พรพรหมอลเวงตอนที่ 1
แอร์โฮสเตสกำลังเดินดูแลความเรียบร้อย ของผู้โดยสารตามทางเดินบนเครื่องบิน ตันหยงนั่งยิ้มอยู่ในขณะที่ผู้โดยสารรอบตัวกำลังหลับไหล พนักงานต้อนรับเดินเข้ามาถาม
“ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ...เอ่อ..นี่อีกกี่ชั่วโมงจะถึงเมืองไทยคะ” ตันหยงถาม
“ประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ” พนักงานยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
ตันหยงยิ้มตอบและแสดงอาการตื่นเต้นที่จะได้กลับเมืองไทย เจ้าหน้าที่เดินไป ตันหยงยิ้มแล้วหยิบไอแพดออกมาเปิดดู ที่หน้าจอเป็นรูปตันหยงกับพิรามยืนยิ้มอยู่คู่กัน
เหตุการณ์ในอดีตที่มาของรูปหวานย้อนกลับมาในห้วงคำนึงของตันหยง ครั้งนั้นพิรามบรรจงสวมแหวนให้ตันหยง ทั้งสองมีความสุข ส่วนผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลาบปลื้มยินดี ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ช่างภาพถ่ายรูป พิรามซับเหงื่อให้ตันหยง
ที่มุมหนึ่งในงานเลี้ยงของพิธีหมั้น
“ผมอยากแต่งงานกับหยงเร็วๆจัง” พิรามบอก
“เราก็หมั้นกันแล้วไงคะ” ตันหยงยกนิ้วให้พิรามดู
“หมั้นแล้ว คุณก็จะทิ้งผมไปเรียนต่อ ตั้ง 2 ปี” พิรามยิ้มอ้อน
ตันหยงใช้สองมือแตะแก้มพิรามแล้วยื่นหน้าเข้าหา “แค่ 2 ปีเอง”
“ให้ผมบินไปส่งคุณ ผมขอดูแลให้เรียบร้อยจนถึงวันเรียน”
“อย่าเลยค่ะ ใครรู้เข้า...”
“มันจะดูไม่ดี!” พิรามพูด ทั้งสองหัวเราะออกมา “อีกแล้ว... ไม่ดียังไง เราหมั้นกันแล้ว ไม่เห็นน่าเกลียดตรงไหนเลย ให้ผมไปนะ” พิรามอ้อน
ตันหยงพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน แต่ยิ้มน้อยๆ “หมั้นแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่ง !” ตันหยงซีเรียสขึ้นมา “แล้วคุณก็ขึ้นเป็นผู้บริหารต่อจากคุณพ่อคุณแล้ว ไหนจะบริษัทของตัวเองอีกนะคะ ไม่ต้องห่วงหยง”
พิรามจนมุมจึงถอนใจ “สัญญาว่าเราจะคุยกันทุกวัน”
“หยงกลัวว่าคุณนั่นแหล่ะ จะยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกับหยง”
“สำหรับหยง ผมว่างเสมอ” พูดจบพิรามก็สวมกอดตันหยง
“ห่างคุณแค่คืนเดียว ผมก็แทบจะขาดใจแล้ว นี่ตั้งสองปีเชียวนะ คุณตั้งใจจะทรมานผมใช่มั๊ย” พิรามก้มลงจะจูบตันหยง
ตันหยงดันหน้าพิรามไว้ “ก็ได้ ก็ได้ หยงสัญญาค่ะ ปล่อยก่อนเร็ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า...”
สุดนภานำทีมเพื่อนๆโห่ร้องพร้อมทั้งโผล่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วก็ปรบมือให้
“พวกเรา น่าสงสารมดแถวนี้จังเลย สงสัยจมน้ำตาลตายแน่” สุดนภาแซว
ตันหยงเขินสุดๆ พิรามมองตันหยงด้วยความรัก
พอคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ตันหยงก็ยิ้มแล้วมองหน้าพิรามในไอแพด
“ขอโทษนะ ที่ไม่ได้บอกว่าจะกลับวันนี้ หยงแค่อยากจะเซอร์ไพรส์คุณ”
ตันหยงหยิบไอแพดขึ้นมากอดไว้แนบอก ก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข
ที่ประตูผู้โดยสารขาเข้าของสนามบิน ตันหยงเดินเข้าประตูมา
“ถึงบ้านซะที ..”
ตันหยงมองรอบๆตัวอย่างตื่นเต้น
ปฐวีเดินออกจากประตูมาพร้อมๆ กับตันหยง แต่ต่างคนต่างก็ไม่สนใจกัน ปฐวีก้มหน้าถอดแว่นตาออกมาเช็ด ตันหยงเดินผ่านหน้าปฐวีไป ปฐวีสวมแว่นคืนแล้วเดินไปทางเดียวกับตันหยง
ตันหยงเดินมาถึงก็ล๊อคเก็บรถเข็น แล้วตันหยงพยายามจะดึงรถเข็นออกมาแต่ก็ดึงไม่ออก ปฐวีที่เดินตามมามองเห็นท่าทางตันหยงแล้วยิ้ม
“need a help!” ปฐวีถามแล้วยื่นมือไปดึงรถเข็นออกมาให้ตันหยง ก่อนจะมองหน้าตันหยง
“Thank you.” ตันหยงบอก
ตันหยงกับปฐวีมองหน้ากัน ปฐวียิ้มแล้วก็ชะงัก
“ขอบคุณค่ะ” ตันหยงพูดอีกครั้ง
ตันหยงเข็นรถตัวเองออกไป ปฐวียิ้มเขินๆ
“อ้าว นึกว่านักท่องเที่ยว ที่แท้ก็คนไทย”
ปฐวีขำตัวเองแล้วดึงรถเข็นของตัวเองออกมาก่อนจะเดินไป
ปฐวีและตันหยงเดินไปยืนรอกระเป๋าของตัวเองอยู่คนละฝั่งของสายพานลำเลียงกระเป๋า ปฐวีหันหน้าไปก็เห็นตันหยงกำลังตื่นเต้นและยิ้มมีความสุขที่ได้กลับบ้าน ปฐวีมองแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุขตาม
ตันหยงเข็นรถพร้อมสัมภาระของตัวเองพร้อมกับลากกระเป๋าออกมามองหาคนมารอรับ
“ทำไมยังไม่มานะ”
ตันหยงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาโทร.ออก
“คุณแม่คะ”
บุหงากดรับโทรศัพท์ด้วยท่าทางตื่นเต้น ขณะที่พินิจนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ
“หยงหรือลูก”
บุหงาหันไปสะกิดพินิจ พินิจรีบวางหนังสือพิมพ์แล้วเข้ามาฟังด้วย
“มาถึงนานหรือยัง หนูรออยู่ตรงไหนเนี่ย...”
“หนูเพิ่งมาถึงค่ะ รอตรง ผู้โดยสารออก คุณแม่ถึงหรือยังคะ” ตันพยงถาม
“รอแป๊บนึงนะลูก แม่กำลังเข้าที่จอดรถ สัญญาณไม่ดี...เดี๋ยวแม่โทรหานะจ๊ะ”
บุหงากดปิดโทรศัพท์แล้วหันไปมองพินิจ
“จะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ลูกจะโกรธเรามั๊ย”
“จะโกรธอะไรได้ ขี้คร้าน จะยิ้มหน้าบานน่ะสิ” พินิจบอก
บุหงานึกได้) ไม่ได้การ ต้องโทรแจ้งข่าวก่อน”
“ทำยังกะหนังสายลับเฮ้อ...แม่กับว่าที่ลูกเขยคู่นี้ อะไรก็ไม่รู้”
บุหงาค้อนแล้วรีบต่อโทรศัพท์ทันที พินิจยิ้มแล้วอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
ตันหยงกดวางสายแล้วเดินเข็นกระเป๋าไป เธอมองร้านค้าในสนามบินแก้เบื่อ สองสามีภรรยาชาวต่างชาติเข็นรถเข็นที่มีข้าวของเต็มไปหมดพร้อมกับคุยโวยวายโดยไม่มองคนอื่นมาตามทางเดินอีกฝั่ง
แล้วรถเข็นสองสามีภรรยาชาวต่างชาติก็มาชนรถของตันหยงเข้าอย่างจังจนกระเป๋าเล็กของตันหยงกระเด็นไป ขวดเหล้าในรถเข็นของสองสามีภรรยาหล่นแตก กระเป๋าตันหยงกระเด็นไปตกตรงหน้าปฐวี ปฐวีหยิบขึ้นมามองหาเจ้าของ
“โอ๊ยตายแล้ว... I am sorry” ตันหยงพูด
สองสามีภรรยาโวยวายเป็นภาษาเกาหลี
“นี่คุณ เข็นรถยังไงไม่รู้จักดู ทำข้าวของเสียหาย คุณต้องชดใช้นะ”
ตันหยงพูดเป็นภาษาอังกฤษ “คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไม๊ ชั้นฟังไม่รู้เรื่องหรอกแล้วคุณก็มาชนชั้นเองนะ จะโวยวายทำไมเนี่ย ชั้นสิเป็นฝ่ายเสียหายอุตส่าห์ขอโทษตามมารยาทก่อนแล้วนะ ชั้นจะเรียก ซิคิวริตี้ มาคุยแล้วกัน” ตันหยงส่ายหัว
ตันหยงหันมองหา รปภ. แต่ยังไม่เห็น สองสามีภรรยาเกาหลียังโวยวายไม่เลิก ตันหยงเริ่มหงุดหงิด ปฐวีเข็นรถเข็นเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนดูเหตุการณ์ สองสามีภรรยาโวยวายไม่หยุด ตันหยงชะงัก
ภรรยาพูดเป็นภาษาเกาหลี “คุณทำของชั้นเสียหายคุณต้องชดใช้ ไม่งั้นชั้นจะแจ้งความ”
ตันหยงชะงักแล้วหันกลับมาโต้ตอบอย่างสุภาพ
“I do not understand. What you say.”
ตันหยงถอนใจด้วยความเซ็ง
หัวหน้าทัวร์วิ่งถือธงกระหืดกระหอบเข้ามาตามลูกทัวร์คู่นี้พร้อมกับส่งภาษาเกาหลีบอกให้รีบไป
“โอย อยู่นี่เอง ยังกะจับปูใส่กระด้ง ไปเร็วๆ --@#$$%%^&*())_” หัวหน้าทัวร์พูดเกาหลีให้ไปเร็วๆ แล้วพยายามต้อนไป
สามีภรรยาเกาหลีแข่งกันฟ้องว่าผู้หญิงคนนี้ชนขวดเหล้าหล่นแตก หัวหน้าทัวร์มองงงๆ แล้วแปล
“อ้าว เค้าบอกคุณชนของเค้าเสียหาย จะให้ชดใช้”
ตันหยงพูดกับหัวหน้าทัวร์ “คุณสองคนนี่เข็นรถเข้ามาชนชั้นเอง แล้วยังจะให้ชั้นชดใช้อะไร ชั้นไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนะ”
หัวหน้าทัวร์หันไปพูดกับลูกทัวร์เป็นภาษาเกาหลี “เค้าบอกว่าเค้าไม่ผิด”
“ถ้าไม่ชดใช้ จะแจ้งความ” สองสามีภรรยาเกาหลีบอก
“เค้าบอกว่าคุณต้องชดใช้ ไม่งั้นเค้าจะแจ้งความ”
สองสามีภรรยายิ่งโวยวาย ตันหยงก็เถียงแบบไม่ยอมแพ้
“คุณดูสิคะ เค้ามาชนรถชั้นเอง กระเป๋าชั้นก็กระเด็นไปโน่น อย่างนี้ชั้นยังต้องชดใช้อีกหรือ”
หัวหน้าทัวร์มองซ้ายที ขวาทีแล้วเริ่มเอามือกุมหัว
“โอ๊ย เปลี่ยนอาชีพดีกว่าไม๊เนี่ย”
ปฐวีเดินเข้ามาเสนอ
“ขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดสิครับ”
หัวหน้าทัวร์มองหน้าปฐวีแล้วยิ้มดีใจเพราะเห็นด้วย เธอหันไปพูดกับนักท่องเทียวเป็นภาษาเกาหลี
“งั้นไปดูภาพจากกล้องวงจรปิด” หัวหน้าทัวร์พูดไทยต่อ “ไป ไป” หัวหน้าทัวร์จับมือลูกทัวร์ “ไปขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดกัน ขอเชิญไปดูพร้อมๆกันเลย” หัวหน้าทัวร์พูดกับตันหยง
“ยินดีค่ะ” ตันหยงบอก
สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันแล้วซุบซิบ
“เราเปลี่ยนใจแล้ว เสียเวลา” สามีชาวเกาหลีพูด
หัวหน้าทัวร์ส่ายหัว “อ้าว เปลี่ยนใจซะแล้ว เฮ้อ. คงไม่มีปัญหาแล้วค่ะ ขอโทษนะคะโอ๊ย จะบ้าตาย งั้นก็ไปไป” หัวหน้าทัวร์พูดเกาหลี “งั้นไปเร็ว ไป ไป” หัวหน้าทัวร์หันมาขอโทษอีกรอบ
ตันหยงพูดกับปฐวี “ขอบคุณนะคะ”
ปฐวียิ้มก่อนจะหยิบกระเป๋าส่งให้ตันหยง ตันหยงขอบคุณ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของตันหยงก็ดังขึ้น ตันหยงรีบเลี่ยงไปรับ ปฐวียิ้มเจื่อน
“อะไรนะคะ ตรงไหนนะ ได้ค่ะ หยงจะไปตรงประตู 8”
ตันหยงรีบเข็นรถลิ่วออกไปทันที ปฐวีมองตามยิ้มๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง
ตันหยงนึกได้จึงหันมามองด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นปฐวีแล้ว
ตันหยงเสียดายแต่ก็เดินเข็นรถมุ่งไปที่ประตู 8 ปฐวีกับตันหยงเดินแยกกันไปคนละทาง
ปฐวีมองหาคนมารับแต่ก็ไม่เห็น สักพักก็มีมือเล็กๆ มาสะกิดตัวเขา ปฐวีหันขวับมาเห็นแล้วยิ้ม เห็นเมริน หรือ น้องเมย์ ยืนกระตุกเสื้อของเขาอยู่พร้อมกับยิ้มให้ ปฐวีอุ้มเมรินขึ้นมา
“น้องเมย์ มาก็ไม่บอกน้าก่อน”
“เมื่อกี้น้าวีมองใครเหรอคะ”เมรินถาม
ปฐวียิ้มเขิน “..ก็มองหาสาวน้อยของน้าวีคนนี้ไง”
ประภัสสรเดินยิ้มเข้ามา ปฐวียิ้มทัก
“พี่สร ขอบคุณนะครับอุตส่าห์มารับผม”
“ขอบคุณแม่หลานสาวตัวดีเถอะ บ่นถึงแต่น้าวีจน พี่เริ่มจะน้อยใจแล้ว” ประภัสสรพูดยิ้มๆ
ปฐวีมองเมริน “จริงหรือ แหม คิดถึงน้าวีจริงหรือเปล่า อย่างนี้น้าวีต้องขอหอมให้ชื่นใจหน่อยแล้ว ไหนหอมแบบไหนนะ”
“หอมแก้มซ้าย หอมแก้มขวา หอมโหนก.....” เมรินบอก
“จมูกปุ๊กปิ๊ก” ปฐวีพูด
ปฐวียิ้มแล้วจูบปลายจมูก เมรินยังนิ่ง ปฐวีแกล้งเอาหนวดถูแก้มเมริน เมรินจั๊กจี๋ แล้วสองน้าหลานก็หัวเราะกันคิกคัก
“พอแล้ว วีก็ เล่นเป็นเด็กเชียว ไปป่านนี้ที่บ้านคงคอยแย่แล้วละ” ประภัสสรบอก
“ครับพี่สร เห็นมั๊ย...โดนคุณแม่ดุแล้ว เดี๋ยวกลับบ้าน น้าจะเอาหนวดถูแก้มน้องเมย์ให้หายคิดถึงเลย”
ปฐวีอุ้มเมรินแล้วเดินไป ประภัสสรมองแล้วยิ้มเศร้าๆ
ตันหยงเข็นรถมาที่หน้าประตูทางออก 8 เธอมองไปรอบๆตัวอย่างผิดหวัง
“อะไรกันนี่ ไหนบอกว่าอยู่ที่ประตู 8 ไง”
ตันหยงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทรออก แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน ตันหยงกดรับ
“ต้องการให้รถไปส่งที่บ้านหรือเปล่าครับ” เสียงพิรามดังจากปลายสาย
ตันหยงยิ้มดีใจ “พิราม...”
