พรพรหมอลเวง ตอนที่ 4
พระอาทิตย์ยามเช้าทำให้บรรยากาศทั่วบ้านดูสดใส คุณหญิงปรงทองกำลังเตรียมตัวจะใส่บาตร อยู่หน้าบ้าน เมรินเดินออกมาหาพร้อมสายแก้ว
“เจ้าเมย์มาใส่บาตรกับย่าเร็วเข้า พระมาโน่นแล้ว” ปรงทองชวน
“ค่ะคุณย่า”
ปฐวีเดินออกมาจากในบ้าน เขาเห็นปรงค์ทองกับเมรินกำลังยืนรอพระก็รีบมาสมทบ
“ผมขอใส่ด้วยคนนะครับ คุณย่า”
“เชิญเถอะ ไปช่วยเจ้าเมย์โน่น” ปรงทองบอก
ปฐวีเดินไปยืนข้างเมริน พอพระเดินมา ปฐวีก็ช่วยเมรินจับทัพพีตักข้าวใส่บาตรพระอย่างคล่องแคล่ว
ตันหยงอึดอัด “น้าวีคะ ไม่ต้องก็ได้เมย์ทำได้ค่ะ”
“เวลาทำบุญต้องตั้งใจ เดี๋ยวไม่ได้บุญนะ”
ปฐวีไม่ฟังเสียง เขาจับมือเมรินใส่บาตรจนเสร็จ เมรินมองงอนๆ
ปรงทองกับแม้นวาดยืนมองสองน้าหลานอย่างเอ็นดู
“จะไปทำงานแต่เช้าเชียวนะ งานยุ่งหรือตาวี” ปรงทองถาม
“ครับคุณย่า วันนี้มีคนไข้หลายเคส ผมต้องดูแลเอง” ปฐวีพูดกับเมริน “แล้วเราเนี่ย เมื่อไหร่จะไปโรงเรียน เรียนจบจะได้เป็นหมอมาช่วยน้าวีไงล่ะ”
ตันหยงอึกอัก “ไม่ไหวมั๊งคะ เมย์เห็นเลือดแล้วจะเป็นลม”
“น้องเมย์ดูแข็งแรงขึ้นแล้ว” ปฐวีคิด “น่าจะไปโรงเรียนได้แล้ว”
ตันหยงอึกอักแล้วทำท่าปวดหัวทันที
“โอ๊ย น้องเมย์ปวดหัวจังเลย ขอตัวไปหาคุณแม่ก่อนนะคะ”
ตันหยงวิ่งเข้าบ้านทันที ปฐวีมองตามอย่างรู้ทัน
“ร้ายจริงๆ ยายเมย์เนี่ย น่าจะหายดีแล้วนะ” ปฐวีพูดกับปรงทอง “ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับคุณย่า ย่าแม้น”
“ไปเถอะ บุญรักษานะลูกนะ”
ปฐวีไหว้ปรงค์ทองและแม้นวาดก่อนเดินไป แม้นวาดยิ้มชื่นชม
“คุณวีกับคุณเมย์นี่น่ารักจังเลยนะคะ คุณท่าน ถ้าไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าเป็นพ่อลูกกัน”
ปรงทองไม่ตอบแต่ยิ้มชื่นชม
สุดนภากำลังค้นเอกสารในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ห้องธุระการของโรงเรียน นาวินเดินเข้ามายืนมอง
นาวินกระแอม “ทำอะไรมิทราบครับคุณครูบี๋”
“ค้นประวัตินักเรียนค่ะ น้องเมย์นักเรียนในห้องของชั้นขาดไปหลายวันแล้ว ชั้นเป็นห่วง”
นาวินเก๊ก “อ๋อ เรื่องน้องเมย์หรือ ผมรู้แล้ว น้องเมย์ตกบันได เลยต้องลาพักแต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“อะไรนะ น้องเมย์ตกบันได คุณรู้ได้ไง” สุดนภางง “อย่าบอกนะว่าคุณสนใจสืบค้นประวัติเด็กนักเรียนทุกคน”
“แหม...คุณบี๋ผมดูแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ”
สุดนภาแอบบ่น “ที่จริงแย่กว่านั้นอีก”
“ลืมไปแล้วหรือ ผมกับเจ้าวีเป็นเพื่อนสนิทกัน”
สุดนภานึกได้ “จริงสิ ว่าแล้วที่แท้ก็ข้อมูลจากเพื่อน โธ่คิดว่าสนใจทำงาน”
สุดนภาคว้ากระดาษมาจดข้อความในเครื่องแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
“นี่คุณ อุส่าห์บอกให้ทราบ จะขอบคุณซักคำก็ไม่มี ...แถมยังมาว่าเราอีก”
สุดนภาไม่สนใจ นาวินมองค้อน
สุดนภาหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรออก
“สวัสดีค่ะ บ้านน้องเมย์ใช่มั้ยคะ นี่ครูประจำชั้นของน้องเมย์นะคะ”
ประภัสสรวางโทรศัพท์ เมรินนั่งกอดตุ๊กตาหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ
“น้องเมย์ยังไม่พร้อมจะไปโรงเรียนนะคะ” ตันหยงรีบบอก
“ครูประจำชั้นของน้องเมย์ โทรมาถามว่าน้องเมย์เป็นอะไรมากหรือเปล่า เพื่อนๆทุกคนคิดถึงหนู อยากเจอน้องเมย์ไงคะ”
ตันหยงคิดในใจ“ไม่ไหวหรอก อยู่ในร่างเด็กนี่ก็แย่พอแล้ว ยังต้องอยู่ท่ามกลางเด็กอีก วันละ 10 ชั่วโมง ชั้นต้องตายแน่ๆ”
“นะคะน้องเมย์ แม่ว่า ถ้าน้องเมย์พร้อมแล้ว ก็ไปสนุกกับเพื่อนๆที่โรงเรียนดีกว่า”
“เมย์ยังไม่พร้อมค่ะ”
ประภัสสรงงกับท่าทางจริงจังของเมริน
ปฐวียังคงนั่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล จริญทิพย์เดินเข้ามา
“คุณวียังไม่กลับอีกหรือคะ”
จริญทิพย์ส่งแฟ้มให้
“ขออ่านเคสอีกแป๊บนึง ก็จะกลับแล้วครับ คุณทิพย์กลับก่อนก็ได้นะครับ”
“แหม...ทิพย์อยากอยู่เป็นเพื่อนหมอวีก่อนน่ะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ”
จริญทิพย์บ่น “หมอวีนะหมอวี ทำงานหนักแบบนี้ เดี๋ยวก็ป่วยหรอก ทิพย์งี้เป็นห๊วง เป็นห่วง”
จริญทิพย์เดินไป
ปฐวีพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน แล้วดูหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เขากำลังค้นข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเรื่องการรักษาตันหยง แฟ้มชื่อตันหยงวางอยู่บนโต๊ะ
เช้าวันใหม่ เมรินร้องโวยวายไม่ยอมไปโรงเรียน เธอนอนคลุมโปง ประภัสสรเข้าไปพูด
“น้องเมย์ขา เป็นเด็กดีไม่งอแงนะคะ”
“เมย์ไม่อยากไปค่ะ ไม่อยากไปเรียนกับเด็ก ปวดหัวค่ะ”
“น้องเมย์ครับ หน้าที่เด็กต้องไปโรงเรียนนะครับ ไม่เรียนหนังสือได้ยังไง” เมธีช่วยพูด
“ไม่เรียนค่ะ เรียนมาตั้งหลายปีแล้ว จะให้ไปเริ่มใหม่ ไม่เอาหรอกค่ะ”
“น้องเมย์ลุกขึ้นมาคุยดีๆลูก”
“ไม่ค่ะ เมย์ปวดหัว”
เมธีจับตัว เมรินดิ้นพร้อมกับร้องไม่ ๆๆ เมธีกับประภัสสรอ่อนใจ มองหน้ากันด้วยความกลัดกลุ้ม
วันต่อมา สายแก้วเข้ามาปลุกเมริน พอเปิดผ้าห่มก็เห็นว่าเมรินหายไปแล้ว สายแก้วร้อนรนวิ่งตามหา เมรินที่แอบอยู่ในตู้เสื้อผ้าหัวเราะขำ
ประภัสสรเข้ามาปลุกเมรินในห้องนอนตอนเช้า เมรินลุกขึ้นงัวเงียแล้วพยักหน้าให้ประภัสสร ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วชักผ้าห่มคลุมโปง ประภัสสรมองเมรินแบบจนปัญญา
สายแก้วประภัสสรแท็คทีมกันเข้ามาปลุกเมริน เมรินดิ้นไม่ยอมไปโรงเรียน
“เมย์ไม่ไปโรงเรียน บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไป ปวดหัวอยู่”
“น้าวีก็บอกว่าน้องเมย์ไปโรงเรียนได้แล้ว แต่ทำไมน้องเมย์งอแงแบบนี้คะงั้นพรุ่งนี้คุณแม่จะให้น้าวีเป็นคนมาปลุกน้องเมย์ไปโรงเรียนถ้าน้าวีดุ คุณแม่ไม่รู้ด้วยนะ”
เมรินหน้าคว่ำแล้วล้มลงนอนคลุมโปง
เมรินนอนพลิกตัวไปมากระสับกระส่ายบนเตียง สายแก้วนอนหลับอุตุอยู่ที่พื้น
“ทำไงดีต้องหาทางก่อนไม่งั้นต้องไปเรียนกับเด็ก ชั้นเฉาแน่งานนี้”
ตันหยงนิ่งคิดแผนแล้วก็คิดออก เธอลุกไปค้นลิ้นชัก hot page แล้วบอกสายแก้ว
“พี่สายแก้วขา น้องเมย์ขอกระติกน้ำร้อน มาไว้ในห้องนอนหน่อยนะคะ เมย์อยากดื่มน้ำอุ่น”
“น้ำอุ่นหรือคะ ได้ค่ะ”
สายแก้วที่หลับไปแล้วแล้วเดินหลับตาออกไป
เช้าวันต่อมา เมรินเอา hot page แช่ในกะลังมังที่อยู่ในห้องน้ำ แล้วจับขึ้นมารู้สึกว่าร้อนจี๊ดจนมือหด
“ร้อนชะมัดเลย กว่าจะเสร็จสงสัยเป็นหมูต้มแน่เลย”
เมรินเอา hot page จุ่มน้ำร้อนมามาวางแปะหน้าผาก แปะแก้ม และแปะคอ
เมรินรีบออกจากห้องน้ำมาที่เตียงนอน โดยยังแปะhot pageไว้ที่หน้าผาก สักพักปฐวีก็เปิดประตูเข้ามากับประภัสสร
“ไง คนเก่ง ได้ข่าวว่าดื้อไม่ยอมไปโรงเรียน”
“วันนี้เมย์ตั้งใจจะไป แต่ไม่สบายค่ะ” ตันหยงรีบซ่อน hot page
“น้องเมย์ไม่สบายเหรอคะ” ประภัสสรถาม
ปฐวียิ้มเพราะรู้ทันหลาน
“ตัวร้อนจริงๆด้วยวี”
ปฐวีงง “ร้อนนิดหน่อย เมื่อวานน้องเมย์ไปตากแดดหรือเปล่าครับ”
“เปล่านี่คะ เมย์รู้สึกปวดหัว”
“พี่ว่า ให้น้องเมย์พักก่อนดีกว่า”
“ก็ได้ครับ รอดูอาการอีกวันสองวัน เดี๋ยวผมจัดยาให้ น้องเมย์ต้องนอนพักอย่างวิ่งเล่นซนนะครับ จะได้หายไวๆ”
“ค่ะน้าวี”
ปฐวีลุกขึ้นเดินไป ประภัสสรรีบเดินตามไป พอทั้งสองคนลับตา เมรินก็ลุกขึ้นจากเตียงทันที สายแก้วงง
“...รอดไปอีกวัน” ตันหยงคิดในใจ “ลูกไม้แบบนี้ ตอนเด็กชั้นทำบ่อย”
สายแก้วงง “น้องเมย์คะ อะไรรอดหรือ”
เมรินรีบล้มตัวลงนอนทำท่าป่วยต่อไป สายแก้วมองเมรินงงๆ
ตันหยงออกมาเดินเล่นคนเดียวเพราะรู้สึกเหงาๆ หนุงหนิงคลานเข้ามาใกล้แล้วทำท่าประจบ
“เจ้าหนุงหนิง ทำไมชั้นต้องมาติดอยู่ในร่างเด็กแบบนี้ด้วย แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไปนะ ชั้นกลุ้มใจจังเลย”
หนุงหนิงคลานมานอนบนตักเมริน
“ใครใช้ให้แกมานอนตักชั้น อยากจะปลอบชั้นใช่ไม๊ ขอบใจนะ หนุงหนิง”
ตันหยงเกาคอหนุงหนิง แล้วถอนหายใจยาว
ในห้องพักตันหยงที่โรงพยาบาล พินิจนั่งจับมือบุหงาที่มีทำท่าร้อนใจเอาไว้
“ผมอยากจะขออนุญาติทำการตรวจคุณตันหยงอย่างละเอียดอีกครั้ง ผมไม่อยากให้เราพลาดอะไรไปแม้แต่สาเหตุเล็กน้อย” ปฐวีบอก
“ไม่มีปัญหาครับ อะไรที่จะทำให้ลูกของผมฟื้นขึ้นมาได้ ผมยินดี” พินิจพูด
