มณีสวาท ตอนที่ 4
แม้จะดึกมากแล้ว แต่นาถสุดายังไม่เข้านอน ออกมาเดินเล่นทอดอารมณ์อยู่ในสวนหน้าบ้าน มองไปยังต้นพญานาคราช พร้อมกับพึมพำกับตัวเอง
“เราก็เห็นต้นพญานาคราชตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีครั้งไหนที่เราจะตาฝาดเห็นต้นไม้กลายเป็นงูเหมือนบ้านเจ้าอุรคา”
นาถสุดานึกถึงเหตุการณ์ตอนไปบ้านเจ้าอุรคา และเห็นรูปแกะสลักเป็นพญานาค และถูกหาว่าตาฝาดเห็นต้นพญานาคราชเป็นงู
กระทั่งเหตุการณ์บนโรงพักคนร้ายหายไป มีแต่รอยเลื้อยของงู
นาถสุดาครุ่นคิด พึมพำอีก “ทำไม..ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าอุรคาถึงมีแต่งู พญานาค อสรพิษ”
ระหว่างนั้นพันเอกนรินทร์เดินเข้ามาหา
“ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกหรือนาถ”
“นอนไม่หลับน่ะค่ะ”
“คิดเรื่องเจ้าอุรคาอยู่หรือ”
นาถสุดาทึ่ง อึ้ง “พ่อรู้”
“สายตานาถบอกพ่อตั้งนานแล้ว ว่านาถสนใจตัวเจ้าอุรคา”
“ค่ะ นาถว่าเจ้าอุรคาเป็นคนแปลกๆ ทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวเธอก็แปลก ทั้งบ้านช่อง ข้าวของ บริวาร”
“นาถกลัวเธอหรือลูก” ผู้พันถามบุตรสาวตรงๆ
นาถสุดาอมยิ้มขณะตอบผู้เป็นบิดา “นาถไม่ได้กลัวไม่ได้เกลียดเธอหรอกค่ะ และที่นาถรู้สึกไม่สบายใจเลยก็คือ...เจ้าอุรคามักจะมากับเรื่องร้ายๆ เสมอค่ะ”
พันเอกนรินทร์ไม่ได้แสดงท่าทีว่าแปลกใจ ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกให้รู้ว่า สิ่งที่นาถสุดารู้สึกไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
ที่วังนาเคนทร์ค่ำคืนนั้น ภุชคินทร์เดินทอดอารมณ์ด้วยท่าทางเหม่อลอย ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความมีเสน่ห์ของเจ้าอุรคายังซึมอยู่ในความรู้สึกอยู่ทุกอณู
ภาพจำตอนเจ้าอุรคาจุมพิตตนผุดขึ้นมาแว้บๆ ภุชคินทร์ส่ายหน้าพยายามสะบัดความคิดออก
“จะคิดถึงทำไม ผู้หญิงดีๆ ไม่มีใครเค้าทำตัวอย่างนี้หรอก เราไม่ควรเจอเธออีก ภุชคินทร์นายจะต้องไม่เจอเจ้าอุรคาอีก”
ภุชคินทร์บอกย้ำตัวเองเสียงเข้ม ตั้งใจแน่วแน่
ในระหว่างรับประทานอาหารเช้า หม่อมภาณีหันมาบอกภุชคินทร์
“ชาย..เรื่องที่แม่ให้ตามไปถึงไหนแล้วลูก”
“เรื่องอะไรครับคุณแม่?”
“อะไรกัน ไม่กี่วันก็ลืมซะแล้ว ก็..เรื่องที่แม่ให้เชิญเจ้าอุรคามาทานข้าวที่วังของเราไง เจ้าให้คำตอบหรือยังลูก”
ภุชคินทร์อึกอัก “เอ่อ...”
“ลืมล่ะสิ ตามให้แม่หน่อยนะลูก แม่อยากคุยกับเจ้ามาก ม่ว่าเจ้าน่าสนใจ มีเสน่ห์ลึกลับ แล้วก็น่าค้นหา” หม่อมว่า
“เครื่องประดับประจำตระกูลของเจ้าก็น่าสนใจค่ะ อย่างที่คุณแม่บอก มันเหมือนมีชีวิตอยู่ในนั้น” นารีวรรณเสริม
“จะเป็นไปได้ยังไง? เหลวไหล” ภุชคินทร์ตำหนิน้องสาว
“ชายไม่ใช่เจ้าของ ชายจะรู้ได้ยังไง เพราะยังงี้ไงแม่ถึงยิ่งอยากคุยกับเจ้า แม่อยากรู้คำตอบ ดีกว่าจะต้องมานั่งเถียงกัน ชายเชิญเจ้ามาให้แม่หน่อยนะลูก วันเวลาแล้วแต่เจ้าสะดวกเลยจ้ะ”
หม่อมแม่ของร้องขนาดนี้ ภุชคินทร์ถอนหายใจเฮือก เลี่ยงไม่ได้
ช่วงตอนกลางวัน ภุคชินทร์ขับรถมาจอดที่หน้าเฮือนภูจำปา มองเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าก่อนถอนหายใจพลางพึมพำ
“นึกว่าจะหาไม่เจออีกแล้ว”
ภุชคินทร์เดินตรงไปยังประตูรั้ว แต่ต้องสะดุ้งเมื่อชรายุเดิน เหมือนพรวดพราดออกมาตามเคย
“เจ้าไม่อยู่”
ภุชคินทร์ถามอย่างสุภาพ “เจ้าไปไหนครับ”
“ไปวัด”
ภุชคินทร์ทำหน้าทึ่ง พูดรำพึงกับตัวเองเบาๆ “เจ้าอุรคาน่ะหรือไปวัด” แล้วบอกกับชรายุ “ผมจะรอ”
“ไม่ต้องรอ วันนี้วันพระ เจ้าไม่รับแขก”
พูดมะนาวไม่มีน้ำแค่นั้น ชรายุก็เดินเข้าไปปิดประตูใส่ไม่รับแขก ปล่อยให้ภุชคินทร์ยืนงงคาที่
“วันพระ ไม่รับแขก อะไรของเค้าเนี่ย”
ที่แท้เจ้าอุรคารักษาตัวอยู่ในห้องลับใต้ดิน เสียงสวดมนต์ไร้ซึ่งภาษาดังก้องไปทั่วบริเวณ งูตัวใหญ่ตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่บนแท่นหิน ที่ประดับด้วยดอกไม้หอมมากมายและต้นพญานาคราช
งูตัวนั้นมันนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่แสงแรกของตะวันส่องสว่าง กระทั่งจะวันตกดิน จวบจนเห็นพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า
แสงจันทร์ส่องกระทบเข้ากับผิวหนังดำมะเมื่อม จนเวลาบอกเที่ยงคืนที่จะเข้าสู่วันใหม่ พอพ้นวันพระ ร่างของงูใหญ่ตัวนั้นก็ค่อยๆ ขยับ เคลื่อนกายออก เห็นบริเวณหาง ค่อยๆ กลายเป็นเท้าคน ไล่สูงขึ้นมา จนเห็นเป็นรูปร่างของมนุษย์ผู้หญิงชัดเจน ก่อนที่ร่างนั้นจะหันมากลายเป็นเจ้าอุรคาผู้สง่างาม
ภายในร้านขายของเก่าตอนกลางคืน นาถสุดาเพิ่งต้อนรับลูกค้าคนสุดท้ายของวัน ด้วยใบหน้าเหน็ดเหนื่อยแต่ยังคงมีแรงยิ้ม
“ขอบคุณมากค่ะ วันหลังแวะมาใหม่นะคะ ของในร้าน มาใหม่แทบทุกอาทิตย์ค่ะ
ลูกค้าลากลับออกไป นาถสุดาเดินมายังโต๊ะจะปิดบัญชี แต่ตามองเห็นไม้แกะสลักรูปพญานาค
นาถสุดาหยิบขึ้นมาดูมองพินิจพิเคราะห์ เหมือนที่บ้านเจ้าอุรคาเลย คุณยายอติศรีเอามาจากไหนกัน?
คุณยายอติศรีจิบน้ำชาอยู่ในบ้านด้วยรอยยิ้มละไมก่อนบอก
“ผู้หญิงคนหนึ่งเค้าให้ยายมา”
ไพศิษฐ์ฉงน “ผู้หญิง ผู้หญิงที่ไหนครับคุณยาย”
ยายอติศรีทำท่านึก “ไม่รู้ แต่ยายเจอเค้าที่หน้าบ้านของหนูนาถนั่นแหละ”
นาถสุดาเหวอไปเลย “บ้านนาถ”
“ก็วันโกนที่ยายเอาผลไม้ไปให้คุณพ่อของนาถไง”
นาถนึกถึงเหตุการณ์ที่พ่อบอกว่าอติศรีเอาผลไม้มาให้
อติศรีจะเดินออกมาเรียกแท็กซี่หน้าบ้าน เล่าเรื่องต่อ
“วันนั้น ระหว่างที่ยายรอรถจะกลับบ้าน ยายเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เธอสวยและงามสง่าจนยายสะดุดตา เธอบอกว่าเข้าบ้านไม่ได้ ยายก็ลืมถามไปว่าทำไมเข้าบ้านไม่ได้ เห็นท่าทางเธอน่าสงสาร ยายเลยให้เงินเธอไป”
นั่นเป็นภาพจำตอนยายอติศรีเจอเจ้าอุรคาที่แต่งตัวแบบคนธรรมดา แต่ดวงหน้ายังคงสวยสง่ามาก
ยายอติศรีให้เงิน เจ้าอุรคายกมือไหว้อ่อนหวาน
“เธอบอกไม่มีของตอบแทนน้ำใจยาย นอกจากไม้แกะสลักรูปพญานาคที่ติดตัวเธอมา”
เจ้าอุรคาหยิบไม้แกะสลัก ออกมาให้อติศรีรับมาอย่างงงๆ
ไพศิษฐ์และนาถสุดา จ้องคุณยายอติศรีตาไม่กะพริบ นาถสุดาถามเร็วปรื๋อ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเธอไปทางไหน? คุณยายได้มองตามไปมั้ยคะ”
“ไม่ได้มองตามไปเลยลูก ยายมัวแต่มองของที่เธอให้ มันสวยมาก เหมือนมีชีวิต พอยายเงยหน้ามาอีกที เธอก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
ไพศิษฐ์ออกความเห็น “อาจจะเป็นพวกมิจาฉาชีพก็ได้มั้งนาถ ได้เงินแล้วก็ไป”
“ไม่น่าจะใช่นะลูก เพราะยายเป็นคนให้เงินเธอเอง โดยที่เธอไม่ได้ร้องขอ และที่สำคัญ ไม้แกะสลักรูปพญานาคที่เธอให้ยายมันดูมีค่ามาก ที่สำคัญมันเหมือนไม่ใช่ไม้แกะสลักธรรมดา เพราะมันดูเหมือนมีชีวิตมาก”
นาถสุดานั่งฟังใจเต้นระรัว
ไม่นานต่อมานาถสุดาจอดรถดังเอี๊ยด....แล้วรีบวิ่งตื๋อเข้าไปที่ร้าน มะลิวิ่งเข้ามาหา
“คุณนาถคะ มีลูกค้าสนใจจะขอดูโต๊ะเครื่องแป้งค่ะ”
“มะลิ รับรองเค้าไปก่อนนะ ฉันมีธุระ”
มะลิมองอย่างแปลกใจที่เห็นนาถสุดาไม่สนใจลูกค้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่นาถสุดาเดินไปหยิบไม้แกะสลักรูปพญานาคขึ้นมามองอย่างสนใจ เห็นดวงตาของพญานาคตัวนั้นไหวระริก นาถสุดาขยี้ตาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เวลาเดียวกันนั้นเจ้าอุรคาอยู่ในเฮือนภูจำปา กำลังยืนยิ้มอย่างพึงพอใจ ขณะที่ยมนาปรากฏกายขึ้นพูดต่อว่า
“เจ้าทำไม่ถูก ที่ใช้อติศรีเป็นเครื่องมือ”
“ก็เราเข้าบ้านผู้หญิงคนนั้นไม่ได้”
“แล้วเจ้าจะไปยุ่งกับเขาทำไม ในเมื่อเจ้ากับเขาอยู่กันคนละภพ คนละชาติกัน”
เจ้าอุรคาหน้าเศร้าลง “เราอยากให้เธอช่วย ท่านก็รู้ ท่านภุชเคนทร์ไม่รับรู้ในสิ่งที่เราพยายามสื่อ ท่านภุชเคนทร์ไม่รับรู้ในสิ่งที่เราทุกข์ทรมาน”
“แต่ผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับเจ้า กับภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคาน้ำตาหยด “ใช่! นาถสุดาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับเรา กับท่านภุชเคนทร์ แต่เธอเป็นคนดี เธอช่วยเราได้ เพราะหัวใจรักของเธอ มีรักที่แท้จริง”
ไเจ้าเห็นแก่ตัว เพราะการกระทำของเจ้าจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นชะตาขาด” ยมนาตำหนิ
“ไม่หรอกยมนา...ทันทีที่ท่านภุชเคนทร์ระลึกถึงเราได้ เราจะปล่อยให้นาถสุดาเป็นอิสระ”
“แต่กว่าจะถึงวันนั้น มันอาจจะสายเกินไป” ยมนาเตือนสติ
เจ้าอุรคานิ่ง ความรักท่วมท้นล้นอกจนกลายเป็นเห็นแก่ตัว
นาถสุดายังคงคงถือไม้แกะสลักดูอย่างสนใจ มะลิถือไม้ขนไก่ปัดกวาดข้าวของอยู่สงสัยจึงเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือคะ มะลิเห็นคุณนาถมองไม้แกะสลักชิ้นนี้ตั้งหลายวันแล้ว”
นาถสุดาถามกลับ “มะลิ...มะลิว่า ไม้แกะสลักชิ้นนี้เหมือนมีชีวิตมั้ย”
มะลิทำท่าสยอง “อี๋!!มีผีหรือคะ ไม่เอาค่ะคุณนาถ ไม่คุยถึงเรื่องผี แค่วันๆ ต้องอยู่กับของเก่าอย่างนี้ มะลิก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว มะลิไปทำงานต่อดีกว่าค่ะ”
“ขวัญอ่อนซะจริง กลัวอะไร”
นาถสุดายิ้มขำ แต่พอหันหน้ามา ก็ต้องสะดุ้งเฮือกที่เห็นเจ้าอุรคายืนอยู่