ตันหยงหันกลับไปมองทางด้านหลังก็เห็นพิรามยืนถือโทรศัพท์มองเธออยู่พร้อมดอกไม้ช่อโตในมือ
ทั้งคู่เดินเข้ากัน ตันหยงดีใจมาก
“คุณรู้ได้ยังไง” ตันหยงถาม
“ผมคิดถึงคุณจังเลย ตันหยง”
พิรามเดินมาส่งช่อดอกไม้ให้ตันหยงแล้วทำท่าจะกอดหอม แต่ตันหยงเบี่ยงแก้มหลบ
“นี่มันที่สาธารณะ อายเค้า”
“เฮ้อ....คุณไม่คิดถึงผมหรือ” พิรามถาม
“คิดถึงสิคะ ....ไปกันเถอะค่ะ”
“ก็ได้....ไปครับ”
พิรามเข็นรถให้ตันหยง แล้วทั้งคู่ก็เดินควงแขนกันออกไป
ตันหยงกับพิรามเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่ พิรามเปิดประตูรถให้ตันหยง
“เชิญครับ คุณผู้หญิง”
“ขอบคุณค่ะ คุณผู้ชาย”
ตันหยงขึ้นรถไป พิรามรอจนตันหยงขึ้นรถเรียบร้อยแล้วพิรามก็ขึ้นรถขับออกไป
ตันหยงพยายามจะดึงเข็มขัดมาคาดแต่ก็ติด พิรามขยับตัวมาดึงเข็มขัดเพื่อคาดให้ ตันหยงขยับตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อยแล้วบ่นออกมา
“นี่คุณกับคุณแม่ พร้อมใจกันวางแผนแกล้งหยงใช่ไม๊นี่”
พิรามยิ้ม “ทีจะกลับมา ทำไมไม่บอกผม ผมน้อยใจแล้วนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ หยงตั้งใจจะเซอร์ไพร์ซคุณต่างหาก”
“คิดถึงผมไม๊” พิรามแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
ตันหยงยิ้มอายแต่ไม่ตอบ เธอหันหน้าออกไปอีกทาง พิรามขับรถยิ้มๆ
ปฐวีที่อุ้มเมรินกับประภัสสรเดินเข้ามาที่รถที่จอดอยู่ ลุงสายรีบวิ่งไปรับข้าวของจากปฐวี
“ขอบใจมากนะลุงสาย”
แล้วทุกคนก็ขึ้นรถออกไป
เวลาผ่านไป บุหงากอดตันหยงไว้อย่างคิดถึงมาก ตันหยงกอดแม่แล้วผละไปกอดพ่อด้วย
ตันหยงประจบ “หยงคิดถึงคุณแม่กับคุณพ่อมากที่สุดเลย”
“ไม่ต้องมาปากหวานเลยเรา เป็นยังไงบ้างลูก เดินทางปลอดภัยดีนะจ๊ะ” บุหงาถาม
“ค่ะ เริ่มจะมีปัญหาก็ตอนถึงเมืองไทยนี่แหละ คุณพ่อกับคุณแม่ร่วมมือกับพิรามแกล้งหยง”
“แกล้งอะไรกัน ดูพูดเข้า พิรามเค้าอยากจะไปรับหยง แม่ก็เห็นด้วย”
ตันหยงทำงอน “...นั่นแหละค่ะ ร่วมมือกันรุมหยง”
“แล้วลูกวางแผนจะทำอะไรต่อล่ะ เรียนจบแล้ว” พินิจถามขึ้น
“หยงตั้งใจว่าจะทำงานซักพัก”
“ไม่ได้นะ คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมขออนุญาตแต่งงานกับหยงนะครับ” พิรามบอก
พินิจกับบุหงามองหน้ากันแล้วยิ้มขำ
ตันหยงกับพิรามเดินคุยกันอยู่หน้าบ้าน ตันหยงทำเป็นงอน
“คุณไม่เคยบอกหยงมาก่อนเลยนี่นา”
“งั้น ผมบอกหยงตอนนี้เลยแล้วกัน”
พิรามจับมือตันหยงไว้ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมยื่นกล่องแหวนให้เธอ
“คุณตันหยง...คุณจะให้เกียรติเป็นเจ้าสาวของผมได้มั๊ยครับ”
ตันหยงตะลึง เธอเห็นแหวนทับทิมล้อมเพชรอยู่ในกล่องก็ยื่นมือไปแตะแหวนด้วยความตื่นเต้น พิรามแกล้งปิดกล่องงับนิ้วตันหยงไว้ ตันหยงตกใจแล้วตีมือพิราม ทั้งคู่ขำกัน
“อย่าปฏิเสธผมนะหยง ผมขาดใจตายแน่” พิรามรีบบอก
ตันหยงลังเลก่อนตอบ “ค่ะ...หยงตกลงค่ะ”
พิรามเข้ากอดตันหยงด้วยความดีใจ ก่อนจะจับตันหยงหมุนเหวี่ยง ตันหยงร้องลั่น ทั้งคู่หัวเราะกัน
“หยงขอไปบอกคุณพ่อคุณแม่ก่อน”
ตันหยงเดินออกไป พิรามรีบตามไปจับมือแล้วเดินคู่กันไป
บุหงายืนชะเง้อมองลุ้นๆ พินิจนั่งอ่านหนังสือไปมองบุหงาไปแล้วยิ้มขำ บุหงาเห็นตันหยงกับพิรามเดินเข้ามา บุหงารีบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พินิจยิ้มขำ
“หยงตกลงแล้วครับ ผมจะให้คุณพ่อคุณแม่มาคุยกับคุณอาอีกครั้งหนึ่งอย่างเป็นทางการ เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด” พิรามบอก
ตันหยงเขิน “ใครบอกคุณว่าจะแต่งเร็วที่สุด”
“อ้าว....ไม่รู้ล่ะ คุณอาทั้งสอง ตกลงนะครับ” พิรามถาม
บุหงายิ้มปลื้ม
“แม่ดีใจกับลูกทั้งสองคนด้วยนะจ๊ะ วันนี้อยู่ทานข้าวด้วยกันนะจ๊ะ อาสั่งให้เค้าทำกับข้าวโปรดลูกไว้ตั้งหลายอย่าง”
“นะคะ พิราม หยงมีของมาฝากคุณด้วย” ตันหยงอ้อน
พิรามทำท่าจะพยักหน้าแต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ตันหยงเห็นรูปพัดชาขึ้นที่หน้าโทรศัพท์ของพิราม
“คุณพัดชาค่ะ” ตันหยงบอก
พิรามทำหน้าอึดอัดก่อนจะเดินเลี่ยงไปรับโทรศัพท์
“มีอะไรหรือ .....เสร็จธุระแล้วจะรีบไป” พิรามพูดใส่โทรศัพท์แล้วรีบกดปิดโทรศัพท์ก่อนจะเดินกลับมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีลูกค้าที่ดีลกันมีปัญหานิดหน่อยครับ”
“อ้อ..งั้นหรือจ๊ะ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ ไปทำงานเถอะพ่อคุณ” บุหงาบอก
ตันหยงน้อยใจ “...งานด่วนหรือคะ”
“ขอโทษด้วยนะหยง คราวนี้ธุระสำคัญจริงๆ ขอตัวก่อนนะครับ”
“ฝากความคิดถึงถึงคุณพัดชาด้วยนะคะ” ตันหยงบอก
พิรามชะงักนิดหนึ่งแล้วไหว้ลาพินิจกับบุหงาแล้วเดินจากไป ตันหยงมองตามอย่างงอนๆ
“ว๊า...ไม่รู้ธุระอะไรด่วนนักหนา”
“ไม่เอาน่าลูก พิรามเค้างานยุ่งจะตาย เค้าอุตส่าห์ทิ้งงานไปรับ แล้วยังจะมาทำงอแงอีกหรือลูก”
ตันหยงแอบยิ้ม “คุณพ่อขา คุณแม่ไม่ยอมเข้าข้างหนู”
ทั้งบุหงากับพินิจหัวเราะเฮฮาออกมา
คุณหญิงปรงทองกำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่บ้าน ส่วนคุณแม้นวาดนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ด้านข้าง สักพักปฐวีก็อุ้มเมรินเข้ามาในห้อง โดยมีประภัสสรเดินตามเข้ามา ปฐวีก้มลงกราบคุณหญิง
“เป็นยังไงบ้าง เจ้าวี เหนื่อยมั๊ยลูก” ปรงทองถาม
“ไม่หรอกครับ แค่สัมมนาทางวิชาการ ผมมีของมาฝากคุณย่ากับย่าแม้นด้วยนะครับ”
แม้นวาดยิ้มปลื้ม
“แหม..คุณวีช่างมีน้ำใจคิดถึงคนแก่ หิวหรือเปล่า เดี๋ยวแม้นไปสั่งให้เค้าจัดของว่างดีกว่า”
แม้นวาดรีบลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไป
“เจ้าน่ะมันปากหวานจริงๆ มิน่าล่ะยายแม้นถึงได้ปลื้มนักปลื้มหนา” ปรงทองพูดกับเมริน “ไง เจ้าเมย์เกาะน้าแจเชียว มาให้ย่าชื่นใจหน่อยสิ”
เมรินเดินมากราบปรงทองแล้วไปนั่งด้านข้างในระดับที่ต่ำกว่า ปรงทองมองเมรินอย่างเอ็นดู
“ทำไมแววตามันถึงได้หงอยเหงาอย่างนี้ล่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กต้องสดใสร่างเริงสิลูก” ปรงทองพูดกับประภัสสร “นี่แน่ะแม่สร เค้าว่าแม่เศร้า ลูกมันก็จะเศร้าตามไปด้วยนะ”
ประภัสสรยิ้มเจื่อน
“แล้วนี่ พ่อเมธีไปไหนซะล่ะ หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลย”
“ติดงานที่ต่างจังหวัดค่ะ แต่วันนี้สัญญาว่าจะกลับมาทานข้าวเย็น” ประภัสสรบอก
ประภัสสรหลบตาทุกคน ปฐวีมองประภัสสรอย่างเห็นใจ
“ไปคุยกันที่โต๊ะอาหารไม๊ครับ ไปน้องเมย์ ช่วยกันประคองคุณย่าไปทานของว่างเร็ว” ปฐวีบอก
ปฐวีกับเมรินช่วยกันฉุดดึงปรงทองให้ลุกขึ้น ปรงทองหัวเราะอย่างมีความสุข ส่วนประภัสสรมองอย่างเศร้าๆ
ปฐวี ปรงทอง ประภัสสร เมริน และแม้นวาดนั่งร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้ากัน แม้นวาดคอยดูแลอาหารจำพวกข้าวตังหน้าตั้ง เมี่ยงลาว ปัฐวีมองอาหารแล้วพูดออกมา
“ย่าแม้นนี่รู้ใจผมจริงๆ”
แม้นวาดยิ้มปลื้ม
ปฐวีจัดข้าวตังเป็นคำเล็กๆ มาป้อนให้เมริน
“มานี่ อาป้อนเอง”
ปรางค์ทิพย์ ปรงแก้ว และปรงขวัญเดินเข้ามาในห้อง เธอเห็นปฐวีกำลังป้อนขนมเมรินก็มองนิ่งด้วยความอิจฉา
“แหม..อยู่กันพร้อมหน้าเชียวนะคะ ปรงแก้ว ปรงขวัญ ไปกราบคุณยายสิลูก”
ปรงแก้วและปรงขวัญยังยืนนิ่ง ปรางค์ทิพย์แอบผลักลูกทั้งสองคนให้เข้าไปกราบปรงทอง
“เป็นยังไงบ้างละ ไม่ค่อยมาให้ยายเห็นหน้าเห็นตาเลย” ปรงทองถาม
“ตอนนี้กำลังเรียนพิเศษล่วงหน้า จริงสิ ทั้งสองคนสอบได้ที่ 1 ค่ะ คะแนนนำลิ่ว ถ้ารักษาระดับนี้ได้ ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยคงติด 1 ใน 50 ระดับประเทศแน่ๆ” ปรางทิพย์คุย
“มันยังเด็กยังเล็กแค่นี้ จะรีบแข่งขันกันไปไหน” ปรงทองว่า
“แหม...ว่าแบบนั้นก็ไม่ได้นะคะคุณยาย ขืนโง่ๆเซ่อจะไปสู้ใครเค้าได้ จริงมั๊ย น้องสร” ปรางทิพย์ย้อนถาม
ประภัสสรอ้ำอึ้ง “..ค่ะ คุณพี่”
“เออ...แล้วยายเมย์ล่ะ สอบได้ที่เท่าไหร่ อย่าบอกนะว่าเกือบตก ...พี่ว่า เราน่าจะพายายเมย์ไปวัดไอคิวบ้าง จะได้รู้ว่าสติปัญญาต่ำกว่าเกณท์มาตรฐานหรือเปล่า ชืนปล่อยไว้ มีหวัง จะตกต่ำเหมือน..เอ่อ...”