“คุณหมอต้องช่วย ลูกดิชั้นนะคะ” บุหงาร้อนใจ
“ผมจะทำให้ทุกวิถีทาง เพื่อให้คุณตันหยงฟื้นครับ ผมสัญญา”
ปฐวีลุกเดินไป พินิจกับบุหงามองตาม หนึ่งฤทัยจับมือบุหงาเพื่อปลอบใจ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ หมอวีเป็นหมอที่เก่งมาก และคุณหมอวีก็เป็นห่วงคนไข้มากด้วย ใจเย็นๆนะคะ หนึ่งขอตัวก่อน”
หนึ่งฤทัยเดินไป พินิจกับบุหงามองตามอย่างซึ้งใจ
“หยงจะฟื้นมั้ยคะคุณ”
“ผมก็ไม่ทราบ แต่ผมเชื่อหมอปฐวีว่าเค้าพยายามช่วยลูกเราอย่างเต็มที่จริงๆ”
เมริน ปรงแก้ว ปรงขวัญนั่งรวมกันอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำ สายแก้วดูแลเมรินแบบเอาใจใส่มาก เมรินหยิบแก้วน้ำหวานจะดื่ม สายแก้วรีบห้าม
“คุณน้องเมย์คะ อย่าทานน้ำเย็นเลยนะคะ เดี๋ยวไข้จะกลับ”
ปรางค์ทิพย์หมั่นไส้ “กินๆเข้าไปเถอะ ท่าทางไม่ได้เจ็บป่วยซักหน่อย”
ปรงแก้วกับปรงขวัญมาดึงมือเมริน
“ไปว่ายน้ำแข่งกันนะเมย์ คราวนี้แก้วต่อให้ก่อน”
“ขอแข่งด้วยคนนะ แต่ขวัญไม่ต่อให้เมย์นะ”
“อย่าดีกว่านะคะ คุณแก้วคุณขวัญ คุณน้องเมย์เพิ่งฟื้นไข้ ไว้คราวหน้านะคะ” สายแก้วปัด
ปรางค์ทิพย์เยาะเย้ย “ใช่ ขืนแข่งไปก็แพ้อีก พาลจะจมน้ำเอาซะเปล่าๆ” ปรางค์ทิพย์หัวเราะ
ตันหยงโกรธ “ตกลงค่ะ มาแข่งกัน” ตันหยงหันมาหาสายแก้ว “น้องเมย์หายดีแล้ว แต่ถ้าแก้วกับขวัญแพ้ อย่าร้องไห้นะ”
ปรงแก้วได้ยินก็ขำมาก ปรงขวัญมองพี่แล้วขำตาม ปรางทิพย์หัวเราะก๊าก
“ต๋าย ปากเก่งซะด้วยนะ เอาซี่ แม่แก้ว แม่ขวัญ โชว์ให้ยายเมย์เห็นหน่อยซิ ว่าแบบไหน ที่เรียกว่า แข่งว่ายน้ำ”
“เอาสิคะ” เมรินบอก
“คุณน้องเมย์พี่สายแก้วว่าอย่าเลยค่ะ” สายแก้วเตือน
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่สายแก้ว”
เมรินมีสีหน้ามุ่งมั่นมาก เธอหันไปมองหน้าปรางค์ทิพย์ ขณะที่ปรางค์ทิพย์มองตอบในท่าทีเย้ยหยัน
ปรงแก้ว ปรงขวัญ และเมรินว่ายน้ำแข่งกัน ประภัสสรเดินออกมามองด้วยความตกใจ ปรางทิพย์ทำไมรู้ไม่ชี้ ประภัสสรห่วงลูก เมรินว่ายแซง สายแก้วตะโกนเชียร์
ปรางทิพย์ไม่เชื่อสายตา เมรินว่ายเข้าฝั่งก่อนเล็กน้อย สายแก้วรีบเอาผ้าขนหนูไปรับตัวเมรินขึ้นจากน้ำ
“น้องเมย์ชนะ เก่งจังเลยมาค่ะ พี่สายแก้วดีใจจังเลย มาค่ะ เอาผ้าคลุมไว้ก่อน จะได้ไม่หนาว”
ประภัสสรโล่งใจ ปรางค์ทิพย์เดินไปลากลูกสองคนขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย
“ไป รีบกลับบ้านไปอาบน้ำทำการบ้านเดี๋ยวนี้เลย เสียเวลาจริงๆ”
ปรางค์ทิพย์ลากปรงแก้วปรงขวัญไป บุญศรีรีบวิ่งตามไป
“น่าสงสารแก้วกับขวัญนะ กลายเป็นเหยื่ออารมณ์ของป้าปรางค์ตลอดเลย” เมรินพูด
“คุณปรางค์ก็แบบนี้แหละค่ะ ทำไมน้องเมย์ของพี่สายแก้วเก่งอย่างนี้นะ”
“แค่ว่ายน้ำ น้องเมย์เป็นแชมป์เก่านะคะ”
สายแก้วงง
“น้องเมย์ไม่น่ามาเล่นน้ำเลยนะคะ ถ้าป่วยขึ้นมาอีกจะทำยังไง สายแก้ว ทำไมปล่อยให้น้องเมย์ลงน้ำ” ประภัสสรดุ
“เอ่อ..อ่า....ก็” สายแก้วอึกอัก
“อย่าตำหนิพี่สายแก้วเลยค่ะ เมย์แข็งแร็งดีแล้วค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“โถลูกแม่ ไป เข้าบ้านดีกว่านะ เดี๋ยวจะป่วยไปอีก”
ประภัสสรประคองเมรินเดินเข้าบ้านไป
“ดี ทีนี้จะได้รู้ซะบ้าง ว่าน้องเมย์ของพี่สายแก้วน่ะ ไม่ใช่ธรรมดาว่าแต่คุณน้องเมย์เคยเป็นแชมป์ว่ายน้ำตอนไหนนะ”
สายแก้วทำหน้าสะใจมาก
ปรางค์ทิพย์กำลังดุปรงแก้วปรงขวัญที่นั่งก้มหน้าอยู่
“แค่ว่ายน้ำแค่นี้ก็แพ้ แกมันไม่ได้เรื่องทั้งสองคน”
“แก้วแค่ชวนว่ายน้ำแข่งกันเล่นๆ ไม่ได้จริงจังซะหน่อยนะคะคุณแม่”
“ไม่ต้องมาเถียง แค่นี้ชั้นก็เสียหน้าพอแล้ว แพ้ใครไม่แพ้ แพ้นังเมย์ ชั้นอายจริงๆ”
“แก้วขอโทษค่ะคุณแม่”
“ทำไมเราถึงแพ้เมย์ล่ะพี่ขวัญ พรุ่งนี้ลองแข่งอีกมั้ย”
“พอแล้ว ไม่ต้องไปแข่งกับมันอีกแล้ว ต่อไปงดว่ายน้ำ เปลี่ยนเป็น แบบฝึกหัดเพิ่มขึ้นอีกวันละร้อยข้อ” ปรางค์ทิพย์สั่ง
ปรงแก้วปรงค์ขวัญมองหน้ากันแล้วโวย
“แต่ที่ทำอยู่ทุกวัน มันก็ตั้ง 500 ข้อแล้วนะคะ” ปรงแก้วบอก
“ถ้าเพิ่มอีก ก็เป็น 600 ข้อ” ปรงขวัญเสริม
“ถ้าแกยังขืนต่อรองอีกละก็ ชั้นจะเพิ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าแกจะหยุดเถียง”
ปรงแก้วปรงขวัญเอามือปิดปากตัวเองด้วยอาการขวัญเสีย ปรางค์ทิพย์แค้น
ประภัสสรส่งเมรินเข้านอน เธอจับเนื้อจับตัวลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“แม่คะ น้องเมย์ไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่ว่ายน้ำ แค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ซะหน่อย” เมรินบอก
“เมย์ลูกแม่ หนูไม่ต้องพิสูจน์อะไรหรอกนะคะ ไม่ว่ายังไงแม่ก็ภูมิใจในตัวลูกเสมอ”
“ขอบคุณค่ะ คุณแม่ไปนอนเถอะค่ะ น้องเมย์ง่วงแล้ว”
ประภัสสรจูบลูก
ปฐวียืนมองอยู่ที่หน้าประตู
“อ้าว วี ทำไมมาเงียบๆ”
“อยากมาส่ง คนเก่งเข้านอนก่อนน่ะครับพี่ภัส ไงคะน้องเมย์ ได้ข่าวว่าวันนี้แข่งว่ายน้ำหรือ”
“ค่ะ น้าวีรู้ได้ยังไงเนี่ย” เมรินถาม
“ก็พี่เลี้ยงของน้องเมย์น่ะสิ คุยฟุ้งไปทั่ว ถ้าส่งข่าวให้หนังสือพิมพ์ได้คงลงไปแล้วล่ะ แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ชนะขาดอยู่แล้ว” เมรินคุยโว
ปฐวีมองเมรินนิ่งแล้วยิ้ม
“แข็งแรงขนาดนี้ พรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนได้ใช่มั้ย งั้นรีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะคะ”
เมรินรีบแสดงอาการ “โอ๊ย...น้องเมย์ยังปวดหัวอยู่”
ประภัสสรรีบเดินมาจับตัวลูก
“ตายจริง เป็นไข้หรือเปล่า ตัวก็ไม่ร้อน” ประภัสสรถามปฐวี “ต้องทานยากันไว้ก่อนมั้ยวี”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ภัส” ปฐวีกระซิบกับเมริน “ไม่มีคำว่าแต่ พรุ่งนี้ให้คุณแม่พาไปส่งที่โรงเรียนนะคะน้องเมย์”
ปฐวีเดินออกไปพร้อมประภัสสร ก่อนออกจากห้องปฐวีหันมายิ้มให้
เมรินมองตามทั้งโกรธและงอนปฐวี
ประภัสสรกับปฐวีเดินคุยกันลงมาจากข้างบน
“วันนี้นอกจากแข่งว่ายน้ำชนะแล้ว น้องเมย์ก็ไม่มีอาการป่วยอะไรเลยใช่มั้ยครับพี่ภัส”
“ใช่จ้ะวี พี่ยังประหลาดใจเลย น้องเมย์ดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้น”
“ผมกำลังสงสัยว่าเราจะถูกหลานตัวแสบหลอกน่ะสิ”
สายแก้วเล่าให้ปฐวีฟัง ปฐวีพยักหน้า
“ก็มีแต่ให้สายแก้วเอากระติกน้ำร้อนขึ้นไปให้ แล้วให้เอาไปไว้ในห้องน้ำแต่เห็นมีกะละมังวางอยู่ด้วยค่ะ ไม่รู้คุณน้องเมย์จะเอาไปทำอะไร”
ปฐวีพยักหน้า
เมธีถือดอกไม้เดินเข้าห้องนอน
“ภัสครับ” เมธีส่งดอกไม้ให้ภรรยา
“ให้ภัสเหรอคะ” ประภัสสรถาม
“ครับ ผมอยากขอโทษ ที่ผมไม่คอยมีเวลาให้ภัส คุณชอบรึเปล่า”
“สวยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ผมดีใจที่คุณชอบดอกไม้นะ ช่วงนี้งานผมยุ่งมากจริงๆ ยิ่งโปรเจ็คใหม่เริ่มสร้าง ยิ่งต้องดูแลให้ดี งานโครงสร้าง ถ้าผิดนิดเดียว อาจจะมีปัญหาทั้งโครงการ”
ประภัสสรนั่งฟังเมธีตาแป๋ว
“คุณเบื่อหรือเปล่าเนี่ย ผมพูดแต่เรื่องงาน” เมธีถาม
“ภัสไม่เบื่อหรอกค่ะ คุณเล่าต่อสิคะ ภัสชอบฟัง”
“มีแต่เรื่องงานก่อสร้างน่าเบื่อจะตาย คุณเล่าให้ผมฟังบ้างดีกว่า วันนี้ทำอะไรบ้าง”
“ก็เหมือนเดิมค่ะ ภัสไปช่วยคุณย่าดูเอกสารมูลนิธิ ดูแลน้องเมย์”
“คุณอยู่แต่บ้าน คงจะเบื่อ”
“ไม่เบื่อหรอกค่ะ ภัสก็มีน้องเมย์เป็นเพื่อน หรือคุยกับพี่ปราง” ประภัสสรถอนใจ
“ภัส อย่าไปฟังคุณปรางให้มากนะ ผมว่าเค้าไม่ค่อยหวังดีกับเรานักหรอก”
“พี่ปรางเป็นคนแบบนั้นเอง แต่ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เค้าก็เหมือนพี่สาวภัส”
เมธีถอนหายใจเรื่องปรางทิพย์ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ประภัสสรมองตาม แล้วถอนหายใจ
เช้าวันใหม่ เมรินนั่งอยู่บนเตียงโดยเอาผ้าพันตัวไว้พร้อมกับกอดหัวเตียงแน่น ประภัสสรกับเมธีมองหน้ากันอย่างจนปัญญา
“เมย์ยังไม่ไปโรงเรียน ปวดหัวจะแตกอยู่แล้ว” เมรินโวยวาย
ประภัสสรมองเมธี “เอาไงดีคะคุณ ลูกยังปวดหัวอยู่”
“ผมว่าลูกงอแง ไม่อยากไปโรงเรียนมากกว่า” เมธีบอก
“แต่น้องเมย์ไม่เคยงอแงเลยนะคะ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“วันนี้วันพฤหัสแล้ว เอางี้ ให้พักอีกสองวัน แต่วันจันทร์หน้า น้องเมย์ต้องไปโรงเรียนนะครับ”
เมรินเปิดผ้ามายิ้มให้ ประภัสสรกับเมธีมองหน้ากันเพราะงงลูก