นาถสุดาตกใจมาก “เจ้าอุรคา! มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อคุณเห็น”
นาถสุดาค้อนขวับ เจ้าอุรคาเล่นลิ้นตลอด เจ้าอุรคายิ้มไม่ถือสา
“ก็หรือไม่จริง ถ้าไม่เห็น คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันมา”
“เจ้าต้องการอะไรคะ”
เจ้าอุรคาพูดยอกย้อนอีก “มาร้านขายของเก่าก็ต้องมาหาของเก่า”
นาถสุดาค้อนขวับ ชักสีหน้ารำคาญ ถามเสียงห้วน “ก็แล้วอะไรล่ะคะ”
“ไม้แกะสลักรูปพญานาค”
นาถสุดาเบิกตาโพลง อะไรจะเหมาะเจาะถึงเพียงนั้น เจ้าอุรคาว่าต่อ
“คุณก็เห็นนี่ ที่บ้านฉัน มีไม้แกะสลักรูปพญานาคอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ถ้าฉันได้อีกชิ้น มันก็จะได้อยู่คู่กัน”
นาถสุดาแกล้งเอาไม้แกะสลักซ่อนด้านหลังอย่างหมั่นไส้ “ขอโทษค่ะฉันไม่มี”
เจ้าอุรคายิ้ม พูดสัพยอกอย่างอารมณ์ดี “ถึงวันนี้ไม่ใช่วันพระ แต่ถ้าคุณโกหก ก็บาปค่ะ”
นาถสุดาหน้างอ หยิบไม้แกะสลักรูปพญานาคยื่นออกมา
“มีอยู่ชิ้นนี้ชิ้นเดียวค่ะ”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มพอใจ “ถึงคุณจะมีหลายชิ้น แต่ฉันก็ชอบชิ้นนี้ชิ้นเดียวค่ะ ขอฉันดูหน่อยสิคะ”
นาถสุดายื่นไม้แกะสลักรูปพญานาคให้กับเจ้าอุรคา เจ้าอุรคายื่นมือออกมา แต่มือเรียวงามนั้นไม่ได้จับแค่ไม้แกะสลัก แต่เลยมาจับถึงข้อมือของนาถสุดาด้วย
ทันทีที่มือของเจ้าอุรคาสัมผัส นาถสุดาก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างเคลื่อนเข้ามาสู่ตัวเธอ เลือดในกายของนาถสุดาเย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน จะมีเพียงแต่ดวงตาคู่งามที่ทอดยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร และหลังนั้นนาถสุดาก็หมดสติลงไปทันที
ด้านไพศิษฐ์ขับรถมาตามทาง มีภุชคินทร์นั่งอยู่ด้วย ไพศิษฐ์กดมือถือพลางบ่น
“เครียดเรื่องงานไม่พอ นาถยังไม่รับโทรศัพท์อีกงอนอะไรอีกล่ะเนี่ย”
“คุณนาถคงกำลังยุ่งกับงานอยู่ ก็เหมือนนายน่ะแหละ ทำงานทีไร ลืมสิ่งรอบตัวทุกที”
ไพศิษฐ์เถียง “ไม่ลืมได้ยังไง? นายก็รู้ จนป่านนี้ ฉันยังตามจับตัวคนที่ฆ่าเสี่ยปิงไม่ได้เลย ไหนจะคดีปาระเบิดใส่รถท่านสุบรรณอีก จะบ้า! จู่ๆ คนร้ายหายไปได้ยังไง”
“ก็นายบอกว่าอาจจะเป็นคนของกลุ่มนินจัตสุ”
“สายสืบของฉัน ยังสรุปไม่ได้เลยว่ะ คงต้องรอไปก่อน จนกว่าหลักฐานทุกอย่างจะครบ มัดตัวคนร้ายได้ และหนึ่งในนั้น ฉันเชื่อว่าต้องมีชื่อเจ้าอุรคาอยู่ด้วยแน่ๆ”
ภุชคินทร์หน้าเจื่อน เหมือนไม่อยากได้ยินชื่อนั้น สายตาสองหนุ่มมองไปที่ด้านหน้าเห็นไทยมุงมุงดูอะไรกันอยู่ รถหวอมูลนิธิ รถตำรวจ ออกันอยู่เต็ม
“มีเรื่องแน่เลยวะ จอดดูหน่อยนะเพื่อน”
ภุชคินทร์พยักหน้า “ฮื่อ”
ไพศิษฐ์จอดรถเข้าที่ข้างทางทันที
ครู่ต่อมา ไพศิษฐ์กับภุชคินทร์แหวกคนเข้าไปที่ข้างทาง แล้วก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ในสภาพกระจกด้านคนขับแตกละเอียด และชายคนหนึ่งถูกยิงเลือดท่วมตัวอยู่ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ และฝ่ายเก็บหลักฐาน ช่วยกันทำงานตามหน้าที่แข็งขัน ภุชคินทร์มองหน้าชายผู้นั้นก่อนหันมาถามไพศิษฐ์
“คุณหมอรุ่งโรจน์ เพื่อนของท่านสุบรรณใช่มั้ย”
“ใช่! เจอหนักอีกแล้วฉันงานนี้”
ไพศิษฐ์ว่าพลางทำหน้าเครียด ก่อนเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับตำรวจ ภุชคินทร์ยืนอยู่ด้านนอก มองการทำงานอย่างสลด แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นยมนาเดินมา
ภุชคินทร์จำได้แม่นว่าเคยเห็นยมนามากับเจ้าอุรคาในงานเลี้ยงรับรองแขกต่างประเทศของสุบรรณ
ภุชคินทร์เขม้นตามองยมนาที่เดินไปยังศพของหมอรุ่งโรจน์ ขณะที่ไพศิษฐ์เดินมาถาม
“จ้องอะไรวะชาย ตาจะถลนอยู่แล้ว”
“ฉันเห็นผู้ชายคนนั้น เดินไปที่ศพของหมอรุ่งโรจน์”
ไพศิษฐ์มองตามภุชคินทร์ แต่ไม่เห็นใคร หันมาถาม
“คนไหน”
“คนที่เคยมากับเจ้าอุรคา” ภุชคินทร์บอก
ได้ยินชื่อเจ้าอุรคา ไพศิษฐ์หูผึ่งขึ้นมาทันที
[ต่อจากตอนที่แล้ว]
นาฬิกาที่ข้อมือนาถสุดาบอกใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว นาถสุดาซึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้เอนยาวพักผ่อนในร้านด้วยท่าทางปกติ ร่างผอมบางคุดคู้เหมือนนอนกอดอะไรอยู่ จนเมื่อเข้าไปใกล้ๆ จึงเห็นว่าในมือของเธอถือไม้แกะสลักพญานาคอยู่
เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน นาถสุดาถึงสะดุ้งขึ้นมา แล้วก็ยิ่งตกใจหนักเมื่อเห็นตัวเองนอนอยู่ตรงนั้น
“เรามานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้ว...” มองไม้แกะสลักพญานาคในมือแล้วอึ้ง หยุดแค่นั้นงงมากๆ “ก็ตอนนั้นเราคุยอยู่กับเจ้าอุรคา
นาถสุดากวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางความมืด ยิ่งเห็นว่าร้านขายของเก่าเป็นเงาดูน่ากลัว กอปรกับเหมือนมีเสียงฝีเท้าดังแกรกๆ เป็นจังหวะช้าๆ นาถสุดาสะดุ้งอีก หันขวับไปมองทันที ถามออกไปเสียงสั่น ทั้งที่คุมตัวเองอยู่
“ใคร?”
เงียบไม่มีเสียงตอบ นาถสุดาลุกพรวดเดินไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วต้องร้องกรี๊ดเมื่อมะลิเดินพรวดมา
“ว้าย”
“คุณนาถคะ... มะลิเองค่ะ” สาวใช้รีบบอก
นาถสุดาหันมามองใจหายใจคว่ำ “แล้วทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียง ไฟเฟยก็ไม่เปิด”
“ก็มะลิเห็นว่าคุณนาถหลับอยู่น่ะค่ะ”
นาถสุดาถามรัวเร็ว “แล้วฉันมานอนที่นี่ได้ยังไง? แล้วเจ้า...เจ้าอุรคาล่ะ”
มะลิทำหน้างง ย้อนถาม “ใครคะเจ้าอุรคา?...มะลิก็เห็นคุณนาถนอนอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว”
นาถสุดายืนอึ้ง แทบไม่ได้ฟังมะลิพูดต่อว่าอะไร
“เอ่อ...เห็นว่าคุณนาถนอนอยู่ มะลิเลยยังไม่กลับ อยู่เป็นเพื่อนคุณนาถก่อนน่ะค่ะ”
นาถสุดาตั้งสติ เสียงพูดอ่อนลง “ถ้าอย่างนั้นมะลิกลับเถอะ ฉันก็จะกลับเหมือนกัน” วางไม้แกะสลักลง คว้ากระเป๋าหยิบเงินให้ “อ่ะ ค่าแท็กซี่”
“ขอบคุณค่ะ”
มะลิยกมือไหว้ รับเงินแล้วเดินออกไป นาถสุดาหยิบไม้แกะสลักขึ้นมามองถามตัวเองงงๆ
“ก็จำได้ ตอนนั้นเรายื่นไม้แกะสลักให้เจ้าอุรคา แล้วเจ้าอุรคาไปไหน”
นาถสุดาพึมพำถามตัวเอง น้ำเสียงสงสัยไม่คลาย
เจ้าอุรคาในร่างงูตัวใหญ่นอนอยู่บนแท่นในห้องลับที่เฮือนภูจำปา ค่อยๆ เลื้อยลงมาตรงพื้น ผ่านร่างของชรายุที่ยืนนิ่งท่าทางนอบน้อม แล้วเลื้อยเรื่อยๆ ออกไปด้านนอก
ที่แท้งูใหญ่เลื้อยมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของพันเอกนรินทร์ ก่อนที่จะกลายร่างเป็นเจ้าอุรคา ในขณะที่ห้องพระด้านในบ้าน นรินทร์นั่งสมาธิอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองด้วยสีหน้าสงบ ไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด จากนั้นจึงลุกเดินออกมาด้วยท่าทางนิ่งๆ ไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด
ร่างของเจ้าอุรคากลายเป็นนางพญาผู้งดงามและสง่ายืนหันหลังอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ครั้นพอผู้พันนรินทร์เดินออกมา เจ้าอุรคาจึงหันมา นรินทร์พูดทักทายด้วยเสียงอ่อนโยน
“ในเมื่อท่านไม่ได้ไม่ได้มีจิตคิดร้าย ต่อลูกสาวผม และยังปรารถนาจะใช้เป็นสื่อในการสร้างกุศลผมก็จะไม่ขัด เพราะถึงวาระที่ท่านและนาถสุดาจะได้สร้างบุญร่วมกัน ผมขออนุโมทนา”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มอ่อนโยนท่วงทีงามสง่า “ยินดีด้วยกับการปฏิบัติ ที่ทำให้จิตท่านละเอียด และทำให้ท่านสัมผัสได้กับมิติพิเศษ บุญท่านจะสูงกว่านี้ ขอจงสร้างความเพียรต่อไป”
ผู้แปลกหน้าทั้งสองคนยิ้มทอดไมตรีให้กัน
ระหว่างนั้นยามของหมู่บ้านขี่จักรยานมาตรวจตามปกติ ร้องทักผู้พันนอกราชการอย่างคุ้นเคย
“ดึกแล้ว ทำไมมายืนคนเดียวล่ะผู้พัน รอคุณนาถหรือครับ”
นรินทร์ได้แต่ยิ้ม ไม่ยอมตอบ ยามขี่จักรยานต่อไป ไม่มีวี่แววที่ยามจะเห็นเจ้าอุรคาแต่อย่างใด
เช้าวันต่อมาที่วังนาเคนทร์ ภุชคินทร์นั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ พลางคุยโทรศัพท์กับไพศิษฐ์ที่บังอยู่บ้าน และโทร.มาระบายเรื่องคดีความที่เกิดขึ้นถี่ๆ ระหว่างนี้
“ฉันล่ะโคตรกลุ้มใจเลยว่ะชาย ไม่มีเบาะแสอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคดีเสี่ยปิง หมอรุ่งโรจน์แล้วก็คนร้ายที่หนีไปจากห้องขัง ตั้งแต่ทำคดีมา ไม่เคยมีงานไหนทำให้ฉันปวดหัว เท่ากับงานนี้จริงๆ”
ภุชคินทร์ถามลุ้นๆ เหมือนอยากไปด้วย “แล้วนายจะไปตามหาคนหายที่บ้านเจ้าอุรคาอีกหรือเปล่า”
“ตามได้ยังไง ก็เจ้าเค้ายืนยันแล้ว ว่าไม่ใช่คนของเค้า ส่วนอีกสองคดี ก็ยังมืดแปดด้าน”
ภุชคินทร์รู้สึกผิดหวังหน่อยๆ ที่ไพศิษฐ์ไม่ไป “ก็นายบอกเองว่า เจ้าอุรคาอาจจะเป็นกลุ่มนินจัตสุเธออาจพัวพันกับทุกคดีก็ได้”
ไพศิษฐ์พูดเบาๆ “กลุ่มนินจัตสุ สายลับ จารสตรี? เออ..แค่นี้ก่อนนะชาย ฉันมีงานต้องทำ”
ไพศิษฐ์วางสาย สายตาเหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนที่จะคว้ากุญแจรถเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ด้านภุชคินทร์มองมือถืองงๆ ไม่เข้าใจไพศิษฐ์
มณีสวาท ตอนที่ 4 (ต่อ)
