “เอ่อ..ไม่เป็นไรมั้งครับ ผมก็อยู่อีกไม่กี่วันเอง”
“ไม่กี่วันก็มีเบอร์กันได้นี่”
“คือ เครื่องมันไม่ค่อยดีน่ะครับ มันเก่ามาก เอ่อ...แล้วผมก็ไม่ค่อยได้ใช้อยู่แล้ว ตังค์เติมเงินก็ไม่ค่อยมีด้วยครับ ผมว่าจะเลิกใช้พอดี”
“เหตุผลเยอะไปหรือเปล่า”
“ผมพูดจริงๆครับ”
“ฉันไม่เอาเบอร์นายก็ได้ จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
ตะวันฉายรีบหันหลังแล้วเป่าปากโล่งใจก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้อง เมฆมองตามด้วยสีหน้าสงสัย
นิคนั่งดูนักเรียนเล่นกีตาร์จนจบเพลงอยู่ในห้องเรียนดนตรีของเอวา
“เก่งมากครับ เดี๋ยวกลับบ้านไปถ้ามีเวลาว่างก็ซ้อมเพลงนี้อีกนะ” นิคบอก
นักเรียนพยักหน้ารับแล้วนิคกับนักเรียนก็เก็บของ นักเรียนยกมือไหว้ลา
“ครับ อาทิตย์หน้าเจอกันนะ อย่าลืมซ้อมเยอะๆล่ะ”
นักเรียนเดินออกไป นิคเก็บของแล้วเปิดประตูเดินออกไปเจอเอวาที่ออกมาจากอีกห้องกับนักเรียน พอดี เอวาจะอ้าปากทักแต่นิคยิ้มแล้วเดินหนีไป เอวามองตามด้วยความงง
ครูสองคนนั่งดื่มกาแฟอยู่ในห้องพักครู นิคเปิดประตูเดินเข้ามา
“หวัดดีครับพี่จุ้ย พี่ตั๋น” นิคทัก
“สอนเสร็จแล้วเหรอ” ครูคนนึงถาม
“ครับ วันนี้มีคนเดียว”
“อิจฉาว่ะ แล้วนี่จะไปไหนกับคู่หูคู่ฮาเอวาแสนสวยอีกล่ะ” ครูอีกคนถาม
ทันใดนั้น เอวาก็เปิดประตูเข้ามา นิคมองเอวานิ่งๆแล้วเก็บของใส่เป้
“เดี๋ยวผมคงไปเดินเล่นรอเวลาเล่นดนตรีน่ะครับ ไปก่อนนะครับพี่ๆ”
พูดจบนิคก็สะพายเป้แล้วเดินออกไป เอวากับทุกคนที่เหลืองง
“เอวา นิคเป็นอะไรอ่ะ”
“หนูก็งงเนี่ยพี่” เอวาตอบ
เอวารีบวิ่งตามออกไป
นิคเดินออกมา ในขณะที่เอวาวิ่งตามออกมา
“นิค แกเป็นไรป่ะเนี่ย” เอวาถาม
“เปล่านี่”
“เปล่าอะไร เมื่อวานแกก็ไม่ยอมมารถฉัน แล้วนี่ก็ไม่พูดกับฉันอีก แถมทุกทีแกสอนเสร็จก็ชอบไปนั่งห้องทำงานฉัน แต่วันนี้ดันมาอยู่ห้องพักครู”
“ฉันอยู่ห้องพักครูก็เพราะฉันเป็นลูกจ้างแก ฉันก็ควรจะอยู่ที่นั่น”
“อะไรของแกวะนิค แกไม่เคยเป็นแบบนี้ เอางี้ แกรอฉันเดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋าก่อน ไปหาอะไรกินกันจะได้คุยกันด้วย”
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากอยู่คนเดียว เดี๋ยวไปเจอกันที่ผับเลยแล้วกัน”
“ไอ้นิค อย่ามาติสท์แตกกับฉัน ฉันไม่รับมุขแกนะ รออยู่นี่แหล่ะ”
เอวาชี้นิ้วแล้ววิ่งเข้าไปในโรงเรียน นิคมองตามแล้วถอนหายใจด้วยความเครียด
นิคกับเอวาเดินมาตามทางเดินภายในห้างสรรพสินค้า นิคเงียบ ส่วนเอวาก็เดินมองนิคเงียบๆ
“นี่...แกไม่พูดไม่ว่า แต่ฉันหิว” เอวาพูดออกมา
“แกกินสิ ฉันยังไม่หิว” นิคบอก
“เป็นไปได้ไง แกกับฉันกินข้าวเวลานี้ด้วยกันทุกวัน ไปกินเลยอย่าเยอะ”
“เฮ้ย แต่ฉัน...”