ปฐวีเดินเข้ามาในห้องทำงานของตัวเอง เขาเห็นนาวินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองก็หัวเราะ
“นี่งานการไม่ทำหรือ ไอ้วิน”
“ทำแล้วโว๊ย วันนี้ชั้นไปประชุมคณะกรรมการการศึกษามา เสียอารมณ์ ไม่รู้จะยัดเยียดความรู้กันไปถึงไหน สมัยนี้เด็กมันต้องเรียนรู้แบบมีความสุข เรียนในสิ่งที่อยากรู้ ไม่ใช่ ต้องรู้ทุกอย่างที่ผู้ใหญ่คิดว่าดี ยัดเยียดกันเข้าไป หัวระเบิดพอดี”
“เฮ้ย ชั้นไม่ยักกะรู้ ว่าแกจริงจังเรื่องงานขนาดนี้”
“ถ้าทำงานก็ต้องจริงจังโว๊ย นอกเวลางานก็ต้องเต็มที่”
ปฐวีหัวเราะ “อันนั้นชั้นพอมองออก แล้วแกมาทำไมวะ”
“ครูบี๋เค้าถามถึงน้องเมย์ ชั้นเลยเป็นตัวแทนมาถามข่าว”
“อ้าว วันนี้ยังไม่ไปอีกหรือ สงสัยพี่ภัสจะหลงกลยายเมย์อีกแล้ว”
“นั่นน่ะสิ สงสัยวันนี้ชั้นต้องไปบ้านแก ไปกราบคุณย่าขอ ข้าวตังหน้าตั้งกินซะหน่อยแล้ว”
“สรุปว่า แกจะมาทำงาน หรือว่ามาหาของกินกันแน่วะ เจ้าวิน”
“ทั้งสองอย่างแหละ”
ปฐวีมองหน้านาวินแล้วยิ้มขำ
ตกเย็น นาวินกราบปรงทอง ในห้องที่ปฐวีกับเมรินนั่งอยู่ด้วย
“พ่อวิน ทีหลังมาเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องหอบหิ้วอะไรมาฝากหรอก” ปรงทองบอก
“ไม่เป็นไรครับคุณย่า ผมมารบกวนคุณย่าบ่อยๆ แหม ข้าวตังหน้าตั้งที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือคุณย่าแม้นนะครับ”
“ว่าไป ป่านนี้ยายแม้นลอยออกนอกหน้าต่างไปแล้วมั๊งเนี่ย ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะเรา ย่ายังนึกถึงตอนเรากับเจ้าวี เกเรไม่ยอมไปโรงเรียน แกล้งทำเป็นไม่สบาย ร้ายทั้งคู่”
ทุกคนหัวเราะขำ เมรินสะดุ้ง ปฐวีนิ่งมองเมริน
“เดี๋ยวนี้ผมกลับตัวแล้วครับคุณย่า ผมสำนึกแล้ว” นาวินบอก
“ว่าไงเรา ทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียน บอกน้าวีซิ” ปฐวีพูดกับหลาน
เมรินหลบตาปฐวีและไม่ยอมตอบ
“นี่ยังไงเจ้าเมย์ ครูใหญ่มาตามกลับไปโรงเรียนแล้ว” ปรงทองว่า
“คราวนี้คงป่วยแบบเดิมไม่ได้แล้วมั๊ง จริงมั้ยน้องเมย์” ปฐวีถาม
“ก็เมย์ปวดหัวนี่นา”
“คืออย่างนี้ครับคุณย่า ครูสุดนภา เป็นห่วงว่าน้องเมย์หายไป” นาวินพูดกับประภัสสร “ครูบี๋สุดนภาน่ะครับ”
ตันหยงตะลึง “ยายบี๋”
“อ๋อ ปกติ พี่ก็เรียกแต่ ครูบี๋ ครูบี๋ตามน้องเมย์” ประภัสสรบอก
“ว่าไง น้องเมย์ จะไปเรียนเมื่อไหร่ครับ เพื่อนๆคิดถึงนะ” นาวินถาม
“ครูบี๋ สุดนภา เป็นครูประจำชั้นของเมย์หรือคะ” เมรินถามย้ำ
“ก็ใช่น่ะสิ น้องเมย์จำไม่ได้หรือ”
ปฐวีมองจ้อง เมรินเกิดไอเดียขึ้นทันที
“เมย์อยากเจอครูบี๋คะ” เมรินคิดหาเหตุ “ให้ครูบี๋มาสอนพิเศษน้องเมย์ที่บ้านได้ไม๊คะ น้องเมย์ยังไปเรียนไม่ไหว เสาร์อาทิตย์ก็ยังดี นะคะคุณแม่นะคะน้าวี นะคะคุณย่า”
ทุกคนมองหน้ากันเพราะงงๆ กับเมริน
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 4 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ ขณะที่นาวินกำลังเซ็นเอกสารด้วยความวุ่นวาย สุดนภาเดินเข้ามาเห็นนาวินกำลังยุ่ง ก็หยุดมองแล้วทำท่าจะเดินออก
“ใจร้อนเหลือเกิ๊น รอนิดรอหน่อยก็ไม่ได้” นาวินเปรย
“คุณเรียกชั้นมาพบมีเรื่องอะไรคะ”
“ก็ต้องมีธุระน่ะสิ คืองี้ ครอบครัวน้องเมย์ เค้าอยากให้คุณไปสอนพิเศษน้องเมย์ที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ คุณจะว่ายังไง”
สุดนภายืนงงและใช้ความคิด นาวินจ้องมองเห็นสุดนภาที่กำลังใช้ความคิด แล้วเขาก็ทำท่าเคาะ
“ก๊อกๆ มีใครอยู่หรือเปล่า ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ ผมจะหาคนไปแทนให้”
“โอเค ได้ค่ะ ชั้นจะไป”
“เฮ้ย...ไม่ลังเลเลยหรือ”
“ลังเลทำไมคะ ชั้นเป็นครูก็ต้องมีหน้าที่สอนหนังสือ ไปสอนพิเศษ ได้เงิน แถมยังได้...”
“เจอไอ้หมอวีด้วยใช่มั้ย”
สุดนภายิ้มเขินแต่ไม่ตอบ เธอเดินออกไป นาวินมองตามแค้นๆ
นาวินบ่น “แหม ทำอาย เค้าให้ไปสอนหนังสือนะ ไม่ใช่ไปเป็นสะใภ้ไอ้วี....อย่าฝันหวานไปหน่อยเลย”
นาวินบ่นด้วยความหึง
ไฟในห้องเมรินดับลง ประตูห้องนอนปิด เมรินลุกขึ้นเปิดไฟหัวเตียง
“พรุ่งนี้แล้วสินะ เราจะได้เจอยายบี๋ เฮ้อ จะพูดยังไงดีให้ยายบี๋รับได้ ตื่นเต้นจังเลย”
ตันหยงตื่นเต้นกระวนกระวาย สายแก้วงัวเงียขึ้นมอง
“คุณน้องเมย์ตื่นเต้นอะไรคะ”
เมรินยิ้มให้ “พี่สายแก้วรู้มั้ย ว่าคืนนี้ ชั้นมีความสุขที่สุด ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่”
“เอาแล้วไง คุณน้องเมย์เป็นแบบนี้อีกแล้ว พี่สายแก้วไม่น่าถามเลย นอนต่อดีกว่า”
ตันหยงล้มตัวลงนอนหลับตายิ้มอย่างมีความหวัง
เช้าวันใหม่ เมรินนั่งกินอาหารเช้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ ประภัสสรกับสายแก้วมองด้วยความทึ่ง
“วันนี้น้องเมย์เก่งจังเลย หิวหรือคะ” สายแก้วถาม
“เปล่าหรอกค่ะ น้องเมย์จะไปรอรับครูบี๋”
เมรินกินอาหารเสร็จก็รีบลุกขึ้นไปทันที
“เมย์ไปรอครูบี๋หน้าบ้านนะคะ”
เมรินวิ่งปรู๊ดออกไปทันที ประภัสสรกับสายแก้วมองหน้ากัน
“ท่าทางน้องเมย์จะรักครูบี๋คนนี้มากนะสายแก้ว”
“นั่นสิคะ สายแก้วตกกระป๋องไปเลยค่ะคุณภัส”
เมรินยืนชะเง้อคอรอสุดนภา สักพักสุดนภาก็ขับรถเข้ามา เมรินลุกขึ้นยืนมองอย่างตื่นเต้น ประภัสสรกับสายแก้วเดินมายืนมองอย่างเอ็นดู
“บี๋ บี๋มาแล้ว” เมรินดีใจ
ประภัสสสปราม “เรียกบี๋เฉยๆไม่ได้นะคะ ต้องเรียกคุณครูบี๋”
สุดนภาลงจากรถแล้วเดินเข้ามา เธอยิ้มมองเมริน
“สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะน้องเมย์”
เมรินมองสุดนภานิ่งแล้วเดินเข้าไปกอด
สุดนภางง
“น้องเมย์ตื่นเต้นตั้งแต่รู้ว่า ครูบี๋จะมาสอน ท่าทางจะรักครูบี๋มากนะคะ” ประภัสสรเล่า
สุดนภาจับแก้มเมริน “ครูบี๋ก็รักน้องเมย์นะคะ น้องเมย์ไม่ไปโรงเรียน เพื่อนๆบ่นคิดถึงกันทุกคนเลย”
“ต้องรบกวนครูบี๋ด้วยนะคะ น้องเมย์ยังไม่พร้อมจะไปโรงเรียน คุณแม่ก็กลัวจะเรียนไม่ทัน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณแม่ บี๋จะดูแลน้องเมย์เป็นอย่างดีค่ะ”
เมรินนั่งจ้องสุดนภา โดยที่สุดนภายังไม่รู้ตัว เธอเดินชะเง้อมองไปข้างนอก
“คุณหมอปฐวีไปทำงานแล้วหรือคะ” สุดนภาถาม
“ยังค่ะ” เมรินตอบ
“แล้วปกติ ไปทำงานแต่เช้าทุกวันเลยหรือ”
“ค่ะ”
สุดนภาเริ่มรู้สึกตัวว่าเมรินจ้องอยู่ก็หันมายิ้มแหย
“น้องเมย์มองอะไรคะ หน้าครูบี๋มีอะไรเปื้อนหรือเปล่า”
ตันหยงคิดในใจ “บี๋ ชั้นเอง...”
เมรินอ้าปากจะพูด
เสียงปฐวีดังขึ้น “ครูบี๋ สวัสดีครับ แหม..มาแต่เช้าเลย”
ทุกคนหันไปมองปฐวีที่เดินเข้ามาในห้อง
“ค่ะ บี๋ตั้งใจมาสอนน้องเมย์ แต่เช้าเลยค่ะ”
“ขอบคุณมากนะครับ ครูบี๋ ผมต้องฝากครูบี๋ช่วยจัดการหลานสาวตัวดีของผมด้วยนะครับ”
สุดนภาเขินอาย ปฐวียิ้มให้ เมรินมองทั้งสองคนอย่างเซ็งๆ
ปฐวีก้มลงจับจมูกเมรินเล่น เมรินงอนๆ
“อย่าทำเหมือนเมย์เป็นเด็กๆสิคะ”
“ก็เด็กจริงๆนี่นา” ปฐวีพูดกับสุดนภา “ผมรบกวนนะครับ ถ้าน้องเมย์ดื้อละก็ จัดการได้เลย ผมอนุญาต”
ปฐวีหันมายิ้มให้เมริน เมรินงอน
“ไม่หรอกค่ะ น้องเมย์น่ารักจะตายไป ไม่ดื้อซักหน่อย ใช่มั้ยคะน้องเมย์” สุดนภาถาม
เมรินพยักหน้าไปเรื่อย แต่แอบทำหน้าเซ็ง
“น้าวีขา รีบไปทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย”
ปฐวีขำหลาน
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ครูบี๋”
ปฐวีคว้าตัวเมรินอุ้มลอยขึ้นมาหอมแก้มอย่างแรง เมรินอึ้งแล้วทำหน้าอายๆ แต่สุดนภามองปฐวีอย่างชื่นชม
“ตั้งใจเรียนน้องเมย์ น้าวีไปก่อน”
ปฐวีปล่อยเมรินลงพื้นแล้วเดินไป เมรินเช็ดแก้มพัลวัน พอหันไปมองสุดนภาเมรินก็ไม่เห็น เพราะสุดนภาเดินตามไปส่งปฐวีที่หน้าห้อง
“ยายบี๋ ทิ้งเพื่อนซะอย่างนั้น”
สุดนภายืนคุยกับปฐวีพร้อมกับยิ้มอ่อนหวานให้เขา
“ฝากด้วยนะครับครูบี๋”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ คุณวี”
ปฐวีเดินไป สุดนภายืนโบกมือให้พอหันกลับมาก็เห็นเมรินยืนกอดอกมองอยู่ สุดนภายิ้มเขิน
“ไปค่ะน้องเมย์ เราไปเรียนกันได้แล้ว”
สุดนภาลากมือเมรินเดินไป
สุดนภาเปิดหนังสือการสอน เมรินจ้องตาเป๋ง สุดนภาพูดไป หยิบหนังสือมาอธิบายไป แต่เมรินไม่สนใจฟัง
ตันหยงคิดในใจ“ยัยบี๋จะช็อคไม๊นะ ถ้ารู้ความจริง แล้วเราจะเริ่มต้นยังไงดีนะ”
“เอาล่ะค่ะ น้องเมย์ลองทำดูนะคะ”
เมรินถอนหายใจแล้วตัดสินใจเรียก
“บี๋...”