นาถสุดาขับรถเข้ามาในวังนาเคนทร์แล้ว ในขณะที่ภุชคินทร์กำลังจะปิดคอมพิวเตอร์ แต่มือเกิดไปคลิกเข้ากับหน้าหนึ่งในคอมพิวเตอร์ ซึ่งหน้าจอขึ้นเป็นภาพรอยเท้าพญานาคอย่างที่ภุชคินทร์เคยเห็น
ภาพต่อมาเป็นเครื่องประดับทั้งสามแบบของเจ้าอุรคา มรกต ครุฑธิการ และนาคสวาท ราชนิกูลหนุ่มเขม้นตามองอย่างสนใจ ครั้นพอกวาดสายตามอง แล้วก็เห็นตัวหนังสือขึ้นกำกับว่า ตำนานนาคีเทวี ภุชคินทร์อ่านอย่างสนใจ ส่วนที่หน้าห้อง นารีวรรณเดินมาเคาะประตูพอดี
“พี่ชายคะ พี่ชาย”
ภุชคินทร์สะดุ้งหันไปถาม “ว่าไงหนูนา”
“คุณนาถสุดามาหาค่ะ”
ภุชคินทร์พึมพำอย่างแปลกใจ “คุณนาถมา” ตะโกนออกไปบอกกับนารีวรรณ “เดี๋ยวพี่ลงไปจ้ะ”
“ค่ะ”
นารีวรรณ หรือ หนูนาเดินกลับลงไป ขณะที่ภุชคินทร์หันมามองตำนานนาคีเทวีอย่างสนใจ ก่อนปิดคอมพิวเตอร์ท่าทางเสียดาย เพราะไม่ได้เซฟเก็บเอาไว้
ไม่นานหลังจากนั้น นาถสุดาบอกกับภุชคินทร์ด้วยท่าทางตื่นเต้น เหมือนไม่เคยมาก่อน
“นาถอยากชวนคุณชายไปหาเจ้าอุรคาค่ะ”
ภุชคินทร์แปลกใจมาก “อะไรนะครับ คุณนาถชวนผมไปหาเจ้าอุรคา”
“ค่ะ พอดีนาถมีเรื่องจะคุยกับเจ้าอุรคา ตอนแรกว่าจะชวนคุณศิษฐ์ แต่คิดไปคิดมา คุณศิษฐ์ไม่ค่อยชอบเจ้าอุรคาเท่าไหร่ นาถเลยชวนคุณชายแทน อย่างน้อย...คุณชายก็พอจะคุ้นเคยกับเจ้าอุรคาอยู่บ้าง”
ภุชคินทร์รีบออกตัวเหมือนสันหลังหวะ “เปล่านะครับ ผมไม่ได้คุ้นเคยอะไรกับเจ้าเลย”
“อ้าว! ก็วันนั้น นาถเห็นคุณชายไปหาเจ้าถึงที่บ้าน”
ภุชคินทร์อึกอัก รู้สึกอายไปในบัดดล เพราะวันนั้นที่ว่า เขาจุมพิตเจ้าอุรคา รีบบอกนาถสุดา
“ไปคุยธุระน่ะครับ”
“งั้นวันนี้ก็ไปเป็นเพื่อนนาถคุยธุระอีกสิคะ จะได้เจอเจ้าอุรคาด้วย” นาถสุดาพูดเหมือนเกรงใจที่ต้องรบกวน “นาถเองก็ยังไม่เคยไปหาเธอที่บ้านตามลำพังเหมือนกัน” รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นพูดอ้อน “ไปด้วยกันนะคะ”
ภุชคินทร์อยากไป แต่อายเรื่องเมื่อวันก่อน “เอ่อ...วันนี้คงไม่ได้น่ะ....พอดีมีงานด่วนต้องทำ”
“ว้า..เสียดายจัง ไม่เป็นไรค่ะ นาถไปคนเดียวก็ได้ งั้นนาถกลับก่อนนะคะ”
นาถสุดายิ้มให้แล้วเดินออกไป ลับร่างนาถสุดาภุชคินทร์พึมพำกับตัวเอง
“จะอายเจ้าอุรคาทำไมวะภุชคินทร์ นายไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
ภุชคินทร์เดินเสียดายไปมา ก่อนนึกได้
“ตำนานนาคีเทวี”
คิดได้อย่างนั้นภุชคินทร์ก็สาวเท้ากลับขึ้นไปบนห้องทันที
ภุชคินทร์เปิดประตูห้องเดินลิ่วตรงไปยังโต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เครื่องพร้อมทำงาน ภุชคินทร์ก็กดเซิร์ชหา ตำนานนาคีเทวี แต่ไม่เห็นข้อมูลหน้านั้นแต่อย่างใด
“ตำนานนาคีเทวี หายไปไหน”
ภุชคินทร์กดเข้ากูเกิ้ล กดแทบทุกคำ ตำนานนาคีเทวี, นาคีเทวี, นาค, ตำนาน แต่ก็ไม่มีแต่อย่างใด
“ไม่มีตำนาน นาคีเทวี เป็นไปได้อย่างไร”
ภุชคินทร์ถามตัวเองด้วยความงุนงงยิ่ง ก่อนทำท่าหัวเสียเมื่อนึกได้
“ตะกี้ก็ไม่ได้เซฟไว้ซะด้วย ภุชคินทร์เอ๊ย”
ที่เฮือนภูจำปา แม้จะเป็นตอนเช้า แต่บรรยากาศรอบๆ บริเวณกลับดูอึมครึมน่ากลัว ไพศิษฐ์ขับ
รถมาจอดด้านหน้า กวาดสายตามอง พึมพำ
“จะกลางคืนหรือกลางวัน ก็เหมือนปราสาทผีดิบอยู่ดี”
ไพศิษฐ์เดินลงไปจะตรงไปกดกริ่ง แต่ประตูกลับเปิดออก ไพศิษฐ์ผงะ ก่อนทำหน้าหัวเสีย ไรวะเป็นอย่างนี้อีกแล้ว และชรายุก็ก้าวออกมา บอกเสียงเย็น
“เจ้าอุรคารออยู่ด้านใน”
ไพศิษฐ์ทำหน้าทึ่งๆ อะไรรู้อีกแล้วเหรอ? ชรายุมองไพศิษฐ์ บอกเสียงเย็นมากกว่าเดิม
“คุณคงไม่ได้มาหาฉันหรอกกระมัง”
ชรายุพูดแค่นั้นก็เดินนำเข้าไป คราวนี้ไพศิษฐ์ยิ้มขำ
“มันก็จริง เฮ้อ! จะนายหรือบ่าว แปลกประหลาดเหมือนกัน”
ไพศิษฐ์เดินตามชรายุเข้าไป พร้อมกับกวาดสายตามองดูรอบๆ แต่พอหันมาอีกที ชรายุก็หายไปอีกแล้ว
ครู่ต่อมาไพศิษฐ์เดินเข้าไปในตัวเรือน เห็นของประดับตกแต่ง เป็นรูปสลักมากมาย แลดูเข้มขลัง แต่ที่สะดุดตาคือรูปสลักพญานาคขนาดใหญ่ ขดอยู่บนฐานสูงมุมสุดในห้อง ไพศิษฐ์แทบสะดุ้ง เมื่อเห็นดวงตาของนาคตัวนั้นแดงโปน เหมือนเฝ้ามองเขาตลอดเวลา ขณะที่ด้านหลังนาคตัวนั้นมีเจ้าอุรคาเคลื่อนกายเข้ามา
“สนใจนาคินีมากหรือคะ”
ไพศิษฐ์หันกลับไป ก็เห็นเจ้าอุรคายืนอยู่ เธอมาแบบเงียบๆ เหมือนหายตัวมา
“ก็แปลกดีครับ...ขอโทษที่มารบกวนเจ้า”
“คุณมาตามหน้าที่ ดิฉันเต็มใจต้อนรับ”
ปากบอกว่าต้อนรับแต่สุ้มเสียงเจ้าอุรคาเย็นยะเยือกจนไพศิษฐ์นึกเกรง จนต้องออกตัว
“วันนี้วันหยุด ท่านสุบรรณพักผ่อนอยู่กับบ้าน ผมเลยถือโอกาสมาเยี่ยมเจ้า”
“คุณยังค้างคาใจเรื่องคนร้ายที่หายไปหรือคะ? ดิฉันบอกแล้วไงว่าไม่รู้จัก”
“เจ้าบอกผมแล้วครับ แต่ที่ผมมา เพราะอยากให้เจ้ารู้ว่า ตอนนี้ท่านสุบรรณกำลังถูกปองร้าย”
เจ้าอุรคาเน้นคำขณะย้อนถาม “ผู้กองคิดว่าจะมีคนเก่งกล้าสามารถพอที่จะปองร้ายท่านสุบรรณได้หรือคะ”
“ก็คนร้ายที่ตั้งใจขว้างระเบิดใส่รถของท่านไงล่ะครับ” ไพศิษฐ์มองจับสังเกต “ผมเห็นเจ้าค่อนข้างสนิทสนมคุ้นเคยกับท่านสุบรรณเลยอยากรบกวน ถ้าเจ้ามีเบาะแสอะไรน่าสงสัยเจ้าแจ้งมาที่ผมได้เลยทุกเวลา”
“ค่ะ”
“งั้นผมลานะครับ โอกาสหน้าจะมาหาใหม่”
“เชิญค่ะ ถ้าคุณมาได้”
เจ้าอุรคายิ้มเยือกเย็น ไพศิษฐ์นึกฉุกท่าทางนั้น ค้อมศีรษะแล้วเดินออกไป ขณะที่เจ้าอุรคาเดินเข้าไปข้างใน ไพศิษฐ์หันกลับไปมองก็เห็นร่างของเจ้าอุรคาเดิน ลักษณะเยื้องกราย ไพศิษฐ์พึมพำ
“แปลกคนจริงๆ”
ไพศิษฐ์ได้แต่ค่อนขอด ไม่ได้นึกสงสัยเจ้าอุรคามากไปกว่านั้น แต่พอหันมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นนาถสุดายืนอยู่ ในมือถือถุงใส่นาคแกะสลักด้วย
“นาถ”
“คุณศิษฐ์”
นาถสุดาตกใจเหวอพอกัน
ครู่ต่อมา ไพศิษฐ์ลากนาถสุดาจะพาออกไปที่รถตรงหน้าประตูเฮือน ขณะที่นาถสุดายื้อมือไว้
“ปล่อยนาถนะคะคุณศิษฐ์ ปล่อย!”
“ก็นาถพิเรนทร์ มาทำอะไรที่นี่?”
นาถสุดาเถียง “พิเรนทร์ตรงไหนคะ? นาถก็แค่เอาของมาให้เจ้าอุรคา”
ไพศิษฐ์ฉงน “ของอะไร”
โดยไม่รอให้แฟนสาวตอบ ไพศิษฐ์คว้าถุงในมือนาถสุดา ล้วงออกมาดูแล้วก็เห็นเป็นนาคแกะสลัก
“นาถเอานาคแกะสลักมาทำไม”
“ก็เจ้าอุรคาเธออยากได้”
ไพศิษฐ์มองแฟนสาวอย่างแปลกใจ
“เมื่อก่อน นาถไม่ได้ชอบ หรือว่าสนใจเจ้าอุรคาขนาดนี้นี่? แล้วทำไมตอนนี้...”
นาถสุดาสวนคำออกมา “ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ ในเมื่อเจ้าอยากได้ นาถก็เอามาให้เท่านั้นเอง” แล้วมองหน้าไพศิษฐ์ “คนเราดีๆ กันไว้ดีกว่าค่ะ” จากนั้นก็เบี่ยงตัวหลบจากไพศิษฐ์จะเดินเข้าไป
ไพศิษฐ์คว้ามือกระชากกลับมา “อย่าเข้าไปนะนาถ ในนั้นน่ากลัว”
นาถสุดาเถียง “น่ากลัวตรงไหนคะ”
“ก็อย่างที่นาถเคยเห็น”
“ไม่เห็นมีอะไรเลยค่ะ นาถว่าที่นี่ร่มรื่น บรรยากาศดี น่าอยู่ดีออก” นาถสุดาดึงดันจะเข้าไปอีก
ไพศิษฐ์มองตาขวางพูดเสียงดุ “อย่าเข้าไปนาถ ถ้าไม่อยากมีเรื่องกับผม”
นาถสุดาชักโกรธ “เป็นบ้าอะไรไปคะคุณศิษฐ์”
ไพศิษฐ์ย้อน “คุณน่ะแหละ เป็นบ้าอะไรไปนาถ จู่ๆ ถึงญาติดีกับคนในนี้ กลับ”
นาถสุดามองหน้าไม่พอใจ ไพศิษฐ์ดุอีก
“ผมบอกให้กลับ”
นาถสุดาหน้าง้ำ มองมาทีท่างอนๆ “ได้ แต่ยังไง นาถก็ต้องมาหาเจ้าอุรคาให้ได้ล่ะ”
ในท่าทีฉุนเฉียวนาถสุดาพูดพร้อมกับกระชากถุงที่ใส่ไม้แกะสลักนาคขึ้นรถกลับไป ไพศิษฐ์มองตามอย่างหัวเสีย ก่อนจะขึ้นรถขับตามออกไป
สองคนไม่รู้ว่าที่ด้านใน เจ้าอุรคายืนนิ่ง ยิ้มพอใจ
ไพศิษฐ์เดินขึ้นมาบนโถงกลางของสถานีตำรวจอย่างหัวเสีย สั่งจ่าชิดลูกน้องคู่ใจทันที
“ผมขอทราบประวัติเจ้าอุรคา ณ ภูจำปา โดยละเอียด”
“ครับผู้กอง”
จ่าชิดรับคำท่าทีแข็งขัน ส่วนไพศิษฐ์ครุ่นคิดหนัก
คืนนั้นที่ร้านอาหารเล็กๆ ของพะนอฤดี ที่จัดแต่งบรรยากาศสไตล์น่ารัก สบายๆ เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีเดินเข้ามานั่งในร้านด้วยกัน พะนอฤดีที่กำลังตรวจดูความเรียบร้อยในร้านเห็นก็ตาโต
“ยัยซอมบี้นี่”
พะนอฤดีคว้าเมนูขึ้นมาบังหน้า กระเถิบตัวไปใกล้ๆ ขณะที่สองแม่ลูกทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ในสักมุม เด็กเอาน้ำมาเสิร์ฟและรับออเดอร์ เฟื่องฟ้ากวาดสายตามองไปรอบๆ พลางบ่น
“ทำไมพาแม่มากินร้านเล็กๆ แบบนี้ล่ะลูก ค่ำๆ แบบนี้น่าจะไปโรงแรมกินบุฟเฟ่ต์อินเตอร์ก็ยังดี”
เฟื่องวลีกระซิบบอกเบาๆ “โรงแรมแพงเกินไปค่ะ ร้านเล็กๆ แบบนี้ล่ะดีแล้ว ไม่งั้นต้องเสียค่าเซอร์วิสชาร์ตแล้วยังภาษีอะไรบ้าๆ อีกไม่รู้”
พะนอฤดีที่อยู่ด้านหลัง แอบยิ้มขำได้ยินที่เฟื่องฟ้าเอ่ยขึ้นอีก
“แต่มันหรูนี่ลูก”
“ฟีบี้รู้ค่ะว่าหรู แต่บอกแล้วไงคะว่ามันแพง ไว้ฟีบี้ได้เป็นภรรยาพี่ชาย เจ้าของวังนาเคนทร์เมื่อไหร่ คุณแม่จะกินหรูแค่ไหน ฟีบี้จะพาไปค่ะ”
พะนอฤดีหน้าตึง แล้วยิ่งตึงหนักเมื่อได้ยินคุณเฟื่องฟ้าแนะลูกสาวอีก
“งั้นลูกก็ต้องเดินหน้าลุยให้มากกว่านี้ ถ้าแบบแรงๆ ใจกล้าไม่เวิร์ค ก็ลองแบบแอ๊บๆ ดูสิ บางทีคุณชายอาจะชอบแบบใสๆ ซื่อๆ คิกขุๆ น่ารักๆ ก็ได้นะลูก”
“จริงด้วยค่ะ บางทีพี่ชายอาจจะชอบแบบ” เฟื่องวลีทำท่าคิกขุไปด้วย “น่าร็อกอ่ะ”
พะนอฤดีทำท่าไม่ไหวจะอาเจียนออกมา สองแม่ลูกหันขวับ เฟื่องวลีชี้หน้าพะนอฤดี
“เธอ”
พะนอฤดีแหวใส่ “เธอไหน? เธอกับใคร? ฉันเจ้าของร้านย่ะ!”
