พรพรหมอลเวง ตอนที่ 3
ขณะที่ประภัสสรนั่งทำงานเกี่ยวกับมูลนิธิอยู่ในห้องทำงานบริเวณชั้นล่าง เมธีเดินเข้ามาในบ้าน เด็กรับใช้รีบมารับกระเป๋าของเขาไป
“คุณภัสกับน้องเมย์ล่ะ” เมธีถาม
“คุณภัสนั่งทำงานอยู่ค่ะ คุณเมย์อยู่บนห้องกับพี่สายแก้วค่ะ”
ประภัสสรเดินออกมาพอดี
“ภัสครับ น้องเมย์เป็นยังไงบ้าง” เมธีถาม
“ทำไมวันนี้คุณกลับเร็ว งานเสร็จแล้วหรือคะ” ประภัสสรถามกลับ
“ยังหรอก แต่ผมอยากรีบกลับ วันนี้น้องเมย์กลับบ้านมาวันแรกผมอยากอยู่กับลูก”
“ขอบคุณนะคะ”
เมธีขยับจะจับมือประภัสสร แต่ประภัสสรดึงมือออกเบาๆ
สายแก้วพาเมรินเดินลงมาจากบันได เมธีรีบกางแขนรอเมริน
“มาเร็วเข้า มาให้พ่อกอดให้ชื่นใจเลย”
ตันหยงในร่างเมรินมองเมธีนิ่งไม่ยอมมาหา เมธีมองเมรินงงๆ ประภัสสรรีบแก้ไขสถานการณ์
“มาค่ะ น้องเมย์มาหาแม่”
ตันหยงค่อยเดินมาหาประภัสสร ประภัสสรรวบตัวเมรินมากอดไว้
“สวัสดีคุณพ่อหรือยังคะ” ประภัสสรบอก
ตันหยงค่อยๆเดินไปไหว้เมธีอย่างห่างเหิน เมธีรวบตัวเมรินมากอดไว้
“น้องเมย์ลูกพ่อ หอมที คิดถึงจังเลย”
ตันหยงทำหน้าอึดอัด
“เป็นอะไร ไม่อยากให้พ่อกอดเหรอ”
“เอ่อ..คือ.. เมย์อาบน้ำแล้วค่ะ”
“นี่แสดงว่า พ่อเหม็นใช่มั้ย” เมธีถาม
“เปล่าค่ะ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”
เมธีขยี้หัวเมรินอย่างเอ็นดู “ร้ายขึ้นทุกวันนะเรา”
“คุณไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่าค่ะจะได้ทานข้าวพร้อมๆกัน” ประภัสสรพูดกับสายแก้ว “สายแก้วไปจัดโต๊ะอาหารนะจ๊ะ”
“รอแป๊บนึงนะ สาวน้อยของพ่อ”
เมธีจับมือเมรินแล้วจูบพร้อมทั้งส่งสายตาให้ประภัสสร ประภัสสรหลบตา เมธีเดินไป
บุญศรีกำลังยืนรอป้าแก้วจัดสำรับอาหารสำหรับบ้านปรางค์ทิพย์ สายแก้วเดินยิ้มหน้าบานเข้ามา
“แม่จัดอาหารว่างให้บ้านคุณภัสก่อนเร็วเข้า” สายแก้วพูด
“อะไรกัน แม่สายแก้ว มันต้องตามคิวสิ” บุญศรีว่า
“งั้น ชั้นจัดการเองก็ได้”
สายแก้วเลี่ยงไปตักกับข้าว บุญศรีมองตาม
“จะรีบไปไหน รอไม่ได้เลยหรือ นังสายแก้ว”
“นั่นน่ะสิ วันนี้เอ็งเป็นอะไร ลุกลนพิกล” ป้าแก้วว่า
“วันนี้คุณเมธีกลับมาแล้วน่ะสิ จะนั่งทานกับน้องเมย์ด้วย” สายแก้วบอก
“จริงหรือ แหม...ฤกษ์ดีนะเนี่ย งั้นเอ็งเอาไปก่อนเลย”
ป้าแก้วส่งชุดที่จัดเสร็จแล้วให้สายแก้ว
“ชั้นไปนะแม่ เดี๋ยวคุณๆจะรอ”
สายแก้วยิ้มเยาะบุญศรีแล้วเดินไปทันที
“อย่างนี้ไม่ถูกนะป้า ใครมาก่อนได้ก่อน” บุญศรีว่า
“จะรีบไปทำไม ก็แค่ใส่จานก็เสร็จแล้ว” ป้าแก้วบอก
“ก็ได้ก็ได้ เดี๋ยวชั้นมาเอาแล้วกัน”
บุญศรีเดินไป ป้าแก้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แหม..อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ คุณภัสคงมีความสุขนะ”
ปรางค์ทิพย์กำลังกวดขันให้ลูกทั้งสองทำการบ้าน
“ตั้งใจหน่อยสิ มัวแต่ใจลอยอยู่ได้”
“คุณแม่ขา เมย์กลับมาหรือยังคะ แก้วอยากเล่นกับน้องเมย์” ปรงแก้วถาม
“เมย์โชคดีจังเลยพี่แก้ว ไม่ต้องไปโรงเรียนด้วย ไม่ไปโรงเรียนก็ไม่ต้องทำการบ้าน” ปรงขวัญว่า
“นังลูกโง่ คิดถึงมันทำไม มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ ที่ไม่อยากไปโรงเรียน อยากเป็นขอทาน หรืออยากเป็นควายไถนาก็เลือกเอา”
ปรงแก้วกับปรงขวัญจ๋อย
บุญศรีเดินเข้ามา
“คุณปรางค์เจ้าขา”
“อ้าว ของว่างลูกชั้นล่ะ” ปรางค์ทิพย์ถาม
“โดนแซงคิวไปแล้วค่ะ คุณเมย์กับคุณเมธีกลับมาแล้วค่ะ”
“อะไร นังเมย์มันกลับมาแล้วหรือหนอย อีตาเมธีก็กลับมาบ้านแต่วัน อยากจะมาออเซาะเมียล่ะสิ”
ปรางค์ทิพย์ฉุน ผุดหน้าร้ายออกมา
ตันหยงมองทุกคนอย่างสังเกต ประภัสสรป้อนสาคูไส้หมูให้เธอ
“พอแล้วค่ะ” ตันหยงบอก
“ทานเยอะๆ สิลูก หนูตัวเล็กนิดเดียวเอง”
“ใช่แล้ว ทานน้อยนัก เดี๋ยวลมพัดหนูจะปลิวไปตามลมเลย ทีนี้แม่จะไปตามหาที่ไหนล่ะเนี่ย”
พูดจบเมธีก็ตักของว่างใส่จานให้ประภัสสรอีก ประภัสสรมองเมธี
“ขอบคุณค่ะ” ประภัสสรบอก
ตันหยงคิดในใจ “ก็เหมือนจะรักกันดีนะ”
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามา
“แหม..ทำอะไรกันจ๊ะ...อยู่กันพร้อมหน้าเชียวนะ”
“พี่ปรางค์ มาทานของว่างด้วยกันมั้ยคะ” ประภัสสรชวน
เมธีเมินหน้าหนี ปรางค์ทิพย์หงุดหงิดที่เมรินสังเกตเธอตลอดเวลา
“ไม่หรอกจ๊ะ” ปรางค์ทิพย์ปัด
ประภัสสรแอบมองหน้าเมธี เมธีนิ่งเงียบ
ปรางค์ทิพย์พูดกับเมริน “ไงล่ะเรา เห็นป้าเห็นเชื้อนี่ไม่ต้องไหว้แล้วหรือ เออเด็กสมัยนี้ทำไมมันไม่มีมารยาทเลย แม่เราก็เชื้อสายดีนี่ ไม่รู้ว่าไปติดใครมา” ปรางค์ทิพย์มองเมธี
เมธีเมินหน้าหนี ประภัสสรรีบกลบเกลื่อน
“น้องเมย์ จำคุณป้าปรางค์ไม่ได้หรือคะ สวัสดีก่อนสิคะ”
ตันหยงคิดในใจ “โชคร้ายนะเนี่ย มีป้าแบบนี้”
ตันหยงยกมือไหว้ปรางค์ทิพย์
“นี่ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องหรอกนะ ไงล่ะ เมธี วันนี้ว่างเหรอ ปรกติเห็นทำตัวเป็นงานยุ่ง”
เมธีเงียบไม่ตอบ
“แหม...แม่ภัสเธอนี่ก็หน้าบาน สองวันก่อนยังกินน้ำตาต่างข้าวอยู่เลย เชอะ พวกเจ็บแล้วไม่จำ”
เมธีชะงัก “คุณปรางค์พูดเรื่องอะไรครับ ใครเจ็บแล้วไม่จำ”
“ชั้นก็พูดเรื่อยไปแหละ ใครคิดคนนั้นก็รับไปสิ”
เมธีมองหน้าประภัสสร ประภัสสรมองเหมือนขอร้อง เมธีถอนหายใจยาว
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปรางค์ทิพย์มองเมริน ตันหยงขยับตัวอย่างอึดอัด
“ไปกับพ่อนะครับน้องเมย์” เมธีชวน
เมธีอุ้มเมรินเดินออกไปทันที ประภัสสรมองตามไปอย่างหนักใจ
“ดู๊..ดูมันทำ ทั้งพ่อทั้งลูก ไม่ได้เห็นหัวชั้นเลย”
“พี่ปรางค์คะ เมธีเค้าคงเหนื่อยน่ะคะ ช่วงนี้งานเค้ายุ่ง” ประภัสสรบอก
“งานยุ่งไม่ได้เป็นข้ออ้างจะทำตัวไร้มารยาทหรอกนะ แสดงว่าเค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับหล่อนเลย”
ประภัสสรนิ่งเพราะพูดไม่ออก ปรางค์ทิพย์ย้ำ
“ถ้าเธอไม่ใช่น้องชั้น ชั้นจะไม่เตือนเลย นายนี่น่ะร้ายนัก เธอไม่ทันเค้าหรอก อย่าไปเชื่อผัวนักเลย งานยุ่งหรือว่ายุ่งเรื่องอื่นกันแน่ สมัยนี้สาวๆน่ะใจถึง อายุอย่างเราๆน่ะจะไปสู้ได้ยังไง ระวังไว้เถอะ ผัวแกจะว่าได้ว่าโง่”
ประภัสสรอึ้ง ปรางค์ทิพย์ยิ้มร้าย
เมธียืนหน้าเครียด ตันหยงยืนมองเมธีอย่างสังเกต
“คุณเมธีนี่น่าสงสารเหมือนกันนะ” ตันหยงคิด
เมธีทุบโต๊ะอย่างแค้นใจ ตันหยงสะดุ้ง
“คุณพ่อเป็นอะไรคะ”
เมธีอึ้ง “ไม่เข้าใจว่าป้าปรางจะจงเกลียดจงชังอะไรพ่อนักหนาคนอย่างพ่อพยายามทำดีแค่ไหน ก็ไม่เคยดีพอ”
“อย่าคิดมากเลยนะคะ”
เมธีชะงักแล้วยิ้มเจื่อน
“ช่างมันเถอะลูก ไม่มีอะไรหรอก พ่อขอโทษนะ พ่อไม่น่าบ่นให้ลูกฟังเลย”
เมธีมองหน้าเมรินแล้วยิ้มอ่อนโยน
“รู้มั้ย ลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อ พ่อรักลูกมากที่สุด”
ตันหยงมองเมธีด้วยความสงสาร
“น้องเมย์ทราบค่ะ”
เมธีมองเข้าไปในบ้านแล้วถอนหายใจ
ตันหยงคิดแล้วถอนใจด้วยความสงสาร “คุณเมธีรักลูกสาวคนนี้มาก แต่ก็มีปัญหากับภรรยา สาเหตุใหญ่น่าจะมาจาก ป้าปรางอะไรนั่น เฮ่อ เราพอจะช่วยอะไรเค้าได้บ้างนะ”
ปรงแก้วปรงขวัญยังนั่งทำการบ้านกันอยู่ ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาด้วยความหงุดหงิด
“มันน่าเจ็บใจนักเชียว ไอ้กิ้งก่านั่นมันกล้าเชิดใส่ชั้น หนอยแน่ะ”
“คุณแม่ขา กิ้งก่าตัวไหน มันเชิดใส่แม่คะ” ปรงแก้วถาม
ปรางค์ทิพย์ตวาดแว้ด “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆไม่ต้องยุ่ง ทำการบ้านไป” ปรางค์ทิพย์หงุดหงิด “แล้วนี่พ่อแกกลับมาหรือยัง”
เสกสรรค์เดินลงมาจากข้างบนในชุดพร้อมออกไปสังสรรค์
“นี่คุณจะไปไหนอีก เพิ่งเข้าบ้านหยกๆ” ปรางค์ทิพย์ถาม
“อ๋อ ต้องไปงานวันเกิดท่านประธานน่ะ บอกตรงๆนะเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
“งั้นก็อยู่บ้านสิ จะไปทำไม”
“ง่ายอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ ตอนนี้ผมกำลังวิ่งเต้นตำแหน่งหัวหน้าภาคอยู่ ก็ต้องไปให้เห็นหน้าหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีโอกาส คงต้องเป็นผู้จัดการอยู่แบบนี้แหละ”
ปรางค์ทิพย์นิ่งคิดแล้วก็เริ่มอ่อน
“งั้นก็ได้ ไปให้เห็นหน้าซะหน่อย แล้วก็อย่ากลับดึกนักล่ะคุณ ชั้นขี้เกียจนั่งรอ”
“ไม่แน่ใจนะ กลับก่อนคงลำบาก ถ้าคุณง่วงก็นอนก่อนเถอะ ไม่ต้องรอผมหรอกนะ”
เสกสรรค์เดินไปจับหัวลูกสองคนแล้วเดินออกไป ปรางค์ทิพย์มองตามอย่างขัดใจ
“เจ็บใจจริงๆ งานก็หนักกลับก็ดึก แถมยังไม่ก้าวหน้าอีก ไม่ได้เรื่องเล๊ย...”