สุดนภาชะงัก
“แกฟังชั้นนะ ชั้นไม่ใช่น้องเมย์ ชั้นคือตันหยงเพื่อนแก”
สุดนภาอึ้ง “ทำไมน้องเมย์พูดแบบนี้ล่ะคะ ไม่เอานะคะ พูดเล่นแบบนี้ไม่ดีแล้วน้องเมย์ มารู้จักเพื่อนครูได้ยังไง”
“ไม่ใช่รู้จัก แต่ชั้นนี่แหล่ะตันหยงเพื่อนแก แกฟังชั้นดีๆนะ”
“น้องเมย์ ไม่ตลกเลยนะคะ เพื่อนครูป่วยอยู่โรงพยาบาล เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นนะคะ”
“ชั้นไม่ได้พูดเล่น ชั้นพูดจริงๆ แกจะให้ชั้นพิสูจน์ยังไง”
สุดนภาสายหน้าเครียดเพราะไม่เชื่อเมริน เมรินหยิบโจทย์เลขมามอง
“ง่ายไป เอาแบบนี้ คุณพ่อแกชื่อศุวัฒน์ คุณแม่แกชื่อวรวรรณ บ้านแกอยู่สุขุมวิท ก่อนย้ายไปสาธร แล้วแกก็ขอท่านออกไปอยู่คอนโด แต่ต้องโทรหาท่านทุกวัน ตอนเรียนมัธยม แกชอบพี่ป้อน เพราะเค้าเล่นดนตรีเก่งแต่พอเรียนมหาลัย แกก็เปลี่ยนใจไปชอบ พี่ธรรณ์ เพราะแกปลื้มที่เค้าเรียนเก่งและเป็นหัวหน้าชมรม แกเลี้ยงนกแก้วไว้หนึ่งตัว และมันคือนกที่ชั้นซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ก่อนชั้นไปเมืองนอก”
สุดนภาพูดต่อ “นกตัวนั้น เจ้าจีจี้ ชั้นทำมันตายไปแล้ว”
ตันหยงถอนใจ
“เอาล่ะ ที่นี้แกจะเชื่อชั้นได้รึยัง”
สุดนภามองเมรินอยู่นาน “ยัง”
สุดนภาจ้องหน้าเมรินนิ่ง เมรินพยักหน้า แล้วสุดนภาก็เป็นลมไปทันที
พอสุดนภาลืมตาขึ้นมองเห็นหน้าเมรินเป็นภาพเบลอๆ
“บี๋ ตื่นเดี๋ยวนี้ ตื่นขึ้นมาคุยกัน” ตันหยงบอก
สุดนภาสะดุ้งพรวดขึ้นมายืนหน้าตื่น
“น้องเมย์”
“ไม่ใช่น้องเมย์”
“หยง”
เมรินพยักหน้า
“ไม่จริง...ไม่จริง ชั้นต้องฝันไปแน่นอน เป็นไปไม่ได้ อย่าล้อเล่นกันแบบนี้นะ”
“ชั้นไม่ได้ล้อเล่นนะบี๋ นี่เรื่องจริง ชั้น..ตันหยง”
สุดนภาเซไปนั่งที่โต๊ะ
“นี่มันความฝัน ไม่จริง ชั้นรับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ”
สุดนภาลุกพรวดพราดหยิบกระเป๋าถือตัวเองแล้ววิ่งออกจากห้องไป เมรินมองตามหน้าเศร้า
ประภัสสรกับเมรินเดินมาส่งสุดนภาที่หน้าประตูบ้าน ประภัสสรมองหน้าสุดนภาด้วยความเป็นห่วง สุดนภามองหน้าเมรินแล้วหลบตา
“ครูบี๋เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ หน้าตาซีดๆ พักก่อนดีมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ สงสัยบี๋จะเป็นไข้หวัด วันนี้บี๋ขอตัวก่อนนะคะคุณภัส”
“ค่ะ งั้นอย่าลืมไปหาหมอนะคะ”
เมรินจับมือสุดนภาไว้ สุดนภามองหน้าเมรินอย่างหวาดๆ
“พรุ่งนี้พบกันนะคะ ครูบี๋” เมรินบอก
สุดนภามองหน้าเมรินนิ่งแต่ไม่ตอบอะไรก่อนจะค่อยๆชักมือออก
“บี๋ลาค่ะคุณแม่”
สุดนภาไหว้ลาประภัสสรแล้วรีบเดินขึ้นรถไป เมรินเดินไปดักหน้า
“พรุ่งนี้แกต้องมานะ”
สุดนภาทำหน้าสยองแต่ไม่ตอบ เธอรีบเดินไปขึ้นรถ เมรินมองตามหน้าเศร้า
สุดนภาขึ้นมานั่งบนรถแล้วส่ายหน้า
“เป็นไปไม่ได้ นี่ชั้นกำลังฝันไป” สุดนภาตีแก้มตัวเองแล้วก็นึกออก
สุดนภาหยิกตัวเองแล้วร้องจ๊าก
“เรื่องจริงหรือเนี่ย”
สุดนภาหันไปมองเมรินที่ยืนอยู่หน้าบ้าน เมรินโบกมือบ๊ายบายแล้วส่งสัญญาณมือท่าประจำกลุ่ม สุดนภานึกถึงเพื่อนๆ แล้วเธอก็ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก
ปฐวีเดินออกจากห้องผ่าตัด จริญทิพย์นั่งสัปหงกรอปฐวี ปฐวีเดินมาสะกิด จริญทิพย์ลืมตาขึ้นมาเห็นปฐวีก็ตื่นเต้น
“คุณวี นี่เลยเวลาแล้ว คุณวีจะทานอะไรดีคะเดี๋ยวทิพย์จะจัดมาให้ค่ะ”
ปฐวีมองนาฬิกา “ไม่ต้องดีกว่า บ่ายนี้ผมมีประชุมต่อ”
“ไม่ได้สิคะ ถึงเวลาไม่ทานอาหาร เดี๋ยวป่วยไป จะมีใครไปรักษาคนป่วย ทิพย์ยอมไม่ได้”
จริญทิพย์ทำท่าเป็นห่วงปฐวีอย่างจริงจัง ปฐวียิ้มเอาใจ
“ก็ได้ครับ คุณทิพย์ คุณทิพย์นี่ช่างเป็นเลขาที่แสนดี ห่วงใยผมไปซะทุกเรื่อง” ปฐวีพูดล้อ “ถ้าไม่มีคุณทิพย์ผมจะอยู่ได้ยังไงละเนี่ย”
จริญทิพย์ยิ้มปลื้ม
“ปากหวานใส่ทิพย์อีกแล้ว ....”
หนึ่งฤทัยเดินมา
“หมอวีคะ พอมีเวลามั้ย หนึ่งมีเรื่องอยากปรึกษา”
“ได้ครับ แต่บ่ายผมมีประชุมต่อ”
“ไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวหนึ่งก็ต้องเข้าประชุมด้วยเหมือนกัน งั้นทานข้าวด้วยกันนะคะ”
“ก็ได้ งั้นคุณทิพย์ไม่ต้องแล้วนะครับ เดี๋ยวผมไปทานกับหมอหนึ่ง อ้อ ช่วยเตรียมแฟ้มประชุมตอนบ่ายให้ผมด้วยนะครับ”
หนึ่งฤทัยกับปฐวีเดินคู่กันไป
“อ้าว คุณหมอวีนะ ได้ใหม่แล้วลืมเก่านะคะเนี่ย”
จริญทิพย์ทำหน้าเซ็งๆ
หนึ่งฤทัยกับปฐวีนั่งกินข้าวในห้องอาหารของโรงพยาบาล
“หนึ่งอยากบรีฟให้หมอวีฟังเรื่อง เคสคุณตันหยงน่ะค่ะ อาการเธอไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”
“ผมลองค้นข้อมูลทุกทาง เรื่องนี้ไม่ค่อยมีบันทึกไว้เท่าไหร่ เจอแต่เรื่องไสยศาสตร์” ปฐวีส่ายหัว
“หนึ่งเข้าใจค่ะ มันผิดหลักการที่เราเคยเรียนมา แล้วก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือด้วย”
“บ่ายนี้ผมลองเรียกประชุมคณะแพทย์แล้วครับ เราอาจจะได้แนวคิดอะไรใหม่ๆบ้าง”
หนึ่งฤทัยหัวเราะ “หนึ่งทราบแล้วค่ะ คุณหมอวีคงลืมไปแล้วว่า คุณตันหยงเป็นคนไข้ของหนึ่งนะคะ”
ปฐวียิ้มเขิน “จริงสินะ ผมนี่แย่จริงๆเลย”
“แหม...ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ของคนไข้ทราบ คงจะดีใจที่วีใส่ใจคุณตันหยงขนาดนี้ วีนี่เป็นหมอที่ทุ่มเทจริงๆนะคะ”
ปฐวียิ้มหลบตาแต่ไม่ได้ตอบอะไร
“แล้วนี่น้องเมย์เป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ปกติดีทุกอย่างน่ะครับ เพียงแต่บางครั้งอาจจะพูดจาเกินเด็กไปหน่อย”
“ เด็กสมัยนี้ก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละค่ะ โตเร็วจนเราตามไม่ทัน”
“หรือครับ บางทีผมก็รู้สึกแปลกๆ คงยังไม่ชิน”
“เออจริงสิ ไว้ว่างๆหนึ่งจะขอไปเยี่ยมน้องเมย์บ้างนะคะแล้วท่านประธานเป็นยังไงบ้างคะ ท่านสบายดีใช่ไหมคะ”
“ครับคุณย่าสบายดี บ่นถึงหนึ่งบ่อยๆ บอกให้ชวนหมอหนึ่งมาทานข้าวด้วย ถ้าหนึ่งว่างวันไหน เชิญนะครับ”
หนึ่งฤทัยดีใจ
“ค่ะ หนึ่งได้เพิ่งสูตรขนมมา ว่าจะลองทำไปให้ท่านประธานกับน้องเมย์ชิมพอดีค่ะ”
“หนึ่งนี่ชอบทำขนมจริงๆ อย่าพึ่งทิ้งผมไปเปิดร้านนะครับ”
“วีก็...แพทย์น่ะ เป็นอาชีพที่รักของหนึ่งเลยนะคะ หนึ่งไม่ทิ้งวีไปไหนหรอกค่ะ”
ปฐวีมองหนึ่งฤทัยยิ้มๆ หนึ่งฤทัยเขินแต่ก็แอบองปฐวีอย่างชื่นชม
สุดนภาเดินพูดคนเดียวไปมาอยู่ในห้องพัก
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ นั่นมันน้องเมย์ชัดๆ โอ๊ย..อยากจะบ้าตาย”
สุดนภาทรุดตัวลงนั่งกุมขมับแล้วก็เด้งตัวขึ้นมาคว้าขวดยาพาราฯ เทแล้วกินเข้าไปสองเม็ด ก่อนจะล้มตัวลงนอน สักพักเธอก็เด้งตัวขึ้นมาอีก
“แล้วถ้า ตันหยงอยู่ในร่างน้องเมย์ แล้วใครอยู่ในร่างตันหยงล่ะ”
สุดนภาคิดหนัก
“หรือว่าจะเป็นน้องเมย์ อ๊ะ แล้วถ้าเป็นน้องเมย์ ทำไมไม่ฟื้นล่ะ ประหลาดจริง”
สุดนภาเริ่มวิตก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สุดนภาสะดุ้งเฮือกมองโทรศัพท์ก็เห็นว่าเป็นนาวินดทรเข้ามา สุดนภาถอนหายใจยาว
“จะโทรจิกอะไรกันนักกันหนา ชาติที่แล้วเป็นอีกาปากเหล็กหรือยังไงเนี่ย”
สุดนภากดรับด้วยความเซ็ง
นาวินคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน
“เป็นไงคุณบี๋ ไปสอนน้องเมย์มาเป็นยังไงบ้าง”
“แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“อ้าว ผมอยากรู้ว่าคุณ ทำงานเป็นยังไงบ้าง ติดขัดอะไรบ้างรึเปล่า”
สุดนภาโมโหแต่พยายามระงับอารมณ์ “เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา”
“ยังไง ไม่มีรายละเอียดเลย ขอรายละเอียดหน่อยสิคร๊าบ ว่าไปเจอใครบ้าง แล้วเป็นยังไง”
สุดนภาหงุดหงิด “อะไรของคุณ นี่มันเวลาพักของชั้นนะ ทำไมชั้นจะต้องรายงานด้วย”
“อ้าว ก็น้องเมย์เป็นนักเรียน คุณก็เป็นครู ผมเป็นผู้บริหารก็ต้องรับผิดชอบ ตามข้อมูลสิครับ คุณบี๋”
“โอ๊ยยยย..... อย่าพึ่งมาซักอะไรตอนนี้ได้มั้ย คงยิ่งเครียดๆอยู่ด้วยแค่นี้นะ”
นาวินสะดุ้งมองโทรศัพท์อย่างงงๆ
“อะไรของเค้าเนี่ย วี๊ดเกินเหตุหรือเปล่า”
“โอ๊ย นี่มันวันอะไรกันเนี่ย” สุดนภาล้มตัวลงนอนหมดแรง แล้วก็เด้งขึ้นมาอีก “ตายจริง ถ้าน้องเมย์ไม่ได้โกหกล่ะ แล้วหยง.. โอ๊ยๆๆ ทำไงดี”
สุดนภาหน้าเครียด
จริญทิพย์เก็บแฟ้มออกไปจนเหลือปฐวีอยู่กับหนึ่งฤทัยที่กำลังลุก
“หมอวียังวิตกเรื่องคุณตันหยงอยู่หรือคะ” หนึ่งฤทัยถาม
“เอ่อ..ก็นิดหน่อยครับ หมอทุกคนก็ลงความเห็นว่าร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมคุณตันหยงถึงยังไม่ฟื้น”
“คงต้องรอดูไปอีกซักพัก ถึงจะสรุปอาการได้ คุณหมอวีอย่าเพิ่งวิตกเลยนะคะ”