“เจ้าของร้าน! มิน่า ร้านถึงได้เก่าๆ โทรมๆ ไร้รสนิยมแบบนี้”
เฟื่องฟ้าผสมโรงทันที “ใช่! ไม่มีรสนิยม”
“แล้วคนมีรสนิยม มาที่นี่ทำไมค้า... ทำไมไม่ไปโรงแรมดีๆหรูๆหรือว่า” พลางพะนอฤดีทำเลียนเสียงล้อเฟื่องวลีเมื่อครู่ “ค่าเซอร์วิสชาร์ตมันแพง ค่าภาษีบ้าๆ อะไรอีก”
สองแม่ลูกชี้หน้าด่าพร้อมกัน “แก...”
พะนอฤดีสวนขึ้น “แกไหน? แกกับใคร? ฉันเจ้าของร้าน ถ้าไม่พอใจจะอยู่ ก็เชิญ!”
สองแม่ลูกเนื้อตัวสั่นโกรธมากกว่าเดิมเรียกจิกพร้อมกันอีก “แก”
พะนอฤดีกระแทกเสียง “เชิญ เชิญ เชิญ เชิญ เชิญ” มองของบนโต๊ะพลางพูดเหยียดหยาม “ค่าน้ำ ค่าแอร์ ฟรี เชิญ”
“ไม่ต้องเชิญก็ไปย่ะ ไปค่ะคุณแม่” เฟื่องวลีคว้ามือมารดา
เฟื่องฟ้ารีบลุกขึ้นตามลูก “ไปค่ะคุณลูก”
สองแม่ลูกเดินเชิดหน้าคอตั้งออกไป พะนอฤดีมองตามหน้าคว่ำ
“ต๊าย...แม่ลูก แท็คทีมกัน นี่ฉันเจอคู่แข่งระดับแอดว้านซ์เลยนะเนี่ย”
สุบรรณนั่งจมอยู่ในความมืดตรงโถงกลางของคฤหาสน์หลังใหญ่ ในมือถือเครื่องดื่ม ท่าทางเมาๆ มองไปที่มือถือ ทำท่าจะคว้าขึ้นมา แต่เปลี่ยนใจ บอกกับตัวเองเหมือนน้อยอกน้อยใจ
“อุตส่าห์เป็นห่วง แต่เจ้าอุรคาก็ไม่เคยติดต่อเราเลย” สุบรรณคิดๆ แล้วโกรธขึ้นมา “ไม่...เจ้าอุรคาไม่เคยติดต่อเราเลย เราจะติดต่อเจ้าทำไม”
สุบรรณมองมือถืออีกแล้วคำราม
“คนอย่างนายสุบรรณไม่เคยง้อผู้หญิง ก็ให้มันรู้ไปว่านายสุบรรณจะต้องง้อเจ้าอุรคา”
สุบรรณหยิบมือถือขึ้นมา เหวี่ยงไปบนเตียง จากนั้นก็เมาต่อ
วันต่อมาที่สภา ทุกคนออกมาจากห้องประชุม แต่ละคนหน้าเครียด นักข่าวกรูกันเข้ามาหาสุบรรณ
“จริงหรือเปล่าคะท่านสุบรรณ ที่ท่านมีคำสั่งให้ทำคดีนายแพทย์รุ่งโรจน์เป็นกรณีพิเศษ”
“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใส่ใจทุกคดีอยู่แล้วครับ แต่คดีของคุณหมอรุ่งโรจน์อาจจะเป็นกรณีพิเศษเพราะคนร้ายยิงถล่มใส่ท่านกลางถนน เป็นคดีอุจฉกรรจ์” สุบรรณตอบขึงขัง
“แต่มีข่าวว่าท่านสั่งให้ปิดคดีนี้อย่างเร่งด่วน เพราะกลัวจะมีข่าวพาดพิงมาถึงท่าน” นักข่าวอีกคนเปิดประเด็น
สุบรรณย้อนถาม “พาดพิงอะไร ผมไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับนายแพทย์รุ่งโรจน์อยู่แล้ว”
ไพศิษฐ์กับภุชคินทร์ที่เดินตามมาทางด้านหลังหันไปมองหน้ากันสงสัยพอกัน ไม่สนิทได้ยังไง? นักข่าวถามอีก
“มีข่าวว่า ช่วงนั้นท่านตั้งใจไม่อยู่เมืองไทย แต่ท่านไปประเทศเพื่อนบ้าน”
“ผมก็อยู่นี่ครับ ไม่ได้ไปไหน” สุบรรณตัดบท “ขอตัวก่อนนะครับ มีประชุมต่อ”
สุบรรณเดินไปเลย โดยมีอำนาจเดินตามหลังไป สุบรรณกระซิบถาม
“เจ้าอุรคาติดต่อมาบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
คำตอบที่อำนาจบอก ทำให้สุบรรณหัวเสียยิ่งกว่าเดิม
ขณะที่ด้านหลัง ภุชคินทร์พูดกับไพศิษฐ์เบาๆ
“ดีที่คุณน้าภิงคารไปต่างประเทศ ไม่อย่างนั้นต้องถูกถามเรื่องเจ้าอุรคากับคดีคนร้ายหายแน่” ภุชคิทร์หันมาถามไพศิษฐ์เบากว่าเมื่อครู่ “เออ..ทำไมท่านสุบรรณถึงบอกว่าไม่สนิทกับหมอรุ่งโรจน์วะศิษฐ์”
“คงไม่อยากตอบคำถามยาวๆ มั้ง แต่ฉันสงสัยว่าท่านสุบรรณกำลังตกเป็นเป้านิ่ง”
ภุชคินทร์ฉงน “ทำไม”
“ก็..คนที่ตายช่วงนี้ ล้วนแล้วแต่เคยเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับท่านสุบรรณทั้งนั้นเลยน่ะสิ” ไพศิษฐ์บอก
อีกวันถัดมาเสี่ยทรงยศอยู่ที่คฤหาสน์ กำลังโยนหนังสือพิมพ์ในมือลงพื้นหัวเราะชอบใจ ทำเสียงเยาะ
“ได้ดัง สมใจเชียวนะท่านสุบรรณ ได้ลงข่าวทุกฉบับ”
อากรซึ่งอยู่ตรงนั้นด้วยพร้อมกับสมศักดิ์ เอ่ยขึ้น “แต่มันก็เข้าใจเลี่ยงนะครับ ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนตาย”
ทรงยศเยาะ “ส่งส่วยกันจนอิ่ม จะไม่เกี่ยวได้ยังไงวะ ทั้งไอ้หมอรุ่งโรจน์ ทั้งไอ้เสี่ยปิง มันทำงานกับไอ้สุบรรณหมด”
“แต่ผมว่าดีออกครับ ยิ่งไอ้สุบรรณมันโกหก คนยิ่งต้องการขุดคุ้ย”
“ดี! ขุดออกมาให้หมด จะได้รู้เช่นเห็นชาติ ว่าความจริงแล้ว ไอ้สุบรรณมันเป็นคนยังไง ฮึ? พูดออกมาได้ จะกลับตัวเป็นคนดี ทุเรศ อากร สมศักดิ์!!
สองคนรับคำ “ครับ” พร้อมๆ กัน
“ใครใกล้ชิดไอ้สุบรรณ แกสองคนไปจัดการให้หมด อยากรู้นัก ถ้าคนตายมีพวกพ้องของมันอีก ไอ้สุบรรณ มันจะแก้ตัวยังไง”
เสี่ยทรงยศคำรามดุดัน ท่าทางแค้นหนัก
ตอนกลางวัน วันเดียวกันที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง หม่อมภาณีเดินมากับนารีวรรณ แล้วเอ่ยขึ้น
“แม่แค่ออกมาคุยกับเพื่อนนิดเดียวเอง ไม่รู้หนูนาจะมาตามแม่ทำไม”
“หนูนาเป็นห่วงคุณแม่นี่คะ อีกอย่าง พี่ชายก็กำชับด้วย ช่วงนี้อย่าให้คุณแม่ไปไหนมาไหนคนเดียว คุณแม่ก็เห็น” นารีวรรณลดเสียงพูดเบาลง ขณะบอกมารดาในประโยคต่อมา “ช่วงนี้มีแต่ข่าวคนถูกฆ่าตาย”
“แม่ไม่ใช่เป้าหมายคนร้ายสักหน่อย ไม่มีอะไรหรอกลูก”
“ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะคะคุณแม่ คนเราทุกวันนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจ”
“มันก็จริง คนเราทุกวันนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจ”
หม่อมภาณียิ้มให้นารีวรรณ สองคนเดินตรงไปยังล็อบบี้ แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นเจ้าอุรคาเดินมา
“นั่นเจ้าอุรคานี่คะคุณแม่”
ยังไม่ทันที่หม่อมภาณีจะพูดอะไร เจ้าอุรคาก็เดินเข้ามาหา พร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมชดช้อย
“สวัสดีค่ะหม่อม”
หม่อมภาณียิ้มแฉ่ง “ดิฉันกำลังอยากเจอเจ้าอยู่พอดีเลยค่ะ”
เจ้าอุรคาแสร้งถาม “มีเรื่องอะไรหรือคะ”
ไม่นานต่อมา สามคนนั่งจิบกาแฟด้วยกันในมุมหนึ่งของล็อบบี้ หม่อมภาณีบอกเจ้าอุรคาด้วยท่าทางสนใจ
“ดิฉันอยากทราบประวัติเครื่องประดับประจำตระกูลของเจ้าน่ะค่ะ”
“ทำไมคะ”
“ก็...” หม่อมทำหน้าทึ่งๆ ขณะพูด “เครื่องประดับประจำตระกูลของเจ้า มันมีความพิเศษ เอ่อ ที่ว่าพิเศษดิฉันไม่ได้หมายถึง ความสวยงามหรือราคาหรอกนะคะ แต่ที่น่าสนใจพิเศษก็ตรงที่มันดูเหมือนมันมีชีวิตมีความน่าค้นหาจนดิฉันอดสนใจไม่ได้ เจ้าพอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยคะ ทั้งมรกต ครุฑธิการ และนาคสวาท มีความเป็นมาอย่างไร”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มอย่างพอใจ “คุณชายไม่เคยเล่าให้หม่อมฟังหรือคะ”
หม่อมภาณีกับนารีวรรณมองหน้ากันอย่างงวยงง แล้วหม่อมภาณีก็เป็นคนย้อนถาม
“ไม่ค่ะ...เอ๊ะ! เจ้าเคยเล่าให้ชายฟังด้วยหรือคะ”
“ค่ะ”
สายตาของหม่อมแห่งวังนาเคนทร์มองมาอย่างสงสัย ประมาณว่าสองคนไปคุ้นเคยกันได้ยังไงตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าอุรคาอ่านออกเลยรีบบอก
“ดิฉันกับคุณชายรู้จักกัน “เรา” เคยอยู่ที่เดียวกันมาก่อน แล้วก็ “สนิท” กันมาก” เฉพาะตรงคำว่าเรากับสนิท เจ้าอุรคาเน้นเสียงเป็นพิเศษ
หม่อมภาณียิ่งงงไปใหญ่ “อ้อ! เหรอคะ”
หม่อมภาณียังทำหน้างงอยู่อย่างนั้น ทำไมตนไม่รู้เรื่อง ระหว่างนั้นคุณหญิงท่านหนึ่งเดินมาเห็นหม่อมภาณีจึงเข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะหม่อม”
“สวัสดีค่ะคุณหญิงอัญชลีพร”
คุณหญิงอัญชลีพรมองเตือนๆ “ทุกคนรอหม่อมอยู่น่ะคะ จะได้สรุป งานการกุศลช่วยเหลือผู้ประสบภัยจะจัดเมื่อไหร่ดี”
หม่อมภาณีมองเจ้าอุรคาอย่างเกรงใจ เจ้าอุรคาจึงบอก
“เชิญหม่อมตามสบายค่ะ”
“งั้น ขอตัวซักครู่ค่ะ”
เจ้าอุรคายิ้มให้ หม่อมภาณีเดินออกไปกับคุณหญิงอัญชลีพร นารีวรรณยิ้มให้เจ้าอุรคาอย่างเป็นมิตร
ครู่ต่อมาสองสาวเดินมาตามทางเดินโรงแรม นารีวรรณมองเจ้าอุรคาอย่างปลื้มๆ ขณะบอก