“นิค ฉันไม่รู้ว่าแกงอนฉันเรื่องอะไรนะ แต่แกกินไปงอนไปก็ได้ฉันไม่ว่า”
เอวาลากนิคเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปทันที
เอวาพลิกเมนูที่วางโชว์อยู่หน้าร้าน
“โห...ดูนี่สิน่ากินทั้งนั้นเลย”
“แกกินเถอะ ฉันไม่มีเงิน” นิคบอก
“ฉันเลี้ยงเอง”
“อย่าเลย ฉันขี้เกียจหาตังค์มาคืนแก”
“ได้ ถ้าแกไม่กินฉันก็ไม่กิน อดก็อดด้วยกัน”
“แกจะทำแบบนี้ทำไมวะ”
“ก็แกยังติสท์แตกไม่มีเหตุผล ฉันก็จะงี่เง่าแบบนี้แหละ” เอวายักคิ้วกวน
นิคถอนใจ “กินก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่นะ”
เอวาหยักไหล่เป็นเชิงตามใจนิค
ตะวันฉายยกจานใส่พิซซ่าถาดใหญ่ลงมาวางบนโต๊ะในห้องครัว หมอกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
หมอกชี้ “พี่ซัน หมอกเอาชิ้นนี้”
ตะวันฉายตัดพิซซ่าชิ้นที่หมอกชี้ใส่จานหมอก
“ทานสลัดด้วยนะครับหมอก อย่าทานแต่พิซซ่า” เมฆบอก
“ถ้างั้นพ่อทานกับหมอกนะครับ”
“ไม่ได้หรอกครับ พ่อต้องไปอาบน้ำเตรียมไปเล่นดนตรี” เมฆพูดกับตะวันฉาย “เดี๋ยวฝากดูหมอกต่อเลยนะ”
ตะวันฉายพยักหน้า เมฆจะเดินไปแต่หมอกดึงแขนเขาเอาไว้
“พ่อคร๊าบ คืนนี้ไม่ไปเล่นดนตรีไม่ได้เหรอคร๊าบ”
เมฆชะงักทันที
“คุณพ่อไปแป๊บเดียวก็กลับนะ คุณหมอกมีพี่ซันอยู่เป็นเพื่อนไงครับ” ตะวันฉายกล่อม
“ไม่เอาอ่ะ...หมอกอยากให้พ่อเล่านิทานให้ฟังอีกพ่อนอนกับหมอกนะครับ”
“เดี๋ยวพ่อเล่นดนตรีเสร็จก็จะกลับมานอนกับหมอกนะครับ” เมฆบอก
“งั้นหมอกรอพ่อกลับมานะครับ”
“คุณหมอกอย่างอแงสิครับ เพิ่งหายไข้นอนดึกไม่ดีนะครับ” ตะวันฉายบอก
“ก็หมอกอยากอยู่กับพ่อนี่”
เมฆอ่อนใจ “หมอก..”