ปรางค์ทิพย์อารมณ์เสีย
ฝ่ายนาวินนั่งรออยู่หน้าห้องพักของตันหยงอย่างเบื่อๆ สุดนภาเปิดประตูออกมา นาวินรีบวิ่งไปตั้งต้นทำท่าเป็นเหมือนเพิ่งเดินมาจากที่อื่น พอเจอสุดนภา นาวินก็ทำเป็นบังเอิญเจอ
“อ้าว เยี่ยมเพื่อนเสร็จแล้วหรือ”
สุดนภาเซ็ง “ยัง จะไปทานข้าว”
สุดนภารีบเดินแยกออกมาทันที นาวินคว้าแขนสุดนภาไว้
“อะไรอีกล่ะ ชั้นหิวขนาดกินหัวคนได้เลย อย่าทำให้อารมณ์เสีย”
นาวินชะงักเพราะเห็นสุดนภาเอาจริง
“ผมก็หิวเหมือนกัน เอางี้ ไปทานพร้อมกัน”
สุดนภางง “มาไม้ไหนเนี่ย ไม่ต้องหรอก”
“เอาน่า ผมไม่ชอบนั่งทานข้าวคนเดียว อ๊ะหรือว่าคุณกลัวผม”
“คุณนี่มัน ชั้นไม่กลัว และชั้นก็ไม่ไปกับคุณ”
สุดนภาเดินหนี นาวินรีบมาขวาง
“นะ ถือว่าผมขอร้อง ทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย ผมเลี้ยงก็ได้ น่านะ ๆๆๆๆ”
“ไม่มีทาง” สุดนภาชี้ปากตัวเอง “ไม่ไป”
สุดนภานั่งกินอาหารด้วยความหิวจัด นาวินมองอย่างทึ่งๆ
“ผมเชื่อแล้วว่าคุณหิวจริง”
“ก็ไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เช้า รีบจนลืมกิน เข้าใจไม๊”
“โห คุณห่วงคนป่วยขนาดนี้ เพื่อนหรือแฟนน่ะ”
“เพื่อนสนิทย่ะ” สุดนภาเรียกบ๋อย “ขอไอศกรีม ชาเขียวทีนึงค่ะ” สุดนภาชะงัก “ไหนว่า คุณหิวไง ไม่เห็นทานอะไรเลย”
“ผมเห็นคุณกินแล้วอิ่มใจ”
“ว่าชั้นตะกละหรือ”
“เปล๊า แต่คุณทานน่าอร่อย เล่าเรื่องเพื่อนคุณต่อสิ ผมอยากรู้”
“เรื่องเพื่อนชั้นน่ะเหรอ”
สุดนภาเศร้าก่อนจะเล่าให้นาวินฟังคร่าวๆ
“เออ. แล้วคุณมาถามชั้นทำไมเนี่ย เราไม่ใช่เพื่อนกัน แถมยังไม่ชอบหน้ากันด้วย”
“เปล่านะ คุณคนเดียวนั่นแหละที่ไม่ชอบผม ผมน่ะพร้อมสมานฉันท์เราดีกันนะ” นาวินยื่นนิ้วก้อยให้
“ฝันไปเหอะ ขอบคุณนะที่เลี้ยง”
สุดนภาลุกขึ้นเดินไปทันที นาวินจะลุกตามแล้วนึกได้ว่ายังไม่ได้จ่ายเงิน
สุดนภาเดินไปห้องตันหยง นาวินเดินตาม
“คุณจะตามชั้นมาทำไมเนี่ย กลับไปหาเพื่อนคุณได้แล้ว”
“ผมก็อยากเข้าไปเยี่ยมเพื่อนคุณไง” นาวินบอก
“จะเยี่ยมทำไม คุณไม่รู้จักซะหน่อย”
“ก็ฟังคุณเล่าแล้วสงสาร อยากเข้าไปเยี่ยม”
“คุณนี่เพี้ยนจริงๆ”
“เอาน่า ผมจะได้ไปฝากฝังกับเจ้าวี ให้ช่วยดูแลเพื่อนคุณเป็นพิเศษไง”
“เพื่อนชั้นก็อยู่ห้องพิเศษอยู่แล้วล่ะย่ะ”
“ตกลงจะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ หรือจะให้ผมเข้าไป”
สุดนภาโมโห
“อย่านึกว่าเลี้ยงข้าวชั้น แล้วจะมาวุ่นวายกับชั้นได้นะ”
นาวินมองอย่างรำคาญ เขาผลักประตูแล้วเดินนำเข้าไป สุดนภาอ้าปากค้างแล้วโวยวาย
จริณทิพย์กำลังจัดของจะกลับบ้าน เธอเห็นแฟ้มของปฐวีวางไว้
“ตายจริง ลืมเอาแฟ้มหมอวีเข้าห้องประชุม”
นาวินเดินเข้ามา
“เจ้าวีผ่าตัดเสร็จหรือยังครับ”
“โอ๊ยเสร็จตั้งนานแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังประชุมต่อ”
“แล้วทำไมไม่บอกผมเนี่ย..โธ่”
“อ้าว คุณไม่ได้สั่งนี่คะ” จรินทิพย์ค้อน “ไหนว่าสนิทกันแนบแน่นไงคะ แล้วจะคุยเรื่องอะไรกับหมอวีคะ”
“เรื่องส่วนตัว และก็สำคัญมากฝากบอกเจ้าวีมันด้วย งั้นวันนี้ผมกลับก่อน”
นาวินเดินไป จริณทิพย์มองค้อน
“เรื่องส่วนตัว เชอะ... ถ้าชั้นสาวกว่านี้ซัก 10 ปีล่ะก็ คุณต้องเปลี่ยนใจแน่”
สองพยาบาลรัก-ยมเข้ามายืนมองนาวินเดินไป ก่อนจะรีบเข้ามาถามจริณทิพย์
“พี่ทิพย์ขา ผู้ชายคนนี้ใช่มั้ยคะ ที่ข่าวว่า เป็น เอ่อ” รสิกาอึกอัก
“เป็นอะไร”
“เป็น ....เพื่อนสนิทหมอวี” ยมนาบอก
“ใช่ แล้วยังไง”
ยมนาหันมองหน้ารสิกา “ข่าวลือเป็นจริง”
สองพยาบาลห่อเหี่ยว
“บ้า ชั้นขอรับรองว่าคุณหมอปฐวี แมนทั้งแท่งร้อยเปอร์เซ็นต์” จริณทิพย์บอก
“สมัยนี้ดูยากจะตายไป”
“แล้วหล่อนสองคนน่ะ เป็นอะไร ทำมาห่อเหี่ยว อย่างกับว่าหมอวี เค้าจะมองหล่อนสองคนอย่างงั้นแหล่ะ”
ทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง แล้วมองจริณทิพย์
“แล้วพี่ทิพย์ล่ะคะ” ยมนาถาม
“ฝันเป็นแม่นมของหมอปฐวีหรือคะ” รสิกาถามต่อ
จริณทิพย์โมโห “เดี๋ยวไปเจอกันที่ลานแอโรบิคของโรงพยาบาล จะได้รู้กันว่าอายุขนาดชั้นเนี่ย ยังอัพแอนด์ดาวน์ได้สบายมาก”
จริณทิพย์ทำท่าแอโรบิคโชว์ พยาบาลรัก - ยมทำท่าหวาดเสียว
“พอเถอะค่ะ เอาแฟ้มมาให้หนูดีกว่า เดี๋ยวคุณหมอวีจะรอ”
รสิกากับยมนาคว้าแฟ้มแล้วรีบไป พอลับตัวจริณทิพย์เหนื่อยหอบ
“บอกแล้วไง อย่าให้โมโห จะเป็นลมให้ดู๊..”
ปฐวีเดินกลับเข้าห้อง หนึ่งฤทัยเดินมาเรียก
“หมอวีคะ หนึ่งมีเรื่องจะปรึกษา”
“ได้ครับ เชิญครับ”
“คือคนไข้หนึ่ง จากอุบัติเหตุรถยนต์ สภาพร่างกายปกติทุกอย่าง แต่ไม่ฟื้น ทำเทสก็ไม่มีการตอบรับเลย ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้”
“ตรวจอย่างละเอียดแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ”
“ถ้างั้น พรุ่งนี้ผมขอดูแฟ้มประวัติหน่อยนะครับ เราอาจจะต้องมาวิเคราะห์หรือ ตรวจวิธีอื่นๆ กันใหม่”
หนึ่งฤทัยยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
จริณทิพย์เดินเข้ามา
“คุณนาวินกลับไปแล้วค่ะ ไม่ยอมบอกความลับ บอกว่าเรื่อง ส่วนตั๊ว ส่วนตัว ทิพย์ล่ะไม่เข้าใจจริงๆ” จรินทิพย์ค้อนปฐวี “มีอะไรที่ลับขนาดจริณทิพย์รู้ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติ”
หนึ่งฤทัยไม่เข้าใจ ปฐวีขำก๊าก จริณทิพย์ค้อนปฐวีแล้วเดินจากไป
พิรามคุยงานกับลูกค้าเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นจับมือกัน
“ถ้าตามนี้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร งั้นผมดำเนินการเลยนะครับ”
พัดชาเดินเข้ามายืน
“คุณพิรามทำงานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ สมกับเป็นคนหนุ่มไฟแรง” ลูกค้าชม
พัดชาหันมองพิรามอย่างปลื้มใจ พิรามลุกขึ้นจับมือยิ้มแย้มกับลูกค้า ลูกค้าเดินออกไป
“คุณเก่งจังเลยนะคะ ลูกค้าชื่นชมทุกราย”
พัดชาเกาะแขนพิรามอย่างปลาบปลื้ม พิรามทำเฉยชากับพัดชาแล้วเก็บของบนโต๊ะ
“ฝากจัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อย ผมจะออกไปธุระ”
“คุณมีธุระตอนนี้เนี่ยนะคะ”
พิรามไม่ตอบแล้วเดินออกไป
“จะไปหาคุณตันหยงใช่ไม๊คะ”
พิรามหยุดเดิน
“คุณไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบมากหรอกค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณคุณตันหยงวู่วามไปเอง”
พิรามหันกลับมามองหน้าพัดชา
“ยังไงผมก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น และผมอยากให้คุณเลิกยุ่งกับผมซะที ปล่อยผมไปเถอะ พัดชา”
พูดจบพิรามก็เดินออกไป พัดชาได้แต่อึ้งเพราะอายและโมโหมาก
หนึ่งฤทัยนั่งคุยกับปฐวีที่ร้านกาแฟ
“แล้วน้องเมย์เป็นยังไงบ้างคะ” หนึ่งฤทัยถาม
“เหลือความจำสับสนอีกนิดหน่อยครับ”
หนึ่งฤทัยพยักหน้า “อาการหลังอุบัติเหตุ”
“ครับ ก็คงต้องรออีกซักพัก เพราะกลับไปอยู่บ้านแล้ว คงเรียกความจำกลับมาได้”
หนึ่งฤทัยมองหน้าปฐวีแล้วยิ้ม ปฐวีมองอย่างสงสัย
“หนึ่งว่า วีคงหาแฟนยากแล้วล่ะค่ะ”
“ทำไมเหรอครับ”
“ก็มีลูกสาวคือน้องเมย์ไปแล้วนี่คะ”
ปฐวีหัวเราะ
“อาจจะจริงนะ ทุกวันนี้ในหัวผม ก็มีแต่น้องเมย์กับงาน จนไม่อยากคิดเรื่องอื่นแล้ว”
หนึ่งฤทัยจ๋อย
พิรามเดินมาหยุดยืนหน้าห้องพักของตันหยงแล้วตัดสินใจ เขานึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
“ผมขอโทษครับ” พิรามบอก
บุหงาร้องไห้จนพินิจต้องคอยปลอบ บุหงาส่ายหน้า
“แม่ผิดหวังในตัวพิรามจริงๆ ทำไมทำกับลูกแม่แบบนี้”
“ยังดี ที่กล้ายอมรับผิด แบบลูกผู้ชาย” พินิจบอก
“ผมขอโทษครับ คุณอา ผมยอมรับผิดทุกอย่าง”
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้นพิรามก็ไม่กล้าผลักเข้าห้อง เขาเดินถอยหลังออก
“ขอโทษนะครับ ผมไม่กล้าสู้หน้าคุณอาทั้งสองจริงๆ”
ประตูห้องของตันหยงเปิดออก พยาบาลรัก-ยมเดินออกมา
“แหม น่าสงสารนะ ยังสาวยังสวยอยู่แท้ๆ เวรกรรม” รสิกาบอก
“นั่นน่ะสิ สงสารคุณพ่อคุณแม่เค้าเนอะ” ยมนาพูด
รสิกาและยมนาเดินผ่านไป พิรามมองตามอย่างรู้สึกผิด หนึ่งฤทัยเดินออกมามองหน้าพิราม
“จะเข้าไปเยี่ยมไข้รึเปล่าคะ”
“คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ” พิรามถาม
“คุณ...คือ...”
“ผมเป็นคู่หมั้นคุณตันหยงครับ”
หนึ่งฤทัยส่งสายตาอบอุ่นให้แล้วพูดต่อ
“คุณตันหยงยังไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิมค่ะ หมอเสียใจด้วยนะคะแต่อย่าพึ่งหมดหวังนะคะ ทีมแพทย์ของโรงพยาบาล กำลังช่วยกันหาสาเหตุอยู่ค่ะ”
พิรามได้ยินว่าตันหยงไม่ฟื้นก็ถึงกับช็อค เขากล่าวขอบคุณหนึ่งฤทัยแล้วหันหลังเดินออกไปอย่างเร็ว หนึ่งฤทัยมองตามอย่างงงๆ ว่าทำไมเขาไม่เข้าห้อง
พิรามอยู่ที่ลานจอดรถ เขาพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองแต่ก็รู้สึกแย่มากจนต้องรีบกลับขึ้นมานั่งบนรถ เขารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของตนเอง
“ตันหยง ผมขอโทษ..ผมขอโทษจริงๆ...”