“งานการกุศลครบรอบร้อยปีของสมาคมครั้งนี้จัดใหญ่เลยค่ะ วันงานเจ้ามาทำบุญด้วยกันนะคะ” รีบออกตัว “งานไม่น่าเบื่อหรอกค่ะ ภายในงานมีการแสดงด้วย”
เจ้าอุรคาถามด้วยเสียงอ่อนโยน “แสดงอะไรกันคะ”
“ก็..แล้วแต่ค่ะ หนูนายังไม่ทราบรายละเอียดเหมือนกัน บางทีก็ร้องเพลง เดินแบบ” นารีวรรณมองเจ้าอุรคาพลางบอก “ถ้าเจ้าเดินแบบ คนคงตะลึงกันทั้งงาน”
“ดิฉันเดินแบบไม่เป็นหรอกค่ะ ร้องเพลงก็ไม่ได้”
นารีวรรณมองเจ้าด้วยท่าทีปลื้มๆ อยู่อย่างนั้น “แค่เจ้าอยู่เฉยๆ ก็น่ามองอยู่แล้วล่ะค่ะ”
เจ้าอุรคายิ้มเอ็นดู “แต่ถ้าไปงานแล้วไม่ทำอะไร คงดูไม่ดี”
“งั้น...ถ้าเจ้ามีความสามารถพิเศษอะไร ก็เอามาแสดงก็ได้ค่ะ”
เจ้าอุรคายิ้ม พูดออกตัวดูมีเลศนัย “แล้วมันจะน่าสนใจหรือคะ”
“ก็แล้วเป็นอะไรล่ะคะ”
นารีวรรณถามอย่างสนใจ
เย็นนั้นที่วังนาเคนทร์ ภุชคินทร์คร่ำเคร่งอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ในห้อง หาตำนาน นาคีเทวีวุ่นวน
“หายังไงก็หาไม่เจอ ตำนานนาคีเทวี หายไปได้ยังไง”
ภุชคินทร์หาต่ออย่างหงุดหงิด เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมเสียงหม่อมภาณี
“แม่เข้าไปได้มั้ยจ๊ะชาย”
“เชิญครับแม่”
หม่อมภาณีเปิดประตูเข้ามาเอ่ยทักทาย “ทำงานอยู่หรือลูก”
“ครับ..คุณแม่มีอะไรครับ”
หม่อมภาณียิ้มย่อง “วันนี้แม่เจอเจ้าอุรคาด้วยละ ได้คุยกันนิดเดียวแม่ก็ต้องรีบไปเข้าประชุมกว่าจะเสร็จเจ้าก็กลับไปแล้ว ขอเบอร์โทร.เจ้าอุรคาให้แม่หน่อยสิชาย”
“ผมไม่มีหรอกครับ”
“อ้าว! ไม่มีได้ยังไง ก็เจ้าเป็นคนบอกเองว่าสนิทกับลูก เคยอยู่ที่เดียวกันมาก่อน แม่เลยจะมาถาม ลูกเคยเรียนที่เดียวกับเจ้าหรือ? ที่ไหนจ๊ะ? รัฐเดียวกับชาย หรือเคยเจอกันที่ยุโรป?” หม่อมยิงคำถามเป็นชุด
ภุชคินทร์อึ้ง ไม่รู้จะบอกยังไง หม่อมภาณีถามย้ำอีก
“ว่าไงลูก”
ภุชคินทร์เลยตอบเลี่ยงๆ “ก็...เคยๆ เจอกันที่เมืองนอกน่ะครับ”
หม่อมภาณียิ้มกริ่ม เข้าใจว่าลูกชายไม่อยากเล่า ภุชคินทร์ถามเบี่ยงประเด็น
“แล้วงานของคุณแม่จะจัดเมื่อไหร่ครับ”
“เดือนหน้าจ้ะ” หม่อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไม่รู้หนูนาไปกล่อมท่าไหน เจ้าอุรคาบอกจะมาร่วมงานด้วย”
ภุชคินทร์ทำหน้าตาทึ่ง คาดไม่ถึง
มณีสวาท ตอนที่ 4 (ต่อ)
ดึกมากแล้ว วังนาเคนทร์ตกอยู่ในความมืด เห็นเพียงแสงไฟตามมุมต่างๆ ภุชคินทร์ลงมาเดินเล่นในสวนหน้าตึก ถามตัวเอง
“ทำไมหมู่นี้ ชีวิตเราถึงได้เกี่ยวข้องกับเจ้าอุรคาเสียจริง”
จู่ๆ นารีวรรณวิ่งมาหา ร้องเรียก
“พี่ชาย”
ภุชคินทร์ยิ้มเอ็นดู “จ้ะหนูนา มีเรื่องอะไรจะเล่าให้พี่ฟัง ท่าทางตื่นเต้นจนปิดไม่มิดเลยนะ”
“วันนี้หนูนาเจอเจ้าอุรคาล่ะค่ะ”
ภุชคินทร์ทำหน้าเซ็ง ได้ยินชื่อนี้อีกแล้ว..ตอบเนือยๆ ทำเป็นไม่สนใจ “คุณแม่บอกพี่แล้ว”
“เจ้าบอกจะมาร่วมงานการกุศลของสมาคมคุณแม่ด้วยค่ะ”
“คุณแม่ก็บอกพี่แล้วเหมือนกัน”
นารีวรรณพูดอวด “แล้วคุณแม่บอกพี่ชายหรือยังคะ ว่าในงาน เจ้าอุรคาจะแสดงอะไร”
ภุชคินทร์ทำหน้างง “ยัง...เจ้าอุรคาจะแสดงอะไรหรือ”
“เธอทำอย่างนี้ค่ะ”
พูดจบนารีวรรณก็จับมือภุชคินทร์ออกมา แล้วล้วงลูกแก้วออกมาจากกระเป๋ากระโปรง วางลงไป
เสียงนารีวรรณเล่าให้ภุชคินทร์ฟังเป็นฉากๆ จนเห็นเป็นภาพตอนที่เจ้าอุรคาเอาลูกแก้วมาวางบนมือเด็กสาว
“เธอเอาลูกแก้วลูกนี้มาใส่ในมือหนูนา แล้วให้หนูนากำไว้ พึมพำอะไรไม่รู้ แป๊บเดียวเท่านั้นค่ะเธอก็บอกให้หนูนาแบมือ พี่ชายเชื่อมั้ยคะ”
“พี่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะให้เชื่ออะไร”
นารีวรรณทำเสียงตื่นเต้นมาก “ก็ลูกแก้วลูกนี้น่ะสิคะ มาอยู่ในกระเป๋ากางเกงของหนูนาเฉยเลย”
ภุชคินทร์หยิบลูกแก้วในมือหนูนาขึ้นมาดู เห็นเป็นเหมือนลูกแก้วที่เคยเล่นตอนตัวเองเป็นเด็ก แต่น้ำของมันสวยใสแวววาว เหมือนของมีค่า นารีวรรณเจื้อยแจ้วเล่าต่อ
“เจ้าอุรคา เก่งมากๆเลยค่ะ เล่นกลก็ได้ด้วย”
ภุชคินทร์แกล้งว่า “ไม่เห็นเก่งตรงไหนเลย ลูกแก้วนี่ก็ของเด็กเล่นเท่านั้น”
“ของเด็กเล่นที่ไหนคะ? เจ้าอุรคาเธอว่า เป็นกรวดพิเศษ ที่ไม่เคยมีใครเห็น มีเพียงพี่ชายเท่านั้นที่รู้จักดี”
ภุชคินทร์ฉงน “พี่น่ะนะ”
“ค่ะ” นารีวรรณเย้า “พี่ชายแก่แล้ว เลยขี้ลืม เหมือนเจ้าอุรคาบอกจริงๆ หนูนาง่วงแล้วไปนอนก่อนนะคะ ฝากลูกแก้วไว้กับพี่ชายก่อน พรุ่งนี้หนูนาจะมาเอาคืน กู๊ดไนท์ค่ะ”
นารีวรรณออกไปแล้ว ภุชคินทร์ถามตัวเองฉุนๆ
“เล่นอะไรของเค้าเนี่ย? บอกคุณแม่ว่าสนิทคุ้นเคย เคยอยู่ที่เดียวกับเรา แล้วยังบอกกับหนูนาอีกว่าเราเคยมีเจ้าลูกแก้วเนี่ย? มีที่ไหนกัน?”
ภุชคินทร์คิดถึงเจ้าอุรคา แล้วพาลโมโหท่าทีขวางๆ
เจ้าอุรคายืนมองภุชคินทร์นิ่งๆ แล้วอมยิ้มแต่ภุชคินทร์ไม่รู้ตัว
ขณะที่ภุชคินทร์ถือลูกแก้วเดินมาก่อนเก็บไว้ในกระเป๋า แล้วเดินไปรอบๆ วัง โดยมีเจ้าอุรคาเยื้องกรายเดินเคียงข้าง ภุชคินทร์ตลอดเวลา พอภุชคินทร์กำลังจะเดินขึ้นตึก แต่ต้องชะงักเมื่อเจอตาสินคนสวน กำลังเอาไฟฉายส่องดูบริเวณพื้นดินมุมหนึ่งอยู่ ภุชคินทร์ถาม
“ดึกป่านนี้แล้ว ยังไม่นอนอีกหรือตาสิน แล้วนั่นทำอะไรอยู่”
“ตรวจดูทั่วๆ วังน่ะครับคุณชาย บอกตรงๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้นแล้ว กลางคืน ผมคอยจะสะดุ้งอยู่เรื่อย ได้ยินเสียงอะไรก็ตื่น”
ภุชคินทร์แซวยิ้มๆ “พญานาคของตาสินน่ะหรือ? ป่านนี้เลื้อยลงบาดาลไปแล้วมั้ง เค้าคงไม่อยู่บนบกนานหรอก ไม่ต้องกลัว”
“โธ่! คุณชาย ไม่ให้กลัวได้ยังไงล่ะครับ ทุกคืนผมจะได้ยินเสียงเลื้อยแสกสากอยู่รอบๆ วัง บรื๋อ! หรือจะมาเป็นเจ้าที่เจ้าทางแทนพระภูมิก็ไม่รู้” ตาสินทำท่าสยอง
“ตาสินคิดว่าพระภูมิที่วังเรา ท่านไม่อยู่แล้วหรือ”
ตาสินลดเสียงพูดเบาลง “ผมเคยแอบพาอาจารย์ท่านมานั่งดูครับ ท่านบอกว่าพระภูมิไปแล้ว แต่มีเจ้าซึ่งมีอำนาจแรงกล้ามาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งคราว”
“เจ้า?” ภุชคินทร์งง
“ครับ เจ้า! แต่อาจารย์บอกผมว่าไม่ต้องกลัวหรอก เจ้าเค้ามาดีไม่ได้มาร้าย”
ภุชคินทร์เครียดขึ้นมาทันที แต่ใบหน้าของเจ้าอุรคาที่มองดูภุชคินทร์กลับละห้อย น่าสงสารมาก
ภุชคินทร์อยู่ในห้องแล้ว ล้วงลูกแก้วเอามาเก็บไว้ในกล่องเล็กๆ ในลิ้นชัก ไม่ได้สนใจอะไร แล้วทรุดตัวนั่งลงบนเตียง สีหน้าเคร่งเครียดใช้ความคิด ถามตัวเอง
“อย่าบอกนะว่าเจ้า ที่มาเยี่ยมวังเรา จะเป็นเจ้าอุรคา บ้าน่า ภุชคินทร์ คิดอะไรเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว”
ภุชคินทร์ล้มตัวลงนอน ข่มตาพยายามไม่คิดเรื่องใดๆ อีก
เช้าวันต่อมา นาถสุดากำลังทำอาหารเช้าอย่างคล่องแคล่ว ด้านหลังมีไพศิษฐ์กอดอกยืนมองอยู่ นาถสุดามึนตึง อย่างเห็นได้ชัด เรื่องวันก่อนที่เฮือนภูจำปา สองหนุ่มสาวโต้ แย้ง และเถียงกันไปมา
“ไม่ต้องมาเฝ้าหรอกค่ะ ยังไงนาถก็ทำเผื่ออยู่แล้ว ออกไปรอข้างนอกเถอะ”
“ได้ยังไง? เรายังไม่ได้คุยกันเลย จู่ๆ นาถไปสนิทสนมชิดเชื้อเจ้าอุรคาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้เอาของไปให้เค้าถึงบ้าน”
“ถึงไม่ต้องสนิท แต่คนเราถ้ามีน้ำใจ ก็ไปมาหาสู่กันได้ค่ะ”
“แต่ต้องไม่ใช่นาถกับเค้า”
“แล้วถ้าเป็นนาถกับเจ้าอุรคาแล้วจะทำไมคะ”
“ก็นาถเป็นคนบอกผมเอง ว่าเจ้าอุรคาเป็นคนน่ากลัว”
นาถสุดาพูดออกไปได้ยังไงไม่รู้ “เธอน่ากลัวสำหรับคนที่น่ากลัวเท่านั้นค่ะ”
ไพศิษฐ์ฉุนมาก “นาถ”
“คุณศิษฐ์คะ..ถ้าคุณศิษฐ์พูดอีกคำเดียว คุณศิษฐ์จะได้กินไข่ไหม้ๆ แล้วนะคะ” นาถสุดาขู่
“โอเคๆ ผมออกไปรอข้างนอกก็ได้”
ไพศิษฐ์เดินหน้ามุ่ยออกไป นาถสุดาบ่น
“คนจะสนิทจะรักจะชอบกัน ก็ต้องสงสัยด้วย คุณศิษฐ์นี่พิลึกคน!”