ปรางค์ทิพย์ทำหน้าเยาะเย้ย ประภัสสรหลบตาต่ำ เมรินหงอย
“น้องเมย์ไม่ได้สติปัญญาต่ำหรอกครับพี่ปรางค์ ผมดูแลอยู่ คะแนนไอคิวเทสต์ก็มาตรฐาน” ปฐวีบอก
“งั้นหรือ งั้นพี่ก็ยินดีด้วยนะคะ น้องสร แสดงว่า น้องเมย์คงจะเป็นลูกแม่ ได้แม่มาเยอะ” ปรางค์ทิพย์นึกได้ “อ้าวแล้วนี่พ่อน้องเมย์ไปไหนล่ะ มานั่งตักคุณอา ทำเป็นกาฝากไปได้”
ประภัสสรหน้าเสีย ปรางค์ทิพย์แอบยิ้มสะใจ
“พอเถอะ” ปรงทองตัดบท “นี่เด็กๆ หิวกันหรือเปล่า มาทานของว่างกับย่าดีกว่า”
ปรางค์ทิพย์ไม่พอใจแต่จำใจต้องนิ่งไว้ เธอแอบมองประภัสสรพร้อมส่งสายตาแค้น
เมรินมองหน้าปรางค์ทิพย์แบบจ๋อยๆ
พรพรหมอลเวงตอนที่ 1 (ต่อ)
ปฐวีอุ้มเมรินเดินออกมาหน้าบ้าน ประภัสสรเดินเศร้าตามมา ปฐวีแอบมองพี่สาวอย่างเป็นห่วง
“น้าวีคะ ลูกกาฝากแปลว่าอะไรคะ” เมรินถามขึ้น
ปฐวีมองหน้าประภัสสรอึ้งๆ
“น้องเมย์ถามทำไมคะ” ปฐวีถามกลับ
“น้องเมย์อยากรู้นี่คะ ป้าปรางค์ชอบบอกว่าเมย์เป็นลูกกาฝาก” เมรินบอก
“งั้นน้าวีก็เป็นน้ากาฝากด้วยดีมั๊ย เพราะน้าวีก็รักหลานคนนี้ที่สุดเลย” ปฐวีพูด
“จริงนะคะ” เมรินถาม
“จริงสิ น้าวีสัญญา” ปฐวีบอก
ทั้งสองเกี่ยวก้อยสัญญากัน
สายแก้วเดินเข้ามาจากอีกทางแล้วเข้ารับเมรินไปจากปฐวี
“มาค่ะ คุณน้องเมย์ ไปอาบน้ำกันดีกว่า”
สายแก้วพาเมรินเดินจากไป ปฐวีมองตามจนสายแก้วลับตาแล้วหันไปหาประภัสสร
“พี่ปรางค์ชอบพูดจาอะไร ไม่นึกถึงจิตใจของเด็ก เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า พูดไม่รู้จักคิด” ปฐวีว่า
“แต่พี่ปรางค์เค้าก็พูดจริงไม่ใช่หรือ” ประภัสสรเศร้า
“พี่สรต้องหนักแน่นนะครับ คำพูดของคนอื่นน่ะ เราจะเอามาใส่ใจไม่ได้เราต้องสนใจคนของเรามากกว่า”
“พี่ปรางค์พูดอะไรมันก็ไม่สำคัญ เท่าการกระทำของคุณเมธีหรอกจ๊ะวี”
“เค้าก็พูดไปอย่างนั้นแหละ อย่าคิดมากซิครับ ถ้าพี่ไม่สบายใจ น้องเมย์ก็จะพลอยเศร้าไปด้วยนะครับ”
ประภัสสรยิ้มเศร้า “พี่จะพยายามไม่ใส่ใจ พี่ขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
ประภัสสรเดินหน้าเศร้าเข้าบ้านไป ปฐวีถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ
เมรินนั่งวาดภาพระบายสีอยู่ โดยมีสายแก้วคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“คุณแม่ขา ทำไมคุณพ่อยังไม่กลับมาล่ะคะ” เมรินถามประภัสร
“คุณพ่อไปทำงานค่ะ น้องเมย์ เดี๋ยวก็คงจะกลับมา”
“คุณพ่อสัญญาว่าจะกลับมาทานข้าวกับเมย์ด้วย” เมรินหันมองประภัสสรแล้วยิ้ม
“จ๊ะ”
เมรินก้มหน้าระบายสีต่อ ประภัสสรมองนาฬิกาอย่างอึดอัดก่อนจะแอบเดินย่องออกไป แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกแต่ก็พบว่าไม่มีสัญญาณ
รีสอร์ทแห่งหนึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการตกแต่ง เมธียืนคุยงานอยู่กับลูกน้องและเจ้าของรีสอร์ท
“รับรองครับว่างานนี้ต้องเสร็จทันเวลา”
“ผมเชื่อฝีมือคุณครับคุณเมธี เพราะโปรเจ็คต่อไป จะใหญ่กว่านี้อีก คงต้องให้คุณเมธีเป็นผู้ดูแล” เจ้าของรีสอร์ทบอก
เมธีมั่นใจมาก “ขอบคุณที่วางใจผมครับ”
“ฝากด้วยนะครับ”
เจ้าของรีสอร์ทพูดจบก็เดินไป เมธีถอนหายใจแล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดู เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับของประภัสสร 5 สาย เมธีกดจะโทรออก ทันใดนั้นลูกน้องของเขาก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“บอสครับ มีปัญหาระบบเสียงในห้องจัดเลี้ยงครับ”
“อ้าว แล้วคนวางระบบล่ะ” เมธีถาม
“กลับไปแล้วครับ เมื่อวานทดสอบก็ไม่มีปัญญา จู่ๆ เกิดใช้ไม่ได้ ซะอย่างงั้น”
เมธีฟังจบแล้วก็พยักหน้าก่อนจะรีบเดินนำไป ลูกน้องเมธีเดินตามไปอย่างเร่งรีบ
ประภัสสรกดโทรศัพท์ปิดด้วยความหงุดหงิด เธอหันกลับมาเห็นเมรินจ้องตาแป๋ว ประภัสสรรีบยิ้มเอาใจ
ประภัสสรพยายามถามกลบเกลื่อน “วาดรูปอะไรคะ”
“รูปบ้านเราไงคะ นี่คุณพ่อ คุณแม่ แล้วก็เมย์”
“อ้าว แล้วไม่มีพี่สายแก้วหรือคะ” สายแก้วถามขึ้น
“มีสิคะ แต่พี่สายแก้วอยู่ในครัว ทำกับข้าวอยู่ไง” เมรินตอบ
ทุกคนหัวเราะขำเมริน ประภัสสรมองเมรินแล้วแอบถอนหายใจด้วยความเศร้า
ปรางค์ทิพย์อยู่กับปรงแก้วและปรงขวัญที่กำลังนั่งทำแบบฝึกหัดกองโต ปรางค์ทิพย์เดินชะเง้อมองไปทางฝั่งบ้านประภัสสร
“หนอยนังเมย์นี่ ร้ายเหมือนพ่อมันไม่มีผิด ป้วนเปี้ยนออเซาะคุณย่า เดี๋ยวก็ประจบน้า อย่างนี้มีหวังสมบัติคงยกให้มันกันหมด เจ็บใจนัก”
พูดจบปรางค์ทิพย์ก็หันมามองปรงแก้วปรงขวัญที่นั่งวาดภาพการ์ตูนในสมุดแบบฝึกหัด ปรางค์ทิพย์ตวาดแว๊ดจนเด็กทั้งสองสะดุ้งและกลัว
“ให้มันได้อย่างนี้สิ นังลูกโง่ ให้เรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน ประจบประแจงก็ไม่เป็น อีกหน่อยคงถูกเฉดหัวออกจากบ้านแน่”
“คุณแม่ขา แก้วขอพักเล่นตุ๊กตาได้มั๊ยคะ แก้วทำแบบฝึกหัดครบ 500 ข้อแล้วนะคะ” ปรงแก้วบอก
“ขวัญก็อยากเล่นแต่งตัวให้น้องหมี นะคะคุณแม่” ปรงขวัญร้องขอ
“ไม่ได้ เดี๋ยวก็ต้องเตรียมตัวเรียนเปียโนต่อ”
“ขอพักวันนึงได้มั๊ยคะคุณแม่”
“ไม่ได้..นี่แกสองคน ไม่รู้หรือ ชั้นเสียเงินไปมากมายแค่ไหน เพื่อให้แกมีเทียมหน้าเทียมตาคนอื่น อีแค่เรียนเปียนโนมันจะเหน็ดจะเหนื่อยอะไร มัวแต่เล่นตุ๊กตา เล่นแล้วมันได้อะไรขึ้นมา”
เด็กทั้งสองจ๋อย
“ชั้นไม่ยอมให้แกสองคนพักหรอก อย่ามาทำหน้าเศร้านะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะว่าชั้นได้ว่าเลี้ยงพวกแกไม่มีความสุข” ปรางทิพย์ว่า
บุญศรีเดินเข้ามาจากอีกทาง
“คุณแก้วคุณขวัญคะ ได้เวลาไปเรียนเปียโนแล้วค่ะ”
“แต่แก้วไม่อยากไปนี่คะ แก้วเหนื่อย” ปรงแก้วบอก
ปรางค์ทิพย์ตวาด “...นี่นังแก้ว อย่ามาทำเป็นขี้เกียจหลังยาว เหมือนพ่อจริง..จริ๊ง ถ้าอยากจะเป็นลูกชั้นก็ตั้งใจเรียนเข้า ไปสิ ทั้งสองคนนั่นแหละ”
ปรงแก้วกับปรงขวัญชะงักแล้วจ๋อยไม่กล้าสบตาแม่
“นี่ บุญศรี หล่อนคอยดูอย่าให้แม่แก้วแม่ขวัญเหลวไหลนะ วันเกิดคุณย่ามันจะได้เล่นให้เป็นของขวัญ ดูซินังเด็กปัญญาก่อนนั่น เอาอะไรมาสู้” ปรางทิพย์สั่ง
“ค่ะ คุณปรางค์ เชื่อมือบุญศรีเถอะ เรื่องแบบนี้ บุญศรีถนัด”
บุญศรีรับคำอย่างมั่นใจ ปรางค์ทิพย์ยิ้มพอใจ
“ยังไงชาตินี้ลูกแก ไม่มีวันสู้ลูกชั้นได้หรอก ยัยประภัสสร”
ลุงสายกับป้าแก้วกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำกับข้าว สายแก้วเดินเข้ามาในครัว
“วันนี้แม่ทำอะไรตั้งเยอะแยะ” สายแก้วถาม
“วันนี้คุณเมธีจะกลับมาทานข้าว” ป้าแก้วบอก
“อ้าว..แม่รู้ได้ยังไงเนี่ย”
“คุณเมย์คุยอวดตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ท่าทางดีใจเหลือเกิ๊น..แม่คุณเอ๊ย...คุณเมธีก็งานยุ่งเหลือเกิ๊น”
“ก็นั่นแหละแม่ คุณปรางค์ก็คอยยุให้รำตำให้รั่ว สงสารคุณสรไม่เถียงซักคำ ถ้าเป็นชั้นนะ...”
ลุงสายรีบปราม “หยุดเลย นั่งสายแก้ว เรื่องของเจ้านาย เรามีอะไรก็ทำไป”
บุญศรีที่ยืนแอบฟังอยู่อีกทางพูดขึ้น
“นินทาอะไรเจ้านายชั้น!! มีของว่างให้คุณแก้วคุณขวัญหรือเปล่า”
“จัดไว้แล้ว อยู่โน่น....” ป้าแก้วชี้ไป
“ทำกับข้าวซะเยอะแยะ จะมีแขกที่ไหนมา” บุญศรีถาม
“ก็คุณเมธี...” สายแก้วจะตอบ
ป้าแก้วรีบสะกิดไม่ให้สายแก้วพูด สายแก้วจึงหุบปาก
“โธ่...ก็แค่จะกลับมากินข้าวทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้ ....ก็ไอ้แค่ลูกคน..”