“ครับ ผมนี่แย่จังเลย ชอบเอาเรื่องงานมาคิดเรื่อย”
“เป็นเพราะหมอวีจริงจังกับงานต่างหาก”
“ขอบคุณนะครับที่คุณเข้าใจผมเสมอ”
ปฐวีจอดรถแล้วลงจากรถมาเปิดประตูให้หนึ่งฤทัย ทั้งสองยืนคุยกันข้างรถ
หนึ่งฤทัยยิ้มเขิน “ขอบคุณมากนะคะที่มาส่งหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรครับ …… หนึ่งครับ”
ปฐวีเห็นแมงมุมตัวเล็กๆ เกาะที่ไหล่หนึ่งฤทัย
“คะ”
ปฐวีเดินเข้าไปใกล้ หนึ่งฤทัยทั้งงงทั้งเขิน ปฐวีค่อยๆเอามือกำแมลงที่ไหล่ของหนึ่งฤทัยแล้วปาทิ้งเบาๆ
“แมลงมันเกาะไหล่หนึ่ง เรียบร้อยแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ ขับรถดีๆนะคะ หนึ่งเป็นห่วง”
หนึ่งฤทัยเดินไป ปฐวีเปิดประตูขึ้นรถ หนึ่งฤทัยหันมามอง ปฐวีนั่งในรถ หนึ่งฤทัยเดินไปแล้วหันมามองอีก ปฐวีโบกมือให้ หนึ่งฤทัยโบกมือตอบ ปฐวีมองหนึ่งฤทัยแล้วยิ้ม
ปฐวีหันไปแล้วคิดถึงตันหยงที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล
ดาวกระจ่างเต็มท้องฟ้า เมรินนั่งมองท้องฟ้าริมสระว่ายน้ำ เธอสูดลมหายใจโล่งอก
“ได้อยู่คนเดียวแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” ตันหยงคิดแล้วเปรย “พรุ่งนี้แกจะมาหาชั้นรึเปล่านะบี๋ แกอย่าพึ่งทิ้งชั้นไปนะ”
ตันหยงมองท้องฟ้าก่อนจะยกขาชันขึ้นเท้าคางตัวเอง
“เมื่อไหร่นะชั้นจะตื่นจากความฝันซะที เมื่อไหร่ชั้นจะกลับเป็นตันหยงคนเดิมซะที”
ปฐวีเดินเข้ามาเห็นเมรินนั่งมองท้องฟ้าอยู่คนเดียวก็ยิ้มขำ ปฐวีค่อยๆย่องเข้ามาหาเมริน แล้วกอดไว้
“ไง เด็กน้อย แอบลงมาอีกแล้ว ทำไมถึงยังไม่นอน”
เมรินพยายามดิ้นแต่ก็ไม่หลุด
“น้าวีคะปล่อยก่อนได้มั้ย เมย์อึดอัด”
ปฐวีล้มตัวลงนอนที่เก้าอี้ยาวก่อนจะดึงตัวตันหยงลงไปนอนข้างๆ
“อย่าเพิ่งไป นอนดูดาวเป็นเพื่อนน้าวีก่อนนอนซักพัก”
ตันหยงคิดในใจ “ทำไมต้องนอนชิดกันขนาดนี้ด้วยนะ”
ตันหยงตันหยงก็สังเกตเห็นปฐวีถอนใจ
ตันหยงมองปฐวี “น้าวีมีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ”
“ก็นิดหน่อย”
“เรื่องอะไรคะ”
ปฐวียิ้ม “ถ้าบอก น้องเมย์จะเข้าใจหรือ”
“ลองดูสิคะ เผื่อน้องเมย์จะเป็นที่ปรึกษาให้ได้”
ปฐวียิ้มมองเมริน เมรินยิ้มใสซื่อ ทันใดนั้นปฐวีก็นึกถึงตันหยงที่หันหน้ามายิ้มให้เขาในสนามบิน
“ช่างมันเถอะ เรื่องของผู้ใหญ่ น้องเมย์ฟังไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก”
ตันหยงคิดในใจ “ก็ใช่สิ เพราะชั้นติดอยู่ในร่างเด็ก ใครจะอยากคุยกับเด็กล่ะ”
เมรินทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วขยับตัวอย่างอึดอัด ปฐวีสังเกตเห็น
“อึดอัดหรือ” ปฐวีแกล้งบ่น “เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรักน้าวีแล้ว เมื่อก่อน เด็กที่ไหนไม่รู้ ต้องให้น้าวีอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอนแทบทุกคืน พอจะโตเป็นสาวก็ลืมน้าวีซะอย่างนั้น”
ตันหยงคิดในใจ “ก็บอกแล้วว่าชั้นไม่ใช่น้องเมย์ คุณไม่ฟังชั้นเอง”
“น้องเมย์ง่วงนอนแล้ว”
“งั้นน้าวีขึ้นไปส่งนะ สาวน้อย”
เมรินมองปฐวีแล้วพยักหน้า ปฐวีคว้าเมรินขึ้นอุ้มพาดบ่าเดินไป เมรินเท้าศอกกับหลังปฐวีแบบเซ็งสุดๆ
“ทำไมจะต้องอุ้มกันด้วยนะ” ตันหยงคิดหงุดหงิดในใจ
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 4 (ต่อ)
วันต่อมา ร่างตันหยงนอนอยู่บนเตียงในห้องพัก เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจเต้นปกติ ปฐวียืนกอดอกมองตันหยงนิ่งด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ทำไมคุณยังไม่ฟื้นนะ คุณตันหยง”
ปฐวียืนคิด
สุดนภาเดินจ้ำๆ มาถึงหน้าห้องตันหยง สุดนภาหยุดชะงักและมีท่าทางลังเล
“ถ้าแกอยู่ในร่างน้องเมย์ แล้วใครอยู่ในร่างแกตอนนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไง มันจะเป็นไปได้ยังไงไม่รู้ละ เป็นไงเป็นกัน ต้องดูให้รู้”
สุดนภาสูดลมหายใจตั้งสติรวบรวมความกล้าก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตันหยง
สุดนภาเปิดประตูพรวดเข้าไปในห้องแล้วเข้าไปเกาะเตียงตันหยง
“....มันจะเป็นไปได้ยังไง”
สุดนภาชะงักเมื่อเห็นปฐวียืนก้มหน้าอ่านชาร์ทอยู่ที่มุมห้อง
“ครูบี๋ มาเยี่ยมคุณตันหยงหรือครับ” ปฐวีถาม
“ค่ะ เอ่อบี๋ มาเยี่ยมตันหยงก่อน แล้วก็จะไปสอนน้องเมย์ที่บ้านต่อน่ะคะ”
“งั้นเย็นนี้เราอาจจะเจอกันที่บ้านนะครับ”
สุดนภาคิดในใจ “นี่ถ้าเราบอกเรื่องนี้กับหมอวี เค้าจะว่าเราบ้ามั้ยเนี่ย”
สุดนภาจ้องหน้าปฐวี ปฐวีมองตอบ
“คุณบี๋ครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ คุณหมอวีคะ คุณหมอวีเชื่อเรื่อง พวก..คนตายแล้วฟื้น หรือพวกวิญญาณ อะไรทำนองนี้มั้ยคะ”
ปฐวีงงแต่ก็ยิ้ม “ตายแล้วฟื้น ทางการแพทย์ไม่มีหรอกครับ เป็นการเข้าใจผิดส่วนเรื่องวิญญาณ น่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทำไมคุณบี๋ถามเรื่องนี้ล่ะครับ”
“อ๋อเปล่าหรอกค่ะ บี๋แค่สงสัย ไม่มีอะไรหรอก”
จริญทิพย์เดินเข้ามาในห้อง
“คุณหมอวีอยู่นี่เอง เรียนเชิญหมอวีที่ห้องฉุกเฉินค่ะ มีผู้ป่วยอุบัติเหตุรถยนต์ บาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะค่ะ”
“ครับๆ” ปฐวีพูดกับสุดนภา “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณบี๋”
ปฐวีเดินไป สุดนภามองตามแล้วถอนหายใจเฮือก
“เกือบแล้วมั้ยล่ะ ขืนพูดไปมีหวัง หน้าแตกยับ”
สุดนภาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ปฐวีเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลรีบเข้ามารายงาน
“คนไข้อุบัติเหตุรถยนต์ กระเด็นตกจากทางด่วนค่ะ”
“ขอดูเอ็กซเรย์กะโหลกด่วนเลย” ปฐวีบอก
“ฟีล์มอยู่นี่ค่ะ”
ปฐวีรับภาพเอ็กเรย์กะโหลกศรีษะมาดู
“มีเลือดออกใต้กะโหลก ต้องผ่าตัดด่วน ย้ายคนไข้เข้าห้องผ่าตัด เตรียมเลือดไว้ให้พร้อมด้วยนะครับ แล้วคุณช่วยตามหมอกระดูกที่เข้าเวรวันนี้มาให้ผมด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
ปฐวีทำการผ่าตัดคนไข้ เขารับเครื่องมือจากพยาบาลแล้วเริ่มกรีดไปที่แผล เวลาผ่านไปพยาบาลซับเหงื่อให้ปฐวี เวลาผ่านไป ปฐวีส่งอุปกรณ์การผ่าตัดให้ผู้ช่วย ปฐวีเริ่มถอดถุงมือ
“ย้ายคนไข้ไปอยู่ไอซียู สังเกตอาการใกล้ชิด มีอะไรผิดปกติ รายงานผมทันทีเลยนะ”
“ค่ะหมอวี”
ปฐวีเดินออกไปจากห้อง พยาบาลกับแพทย์ผู้ช่วยมองตาม
“หมอปฐวีลงมือเอง เบาใจได้เลยเคสนี้” แพทย์ผู้ช่วยบอก
พยาบาลและแพทย์ผู้ช่วยมองตามอย่างชื่นชม
ป้าแก้วทำงานอยู่ในครัว บุญศรีนั่งรื้อถ้วยจานอยู่มุมหนึ่ง สายแก้วเดินเข้ามาในครัว
“แม่จ๋า วันนี้เตรียมของว่างเพิ่มด้วยนะแม่ ครูบี๋จะมาสอนพิเศษน้องเมย์ที่บ้าน”
“อ้าว ไม่เคยเห็นคุณเมย์ต้องเรียนพิเศษเลยนี่นา” ป้าแก้วสงสัย
“คุณหญิงท่านสั่งให้ครูมาสอนเป็นพิเศษ เห็นว่าคุณเมย์ยังไม่พร้อมไปโรงเรียนน่ะ”
“งั้นหรือ ก็ดีเหมือนกัน ไปโรงเรียนไม่ได้ ให้ครูมาสอนก็ยังดีนะ”
“แม่จัดไว้เลยนะ เดี๋ยวครูบี๋มาชั้นจะได้มาเอาไปเลย”
“เออ ไม่ต้องห่วง เอ็งจะทำอะไรก็ไปไป๊”
สายแก้วเดินไป บุญศรีทำหน้ามีลับลมคมนัย
บุญศรีนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น ปรางทิพย์ที่นั่งบนโซฟาทำสีหน้าครุ่นคิด
“ทำไมคุณยายถึงทำอย่างนี้ ปากก็ว่ายุติธรรม เชอะ เอียงเข้าน้องเมย์ตลอดเลย”
“มีครูมาสอนพิเศษ ครูเค้าอาจจะเอาแนวข้อสอบมาบอกคุณเมย์ ทีนี้คุณเมย์ต้องเรียนเก่งกว่าคุณแก้ว คุณขวัญแน่เลยคะเนี่ย” บุญศรีใส่ไฟ
“หุบปากเลย นังศรี เป็นตายยังไง ชั้นก็ยอมให้มันเก่งกว่าลูกชั้นไม่ได้หรอก” ปรางค์ทิพย์นิ่งคิด “ถ้าลูกหล่อนได้เรียน ลูกชั้นก็ต้องได้เรียน จริงมั้ยนังศรี”
“คุณปรางค์จะทำยังไงล่ะคะ”
ปรางค์ทิพย์ไม่ตอบ แต่ทำหน้าร้าย
ประภัสสรนั่งทำหน้าอึดอัด ปรางค์ทิพย์นั่งมองประภัสสร
“จริงๆพี่ก็ไม่อยากจะรบกวนอะไรหรอกนะ เห็นว่าไหนๆครูก็มาสอนน้องเมย์แล้ว พี่ก็ขอฝากลูกแก้วลูกขวัญด้วยเธอคงจะไม่ว่าอะไรหรอกนะ แม่ภัส”
“แต่ภัสเกรงใจครูบี๋น่ะคะ” ประภัสสรบอก
“จะเกรงใจทำไม ยายแก้วยายขวัญก็หลานคุณยายเหมือนกันไม่ใช่หรือ หรือว่าเธอรังเกียจลูกพี่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะพี่ปรางค์”
“ถ้าเธอไม่รังเกียจ ลูกพี่ก็เรียนได้ใช่มั้ย แม่ภัส”
ประภัสสรอึกอัก “ก็ได้ค่ะ ภัสจะบอกครูบี๋ให้นะคะ”
“แหม..แม่ภัส เธอช่างมีน้ำใจกับพี่จริงๆนะ”
“โธ่พี่ปรางค์ เราพี่น้องกันนะคะ”
ปรางค์ทิพย์แอบยิ้มร้าย
“จริงสิ อ้าวแล้วนี่วันนี้เมธีไม่อยู่หรอกหรือ แปลกจังดีเนอะวันหยุดกลับไม่อยู่กับลูกกับเมีย หรือว่า ....”