นาถสุดาว่าไพศิษฐ์พิลึก ไม่รู้ตัวเลย จริงๆ แล้ว ตัวเองนั่นละพิลึก
ด้านผู้พันนรินทร์กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ตรงสวนหน้าบ้าน ไพศิษฐ์เดินเข้าไปช่วย
“ผมช่วยครับ”
“ขอบใจๆ รดเยอะๆเลยผู้กอง ต้นพญานาคราชเค้าชอบน้ำ”
ไพศิษฐ์ยิ้มๆ “สมกับชื่อพญานาคราชเลยนะครับ รดซะฉ่ำน้ำเลย”ไพศิษฐ์เปิดฉากบ่น “ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมจู่ๆนาถถึงได้ถูกคอกับเจ้าอุรคาขึ้นมาได้”
นรินทร์ยิ้มอ่อนโยน “เมื่อก่อนนาถอาจจะใช้แต่ อารมณ์ เลยรู้สึกไม่ชอบ แต่พอนาถ ได้รู้จักตัวตนเจ้าอุรคา เลยชอบขึ้นมาก็ได้”
ไพศิษฐ์สงสัยอยู่ดี “ก็ที่ผมสงสัย นาถไปรู้จักมักคุ้นเจ้าอุรคาตั้งแต่ตอนไหนล่ะครับ”
“ถึงไม่รู้จัก แต่คนบางคนอาจจะใช้ใจสัมผัสกัน อย่างที่เค้าบอกว่าจิตสัมผัสยังไงล่ะ”
“จิตสัมผัส! อย่าว่าถึงใช้จิตสัมผัสเลยครับ คนลึกลับน่ากลัวอย่างเจ้าอุรคาแค่กายสัมผัสก็น่าเผ่นแล้ว”
พูดจบไพศิษฐ์หัวเราะขำ ท่าทางบอกว่าเจ้าอุรคาไม่น่าไว้ใจ นรินทร์ว่าเสียงนิ่งเหมือนจะพูดให้ไพศิษฐ์คิด
“ที่เป็นอย่างนี้เพราะผู้กองไม่ยอมใช้จิตสัมผัสยังไงล่ะ? ลองใช้จิตสัมผัสดูสิ ผู้กองจะรู้ ว่าเจ้าอุรคาไม่ได้เป็นคนร้ายอย่างที่กลัวหรอก”
ไพศิษฐ์ยิ้มหน้าเฝื่อนเถียงไม่ออก ดูท่านรินทร์จะคล้อยตามนาถสุดาไปอีกคน
เช้าวันเดียวกันที่กระทรวงการต่างประเทศ ภุชคินทร์เดินเข้าไปยังห้องทำงานภิงคาร เลขาหน้าห้องของภิงคารบอก
“คุณชายคะ ท่านภิงคารเชิญข้างในค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ภุชคินทร์เดินเข้าไปในห้อง เห็นภิงคารนั่งอยู่กับทูตต่างประเทศ ภุชคินทร์ยกมือไหว้นอบน้อม
“สวัสดีครับท่านทูต มาดาม”
“มาดามแฮมิลตันสนใจอยากดูเครื่องประดับโบราณน่ะ ชายว่างมั้ยช่วยพามาดามไปร้านของเจ้าประกายคำหน่อยสิ”
“ได้ครับ”
ภุชคินทร์ผายมือ ภิงคารกับทางท่านทูตคุยกันต่อ
เวลาต่อมาภุชคินทร์กับมาดามแฮมิลตันอยู่ที่ร้านเพชรของเจ้าประกายคำแล้ว และเจ้าประกายคำต้อนรับแขก
“ดิฉันได้ยินมาว่า เพชรพลอย งานฝีมือที่ทำที่เมืองไทยสวยมาก”
“ค่ะมาดาม สวยมาก เชิญค่ะเชิญ”
เจ้าประกายคำเดินนำมาดามไปยังตู้โชว์เครื่องเพชร พลอย แสนอลังการ ก่อนปล่อยมาดามเดินชมตามสบาย ภุชคินทร์เดินเข้าไปหา ชวยคุยด้วยอัธยาศัยไมตรีจิตอันดี
“เครื่องประดับที่ร้านเจ้า ยังสวยกว่าใครเหมือนเดิมนะครับ”
“ก็ได้เจ้าอุรคาช่วยน่ะค่ะ คุณชายก็รู้ เครื่องเพชรของดิฉันถูกโจรกรรมไปหมดแล้ว จนป่านนี้ยังไม่ได้คืน”
“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังเร่งคดีอยู่นะครับ”
เจ้าประกายคำถอนหายใจเฮือกๆ ประชด “งานใหญ่ขนาดนั้น ยังมีคนร้ายมาโจรกรรมเอาเพชรไปซะได้ มันไม่อุกอาจเกินไปหรือคะ? แถมเรื่องยังเงียบหายไปอีก ดิฉันทำใจแล้วล่ะค่ะ ว่าคงไม่ได้คืน”
ภุชคินทร์หน้าเสีย ไม่รู้จะแก้อย่างไร เจ้าประกายคำพูดต่อ
“ที่ดิฉันยังเปิดร้านมาได้ เพราะเจ้าอุรคาช่วยเอาเครื่องประดับของเจ้ามาช่วยแท้ๆ เลย” เจ้าประกายคำมองไปตรงทางเข้า แล้วยิ้มดีใจ “เจ้าอุรคามาค่ะ”
ภุชคินทร์หันไปมองตาม เห็นเจ้าอุรคาเดินมาด้วยท่วงท่างามสง่าเหมือนเคย
ภุชคินทร์เผลอบ่นกับตัวเองเบาๆ “เจอกันอีกจนได้”
“คุณชายบ่นอะไรหรือคะ” เจ้าอุรคาเดินมาถึง
ภุชคินทร์สะดุ้ง หันมามองเจ้าอุรคาเก้อๆ แต่เจ้าอุรคายิ้มขำ เจ้าประกายคำว่า
“ฝากเจ้าหน่อยนะคะคุณชาย ดิฉันขอตัวไปดูมาดาม”
เจ้าประกายคำเดินไปหามาดามแล้ว
ภุชคินทร์หันมามองเจ้าอุรคาเหมือนไม่ค่อยอยากเจอ แต่เจ้าอุรคายิ้มขำพอใจ
ที่มุมกาแฟในร้านเพชรของเจ้าประกายคำ สองคนนั่งดื่มกาแฟอยู่ด้วยกัน เจ้าอุรคาว่ายิ้มนัยน์ตาเจิดจ้าเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับหญิงสาวแรกรุ่นอินเลิฟ แตกต่างจากตอนที่อยู่กับสุบรรณหรือคนอื่นอย่างสิ้นเชิง
“ดิฉันได้ยินคุณชายบ่นว่า เจอกันอีกจนได้ คุณชาย...หมายถึง คุณชายกับดิฉันหรือคะ”
ภุชคินทร์หลบตาไม่ชอบสายตาแบบนั้นที่มองมา “ก็..เจ้าไม่รู้สึกหรือครับ ว่าเราเจอกันบ่อยไป”
“ไม่ค่ะ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ดิฉันดีใจที่ได้เจอคุณชายทั้งนั้น”
ภุชคินทร์เมินหน้าหนี ไม่ชอบเลย รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจีบ เจ้าอุรคาพูดต่อเหมือนไม่รู้สึกเก้อเขินอะไร
“หลายวันก่อน ดิฉันได้เจอหม่อมแม่ แล้วก็น้องสาวของคุณชาย”
ภุชคินทร์ตอบสั้นๆ เหมือนไม่อยากคุยด้วย “ครับ”
เจ้าอุรคาชวนคุยต่อ “คุณหนูนาเล่าให้คุณชายฟังหรือเปล่าคะ ว่าดิฉันให้ก้อนกรวดแกไปก้อนหนึ่ง”
ภุชคินทร์ตอบสั้นๆ อีก “ครับ”
เจ้าอุรคาซักต่อ “คุณชายเห็นมั้ยคะ”
“ครับ”
สายตาเจ้าอุรคามองมาอย่างเสียใจ เหมือนเขาไม่อยากคุยด้วย “แล้วคุณชายเห็นอะไรในก้อนกรวด
ลูกแก้วนั่นมั้ยคะ”
“ไม่” ชายหนุ่มตอบห้วนสั้นอย่างเก่า
“ไม่เห็นจริงหรือคะ”
ภุชคินทร์ชักรำคาญที่ถูกเซ้าซี้ “จริง”
เจ้าอุรคาถามเสียงเครือ “แล้ว...คุณชายเคยเห็น ลูกแก้วลูกนั้นมาก่อนมั้ยคะ”
ภุชคินทร์หน้าตึงเสียงเข้ม “เจ้าครับ ผมไม่ใช่เด็กนะครับที่เจ้าจะได้มาเล่นเกมยี่สิบคำถามกับผม เจ้ามีอะไร เชิญเจ้าพูดมาเลยดีกว่า”
“ดิฉันอยากให้คุณชายมองลูกแก้วลูกนี้ค่ะ”
พูดจบเจ้าอุรคาแบมือออกมา ภุชคินทร์เห็นเป็นลูกแก้วแบบเดียวกับที่หนูนามีเปี๊ยบอยู่ในมือเจ้าอุรคา ทั้งๆ ที่มือของเธอไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน คือแบมือแล้ว ลูกแก้วอยู่ในนั้นเลย ภุชคินทร์มองทึ่งๆ
“คุณหนูนาบอกคุณชายแล้วนี่คะว่าดิฉันเล่นกลเก่ง”
ภุชคินทร์เอาแต่มองหน้าเจ้าอุรคา จนเจ้าอุรคายิ้มพลางแซว
“มองหน้าดิฉัน คุณชายไม่เห็นอะไรหรอกค่ะ คุณชายต้องมองลูกแก้ว คุณชายถึงจะได้เห็นบางอย่างที่คุณชายหลงลืมไป มองสิคะ...คุณชายมองสิ”
ราวกับถูกสะกดจิต ภุชคินทร์ก้มลงมองดูลูกแก้วในมือของเจ้าอุรคาทันที
ภุชคินทร์เห็นลูกแก้วสีใสลูกนั้นเป็นสีเขียวจางๆ ปนสีแดงเลือด ที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งอดีต
ครั้งนั้น อัญมณีสีเขียวจางปนสีแดงเลือดเม็ดหนึ่ง ขนาดเทียบเท่ากับลูกแก้วบนหัวแหวนทรงเทอะทะของโบราณ ซึ่งอยู่ในมือหม่อมภาณีที่กำลังยื่นแหวนวงนั้นให้ภุชคินทร์ ก่อนที่เขาจะเดินทางไปต่างประเทศ
“แหวนวงนี้ท่านพ่อตั้งใจทำไว้ให้ชาย แต่ท่านจากไปเสียก่อนเลยไม่ได้มอบให้ ในวันที่ชายจะไปศึกษาต่อ แม่ขอมอบให้ชายจ้ะ ชายจะได้รู้ว่าท่านพ่อและแม่ อยู่กับชายตลอดไป
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ภุชคินทร์น้ำตาคลอ กอดหม่อมภาณีไว้ น้ำตาซึมคิดถึงพ่อ
ที่ร้านกาแฟ ภุชคินทร์ยังนั่งถือลูกแก้วเม็ดนั้นเอาไว้ในมือ น้ำตาคลอเหมือนคนถูกสะกดจิต พูดเหมือนละเมอ
“แต่หลังจากนั้น...ผมกลับทำหาย คุณแม่เสียใจมาก เพราะมันเป็นของที่ท่านพ่อตั้งใจทำให้ผม ผมพยายามลืม เพราะไม่อยากจดจำถึงความผิดของตัวเองอีก ความผิดที่ผมทำให้คุณแม่เสียใจ ผมพยายามลืม”
“แต่ในวันนี้ คุณชายก็ยังไม่ลืม” เจ้าอุรคาว่า
ภุชคินทร์สะดุ้ง เหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ มองลูกแก้วในมือและหน้าเจ้าอุรคาแบบทึ่งๆ
“ใบหน้าของคุณชายมีคำถาม มากมายเหลือเกิน” เจ้าอุรคายิ้ม “คุณหนูนาไม่ได้บอกคุณชายหรือคะว่าดิฉันเล่นกลเก่งพอๆ กับเป็นหมอดู”
ภุชคินทร์ฉงน “นี่เจ้าดูหมอให้ผมหรือครับ”
“แล้วคุณชายคิดว่าใช่มั้ยล่ะคะ”
ภุชคินทร์เงียบ เจ้าอุรคาทำให้เขาทึ่งอีกแล้ว เจ้าหญิงผู้ลึกลับชอบพูดกำกวมว่าต่อ
“ช่างเถอะค่ะ เรื่องพวกนั้นถือว่าเป็นความพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ของดิฉัน จุดสำคัญของเรื่องอยู่ที่” เจ้าอุรคาหย่อนเสียงลงก่อนพูดต่อ “หัวแหวนที่คุณแม่คุณชายท่านเสียดายนักหนา มันคืออัญมณีครุฑธิการ”
ภุชคินทร์ตกใจ “ครุฑธิการ? หนึ่งในเครื่องประดับประจำตระกูลของเจ้า”
“อัญมณีที่สุดแสนจะหายาก อัญมณีที่เกิดจากตำนานเก่าแก่” เจ้าอุรคามองจ้องตาภุชคินทร์นิ่งขณะบอก “ตำนานครุฑจับนาค” พูดด้วยเสียงสั่นเหมือกับเจ็บปวด “นาคเลยกระอักเลือดออกมา ครั้งแรกเป็นสีเขียวคล้ำ เรียกว่านาคสวาท” คราวนี้สุ้มเสียงเครือยิ่งขึ้นอีก “ครั้งที่สองเลือดจางหน่อย คือมรกต” ภุชคินทร์เห็นเจ้าอุรคาน้ำตาคลอ “ครั้งที่สามมีน้ำลายปนเลือด ออกมาเป็นครุฑธิการ”
สิ้นคำพูดของเจ้าอุรคา ร่างของภุชคินทร์ก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับร่างทั้งร่างกำลังจะแหลกลงไป
ในภาพฝัน ภุชคินทร์เห็นเหตุการณ์ที่บริเวณกลางแม่น้ำโขง เป็นภาพพญานาคถูกพญาครุฑจิกกัดอย่างรุนแรง พญานาคดิ้นเร่าๆ เจ็บปวดสุดคณา
ร่างของภุชคินทร์ที่อยู่บนเตียงในห้องนอนยามนั้น ก็บิดหงายไปมาด้วยความเจ็บปวดสุดขีด ความรู้สึกเหมือนกับตนเป็นนาคตัวนั้นอย่างเหลือเกิน พร้อมๆ กับที่เห็นภาพครุฑกระชากร่างของนาคขึ้น ร่างของภุชคินทร์ก็สะดุ้งขึ้นมาสุดตัว ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่น นั่งหอบหายใจ พร่ำถามตัวเอง
“ทำไมเรารู้สึกเจ็บปวด ราวกับเป็นนาคตัวนั้น”
ภุชคินทร์เอามือลูบใบหน้า นิ่ง สติคิดถึงบางอย่าง แล้วค่อยๆ ลดฝ่ามือลงมา
“เราเจอเจ้าอุรคานี่ นี่เราฝันเหรอ….หรือความจริง”
ภุชคินทร์ถามตัวเองอย่างแปลกประหลาดใจ เพราะทุกครั้งที่เจอเจ้าอุรคามีแต่ทำให้เขาประหลาดใจ
ที่คฤหาสน์สุบรรณคืนนั้น สุบรรณทำท่าหัวเสียเป็นอย่างมาก เมื่ออำนาจเดินมาบอก
“นายครับ...มีคนโทร.มาขอสัมภาษณ์”
สุบรรณตวาด “จะเรื่องอะไรฉันก็ไม่ให้สัมภาษณ์ทั้งนั้น ออกไปฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ครับ”
อำนาจเดินออกไป สุบรรณทิ้งตัวนั่งลง
“ทำไม ฉันต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ทำไม”
สุบรรณเอามือกุมหัวปวดหัวมาก
สุบรรณมาหาเจ้าอุรคา ท่าทางเหมือนคนเหนื่อยอ่อน หมดอาลัยตายอยาก ขณะบอกเจ้าอุรคา
“ผมเหนื่อย ผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะแก้ปัญหา ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรทั้งนั้น”
“นั่นไม่ใช่นิสัยของท่านสุบรรณ
“เจ้าจะไม่ถามผมหน่อยหรือว่าเรื่องอะไร”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้ม “ถึงดิฉันไม่ถาม แต่ถ้าคุณอยากบอก คุณก็จะบอก”
“ใช่...ผมอยากบอก ผมก็จะบอก ที่ผมเป็นอย่างนี้” สุบรรณคุมตัวเองไม่อยู่ ระเบิดความรู้สึกด้วยเสียงดังมาก “เพราะเจ้า วันๆ ผมเอาแต่คิดถึงเจ้า พร่ำเพ้อถึงแต่เจ้า ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่เจ้า เจ้าไม่เคยดูดำดูดีผมเลย ไม่...แม้แต่จะคิดติดต่อผม เจ้าเห็นผมเฉยๆ เจ้าก็เฉยๆ ตอบผมใช่มั้ย”
“แล้วมันแปลกตรงไหนคะ? หรือผู้หญิงทุกคน จะต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาท่านสุบรรณ”
“ผู้หญิงคนไหนๆ ผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น ผมสนใจแต่เจ้า เพราะผมรักเจ้า” สุบรรณกระชากร่างเจ้าอุรคาเข้ามาพูดเสียงดังใส่ “ได้ยินมั้ยว่าผมรักเจ้า รักอย่างไม่เคยรักใครมาก่อน
เจ้าอุรคานิ่งเงียบ มีเพียงดวงตาที่เย็นเยียบน่ากลัว สุบรรณมองเจ้าอุรคาด้วยสายตาอ่อนโยนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“เจ้าอาจจะคิดว่ามันเร็วไป แต่สำหรับผม ไม่เลย ผมรู้สึกว่าผมรักเจ้า รักตั้งแต่แรกเห็น รัก มานานแสนนาน ชีวิตผมมีแต่เจ้า ผมพร้อมจะวางมือจากทุกอย่าง เพื่อเจ้า” สุบรรณอ้อนวอนในตอนท้าย “เจ้ารักผมนะครับ”
เจ้าอุรคายังยืนเฉย สุบรรณได้สติ
“ผมนี่เอาแต่ใจ เร่งรัดเจ้าเหลือเกิน...ผม..ผมจะไม่เร่งเจ้า ผมจะให้เวลา”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณสุบรรณ”
สุบรรณมองมายังเจ้าอุรคาด้วยสายตาผิดหวัง รู้สึกใจคอไม่ดี เจ้าอุรคาว่าต่อ
“เพราะไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ห้วงเวลาไหน ดิฉันก็จะไม่รักคุณ”
สุบรรณเจ็บปวดมาก แทบหมดแรง “เจ้า...”