“นี่พี่บุญศรี...มันจะมากไปแล้วนะ ลูกอะไร”
บุญศรียักไหล่ “ชั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา... เชอะ ไม่อยากจะลดตัวลงไปเกลือกกลั้ว ไหนล่ะ ของว่างคุณๆของชั้น”
ป้าแก้ว รีบหยิบถาดของว่างมาส่งให้ บุญศรีรับถาดไปแล้วทิ้งหางตาใส่สายแก้ว
“หมั่นไส้นักเชียว ทำเป็นใหญ่ มันก็ไอ้ขี้ข้าเหมือนกันแหละวะ” สายแก้วว่า
“นี่นังสายแก้ว อย่าแบ่งข้าแบ่งนายเลย หลานคุณหญิงท่านทุกคน เราต้องให้ความเคารพ” ลุงสายบอก
“ชั้นรู้หรอกน่าพ่อ...แต่พี่บุญศรี มันชอบพูดจากระทบกระแทกนี่นา”
“เอ็งก็อย่าไปฟัง อย่าให้เป็นเรื่องคุณหญิงท่านจะไม่สบายใจ” ป้าแก้วเตือน
สายแก้วประชด “จ้ะแม่...ถ้าเกิดวันไหน พี่บุญศรีแกเฮี้ยนขึ้นมา ยุให้คุณแก้วคุณขวัญรังแกคุณเมย์ แม่กับพ่อจะปล่อยให้เลยตามเลยหรือเปล่าจ๊ะ”
ลุงสายกับป้าแก้วมองหน้ากัน ป้าแก้วยกตะหลิวขึ้นมาเคาะหัวสายแก้ว
ประภัสสรยืนมองออกไปที่หน้าประตูบ้านแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของเมธี นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มแล้ว เมรินนั่งหาวคอพับคออ่อนอยู่ที่โซฟา โดยที่สายแก้วคอยดูแลอยู่
“พาคุณเมย์ขึ้นไปนอนเถอะ สายแก้ว” ประภัสสรบอก
“ค่ะคุณผู้หญิง”
สายแก้วพาเมรินเดินขึ้นไป ประภัสสรหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาเมธีอีกครั้ง
เมธีกำลังยืนคุมลูกน้องซ่อมระบบเครื่องเสียงอยู่ที่รีสอร์ท เขากางแปลนแล้วอธิบายให้ลูกน้องฟังอย่างจริงจัง แฟ้มงานกับโทรศัพท์ของเมธีถูกกองเอกสารวางทับอยู่บนโต๊ะที่ห่างออกมา
ประภัสสรนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เข็มนาฬิกาเดินไปเรื่อยๆ ประภัสสรนั่งน้ำตาไหล สายแก้วเดินเข้ามามองประภัสสรอย่างเห็นใจ
“คุณผู้หญิงคะ คุณน้องเมย์หลับแล้วค่ะ” สายแก้วบอก
ประภัสสรรีบเช็ดน้ำตา “หรือจ๊ะ ขอบใจมาก สายแก้วเก็บโต๊ะได้เลย”
“คุณผู้หญิงยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะคะ”
“ชั้นทานไม่ลงหรอก”
ประภัสสรลุกขึ้นแล้วเดินไป สายแก้วมองตามอย่างเป็นห่วง
เมรินนอนหลับอยู่บนเตียง ประภัสสรเดินเข้ามามองลูกสาวอย่างเศร้าๆ
“คุณพ่อเค้าไม่รักเราแล้วละ น้องเมย์จ๋า”
ประภัสสรนั่งร้องไห้เงียบๆ
ปฐวีนั่งมองพระจันทร์บนท้องฟ้า เขานึกถึงตอนที่เจอตันหยงครั้งแรกแล้วก็ช่วยเธอดึงรถเข็น นึกถึงตอนที่ตันหยงยืนเถียงกับสามีภรรยาชาวเกาหลีอย่างเอาเป็นเอาตาย นึกถึงตอนที่ตันหยงขอบคุณเขา พอเขาจะพูด ตันหยงก็รับโทรศัพท์แล้วเดินจากไป
ปฐวีคิดแล้วก็ยิ้ม
เสียงปรงทองดังขึ้น “คิดอะไรอยู่จ๊ะ ตาวี”
ปฐวีหันไปเห็นปรงทองเดินเข้ามา ปฐวีรีบเดินเข้าไปประคองให้มานั่งที่โต๊ะ
“คุณย่า ยังไม่นอนหรือครับ”
“จะให้รีบนอนไปไหน เมื่อถึงเวลาย่าก็คงได้พักยาวแล้วละ”
“โธ่ คุณย่ายังแข็งแรง อยู่เป็นมิ่งขวัญของลูกหลานไปอีกร้อยปีได้เลยครับ”
“สังขารคนเรามันไม่เที่ยงหรอก ย่าอายุมากแล้วอยากจะวางมือเรื่องธุรกิจซะที”
“อะไรกัน คุณย่ายังสาวออก เหมือนคนอายุ 50 มากกว่า”
“ปากหวานนะเราเนี่ย” ปรงทองถอนใจ “อะไรมันก็ไม่แน่นอน ดูพ่อกับแม่ของเราสิ จู่ๆก็ปุปปับไปเพราะอุบัติเหตุ ซ้ำร้าย แม่ของแม่ปรางค์ก็เป็นมะเร็งทิ้งย่าไปอีกคน มีที่ไหน แม่ต้องมาเผาลูก”
“โธ่ คุณย่าครับ อย่าไปพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย”
“ย่าไม่เศร้าหรอก เพียงแต่อยากเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่า คนเราไม่ควรดำรงตนอยู่ในความประมาท ถึงเวลาที่ย่าควรจะวางมือเรื่องงาน ให้คนที่เหมาะสมดูแลต่อไป”
“ครับ ผมเข้าใจคุณย่า แล้วคุณย่าคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะครับ”
ปรงทองนิ่งไม่ตอบแต่มองปฐวีอย่างเอ็นดู
“ว่าแต่เมื่อกี้เจ้าคิดถึงใครอยู่หรือเปล่า” ปรงทองถาม
“ว๊า คุณย่ารู้ทันผมทุกทีเลย...”
ปฐวีเขิน ปรงทองยิ้มมองปฐวีอย่างรักใคร่
ตันหยงกำลังรื้อของออกจากกระเป๋าจนกระทั่งถึงของขวัญที่เธอซื้อมาให้พิราม ตันหยงหยิบปากกาด้ามนั้นออกจากกล่องขึ้นมามอง
“ห่อซะหน่อยดีกว่า...คนรับจะได้ตื่นเต้น”
ตันหยงลุกขึ้นไปหากระดาษมานั่งห่ออย่างสวยงาม เสร็จแล้วเธอก็บรรจงเขียนการ์ด “ด้วยความรักสำหรับผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิต ตันหยง” ตันหยงนั่งมองห่อของขวัญด้วยความภูมิใจ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตันหยงรีบกดรับ
“ทำอะไรอยู่ สุดที่รักของผม” เสียงพิรามดังจากปลายสาย
“ถ้ารักแล้วทำไมรีบกลับล่ะคะ หยงยังไม่ได้เอาของฝากให้คุณเลย”
“ขอโทษทีครับ นี่เพิ่งประชุมเสร็จ ต้องทานข้าวกับลูกค้าต่อ แต่ผมรีบออกมาโทรหาคุณก่อน”
“งั้นให้หยงไปหามั๊ยคะ หยงอยากจะเอาของให้คุณ”
พิรามอึกอัก “..ไม่ต้องดีกว่า คุณเพิ่งกลับมาถึงพักผ่อนก่อนดีกว่านะครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะไปรับ”
ตันหยงงอน “..ก็ได้ค่ะ”
“หยง...ผมรักคุณ”
“ทราบแล้วค่ะ พิราม พรุ่งนี้พบกันนะคะ”
ตันหยงกดปิดโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นจะเดินไป แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ตันหยงชะงักเพราะคิดว่าพิรามโทร.กลับมา
“อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจ”
ตันหยงรีบกดรับ
ขณะเดียวกัน สุดนภาแต่งตัวสวยพร้อมจะออกจากบ้าน เธอกำลังเดินไปขึ้นรถของตัวเองและก็โทร.มาหาตันหยงไปด้วย
“นี่หยง แกเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยนะ ทำไมไม่โทร.มารายงานตัวกับเพื่อน หรือว่าลืมชั้นแล้ว”
“บ้า ชั้นเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยยัง ไม่ 24ชั่วโมงเลย เหนื่อยจะแย่” ตันหยงบอก
“หนอยแน่ะ ไว้พักวันอื่น วันนี้ออกมาสังสรรค์กันหน่อย ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด ชั้นนัดเพื่อนไว้ครบก๊วนแล้ว”
ตันหยงอิดออด “บ้า แกเป็นครูอนุบาลนะ จะไปสถานที่อโคจรแบบนั้นได้ไง เดี๋ยวโดนต้นสังกัดเล่นงานหรอก”
“นั่นน่ะสิ แสดงว่าชั้นยอมเอาอนาคต แม่พิมพ์ของชาติมาเสี่ยงเพื่อเพื่อนได้ เพราะฉะนั้นห้ามปฏิเสธ เข้าใจมั้ย แต่งตัวเลย เดี๋ยวชั้นไปรับ”
รถของสุดนภาพวิ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหน้าผับ บรรดาสาวๆลงจากรถ ตันหยงเห็นรถของพิรามจอดอยู่ก็ถึงกับชะงัก
“เอ๊ะ นั่นรถของพิรามใช่มั๊ย”
สุดนภาจ้องมอง “...ใช่ เฮ้..พวกเรา วันนี้ฟ้าประทานเจ้ามือมาให้แล้ว”
ทุกคนร้องดีใจ ตันหยงรีบปราม
“บ้าน่า เค้าพาลูกค้ามาเอ็นเตอร์เทน เราจะไปกวนเค้าได้ไง” ตันหยงบอก
“ไม่กวนหรอก แค่นั่งโต๊ะข้างๆ แล้วรวมบิลก็ได้ดีมั๊ยพวกเรา” สุดนภาถามความเห็น
ทุกคนทำท่าเห็นด้วย
“มติเอกฉันท์ พวกเราลุย”
สุดนภาชักชวนทุกคนให้เข้าไป ตันหยงยิ้มขำๆ
กลุ่มของตันหยงเดินเข้ามา สุดนภาเรียกพนักงานอย่างคล่องแคล่ว
“นี่บี๋ แกคล่องเกินไปหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ว่าแกเป็นครูอนุบาลนี่ ชั้นคิดว่าแกเป็นเจ้าของผับนะ ไม่กลัวเจอลูกศิษย์บ้างหรือไง” ตันหยงถาม
“จะบ้าหรือหยง นี่ผับนะ ไม่ใช่เขาดิน เด็กอนุบาลที่ไหนจะมาทัศนศึกษาในผับ” สุดนภาว่า
พนักงานรีบเดินเข้ามาต้อนรับ
“เชิญทางด้านนี้เลยครับ”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวขอตามหาเจ้าภาพก่อน” สุดนภาบอก
สุดนภาสอดส่ายสายตาแล้วเดินนำออกไป ตันหยงหันไปมองเห็นพัดชาที่จะเดินออกไป เลยวิ่งตามไป
ตันหยงเดินตามมาจนทันแล้วเรียกเอาไว้ “คุณพัดชา ใช่มั้ยคะ”
“คุณตันหยง...”
“แล้วพิรามล่ะคะ ชั้นเห็นรถเค้าจอดอยู่ข้างหน้า”
“อ๋อ คุณพิรามออกไปส่งลูกค้าที่โรงแรมค่ะ เพิ่งไปเมื่อครู่นี้เอง...”
“ว๊า เสียดายจัง ชั้นชักอิจฉาคุณพัดชาแล้วสิคะ คุณพัดชาได้มาด้วย หยงขอมาเจอ พิรามก็ไม่ให้หยงมา”
“อย่าอิจฉาเลขาอย่างชั้นเลยค่ะ” พัดชาบอก “ยังไงคุณตันหยงก็ต้องเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว คนอย่างคุณพิรามน่ะ รู้จักจัดลำดับความสำคัญเสมอค่ะ”
“แหม...คุณพัดชา อย่าคิดแบบนั้นสิคะ หยงพูดเล่น”
“ค่ะ ชั้นขอตัวก่อนนะคะ”
พัดชายิ้มมองตันหยงแล้วเดินไป
สุดนภาที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง รีบเดินเข้ามาสะกิดตันหยง
“นั่นใครน่ะ” สุดนภาถาม
“คุณพัดชา เลขาของพิรามไง แต่พิรามออกไปส่งลูกค้าก่อนแล้ว”
สุดนภาพยักหน้ารับหงึกๆ
“แหม น่าเสียดาย งั้นโต๊ะอยู่ตรงโน้น ไปกันเร็ว”
“ชั้นขอไปโทรหาพิรามหน่อยนะ”
ตันหยงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพิราม แต่พิรามไม่รับสาย
“ฝากข้อความไว้ดีกว่า พิรามคะ หยงมาที่ผับ เจอคุณพัดชาด้วย แต่คลาดกับคุณ เสร็จธุระกับลูกค้า แล้วจะตามมาก็ได้นะคะ”
พิรามกำลังขับรถอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนข้อความเข้า พิรามกดฟังเสียงจากบลูทูสในรถ
“พิรามคะ หยงมาที่ผับ เจอคุณพัดชาด้วย แต่คลาดกับคุณ เสร็จธุระกับลูกค้าแล้วจะตามมาก็ได้นะคะ”
พิรามเครียดแล้วจอดรถทันที เขาทุบพวงมาลัยอย่างหงุดหงิด
“โธ่เว๊ย.....”
พิรามเครียด
พรพรหมอลเวงตอนที่ 1 (ต่อ)
รถของพิรามวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าคอนโด สักพักรถของพัดชาก็วิ่งตามเข้ามาจอด พิรามลงจากรถแล้วเดินไปที่รถของพัดชาทันที
“คุณมัวไปทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบออกมา”
“ชั้นก็ไปเข้าห้องน้ำไงคะ แล้วก็บังเอิญเหลือเกิน ชั้นเจอคุณตันหยงด้วย” พัดชาบอก
“คุณจงใจใช่มั้ย”
“เปล่าค่ะ บอกแล้วไงคะว่าเป็นเหตุบังเอิญ แล้วที่คุณหงุดหงิดใส่ชั้นนี่ เพราะกลัวหรือโกรธกันแน่คะ”
พิรามชะงัก “พัดชา”
“อย่าวิตกไปเลย คุณตันหยงไม่มีวันรู้เรื่องของเราแน่นอน ขึ้นไปข้างบนกันเถอะค่ะ”
พัดชาเดินมาควงแขนพิราม พิรามรีบแกะออก
“ไม่ ผมจะกลับ และผมขอให้คุณทำตามที่ตกลงกันไว้”
“คุณมาที่นี่เพื่อจะบอกแค่นี้เหรอคะ”
“ผมไม่อยากให้คุณผิดสัญญา”
“คุณพิราม...นี่คุณจะกลับไปหาคุณตันหยงใช่มั้ย”
“ใช่ ผมจะไปหาตันหยง”
พิรามเดินไปขึ้นรถ พัดชามองตามอย่างแค้นใจ
สุดนภากับตันหยงนั่งมองเพื่อนๆเต้นกันอย่างสนุกสนานในผับ โดยที่ทั้งคู่ก็คุยกันอย่างสนุกสนานไปด้วย ตันหยงชำเลืองมองโทรศัพท์ สุดนภาสังเกตเห็น
“ชำเลียงมองอยู่นั่นแหล่ะ เชื่อสิ เดี๋ยวเค้าก็ตามมา”
ทันใดนั้นพิรามก็เดินเข้ามาหยุดมอง ตันหยงคุยกับสุดนภาด้วยความร่าเริง พิรามยิ้มเศร้าๆ เพราะรู้สึกผิดมากก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหา
ตันหยงดีใจมากเมื่อเห็นพิราม “พิราม”
“ผมเพิ่งเสร็จธุระก็รีบมาเลย คอยนานหรือเปล่าครับ”
“ไม่เลยค่ะ”
สุดนภากระแอม “...ไม่นานเลย ตาจ้องมองโทรศัพท์ สลับกับการชะเง้อคอมอง”
ตันหยงผลักเพื่อนเบาๆ ด้วยความเขิน
พิรามพูดกับตันหยง “ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณต้องรอ ถ้างั้นผมขอไถ่โทษด้วยการเป็นเจ้ามือเลี้ยงทุกคนเลยนะครับ”
สุดนภารีบเปลี่ยนสีทันที “ยกโทษให้เลยค่ะ อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นเลยนะหยง”
“บี๋ก็ อะไรเนี่ย พูดเองเออเองตลอดเลย” ตันหยงว่า
“ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ เย้..เย้ .....เอาชนแก้ว”
ทุกคนชนแก้วกัน ตันหยงยิ้มเบิกบาน พิรามมองดูท่าทางดีใจของตันหยงแล้วก็ยิ่งสลด พิรามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นสายที่ไม่ได้รับของพัดชา 20 กว่าสาย เขาถอนหายใจแล้วกดปิดเครื่องทันที ตันหยงแอบเห็น
“ไม่รับโทรศัพท์หรือคะ งานหรือเปล่า” ตันหยงถาม
“อ๋อ..เพื่อนน่ะครับ ชวนไปกินเหล้า”
“ขอบคุณนะคะ ที่กลับมาหาหยง”
ตันหยงยิ้มเขิน พิรามมองตันหยงอย่างรักใคร่ปนสำนึกผิด
พัดชายังคงโทรศัพท์หาพิรามแต่ก็ได้ยินแต่ “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” พัดชาขว้างโทรศัพท์ทิ้งไปด้วยความหงุดหงิด เธอหันไปหยิบเหล้ามาดื่ม
“นี่คุณปิดโทรศัพท์หนีชั้นหรือ อยู่กับตันหยงใช่มั้ย...”