พิรามเสียใจอย่างแรง
ประภัสสรกับเมธีมาส่งเมรินเข้านอน
“ให้พ่ออ่านนิทานเล่มไหนดีคะ”
ตันหยงเบื่อๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องเมย์ง่วงแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ไปนอนเถอะ”
ประภัสสรกับเมธีมองหน้ากัน ประภัสสรหอมแก้มเมริน
“งั้นแม่ไปนอนนะคะ คนดีของแม่”
เมธีก้มลงจะหอมแก้มเมริน แต่ตันหยงดันออก เมธีมองหน้า ตันหยงนึกได้ก็รีบปล่อย
“ฝันดีนะคะ น้องเมย์” เมธีบอก
ตันหยงยิ้มแล้วรีบโบกมือให้ ทั้งสองเดินออกไป ตันหยงรีบเช็ดแก้มอย่างแรง
“โอ๊ย...จะหอมอะไรกันนักหนาเนี่ย”
สายแก้วหอบที่นอนมาวางที่หน้าเตียงพร้อมหนังสือสวดมนต์
“นอนนะคะน้องเมย์ขา พี่สายแก้วขอสวดมนต์ก่อน”
ตันหยงมองเบื่อๆ ก่อนจะชักผ้าห่มมาคลุมโปง สายแก้วปูที่นอนเสร็จก็จัดแจงสวดมนต์ ตันหยงเปิดผ้าห่มออกอย่างเซ็งๆ
ประภัสสรเดินเข้ามาในห้องนอน เมธีเดินตามเข้ามาแล้วทำท่าจะพูดกับประภัสสร
“คุณภัส คุณโกรธผมหรือเปล่า”
“โกรธหรือคะ คุณทำอะไรให้ภัทโกรธล่ะ”
“ผมอยากให้เราคุยกันดีๆ”
“ภัสพูดจาไม่ดีกับคุณหรือคะ”
ประภัสสรขึ้นเตียงนอนแล้วนอนห่มผ้าหันหลังให้เมธีทันที เมธีมองประภัสสรอย่างอ่อนใจ เขาขึ้นเตียงนอนแล้วหันมองประภัสสรก่อนจะถอนใจ เขาหันหลังให้ประภัสสรก่อนปิดไฟนอน ประภัสสรชำเลืองมองสามีที่นอนหันหลังให้ด้วยความเศร้า
ตันหยงนอนหลับตาแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมอง เธอชะโงกมองดูสายแก้วที่หน้าเตียง ตันหยงเห็นสายแก้วนอนกอดหนังสือสวดมนต์หลับสนิท ตันหยงค่อยๆย่องลุกขึ้นปีนลงจากเตียง มาเขี่ยสายแก้วให้แน่ใจว่าหลับสนิทจริงๆ แล้วตันหยงก็เปิดประตูออกไปนอกห้องอย่างเงียบสนิท
สายแก้วนอนหลับฝันดี
ร่างของตันหยงนอนอยู่บนเตียงในห้องพัก บุหงานั่งจับมือตันหยงอย่างเศร้าสร้อย พินิจปลอบ
“เรากลับบ้านไปพักผ่อนกันดีกว่า นั่งเฝ้าทั้งคืนแบบนี้ ร่างกายจะไม่ไหวนะ คุณ”
“คุณจำเมื่อเช้านี้ได้มั้ยคะ ที่หน้าโรงพยาบาลน่ะ ยายหนูคนนั้น....”
บุหงานึกถึงตอนที่เมรินตะโกนเรียกพ่อกับแม่แล้วก็เศร้า
“มันทำให้ชั้นนึกถึงตอนลูกยังเล็กแกร้องเรียกชั้นแบบนี้แหละ เสียงดังขนาดหยุดคนทั้งห้างมาแล้ว” บุหงายิ้มก่อนจะมองตันหยงแล้วร้องไห้ “ชั้นไม่อยากให้ลูกหลับแบบนี้เลย”
พินิจกอดให้กำลังใจภรรยา
ตันหยงค่อยๆ ย่องลงบันได เธอเห็นโทรศัพท์อยู่บนเคาเตอร์สูง ตันหยงรีบวิ่งไปเขย่งหยิบ แต่ก็ไม่ถึง ตันหยงหันมองรอบตัวแล้วไปลากเก้าอี้มาวาง ก่อนจะปีนขึ้นไปหยิบโทรศัพท์แล้วคิดหนัก ตันหยงหลับตาลงก่อนตัดสินใจลืมตา หายใจเข้าแล้วกดเบอร์โทร.ออก เมื่อได้ยินเสียงฮัลโหล ตันหยงก็ดีใจมาก
“คุณพ่อขา คุณแม่ขา”
ทันใดนั้นก็มีมือเอื้อมมาคว้าโทรศัพท์ออกไปจากมือเธอทันที ตันหยงตกใจมาก
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 3 (ต่อ)
ทางด้านพินิจงุนงง ดึงหูโทรศัพท์ออกมามอง บุหงาก็มองด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยปากถาม
“ใครโทร.มาเหรอคะ”
“เด็กคงโทรผิดเบอร์น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
พินิจหน้าตาเศร้าลง บุหงามองสามี แล้วมองลูกสาวที่นอนอยู่แล้วก็เศร้าลงไปอีก
ตันหยงหันมองปฐวีที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด
“น้องเมย์กำลังทำอะไรครับ” ปฐวีถาม
ตันหยงจ้องมองอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“เอาคืนมานะ”
ปฐวีเสียงดุ “น้องเมย์จะโทรเล่นแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
“ชั้นบอกให้เอาคืนมา”
“เกิดมันไปติดบ้านใครเข้ามันจะไม่ดี จะเป็นการรบกวนเค้านะแล้วดึกดื่นป่านนี้ ทำไมยังไม่นอน ลงมาข้างล่างคนเดียว ถ้าตกบันไดไปจะทำยังไง”
ตันหยงเสียใจที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะคุยโทรศัพท์กับพ่อและแม่
“...อย่ามายุ่งกับชั้น”
“น้องเมย์ ทำไมพูดจากับน้าวีไม่น่ารักเลย”
“คุณก็ฟังชั้นพูดบ้างสิ ให้ชั้นพูดบ้างได้ไม๊ล่ะ”
ปฐวีนิ่งเงียบรอฟังตันหยง
“น้องเมย์อยากพูดอะไร”
“เอาล่ะ ชั้นจะบอกคุณว่า ชั้น..ไม่ใช่น้องเมย์”
ปฐวีมองเมรินอย่างแปลกใจ
“น้องเมย์พูดอะไร ทำไมพูดแบบนี้”
“ก็ชั้นไม่ใช่น้องเมย์”
ปฐวีคิดกับตัวเอง “หรือความจำยังสับสนอยู่ สงสัยน้าวีต้องพาน้องเมย์ไปตรวจอย่างละเอียดอีกที”
ตันหยงได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดคำพูดออกมาแบบอัดอั้นตันใจเต็มที่
“จะมาตรวจอะไรชั้นอีก พอแล้ว! ชั้นคิดอยู่แล้วล่ะ พูดไปก็ไม่มีใครฟังพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ชั้นไม่ตรวจแล้ว และชั้นก็จะไม่พูดกับคุณแล้วด้วย”
พูดจบตันหยงก็เบะร้องไห้เพราะเสียใจอย่างรุนแรง
ปฐวีอึ้งมองเมรินแล้วดึงมากอดด้วยความสงสาร ปฐวีรู้สึกสับสนเพราะไม่เข้าใจเมริน
“น้องเมย์ น้องเมย์ของน้าวีเป็นอะไร”
ตันหยงนั่งเขี่ยอาหารโดยไม่ยอมกิน ทุกคนนั่งมองเมรินอย่างสังเกต
“ทำไมไม่ทานล่ะลูก ไม่อร่อยหรือ” ปรงทองถาม
ตันหยงไม่ตอบ ปฐวีสังเกตหลาน เมธีเอื้อมมือตักอาหารใส่จานเมริน
“นี่ไส้กรอกทอดของโปรดน้องเมย์ไงลูก” เมธีบอก
“ลูกทานเยอะๆนะคะ” ประภัสสรพูดกับปฐวี “เอ่อ วีจ๊ะ พี่อยากปรึกษาหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“พรุ่งนี้น้องเมย์จะเปิดเทอม ต้องไปโรงเรียน”
ตันหยงชะงักกึกแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ตันหยงคิดในใจ “โอย..ตาย แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ ชั้นยังจะต้องไปโรงเรียนอีกเหรอเนี่ย”
“วีว่า น้องเมย์พร้อมจะไปโรงเรียน ได้รึยังจ๊ะ” ประภัสสรถาม
ปฐวีมองหน้าเมรินนิ่ง ตันหยงส่ายหัวให้ช่วย ปฐวีคิดเรื่องเมื่อคืน
ปฐวียิ้มให้ทุกคนสบายใจ “ผมขอให้น้องเมย์พักรักษาตัวอีกหน่อยดีกว่าครับ”
ตันหยงถอนใจ ปฐวีพูดต่อ
“ผมยังไม่ค่อยวางใจ แต่พี่ภัสไม่ต้องกังกลนะครับ เหลือแค่ความจำสับสนนิดหน่อย”
ตันหยงมองหน้าปฐวีก่อนหันมองหน้าทุกคนแล้วตัดสินใจลองของ
ตันหยงมองหน้าปฐวี “แล้วถ้าไม่ใช่ความจำสับสนล่ะคะ แต่ถ้าเด็กคนนี้ ไม่ใช่น้องเมย์”
ทุกคนมองเมรินอย่างตกตะลึง
“น้องเมย์ พูดอะไรน่ะลูก” เมธีหันมองประภัสสรที่ตกใจอยู่ “ไม่ต้องกังวลนะภัส”
“ลูกภัส จะไม่กังวลได้ยังไงล่ะคะ” ประภัสสรหันไปพูดกับปฐวี “ลูกพี่ยังไม่หายใช่ไหมวี”
“เจ้าเมย์ จะพูดอะไรต้องคิดก่อน พูดแบบนี้ผู้ใหญ่ฟังแล้วไม่สบายใจนะลูก” ปรงทองว่า
ตันหยงมองปรงทองด้วยความอึดอัด
“หนูไม่ได้โกหกนะคะคุณหญิง” ตันหยงคิดในใจแล้วหันมองประภัสสรด้วยความสงสาร “ผู้หญิงคนนี้ ต้องรับความจริงไม่ได้แน่ๆ” ตันหยงตัดสินใจพูด
“ขอโทษค่ะ น้องเมย์..แค่จะล้อคุณแม่เล่น”
ปฐวีมองหลานแล้วส่ายหัวก่อนจะมองนาฬิกา
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
ปรงทองยิ้มให้ ปฐวีเดินออกไป
ตันหยงนึกได้ว่าอยากตามไปโรงพยาบาล เธอจึงหันมองปฐวีแล้วเรียกก่อนจะวิ่งตามไป
“เดี๋ยวก่อนค่ะ รอด้วย”
ประภัสสรกับเมธีลุกขึ้นตามไป
“น้องเมย์...”