เจ้าอุรคาย้ำชัดเสียงเฉียบขาด “ดิฉันไม่เคยรักคุณ”
สุบรรณแทบหมดแรงอยู่ตรงนั้น
ในเวลาต่อมาสุบรรณเหยียบรถมาอย่างแรงและเร็วตามทาง ก่อนเบรกรถตะโกนก้อง จากความเจ็บปวดผิดหวังเปลี่ยนเป็นโมโห ขัดใจ
“คนที่เพียบพร้อมอย่างนายสุบรรณ ครุฑไพฑูรย์จะมาสิ้นท่าอย่างนี้เหรอ ไม่มีวัน ฉันไม่ยอม”
นัยน์ตาของสุบรรณวาวโรจน์ราวกับดวงตาของพญาครุฑยังไงยังงั้น
มณีสวาท ตอนที่ 4 (ต่อ)
เวลากลางดึกที่วังนาเคนทร์ ภุชคินทร์ตื่นมายังมีท่าทางเคร่งเครียดสับสน เจ็บปวดลึกๆ ขณะพึมพำออกมา
“นาคกระอักเลือดออกมา เป็นครุฑธิการ พลอย ครุฑธิการ” จูๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ “ลูกแก้ว”
ภาพตอนเก็บลูกแก้วเอาไว้ในลิ้นชักผุดขึ้นมา ภุชคินทร์ลุกพรวดไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานทันทีทันใด
ทว่า ในลิ้นชัก ไม่มีลูกแก้วแต่อย่างใด
“ลูกแก้ว หายไปไหน? ก็เราเก็บไว้ในนี้นี่”
ภุชคินทร์งวยงง รีบหาลูกแก้วในลิ้นชักจนข้าวของข้างในกระจัดกระจายแต่ก็ไม่มี ชายหนุ่มอึ้งไป ใจประหวัดถึงเจ้าอุรคา แต่พยายามไม่เชื่อ เดินพรวดออกนอกห้องทันที
มือของภุชคินทร์เคาะประตูห้องของนอนนารีวรรณรัวเร็ว ขณะที่ด้านในห้องนารีวรรณนอนหลับอยู่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะเรียกที่หน้าห้อง
“หนูนาๆ”
“คะพี่ชาย”
นารีวรรณงัวเงียอยู่ แต่รีบเดินออกมาเปิดประตูห้อง ทันทีที่ประตูเปิด ภุชคินทร์ก็ถาม
“หนูนาเอาลูกแก้วคืนไปแล้วเหรอ”
นารีวรรณยังอยู่ในอาการงัวเงีย ทั้งง่วงทั้งงงอยู่ “ลูกแก้วอะไรคะ”
“ก็ลูกแก้วที่เจ้าอุรคาให้หนูนาไง”
“เปล่านี่คะ...ก็..อยู่กับพี่ชาย” นารีวรรณเริ่มได้สติ “มันหายไปเหรอคะ”
ภุชคินทร์ตอบไม่ตรงคำถาม ไม่แน่ใจ “พี่หาไม่เจอ”
“หาไม่เจอ.....หรือว่า” นารีวรรณตาเป็นประกายยิ้มพลางเย้าพี่ชาย “เจ้าอุรคา เธอจะเล่นกลเอาของเธอคืนไปแล้วคะ?”
คำพูดเล่นๆ ของผู้เป็นน้องสาว ทำเอาภุชคินทร์นิ่งงัน ขนลุกซู่ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดไว้แต่เบื้องแรกแล้ว
เวลาเดียวกัน ภายในเฮือนภูจำปา เจ้าอุรคานั่งนิ่งแต่สีหน้าดูตื่นเต้น ดวงตาไหวระริกเหมือนรออะไรบางอย่าง
ชรายุที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บอกเสียงอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม
“อีกไม่นาน ท่านภุชเคนทร์จะต้องมา”
เจ้าอุรคายิ้มบางๆ ชรายุว่าต่อ
“แต่...เราอยากทำให้ท่านภุชเคนทร์ร้อนใจ”
เจ้าอุรคาหันมามองเป็นเชิงถาม สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย ชรายุตอบด้วยน้ำเสียงเห็นใจเจ็บแค้นแทน
“เขาต้องเป็นฝ่ายร้อนใจบ้าง ที่ตามหาเจ้าไม่เจอ”
เจ้าอุรคานั่งนิ่ง แววตาบอกว่าสงสาร เจ็บปวด เห็นใจภุชคินทร์
จริงดังว่า เพราะภุชคินทร์ขับรถมาตามทาง ตรงมายังบริเวณที่ตั้งของเฮือนภูจำปา แต่แล้วทันใดนั้นเอง เฮือนภูจำปาที่ตั้งตระหง่านอยู่ก็ค่อยๆ เลือนหายไป ในจังหวะเดียวกันกับที่ภุชคินทร์ขับรถแล่นมาจอดพอดี
ชายหนุ่มรีบลงมาจากรถ มองตรงไปยังเบื้องหน้า ดวงตาตื่นตระหนก
“เฮือนภูจำปาหายไปอีกแล้ว”
ภุชคินทร์กวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีเฮือนภูจำปาแต่อย่างใด
เวลาผ่านไป ภุชคินทร์ขับรถวนตามบริเวณละแวกนั้นเพื่อนหาเฮือนภูจำปา แต่ก็ไม่เจอ ภุชคินทร์เปิดประตูรถก้าวลงมา ตรงบริเวณที่เคยเป็นประตูทางเข้าเฮือนภูจำปา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เกิดอะไร เจ้าอุรคา คุณอยู่ไหน เจ้าอุรคา...”
ภุชคินทร์ตะโกนก้อง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ไม่เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เจ้าอุรคาอยู่ในภาพเลือนลาง มองดูภุชคินทร์อยู่
“ภุชเคนทร์ ท่านกำลังทุกข์ใจ เพราะเราใช่มั้ย ภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคาถามเสียงแผ่วเบา ดวงตาลังเลไม่แน่ใจ แต่สายตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเจ็บปวดยิ่งกว่าภุชคินทร์
รุ่งเช้าสุบรรณขับรถเข้ามาจอดพรืดหน้าคฤหาสน์ อำนาจที่รอมาทั้งคืนรีบเดินมาหาอย่างร้อนใจ ยิ่งเห็นท่าทางทรุดโทรมของผู้เป็นนาย อำนาจก็ยิ่งเป็นห่วง ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ได้แต่ถาม
“ไหวมั้ยครับนาย”
สุบรรณตอบห้วนๆ “ทำไมจะไม่ไหว แกนั่นแหละรีบไปเตรียมตัว ฉันจะไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานเลย” จากนั้นทำท่าจะเดินไปแล้วหยุดสั่งไม่หันมามอง “อำนาจ ติดตามเจ้าอุรคา อย่าให้คลาดสายตา แล้วมารายงานฉัน”
“ครับนาย!”
สุบรรณเดินจ้ำพรวดๆ เข้าไปในตัวตึก ท่าทางอารมณ์ไม่ดี
สุรินทร์ลอบมองสุบรรณอยู่ ด้วยสายตาดูแคลน
ครู่ต่อมาอำนาจจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์ แต่เจอสุรินทร์ดักรออยู่และยิงคำถามมาทันที
“นายจะออกไปทำงานในสภาพนี้เหรอ”
อำนาจมองง น้ำเสียงตำหนิอยู่ในที “แล้วไง”
“มันไม่สมควร!”
อำนาจมองไม่พอใจ “นายเป็นนาย ทำอะไร นายย่อมรู้ตัวดี”
“แต่เวลาไม่มีสติ นายอาจไม่รู้ตัว”
อำนาจมองเป็นเชิงถาม แต่สายตาไม่พอใจมากยิ่งขึ้น เมื่อสุรินทร์พูดต่ออย่างดูหมิ่น ดูแคลน
“เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าอ่อนแอ ใครจะศรัทธา”
“ยังไง นายสุบรรณก็เป็นคนเข้มแข็ง ฉันเชื่อว่า คนข้างนอกจะไม่มีใครได้เห็นนายอ่อนแอ เว้นเสียแต่ จะมีคนในเอาไปพูด” อำนาจจะเดินต่อ แต่หยุดพูด โดยไม่หันมา “อีกอย่าง ขี้ข้าไม่มีหน้าที่นินทานาย”
จากนั้นอำนาจเดินออกไป สุรินทร์มองตามอย่างไม่พอใจ ขบกรามแน่นพูดลอดไรฟันออกมา
“แกอาจจะเป็นขี้ข้า แต่สำหรับฉัน ไม่มีทางเป็นขี้ข้าของคนอ่อนแอโว้ย”
สายตาสุรินทร์ดูออกว่าไม่พอใจการกระทำของสุบรรณเป็นอย่างมาก
ส่วนที่หน้ากระทรวง ภิงคารเดินออกมา โดยมีภุชคินทร์ติดตามเหมือนเดิม และด้านหลังก็มีเจ้าหน้าที่กระทรวงเดินตามมาด้วย
ภิงคารสั่งงาน “ได้ข้อมูลอะไรของเจ้าอุรคาเพิ่มเติม รีบเอามาให้ผม ระวังอย่าให้เจ้ารู้ตัวผมไม่อยากให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ของเรากับภูจำปา”
“ครับผม”
เจ้าหน้าที่รับคำแล้วเดินออกไป ภุชคินทร์ที่หน้าตาท่าทางเซียวๆ เหมือนคนไม่ได้นอน ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ทำไมจะต้องหาข้อมูลของเจ้าอุรคาเพิ่มครับคุณน้า”
ภิงคารมองไปรอบๆ ท่าทีระวังและตอบเบาๆ “มีคนสงสัยว่าเจ้าจะเป็นคนขององค์กรลับ…”
ภุชคินทร์ต่อคำ “นินจัตสุ?”
ภิงคารพยักหน้า “ส่วนตัวน้าไม่เชื่อหรอกนะ แต่เพื่อข้อมูลที่ถูกต้อง ก็ต้องเช็ครายละเอียดทุก
อย่างดู” ภิงคารมองหลานชายอย่างเป็นห่วง “แล้วชายเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาเหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน”
ภุชคินทร์เผลอหลุดปาก “คิดเรื่องเจ้าอุรคาอยู่ครับ”
ภิงคารฉงน “เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์รู้ตัว “นายศิษฐ์เคยคุยกับผมเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เอาเป็นว่า ผมจะช่วยหาข้อมูลของเจ้าอุร
คาให้คุณน้าอีกแรง”
ภุชคินทร์พูด แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางหนักใจมาก
เย็นนั้น ตามทางบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของเฮือนภูจำปา ภุชคินทร์ขับรถมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย สับสน อยากรู้ กวาดสายตามองไปรอบๆ ทุกอย่างว่างเปล่าเหมือนเดิม
“ทุกอย่าง ยังอยู่เหมือนเดิม แล้วเฮือนภูจำปาจะหายไปได้ยังไง”
ภุชคินทร์ขับรถมุ่งหน้าไปยังเฮือนภูจำปาต่อไป สายตากวาดมองรอบๆ บริเวณตลอด แต่ยังไม่มีแววว่าจะเจอ
เจ้าอุรคายืนมองภาพตรงหน้าอย่างกังวลใจ พูดเสียงอ่อยๆ กับชรายุ ด้วยสงสารภุชเคนทร์ของนาง
“ชรายุ...เรากลัวท่านภุชเคนทร์จะหลงทาง”
ชรายุหันมามองรู้ทัน เจ้าอุรคาออกตัว
“เค้าตามหาเรา ท่านภุชเคนทร์ ตามหาเรานะชรายุ”
“หมายความว่า...เจ้าจะ...”