“คุณเมธีงานยุ่งน่ะค่ะ เห็นว่าตอนนี้เริ่มโปรเจ็คใหม่ ยังไม่เข้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ”
“เค้าบอกเธอแบบนั้น เธอก็เชื่อหรือ โธ่ แม่ภัสเอ๊ย พี่เตือนเธอด้วยความหวังดีนะ ผู้ชายน่ะร้อยทั้งร้อยเหมือนกันหมดแหละ เธอต้องคุมให้อยู่อย่างพี่กับคุณสรรน่ะ พี่ชี้นกเป็นนก เชื่องซะยิ่งกว่าแมวอีก”
ประภัสสรอึดอัด “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะพี่ปรางค์ วันก่อนยังซื้อดอกไม้มาให้ภัสเลยค่ะ”
ปรางค์ทิพย์ชะงัก “นั่นยิ่งต้องระวัง ผู้ชายจะทำดีกับเมียเป็นพิเศษน่ะ เพราะต้องการทำให้เมียตายใจ เธอหัดเปิดหูเปิดตาซะบ้างนะแม่ภัส ที่พูดนี่หวังดีล้วนๆนะจ๊ะ ถ้าเป็นคนอื่น จ้างให้พี่ก็ไม่เขี่ย”
ประภัสสรเริ่มหนักใจ ปรางค์ทิพย์แอบยิ้มร้าย
พิรามนั่งทำงานอยู่คนเดียวในออฟฟิศ เขาพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อนแล้วหันไปมองรูปตันหยงที่อยู่บนโต๊ะ
“ตันหยง ผมควรจะทำยังไงดี”
พิรามนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่สุดนภาคุยกับเขา
สุดนภาพูดกับพิรามในโรงพยาบาล
“.....จัดการเรื่องของคุณให้เรียบร้อย คิดว่าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมา...”
เขานึกถึงตอนที่ไปเฝ้าพัดชาที่โรงพยาบาล แล้วพัดชาพูดกับเขา
“พัดสูญเสียคุณไปไม่ได้ ให้เวลาพัดหน่อยนะคะ”
พิรามกุมขมับคิดหนัก สักพักเขาก็เงยหน้า
“ไม่ได้ หยง ผมเสียคุณไปไม่ได้”
พิรามตัดสินใจเด็ดขาด
พัดชานั่งเหม่อเศร้าอยู่ริมหน้าต่าง เสียงกริ่งดังขึ้น พัดชาผวา
“พิราม”
พัดชารีบวิ่งไปเปิดประตู พิรามยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเครียด พัดชาโผกอดพิรามไว้แน่น
“ในที่สุดคุณก็กลับมาหาพัด”
พิรามปลดมือพัดชาออก พัดชางง พิรามรามเดินเข้ามาในห้อง พัดชาเดินตามเข้ามากอด พิรามเบี่ยงตัวออก
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“ใจเย็นๆค่ะ อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวก่อนดีมั้ยคะ พัดจะทำอะไรให้ทาน”
“ไม่เป็นไรหรอกพัดชา ผมคงอยู่ไม่นาน” พิรามบอก
พิรามหยิบโฉนดคอนโด พร้อมเงินสดยื่นให้พัดชา
“อะไรคะพิราม”
“โฉนดคอนโด และเช็ค เพื่อให้คุณได้ตั้งต้นชีวิตใหม่”
พัดชามองหน้าแล้วปัดออก “ไม่ พัดไม่ต้องการของพวกนี้” พัดชาปัดทิ้ง “คุณดูถูกพัด”
“ผมไม่ได้ดูถูกคุณนะพัดชา แต่ผมไปต่อกับคุณไม่ได้จริงๆ”
พัดชาเริ่มคลั่ง “แล้วเวลาที่ผ่านมา ไม่มีค่าอะไรสำหรับคุณเลยหรือ คุณพิราม ไม่มีความหมายเลยหรือ”
“ทุกวันนี้ผมไม่ได้มีความสุขเลยผมรู้สึกผิดต่อตันหยงมาก ที่ตันหยงเป็นแบบนี้ก็เพราะผม ถึงเราอยู่ด้วยกันต่อไปก็ไม่มีความสุขหรอก พัดชา”
“ผมไม่อยากทำผิดพลาดอีก .... และผมจะไม่อ่อนแอ หรืออ่อนไหวอีกผมเสียใจนะพัดชา”
พิรามเดินไป พัดชาค่อยๆทรุดตัวลงนั่งร้องไห้เงียบๆ
เมรินยืนชะเง้อรอสุดนภาอยู่ในบ้าน
“นี่แกจะมาหรือเปล่านะบี๋”
รถแท็กซี่วิ่งเข้ามาในบ้าน สุดนภาเดินลงจากรถแล้วมองเข้ามาในบ้านอย่างหวาดๆ เมรินถอนหายใจโล่งอก
“ในที่สุดแกก็มาจนได้”
สุดนภาเดินเข้ามาแบบกลัวๆกล้าๆ เมรินรีบวิ่งไปจูงมือสุดนภามานั่ง
“ชั้นดีใจนะ ที่แกมา”
สุดนภามองหน้าเมรินนิ่งแต่ยังไม่พูดอะไร
ปรางค์ทิพย์เดินจูงปรงแก้วปรงขวัญเข้ามาในห้อง ประภัสสรเดินตามาด้วยหน้าตาอึดอัด
“เอ่อ ครูบี๋คะ นี่พี่ปรางค์พาน้องแก้วน้องขวัญ มาขอเรียนกับน้องเมย์ด้วย” ประภัสสรแนะนำ
“น้องแก้วน้องขวัญ สวัสดีคุณครูสิลูก แหม เกือบจะมาไม่ทันซะแล้ว” ปรางค์ทิพย์ว่า
ปรงแก้ว ปรงขวัญยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณครู”
“เอ่อครูบี๋คะ ภัสฝากหลานเรียนด้วยสองคนนะคะ”
สุดนภางง “ได้ค่ะ ดีเลยเรียนหลายๆคนจะได้สนุก”
“เด็กสองคนนี้เก่งอยู่แล้วค่ะ ครูบี๋คงไม่ต้องเหนื่อยมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชมากเหมือนเด็กบางคนค่ะ สบายใจได้ ฝากด้วยนะคะ” ปรางค์ทิพย์หันไปบอกประภัสสร “พี่ไปก่อนนะฝากหลานด้วยล่ะ อย่าปล่อยให้น้องเมย์มาชวนเล่นจนเสียการเรียนล่ะ”
ปรางค์ทิพย์เดินไป ประภัสสรหันมามองแล้วยิ้มอย่างเกรงใจ
“ภัสเกรงใจครูบี๋จังเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเล็กแค่นี้เอง”
“ตั้งใจเรียนนะคะ น้องเมย์ คุณแม่ไปก่อนละ”
ประภัสสรเดินไป เมรินมองหน้าสุดนภาอย่างเซ็งๆ
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาในบ้าน บุญศรีรีบเข้าไปรับ
“เรียบร้อยแล้วหรือคะ คุณปรางค์”
“แน่ละสิ ลองชั้นลงมือแล้วละก็ มีหรือจะไม่เรียบร้อย”
“คุณปรางค์ของศรีเก่งเสมอค่ะ”
ปรางค์ทิพย์นึกได้ “นี่แกไปคอยจับตาให้ดีๆนะ ดูซิว่าครูบี๋น่ะสอนลูกแก้วลูกขวัญของชั้นหรือเปล่า ให้แน่ใจด้วยว่า นังเมย์ไม่ชวนลูกชั้นเล่นให้เสียการเรียน”
“ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วง ศรีจะดูแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย”
บุญศรีเดินไป ปรางค์ทิพย์ยิ้มร้าย
“ลูกหล่อนได้ ลูกชั้นก็ต้องได้”
สุดนภาเปิดหนังสือแล้วเขียนขึ้นโจทย์เลขบนกระดานสอน ปรงแก้ว ปรงขวัญ แย่งกันตอบ เมรินนั่งกอดอกหน้าบึ้ง บุญศรีนั่งจ้องเมรินเขม็ง
สุดนภาหยิบบัตรคำภาษาอังกฤษขึ้นมาชู ปรงแก้วกับปรงขวัญตอบ เมรินนั่งอ่านนิตยสารผู้หญิงภาษาอังกฤษไม่สนใจ
สุดนภาหยิบหนังสือภาษาอังกฤษขึ้นมาชู
“อ่านตามครูนะคะ เปิดหน้าแรกเลย”
เมรินรีบพูด “ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวจะอ่านให้ฟังเอง”
เมรินเปิดหนังสือแล้วอ่านเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว สุดนภามองด้วยความตะลึง
“ตายจริง คุณเมย์ไม่ได้ตั้งใจเรียนยังอ่านได้ขนาดนี้ แสดงว่า เรียนพิเศษกับครูบี๋น่าจะได้ผลจริง” บุญศรีเปรย
เมรินอ่านจนจบ สุดนภาอ้าปากค้าง
“จะให้อ่านอะไรอีกมั้ยคะครูบี๋” เมรินถาม
“ไม่ต้องค่ะ พอแล้ว พอแล้ว เอ่อ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ”
ปรงแก้วกับปรงขวัญเฮ บุญศรีรีบขวาง
“อะไรคะครูบี๋ พอแล้วเหรอคะน่าจะสอนเด็กๆต่ออีกสักหน่อยนะคะ พึ่งสอนไปแป๊บเดียวเองค่ะ น่าจะติวเข้มมากกว่านี้”
เมรินรีบพูด “พอได้แล้วค่ะ น้องเมย์เหนื่อยจะแย่อยู่แล้วค่ะ สมองรับไม่ไหวแล้วค่ะ”
“โอเคค่ะ เด็กๆ พอก็พอ งั้นพอแค่นี้ก่อนนะคะ”
บุญศรีทำท่างอน ปรงแก้วกับปรงขวัญเฮกันใหญ่ สุดนภามองเมรินแบบคิดหนัก
ในห้องของเมริน สุดนภากับเมรินมองหน้ากันแบบตาต่อตา
“ครูประจำชั้นสมัยเรียน ม.1 ชื่อไร” สุดนภาถาม
“ครู อังคณา” เมรินตอบ
“ฉายาชั้นสมัยเรียนปี1 ชั้นคืออะไร”
“บี๋จอมซ่า”
“แล้วแฟนคนแรกชั้นชื่อว่าอะไร”
“อรรณพ รุ่นพี่ที่แกปลื้มชื่อ ศิวะ แต่ดันแต๋วแตกซะก่อน แกอกหักอยู่สองวันแล้วแกก็ตกหลุมรัก รุ่นพี่วิศวะคนใหม่ ชื่ออะไรนะ...วิกรณ์ หรือวิกรม”
สุดนภาเริ่มทึ่งแต่ก็ยังพยายามเก็บอาการ
“แล้วสเป็คแฟนของชั้นต้องเป็นยังไงบ้าง” สุดนภาถามต่อ
“หน้าตาดี สุภาพอ่อนโยน ต้องเป็นคนเก่ง ที่สำคัญรักเด็ก ซึ่งคนๆนั้นน่าจะเป็นหมอปฐวี”
สุดนภากรี๊ดแล้วกระโดดเข้ากอดเมริน ทั้งสองคนกระโดดโลดเต้น
“หยง แกคือหยงจริงๆด้วย” สุดนภามอง “ชั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกเหลือตัวแค่เนี๊ย”
เมรินหยิกแก้มสุดนภาอย่างแรงจนสุดนภาร้องจ๊าก
“โอ๊ย เจ็บนะ”
“ถ้าเจ็บก็แสดงว่าเรื่องจริง ไม่ได้ฝัน ทีนี้ก็เชื่อชั้นหรือยัง”
สุดนภามองเมรินนิ่งแล้วดึงเมรินมากอดไว้แน่น
“ชั้นไม่อยากจะเชื่อเลย นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย ชั้นอยากจะเป็นลมจริงๆ”
สุดนภาทำท่าจะเป็นลมจริงๆ
“อย่านะบี๋ อย่าเป็นลม ชั้นรับไม่ไหว”
ปฐวีเดินเข้ามาเห็นพอดี สุดนภามึนจนหงายหลังแต่ปฐวีรับไว้ได้ สุดนภามองปฐวีเหมือนฝันก่อนจะเผลอยิ้มปลื้มอย่างมีความสุข
“คุณบี๋ครับ คุณบี๋ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เมรินเอื้อมมือมาหยิกสุดนภาเพื่อเรียกสติ สุดนภาสะดุ้ง
“คุณหมอวี ไม่เป็นไรค่ะบี๋ แค่ตื่นเต้นไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“ตื่นเต้นอะไรครับ หรือว่าจะพักผ่อนน้อย เห็นพี่ภัสบอกเมื่อวานคุณบี๋ไม่ค่อยสบาย”
“ค่ะ อ๋อบี๋เป็นหวัดเลยมึนๆ ตอนนี้โอเคแล้วค่ะ”
ปฐวีโล่งใจ
“น้องเมย์ล่ะ อยากไปโรงเรียนรึยัง” ปฐวีถาม
เมรินหน้าเบ้แล้วส่ายหน้า
“น้องเมย์พร้อมแล้วค่ะ” สุดนภาตอบแทน
เมรินจ้องหน้าสุดนภาอย่างโกรธๆ
“ไปอยู่กับครูบี๋ไงคะ น้องเมย์” สุดนภาบอก
“แล้วให้ชั้นไปนั่งเรียนกับเด็กเนี่ยนะ” เมรินถาม
ปฐวีงงๆ แต่ก็ขำหลาน เขามองเมรินแล้วก็มองสุดนภา
สุดนภากับเมรินเดินไปนั่งที่เก้าอี้ในสนาม หนุงหนิงวิ่งเข้ามาประจบแล้วก็วางคางเกยตักเมริน
“แกต้องช่วยชั้นนะบี๋ แกดูสภาพชั้นสิ ชั้นจะบ้าตายอยู่แล้ว ทำไมชั้นต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย พูดคุยกับใครก็ไม่ได้ ต้องไปพูดคุยกับหมา”
หนุงหนิงหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากคุยด้วย ตันหยงเซ็ง
“ทำไมแกถึงไม่อธิบายให้คนบ้านนี้เค้าฟัง เหมือนที่แกอธิบายให้ชั้นฟังล่ะ” สุดนภาถาม
ตันหยงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตอนแรกชั้นพยายามแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง ตอนนี้จะมานั่งอธิบาย ก็ไม่กล้าแล้ว แกคิดดูสิ พวกเค้าจะรู้สึกยังไง จะเสียใจกันแค่ไหน แล้วชั้นก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ น้องเมย์ไปอยู่ที่ไหน ชั้นไม่กล้าทำร้ายจิตใจพวกเค้าขนาดนั้นหรอก”
“ชั้นเข้าใจแล้ว” สุดนภาคิด “งั้นแกก็อยู่ในร่างน้องเมย์ไปก่อนแล้วตัวแกอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหล่ะ นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ได้สติเลย”
“วันก่อนชั้นไปตามหาแล้ว แต่ไม่เจอ เจอแก แต่เรียกก็ไม่ได้ยิน”
“จริงเหรอ ชั้นขอโทษนะ”
ตันหยงพยักหน้า
“ถ้าแกอยากไปโรงพยาบาล ชั้นจะหาทางพาแกไปเอง”
ตันหยงมองหน้า “ชั้นไม่รู้ว่า ถึงเวลาจริงๆ ชั้นจะกล้าเจอตัวชั้นไม๊ ชั้นทำใจไม่ได้จริงๆ บี๋”
“อย่าว่าแต่แกเลย เพราะตอนนี้ชั้นเองก็พยายามทำใจอยู่”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจพร้อมกัน
“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ชั้นล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านเข้มแข็งมาก ดูแลแกอย่างดี ตอนนี้ทุกคนพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาแกให้ฟื้น อย่างเดียวที่แกจะทำได้ตอนนี้คือ อดทนรอ”
ตันหยงฟังเรื่องพ่อกับแม่แล้วก็น้ำตาซึม
“แกจะต้องเข้มแข็งนะหยง ชั้นจะคอยช่วยแกเอง”
ทั้งสองกอดกัน
ตันหยงเศร้า “ชั้นจะพยายามรับมันให้ได้”
เมรินกับสุดนภาปาก้อนหินลงสระน้ำข้างบ้านแข่งกัน
“ชั้นโตกว่าแก ยังไงชั้นก็ไกลกว่า” สุดนภาหัวเราะ
“นี่แกกำลังซ้ำเติมช้ำนะ” เมรินหัวเราะ
“เอาน่า นานๆจะทำอะไรชนะแกซะที เร็ว มาแข่งกันต่อ”
ปฐวีเดินมากับปภัสสร
“สาวๆ มาอยู่ตรงนี้เอง น้าวีจะพาไปทานไอศกรีม ไปไหมครับ” ปฐวีถาม
เมรินกับสุดนภามองหน้ากัน สุดนภาพยักหน้า เมรินกระซิบ
“เห็นแกไอศกรีม หรือเห็นแก่น้าวีล่ะเนี่ย”
“อย่าแซวกันสิ ชั้นอาย”
ปฐวีกับประภัสสรมองหน้ากันแล้วขำทั้งคู่
“ตกลงกันเสร็จรึยังครับ”
“ไปก็ได้ค่ะ” เมรินบอก
“ผมขออนุญาตพี่ภัส พาน้องเมย์ไปทานไอศกรีมนะครับ ต้องติดสินบนกันหน่อย จะได้ไปโรงเรียนซะที”
“ตามสบายเลยวี แต่พี่ขอตัวก่อนนะ ต้องเคลียร์งานมูลนิธิ”
“งั้นพวกเราไปกันเลยดีมั้ย ครูบี๋ น้องเมย์” ปฐวีชวน
“พร้อมทันทีค่ะ” สุดนภานึกได้ “ แล้วน้องเมย์ล่ะคะพร้อมหรือยัง”
เมรินค้อน “พร้อมค่ะ”
“พร้อมแล้วก็ไปเล๊ย...” ปฐวีบอก
สุดนภาทำหน้าร่าเริง แต่เมรินหน้าจ๋อย
เมริน สุดนภา และปฐวีเดินมาขึ้นรถ รถนาวินวิ่งเข้ามาจอด นาวินลงจากรถแล้วรีบตะโกนเรียก
“เฮ้ยๆ กำลังจะไปไหนกันเนี่ย”
“อ๋อ กำลังจะพาน้องเมย์ไปทานไอศครีม แกมีอะไรกับชั้นรึเปล่า” ปฐวีถาม
“ชั้นก็จะมาเยี่ยมน้องเมย์นี่แหละ น้องเมย์จ๋าขอน้านาวินไปทานไอศครีมด้วยคนได้รึเปล่าคะ”
สุดนภาแอบบ่น “จะมาทำไมเนี่ย”
นาวินเดินเข้ามาใกล้สุดนภาแล้วกระซิบ
“คุณบี๋ ผมจับตามองคุณอยู่นะ”
สุดนภายิ้มหวานแต่แอบหยิกแขนนาวินจนนาวินร้องจ๊าก
“เป็นอะไรไป แมลงกัดหรือ” ปฐวีถาม
“สงสัย แมงหงุดหงิดน่ะ กัดเจ็บชะมัดเลย” นาวินรีบดักคอสุดนภา “คุณบี๋ จะกลับแล้วเหรอครับเนี่ย ว๊าเสียดายจัง ไม่ไปทานไอศครีมด้วยกันหรือ”
“พอดีคุณวีชวนชั้นแล้วค่ะ แล้วชั้นก็รับคำเชิญแล้วด้วย ไม่เหมือนคนบางคนต้องขอเค้าไป” สุดนภาตอกกลับ
นาวินทำไม่รู้ไม่ชี้ “คุณบี๋เค้าว่าแกน่ะ เจ้าหนุงหนิง”
หนุงหนิงงง สุดนภาแยกเขี้ยวใส่นาวิน
ปฐวีขำ “พอๆ ไปกันได้แล้ว งั้นไปเจอกันที่ร้านประจำน้องเมย์นะ”
“ได้สิ เดี๋ยวชั้นขับตามไป ไป คุณบี๋ ไปกับผม” นาวินบอก
สุดนภางง “ใครบอกว่าชั้นจะไปกับคุณ”
“รถเจ้าวีนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น แล้วคุณก็ไม่ได้เอารถมา ไปกับผมน่ะถูกต้องแล้ว” นาวินไม่ฟังเสียง เขาลากสุดนภาไปที่รถทันที
ปฐวีกับเมรินมองทั้งสองคนแล้วยิ้มให้กัน
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ปฐวี สุดนภา เมรินและนาวินนั่งอยู่ที่ร้านไอศกรีม พนักงานรับออเดอร์ไอศครีมแล้วเดินไป
“น้องเมย์เป็นยังไงบ้างครับ หายดีแล้วใช่ไหมครับใกล้จะไปหาเพื่อนๆได้แล้วสิเนี่ย” นาวินถาม
“ไปได้แน่นอน จริงมั้ยน้องเมย์”
ปฐวีมองหน้าเมรินเป็นเชิงคาดคั้น เมรินเมินหน้า
ตันหยงคิดในใจ “จะอะไรกับชั้นนักเนี่ย”
“ว่าไงครับ” ปฐวีถามย้ำ
“ตามใจน้าวีเถอะค่ะ”
พนักงานนำไอศรีมมาเสริฟ
“มาแล้ว ของใครเอ่ย น่ากินเชียว อ๊ะ น้องเมย์ไม่ชอบทานชอคโกแลตแล้วหรือ” ปฐวีสงสัย
“ไม่ค่ะ มันอ้วน ทานพวกเชอร์เบทดีกว่า ไขมันต่ำ” เมรินบอก
ปฐวีงง “ตัวแค่นี้กลัวอ้วน เฮ้อ สาวๆสมัยนี้ น้าวีป้อนให้ไม๊คนเก่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตักเองได้ค่ะ”
นาวินมองปฐวีแล้วหันไปหยิบช้อนตักไอศกรีมจะป้อนสุดนภาบ้าง
“มาครับ ผมป้อนให้คุณบี๋ เอ้า อ้าปากกว้างๆนะครับคนเก่ง”
“ไม่ต้อง ชั้นไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ” สุดนภาว่า
นาวินมองกวน ปฐวีกับเมรินมองสุดนภากับนาวินแล้วยิ้มขำ
ทันใดนั้นเมรินก็ทำหน้าตกใจกะทันหัน เธอนั่งบิดไปบิดมา แล้วเรียกสุดนภา
“ทำไมมันเป็นแบบนี้นะ” เมรินหันมองสุดนภา “บี๋ ชั้นปวดฉี่”
สุดนภาปล่อยช้อนค้างในปาก “ปวดฉี่”
ทุกคนหยุดกึก สุดนภานึกได้
“ไปค่ะ ครูบี๋พาไป”
เมรินเขย่าตัวอย่างร้อนรน
“ผมเองครับ น่าจะเร็วกว่า” ปฐวีบอก
พูดไม่ทันจบ ปฐวีก็คว้าตัวเมรินอุ้มออกไปทันที
สุดนภามองตามลุ้นๆ เธอหันไปเห็นนาวินมองอยู่ก็ค้อนใส่ แต่นาวินยิ้มแล้วตักไอติมใส่ปาก
ปฐวีจะพาเมรินเข้าห้องน้ำผู้ชาย
“ไม่เอาค่ะ ขอไปเข้าห้องน้ำผู้หญิง” เมรินรีบบอก
“แล้วใครจะช่วยน้องเมย์ อุ้มล้างมือล่ะครับ น้องเมย์ก็เคยเข้ากับน้าวี”
เมรินทำหน้ารังเกียจ
“เมย์ดูแลตัวเองได้ค่ะ น้าวีปล่อยลงเร็วๆค่ะ จะไม่ทันแล้ว”
เวลาผ่านไป เมรินเดินออกจากห้องน้ำ ปฐวียืนรออยู่หน้าห้องน้ำ เมรินอาย
ตันหยงคิดในใจ “ไม่ต้องมายิ้มเลย ให้ชั้นมากับยายบี๋ก็หมดเรื่อง ยุ่งจริงเชียว”
ปฐวีหันมาเห็นเมริน เขายิ้มแล้วรีบเดินมารับ
“เสร็จแล้วหรือครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
คนที่เดินผ่านไปผ่านมายิ้มเอ็นดู สาวสองคนซุบซิบกัน
“แหม น่ารักจังเลยนะ พ่อลูกคู่นี้”
เมรินกับปฐวีมองหน้ากันแล้วขำ
“ว๊า งานนี้น้าวีขายไม่ออกแน่เลย มีลูกซะแล้ว” ปฐวีแกล้งบ่น
เมรินค้อน “ไปกันเถอะค่ะ
เมรินรีบเดินไป ปฐวีมองตามแล้วยิ้ม
ปฐวีกับเมรินจูงมือกันเดินผ่านหน้าร้านต่างๆ จนมาถึงหน้าร้านขายตุ๊กตาตัวใหญ่ ปฐวีหยุดยืนมอง
“น้าวีหยุดทำไมคะ อยากได้ตุ๊กตาหรือ”
“อยากได้ให้น้องเมย์ไงคะ น้องเมย์อยากได้หรือเปล่า ตัวนี้”
เมรินส่ายหัวดิก
“อ้าว ไหนชอบตุ๊กตาไม่ใช่หรือ ถ้าไม่เอาตุ๊กตาแล้วอยากได้อะไรล่ะ”
เมรินนิ่งคิดก่อนจะหันไปมองอีกทางแล้วชี้มือ
“โน่นค่ะ อยากได้รองเท้าคู่นั้น”
ปฐวีหันมองตามแล้วหัวเราะก๊าก
เมรินงอน “น้าวีขำอะไรคะ”
“ถ้าจะเอารองเท้าคู่นั้น ต้องรออีก ซัก 12 ปีเป็นอย่างน้อย น้องเมย์ถึงจะใส่รองเท้าส้นสูงได้”
ปฐวียิ้มขำแล้วลากแขนน้องเมย์เดินไป
นาวินกับสุดนภานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ สุดนภาพยายามไม่มองหน้านาวิน
“ผมเพิ่งรู้นะว่า คุณเป็นขวัญใจเด็กๆ รักเด็ก ถ้าคุณไปประกวดนางงามสงสัยได้มงกุฏแน่เลย” นาวินแซว
“นั่นสิคะ ถ้าชั้นเป็นนางงามก็ดี จะได้ไม่ต้องมาเจอเจ้านายแบบคุณ”
“อืม เจ้านายแบบ หล่อเท่ห์ มีเสน่ห์ ใจดี มีฐานะใช้มั้ย นั่นตัวตนของผมจริงๆเลยนะ”
สุดนภามองหน้านาวินอย่างเซ็งๆ แล้วเมินหน้า
“โดนใจคุณใช่มั้ย พูดไม่ออกล่ะสิ”
สุดนภายิ้มหวาน “ค่ะ คุณเพอร์เฟ็คทุกอย่าง เสียอย่างเดียว ขาดเพื่อนดีๆ คอยเตือนสติไม่ให้หลงตัวเอง”
“โห แรงนะเนี่ย ใช่สิ ผมจะเลิศเหมือนเจ้าวีมันได้ยังไง”
“รู้แล้วก็ดี เลิกตอแยชั้นซะที คุณผู้บริหาร” สุดนภาเดินหนี “เฮ้อ สองคนนั้นไปไหนนะ ทำไมป่านนี้ยังไม่มา”
นาวินสะกิดสุดนภา สุดนภาศอกกลับทันที นาวินร้องจ๊าก
ปฐวีกับเมรินเดินกลับมา สุดนภารีบทิ้งนาวินแล้ววิ่งไปหาทั้งสองคนทันที นาวินมองตาม
“ทำไมข้อศอกแหลมแบบนี้”
นาวินรีบเดินตามไป
ปฐวี สุดนภา นาวิน และเมรินเดินมาที่จอดรถ
“ตกลงแยกย้ายกันนะ เดี๋ยวชั้นไปส่งครูบี๋เอง” นาวินสรุป
“ใครบอกชั้นจะกลับกับคุณ” สุดนภาย้อนถาม
“อ้าว ใครบอกว่าผมจะกลับเลยล่ะ คุณต้องไปช่วยผมทำธุระก่อน”
สุดนภางง “งานอะไรเนี่ย”
“ผมต้องเลือกซื้อแฟ้มไปใช้ที่โรงเรียน แล้วผมค่อยไปส่งคุณ”
