แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 13
กนธีและเนตรนิภายังคงถือมือถือนิ่งเพราะพูดไม่ออกกันทั้งสองคน แต่ก็ยังคงไม่มีใครวางสาย ทั้งสองต่างฟัง
เสียงหายใจของกันและกันไปอย่างเงียบๆ
สร้อยเพชรเดินหนีสาวิกาและพ่อมา
“เชิญคุณดูแลไปเลยคนเดียว ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีกแล้ว” สร้อยเพชรว่า
“ใจเย็นๆสิคุณ” พ่อสาวิกาบอก
“คุณแม่ขา ขอร้องนะคะ เราสามคนคุยกันดีๆได้มั้ยคะ” สาวิกาขอร้อง
สร้อยเพชรหยุดแล้วหันมา “ได้ ฉันจะใจเย็น ฉันจะพูดดีๆ ฟังนะ กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”
ลูกค้าและพนักงานแถวนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
“ไม่อายชาวบ้านบ้างหรือไง !”
“อายสิ! ถึงได้ให้กลับบ้านอยู่นี่ไง ไปคุยกันที่บ้าน!”
“แต่....คุณแม่ยังไม่ยอมรับความคิดเห็นของวิกา วิกาไม่กลับ!”
สร้อยเพชรโมโห “วิกา!”
สาวิกาทำท่าจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ไม่ยอมเดิน
“ถ้าไม่กลับวันนี้ ก็ไม่ต้องกลับไปอีกเลยนะ!”
สร้อยเพชรเดินออกไป สาวิการ้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ พ่อสาวิกาปลอบใจ
“กลับบ้านก่อนนะลูก”
สาวิกาลังเล “แต่....”
“พ่อสัญญา...ว่าพ่อจะให้ความยุติธรรม การบังคับใจให้ใครทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ จะไม่มีทางเกิดขึ้นในบ้านของเราอีก พ่อสัญญา”
สาวิกาชั่งใจก่อนจะพยักหน้ารับ สาวิกาหันไปเห็นปริญญ์ยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ขอวิกาคุยกับเพื่อนก่อนแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยววิกาตามไปค่ะ”
พ่อสาวิกาพยักหน้ารับแล้วก็รีบเดินออกไป สาวิกาเดินมาหาปริญญ์
“หมอปิ๊นคะ” สาวิกาเรียก
“กลับไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านเถอะครับ เรื่องในบ้านก็ควรจะจัดการกันเป็นการภายใน” ปริญญ์บอก
“คุณแม่อาจจะไม่ยอมเหมือนเดิม”
“แต่อย่างน้อยคุณก็ได้แสดงให้ท่านเห็นแล้วว่าคุณมีความต้องการเป็นของตัวเอง พ่อแม่จะยอมรับหรือเปล่า ต้องเปิดใจคุยกันครับ สู้ๆ!!”
“ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจ”
“อย่าลืมส่งข่าวนะครับ” ปริญญ์บอก
“ค่ะ สู้ๆ!!”
ปริญญ์และสาวิกายิ้มให้กัน สาวิกาโบกมือให้ปริญญ์แล้วเดินจากไป ปริญญ์มองตามสาวิกาที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
เนตรนิภายังฟังมือถืออยู่ที่เดิมในท่าเดิม เงียบๆ กนธีก็ยังนั่งฟังมือถืออยู่ในท่าเดิม เนตรนิภาถอนหายใจ กนธีสะดุ้งแล้วก็ร้อนใจขึ้นมาทันทีเพราะกลัวเนตรนิภาวางสาย
“อย่าเพิ่งวางสายนะ!” เนตรนิภาบอก
“พูดออกมาได้แล้วหรือไง” กนธีถาม
“แล้วเธอล่ะ ไม่มีอะไรจะพูดหรือไง ถึงเงียบเป็นเป่าสาก”
“แล้วทำไมไม่วางสายไปซะ”
“เพราะฉันอยากรู้ว่าที่เธอโทรมา จะพูดอะไรเป็นคำแรก หลังจากที่เธอทำให้ฉันอก...” กนธีพูดแล้วก็อึ้ง
“อกอะไร” เนตรนิภาถาม
“อกสั่นขวัญแขวน” กนธีบอก
“ตกใจอะไร”
“ตกใจที่เธอโทรมา”
“ประสาท! จะตกใจทำไม” เนตรนิภาว่า
“แล้วเธอโทรมาทำไม” กนธีถาม
“ไม่รู้”
“หรือว่าโทรมาง้อ”
“ไม่ได้ง้อ แค่อยากโทร แต่ไม่รู้ว่าจะโทรมาทำไม”
“งั้นทีหลังก็อย่าโทร”
“เออ ไม่โทรก็ได้”
แล้วเนตรนิภาก็วางสายทันทีด้วยความหงุดหงิด
“ฮัลโหล ฮัลโหล..เฮ้ย!!! แค่นี้ก็ต้องวางสายใส่ ใจน้อยเกินไปแล้ว! ยัยเพี้ยน!”