พัดชาทั้งหึงทั้งเสียใจ สักพักเธอก็ลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์มาโทรหาพิรามอีกแต่ก็ยังไม่ติด
“คุณทำแบบนี้กับชั้นได้ยังไง...”
พัดชาผิดหวังสะเทือนใจ เธอร้องไห้อย่างเจ็บแค้นพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เหตุการณ์ในอดีต พิรามเดินเคียงกับตันหยงมาที่โต๊ะทำงานของพัดชา
“คุณพัดชา วันนี้ผมไม่กลับเข้าออฟฟิศนะ เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณตันหยงที่สนามบิน” พิรามบอก
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ เสียงานเปล่าๆ หยงไปเองได้”
“ได้ยังไง ผมอยากอยู่ใกล้คุณจนนาทีสุดท้าย” พิรามพูดกับพัดชา “ช่วยยกเลิกนัดตอนบ่ายให้ผมด้วยนะ”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ คุณตันหยง” พัดชาอวยพร
“คุณพิรามชมคุณเสมอเลย คุณเป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมมาก แบ่งเบาพิรามได้ทุกเรื่องเลย” ตันหยงบอก
พัดชาแอบปลื้ม “ดิชั้นดีใจค่ะที่ได้ช่วยคุณพิราม”
พิรามพูดกับตันหยง “...ไปกันเถอะ ผมจองโต๊ะร้านโปรดของเราไว้แล้วนะ ไม่อยากไปสายน่ะ ผมไปก่อนนะคุณพัด ฝากด้วย”
“ค่ะ ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง พัดจะดูแลให้เป็นอย่างดีค่ะ”
“ไปนะคะคุณพัดชา บ๊ายบาย”
ตันหยงกับพิรามเดินเคียงคู่กันออกไป พัดชามองตามด้วยความอิจฉา
ไม่นานนัก พิรามนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ พัดชาเดินเอาแฟ้มมาเสนอให้พิรามเซ็น พัดชายืนมองพิรามอย่างปลื้มๆ
พิรามออกไปติดต่องานกับลูกค้า พัดชายืนคอยบันทึกคำสั่งของพิรามอย่างใกล้ชิด
พิรามกับพัดชานั่งคุยกับลูกค้าจนเสร็จ ทั้งคู่ลุกขึ้นล่ำลาลูกค้า พัดชาเซ พิรามจึงเข้ามาประคองไว้
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว” พิรามถาม
“รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยค่ะ” พัดชาบอก
“งั้นผมไปส่งที่บ้านดีกว่า”
พิรามเปิดประตูรถให้พัดชาขึ้นไปนั่ง พัดชาแอบยิ้มปลื้ม
พัดชาเดินเข้ามาในห้องที่คอนโดของเธอ โดยมีพิรามเดินตามมา พัดชาแกล้งเป็นลม พิรามจึงอุ้มพัดชาไปนอนบนเตียง
“ไปหาหมอมั้ย..” พิรามถาม
“ไม่ต้องหรอกค่ะ นอนพักเดี๋ยวก็หาย”
“ยาอยู่ไหน เดี๋ยวผมหยิบให้”
พิรามเดินไปหยิบยาบนโต๊ะพร้อมน้ำมาส่งให้พัดชากินจนเรียบร้อย พัดชาจับมือพิรามไว้
“ขอบคุณมากนะคะคุณพิราม คุณดีกับพัดจริงๆ”
“นอนพักนะครับ ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
พัดชาคว้ามือพิรามไว้แน่น
“อย่าเพิ่งกลับนะคะ อยู่เป็นเพื่อนพัดก่อน พัดไม่อยากอยู่คนเดียว”
พัดชากำมือพิรามแน่นแล้วแกล้งทำเป็นหลับ พิรามทั้งเป็นห่วงทั้งสงสารจึงไม่กล้าดึงมือออก พิรามมองพัดชาจนเคลิ้มหลับ
เวลาผ่านไป พัดชาใส่ชุดนอนวาบหวิวออกมาแล้วจัดให้พิรามนอนดีๆ พิรามจะขยับลุก พัดชากดตัวเขาไว้ พิรามชะงักมองหน้าพัดชา ทั้งคู่จ้องหน้ากัน
“ดึกแล้ว นอนพักที่นี่เถอะนะคะ” พัดชายื่นหน้าเข้าไปใกล้
“มันไม่เหมาะนะพัดชา ผมกลับดีกว่า”
“คุณรังเกียจพัดเหรอคะ” พัดชาถาม
“ไม่ใช่นะพัดชา คุณเป็นคนน่ารัก แต่ผมมีคู่หมั้นแล้ว”
ทั้งคู่จ้องหน้ากัน
“พัดไม่เชื่อ ว่าคุณไม่รังเกียจพัด” พัดชาแกล้งทำเป็นเสียใจ
แล้วพัดชาก็กอดคอและจูบพิราม พิรามจะแกะออกแต่แล้วสุดท้ายก็เคลิ้มตาม
“พิรามคะ ไม่ต้องพยายามเป็นคนดีหรอกค่ะ” พัดชาจ้องหน้าพิราม พิรามมองตอบ พิรามเริ่มหวั่นไหว “พัดไม่ใช่คนถือสาเรื่องแบบนี้” พัดชามองพิรามอีกจนคิดว่าพิรามไม่ปฏิเสธ แล้วทั้งคู่จึงจูบกัน
เวลาผ่านไป พัดชานอนอยู่ในอ้อมกอดของพิราม พัดชามองพิรามอย่างปลื้มเปรม
“ในที่สุด คุณก็เป็นของพัด”
พิรามรู้สึกตัวตื่นมองหน้าพัดชาแล้วก็รีบลุกขึ้นทันที
“พัดชา ผมขอโทษ” พิรามพูด
“ขอโทษทำไมคะ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย” พัดชาบอก
“แต่ถ้าหยงรู้เข้า ผมไม่อยากให้หยงเข้าใจผิด”
พัดชาเข้ามากอดอ้อน
“คุณตันหยงจะรู้ได้ยังไงคะ ถ้าเราไม่บอก”
พิรามสับสน พัดชาจึงรุกหนัก
“พัดเข้าใจคุณดีค่ะ พัดรู้ตัวดีค่ะว่าพัดอยู่ในฐานะอะไร อย่าห่วงเลยค่ะพัดจะไม่มีวันทำให้คุณเดือดร้อนเด็ดขาด”
พัดชาทำท่าน่าสงสารจนพิรามเริ่มใจอ่อน
“พัดขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆคุณ พัดก็พอใจแล้ว นะคะ คุณพิราม”
พัดชากอดและซบพิรามอย่างน่าสงสาร พิรามมองด้วยความอึดอัดก่อนเอามือลูบหัวพัดชา
พัดชนึกถึงเรื่องในอดีตแล้วก็เปรยออกมา “2 ปีที่ผ่านมา มันนานเกินกว่าพัดจะยอมเสียคุณไป... คุณพิราม”
พัดชาน้ำตาไหล
ตันหยงเดินเคียงคู่กับพิรามออกมาจากผับ โดยมีสุดนภาและผองเพื่อนเดินตามมา
“แน่ใจนะว่าขับไหว” ตันหยงถามเพื่อน
“แน่ใจสิยะ ชั้นดื่มม๊อคเทลนะ ไม่มีแอลกอฮอล์ซักหยดนึง จะเมาได้ไง” สุดนภาพูดกับพิราม “ฝากส่งเพื่อนชั้นให้ถึงบ้านด้วยนะคะคุณพิราม”
“รับรองครับ ผมจะดูแลหยงให้ดีที่สุดเลย” พิรามบอก
“ทนไม่ไหวก็ตรงนี้แหละ หวานไปมั้ยเนี่ย” สุดนภาแซว
“ไปได้แล้ว บ๊าย...บาย”
ทุกคนล่ำลากัน สุดนภาและผองเพื่อนขับรถออกไป พิรามหันมาจับมือตันหยง
“ผมอยากพาคุณไปที่นึง”
“ที่ไหนคะ มันดึกแล้วนะ”
“ผมรับรองความปลอดภัยด้วยเกียรติของผมเลย....”
พิรามทำท่าขึงขัง ตันหยงหัวเราะ
“ไปสิคะ หยงไว้ใจคุณเสมอ”
พิรามหลบตาก่อนจะมองตันหยงอย่างรู้สึกผิด
รถของพิรามวิ่งมาจอดที่ใต้สะพานแห่งหนึ่ง ตันหยงเดินลงจากรถแล้วมองดูบรรยากาศรอบๆ
“สวยจังเลย”
“ผมมาที่นี่บ่อยๆ เวลาคิดถึงคุณ”
ตันหยงมองหน้าพิราม “หยงขอโทษ หยงไม่น่าทิ้งคุณไปเลยตั้งสองปี”
“คุณไม่ผิดหรอก ผมต่างหาก ที่ผิด”
“ไม่เอาน่า งั้นเราต่างคนต่างผิดดีมั้ย เราไม่พูดเรื่องเก่ากันดีกว่านะคะ”
“หยงครับ ถ้าผมทำอะไรผิดมากๆ คุณจะให้อภัยผมได้มั้ย”
ตันหยงนิ่งนึก “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ หยงมั่นใจว่าคุณไม่มีวันทรยศต่อความรักของเราได้ ไม่มีวัน”
พิรามอ้าปากสารภาพ
“หยง...ผมผิดไปแล้ว...ผมกับพัดชา......”