ปฐวีหยุดเดินแล้วหันมามอง ตันหยงในร่างเมรินที่วิ่งมาหยุดยืนตรงหน้า
“ขอไปโรงพยาบาลด้วยคนได้ไม๊คะ น้องเมย์อยากไปที่โรงพยาบาลด้วย”
ปฐวีนั่งลง มองหลานสาว “ได้สิ....” ตันหยงดีใจ “แต่ไม่ใช่วันนี้”
ตันหยงปากคว่ำทันที
“น้องเมย์อย่ากวนน้าวีเลยนะคะ ให้น้าวีไปทำงาน น้าวีต้องไปดูแลคนไข้นะลูก” ประภัสสรบอก
“กลับไปทานข้าวกับคุณพ่อนะ” เมธีพูด
ปฐวีพูดกับหลาน “ขอเป็นวันพุธหน้าตามหมอนัดแล้วกันนะ วันนี้น้าวีมีเคสผ่าตัด”
ตันหยงบ่นด้วยเสียงอ่อนลง “แต่ชั้นอยากไปวันนี้”
“น้องเมย์คนเก่ง ไม่งอแงนะครับ เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นกังวล” เมธีบอก
เมรินเงยหน้ามองแม่แล้วก็สงบลง
“ขอโทษค่ะ”
ปฐวียิ้มให้แล้วจับจมูก
“น้าวีไปนะ”
พูดจบปฐวีก็หอมแก้มเมริน เมรินจ้องด้วยความโกรธ ปฐวีหัวเราะแล้วเดินไปขึ้นรถ
“ไปทานข้าวต่อนะคะน้องเมย์” ประภัสสรบอก
ตันหยงเช็ดแก้มแล้วมองประภัสสรก่อนจะเดินนำออกไป
ตันหยงเดินมามองปรงทอง ปรงทองมองตอบแล้วแซวหลาน
“เจ้าเมย์เอ๊ย ติดน้าวีขนาดนี้ พ่อเราจะน้อยใจเอานะลูก”
เมธียิ้ม หันมองพ่อ
“ทานข้าวก็ไม่เสร็จ มาทานต่อกับย่ามา มานั่งใกล้ๆ ย่านี่”
เมธีอุ้มลูกสาวขึ้นไปนั่งใกล้ๆคุณย่า
พ่อกับแม่มองเมรินอย่างเป็นห่วง ตันหยงแอบถอนหายใจ แล้วตัดสินใจตักข้าวต้มใส่ปาก แล้วกินต่อโดยไม่พูดไม่จา ทุกคนมองหน้ากันด้วยความงง ส่วนคุณย่าปลื้มใจ
“ดูสิ บทจะกินขึ้นมา ก็กินเอากินเอา กินเก่งกว่า เมื่อก่อนอีกนะ” ปรงทองว่า
ทุกคนยิ้มแย้มอย่างโล่งใจ
พิรามดูรูปตันหยงในคอมพิวเตอร์ด้วยความเศร้า เขากดดูรูปต่อไปซึ่งเป็นรูปคู่เขากับตันหยงสองคนกำลังยิ้มแย้มมีความสุข พิรามมองรูปแล้วยิ้มแล้วกดดูต่อ จนพัดชาเดินเข้ามา พิรามหยุดดู
“คุณเข้ามาทำไม” พิรามถาม
“พิรามคะ อย่าโกรธพัดเลยนะคะ พัดแค่ไม่อยากสูญเสียคุณไป”
“แต่ผมกำลังจะสูญเสียตันหยงไป .....เพราะเราเป็นต้นเหตุ ทำให้ตันหยงเป็นแบบนี้”
“อะไรๆก็ตันหยง สมแล้วล่ะ ใครใช้ให้เมาแล้วขับล่ะทำตัวเองนี่”
“คุณมันใจร้ายพัดชา เพราะคุณเป็นแบบนี้ คุณถึงไม่ได้ใจผม”
พัดชาโกรธ “คุณก็ไม่เคยให้ใจกับพัดอยู่แล้วล่ะ”
“ใช่..เพราะผมรักตันหยง.... พัดชา ผมจะเลื่อนคุณนุชขึ้นมาเป็นเลขา และให้คุณไปทำงานอีกแผนกหนึ่ง ขอให้คุณอย่ามายุ่งผมอีก... อย่าให้ผมต้องไล่คุณออก”
พิรามเดินออก พัดชาเรียกไว้แต่พิรามไม่หยุดเดิน
“เดี๋ยวคุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ คุณพิราม คุณไม่เคยแคร์พัดเลยใช่ไม๊ คุณไม่เคยรักพัดเลยใช่ไหม”
พิรามเดินออกไปจากห้อง พนักงานหน้าห้องเงยหน้ามองเพราะตกใจเสียงพัดชา พิรามเดินต่อไปอย่างไม่สนใจ
ตันหยงนั่งคิดอยู่ที่โถงด้านล่างแล้วก็นึกได้
“พี่สายแก้วคะ คือ.. น้องเมย์อยากออกไปนอกบ้าน เอ่อ..ไปบ้านเพื่อนค่ะ พี่สายแก้วพาน้องเมย์ออกไปหน่อยได้ไม๊คะ”
สายแก้วตกใจ “อุ๊ย.. ไม่ได้หรอกค่ะ พี่สายแก้วไม่กล้าหรอก คุณน้องเมย์ไปขอคุณแม่ดีกว่านะคะ”
ตันหยงถอนใจเพราะเบื่อ สายแก้วเลยชวนเธอเล่นตุ๊กตา
“คุณน้องเมย์เบื่อเหรอคะ พี่สายแก้วเล่นตุ๊กตาเป็นเพื่อนเอาไม๊คะ”
ตันหยงหันมองสายแก้วด้วยหางตาเพราะกลุ้มใจ
“เล่นตุ๊กตา”
สายแก้วพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ตันหยงส่ายหัวก่อนหันไปเห็นคอมพิวเตอร์ก็นึกได้
“พี่สายแก้วคะ งั้นพี่สายแก้วช่วยค้น หนังสือพิมพ์เก่าให้น้องเมย์หน่อยนะคะ ย้อนหลังไปซักอาทิตย์นึง เร็วๆ นะคะ”
“คุณน้องเมย์จะเอามาทำอะไรคะ”
“จะหาข่าวอุบัติเหตุค่ะ”
“ข่าวอุบัติเหตุ” สายแก้วอ้าปากค้าง
“น้องเมย์ล้อเล่นค่ะ น้องเมย์จะอ่านการ์ตูน น้าวีบอกให้หัดอ่านหนังสือพิมพ์ มีการ์ตูนสนุกๆ จะได้ฉลาด เป็นเคล็ดลับ อย่าบอกใครนะ”
สายแก้วพยักหน้างงๆ แล้วเดินออกไป
ตันหยงหันมองไปทางเครื่องคอมพิวเตอร์ คิดบางอย่างในใจ
บุญศรีกับเด็กรับใช้กำลังกินข้าวอยู่ในครัว บุญศรีคุยอวดเรื่องปรงแก้วกับปรงขวัญ เด็กรับใช้ที่ฟังเริ่มเบื่อ
“คุณแก้วคุณขวัญของชั้นนะฉลาดเหลือเกิ๊น สอบก็ได้ที่ 1 เรียนก็เก่ง หัวก็ไว ..”
สายแก้วเดินเกาหัวเข้ามา
“มีใครเห็นหนังสือพิมพ์เก่าบ้างมั้ย“ สายแก้วถาม
“แกทำเอาไปทำอะไร”
“คุณน้องเมย์อยากได้ จะอ่านหนังสือพิมพ์”
“คุณเมย์เนี่ยนะ จะอ่านหนังสือพิมพ์” บุญศรีถาม
“ใช่สิ .เพราะว่าเป็นเคล็ดลับเรียนเก่ง คุณวีเป็นคนบอกเชียวนะ”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างงงๆ
ตันหยงกำลังใช้คอมพิวเตอร์เสริชหาข้อมูล ในจอคอมพิวเตอร์ตันหยงพิมพ์ว่า “ คนสลับร่าง” แล้วก็คลิ๊กดูก่อนจะถอนใจ เธอพิมพ์ “ วิญญาณเข้าผิดร่าง” คลิ๊กดูแล้วก็ถอนใจ
ตันหยงเซ็ง “อะไรกัน มีแต่ในหนัง”
ตันหยงพิมพ์ “ ตายแล้วฟื้น”
สายแก้วยืนถือหนังสือพิมพ์หอบใหญ่มาก้มลงมองหน้าจอแล้วก็ต้องตะลึง
“ตายแล้วฟื้น”
สายแก้วหันมองเมรินช้าๆ เมรินหันมามอง สายแก้วสยอง เมรินยิ้ม
สายแก้ววางหนังสือพิมพ์ที่พื้น “นี่ค่ะ”
ตันหยงรีบกางหนังสือพิมพ์อ่าน สายแก้วมองแบบกลัวๆ ตันหยงก้มหาข่าวตัวเองอย่างสนใจมาก เธอหยิบหนังสือพิมพ์มากางจนเต็มไปหมด แล้วก็ก้มหน้าก้มตาอ่าน สายแก้วมองอย่างสยอง
ปรางค์ทิพย์กำลังควบคุมปรงแก้วกับปรงขวัญให้ทำแบบฝึกหัดตามคำสั่ง ปรงแก้วปรงขวัญขี้เกียจจึงงอแงเพราะไม่อยากทำ ปรงแก้วกับปรงขวัญบ่น
“เหลือวันหยุดอีกวันเดียว ยังต้องทำแบบฝึกหัดอีกเหรอคะ คุณแม่”
“ใช่ค่ะ ขอพักเล่นวันนึงไม่ได้เหรอคะ มือจะหักแล้ว”
“กะอีกแค่สิบหน้า มันจะอะไรกันนักหนา ก็รีบทำให้เสร็จๆสิ แล้วชั้นก็จะให้แกสองคนเล่น”
บุญศรีรีบเดินเข้ามาหา
“คุณๆขา ขยันหน่อยเถอะคะ ไม่งั้นจะแพ้คุณเมย์นะคะ”
“แพ้ยัยเมย์ ลูกชั้นจะไปแพ้เด็กโง่อย่างยัยเมย์ได้ยังไง” ปรางค์ทิพย์ถาม
“ก็ตอนนี้ คุณเมย์กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ใหญ่เลย เห็นว่าเป็นเคล็ดลับฝึกสมอง ทำให้เรียนดีจากคุณวี”
“นังเมย์เนี่ยนะมันจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้ ปรกติหนังสือเด็ก ตัวเท่าหม้อแกง ชั้นยังเห็นมันอ่านไม่ค่อยจะออก”
“ศรีถึงอยากให้คุณทิพย์ไปดูด้วยตัวเอง เพราะนังสายแก้วมันพูดมาอย่างงี้”
“ถ้ามันเป็นจริง ก็ถือว่านายวีลำเอียงที่สุด ไหนว่ายุติธรรมกับหลาน”
“ลำเอียงเห็นๆอยู่แล้วค่ะ นั่นมันหลานในไส้คุณวี คุณแก้วคุณขวัญน่ะ ถือเป็นหลานนอกไส้” บุญศรีใส่ไฟ
“แกไม่ต้องพูดแล้ว ยิ่งพูดชั้นยิ่งเจ็บใจ”
“แล้วตกลงคุณปรางจะไปดูไหมคะ”
“ไม่ไป!!”
เมธีกำลังนั่งทำงานอย่างคร่ำเคร่งก่อนที่จะปิดแฟ้มลง แล้วคิดนิดหนึ่งก่อนโทรศัพท์ไปหาประภัสสร
“เออ..คุณภัส วันนี้ผมว่างแล้ว ผมอยากพาคุณกับลูกไปเที่ยว อยากไปไหน เดี๋ยวผมจะไปรับ”
ประภัสสรพูดแบบงอนนิดๆ “ปรกติงานยุ่งไม่ใช่เหรอคะ”
“วันนี้เสร็จแล้วครับ ไปนะ ไปเที่ยวกัน พ่อแม่ลูก แล้วตอนเย็นเราไปดินเนอร์กัน ดีมั้ย”
ประภัสสรทำลังเลแต่จริงๆแล้วแอบดีใจ
“ต้องถามน้องเมย์ก่อน ถ้าลูกไป ภัสก็ไปค่ะ”
เมธีแอบยิ้มอย่างโล่งใจ
ขณะที่เมรินนั่งกางหนังสือพิมพ์อ่านจนเต็มบ้านไปหมด ประภัสสรเดินเข้ามาเห็น
“น้องเมย์ไปขึ้นไปแต่งตัวนะคะ วันนี้คุณพ่อจะพาไปเที่ยว ดีมั้ยคะ”
“เมย์ไม่อยากไปค่ะ เชิญคุณพ่อกับคุณแม่เถอะค่ะ”
“นานๆคุณพ่อจะมีเวลาว่างซักที ไปนะคะ เดี๋ยวค่อยกลับมาเล่นก็ได้ เดี๋ยวคุณพ่อมารับ”
ตันหยงเซ็ง “ก็ได้ค่ะ”
ประภัสสรยิ้ม “สายแก้ว พาคุณเมย์ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
สายแก้วอุ้มเมรินขึ้นมาในห้องแล้วจัดแจงจะถอดเสื้อผ้าเมริน ตันหยงถอยกรูด
“พี่สายแก้วจะทำอะไร”
“อ้าว ก็จะอาบน้ำให้น้องเมย์ไงคะ มาเร็ว พี่สายแก้วถอดเสื้อให้”
“ไม่ต้องๆๆ ต่อจากนี้ไป พี่สายแก้วไม่ต้องช่วยเมย์อาบน้ำอีกแล้วเข้าใจมั้ยคะ”
เมรินฉวยเสื้อคลุมแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป สายแก้วมองตามอย่างงงๆ
“เฮ้อ...คุณน้องเมย์เนี่ย พี่สายแก้วชักน้อยใจแล้วนะ”
เวลาผ่านไป เมธีอุ้มเมรินส่วนอีกมือจูงประภัสสรเดินเข้าไปในห้างด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะที่ปรงแก้วกับปรงขวัญนั่งทำการบ้านกองโตอยู่ในบ้านปรางทิพย์
ประภัสสรเข้าไปในห้องเสื้อเพื่อลองเสื้อชุดสวย เมธียิ้มอย่างพอใจ ส่วนตันหยงนั่งมองอย่างเซ็งๆ
บุญศรีเดินหอบหนังสือหอบโตมาวางไว้ตรงหน้าปรงแก้วกับปรงขวัญ ปรางค์ทิพย์ยิ้มอย่างพอใจ ปรงแก้วปรงขวัญมองหน้ากันแล้วส่ายหน้า
ประภัสสรเดินหยิบของในซุปเปอร์มาเก็ตมาใส่ในรถเข็นที่เมธีกำลังเข็น เมรินนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยใบหน้าหงิก
ปรงแก้วกับปรงขวัญทำแบบฝึกหัดตรงหน้าจนกองหนังสือลดลงไปเกือบหมด แต่เด็กทั้งสองก็เหนื่อยอ่อน ปรางค์ทิพย์หยิบหนังสือพิมพ์มาวางเพิ่มอีกกองโต ปรงแก้วกับปรงขวัญมองหน้ากันก่อนจะหยิบตุ๊กตาออกมาแล้วเอาดินสอจิ้มตุ๊กตาเพื่อระบายอารมณ์
ตันหยงที่กำลังนั่งเก้าอี้มองร้านขายชุดสวยตรงหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไปมองชุดสวยในหุ่นโชว์
“ชอบหรือลูก ไว้รอโตอีกหน่อยนะ” เมธีถาม
ตันหยงหันกลับมามองก็เห็นเมธีกับประภัสสรยืนยิ้มพร้อมกับมองมาที่เธอ
“เป็นไงคะน้องเมย์เหนื่อยหรือยัง”
ตันหยงไม่ตอบแต่ยืนมองเลยทั้งสองคนไปเห็นร้านขนม ตันหยงก็เก็ทไอเดียขึ้นมาทันที
“อุ๊ย...ขนม น่าทานจังเลย” ตันหยงบอก
“เอาสิคะ น้องเมย์อยากทานขนมอะไร” ประภัสสรถาม
“เปล่าค่ะ น้องเมย์อยากซื้อขนมไปฝากน้าวีคะ”
ตันหยงวิ่งไปที่ร้านขนมทันที เมธีกับประภัสสรมองตามไปแล้วยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ปฐวีนั่งทำงานอยู่ในห้อง สักพักประตูก็เปิดออก เมรินยื่นหน้าเข้ามา
“น้าวี...”