“ไม่เอา หมอกไม่สบาย หมอกจะอยู่กับพ่อ หมอกจะนอนกับพ่อ”
หมอกร้องโยเย เมฆมองหมอกแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
เมฆเดินเข้ามาในห้องทำงาน โดยมีตะวันฉายเดินตามมา
“คุณเมฆครับ ผมว่าคุณเมฆน่าจะยอมลางานสักวันนะครับ” ตะวันฉายเสนอ
เมฆจะอ้าปากพูดแต่ตะวันฉายก็สวนขึ้นมาอีก
“ผมรู้ว่าคุณเป็นนักดนตรี คุณก็รักดนตรี แต่นี่ลูกคุณนะครับ เขาน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดมากกว่าอะไรทั้งสิ้นไม่ใช่เหรอครับ”
เมฆถอนใจแล้วจะพูดแต่ตะวันฉายก็พูดสวนขึ้นอีก
“ถ้าคุณไปทำงานคืนนี้ พรุ่งนี้คุณหมอกก็คงเกเรไม่ไปโรงเรียน สุดท้ายผลเสียตกที่คุณหมอก เฮ้อ...น่าสงสารนะครับ”
เมฆจะอ้าปากพูดตะวันฉายจะสวนขึ้นอีก เมฆทุบโต๊ะแล้วพูดเสียงดัง
“พอแล้ว ใครบอกว่าฉันจะไปเล่นดนตรีล่ะ”
“อ้าว...ก็คุณเดินหนีมาที่นี่”
“ฉันจะหาคนไปเล่นแทน”
ตะวันฉายยิ้มแหย “งั้นผมกลับไปอยู่กับคุณหมอกนะครับ”
ตะวันฉายรีบเดินออกไปจากห้อง เมฆหยิบโทรศัพท์มากดโทรออกทันที
“สวัสดีครับพี่จอม”
นิคกับเอวานั่งกินอาหารกันอยู่ในฟู้ดคอร์ท สักพักโทรศัพท์ของนิคก็ดังขึ้น นิคกดรับ
“ครับพี่เมฆ......อ้าวเหรอครับ ได้ครับ งั้นผมจะบอกเอวาให้ โอเคครับพี่”
“พี่เมฆโทรมาทำไม” เอวาถาม
“คืนนี้พี่เขาขอลา ให้พี่จอมมาเล่นแทน”
เอวาตกใจ “มีอะไรหรือเปล่า เอ๊ะ แต่ถ้ามีอะไรร้ายแรงไอ้ซันก็ต้องบอกเราสิ” เอวานึกได้ “หรือพี่เมฆจะเริ่มสงสัยไอ้ซันเลยอยู่จับผิด”
นิคอมยิ้มขำ “โรควิตกจริตกลับมาอีกแล้วนะแก”
“แหม...ได้กัดฉันละยิ้มออกเลยนะ หายงอนละสิ”
นิคหุบยิ้มทันที “นายหมอกมันอ้อนพี่เมฆอยากอยู่กับพ่อ”
“แค่นี้น่ะเหรอ แล้วก็ไม่บอกฉันแต่แรก”
“ก็แกแทรกมาก่อนทำไม”
นิคอิ่มแล้วจึงวางช้อน เอวาวางด้วย
“ตกลงแกงอนฉันเรื่องอะไรวะ” เอวาถาม
นิคมองหน้าเอวา
ภาพในอดีตย้อนกลับมาในหัวของนิค
นิคจะเดินเข้าไปที่ห้องอาหารแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเอวากับยุทธการนั่งคุยกันอยู่ ทั้งสองกินอาหารเสร็จ ยุทธการยกเก้าอี้ให้ เอวาลุกขึ้นแล้วเดินออกมาด้วยกัน นิครีบหลบ เอวาเดินมาส่งยุทธการขึ้นรถขับออกไป พอจะเดินเข้าตึกเอวาก็เจอนิคที่ยืนรออยู่