ทันใดนั้นก็มีการจุดพลุเสียงดังกลบสนั่นเสียงพิรามไปหมด ตันหยงกรี๊ดกร๊าดอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ดูสิ พลุสวยจังเลย พิรามดูสิคะ....” ตันหยงหันไปมองพิราม “เมื่อกี้คุณพูดอะไรนะคะ”
พิรามเปลี่ยนใจ “ผมจะบอกว่า คืนนี้คุณสวยมาก”
ตันหยงเขิน “พูดแบบนี้หยงเขินนะคะ” ตันหยงนึกได้ “ว๊า...เสียดายจังเลย หยงไม่ได้เอาของขวัญมาให้คุณ หยงเลือกซื้อตั้งนานกว่าจะหาได้”
พิรามจับมือตันหยง “หยงครับ ผมจะรักและซื่อสัตย์กับคุณคนเดียวตลอดไป”
“ค่ะ หยงเชื่อคุณ เคยมีคนบอกว่า เคล็ดลับของชีวิตคู่ที่ยืนยาวคือ เราต้องตกหลุมรักหลายๆครั้ง กับคนเดิมตลอดไป คุณจะทำได้มั้ยคะ”
“ตกลง ผมจะตกหลุมรักผู้หญิงที่ชื่อตันหยงคนเดียว ทุกวัน ตลอดไป”
ตันหยงยิ้มเขิน เธอมองพิรามด้วยความรัก ส่วนพิรามแอบเครียด
เช้าวันใหม่ ปฐวีกำลังทำGamma Knife (ฉายรังสีที่สมองเพื่อรักษาเนื้องอกในสมอง) ให้คนไข้ในห้องผ่าตัด ชีพจรคนไข้เต้นเร็ว ส่วนความดันก็สูงขึ้น
“ไม่ต้องเครียดนะครับ ใจเย็นๆ ไม่มีอะไร” ปฐวีบอก
พยาบาลซับหงื่อให้ปฐวี
ทุกคนมองที่จอมอนิเตอร์ซึ่งแสดงการเต้นของหัวใจ หัวใจคนไข้เริ่มเต้นเป็นปกติ ทุกคนยิ้ม ปฐวีแกะถุงมือกับผ้าปิดหน้าทิ้ง ก่อนจะเดินผ่านสองพยาบาลสาวที่มองเขาด้วยความชื่นชมหลงไหล
ญาติผู้ป่วยนั่งรออย่างลุ้นๆ ที่หน้าห้องผ่าตัด ปฐวีเดินออกมาจากห้อง ญาติๆ รีบกรูเข้าไปหาปฐวี
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ ลูกสาวดิชั้นจะเป็นยังไงบ้าง”
“ผลผ่าตัดเป็นยังไงคะ”
“ใจเย็นนะครับ การผ่าตัดเรียบร้อยดี เป็นที่น่าพอใจครับ” ปฐวีบอก
“แล้วเค้าจะกลับมาเป็นปกติหรือเปล่าคะคุณหมอ”
“ไม่น่ามีปัญหาครับ ก้อนเนื้อยังมีขนาดเล็ก ปริมาณรังสีที่ได้รับก็ไม่มาก ไม่น่าจะมีผลข้างเคียงอะไร ตอนนี้หมอสั่งให้พยาบาลฉีดยาแก้ปวดและแก้อาเจียน เพื่อลดผลแทรกซ้อนจากการทำ Gamma Knife คนไข้จะได้พักผ่อน ไม่ต้องวิตกนะครับ”
ทันใดนั้นจริณทิพย์ก็เดินถือแฟ้มเข้ามา
“คุณหมอปฐวีคะ เซ็นต์เอกสารให้หน่อยค่ะ”
“แหม หมอเก่งจังเลยนะคะ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ เรามารักษาที่นี่เพราะชื่อเสียงของคุณหมอเลย ว่าเป็นหมอศัลยกรรมประสาทที่เก่งมาก” ญาติคนไข้ชมเปาะ
ปฐวีพยักหน้ารับกับคำชม
เสียงนาวินดังขึ้น “เชื่อเถอะครับ เพื่อนผมคนนี้เค้าเจ๋งสุด แถมยังหล่ออีกด้วย ขอเตือนไว้ก่อนนะครับ มีลูกสาวอย่ายกให้ เพราะผมจอง”
นาวินเดินเข้ามากอดคอปฐวีอย่างสนิทสนมแล้วหันไปยักคิ้วให้ญาติผู้ป่วย จริณทิพย์อ้าปากค้าง ปฐวีอ้าปากจะแก้ตัว นาวินรีบกอดคอปฐวีเอาไว้
“ขอตัวก่อนนะครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึงจังเลย” นาวินบอก
นาวินแกล้งเป่าหูปฐวี ปฐวีอ้าปากจะด่าเพื่อน นาวินเอานิ้วปิดปากปฐวี บรรดาญาติคนป่วยอ้าปากค้าง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ปฐวีพูดกับนาวิน “มานี่เลยไอ้ตัวดี”
ปฐวีรีบลากตัวนาวินออกไป นาวินหันไปสิ่งยิ้มหลิ่วตาให้ญาติคนป่วย - ญาติคนป่วยหันไปมองหน้ากันด้วยความเสียดาย ก่อนจะหันไปพูดกับจริณทิพย์
“น่าเสียดายจริงๆ สมัยนี้ ผู้ชายดูลำบาก”
“ไม่จริง ไม่จริง โอ๊ย...ชั้นอยากตาย”
จริณทิพย์ทำท่าจะเป็นลม
ปฐวีลากคอนาวินเข้ามาในห้อง นาวินลงนั่งบนเก้าอี้ของปฐวี
“ไอ้บ้า แกชอบเล่นพิเรนทร์อีกแล้ว ทำแบบนี้ซักวันกรรมจะตามสนองแก” ปฐวีว่า
“ไม่กลัวโว๊ย เวรกรรมไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ทำแบบนี้ เป็นการลดคู่แข่ง” นาวินบอก
“คู่แข่งอะไรของแกวะ”
“อ้าว ก็พยาบาลสาวๆในโรงพยาบาลของนายไงล่ะ ถ้านายสับสนทางเพศ ตัวเลือกก็ลดลง โอกาสของชั้นก็มากขึ้นไง”
“โอโห ...นี่ลงทุนเกินไปหรือเปล่า นี่ลุกขึ้นเลย นั้นเก้าอี้ชั้น”
ปฐวีดึงแขนนาวินให้ลุกขึ้น นาวินไม่ยอมลุก ทั้งสองยื้อยุดกันเล่นๆ ปฐวีเสียหลักล้มลงไปกอดนาวินที่โต๊ะ
จริณทิพย์เดินเข้ามาเห็นพอดีก็ถึงกับอ้าปากค้าง
“ให้ทิพย์ออกไปก่อนดีกว่ามั้ยคะ”
“ไม่ต้องครับ ไม่ใช่อย่างที่คุณทิพย์คิดหรอกนะ” ปฐวีรีบแก้ตัว
“ไม่เอานาวี ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นเถอะนะ” นาวินแกล้งต่อ
“ไม่จริ๊ง ทิพย์รับไม่ได้ ไม่น่าเลย หมอวี กับคุณนาวิน เปิดเผยตัวซะอย่างนั้น”
“โธ่คุณทิพย์ ใครเชื่อเจ้าวินออกลูกเป็นไข่แน่เลย” ปฐวีว่า
จริณทิพย์ทำงอน “ไม่รู้ล่ะ นี่ค่ะแฟ้ม เซ็นต์ให้ทิพย์ด้วย เดี๋ยวทิพย์เข้ามารับ ตอนนี้ขอเวลาไปไว้อาลัยก่อน”
จริณทิพย์วางแฟ้มแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้อง นาวินกับปฐวีมองหน้ากันแล้วขำก๊าก
“เจ้านายกับลูกน้องบ้าพอกัน” นาวินว่า
“ไอ้บ้าเอ๊ย...เดี๋ยวก็ลือกันไปทั่ว”
“ยังกะตอนนี้เค้าไม่ลือกันงั้นแหละ พยาบาลสาวๆเต็มไปหมด แกไม่เห็นสนใจใครซักคนนี่นา อ๊ะหรือว่าแกเป็นจริงๆ”
“ไม่พูดด้วยแล้วโว๊ย ไอ้บ้า แล้วนี่แกมาทำไมวะ งานการไม่มีทำหรือ”
“หนอย...ไอ้หมอปากร้าย มัวแต่ผ่าตัดสมองคนอื่น ลืมดูสมองตัวเองซะอย่างงั้น ลืมใช่มั้ย”
“เรื่องอะไร”
“ก็งานเลี้ยงรุ่นไงล่ะ วันนี้”
“เออ..จริงสิ งานเลี้ยงรุ่น แล้วเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ แกทำไมต้องถ่อมาบอกชั้นบอกถึงที่นี่ แกไม่รู้จักโทรศัพท์หรือวะ”
“รู้โว๊ย แต่ตั้งใจมาเหล่พยาบาลสาวๆ มาบอกแกมันเรื่องรอง”
“เฮ้อ ไม่น่าส่งน้องเมย์ไปเรียนโรงเรียนของแกเลยว่ะ แกไปก่อนเหอะ เดี๋ยวชั้นจะไป วันนี้ชั้นมีนัดกับคุณย่า”
“ไม่ได้ ชั้นไปด้วย เดี๋ยวแกเบี้ยวอีก”
“ไอ้บ้า ไม่เบี้ยวหรอก แกไปทำงานทำการซะบ้าง เดี๋ยวนักเรียนก็เดินขบวนประท้วงหรอก”
“ตอนนี้ปิดเทอมโว๊ย สัญญานะเว้ยว่าจะไป...ไม่ไปขอให้เป็นแต๋วแวว!!!”
“..แกรีบกลับไปทำงานเถอะ ไม่งั้นชั้นจะย้ายหลานชั้นออกจากโรงเรียนแก”
ปฐวีมองนาวินแล้วส่ายหน้ายิ้มขำ
ปฐวีกับนาวินเดินคุยกันมาตามทางเดิน หนึ่งฤทัยถือถุงขนมเดินมาจากอีกทางหนึ่ง
“หมอวีคะ จะไปไหนคะ” หนึ่งฤทัยทัก
“อ้าว หนึ่ง วันนี้ผมมีนัดกับคุณย่าครับ หนึ่งเข้าเวรหรือครับ”
“ค่ะ วันนี้หนึ่งเข้าเวรบ่ายค่ะ” หนึ่งฤทัยหยิบถุงขนมส่งให้ “นี่ขนมทองเอก หนึ่งทำเองฝากไปให้ท่านประธานลองชิมด้วยนะคะ”
“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ คุณย่าคงถูกใจ”
“หนึ่งไม่ชอบอยู่ว่างๆน่ะค่ะ หนึ่งเลยลองทำดู”
“ขอบคุณมากครับ คุณย่าก็บ่นถึงหนึ่งอยู่นะครับ ว่างๆ ไปทานข้าวที่บ้านด้วยกันนะครับ”
นาวินมองสองคนคุยกันแล้วก็แกล้งกระแอม ปฐวีมองแล้วยิ้ม
“นี่นาวินเพื่อนผม เป็นครูโรงเรียนอนุบาลครับ นี่หมอหนึ่งฤทัย หมออายุรกรรม ที่เก่งมากของโรงพยาบาลเรา” ปฐวีแนะนำ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมจิตใจดี รักเด็กครับ” นาวินบอก
“หรือคะ ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกหมอหนึ่งก็ได้ค่ะ หมอวีก็ชมหนึ่งเกินไป” หนึ่งฤทัยดูนาฬิกา “ตายจริง หนึ่งขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ เชิญตามสบายเลย”
หนึ่งฤทัยเดินไป นาวินมองตามจนลับสายตา
“สวยว่ะ แต่สงสัย จะไม่มีผล ท่าทางหมอนี่จะชอบแกว่ะ” นาวินบอก
“ไอ้บ้า... เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ปี 1 ไม่เห็นมีท่าทีอะไรเลย” ปฐวีว่า
“หนอยไอ้ด๊อก...เตอร์ เก่งแต่ผ่าตัดสมอง เรื่องผู้หญิงนี่ทำมึนดูไม่ออก”
“ยังกะแกเก่งนักนี่”
“เก่งสิ...เรื่องแบบนี้ไม่พลาด ชั้นดูออก เค้าชอบแก”
ปฐวีขำ
“ถ้าเค้าไม่ชอบแก ชั้นจีบไปแล้วหล่ะ” นาวินบอก
ปฐวีส่ายหัวแล้วเดินไปอย่างไม่สนใจนาวิน
พรพรหมอลเวงตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่อาคารสำนักงาน PD Properties กรรมการสองคนคุยกันอยู่หน้าห้องประชุม
“ไม่ทราบท่านประธานเรียกประชุมคณะกรรมการ มีเรื่องอะไรด่วนหรือครับ” กรรมการคนหนึ่งถาม
“หรือท่านประธานจะมีเซอร์ไพส์” กรรมการอีกคนเดา
ปรางทิพย์เดินเข้ามาร่วม
“อ้าว สวัสดีครับคุณปรางทิพย์ มาเข้าร่วมประชุมด้วยหรือครับ”
ปรางทิพย์ยิ้มภูมิใจ “ท่านประธานตามชั้น ให้มาประชุมด้วย”
“คงจะมีเซอร์ไพซ์จริงๆนะครับเนี่ย”
ปรางค์ทิพย์กระหยิ่ม
“อย่ามัวแต่เดาเลยค่ะ เข้าห้องประชุมกันเถิด”
ปรางค์ทิพย์มีสีหน้าเป็นเดือดเป็นร้อน
ปรงทองนั่งเป็นประธานอยู่ในที่ประชุม
“ชั้นต้องขอโทษทุกคน ที่เรียกประชุมเป็นวาระด่วน โดยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบมาก่อน เรื่องที่จะแจ้งให้ทราบก็คือ ชั้นจะวางมือให้คนรุ่นใหม่เข้ามาดูแลกิจการแทน”
กรรมการทั้งสองหันไปมองหน้าปรางค์ทิพย์เพราะคิดว่าปรางค์ทิพย์จะได้รับมอบหมายหน้าที่นี้
“แล้วท่านประธานจะมอบหมายให้ใครทำหน้าที่ต่อไปครับ” กรรมการคนหนึ่งถาม
ปรางค์ทิพย์ยิ้มเชิด
“ทุกคนคงรู้จักกันดีแล้ว แต่ชั้นขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นี่ ปฐวี โภควันต์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล PD Hospital และเป็นผู้จัดการมรดกของตระกูลโภควันต์ด้วยจะมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทPD Properties แทนชั้น”
ปฐวีกับประภัสสรมองหน้ากัน
“คุณย่าครับ....ผมไม่...”
ปรางทิพย์รีบพูดแทรก “คุณยายคะ ทิพย์ว่า ตาวีก็มีโรงพยาบาลที่ต้องรับผิดชอบดูแลอยู่แล้วนะคะทิพย์ว่างานนี้ ทำไมไม่ให้คุณเสกสรรดูแลหล่ะคะ”
“สามีเราน่ะเหรอ” ปรงทองไม่สนใจปรางทิพย์ “ย่าตัดสินใจแล้ว ย่าดูคนไม่ผิด ทำหน้าที่ที่ย่ามอบหมายให้ดีที่สุดนะ ตาวี”
ปรางทิพย์อ้าปากจะพูดแต่แล้วก็เงียบ
ปฐวีอึ้ง “ครับ คุณย่า”
ทุกคนปรบมือต้อนรับปฐวี ยกเว้นปรางค์ทิพย์ที่รู้สึกหงุดหงิดแต่ก็พยายามเก็บอาการไว้
คณะกรรมการมาจับมือแสดงความยินดีกับปฐวี
“ยินดีด้วยนะครับ คุณปฐวี เอ๊ย...ต้องเรียกท่านประธานสิ”
“เรียกเหมือนเดิมก็ได้ครับ” ปฐวีบอก
“คงไม่ได้หรอกครับ”
กรรมการทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในขณะที่ปรางค์ทิพย์ยืนมองอย่างแค้นใจ
“คุณยายทำแบบนี้ เท่ากับไม่เห็นหัวเราเลย มันน่าแค้นใจจริงๆ”
ปรางค์ทิพย์เดินเชิดผ่านหน้าประภัสสรไป ประภัสสรมองตามอย่างไม่สบายใจ
ปรงทองนั่งเซ็นเอกสารอยู่ในห้อง โดยมีแม้นวาดยืนอยู่ใกล้ๆ
“ชั้นตัดสินใจแบบนี้ เธอคิดว่าจะมีปัญหามั้ย ยายวาด” ปรงทองถาม
แม้นวาดยิ้ม “คุณหญิงทำถูกต้องดีแล้วค่ะ แต่ว่า..คงมีคนไม่เห็นด้วยแน่นอน”
“ใครกัน ที่จะไม่เห็นด้วย”
ปรงทองมองแม้นวาด แม้นวาดยิ้มแต่ไม่ตอบ
“ยายวาด หล่อนนี่ชอบทำอมพะนำ ตั้งแต่สาวยันแก่ ไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“ประเดี๋ยวคุณหญิงก็ทราบเองแหละค่ะ”
ทันใดนั้นปรางค์ทิพย์ก็เปิดประตูพรวดเข้ามา ปรงทองกับแม้นวาดหันไปมองหน้ากัน
“คุณยายคะ ปรางค์มีเรื่องจะเรียนปรึกษา”
“อะไรหรือ ว่ามาสิ” ปรงทองถาม
ปรางค์ทิพย์ทำท่าจะพูดแล้วก็ชะงักหันไปมองหน้าแม้นวาด
“เอ่อ..จะให้ปรางค์พูดเรื่องครอบครัว ต่อหน้าคนนอก เห็นจะไม่เหมาะมั๊งคะ คุณยาย”
แม้นวาดชะงักมองหน้าปรางค์ทิพย์ ปรางค์ทิพย์ทำไม่รู้ไม่ชี้
“ดิชั้นขอตัวไปรอข้างนอกนะคะ คุณหญิง”
พูดจบแม้นวาดก็เดินออกไป ปรางค์ทิพย์มองตามอย่างเหยียดๆ
“ว่าธุระของเธอมาซิ...แม่ปรางค์” ปรงทองบอก
แม้นวาดเดินออกมาจากห้อง ปฐวีกับประภัสสรเดินเข้ามาหาแม้นวาด
“คุณย่าล่ะครับ ย่าแม้น” ปฐวีถาม
“อยู่ในห้องค่ะ กำลังคุยกับคุณปรางค์ทิพย์อยู่” แม้นวาดตอบ
“ตายจริง...พี่ปรางค์คงไม่พอใจแน่เลย เราจะทำยังไงดีล่ะวี” ประภัสสรกังวล
“ผมก็ไม่อยากยุ่ง เราเข้าไปคุยกับคุณย่าดีกว่า”
ทั้งสองคนรีบเข้าไปในห้อง แม้นวาดมองตามแล้วส่ายหน้า
“ไม่อยากจะเชื่อ คุณสรคุณวีออกจะแสนดี ต่างกับคุณปรางค์เหมือนฟ้ากับเหว”
ปรางค์ทิพย์กำลังพูดกับปรงทองอยู่ในห้อง
“จริงๆ ปรางค์ไม่อยากยุ่งหรอกนะคะ แต่การที่คุณย่าตั้งนายวีเป็นจัดการมรดกแถมยังควบกับประธานบริษัท ปรางค์ว่า...”