“อ้าวน้องเมย์ ....พี่เมธี พี่ภัส เชิญเลยครับ นึกยังไงถึงมาหาผมที่นี่”
“ก็หลานน้าวีน่ะสิ ร้องจะมาให้ได้ จะเอาขนมมาเซอร์ไพร์ส น้าวี”
ปฐวีย่อตัวลงนั่งมองเมริน
“น่ารักจริงเลย หลานน้าวีคนนี้ มาหอมทีซิ”
ปฐวีดึงเมรินมาจะหอม ตันหยงจึงรีบเอาถุงขนมกันไว้
“ขนมค่ะ น้องเมย์ขอกลับบ้านกับน้าวีได้ไหมคะ”
“ไม่ได้หรอกลูก คุณพ่อจองโต๊ะดินเนอร์ไว้แล้ว”
“วีว่างรึเปล่าล่ะ จะได้ไปด้วยกัน”
“เมย์ไม่อยากไปค่ะ เมย์ขออยู่กับน้าวีนะคะ คุณพ่อคุณแม่ไปดินเนอร์กันสองคนนะคะ”
เมรินมองปฐวีเพื่อขอให้ช่วย ปฐวีมองหน้าเมรินแล้วยิ้ม
“ให้น้องเมย์อยู่กับผมก็ได้ครับ พี่สองคนไปทานกันเถอะ ไหนๆมาแล้วผมจะให้น้องเมย์ตรวจซะเลย” ปฐวีพูดกับเมริน “ดีไม๊ กลัวหรือเปล่าเรา”
“ไม่กลัวอยู่แล้วค่ะ” ตันหยงตอบ
ประภัสสรมองหน้าปฐวีด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมรับมือไหว จริงมั้ย” ปฐวีถาม
“ เมย์จะทำตัวดีที่สุดเลยเลยค่ะ”
ประภัสสรมองเมธีเป็นเชิงหารือ
“ไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วง” ปฐวีย้ำ
“เมดูแลน้าวีได้แน่นอนค่ะ” ตันหยงบอก
ทุกคนหัวเราะขำท่าทางของเมริน
“งั้นเราไปกันเถอะ เด็กดีนะคะน้องเมย์”
“งั้นพี่ฝากน้องเมย์ด้วยนะวี”
ประภัสสรกับเมธีเดินจากไป
“ทีนี้ก็เหลือเราสองคนแล้วละ อยากมาโรงพยาบาลใช่มั้ยเรา”
ปฐวีถามเมรินยิ้มประจบ
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เมรินนั่งอยู่บนเตียงคนป่วย หนึ่งฤทัยส่องไฟเข้าตาเมรินเพื่อทดสอบปฏิกิริยาโต้ตอบ ก่อนจะเอาค้อนยางเคาะหัวเข่าเมรินแล้วจดบันทึก เมรินทำหน้าเบื่อหน่าย
ปฐวีกับหมอจิตเวชยืนดูการตรวจของหนึ่งฤทัยอยู่ในห้องกระจก
ครู่ต่อมาหมอจิตเวชเข้ามานั่งคุยกับเมริน และเอารูปภาพต่างๆ ให้เมรินดูแล้วจดบันทึก เมรินตอบคำถามต่างๆ อย่างอดทน
เมรินนอนอยู่บนเตียงโดยมีอุปกรณ์บันทึกอัตราการเต้นของหัวใจและการตอบโต้ซึ่งแสดงเป็นภาพกราฟบนกระดาษติดอยู่ที่ตัว
เมรินที่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยนั่งบนเตียง ปฐวีเดินเข้ามาพร้อมพร้อมพยาบาลรัก-ยม
“เรียบร้อยแล้ว น้องเมย์ เหนื่อยมั้ย” ปฐวีถาม
“ไม่เหนื่อยค่ะ แต่เบื่อสุดๆ”
“มาค่ะ รักจะพาน้องเมย์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” รสิการีบบอก
“เดี๋ยวยม อุ้มลงจากเตียงนะคะ” ยมนาเสริม
พยาบาลรัก-ยม พยายามเอาอกเอาใจเมรินจนออกนอกหน้า ตันหยงเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมตามไปโดยดี ปฐวีมองตามเมรินไปแล้วก้มลงมองชาร์ทในมือ
ปฐวียังถือผลการตรวจเมรินอยู่ หนึ่งฤทัยและหมอจิตเวชนั่งคุยกัน ตันหยงนั่งอ่านหนังสืออยู่อีกห้องโดยทำเป็นไม่สนใจ รสิกายืนเฝ้าอยู่แต่ก็มัวแต่นั่งมองปฐวีจนเพลิน
“เราจะหลบออกไปยังไงดีน๊า” ตันหยงคิด
“ผลตรวจทางร่ายกายก็ปกติดีทุกอย่างนะคะ แข็งแรงดีไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเลย” หนึ่งฤทัยบอก
“เรื่องอาการทางจิตเวชก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หลานของคุณค่อนข้างฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกันด้วยซ้ำ” หมอจิตเวชรายงาน
ตันหยงเดินไปหน้าประตู
“อันนี้แหละครับ ที่ผมเป็นห่วง หลังจากอุบัติเหตุ แกดูมีเหตุมีผลและซับซ้อนขึ้น ดูแปลกไป บางครั้งก็บอกว่าตัวเองไม่ใช่น้องเมย์” ปฐวีบอก
“พฤติกรรมแบบนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการหาสาเหตุซักระยะแต่การจากที่ดู เด็กก็มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่บ่งบอกว่าจะมีปัญหาอะไร” หมอจิตเวชบอก
ตันหยงค่อยๆ เดินสวนยมนาออกไป
“ใบรายงานผลตรวจจากเครื่องคอมฯเมื่อซักครู่ค่ะ” ยมนายื่นใบรายงานผลให้ปฐวี
“หรือว่าจะจัดพยาบาลพิเศษไปดูแลน้องเมย์ที่บ้านล่ะคะ วีจะได้สบายใจขึ้น” หนึ่งฤทัยเสนอ
ตันหยงเดินออกมาได้ก็รีบจ้ำออกไป พอตันหยงเดินเลี้ยวไป หนึ่งฤทัยกับหมอจิตเวชก็เดินคุยออกจากห้องของปฐวี
ปฐวีเปิดซองเพื่ออ่านรายงานผลจากคอมพิวเตอร์
“ก็ปรกติ”
รสิกากับยมนายืนขยับเข้ามาใกล้ปฐวี จริญทิพย์เดินเข้ามาในห้อง
“คุณหมอวีต้องการพี่เลี้ยงให้น้องเมย์หรือคะ” ยมนาถาม
“ให้รสิการับหน้าที่นี้ก็ได้นะคะ รสิการักเด็กค่ะ”
“อุ๊ย...ยมดีกว่าค่ะ ยมชำนาญการเลี้ยงเด็กมาก”
“เรื่องเด็กขอให้บอกรักเถอะค่ะ”
จริณทิพย์พูดขึ้น “นี่หล่อนสองคน ไปทำหน้าที่ของหล่อนได้แล้ว ที่นี่ชั้นจัดการเองเผลอไม่ได้เชียว”
รสิกากับยมนาค้อน ถอยไปยืนข้างหลัง จริญทิพย์รีบเสนอตัว
“จะว่าไป ทิพย์ยินดีนะคะ ทิพย์ดูแลเด็กเก่ง เคยเลี้ยงน้องมา 11 คน แถมตอนนี้เลี้ยงหลานตั้ง” จริณทิพย์นับนิ้ว “นับไม่ถ้วน ถ้าคุณวีต้องการ ทิพย์ยินดีนะคะ”
ปฐวีหัวเราะ “ถ้าคุณทิพย์ไปดูแลน้องเมย์ แล้วใครจะดูแลผมล่ะครับ อย่างนี้น่ะดีแล้ว”
จริณทิพย์ยิ้มปลื้ม ปฐวีหันไปมองข้างตัวพยาบาลรัก-ยม แล้วก็ไม่เห็นเมริน
“อ้าว..น้องเมย์อยู่ไหนเนี่ย”
พยาบาลรัก-ยมมองหน้ากันเหวอ ทั้งสองก้มและคลานดูทั่วพื้น
“เมื่อกี้ยังอยู่ด้วยกันนี่นา” รสิกาบอก
“น้องเมย์ไปไหนเนี่ย” ยมนาหา
“หล่อนสองคนนี่มันแย่จริงๆ” จริณทิพย์พูดกับปฐวี “ไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าอยู่ในโรงพยาบาล เราต้องหาตัวเจอแน่”
ปฐวีรีบวิ่งออกไปอย่างวิตก
ปฐวีวิ่งหาเมริน สองพยาบาลรัก-ยมวิ่งหาช่วย จริณทิพย์ก็วิ่งหา
ตันหยงในร่างเมรินเดินเลี้ยวมาเห็นประตูลิฟต์เปิดอยู่ก็รีบตะโกนว่า "รอด้วยค่ะ" แล้ววิ่งเข้าลิฟต์ไป คนในลิฟต์ชะเง้อมองหาผู้ปกครอง
“หมดแล้วค่ะ” ตันหยงบอกแล้วกดเลขชั้นหนึ่ง
“ขึ้นลิฟต์คนเดียวก็ได้เหรอคะ เก่งจัง” คนในลิฟต์ยิ้มบอก
ตันหยงยิ้มให้ประตูปิด ในจังหวะที่พยาบาลรัก-ยมวิ่งผ่านมา รสิกาและยมนาวิ่งมายืนที่หน้าลิฟต์
“ไม่มี ทำไงดีล่ะ ยม”
“ก็หาต่อสิ”
รสิกากับยมนาแยกย้ายกันตามหา
ฝ่ายสุดนภาเดินเข้ามาในโรงพยาบาล เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สุดนภาชะงักแล้วหยิบขึ้นมากดรับ ประตูลิฟต์เปิดออกตันหยงเดินออกมาจากลิฟต์แล้วตรงลิ่วไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล
สุดนภาพูดโทรศัพท์ “นี่คุณ จะบ้าหรือ โทรมาทำไม ชั้นทำธุระอยู่ แค่นี้นะ ต้องปิดโทรศัพท์แล้ว”
สุดนภากดปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“จะอะไรกับชั้นนักหนานี่ โทรจิกโทรตามอยุ่นั่นแหละ มีเจ้านายแบบนี้กรรมของชั้นจริงๆ”
สุดนภาเดินไปที่หน้าลิฟต์แล้วกดลิฟต์
ตันหยงหันไปดูที่ลิฟต์ก็เห็นสุดนภากำลังเดินเข้าประตูลิฟต์ไป
“นั่นยายบี๋นี่ ยายบี๋ รอก่อน”
เมรินวิ่งพรวดพราดไปที่ลิฟต์ทันที แต่ก็ไม่ทันเพราะประตูลิฟต์ปิดไปเสียก่อน
“ยายบี๋ โธ่เอ๊ย..”