แล้วกนธีก็ค่อยๆยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เนตรนิภายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ก็ไม่อยากจะเขินซึ่งก็ไม่รู้ทำไม เนตรนิภาหันไปแล้วก็สะดุ้งเฮือก เพราะเห็นเขมมิกยืนหน้าเครียดอยู่
เนตรนิภาคุยกับเขมมิก
“แกหายไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับ!” เนตรนิภาว่า
“ฉันกลับมาตั้งนานแล้วต่างหาก แต่แกไม่เห็นเอง”
เนตรนิภาอึ้งเพราะหน้าแตก “เหรอ”
“เป็นอะไร ยืนเป็นต้นตาลแห้งอยู่ได้ตั้งนานจนมืดค่ำ ไม่ยอมเข้าบ้าน”
“บ้า....ไม่แห้งแล้วย่ะ” เนตรนิภาอมยิ้ม
“คุยกับนายกนธีแล้วล่ะซี่”
“ไม่ได้คุย แค่เถียงกัน”
“คู่เวรคู่กรรม”
“จะเวรกรรมอะไรก็ช่าง เป็นแบบนี้...ก็ดีแล้วล่ะ”
เขมมิกดีใจกับเพื่อน “ดีใจด้วยนะ”
“ดีใจอะไร ยังไม่ได้ดีกันสักหน่อย” เนตรนิภารีบบอก
“ทะเลาะกันเก่งแบบนี้ ลูกหัวปีท้ายปีแหงๆ”
“เฮ้ย!!!! เขม คิดไปถึงไหนเนี่ย ไม่เอาเลิกพูด เอาเรื่องของแก เป็นไงบ้าง”
“พรุ่งนี้....ฉันจะได้รู้เรื่องทั้งหมด”
“จริงเหรอเขม จะว่าไป...ก็น่าสงสารกัปตันพีท เค้ารักแกมากจริงๆนะ ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกแกหลอก”
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะวางแผนหลอกใคร เมื่อจบเรื่องทั้งหมด ฉันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทิ้งอดีตที่เจ็บปวดทั้งที่คนอื่นทำกับฉัน และที่ฉันเคยทำไว้กับทุกคน ลืมซะให้หมด ไม่ให้เหลือ....”
เขมมิกเตรียมตัวเตรียมใจกับภารกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
พิทยาเดินมากับพิสินีย์ที่ยังดูหน้าซีด
“ผมพาคุณไปหาหมอดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดีขึ้นแล้ว คุณมาเหนื่อยๆ พักผ่อนเถอะ”
พิสินีย์สังเกตเห็นพิทยามีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา
“วันนี้ดูอารมณ์ดีนะคะ”
พิทยารีบแก้ตัว “คิดเล่นๆว่า...ถ้าที่คุณเป็น มันคืออาการแพ้ท้อง ก็คงดีนะ”
“แน่ใจเหรอคะว่าดี”
“ทำไมถามผมอย่างนั้น ผมอยากมีลูก คุณก็รู้ เค้าจะทำให้ครอบครัวเราสมบูรณ์”
“แต่ก็จะแปลว่า...คุณจะใช้เวลาในที่ทำงานมากซะจนกลับบ้านดึกทุกวันอย่างที่เป็นอยู่ไม่ได้แล้วนะคะ ถ้าอยากให้ครอบครัวเราสมบูรณ์ ฉันกับลูกคือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิต ไม่ใช่งาน”
พิทยาอึ้ง
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ ถ้าเราจะมีเค้า ฉันอยากให้เรามั่นใจว่าเราจะทุ่มเทให้เค้าได้อย่างเต็มที่”