นิคนึกถึงเหตุการณ์นั้นแต่ก็ไม่กล้าพูดไปตรงๆ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่พยายามเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าชีวิตนี้คงต้องอยู่คนเดียว”
เอวาหัวเราะ “ที่แท้แกอกหักเลยมาพาลที่ฉัน” เอวาตีแขนนิค “แรงนะแก ตกลงแกไปชอบใคร อ๋อ...ไอ้ซันใช่ไหม โอ้ววว..รักแท้แพ้ใกล้ชิด”
“นี่ แกอย่าเพ้อเจ้อได้ไหม ฉันไม่เคยชอบไอ้ซัน” นิครีบปฏิเสธ
“งั้นใครอ่ะ”
เอวาจ้องตานิคจนนิคต้องหลบแล้วรีบกลบเกลื่อน
“เอวา...แกคิดว่าคนมีแต่ตัวอย่างฉันจะมีใครจะชอบเหรอ”
“แกก็เว่อร์ ถ้าผู้หญิงคนไหนมาดูถูกเพื่อนฉันเรื่องจนรวยนะ ฉันจะไปด่าให้แล้วทำให้แกเลิกกับยัยนั่นเลย คนเหมือนกันเอาเงินมาวัดได้ไง”
นิคเริ่มยิ้มออกอีกครั้ง
“ตกลงใครวะบอกเจ๊หน่อยสิ หญิงที่หอแกเหรอ หรือน้องๆในออฟฟิศฉัน”
นิคส่ายหน้าปฎิเสธ “ไม่มีหรอก แกก็เดาไปเรื่อย”
“ไม่ใช่เรื่องแฟนแน่นะ ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากให้แกมีแฟน”
นิคยิ้มดีใจ “จริงๆเหรอ”
เอวามองหน้านิคแล้วก็ค่อยๆหัวเราะออกมา
“บ้าน่า !!! ฉันล้อแกเล่น แกจะรักใครก็เรื่องของแก มันเป็นความสุขของแก แต่ถ้ามีใครทำแกเจ็บ เจ๊เอวาเอาตาย”
นิคฝืนยิ้มให้เอวา
“เอาเป็นว่าฉันไม่เศร้าก็ได้ อย่างน้อยก็รู้ว่าแกยังเป็นเพื่อนรักของฉัน” นิคบอก
“มันต้องอย่างนี้สินิคเพื่อนเจ๊ ไปงั้นเราไปกันเถอะ เดี๋ยวรถติด”
เอวารีบลุกเดินไป นิคมองตามแล้วยิ้มเศร้า
ตะวันฉายยืนรอเมฆพาหมอกไปแปรงฟันที่หน้าห้องน้ำจนเสร็จ แล้วเมฆก็พาหมอกมาที่เตียง
“ภาคค่ำนี่อยากฟังนิทานเรื่องอะไรครับ” เมฆถาม
“แจ็คผู้ฆ่ายักษ์” หมอกตอบ
ตะวันฉายหาหนังสือนิทานส่งให้เมฆ
“คุณเมฆครับ ถ้างั้นคืนนี้ผมขอกลับไปนอนที่ห้องนะครับ”
เมฆพูดเน้น “ไม่นอนด้วยกันเหรอ”
“แฮ่ะๆ ไม่ดีกว่าครับ”
“งั้นก็ตามใจ นึกว่าจะได้นอนด้วยกัน”
เมฆจ้องหน้าตะวันฉาย ตะวันฉายเขยิบถอยแล้วรีบเดินออกไป เมฆเริ่มอ่านนิทานให้หมอกฟัง
ตะวันฉายในชุดนอนหยิบหมวกคลุมผมมาใส่แเล้วเดินไปปิดไฟในห้องจนมืด ก่อนจะกลับมากดต่อ Skype จากมือถือ
เกริกไกรกับสายรุ้งดูทีวีจอยักษ์แบบอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านพัก ทันใดนั้นก็มีสัญญาณเรียกเข้าทางทีวี