“ทำไม...มันเป็นยังไง” ปรงทองถาม
“คือ ตาวีเป็นหมอ มาข้องเกี่ยวเรื่องธุรกิจจะดูไม่ค่อยเหมาะสม สู้ให้คุณสรร สามีของปรางค์มาดูไม่ดีกว่าหรือคะ คุณสรรน่ะ ทำงานเกี่ยวกับเงินๆทองๆ น่าจะมีความชำนาญมากกว่าตาวีนะคะ คุณยาย”
“ใครมันจะกล้าว่า...” ปรงทองย้อนถาม
ปรงทองจ้องมอง แต่ปรางค์ทิพย์นิ่งไม่ตอบ
ทันใดนั้นปฐวีกับประภัสสรก็เดินเข้ามา
“ดีแล้ว เข้ามาให้พร้อมหน้า ชั้นจะได้พูดพร้อมๆกันเลย” ปรงทองบอก
ปฐวีกับประภัสสรเดินเข้ามานั่งเรียบร้อย
“เรื่องนี้ ผมอยากให้คุณย่าทบทวนอีกครั้ง” ปฐวีบอก
“แล้วเราล่ะแม่สร มีความเห็นว่ายังไง” ปรงทองถาม
“เอ่อสร... สรไม่ค่อยมีความรู้เรื่องธุรกิจหรอกค่ะ สรแล้วแต่คุณย่า”
ปรงทองมองหน้าหลานทุกคนก่อนจะพูด
“ที่ชั้น ยกให้ปฐวีดูแลทุกอย่าง เพราะตาวีได้พิสูจน์แล้วว่าเหมาะสม”
ปรางค์ทิพย์ถามทันที “เหมาะสมยังไงคะ”
“อย่าลืมสิ แม่ปรางค์ ชั้นเคยให้เงินเธอกับสามีไปลงทุนตั้ง 20 ล้าน ก็ไม่เห็นมันงอกเงยขึ้นมา มีแต่ยอดขาดทุนสะสม แต่โรงพยาบาลที่ตาวีบริหาร ตอนนี้มีชื่อเสียงขนาดไหน”
ปรางค์ทิพย์อึ้งเพราะเถียงไม่ออก
“แหม..คุณยายคะ ก็เศรษฐกิจมันไม่ดี ใครๆก็รู้อยู่” ปรางทิพย์แก้ตัว
“เอาเถอะ..แม่ปรางค์ เรื่องนั้นชั้นเข้าใจ แต่ว่า ชั้นน่ะ ยุติธรรมกับลูกหลานทุกคนเสมอกันนะ”
ปรางค์ทิพย์ประชด “ค่ะ เรื่องนั้นปรางค์ซาบซึ้งใจดี”
“เฮ้อ... ปฐวีจะดูแลให้ความยุติธรรมกับคนในตระกูลเราได้ทุกคน ใช่มั้ยเจ้าวี” ปรงทองถาม
“เอ่อ...ครับคุณย่า...ผมจะทำให้ดีที่สุด”
“ถ้าคุณยายตัดสินใจอย่างนั้น ปรางค์คงไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ปรางค์ขอตัวก่อนค่ะ”
ปรางค์ทิพย์ลุกขึ้นมองประภัสสรกับปฐวีอย่างแค้นๆ แล้วสะบัดหน้าเดินไป
“คุณย่าลำบากใจหรือเปล่าครับ” ปฐวีถาม
“เปล่าเลย ย่าสบายใจที่สุด แต่สำหรับเจ้าคงหนักหน่อยนะ” ปรงทองพูดกับประภัสสร “เจ้าก็เหมือนกัน ต้องช่วยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนเจ้าวีด้วย และที่สำคัญก็อย่าลืมคนในครอบครัวของเรา เราต้องรู้จักดูแลให้ดีก่อน”
ประภัสสรกับปฐวีรับคำ ปรงทองถอนหายใจอย่างเหนื่อยหนัก
ตันหยงกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในห้อง เธอเอาเสื้อทาบตัวไปเรื่อยๆ เพราะตั้งใจจะเลือกชุดที่สวยที่สุดสำหรับไปดินเนอร์กับพิราม
“ชุดไหนดีนะ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตันหยงหยิบขึ้นมาดูแล้วยิ้ม
“พิราม...”
พิรามกำลังคุยโทรศัพท์กับตันหยงอยู่ในห้องทำงาน
“กำลังทำอะไรอยู่ครับ...ผมคิดถึงหยงจังเลย”
“คุยโทรศัพท์น่ะสิคะ” ตันหยงตอบ
พิรามขำด้วยความเอ็นดู
ตันหยงถามต่อ “งานยุ่งมั้ยคะ”
“ยุ่งแค่ไหน ผมก็ต้องโทรหาคุณ”
พัดชาเดินถือแฟ้มเข้ามาในห้องพิรามด้วยสีหน้าไม่พอใจ เธอวางแฟ้มลงบนโต๊ะพิราม เสียงดังจนพิรามสะดุ้ง
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ ผมต้องเคลียร์งานก่อน แล้วจะรีบไปรับ”
พิรามกดวางสายแล้วมองหน้าพัดชา
“อะไรของคุณ”
“วันนี้เรานัดกันไม่ใช่หรือคะ” พัดชาย้อนถาม
“ตันหยงกลับมาแล้ว ผมต้องไปทานข้าวกับตันหยง ผมคิดว่าคุณจะเข้าใจว่าเราจบกันแล้ว”
“ไม่ได้ จบแค่นี้ไม่ได้ คุณคิดว่าพัดอยู่กับคุณเพราะต้องการคอนโด กับรถหรือคะ”
“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าตันหยงกลับมา ทุกอย่างเป็นอันจบกัน”
“ไม่ค่ะ พัดเปลี่ยนใจแล้ว วันนี้เรามีนัดกันที่คอนโดของพัด ถ้าคุณไม่ไป เรื่องนี้ถึงหูคุณตันหยงแน่นอน”
พัดชาสะบัดหน้าเดินออกไป พิรามโมโหจนลืมตัวจึงวิ่งตามออกไป
พัดชาเดินออกมาจากห้องทำงานของพิราม พิรามวิ่งตามออกมาคว้ามือพัดชาไว้
“เดี่ยวก่อน”
พัดชามองหน้าพิรามแล้วหันไปมองรอบตัว พิรามชะงักเมื่อเห็นคนในห้องมองอย่างสนใจเขาค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแขนพัดชา
“จะคุยกันที่นี่ หรือจะคุยกันส่วนตัว ก็แล้วแต่คุณนะคะ”
พัดชาเดินไป พิรามมองตามอย่างหงุดหงิด
ตันหยงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีบุหงาคอยดูแลและแต่งตัวให้ บุหงาสวมสร้อยคอให้ตันหยงแล้วถอยหลังออกมายืนดู
“ลูกแม่สวยมากนะจ๊ะ”
“ก็หยงลูกแม่นี่คะ”
“แม่ภูมิใจในตัวหนูจริงๆ สมกับที่พ่อกับแม่ไว้วางใจ ต่อไปพิรามก็จะรับหน้าที่ดูแลหนูแทนพ่อกับแม่แล้ว”
“แต่หยงก็ยังเป็นลูกสาวของคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ”
“แม่รู้ แต่พ่อกับแม่ก็แก่ตัวลงทุกวัน พ่อพิรามนั่นแหละจะคอยดูแลหนูตลอดไปไง”
ตันหยงกอดบุหงาไว้
“บางครั้งหยงก็นึกกลัวนะคะคุณแม่ หยงอยากให้พิรามรักหยง ดีกับหยงตลอดไป เหมือนอย่างที่คุณพ่อรักคุณแม่”
“เด็กโง่ แม่มั่นใจนะ ว่าพิรามก็คือผู้ชายคนนั้น คนที่จะทำให้หยงลูกแม่มีความสุขตลอดไป”
ตันหยงกอดบุหงาเอาไว้แล้วยิ้มอย่างปลื้มปริ่ม
ปรงแก้ว ปรงขวัญ และเมรินเล่นน้ำอยู่ในสระ โดยมีบุญศรีกับสายแก้วคอยดูแล ปรงแก้วปรงขวัญปาลูกบอลใส่กันแล้วก็หัวเราะคิกคัก เมรินถูกลูกบอลกระเด็นใส่แล้วก็ทำตาแดงๆ
“พี่แก้ว เมย์ไม่ชอบเล่นลูกบอลค่ะ” เมรินบอก
“คุณแก้วคุณขวัญ เล่นกับน้องเมย์เบาๆหน่อยสิคะ มาคุณเมย์ เล่นน้ำกับน้องเป็ดดีกว่าค่ะ ตรงริมๆนี่แหละ” สายแก้วชวน
“แหม...จะวิตกไปถึงไหน เล่นกับคุณแก้วคุณขวัญจะเสียหายอะไร คุณๆ ของชั้นก็ หลานคุณท่านเหมือนกันนะยะ” บุญศรีว่า
“โธ่พี่ศรี คุณเมย์น่ะไม่ค่อยแข็งแรง คุณแก้วคุณขวัญเล่นแรง คุณเมย์ก็แย่น่ะสิพี่”
“เด็กจะแรงได้แค่ไหนเชียว อย่าเวอร์เข้าข้างนายนักเลยน่า นังสายแก้ว” บุญศรีหันไปพูดกับปรงแก้วและปรงขวัญ “เอาเลยค่ะคุณแก้วคุณขวัญเล่นเต็มที่ ออกกำลังกายจะได้โตไวๆ แข็งแรง”
บุญศรีเชิดใส่สายแก้ว สายแก้วพยายามข่มใจไว้
ปรางค์ทิพย์กับประภัสสรกำลังนั่งดูเด็กๆอยู่ที่ริมสระอีกด้านหนึ่ง ประภัสสรมองเมรินด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องเป็นห่วงนักหรอก พี่เลี้ยงก็ยืนดูอยู่ชิดขนาดนั้น” ปรางทิพย์แขวะ
“น้องเมแกไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ สรเกรงว่า...”