“คุณเป็นทั้งเมียและอนาคตแม่ที่ดี”
“ฉันทุ่มเทให้กับคนที่ฉันรักหมดหัวใจเสมอค่ะ”
พิทยากอดพิสินีย์เอาไว้โดยรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ
“ผมรู้ว่าคุณทุ่มเทให้กับผมมากแค่ไหน...ผมต่างหากที่แทบจะไม่ได้ทำอะไรให้คุณ มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ”
“แค่คุณรักฉัน ไม่มีอะไรที่ไม่ยุติธรรมค่ะ”
ทั้งสองคนกอดกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
พิทยายืนใช้ความคิดอยู่เพียงลำพัง พิแสงเข้ามาคุยกับพิทยาจากทางด้านหลัง
“ฉันเห็นนายนัดเจอกับเขมมิก” พิแสงเอ่ย
พิทยาหันมาแล้วยิ้มรับ “ครับ”
“ดูนายไม่สะดุ้งสะเทือนที่ฉันรู้เรื่องนี้”
“เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด เขมมิกนัดเจอผมจริงๆ ผมยอมไปพบ เพราะอยากรู้ว่าเขมมิกจะต้องการอะไรจากผมอีก”
“นายพูดเหมือนกับว่า...เขมมิกเคยพยายามจะเจอหรือว่าร้องขออะไรจากนายมาก่อน”
“ครับ...ซึ่งผมปฏิเสธ แต่คราวนี้ เขมขู่จะไปอาละวาดกับสินีย์ และบอกสินีย์ว่าผม...เคยไปขอคืนดีกับเค้า”
พิแสงยิ่งโกรธ “เขมมิก...”
“ผู้หญิงที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ”
“นายแน่ใจเหรอว่าไม่เคยหวั่นไหว”
“ผมไม่เคยตกหลุมพรางของเขมมิก”
“คงมีแต่ฉันสินะที่โง่หลงเชื่อผู้หญิงคนนั้น”
พิทยาแอบยิ้มเยาะ “แต่คุณใหญ่ก็ตาสว่างแล้ว”
“แล้วถ้าเขมมิกยังไม่เลิกยุ่งกับนายอีกล่ะ”
“ผมคงไปห้ามเขมมิกไม่ได้ แต่ผมห้ามใจตัวเองได้”
พิแสงพูดออกมาทันที “ดี!”
พิแสงจะเดินไป พิทยารั้งไว้
“ผมขอร้องคุณใหญ่ได้มั้ยครับ อย่าพูดเรื่องนี้ได้สินีย์ฟัง ผมไม่อยากให้เธอไม่สบายใจ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่มีทางทำให้คนในครอบครัวฉันต้องเป็นทุกข์อีก”
พิแสงเดินออกไป คำพูดของพิแสงทำให้พิทยาหวั่นใจว่าพิแสงจะทำอะไร
พิแสงยืนมองพระจันทร์
“แต่ฉันจะเอาความทุกข์ไปให้กับคนที่เป็นต้นเหตุ!!! เขมมิก”
พิแสงโกรธแค้นเขมมิก
เขมมิกเดินออกมาจากบ้านขนิษฐาแล้วก็ชะงักเพราะเห็นพิแสงยืนอยู่ที่หน้าบ้าน
เขมมิกตกใจ “คุณพิแสง!!”
พิแสงเข้าไปคว้าข้อมือของเขมมิกแล้วพาเดินออกไปทันที
“ว้าย!”
พิแสงยัดเขมมิกเข้าไปในรถของเขา
“เข้าไป!”
“ฉันไม่เข้า!!”
เขมมิกพยายามจะเดินออกมาอีกแต่เจอพิแสงผลักหัวจนหงาย
“บอกให้เข้าไป”
“ไม่เข้า!!”
เขมมิกจะถีบแต่พิแสงจับขาเขมมิกเอาไว้
“จะให้หักขามั้ย!” พิแสงถาม
“ขาหัก ฉันก็จะใช้แขน!” เขมมิกบอก
“งั้นก็หักแขนด้วย!”
เขมมิกเก็บแขนและขาแล้วหวีดออกมาอย่างเหลืออด “อ๊าย!!!! มายุ่งกับฉันอีกทำไม! อ๊าย!”