“ไม่ต้อง” สุดนภานึกได้ “ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณนาวิน เดี๋ยวดิชั้นกลับแท็กซี่ดีกว่าสะดวกดี”
“ตามใจ แต่ยังไงคุณก็ต้องไปช่วยผมเลือกของก่อน ไปนะวี น้องเมย์”
นาวินไม่ฟังเสียงก่อนจะเดินนำไป สุดนภาหันมองเมรินแล้วรีบเดินตามนาวินไป
“คอยด้วยสิ แล้วมันธุระอะไรของชั้นเนี่ย กะแค่แฟ้ม เลือกเองไม่ได้รึไง”
ปฐวีกับเมรินมองตามขำๆ
“สงสัย เจ้าวิน มันชักจะยังไงยังไงกับครูบี๋ของน้องเมย์ซะแล้ว” ปฐวีเปรย
“น่าเสียดาย ครูบี๋ไม่คิดแบบนั้น เพราะครูบี๋มีคนที่ชอบอยู่แล้ว” เมรินบอก
ปฐวีงง “อ้าวแล้วครูบี๋ชอบใครล่ะ”
ปฐวีมองหน้าเมริน เมรินส่ายหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้
เมรินยิ้ม “ยังไม่บอกค่ะ”
เมรินเดินขึ้นรถไป ปฐวีมองตามด้วยความงง
ปฐวีกับเมรินขึ้นนั่งบนรถ เมรินนึกอะไรได้ก็ทำหน้าเศร้าอ้อนวอน
“น้าวีคะ เรากลับบ้านอีกทางได้ไหมคะ”
“ได้สิ น้องเมย์อยากไปไหนล่ะ”
“เดี๋ยวเมย์บอกทางให้ค่ะ”
พูดจบเมรินก็เศร้าต่อ ปฐวีมองหน้าหลานสาวอย่างไม่เข้าใจ
ตันหยงกับปฐวีนั่งอยู่ในรถ ตันหยงมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็เห็นบ้านของตัวเอง
“น้าวีคะ น้าวีช่วยชะลอหน่อยได้มั้ยคะ”
ปฐวีชะลอรถ
รถค่อยๆ วิ่งผ่านบ้านตันหยง
ตันหยงมองบ้านตัวเองจนเหลียวหลัง ปฐวีสงสัย
“น้องเมย์เป็นอะไรไปรึเปล่าคะ บ้านนั้นมีอะไรหรือ”
เมรินส่ายหน้า “ไม่มีอะไรค่ะ”
ปฐวีจอดรถทันทีแล้วรีบจับหน้าเมรินมาส่องดู
“ไหนมาให้น้าวีดูหน่อย”
ปฐวีก้มหน้ามาใกล้จนตันหยงเริ่มอึดอัด
“เมย์ไม่เป็นไรแล้วค่ะน้าวี”
“น้องเมย์ร้องไห้ทำไม”
ตันหยงอึกอัก “เปล่าคะ เมย์คิดถึงคุณแม่ค่ะ”
ปฐวีไม่เข้าใจว่าหลานสาวเป็นอะไร เขามองเมรินแล้วหันไปมองบ้านหลังนั้น
รถปฐวีแล่นมาจอดที่ลานหน้าบ้าน ปฐวีเปิดประตูแล้วอ้อมมาเปิดให้เมริน เมรินลงจากรถแล้ววิ่งเข้าบ้าน ปฐวีเรียกไว้ก่อนจะนั่งลงจับหน้าตาเมรินด้วยความเป็นห่วง แล้วค่อยๆ บรรจงหอมแก้มเมรินเบาๆ เมรินหลับตาด้วยความเต็มใจ
“น้าวีรักน้องเมย์นะคะ”
เมรินชะงัก “น้องเมย์ก็รักน้าวีค่ะ”
เมรินยิ้มอายๆ แล้วเดินเศร้าเข้าบ้านไป ปฐวีมองตามแล้วยิ้มเศร้า เขาส่ายหัวเพราะไม่เข้าใจเมริน
ตันหยงนั่งอยู่บนเตียง เธอเผลอลูบแก้มตัวเองแล้วยิ้มเศร้าๆ ประภัสสรโผล่หน้าเข้ามาท่ประตู เธอเห็นเมรินนั่งอยู่บนเตียง
“เป็นไงคะน้องเมย์วันนี้น้าวีพาไปทานไอศครีมอร่อยไหมคะ”
“อร่อยค่ะ”
“ให้คุณแม่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอนไหมคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เมย์ง่วงแล้ว คุณแม่ไปนอนเถอะค่ะ”
“แม่ยังไม่นอนหรอกลูก แม่จะรอคุณพ่อก่อน”
ประภัสสรห่มผ้าให้เมรินแล้วหอมแก้ว
“ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะคะลูก”
“ค่ะ”
เมรินนอนเศร้าอยู่บนเตียง
ประภัสสรนั่งคอยเมธีอยู่ที่โต๊ะอาหาร สายแก้วเดินเข้ามา
“ให้สายแก้วเอากับข้าวไปอุ่นก่อนดีมั้ยคะ คุณภัส”
“ไม่ต้องหรอก เก็บไปเลย คุณเมธีคงจะยุ่งนั่นแหละ”
ประภัสสรลุกขึ้นเดินขึ้นไปข้างบน สายแก้วมองตาม
“แหม คุณเมธีนะคุณเมธี ยุ่งกับงานจนลืมครอบครัวแบบนี้ทุกทีเลย”
ดอกไม้ที่เมธีเอามาให้ประภัสสรซึ่งปักอยู่ในแจกันเริ่มเหี่ยว ประภัสสรนั่งอ่านหนังสือรอเมธีอยู่บนเตียงนอน เธอมองดอกไม้ในแจกันแล้วถอนหายใจก่อนจะข่มใจอ่านหนังสือต่อ
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ประภัสสรนอนหลับอยู่บนเตียงโดยมีหนังสือตกอยู่ข้างตัวใกลๆ ้กับโทรศัพท์
โทรศัพท์ของเมธีวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนเมธีกำลังอธิบายผังงานให้ลูกน้องฟังอย่างจริงจัง
“เราจะต้องสร้างคอนโดที่ดูทันสมัยที่สุดในเมืองกาญจน์ เพื่อรองรับความเจริญเติบโต หลังจากท่าเรือน้ำลึกทวายเสร็จ ความต้องการที่พักอาศัยจะสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ทุกคนต้องร่วมมือกันทุ่มเทให้งานออกมาดีที่สุด เข้าใจมั้ย”
ลูกน้องรับคำ “ครับคุณเมธี”
เมธีพูดต่อไปเรื่อยๆ
ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน เมธีพิงพนักเก้าอีกอย่างเหนื่อยอ่อน เสียงโทรศัพท์ในออฟฟิศดังขึ้น ลูกน้องวิ่งไปรับ
“หัวหน้าครับ ทางไกลโครงการขอนแก่นครับ”
เมธีรีบวางงานทุกอย่างแล้ววิ่งไปรับโทรศัพท์ ทันใดนั้นมือถือของเมธีก็มีสัญญาณไฟแดงสายเรียกเข้า
ประภัสสรงัวเงียตื่นขึ้นมามองนาฬิกาก็เห็นว่าดึกมากแล้ว
“ตายจริง จะตีสามแล้ว ยังไม่กลับมาอีก ทำงานอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”
ประภัสสรหยิบโทรศัพท์กดโทรหาเมธีแต่ไม่มีคนรับ ประภัสสรวางหูโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“อะไรกัน ยุ่งจนไม่มีเวลารับสายเชียวหรือ”
ประภัสสรมีสีหน้าวิตกเพราะนึกถึงคำพูดของปรางค์ทิพย์
“...ผู้ชายจะทำดีกับเมียเป็นพิเศษน่ะ เพราะต้องการทำให้เมียตายใจ เธอหัดเปิดหูเปิดตาซะบ้างนะแม่ภัส...”
ประภัสสรหน้าเครียดเพราะเริ่มระแวง
เมธีกำลังจะเดินไปขึ้นรถ ลูกน้องของเมธีวิ่งตามมา
“หัวหน้าครับ ไซท์งานที่ขอนแก่นเกิดดินยุบตัวโครงสร้างอาจจะมีปัญหาอยากให้หัวหน้าเข้าไปดูด่วนหน่อยครับ ตอนนี้ขนคนงานออกหมดแล้วครับ”
เมธีนิ่งคิด “งั้นหรือ”
“ครับ ที่ไซด์งานแตกตื่นกันใหญ่ ทางโน้นกลัวว่าจะมีปัญหากับโครงสร้างอาคาร”
“จริงๆไม่น่ามีปัญหา แต่เราก็ควรไปดู” เมธีตัดสินใจ “ไม่เป็นไร คุณจองตัวเครื่องบินให้ผมด่วนเลย ไฟล์แรกตอนเช้า ผมจะรีบไป”
“ครับหัวหน้า”
ลูกน้องเดินไป เมธีมองตามด้วยความหนักใจ
ที่บ้าน เมธีเดินขึ้นมาตามทางเดิน แล้วมาหยุดที่หน้าห้องเมริน เมธีลังเล
“สงสัยหลับไปแล้วมั๊ง”
เมธียิ้มแล้วตัดสินใจเปิดเข้าไปในห้อง
เมธีย่องเข้าไปในห้องเมริน เมธีเข้าไปหอมแก้มเมรินที่นอนหลับสบาย แล้วค่อยๆดึงผ้าห่มคลุมตัวให้
“พ่อขอโทษนะน้องเมย์ ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกเลย พ่อขอเวลาอีกนิดเดียวนะ”
เมธีเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นประภัสสรนอนหลับ เมธียิ้มมองประภัสสรแล้วค่อยๆหยิบหนังสือกับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงไปเก็บ
เมธีเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อผ้าออกมาวางเพื่อเตรียมเก็บใส่กระเป๋าเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดในวันพรุ่งนี้ ประภัสสรค่อยๆลืมตาขึ้นเห็นเมธีกำลังจัดเสื้อผ้า
“กลับมาแล้วหรือคะ อ้าว แล้วนั่นคุณจะเก็บเสื้อผ้าไปไหนคะ”
“ไซด์งานมีปัญหา ผมเลยต้องไปดู”
ประภัสสรนิ่งอึ้ง
“ภัสคิดว่าจากนี้ไป คุณจะมีเวลาให้ครอบครัวแล้วซะอีก”
เมธีวางมือแล้วเดินไปโอบประภัสสร
“ผมขอโทษจริงๆครับภัส ผมเองก็อยากใช้เวลาอยู่กับคุณ กับลูกเหมือนกัน”
“คุณแน่ใจเหรอคะ แต่การกระทำของคุณมันตรงกันข้าม คุณก็ไม่เคยอยู่กับลูกกับภัสเลย จริงอย่างที่พี่ปรางค์ว่า ผู้ชายก็เป็นแบบนี้”
“คุณภัส ทำไมคุณพูดแบบนี้ ผมบอกแล้วว่าอย่าไปเชื่อคุณปรางค์นัก”
“ก็พี่ปรางค์พูดถูกนี่ค่ะ ภัสเหนื่อยที่ต้องมาแก้ตัวแทนคุณ เดือนนึงมีเวลาให้ครอบครัวไม่กี่วัน คนอื่นเค้าจะคิดยังไง”
“คนอื่นมองเรายังไงผมไม่รู้ มองผมยังไงผมไม่แคร์ ผมขอแค่คุณเข้าใจผม อยู่เคียงข้างผม ผมทำทุกวันนี้ก็เพื่อครอบครัวเรานะคุณภัส”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้” ประภัสรบอก
เมธีนิ่งเงียบ
“ผมต้องการเลี้ยงดูครอบครัวผม ด้วยตัวผมเอง ผมไม่อยากให้ใครมามองว่าผมมาเกาะคุณ เพราะฉะนั้นผมอยากจะคืนเงินที่คุณย่าคุณให้ผมมาเร็วๆ”
“คุณก็กลัวแต่คนอื่นจะมองว่าคุณไม่ดี คุณมีข้ออ้างมาให้ภัสตลอดเวลา แต่ภัสไม่เคยได้เวลาของครอบครัว ภัสเองก็เบื่อและเหนื่อยที่จะต้องพูดกับคุณ”
เมธีพยายามระงับอารมณ์ “ผมบอกแล้วไงว่าผมขอเวลาอีกนิดเดียวคุณภัส”
“ชีวิตคุณมันก็มีแต่งาน กับงาน งานมักจะมาก่อนภัสกับลูกเสมอ ภัสเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะคะ”
“โธ่คุณภัส มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะครับ ทำไมคุณไม่หนักแน่นเลยไปสนใจคำพูดของคนอื่นทำไม”
“ภัสก็เป็นอย่างนี้ของภัสนะค่ะ ถ้าคุณเบื่อนัก คุณก็ไปสิคะ อยากจะกลับเมื่อไหร่ก็เชิญ”
เมธีจะเข้ามาจับแขนแต่ประภัสสรสะบัดออก
“ไม่เอาน่าภัส คุณใจเย็นๆ เราพูดกันอย่างมีเหตุผลนะครับ”
“คุณพูดแบบนี้ แสดงว่าภัสไม่มีเหตุผลใช่มั้ย”
“เปล่า ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น คุณจะทำอะไรก็ตามใจคุณ ไม่ต้องสนใจภัสกับลูกก็ได้”
“โธ่ภัส”
ประภัสสรสะบัดหน้าหนีแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยหันหลังให้เมธี เมธีมองประภัสสรอย่างหนักใจก่อนจะนั่งลงบนเตียงโดยหันหลังให้ประภัสสร
สองคนลืมตาค้าง และต่างก็คิดกันไปคนละทาง