เมรินพยายามกระโดดกดลิฟต์ แต่ก็ไม่ถึงจึงได้แต่ยืนรอจนกระทั่งไฟลิฟต์ไปหยุดอยู่ที่ชั้นปลายทาง
จริณทิพย์มาที่ห้องประกาศออกไมโครโฟนที่ ร.พ
“ประกาศเดี๋ยวนี้เลย เด็กผู้หญิงสูงแค่นี้ ชื่อเมริน เป็นหลานหมอปฐวี ผ.อ.โรงพยาบาล หายไป
เจ้าหน้าที่งงๆ
“มานี่ ชั้นเองดีกว่า ประกาศ ใครพบเด็กผู้หญิงอายุประมาณหกขวบใส่เสื้อสีชมพู ผมมัด รบกวนนำส่งที่พยาบาล หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ปฐวียังเดินหาเมริน เขาเห็นเด็กคนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ จริณทิพย์ยังคงประกาศต่อแต่ดูรุนแรงขึ้น
“เด็กผู้หญิง อายุประมาณหกขวบ ใส่เสื้อสีชมพู หายออกไปจากห้องผ.อ.ตอนนี้ญาติเป็นกังวลมาก กำลังกระจายกันตามตัวอยู่ ใครพบเห็นรบกวนนำส่งด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
ปฐวีเงยฟังเสียงและมีสีหน้ากลุ้มใจอย่างบอกไม่ถูก
ประตูลิฟต์เปิด สุดนภาเดินออกมาจากลิฟต์ พยาบาลรัก-ยมวิ่งตามหาเมรินจนเหนื่อยหอบแล้วก็มาเจอกับสุดนภา
“หาอะไรกันคะ คุณพยาบาล”
รสิกาหอบ “คุณเห็นเด็กตัวขนาดนี้บ้างมั้ยคะ”
“ไม่เห็นค่ะ” สุดนภาตอบ
รสิกากับยมนามองหน้ากันแล้วเศร้า
“ขอตัวก่อนนะคะ” สุดนภาบอก
สุดนภาเดินไป
“ทำไงดีล่ะคราวนี้” ยมนาถาม
ทันใดนั้นเมรินก็วิ่งพรวดพราดออกมา รสิกากับยมมามองหน้ากันแล้วรีบโดดตะครุบตัวเมรินเอาไว้ทันที
“ปล่อยสิ ชั้นจะไปหาเพื่อน” ตันหยงบอก
“ไม่ได้ค่ะ น้องเมย์ ต้องไปหาคุณหมอวีก่อน ไม่งั้น พี่สองคนแย่แน่”
เมรินพยายามดิ้นรนพร้อมกับชะเง้อคอมองหาสุดนภาแต่ก็ไม่เห็น ตันหยงนิ่ง พยาบาลรัก-ยมหยุดแล้วยิ้มให้ ตันหยงได้จังหวะวิ่งหนี สองพยาบาลตกใจรีบวิ่งตามกันจ้าละหวั่น
ปฐวียืนหน้าเครียดอยู่ในห้องทำงาน ตันหยงนั่งอยู่ตรงหน้า รสิกากับยมนายืนหอบ ทั้งสองหันไปมองหน้าปฐวีแล้วก็ค่อยๆล่าถอยออกจากห้องไป
“น้องเมย์ไปไหนมา ทำไมไม่บอกน้าวีก่อนคะ” ปฐวีถามเสียงเข้ม
“น้องเมย์จะออกไปเข้าห้องน้ำค่ะ แต่ว่าน้องเมย์หลงทาง”
“แล้วทำไมน้องเมย์ไม่บอกน้าวี น้าวีจะได้ให้พี่เค้าพาไป”
“น้องเมย์ขอโทษค่ะ”
“ที่หลังอย่าทำแบบนี้อีก รู้มั้ย น้าวีเป็นห่วงน้องเมย์มาก”
ปฐวีดึงเมรินมากอด ตันหยงอึดอัดจึงดันออก
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ นี่โรงพยาบาลของน้าวี ที่ทำงานของน้าวี น้องเมย์จะหายไปได้ยังไง” ตันหยงพูด
ปฐวีพูดจริงจัง “น้องเมย์ ฟังน้าวีนะ ถ้าน้องเมย์เป็นอะไรไป น้าวีจะเสียใจที่สุด”
ปฐวีมองหน้าตันหยงอย่างจริงจัง ตันหยงอึ้งแล้วก็หลบตา
“ขอโทษค่ะ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว”
“ดีมาก ต่อไปนี้ ห้ามอยู่ห่างน้าวีเกิน 5 ก้าว เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
สุดนภาจัดดอกไม้ใส่แจกันแล้วนำมาวางไว้บนหัวเตียงที่ร่างของตันหยงนอนอยู่
“ชั้นรู้ ว่าแกคงไม่เห็นดอกไม้นี่หรอกว่าสวยแค่ไหน แต่ชั้นก็อยากเอามาให้อยู่ดี เมื่อไหร่แกจะตื่นมาคุยกับชั้นซะที หยง”
สุดนภาถอนหายใจ นั่งมองหน้าตันหยงเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
ปฐวีนั่งเซ็นเอกสารอยู่แล้วเหลือบตามองมายังเมริน ตันหยงหันไปสบตาแล้วก็เบื่อ จึงเมินหน้าหนี
“ไม่ต้องมามองเลย” ตันหยงคิดในใจ
กองเอกสารบนโต๊ะค่อยๆลดลง ตันหยงนั่งสัปหงก
“โอ๊ย ทำไมมันง่วงขนาดนี้นะ ไม่นะ ชั้นไม่อยากหลับ ชั้นอยากไปหาร่างของชั้น” ตันหยงคิดในใจ
ปฐวีเหลือบมอง เขายิ้มแล้วเดินมาหาก่อนจะอุ้มเมรินลงนอน
“หลับซะแล้ว ยายตัวร้าย บทจะหลับก็หลับง่ายๆแบบนี้เอง”
ปฐวีเดินไปหยิบผ้ามาห่มให้ก่อนจะหอมแก้ม
นาวินกับจริณทิพย์วิ่งไล่จับกันเข้ามาในห้อง ปฐวีรีบจุ๊ปากให้เบาๆ นาวินกับจริณทิพย์เห็นเมรินนอนหลับอยู่บนเตียงก็หยุดเถียงกันทันที
“แกรีบมากับชั้นเลย ชั้นมีเรื่องเซอร์ไพรส์แก ที่นี่แหล่ะ” นาวินบอก
“ในโรงพยาบาลนี้ มีเรื่องอะไรที่แกรู้ แต่ชั้นไม่รู้ด้วยเหรอ” ปฐวีสงสัย
นาวินยักคิ้วให้ “ตามมา”
“คุณทิพย์ผมฝากหลานด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ ทิพย์จะดูแลอย่างดี” จริณทิพย์นึกได้ “อ้าววว...ทำไมคุณนาวินได้คุณวีไป แต่ชั้นได้เด็กล่ะ โลกช่างไม่มีความยุติธรรมซะเลย”
จริณทิพย์เซ็งๆ
นาวินลากปฐวีมาตามทาง
“อะไรของแกวะ เจ้าวิน”
“รับรองเรื่องนี้แกต้องอึ้ง”
นาวินทำท่ามีลับลมคมนัยก่อนจะยกมือเคาะประตูห้อง แล้วเปิดเข้าไป
นาวินกับปฐวีโผล่เข้าไปในห้อง สุดนภาวิ่งออกมารับ พอเห็นหน้านาวิน สุดนภาก็เล่นงานทันที
“นี่คุณ มาทำไม..”
นาวินเดินยิ้มเข้ามาในห้อง ปฐวีเดินตามมา สุดนภาอ้าปากค้าง
“อ้าว..ครูบี๋...สวัสดีครับ” ปฐวีทัก
พอเห็นปฐวี สุดนภาก็เปลี่ยนเป็นเรียบร้อยทันที
“สวัสดีค่ะ คุณปฐวี”
นาวินอึ้งเมื่อเห็นสุดนภาเปลี่ยนท่าทีแถมยังไม่สนใจนาวินอีกด้วย สุดนภาคุยกับปฐวีอย่างอ่อนหวาน
“คุณหมอวีมาตรวจเพื่อนของบี๋หรือคะ” สุดนภาถาม
นาวินพูดแทรก “ใช่สิ ผมนี่แหละ เป็นคนพาเจ้าวีมาเยี่ยมเพื่อนคุณ”
สุดนภาไม่มองหน้านาวิน “เชิญค่ะหมอวี นี่เพื่อนบี๋เอง ชื่อตันหยงค่ะ”
ปฐวีเดินไปมองที่เตียง พอเห็นตันหยงปฐวีก็ตะลึง
“นี่เพื่อนคุณหรือครับ ครูบี๋” ปฐวีถาม
“ใช่ค่ะ เพื่อนของชั้นเอง”
“บอกแล้วไง นายต้องเซอร์ไพร์ส ใช่ผู้หญิงคนที่นายเจอที่คลับใช่มั้ย”
“อะไรกัน นี่คุณเคยเจอหยงหรือคะ”
ปฐวีอึ้ง
ตกเย็น ปฐวีขับรถมาตามทาง โดยมีเมรินนั่งอยู่ข้างๆ
“น้าวีคิดเรื่องงานหรือคะ” ตันหยงถาม
“ครับ น้ากำลังคิดถึงคนไข้คนหนึ่ง แล้วน้องเมย์ล่ะ คิดเรื่องอะไร ดูไม่ค่อยสดชื่นเลย”
ตันหยงคิดในใจ “จะให้ร่าเริงขนาดไหนล่ะ”
“เมย์คิดเรื่องตัวเองค่ะ” ตันหยงตอบ
“ตัวแค่นี้ มีเรื่องส่วนตัวแล้ว”
ปฐวีมองหลานแล้วยิ้มให้ ก่อนหันกลับไปคิดเรื่องเดิม ตันหยงนั่งคู่กับปฐวีแต่หันหน้ามองไปคนละทางต่างคนต่างคิด
ด้านสุดนภาเดินวุ่นวนอยู่ในห้องอย่างใช้ความคิด
“หมอวีไปเจอกับหยงตอนไหนนะ”
สุดนภาคิดแล้วหยิบโทรศัพท์โทร.ออก
“ฮัลโหล คิดถึงผมใช่ไม๊ เวลาที่เธอ ไม่มีใครให้ทะเลาะ” เป็นนาวินที่รับสายอย่างเริงร่า
“ชั้นคงตัดสินใจผิดจริงๆที่เธอหาคุณ แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวสิครับ ขี้หงุดหงิดจริง มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
“ชั้นมีเรื่องอยากจะถามคุณ”
“ผมยินดีตอบ ทุกคำถาม ของคุณบี๋”
“ทำไมหมอวีถึงรู้จักกับเพื่อนของชั้น”
นาวินเซ็ง “โหย โทรหาผมถามเรื่องของไอ้วีเนี่ยนะ”
“ไม่ถามคุณแล้วจะถามใคร จะตอบหรือไม่ตอบ อย่ามาโยกโย้กวนประสาทนะ”
“ไม่ตอบ..จบป่ะ”
สุดนภาแค้นจึงกระแทกหูวางสาย “บ้าๆๆ เจอกันคราวหน้า นายได้เละแน่”
นาวินยิ้มขำเพราะดีใจที่แกล้งสุดนภาได้
ปฐวีอยู่ในห้องนอน เขานึกถึงภาพตันหยงที่สนามบิน ภาพตันหยงในโรงแรมที่ปฐวียืนมอง
“ไม่อยากเชื่อเลย คุณตันหยง”
เช้าวันใหม่ ปฐวีเดินมาขึ้นรถจะไปโรงพยาบาล
“อรุณสวัสครับพี่ภัส พี่เมธี”
“วีไปทำงานแต่เช้าเชียว”
“ครับ วันนี้มีเคสด่วน ไปก่อนนะครับ”
ปฐวียิ้มให้ทั้งคู่แล้วไป
“คุณก็ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย” ประภัสสรบอก
“ผมไปนะ”
เมธียิ้มให้ประภัสสรแล้วเดินขึ้นรถไป ประภัสสรมองตามแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ประภัสสรเดินเข้ามาในบ้าน เมรินวิ่งลงมาจากชั้นบนอย่างรวดเร็ว โดยมีสายแก้ววิ่งตามมา ประภัสสรรีบจับตัวเมรินไว้
“อะไรกันคะน้องเมย์ อย่าวิ่งเร็วนะคะ เดี๋ยวล้ม”
“น้าวีล่ะคะ น้าวีไปไหน” ตันหยงถามทันที
“อ๋อน้าวีไปทำงานแล้ว”
“ไม่ทันจนได้” ตันหยงคิดในใจ “ทำไมเด็กมันขาสั้นแบบนี้นะ” แล้วตันหยงก็โทษสายแก้ว “พี่สายแก้วนั่นแหล่ะ บอกให้ปลุกก็ไม่ปลุก”
“อ้าว ก็น้องเมย์ยังไม่ไปโรงเรียนนี่คะ
ตันหยงงอนแล้วเดินไป ประภัสสรกับสายแก้วมองตามอย่างงงๆ
ปฐวีนั่งอยู่ในห้อง หนึ่งฤทัยเดินเข้ามาในห้องพร้อมแฟ้มในมือ
“นี่ค่ะ แฟ้มของคุณตันหยง คนไข้คนนี้แหละที่หนึ่งพูดถึง”
“ขอบคุณมากครับ”
ปฐวีรับแฟ้มมาเปิดดูอย่างสนใจ
“หมอวีรู้จักคนไข้คนนี้หรือคะ”
ปฐวีชะงัก “อ๋อ..เพื่อนของคุณตันหยง เป็นครูของหลานสาวผม ครับ”
“งั้นหรือคะ”
หนึ่งฤทัยมองปฐวีที่กำลังก้มอ่านแฟ้ม
ตันหยงนั่งกินอาหารอยู่กับประภัสสร
“เดี๋ยวแม่ไปช่วยคุณย่าทำงานนะคะ น้องเมย์ทานอาหารให้หมดนะคะ” ประภัสสรบอก
“ค่ะคุณแม่”
“สายแก้วช่วยยกแฟ้มไปให้นะคะ คุณน้องเมย์คอยตรงนี้นะคะ เดี๋ยวพี่สายแก้วมา”
ประภัสสรกับสายแก้วเดินไป ตันหยงรอจนทั้งสองเดินลับไปเธอก็รีบวิ่งไปที่โทรศัพท์แล้วกดเบอร์โทรหาบุหงาทันที
“ฮัลโหล” บุหงารับสาย
“คุณแม่ขา นี่หยงนะคะ”
บุหงาตะลึง “อะไรกัน หนูทำไมถึงทำแบบนี้ คนกำลังทุกข์อย่าล้อเล่นกันแบบนี้เลย มันบาปนะจ๊ะ”
บุหงากดตัดสาย ตันหยงชะงัก
“คุณแม่..คุณแม่ขา”
ตันหยงวางสายด้วยความเศร้า
ตันหยงเดินเศร้าๆมานั่งที่โต๊ะแล้วก็ถอนหายใจ
“นี่ชั้นต้องอยู่แบบนี้ตลอดไปรึเปล่าเนี่ย”
หนุงหนิงค่อยๆคลานมาหมอบที่ตักตันหยง
“แกรู้มั้ย เจ้าหนุงหนิง ชั้นไม่ใช่เจ้านายแกนะ”
หนุงหนิงประจบ
“เฮ้อ...อย่าถามนะว่านายแกอยู่ที่ไหน ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งแกกับชั้นเลือกไม่ได้ทั้งสองฝ่าย เอาเป็นว่าเราสงบศึกกันก่อนดีมั้ย”