“เราจะเปิดทางให้ท่านภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคามองชรายุก่อนเดินออกไป ชรายุมองตาม
“สุดท้าย เจ้าก็เป็นคนใจอ่อน และความใจอ่อน ก็ทำให้เจ้าต้องเจ็บทุกที”
ชรายุมองตามเจ้าอุรคาด้วยความสงสารเห็นใจ
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน บรรยากาศโพล้เพล้ ความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ ภุชคินทร์ขับรถมา แล้วเห็นภาพเฮือนภูจำปาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ภุชคินทร์มองอย่างตื่นตะลึง ในที่สุดก็เจอจนได้ รีบจอดรถแล้วเดินลงไปทันที
ส่วนที่ด้านหลัง อำนาจขับรถมาจอดซุ่มดูอยู่ และเห็นภุชคินทร์เดินมุ่งหน้าสู่เฮือนภูจำปา
ท่ามกลางความมืดสลัว ประตูรั้วค่อยๆ เปิดออก ภุชคินทร์เดินเข้าไปมองตัวเรือนนิ่ง เจ้าอุรคาเดินมาจากด้านหลัง ยิ้มอ่อนโยน ขณะถาม
“ทำไมจ้องอย่างนั้นล่ะคะคุณชาย”
ภุชคินทร์สะดุ้ง หันขวับมามองอย่างตกใจ ว่าเจ้าอุรคามาตั้งแต่ตอนไหน เจ้าอุรคาถามต่อเย้าๆ
“กลัวเฮือนภูจำปาจะหายไปหรือ”
ภุชคินทร์มองจ้องอย่างจับสังเกตขณะถาม “เมื่อคืนผมมาหาเจ้า แต่หายังไงก็หาไม่เจอ”
เจ้าอุรคาอมยิ้มขำ “มันมืดหรือเปล่าคะ? แถวนี้พอมืด คนหลงทางกันบ่อย”
ภุชคินทร์บอกเสียงเข้ม “ไม่..ผมไม่ได้หลงทาง”
เจ้าอุรคาเย้าอีก “เมื่อครู่ ก็ไม่ได้หลงหรือคะ”
ภุชคินทร์อึ้ง มองเจ้าอุรคาอย่างฉุนเฉียว “ผมว่าเจ้ารู้ดีทุกอย่าง”
เจ้าอุรคาอมยิ้มยั่วเย้า “ก็ดิฉันเป็นนักเล่นกล”
เจ้าอุรคาพูดจบก็แบมือออกมา ภุชคินทร์มองตาม ขนลุกซู่ เมื่อเห็นลูกแก้วอยู่บนมือเจ้าอุรคา
“คุณชาย ตามหามันอยู่ใช่มั้ยคะ”
“ลูกแก้ว มาอยู่กับเจ้าได้ยังไง” ภุชคินทร์ถามอย่างตื่นเต้น
“ก็บอกแล้วไงดิฉันเป็นนักเล่นกล”
ภุชคินทร์กระชากร่างของเจ้าอุรคาเข้ามาหา ด้วยท่าทีกราดเกรี้ยวและโมโหมาก
“บอกผมมานะครับเจ้า เจ้าเป็นใคร และเจ้ากำลังเล่นอะไรกับผมอยู่”
อำนาจที่สะกดรอยตามมา เขม้นตามอง หวงเจ้าอุรคาแทนสุบรรณ ภุชคินทร์ตะโกนอีก
“บอกมานะครับเจ้า บอกมาเดี๋ยวนี้”
เจ้าอุรคาปรายตามองไปทางด้านหลัง เหมือนรู้ว่ามีคนมา แต่ไม่พูดอะไร จับมือของภุชคินทร์ที่จับไหล่เธอออก มันหลุดออกมาอย่างง่ายดาย ภุชคินทร์มองมือของตัวเองที่หลุดออกมานั้น อย่างงวยงง เรี่ยวแรงเจ้าอุรคามากเกินผู้หญิงธรรมดา
ขณะที่เจ้าอุรคาเดินตรงไป แววตาจดจ้องมองนิ่งไปยังจุดที่อำนาจแอบอยู่
อำนาจ รู้ว่าเจ้าอุรคาเดินนำภุชคินทร์มา ก็รีบฉากหลบไปอย่างรวดเร็ว เจ้าอุรคาหรี่ตามองไม่พอใจ
รู้ดีว่าอำนาจเป็นคนของสุบรรณ ภุชคินทร์ไม่รู้เรื่องตามมากระชากข้อมือเจ้าอุรคา
“อย่าทำกับผมอย่างนี้นะครับเจ้า”
“ดิฉันทำอะไร” เจ้าอุรคาย้อนถาม
“ก็เจ้าเดินหนีผม เจ้าไม่ฟังผม ได้ ถ้าเจ้าไม่อยากตอบคำถามผม ไม่อยากยุ่งกับผม ผมก็จะไม่ยุ่งกับเจ้า” ภุชคินทร์แบมือออกมา “ขอลูกแก้วของผมคืน”
เจ้าอุรคามองมา เสียใจยิ่งกว่าเดิม “คุณชายต้องการแค่ลูกแก้ว”
ภุชคินทร์ยังคงแบมือไม่มองหน้า “ก็มันเป็นของผม ผมขอคืน” ภุชคินทร์หันกลับมามอง ถามกวนๆ “หรือถ้าเจ้าคิดว่า เจ้าเล่นกลแล้วมันเป็นของเจ้า ผมขอซื้อคืนก็ได้”
“ไม่ต้องค่ะ มันเป็นของคุณชายอยู่แล้ว” เจ้าอุรคายื่นลูกแก้วคืนให้ “เก็บไว้ให้ดีนะคะเพราะกว่าจะเป็นครุฑธิการ มันต้องแลกด้วยความเจ็บปวด ชีวิต ของใครคนหนึ่ง”
ภุชคินทร์ถามทันที “ใคร”
“สักวัน คุณชายจะรู้เอง”
เจ้าอุรคาพูดแค่นั้นก็หันหลังกลับ ภุชคินทร์มองตามอย่างขัดใจ โมโห เดินตามมาขวางหน้าพูดประชดประชันเสียงขุ่น
“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกพูดจากำกวมแบบนี้เสียที ผมไม่ชอบ ได้! ถ้าเจ้าคิดว่าการเล่นแง่ของเจ้า จะทำให้ผมหัวหมุน เป็นลูกไล่ของเจ้า ผมไม่เอา” ภุชคินทร์ยื่นลูกแก้วคืนให้
“ขอโทษค่ะ ที่ดิฉันทำให้คุณชายไม่พอใจ แต่กรุณาเก็บลูกแก้วไว้เถอะค่ะ” เจ้าอุรคายื่นมือไปจับมือภุชคินทร์ให้กำลูกแก้วไว้เหมือนเดิม พูดสำทับ “ทำเป็นแหวน สวมติดนิ้วเอาไว้ เพราะครุฑธิการเม็ดนี้ จะช่วยป้องกัน ภยันอันตรายทุกอย่างได้ค่ะ”
เจ้าอุรคาพูดแค่นั้นก็เดินกลับเข้ามาในบริเวณบ้าน ภุชคินทร์มองขัดใจยิ่งกว่าเดิม ทำท่าจะเดินตาม แต่หยุดบ่นพึมพำ
“เจ้ากำลังทำให้เราหัวหมุน อย่าเดินตามเกมเจ้า...ภุชคินทร์”
ภุชคินทร์บอกตัวเองอย่างถือดี แต่แววตาละห้อยมองตามเจ้าอุรคาไป ก่อนจะตัดสินใจเดินพรวดไปที่รถท่าทีงอนๆ
เจ้าอุรคาหันมามองภุชคินทร์ด้วยท่าทางเสียใจ และยืนมองส่งจนรถของภุชคินทร์ลับหายไปในความมืด
จากนั้นดวงตาของเจ้าอุรคาก็ตวัดไปยังอีกทางอย่างไม่พอใจ
ขณะที่อำนาจวิ่งหนีมาตามรายทางที่เป็นป่ารกชัฏละแวกเฮือนภูจำปาของเจ้าอุรคา ท่าทางงุนงง และหัวเสียเอามากๆ
“รถหายไปไหนวะ”
อำนาจยืนนิ่งกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่คุ้น ได้แต่ถามตัวเอง
“เรามาแถวนี้ได้ยังไง”
อำนาจกวาดสายตามองไป เห็นแต่ป่า ป่า ป่า ในความมืดมิดอำนาจยินเสียงฝีเท้าคนย่ำมา
อำนาจหันขวับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นใคร พอหันกลับมาอีกทาง ต้องสะดุ้งเฮือกร้องเสียงหลง เมื่อมีงูตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาทำท่าจะฉกใส่ อำนาจหลบอย่างว่องไว แล้วเกมไล่ล่าระหว่างคนกับงูเริ่มต้นขึ้น
อำนาจหนี งูเลื้อยตาม อำนาจควักปืนออกมายิง เห็นงูถูกยิงอย่างจัง จนเลือดสาดกระจาย งูนอนนิ่ง อำนาจหัวเราะสะใจ
“นึกว่าจะแน่แค่ไหน สมน้ำหน้า ตายๆ ไปเลย ไอ้งูบ้าเอ๊ย”
อำนาจยกปืนยิงเปรี้ยงอีกนัด แต่แทนที่จะตายอย่างที่อำนาจเห็น งูตัวนั้นกลับทะลึ่งพรวดขึ้นมา ชูคอแผ่แม่เบี้ยจังก้า ไม่มีทีท่าเจ็บปวดจากกระสุนปืน
อำนาจตะลึงตกใจร้องลั่น “เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไงวะ”
งูพุ่งเข้ามา อำนาจหลบจนเสียหลักล้มลง งูจะฉก อำนาจคว้าหมับเอามือบีบระหว่างคอของมันเอาไว้
อำนาจร้องเสียงหลง “อย่า..อย่า!”
งูโน้มคอลงมาจะฉก แต่อำนาจสู้สุดแรงเกิด ทั้งคนทั้งงูสู้กันไม่มีถอย กลิ้งกันไปมา แล้วอำนาจก็
เป็นฝ่ายเสียหลัก งูฉกลงมา อำนาจร้องสุดเสียง
“อย่า”
ทันใดนั้นเอง เสียงปืนก็ดังก้องขึ้น พร้อมๆ กับกระสุนพุ่งเข้าเจาะที่กลางลำตัวงูตัวนั้นอย่างจัง
มันผงะ กรีดเสียงร้องโหยหวน
ช่างน่าประหลาดนักที่เสียงของงูตัวนั้น ช่างเหมือนเสียงของอิสตรี ก่อนที่มันจะกระเสือกกระสนเลื้อยเข้าพงหญ้าแถวนั้นไป
อำนาจนั่งหอบหายใจรัวกลัวมาก เห็นเป็นสุรินทร์ถือปืนเดินเข้ามา มองตาม
“มันเป็นงูปิศาจ รีบกลับเร็วอำนาจ”
โดยไม่รอให้เรียกซ้ำสอง อำนาจผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
งูตัวใหญ่ยาว ลำตัวเปื้อนเลือดเลื้อยเข้าเขตเฮือนภูจำปาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกลายร่างเป็น
เจ้าอุรคาในสภาพเลือดท่วมตัว เดินโผเผเซซังเข้าไปด้านใน เจ็บปวดแทบขาดใจ
ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยเข้าสู่เมฆทะมึนจนถูกกลืนมืดมิด และรู้ดีว่าเริ่มต้นเข้าวันแรม 15 ค่ำ แล้ว
รถของสุรินทร์ กับอำนาจวิ่งมาจอดเคียงกันที่ข้างถนน สองหนุ่มก็เดินลงมา ท่าทางของอำนาจยังตื่นกลัวไม่หาย หน้าซีดเหงื่อแตก ยิ่งกว่าปะทะกับคนเป็นสิบ ถามสุรินทร์งงๆ
“มาได้ยังไง?”
“ก็ตามแกมา”
สองคนมองหน้ากัน อำนาจมองสุรินทร์ด้วยสายตาที่ดีขึ้น สุรินทร์พูดต่อ
“ฉันไม่อยากให้นายหลงผู้หญิงคนนี้ จนเสียการงาน เสียผู้เสียคนแบบนี้”
“นายไม่ได้เสียคน” อำนาจเถียงแทน
“แกรู้ ว่าความจริงเป็นยังไง”
ถูกสุรินทร์ย้อนอำนาจนิ่งไป รู้ดีว่าสุบรรณแคร์เจ้าอุรคาอย่างที่ไม่เคยแคร์ผู้หญิงคนไหนมาก่อน สุรินทร์หรี่ตาเจ้าเล่ห์ขณะบอก
“แกควรบอกนายสุบรรณ หลีกเจ้าอุรคาให้ไกล”
อำนาจตอบอย่างหวั่นๆ “ไม่ได้ นายสนใจเจ้าอุรคา อย่างไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อน”
สุรินทร์สวนคำทันที “แต่เจ้าอุรคาไม่ใช่คนธรรมดา”
“หมายความว่ายังไง?”
“อย่างที่แกเห็น ทั้งเมื่อครู่ และที่คาสิโน ปืนที่ฉันยิงงูพวกนั้นเป็นปืนลงอาคม”
อำนาจหน้าซีดเผือด สายตาตื่นตระหนก สุรินทร์พูดต่อสีหน้าเรียบเฉย เหมือนเป็นรายงานดินฟ้าอากาศ
“ทุกครั้งที่ฉันได้ใช้ปืนด้ามนี้ เจ้าอุรคาเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง อย่าเพิ่งทำหน้าไม่เชื่อ ในโลกนี้ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ที่เราคาดไม่ถึงอีกมากมายเยอะแยะไป และเจ้าอุรคาก็เป็นหนึ่งในนั้น” สุรินทร์พูดอย่างเหยียดหยาม “ฮึ! แต่ถึงเจ้าอุรคาจะมหัศจรรย์แค่ไหน ผู้หญิงก็คือผู้หญิง ของเล่นที่เราไม่ควรเสียเวลาให้กับมัน และถ้านายสุบรรณ ยังเสียเวลา เล่นของเล่นที่ไม่มีค่า นายสุบรรณก็อาจจะหมดท่าพ่ายอำนาจให้กับใครซักคน”
สุรินทร์พูดเหมือนหวังดี แต่ดวงตาเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งเหมือนคิดร้ายอะไรอยู่
โปรดติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 5