สายรุ้งดีใจ “พ่อ...สงสัยลูกเรียกเข้ามาแล้ว”
เกริกไกรรีบหยิบรีโมทมากดเปิดทีวี ทำให้เห็นหน้าตะวันฉายที่มีแสงจากหน้าจอมือถือส่องแต่หน้า สายรุ้งกับเกริกไกรตกใจ
“เย้ยยย....นี่คนหรือผี”
“ซันไงล่ะคะ” ตะวันฉายบอก
“ทำไมสภาพลูกเป็นแบบนี้ล่ะ” เกริกไกรถาม
“พอดีไฟที่คอนโดดับน่ะค่ะ เนี่ยซันกำลังอาบน้ำเลยๆต้องใส่หมวกคลุมผมไว้ก่อน”
“แล้วนี่อยู่ยังไงมืดๆ ไปอยู่บ้านนายยุทธสิ เดี๋ยวไฟมาค่อยมาอยู่” เกริกไกรเสนอ
“ว๊าย...ไม่ดีมั้งพ่อ ลูกเราเป็นผู้หญิงนะ” สายรุ้งรีบขัด
“นี่ พ่อแม่เจ้ายุทธมันก็เพื่อนเรานะ แล้วเจ้ายุทธมันก็เป็นคนดี ไม่เป็นไรหรอก หรือแม่จะให้ลูกมันอยู่มืดๆแบบนี้ ยิ่งเซ่อๆซ่าๆเดี๋ยวเดินหกล้มหัวคว่ำข้าวของเสียหายนะ”
“เอ่อ...พ่อคะ ตกลงห่วงซันหรือของ”
“ของ เอ๊ย...ซันสิ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวไฟก็คงมา แล้วพ่อกับแม่มีธุระอะไรถึงตามซัน” ตะวันฉายรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แหม...ถ้าไม่ได้พี่ยุทธเขาบอกก็ไม่คิดจะติดต่อพ่อกับแม่เลยนะ” สายรุ้งน้อยใจ
“พอดีซันยุ่งๆน่ะค่ะ ต้องหาข้อมูลแก้ไขนิยาย”
“จะแก้ไขงานอะไรก็ส่งข่าวให้พ่อกับแม่รู้บ้างนะ ไม่ใช่หายเงียบไป โทรไปก็ไม่ติดแบบนี้ แม่เป็นห่วงนะลูก”
“ค่ะแม่ เอาไว้ซันจะติดต่อพ่อกับแม่มาเรื่อยๆนะคะ แต่ไม่ต้องไปกวนพี่ยุทธเขาหรอกซันเกรงใจ”
“เฮ้อ...ลูกสาวพ่อ ซ้อมเกรงใจว่าที่สามีซะแล้ว”
ตะวันฉายตกใจ “พ่อ...ซันบอกแล้วไงว่าไม่ได้คิดอะไรพี่ยุทธ”
“ไม่ต้องอายหรอก เอาละๆพ่อไม่แซวแล้ว แต่ตกลงแต่งงานกันเมื่อไหร่บอกพ่อกับแม่นะ พ่อจะยกขันหมากไปขอเจ้ายุทธทันทีเลย”
ตะวันฉายถอนใจด้วยความเซ็ง “เฮ้อ..พ่อนะพ่อ ซันไม่คุยแล้ว”
“จะรีบโทรไปฟ้องเจ้ายุทธนะสิ ไปๆๆ พ่อกับแม่ก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” เกิรกไกรบอก
“แม่รักลูกนะ”
“ซันก็รักแม่กับพ่อค่ะ จุ๊บๆๆ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงเรียกของเมฆ
“ซันนอนหรือยัง”
ตะวันฉายตกใจ เกริกไกรกับสายรุ้งก็แปลกใจ
“เสียงใครน่ะลูก” เกริกไกรถาม
“เอ่อ...แค่นี้ก่อนนะคะพ่อแม่”
ตะวันฉายรีบกดปิด Skype แล้วนั่งปิดปากเงียบ