“เกรงอะไร เด็กๆต้องปล่อยมันบ้าง มันจะได้มีภูมิคุ้มกัน”
ประภัสสรเงียบ
“ว่าแต่ผัวหล่อนเถอะ หายหัวไปไหน ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย อ๊ะ...หรือว่า จะไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย”
ประภัสสรอึ้งและทำหน้าไม่ถูก
“เรื่องนี้สรก็ไม่ทราบ”
“อะไรกัน....ผัวทั้งคนเอาไม่อยู่ ดูอย่างคุณสรร พี่เขยเธอสิ กลับบ้านตรงเวลาเป๊ะ ไม่มีวอกแวก แต่อย่างว่าแหละลูกผัวดีแค่ไหน ทำตัวดียังไง คุณย่าก็ยังไม่สนใจใยดี”
“โธ่คุณพี่คะ อย่าพูดแบบนั้นเลย”
“ก็มันเรื่องจริงไม่ใช่หรือ ดูอย่างลูกพี่สองคนสิ แม่แก้วแม่ขวัญ เรียนก็เก่ง กิจกรรมก็เด่น ยังสู้ยัยเมย์ไม่ได้ คุณย่าไม่เคยคิดจะเหลียวแล เอะอะอะไรก็เรียกแต่ยายเมย์”
“ไม่จริงหรอกค่ะ พี่ปราง คุณย่าคงเห็นว่ายายเมย์อ่อนแอ เลยเป็นห่วงก็แค่นั้นเอง”
ประภัสสรอึดอัดจึงลุกขึ้นไปดูเมริน ปรางค์ทิพย์ไม่ยอมแพ้จึงเดินตามไปที่ข้างสระ
ปรงแก้วปรงขวัญพยายามจะดึงมือเมรินให้ไปว่ายน้ำด้วย
“ไปว่ายน้ำแข่งกัน นะเมย์” ปรงแก้วบอก
“เมย์ไม่อยากไป เมย์อยากขึ้นแล้ว”
ประภัสสรกับปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาพอดี
“อะไรกันลูกแก้วลูกขวัญ แล้วนี่ยัยเมย์ เบะทำไม ทำตัวเป็นเด็กขี้แยไปได้”
“แก้วชวนเมย์ไปว่ายน้ำแข่งกันค่ะ แค่นี้เมย์ก็เบะและ” ปรงแก้วบอก
“หนูไม่อยากว่ายน้ำหรือคะ น้องเมย์” ประภัสสรถาม
“คุณแม่ เมย์ไม่อยากว่ายน้ำแข่ง” เมรินบอก
“โถ...ขี้ขลาดกลัวแพ้ก็ไม่ว่า แม่สร นี่หล่อนเลี้ยงลูกยังไง ไม่กล้าแข่งกลัวแพ้ สงสัยได้พ่อมันมา”
“วันนี้พอแค่นี้ดีกว่านะคะ หนูแก้วหนูขวัญ ไว้วันหน้าค่อยเล่นใหม่” ประภัสสรตัดบท
“นี่แม่สร ขืนเธอเลี้ยงลูกอย่างนี้มีหวัง ทำอะไรก็ไม่มีวันสำเร็จ ไม่ต้องเลย ให้มันแข่งกันว่ายน้ำดูซิว่ายน้ำแค่นี้จะตายหรือเปล่า”
“แต่คุณปรางค์คะ...คุณเมย์” สายแก้วขัดขึ้น
ปรางทิพย์ถลึงตาใส่ “หล่อนไม่ต้องมายุ่งเรื่องของเจ้านาย...ไปสิ ยายเมย์ว่ายไปฝั่งโน้น ดูซิว่ามันจะถึงตายมั้ย ยายสร เธออย่าเข้าข้างลูกนะ”
เมรินมองหน้าแม่แล้วก็จำใจว่ายน้ำแข่งกับปรงแก้วและปรงขวัญ
ปรงแก้วกับปรงขวัญว่ายมาถึงฝั่งก่อน เมรินว่ายมาถึงฝั่งอย่างทุลักทุเล สายแก้วรีบวิ่งเอาผ้าเช็ดตัวไปรับตัวเมรินขึ้นมา ปรางค์ทิพย์มองเมรินด้วยความสะใจ
“เห็นมั้ย ลูกเธอมันอ่อนแอ ไม่ได้เรื่องเหมือนพ่อมันนั่นแหละ ไปลูกแก้วลูกขวัญ กลับไปทานของว่างที่บ้านดีกว่า”
“คุณๆของศรี เก๊ง..เก่ง ไปค่ะ กลับบ้านกันดีกว่า” บุญศรีประจบ
ปรางค์ทิพย์กับลูกทั้งสองพร้อมด้วยบุญศรีเดินกลับไปอย่างผู้ชนะ
“คุณแม่ขา เมย์หนาว” เมรินบอก
ประภัสสรกอดเมรินไว้
“แม่ขอโทษนะคะลูก แม่ไม่ได้เรื่องเลย”
“คุณสรไม่ผิดหรอกค่ะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคุณปรางค์นั่นแหละ บังคับให้น้องเมย์แข่งว่ายน้ำ ใจร้าย โถ คุณเมย์”
เมรินหนาวจนปากสั่นอยู่ในอ้อมกอดของประภัสสร
ครู่ต่อมาเมรินที่กำลังไข้ขึ้น นอนขดตัวอยู่บนเตียง สายแก้วถือขวดนมเข้ามาในห้อง
“คุณเมย์ขา มาดื่มนมก่อนค่ะ อ้าว..เป็นอะไรไปคะ ทำไมนอนขดแบบนี้”
สายแก้วเอื้อมมือไปแตะตัวเมรินแล้วก็สะดุ้ง
“ตายจริง ตัวร้อนจี๋เลย”
“พี่สายแก้วจ๋า เมย์ปวดหัวจังเลย หัวจะแตกอยู่แล้ว”
สายแก้วลนลาน “ตายแล้วทำไงดี คุณเมย์รอพี่สายแก้วแป๊บนึงนะคะ”
สายแก้ววิ่งลนลานออกไปจากห้อง เมรินนอนทุรนทุรายเพราะพิษไข้
ประภัสสรนั่งรอเมธีอยู่ที่โต๊ะอาหาร เมธีเดินเข้ามาพอเห็นประภัสสรเขาก็ชะงัก
“กลับมาแล้วหรือคะ งานคงยุ่งถึงได้กลับเอาป่านนี้” ประภัสสรถาม
เมธีแอบถอนหายใจ “ครับ มีปัญหาที่ไซด์งานนิดหน่อย แต่ตอนนี้แก้เรียบร้อยแล้ว”
“หรือคะ ทานข้าวมาแล้วหรือยัง ถ้าทานมาแล้ว ชั้นจะได้สั่งให้เค้าเก็บโต๊ะไม่ต้องรอ”
“คุณสร นี่คุณเป็นอะไรไป ผมกลับมาเหนื่อยๆ ใจคอคุณจะทะเลาะกับผมอย่างเดียวเลยหรือ”
ประภัสสรหันขวับไปมองเมธีแล้วจะเถียง แต่สายแก้ววิ่งเข้ามาเสียก่อน
“คุณผู้หญิงขา” สายแก้วชะงัก “คุณผู้ชาย”
“อะไรกัน สายแก้ว”
“คุณเมย์ค่ะ คุณเมย์ ตัวร้อนเป็นไฟเชียว”
ประภัสสรกับเมธีหันไปมองข้างบน
“ยายเมย์”
แล้วทั้งสองก็รีบขึ้นไปข้างบนทันที สายแก้วรีบวิ่งออกไปตามปฐวี
เมรินนอนห่มผ้าเรียบร้อย โดยมีปฐวีนั่งอยู่ข้างเตียง ประภัสสรกับเมธีมองอย่างเป็นห่วง
“ต้องทานยาก่อนนะ” ปฐวีบอก
ปฐวีพยักหน้าให้สายแก้วเอายาให้เมรินกิน เมรินทำท่าอิดออด
“ถ้าไม่ทานยา คงต้องฉีดแทนดีมั้ย น้องเมย์เลือกเอาเลย จะเอาเข็มขนาดไหน น้าวีมีทุกขนาดเลย”
“ไม่เอาค่ะ เมย์กลัว เมย์ทานยาเองดีกว่า”
เมรินรับยามาจากสายแก้วแล้วก็พยายามกลืนอย่างยากเย็นแต่สุดท้ายก็สำเร็จ
“เยี่ยมมาก คนเก่งของน้า นอนพักเดี๋ยวๆก็หายแล้ว แต่น้องเมย์ต้องสัญญากับน้าว่า จะไม่เล่นน้ำอีกจนกว่าจะหายนะครับ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปฐวีกดรับ
นาวินที่กำลังขับรถคุยโทรศัพท์จากบลูธูทในรถ
“ไอ้วี ออกมาหรือยัง อย่าเบี้ยวนะโว๊ย ไม่อย่างงั้นชั้นบุกไปถึงบ้านนายแน่”
“เออน่ารู้แล้ว ไม่ต้องห่วงไปแน่ ขอดูหลานแป๊บนึง”
ปฐวีกดวางสายไป
“น้าวีขา น้าวีจะไปไหนคะ” เมรินถาม
“น้องเมย์ครับ น้าวีมีธุระนะลูก อยู่กับคุณพ่อนะ”
“วีไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง” ประภัสสรบอก
“งั้นน้าวีไปก่อนนะครับ แล้วน้องเมย์หาย น้าวีจะพาน้องเมย์ไปทานไอศกรีมของโปรด ตกลงมั้ย”
เมรินคิด
“แถมตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ๆอีก ตัวนึงด้วยก็ได้”
“น้องเมย์อยากได้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่” เมรินยื่นมือให้ปฐวี
ปฐวีจูบหน้าผากเมริน เมรินหลับตาพริ้ม เมธีเห็นแล้วก็รู้สึกเสียใจ
“ผมไปก่อนนะครับพี่สร พี่เมธี”
“ขอบใจมากนะวี” เมธีบอก
ปฐวีเดินไป ประภัสสรหันไปมองหน้าเมธีแล้วเมิน
“คุณจะทำอะไรก็ไปเถอะ ชั้นจะดูยายเมย์เอง”
เมธีเสียใจ “ภัส..”
“ไปสิคะ ลูกคนเดียว ชั้นดูได้”
เมธีชะงักมองหน้าประภัสสรแล้วเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด เมรินแอบมองพ่อกับแม่แล้วเศร้า เธอรีบหลับตาซุกหน้าลงกับหมอนทันที
ตันหยงนั่งรออยู่ในห้องรับแขกโดยมีกล่องของขวัญวางไว้ใกล้ตัว พินิจกับบุหงาเดินลงมาในชุดพร้อมออกงาน
“อ้าว พิรามยังไม่มารับอีกหรือลูก” พินิจถาม
“ยังค่ะ รถคงจะติด” ตันหยงตอบ
“งั้นหรือ ให้แม่รอเป็นเพื่อนมั้ยจ๊ะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ อีกสักครู่คงจะมา คุณพ่อคุณแม่ไปงานเถอะ ไม่ต้องห่วงหยงหรอก”
พินิจกับบุหงามองหน้ากันแล้วมีท่าทางลังเล
พินิจลังเล “เอางั้นนะ งานนี้สำคัญซะด้วยสิ”
“พิรามไม่ใช่คนเหลวไหล รถคงติด เดี๋ยวก็คงมาแหละลูก”
พินิจมองนาฬิกา “เราก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ให้ท่านรัฐมนตรีรอคงไม่ดีแน่”
“งั้นแม่กับพ่อไปก่อนนะจ๊ะหยง เที่ยวให้สนุกล่ะ”
บุหงากับพินิจเดินจากไป ตันหยงนั่งรอ สักพักเธอก็หยิบโทรศัพท์มากดหาพิราม แต่ไม่ติด
“ทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วยนะ”
ตันหยงเริ่มเครียด เธอกดโทรศัพท์อีกครั้งต่อไปที่บ้านของพิราม
เสียงคนรับใช้รับสาย “บ้านเดชาประดิษฐ์ค่ะ”
“นี่ตันหยงพูดนะคะ คุณพิรามอยู่มั้ย”
พิรามนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องของพัดชาที่คอนโด พัดชาที่ใส่ชุดคลุมพยายามเอาอกเอาใจพิราม แต่พิรามสะบัดหนี พัดชาหน้าเสีย
“คุณต้องการอะไรก็ว่ามา เรื่องมันจะได้จบซะที”
“ชั้นไม่ต้องการอะไรนอกจากตัวคุณเท่านั้น”
“เราตกลงกันแล้วนะ ถ้าตันหยงกลับมา ทุกอย่างเป็นอันจบ”
“สองปีที่ผ่านมา ไม่มีความหมายอะไรกับคุณบ้างหรือคะ คุณพิราม”
“พัดชา ผมขอร้อง อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตไปกว่านี้เลย ผมกำลังจะแต่งงานกับตันหยง”
พัดชาตะลึง “แล้วพัดล่ะ คุณจะเอาพัดไปทิ้งไว้ที่ไหน”
พิรามหงุดหงิด เขาลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป แต่พัดชาขวางไว้
“คุณจะไปไหน คุณจะทิ้งพัดง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะคะ พัดรักคุณ”
“พอเถอะ พัดชา ผมขอร้อง ไว้อารมณ์ดีกว่านี้ เราค่อยพูดกันดีกว่า”
พิรามเดินออกไป พัดชารีบวิ่งตาม
ตันหยงกำลังขับรถโดยที่หน้ารถมีจีพีเอสส่งเสียงบอกทาง
“เลี้ยวซ้าย”
ตันหยงเลี้ยวซ้าย เธอเห็นป้ายชื่อคอนโดของพัดชา
“เจอแล้ว”
ตันหยงเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าคอนโดทันที
ตันหยงลงจากรถแล้วมองหน้าคอนโดอย่างงงๆ
“พิรามซื้อคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่”
ตันหยงเดินไปที่หน้าประตู พอถึงหน้าประตูตันหยงก็ชะงักเพราะประตูเป็นคีย์การ์ด
“แล้วจะเข้ายังไงกันล่ะนี่”
พิรามเดินดิ่งลงมาเปิดประตู เขาเห็นตันหยงกำลังยืนอยู่ก็ถึงกับตะลึง
ตันหยงหันมาเห็นพิราม “พิราม”
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” พิรามถาม
“หยงรอคุณตั้งนาน โทรหาคุณก็ปิดโทรศัพท์ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะทำไมคุณต้องปิดโทรศัพท์ด้วย”
พิรามร้อนรน เขาพยายามจะดึงมือตันหยงไปขึ้นรถ
“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”
“ทำไมคะ นี่คอนโดของคุณไม่ใช่หรือ”
เสียงพัดชาดังขึ้น “คุณตันหยง...แหม...ดีใจจังเลย ที่ได้พบกัน”
ตันหยงหันมาเห็นพัดชาในชุดคลุมก็ตกตะลึง
“คุณพัดชา นี่มันอะไรกัน” ตันหยงถามกับพิราม “นี่มันอะไรกันคะ พิราม”
พิรามอึ้งและพูดไม่ออก
“บอกคุณตันหยงไปสิคะ พิราม เราสองคนเป็นอะไรกัน ถ้าคุณไม่กล้าพูด พัดพูดเอง ชั้นเป็นภรรยาของพิราม...”
ตันหยงตะลึง เธอมองหน้าพิรามอย่างเจ็บช้ำ
“ไม่จริง..... ไม่จริงใช่มั้ยคะพิราม”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น..ผม”
พิรามพูดไม่ออก ตันหยงน้ำตาร่วง
“บอกไปสิคะ ว่าผู้หญิงอย่างคุณตันหยงน่ะหัวโบราณ หวงเนื้อหวงตัวกับคู่หมั้น ผู้ชายที่ไหนจะทนอยู่ได้ตั้งเป็นสองปี บอกสิคะที่ผ่านมา เราลึกซึ้งกันแค่ไหน”
“พิราม คุณทรยศกับความซื่อสัตย์ของหยง”
ตันหยงถอดแหวนออกจากนิ้วแล้วขว้างใส่พิรามก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถทันที
“หยงอย่าไป ฟังผมก่อน”
พิรามจะตามตันหยงไป แต่พัดชารีบดึงไว้
“ปล่อยผม”
“พัดไม่ปล่อย เอาสิ ถ้าคุณไป พัดจะประกาศให้ทั้งโลกรู้ ว่าคุณทิ้งพัดคุณเห็นพัดเป็นของเล่น ดูซิคุณจะยังมีหน้ายืนอยู่ในสังคมนี้ได้อีกหรือเปล่า”
“คุณไม่กล้าหรอก”
“ก็ลองดู พัดไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว”
พิรามกับพัดชาจ้องหน้าสู้ตากัน พัดชาเอาจริง พิรามโกรธมาก
ติดตาม "พรพรหมอลเวง"ตอนที่ 2