“อยากรู้ใช่มั้ยได้....ฉันจะพาเธอไปธนาคาร”
“ไปทำไม” เขมมิกถาม
“เท่าไหร่ ถึงจะทำให้เธอไปจากชีวิตของน้องเขยฉัน! เลิกเป็นมือที่สาม ทำให้ครอบครัวชาวบ้านแตกแยก!”
“ฉันไม่ไป!” เขมมิกจะเดินออกจากรถ
พิแสงกันเอาไว้ไม่ให้เขมมิกเดินออกจากรถ “จะไปไหน”
“เรื่องของฉัน! ถอยไป ฉันรีบ!”
“จะไปเลื่อยขาเตียงครอบครัวน้องสาวฉันรึไง”
“เออ ! แล้วจะทำไม! จะถอยไม่ถอย!”
“ฉันไม่ถอยให้กับผู้หญิงไร้สำนึก ศีลธรรมบอดอย่างเธอ!”
“แถมฟันคมอีกต่างหากนะจะบอกให้!”
“อะไรนะ?”
เขมมิกกัดแขนพิแสงอย่างแรง
พิแสงร้องออกมา “โอ๊ย!!”
พิแสงเสียหลัก เขมมิกรีบพุ่งออกจากรถทันที
“คุณไม่มีทางขวางทางฉันได้หรอก!”
เขมมิกผลักพิแสงจนหัวทิ่มเข้าไปในรถแล้วเขมมิกก็รีบวิ่งหนีไป พิแสงเจ็บใจเขมมิก
พิทยายืนรอเขมมิกอยู่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“ในที่สุดผมก็ได้คุณคืนมา...เขม”
เขมมิกวิ่งหนีมาจนไม่เห็นพิแสงวิ่งตามมา เธอลดฝีเท้าลงแล้วก็ยิ้ม หอบ และหัวเราะอย่างสะใจมาก
“หึ....หึ หึ...ฮ่ะๆๆ” เขมมิกหยุดหัวเราะกระทันทัน “เอิ๊ก....”
พิแสงวิ่งเลี้ยวมุมตึกมา
“เธอไม่มีทางหนีฉันพ้นหรอกเขมมิก!”
“อ๊าย!! ยังจะตามมาอีก อ๊าย!!”
เขมมิกวิ่งหนีพิแสงเต็มแรง พิแสงวิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ
เขมมิกวิ่งหนีพิแสงพลางดูนาฬิกาข้อมือ
“ตายแล้ว สายแล้ว ตายแล้ว รอฉันก่อนนะพีท!”
เขมมิกเห็นกองลังกระดาษวางอยู่ก็ผลักให้ลังล้มระเนระนาดเพื่อขวางทางพิแสง พิแสงกระโดดหลบได้ในครั้งแรกแต่ต่อไปก็สะดุดล้มจนเสียหลัก เขมมิกมองอย่างดีใจแล้ววิ่งหนีต่อไป พิแสงตั้งหลักได้ ก็วิ่งตามเขมมิกต่อ
เขมมิกวิ่งหนีพิแสงมา พ่อค้าหาบเร่เดินผ่าน เขมมิกแย่งอุปกรณ์พ่อค้ามาเหวี่ยงใส่พิแสง พิแสงเบี่ยงตัวหลบได้ทัน พ่อค้าด่าเปิงแต่เขมมิกวิ่งหนีไปแล้ว พิแสงจึงจำต้องก้มหน้าฟังคำด่าแต่เพราะกลัวจะตามเขมมิกไม่ทันเขาจึงยกมือไหว้พร้อมกับจ่ายค่าเสียหายอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งตามเขมมิกต่อไป
เขมมิกวิ่งหนีพิแสงมาจนถึงถนนที่มีสัญญาณไฟเขียวให้คนข้ามถนนพอดี เขมมิกตัดสินใจวิ่งข้ามไป ตัวเลขสัญญาณไฟนับถอยหลังจาก 1 เป็น 0 สัญญาณไฟคนข้ามถนนเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงรถที่จอดให้คนข้ามถนนเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว
พิแสงวิ่งมาถึงริมถนนก็เห็นเขมมิกวิ่งข้ามถนนไปเรียบร้อยแล้ว รถราวิ่งขวักไขว่ เขมมิกหันมาโบกมือให้พิแสงที่ยืนอีกฝั่ง พิแสงจะข้ามถนนแต่ตำรวจที่ดูแลการจราจรอยู่ใกล้ๆเป่านกหวีดใส่ พิแสงชะงักและไม่กล้าข้ามถนน เขมมิกดูนาฬิกาแล้วก็ตกใจ เธอรีบวิ่งออกไปทันที พิแสงมองตามเขมมิกด้วยความเจ็บใจ