หนุงหนิงยกขาเขี่ยตันหยง ตันหยงจับเท้าหนุงหนิง
“ก็ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้เราสงบศึกกันก่อน”
หนุงหนิงทำท่ากระดิกหางดีใจ
“ไม่อยากเชื่อเลย ชั้นต้องมานั่งปรับทุกข์กับหมา..เฮ้อชีวิต”
ปรงแก้วปรงขวัญที่กลับมาจากโรงเรียนนั่งกินของว่างอยู่ริมสระน้ำ ตันหยงกับสายแก้วเดินผ่านมา ปรงแก้วปรงขวัญตะโกนเรียกเมริน ตันหยงหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ
“เมย์ มาทานขนมด้วยกันมั้ย” ปรงแก้วชวน
“น้องแก้วขา อย่าไปเรียกเค้าเลย น้องเมย์คงไม่อยากทานกับคุณแก้วคุณขวัญหรอก” บุญศรีบอก
ตันหยงถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินไปนั่งกับปรงแก้วปรงขวัญ
“เมย์โชคดีจังเลย ไม่ต้องไปโรงเรียน แก้วนะเบื่อมากเลย ต้องทำแบบฝึกหัดที่โรงเรียนกลับมาต้องทำเพิ่มอีก” ปรงแก้วบอก
ปรงขวัญพูดจีบปากจีบคอ “พี่แก้ว ไปพูดกับมันทำไม คุณแม่บอกว่า คนไม่ไปโรงเรียนน่ะโง่ เหมือนควาย”
บุญศรียิ้มชอบใจ “แหม คุณขวัญนี่ฉลาดพูดจังเลยนะคะ”
“พี่บุญศรี ปล่อยให้คุณขวัญพูดจาแบบนี้ได้ยังไง ไม่น่ารักเลย” สายแก้วว่า
“มันเรื่องของคุณๆเค้า แกมายุ่งอะไรด้วย นังสายแก้ว”
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามา พอเห็นหน้าเมริน ปรางค์ทิพย์ก็แขวะ
“ไงแม่เมย์ หายแล้วหรือ ทำไมไม่ไปโรงเรียน เดี๋ยวก็ต้องไปไถนาหรอก”
บุญศรีหัวเราะชอบใจ สายแก้วหน้าเสีย
“เด็กอะไร แม่เป็นยังไงลูกเป็นอย่างนั้นจริงๆ” ตันหยงคิดในใจ
ตันหยงตัดสินใจพูด “น้องขวัญคะ น้องขวัญจะพูดจาอะไรให้นึกถึงคุณพ่อคุณแม่บ้างนะคะ”
ปรงขวัญงง “ทำไมหรือเมย์”
“อ้าว...เวลาเด็กพูดดี ทำดี คนก็จะชื่นชมว่าเด็กคนนี้น่ารัก แต่ถ้าลูกพูดจาไม่ดี คนฟังก็จะด่าว่า พ่อแม่ไม่รู้จักอบรมไงคะ”
พูดจบตันหยงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปทันที สายแก้วปิดปากหัวเราะคิกแล้วเดินตามไป ปรางทิพย์โกรธจัด
“เอ๊ะ..คุณเมย์พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ คุณปรางค์” บุญศรีถาม
“แกมันโง่ มันด่าชั้นว่าไม่รู้จักสั่งสอนลูกไงล่ะ”
ปรางค์ทิพย์แค้น เธอหันไปมองปรงแก้วปรงค์ขวัญที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ไป กลับบ้าน ไม่ต้องเล่นแล้ว กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย”
ตันหยงมองแล้วส่ายหัว
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 3 (ต่อ)
ตันหยงนั่งอาบน้ำอยู่ในอ่างน้ำ สายแก้วนั่งรออยู่ในห้องน้ำแล้วก็คุยผ่านม่าน
“แหม คุณเมย์น่ะตอกคุณปรางค์หน้าหงายไปเลย สายแก้วละสะใจ”
ตันหยงยิ้ม
“เมย์ไม่ได้พูดอะไรเกินซักหน่อย ปรงขวัญจีบปากจีบคอเหมือนป้าปรางค์ไม่มีผิด”
“จะว่าไป ตั้งแต่น้องเมย์ตกบันไดคืนนั้น น้องเมย์พูดจาฉะฉานขึ้นตั้งเยอะ พี่สายแก้วละชอบจริง..จริ๊ง”
“ไม่กลัวแล้วหรือ”
“ถ้าคุณน้องเมย์เป็นอย่างนี้ สายแก้ว ก็ไม่กลัวหรอกค่ะ แต่อย่าตกบ่อยก็แล้วกัน คอหักกันพอดี”
ตันหยงชะงัก “ตกบันไดหรือ”
ตันหยงนิ่งคิด
พัดชานั่งร้องไห้มองรูปพิรามบนโต๊ะในห้องนอน เธอหยิบโทรศัพท์โทรหาพิราม พิรามดูหน้าจอโทรศัพท์แล้วก็ถอนใจไม่รับสาย พัดชาเสียใจแต่ก็ยังกดโทรหาพิรามอีก
พิรามยอมรับสาย “คุณโทรมาทำไม คุณไม่ควรติดต่อกับผมอีก”
“คุณทำแบบนี้ได้ยังไง คุณทิ้งพัดได้ยังไง คุณต้องมาคุยกับพัดให้รู้เรื่อง คุณต้องมาหาพัดเดี๋ยวนี้เลย”
“พัดชา พอเถอะ อย่าทำแบบนี้ ขอให้เราจบกันแบบดีๆนะพัดชา”
“พัดไม่ยอมจบ พัดไม่มีทางจบกับคุณ พัดรักคุณ”
พิรามเงียบ พัดชาพูดต่อ
“คุณหมดรักพัดแล้วเหรอคะ พิราม คุณหมดรักพัดแล้วใช่ไหม”
“พัดชา ฟังนะ ผมไม่เคยรักคุณ คุณก็รู้”
พัดชาอึ้ง “คุณจะมาหาพัดไหม” พิรามเงียบ “พัดถามว่าคุณจะมาหาพัดมั้ย”
“เลิกทำแบบนี้เถอะพัดชา มันไม่มีประโยชน์แล้ว”
“คุณจะไม่มาหาพัดอีกแล้วใช่ไม๊ ต้องการเลิกกับพัดใช่ไม๊ ถ้าพัดตายคุณก็ไม่สนใจใช่ไม๊ งั้นพัดจะตายให้ดู คุณจะได้จำพัดไปตลอดชีวิต พัดจะทำให้คุณรู้สึกผิดไปทั้งชีวิต”
พัดชาวางหูใส่พิราม
“คุณจะบ้าหรือพัดชา พัดชา”
พิรามกดต่อสายกลับไปแต่ก็ติดต่อไม่ได้ พิรามกลุ้มใจแล้วตัดสินใจคว้ากุญแจรถออกไป
ตันหยงนอนคิด ส่วนสายแก้วหลับไปแล้ว
“ถ้าตกบันไดอีก ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม ชั้นก็จะได้กลับเข้าร่างตัวเอง”
พิรามขับรถมาด้วยความเร็วสูง พิรามจ้องทางข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รถวิ่งไปตามถนนอย่างรวดเร็ว
สายแก้วยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง เตียงของเมรินไม่มีร่างของเมริน ในขณะที่ประตูเปิดแง้มไว้
เท้าเล็กๆ ของเมรินเดินไปหยุดตรงบันได ตันหยงยืนมองบันไดอย่างหวาดเสียว
“ถ้าเราโดดลงไป ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
ตันหยงมองบันไดแล้วหลับตา
ตันหยงลังเล “แต่ถ้าร่างของน้องเมย์ไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ คุณประภัสสร กับคุณเมธี แล้วยังจะคุณหญิง กับน้าวีอีกล่ะ”
“ไม่ได้ แต่เราจะอยู่แบบนี้ไม่ได้”
ตันหยงหลับตาแล้วยื่นเท้าออกมาค้างไว้
“ก้าวออกไปสิตันหยง ก้าวออกไป” ตันหยงพูดกับตัวเอง
เสียงปฐวีดังขึ้นในหัว “ถ้าน้องเมย์เป็นอะไรไป น้าวีจะเสียใจมากที่สุด”
“ชั้นทำไม่ได้ ชั้นทำไมได้หรอก” ตันหยงหดขากลับ
ปฐวีเดินเข้ามาพอดี เขาเห็นเมรินยืนหลับตาอยู่บนบันได
ปฐวีตะโกน “น้องเมย์”
ตันหยงลืมตาด้วยความตกใจทำให้ก้าวพลาด ตันหยงร้องกรี๊ดเสียงดัง
ตันหยงในร่างเมรินก้าวพลาด ร้องกรี๊ดพร้อมๆ กับเซถลาลงจากบันได แต่ปฐวีพุ่งมารับไว้ได้
“น้องเมย์”
ตันหยงลืมตาขึ้นแล้วมองรอบๆ ตัวอย่างตื่นๆ
“น้าวี ....”
“น้องเมย์ น้องเมย์ทำอะไร”
ปฐวีกอดเมรินไว้แนบอก ตันหยงตกใจทำอะไรไม่ถูก
“รู้มั้ย ถ้าน้องเมย์เป็นอะไรไปอีก น้าวีต้องขาดใจแน่เลย โธ่น้องเมย์”
ตันหยงสำนึกผิด
“น้าวีขา น้องเมย์ขอโทษค่ะ น้องเมย์ไม่ได้ตั้งใจ”
“น้องเมย์ ทีหลังอย่าลงมาคนเดียวแบบนี้อีกนะคะ”
“ค่ะ น้องเมย์สัญญา น้องเมย์จะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก”
“ไม่ทำอะไรแบบนี้อีก” หมายความว่ายังไง”.
“เอ่อ..หมายความว่า น้องเมย์จะไม่ลงมาคนเดียวดึกๆแบบนี้อีกแล้วไงคะ”
ปฐวีมองหน้าเมรินนิ่งแล้วค่อยยิ้มออก เขากอดหลานสาวไว้แนบอก
“น้องเมย์ของน้า เมื่อกี๊น้าวีประสาทเสียมากเลยรู้ไม๊ไหน บอกน้าวีซิ น้องเมย์จะลงไปเอาอะไรครับ”
ตันหยงคิดหาคำตอบ “น้องเมย์อยากดื่มนมค่ะ”
ปฐวีแอบถอนหายใจ แต่ตันหยงอึดอัดใจ
ปฐวีเทนมใส่แก้วใบใหญ่ที่วางตรงหน้าเมรินจนเกือบเต็มแก้ว เมรินทำหน้าตาเหยเกเพราะไม่อยากดื่มนม
ตันหยงคิดในใจ “ตายล่ะ ชั้นไม่ชอบดื่มนมซะด้วยสิ ทำไงดีล่ะ”
เมรินมองหน้าปฐวี ปฐวีมองตอบพร้อมกับยิ้มให้
“ดื่มให้หมดสิคะ แล้วจะได้รีบไปนอน”
เมรินมองแก้ว
ปฐวีขำ “นั่งมองเฉยๆ มันจะหมดได้ยังไงล่ะน้องเมย์ รีบดื่มเร็วเข้า”
ตันหยงตัดสินใจยกแก้วนมขึ้นดื่มจนหมด แล้วมองปฐวี
“เก่งมาก หลานน้า”
ตันหยงคลื่นไส้จนจะอ๊วก
“ไป ดื่มเสร็จแล้วก็ไปนอนได้ น้าวีอุ้มไป”
“ไม่ต้องค่ะ เดินเองได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร น้าวีอุ้มไปนอนดีกว่า”
ปฐวีไม่ฟังคว้าตัวเมรินแล้วอุ้มเดินไป เมรินทำหน้าเซ็ง
ปฐวีอุ้มเมรินมาวางที่เตียง
“นี่ถ้าน้าวีไม่เห็น น้าวีคงมาช่วยน้องเมย์ไม่ทันแน่เลย ทีหลังอย่าลงไปข้างล่างคนเดียวอีกนะคะ”
ตันหยงรับคำ “ค่ะ”
“สัญญานะ”
ปฐวียื่นนิ้วก้อยให้เมรินเกี่ยวก้อยสัญญา ตันหยงมองสีหน้าจริงจังของปฐวีแล้วยื่นนิ้วไปเกี่ยวด้วย
“ค่ะ สัญญา”
ปฐวียิ้มแล้วจัดให้เมรินนอนลงแล้วห่มผ้าให้ ปฐวีก้มลงจูบเมริน ตันหยงหลับตายอมให้ปฐวีจูบแต่โดยดี
“ราตรีสวัสดินะคะน้องเมย์”
“ราตรีสวัสค่ะ น้าวี”
ตันหยงแกล้งหลับตา ปฐวีเดินออกไปจากห้อง ตันหยงลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเตียงแล้วคิดหนัก
“นี่เราคิดจะทำอะไรลงไปเนี่ย ไม่น่าเลย เราเห็นแก่ตัวเกินไปใช่มั้ย.สิ่งศักดิ์สิทธิ์คะ ช่วยหนูด้วย ขอให้พรุ่งนี้เช้า หนูตื่นขึ้นมา แล้วกลับคืนร่างของตัวเองด้วยเถอะค่ะ”
ตันหยงอธิษฐานอย่างมีความหวัง
พิรามเปิดประตูห้องพัดชาเข้ามาแล้วตะโกนเรียก
“พัดชา พัดชา”
พัดชาที่นั่งอยู่บนเตียงเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเงยหน้ามองพิราม
“คุณต้องการทำให้ผมเป็นโรคประสาทใช่ไหมพัดชา”
“ถ้าพัดไม่ทำแบบนี้ คุณก็ไม่มา คุณจะทิ้งพัดไปใช่มั้ย”
พิรามโกรธ “นี่คุณทำตัวมีเหตุผลหน่อยได้มั้ย”
พัดชาโผเข้ากอดพิรามแน่น พิรามพยายามแกะจนหลุด
“อย่าทำแบบนี้พัดชา”
“พัดไม่อยากสูญเสียคุณ”
“ก่อนนี้ คุณไม่ได้พูดแบบนี้นะพัดชา”
“ก็พัดเปลี่ยนใจแล้ว พัดขาดคุณไม่ได้นี่”
“พัดชา... ผมไม่ได้รักคุณ”
พัดชาเสียใจ
“พัดรู้แล้ว คุณไม่ต้องย้ำหรอก คุณรักตันหยงใช่มั้ย รักมันมากใช่มั้ย”
พิรามเมินหน้าไม่ตอบ
“พัดมันส่วนเกินของคุณ งั้นคุณก็ไปอยู่กันให้สบายเลย”
พัดชาคว้าแก้วมาทุบกับกำแพงแล้วใช้เศษแก้วกรีดข้อมือตนเองจนเป็นแผลเลือดออก พิรามตกใจ