แสงสุดานั่งซึม เธอเหม่อมองออกไปนอกบ้าน พิสุทธิ์เดินเข้ามาพร้อมชามข้าวต้ม
“คุณไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้วนะ”
“ฉันทานไม่ลง...ตรอมใจ...ลูกชายไม่พูดด้วย”
“แล้วถ้าลูกชายใจอ่อน ยอมพูดด้วย...แต่คุณดันตายไปซะก่อนเพราะอดอาหาร...ทำไงล่ะ” พิสุทธิ์ถาม
“อย่ามาแช่ง นี่เกลียดฉันมากใช่มั้ย ถึงได้พูดแบบนี้ ไม่รักษาน้ำใจกันเลย”
“ใช่ เกลียดมาก...เพราะอะไรรู้มั้ย คุณคือนังมารร้าย เผด็จการ ไม่มีหัวใจ รักใครไม่เป็น คิดถึงแต่ความต้องการของตัวเอง ใจดำ....”
แสงสุดาขัด “ที่ผ่านมา ยังด่าฉันไม่สาแก่ใจอีกหรือไง”
พิสุทธิ์หยุดด่าแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แต่ผมก็ทนได้ เพราะผมเข้าใจคุณ
“ตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ” แสงสุดาว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น...ผมจะบอกคุณว่า...ถ้าคุณเข้าใจลูก เข้าใจผม เราทุกคนเข้าใจกัน โดยไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงใคร ยอมรับในความแตกต่าง ความต้องการที่ไม่เหมือนกัน บ้านเราก็จะมีความสุข”
“ถ้าฉันเข้าใจตาใหญ่ ลูกก็จะมีความสุข เมื่อลูกมีความสุข....” แสงสุดาพูด
“พ่อกับแม่อย่างเราก็มีความสุข” พิสุทธิ์พูดต่อ “...ความสุขของเรา ไม่ใช่ความสุขของลูก แต่ความสุขของลูกคือความสุขของเรา ถูกมั้ย”
แสงสุดาพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“เราเลือกได้นะว่าอยากให้บ้านมีความสุข หรือร้อนเป็นไฟ”
แสงสุดารู้สึกผิด “ฉัน...เสียใจจริงๆนะคะ”
“ผมรู้...”
พิสุทธิ์กอดปลอบใจแสงสุดาที่กำลังกลัดกลุ้ม
“ฉันอยากขอโทษลูก” แสงสุดาบอก
“ขอโทษผมก่อนเถอะ...ยังไม่พูดเลยสักคำ”
“พูดแล้ว” แสงสุดาบอก
“ตอนไหน”
“ยังไม่เคยพูดเหรอ”
พิสุทธิ์ส่ายหน้า
“ก็ได้...ขอโทษ”
“ยกให้ อ่ะ ป้อนนะ”
พิสุทธิ์กับแสงสุดายิ้มให้กันอย่างเข้าใจกัน แสงสุดารอกินข้าวต้มจากมือพิสุทธิ์ แต่พิสุทธิ์กลับป้อนตัวเอง
แสงสุดางอน “คุณพิสุทธิ์!!”
เขมมิกวิ่งเข้ามาที่จุดที่เธอนัดพบกับพิทยาในสภาพที่ค่อนข้างเยิน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของพิทยา
“โธ่เอ้ย!!! อย่าบอกนะว่าไม่รอกันแล้ว”
เขมมิกทั้งเหนื่อยทั้งหงุดหงิด เธอรีบหยิบมือถือขึ้นมาก็เห็นหน้าจอโทรศัพท์ว่ามี missed call จากพิทยาสิบสามสาย
“อะไรกันเนี่ย!!! ฉันขอโทษ...ฉันมาสาย...ก็สายแค่ชั่วโมงกว่าเอง โอ๊ย!”