“พัดชา คุณจะบ้าเหรอ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย”
พัดชาสะบัด “ปล่อยให้ชั้นตายไปเลย ดูซิคุณจะมีความสุขอยู่ได้ไหม ในเมื่อคุณไม่รักชั้น ก็ไม่ต้องมาห่วงชั้น”
พัดชาสะบัดจนหลุด พิรามโกรธแต่พยายามระงับ
“พัดชา ทำแบบนี้ทำไม ไปโรงพยาบาลกับผม”
“ปล่อยชั้น ปล่อยให้ชั้นตายไปเลย”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำแบบนี้ ไปกับผมเดี๋ยวนี้นะ ไปกับผม”
พิรามลากพัดชาเดินออกไป
เช้าวันใหม่ สายแก้วเข้ามาปลุกเมรินที่นอนยิ้มอย่างมีความสุข
“คุณน้องเมย์ขา ตื่นได้แล้วค่ะ” สายแก้วมอง “สงสัยจะฝันดี นอนยิ้มเชียวคุณน้องเมย์”
เมรินลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“กลับมาแล้ว ชั้นเป็นคนเดิมแล้ว” ตันหยงพูดออกมา
สายแก้วตกใจ
“น้องเมย์คะ น้องเมย์เป็นอะไรไป”
ตันหยงหันมองสายแก้วแล้วมองมือมองขาตนเอง ก่อนจะจับแก้ม
“ไม่จริ๊ง....” ตันหยงคิดในใจ “นี่เราจะต้องอยู่ในร่างเด็กจริงๆหรือนี่” ตันหยงเบะจะร้อง เธอหงายหลังนอนคลุมโปง “ไม่จริง ไม่จริง”
“น้องเมย์ อะไรไม่จริงคะ ทำแบบนี้พี่สายแก้วตกใจนะ”
ตันหยงหยุดร้องแล้วเปิดผ้าออก เธอมองสายแก้วแล้วถอนหายใจยาว
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ฝันไป”
“ฝันอะไรคะ”
ตันหยงขยับปากจะเล่าแล้วก็นึกได้ “ก็ฝันว่า” ตันหยงถอนใจ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ตันหยงเศร้า สายแก้วมองเมรินด้วยความประหลาดใจ
ที่โรงพยาบาล พิรามนั่งเฝ้าพัดชาที่มือมีผ้าพันไว้ พิรามเดินไปหยิบน้ำพร้อมจัดยาให้พัดชากิน
“ทานยาซะก่อน จะได้ไม่ปวดแผล เดี๋ยวผมต้องไปทำงานแล้ว”
พัดชารับยามากินอย่างว่างง่าย
“พิรามคะ อยู่เป็นเพื่อนพัดหน่อยได้ไม๊คะ ขอเวลาให้พัดหน่อยได้มั้ย”
พิรามเดินหันหลังให้พัดชานิ่งๆ
“ได้โปรดเถอะค่ะ ให้เวลาพัดบ้าง สองปีที่ผ่านมาพัดมีแต่คุณ คุณคนเดียวเท่านั้น จู่ๆคุณจะทิ้งพัดไป ทำเหมือนไม่เคยรู้จัก พัดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง เห็นใจพัดบ้างเถอะนะคะ”
พัดชานั่งน้ำตาไหล พิรามหันมามองพัดชาด้วยความสงสาร
“คุณพักผ่อนก่อนดีกว่านะ อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลย”
พัดชาโผกอดพิรามไว้แน่นแล้วรำพัน
“พัดอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”
พิรามกลุ้มใจ
ประภัสสรกับเมรินอยู่ในห้องนั่งเล่น เมรินเปิดข่าวฟัง ประภัสสรมองหน้า
“น้องเมย์ดูข่าวเป็นด้วยเหรอคะ”
“เมย์ชอบฟังข่าวค่ะ”
สายแก้วหอบข้าวของเข้ามา
“เอกสารมูลนิธิค่ะ”
“คุณแม่จะไปหาคุณย่า น้องเมย์จะไปด้วยกันไหมคะ” ประภัสสรถาม
ปรางค์ทิพย์ส่งเสียงดังเข้ามา
“จะไปไหนกัน แล้วยายเมย์ไม่ไปโรงเรียนหรือ ท่าทางก็ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไรนี่นา จะอยู่บ้านทำไม”
“พี่ปรางค์ ....ตาวีบอกให้รอดูอาการอีกหน่อย ค่อยไป”
“ระวังเถอะ อยู่แต่บ้าน ระวังจะเขางอกนะเรา” ปรางค์ทิพย์ว่า
“งอกเองดีกว่ามีคนมาสวมให้นะคะป้าปรางค์” ตันหยงสวน
ปรางค์ทิพย์ชะงัก “นี่แกพูดว่าไงนะ”
ตันหยงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วนี่จะไปหาคุณย่าหรือ จะประจบประแจงอะไรกันอีก” ปรางค์ทิพย์ถาม
“คุณย่าเรียกไปพบ คงจะสั่งงานเรื่องมูลนิธิฯน่ะค่ะ ภัสขอตัวก่อนนะคะพี่ปรางค์ น้องเมย์ไปกับคุณแม่นะคะ”
“น้องเมย์ไปส่งคุณแม่ค่ะ ไม่อยากอยู่แถวนี้แล้ว” ตันหยงบอก
ประภัสสรกับเมรินเดินไป ปรางค์ทิพย์สีหน้าไม่ดี
“นังเมย์ตัวแสบ นังภัสอีกคน ทำเป็นติ๋มๆ แต่ก็ประจบประแจงคุณยาย แสบทั้งแม่ทั้งลูก”
“คุณปรางค์บ่นอะไรคะ” สายแก้วถาม
ปรางทิพย์สะดุ้ง
“นังนี่ ชั้นตกใจหมด ... ไปให้ไกลๆเลย”
สายแก้วเดินตามเมรินไป ปรางค์ทิพย์แค้น
ปรงทองนั่งทำงานในห้องทำงานที่บ้าน ประภัสสรรวบรวมเอกสารส่งให้
“คุณย่าคะ โครงการให้ทุนนักเรียกแพทย์ ภัสตรวจให้เรียบร้อยแล้วนะคะ นักเรียนที่คุณย่าให้ทุนไป รุ่นแรก จะกลับมาใช้ทุนปีนี้ค่ะ”
“ดีมาก ย่าอยากให้โอกาสกับคนอื่นๆ ยังมีคนดีในสังคมอีกมากที่ขาดโอกาส และหวังว่าจะมีคนรุ่นใหม่ๆมาช่วยเราทำงานทำประโยชน์ให้สังคมต่อไป เออแล้วนี่เจ้าเมย์ไปไหนซะล่ะ” ปรงทองถาม
“น้องเมย์เดินมาส่งภัสค่ะ แต่พอจะชวนขึ้นมาด้วยก็ร้องหาหนุงหนิงซะอย่างนั้น”
ปรงค์ทองยิ้มเอ็นดู “จะไปเอาอะไรกับเจ้าเมย์ อายุแค่นี้”
“แต่ภัสอดเป็นห่วงลูกไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า ตั้งแต่เกิดเรื่องภัสกลัว กลัวไปหมดทุกอย่าง”
“จะกลัวอะไร ปล่อยๆบ้างเถอะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แม่ภัสน่ะ ต้องอย่าหัดเป็นคนคิดมาก ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง สบายใจขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ คุณเมธีก็พยายามหาเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น ภัสก็รู้สึกสบายใจขึ้น”
ปรงทองมองแล้วคิดว่าหลานสาวคนนี้เอาชีวิตฝากไว้แต่ครอบครัวจริงๆ
เมรินเดินมองรอบๆ ตัวแล้วถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะนั่งลงที่สนามหน้าบ้าน สายแก้วเดินมาตาม
“คุณเมย์คะโทรศัพท์ค่ะ”
“โทรศัพท์ของชั้นหรือ ใครโทรมาน่ะ” ตันหยงงง
ตันหยงรับโทรศัพท์
ปฐวีคุยโทรศัพท์อยู่ที่โรงพยาบาล
“น้องเมย์ครับ เป็นยังไงบ้าง”
“น้าวี” ตันหยงยิ้มก่อนทำเฉย “ก็ดีค่ะ”
“น้าวีเป็นห่วงน้องเมย์นะ คิดถึงด้วย”
ตันหยงแอบทำหน้าเบื่อหน่าย “ถ้าห่วงทำไมไม่ให้น้องเมย์ไปโรงพยาบาลกับน้าวีล่ะคะ”
“มาบ่อยๆไม่ได้หรอก ที่โรงพยาบาลน่ะเชื้อโรคเยอะแยะ”
“แต่น้องเมย์ไม่กลัวนี่คะ น้องเมย์อยากไป”
“ไว้วันหน้านะคะ เอาละ น้าวีโทรมาอยากรู้ว่าน้องเมย์ปลอดภัยดี แค่นี้นะคะ”
ตันหยงกดวางโทรศัพท์
“ที่แท้ก็ห่วง กลัวหลานสาวจะเป็นอะไร ...เฮ้อ..เบื่อ”
“อะไรกันคะ เบื่อน้าวีหรือ ตายแล้ว คุณวีได้ยินเสียใจตายเลย” สายแก้วว่า
“ทำไมล่ะ เรื่องแค่นี้เอง”
สายแก้วทำเป็นความลับ “น้องเมย์อย่าพูดไปนะคะ น้าวีน่ะรักคุณน้องเมย์มากกว่าหลานทุกคนเลย พูดแบบนี้ คุณวีเสียใจแย่”
ตันหยงทำหน้าเบื่อ
ประภัสสรเดินออกมาหาเมริน ปรางค์ทิพย์ที่ตัดดอกไม้อยู่ด้านนอกถามขึ้น
“เป็นไงบ้างแม่ภัส คุณย่าว่ายังไงบ้าง”
“เรื่องอะไรคะพี่ปรางค์”
“ทำเป็นซื่อ ก็เรื่องมูลนิธิน่ะสิ คุณย่าจะให้เธอคุมเหรอ”
“อ๋อ คุณย่าไม่ได้บอกค่ะ เพียงแต่สั่งให้ภัสดูแลเรื่องทุนนักเรียนแพทย์ก็เท่านั้น”
“นั่นไง ชั้นว่าแล้ว งานได้หน้าคุณย่าต้องให้หล่อนทำ”
เมรินกับสายแก้วเดินเข้ามา เมรินหยุดมองแล้วคิด
ตันหยงคิดในใจ “คุณป้าปรางมาเล่นงานอะไรคุณภัสอีกเนี่ย” ตันหยงรีบพูด “คุณแม่ขา รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า เดี๋ยวคุณพ่อจะกลับมาแล้วนะคะ”
“ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวจะเป็นแม่สายบัวซะเปล่า พ่อหล่อนจะกลับหรือเปล่าก็ไม่รู้” ปรางค์ทิพย์ว่า
ประภัสสรหน้าเสีย ตันหยงทนไม่ได้
“ต้องกลับสิคะ คุณพ่อรักคุณแม่จะตายไป เข้าบ้านดีกว่าค่ะคุณแม่”
“ภัสขอตัวก่อนนะคะพี่ปรางค์ ไปค่ะน้องเมย์”
ประภัสสรเดินไป ปรางค์ทิพย์นิ่งคิด
“ทำไมหมู่นี้ นังเมย์มันดูฉลาดนักนะ มันกล้าต่อปากต่อคำกับชั้น” ปรางค์ทิพย์เจ็บใจ
ปฐวีกำลังจับชีพจรให้ร่างของตันหยง แล้วก็ถอนหายใจ ร่างตันหยงนอนนิ่งสนิทบนเตียง ปฐวีมองตันหยง
“ผมจะช่วยคุณได้ยังไงบ้างนะ คุณตันหยง”
ปฐวีมองนิ่งก่อนถอนหายใจ
ตกกลางคืน ประภัสสรส่งเมรินเข้านอน แล้วประภัสสรก็เดินออกจากห้องไปปิดไฟ
“แม่รักลูกที่สุดเลย นอนหลับฝันดีนะคะ”
“คุณแม่ก็นอนหลับฝันดีนะคะ”
ประภัสสรยิ้มให้ลูกสาวแล้วหอมแก้ม ตันหยงลุกขึ้นมานั่ง
“คุณภัสคงมีแต่น้องเมย์เป็นที่ยึดเหนี่ยวสินะ ถ้าเค้ารู้ความจริง ว่าเราไม่ใช่น้องเมย์ เค้าต้องรับไม่ได้แน่ๆ”
ปฐวีที่เพิ่งกลับอยู่ที่หน้าบ้านประภัสสร
“ป่านนี้หลับหรือยังก็ไม่รู้”
เมธีถือตุ๊กตาหมีเดินลงมาจากรถ จนมาเจอกับปฐวี
“อ้าววี เพิ่งกลับเหมือนกันหรือ”
“ครับพี่เมธี วันนี้มีเคสผ่าตัด พี่เมธีล่ะครับงานยุ่งหรือ”
“ใช่ โปรเจ็คใหญ่ปัญหาก็ยิ่งเยอะ”
ปฐวีมองตุ๊กตาหมีในมือของเมธีแล้วยิ้ม
“ของเจ้าตัวเล็กหรือ คงดีใจใหญ่เลย”
เมธียิ้ม
ปฐวีล้อพี่เขย “แล้วของพี่ภัสล่ะครับ”
“พี่ไม่รู้จะให้อะไรภัสดี ภัสเค้ามีครบทุกอย่างแล้ว”
“ความรักความเอาใจใส่ไงครับพี่เมธี”
เมธีมองหน้าปฐวี ปฐวียิ้มแล้วเดินไป
เมธีเดินย่องเข้ามาในห้องเมริน เมรินลืมตาขึ้นมอง
“พ่อกลับมาทันน้องเมย์ยังไม่นอน ทำอะไรอยู่ครับ”
“กำลังจะนอนแล้วค่ะ คุณพ่อเพิ่งกลับหรือคะ”
“ครับ พ่อพาเพื่อนใหม่มาให้ด้วยนะ ทำความรู้จักกันซะก่อน นี่น้องเมย์”
เมธีส่งตุ๊กตาให้เมริน เมรินรับมาแบบเฉยเมย
“น้องเมย์ไม่ดีใจที่ได้ตุ๊กตาเหรอ”
“ดีใจค่ะ” ตันหยงคิดแล้วพูด “แต่จะดีใจกว่านี้ ถ้าเป็นของขวัญที่คุณพ่อ เอามาให้คุณแม่”
เมธีอึ้ง
“น้องเมย์พูดถูก พ่อเองก็ห่วงแต่จะไม่มีเวลาให้ลูก จนลืมนึกถึงคุณแม่ เรานี่ใจตรงกับน้าวีเลยนะ ทักเรื่องเดียวกันเชียว ขอบใจนะลูก ที่เตือนพ่อ” เมธีว่า เมรินยิ้มให้
เมธีหอม เมรินหลับตาปี๋ เมธียิ้มแล้วให้ลูกสาวนอน
ติดตาม "พรพรหมอลเวง" ตอนที่ 4