เขมมิกเจ็บใจตัวเองและเจ็บใจพิแสง
เสียงพิทยาดังขึ้น “ผมยังรอคุณอยู่”
เขมมิกดีใจแล้วรีบหันไป “พีท!!”
“ผมไปซื้อน้ำ เผื่อคุณด้วย”
เขมมิกรับแก้วน้ำมา มองหน้าพิทยา หลากหลายความรู้สึก ทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ
“มองหน้าผมแบบนี้...หมายความว่าไงฮึ”
“ฉันรู้สึกขอบคุณคุณจริงๆ...ที่รอฉัน” เขมมิกบอก
“เพราะผมรู้ว่าคุณต้องมาหาผม”
“คุณเชื่อใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“และผมก็คิดถูก...ใช่มั้ย คุณเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมานะ”
“อ๋อ..คือ” เขมมิกพยายามทำตัวเองให้ปกติ “ฉัน...นั่งมอเตอร์ไซค์วินมาน่ะ มัวแต่...ทำสวยซะลืมเวลา ขอโทษนะ”
“คุณสวยเสมอสำหรับผมนะ เราเดินคุยกันไปได้มั้ย”
“ได้สิ...แต่...นั่งบ้างก็ได้นะ เดี๋ยวนี้ฉันค่อนข้างเมื่อยง่าย”
พิทยาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ฮ่ะๆๆ ได้สิ...หรือจะให้ผมอุ้ม”
“บ้า..อย่าเซี้ยว”
“นี่สิ...เขมมิกคนเดิมของผม”
พิทยาช่วยจัดแต่งผมของเขมมิกที่ฟูให้อย่างอ่อนโยนและเบามือ เขมมิกมองหน้าพิทยาแล้วทำเป็นซึ้ง มือของเขมมิกยังคงถือมือถือเอาไว้
พิแสงเข้าบ้านมาอย่างหงุดหงิด แสงสุดากับพิสุทธิ์เดินเข้ามาหาพิแสง
“เอาสิคุณ...พูดเลย” พิสุทธิ์เชียร์
“ตาใหญ่...แม่ขะ” แสงสุดาจะพูดแต่เสียงมือถือของพิแสงดังขัดจังหวะ แสงสุดาเซ็ง
“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแม่” พิแสงดูเบอร์ “หมอปิ๊น....?” พิแสงรับสายแล้วเดินเลี่ยงไป “ฮัลโหล ว่าไง ไอ้หมอ!”
พิสุทธิ์ปลอบใจแสงสุดา
“เอาน่ะ วันพระไม่ได้มีหนเดียว เดี๋ยวก็เลี้ยวกลับมา” พิสุทธิ์ปลอบใจ
พิแสงวิ่งกลับเข้ามาแบบหน้าตาตื่นตกใจ
“เห็นมั้ย ผมบอกแล้ว ว่าเดี๋ยวต้องเลี้ยวมา” พิสุทธิ์บอก
พิแสงจ้องหน้าแสงสุดาและพิสุทธิ์เหมือนมีอะไรจะพูด
หลอด เสริม และชมพู่ยืนหน้าเสียอยู่กับคนงาน ปริญญ์เดินเข้ามา
“ผมโทรบอกคุณพิแสงแล้ว กำลังจะบินกลับมา” ปริญญ์เล่า
ทุกคนถอนหายใจ
“ใครวะ! วางยาเบื่อหมูกู! กูเลี้ยงของกูมา รักเหมือนลูกเหมือนหลาน ทำแบบนี้..เหมือนขยี้หัวใจหลอด” หลอดคร่ำครวญ
“ดีนะ ที่ตายไปไม่กี่ตัว ถ้าหมดเล้า สงสัย...” เสริมพูด
ชมพู่ร้องไห้ “เจ๊งสิค้า แง้!!!”
“ปากอัปมงคลจริงๆ เงียบ!” หลอดว่า
ชมพู่รีบปิดปาก “อึ๊บ!!”
“หมูตายหลังจากกินอาหาร....ใครเป็นคนผสมอาหาร” ปริญญ์ถาม
หลอดกับเสริมยกมือ
“แล้วทำไมไม่รู้จักชิมก่อนให้พวกมันกิน เคยดูหนังจีนมั้ย ที่ขันทีต้องชิมกับข้าวก่อนเอาไปเสริ์ฟให้ฮ่องเต้น่ะ” ชมพู่บอก
“กูไม่ใช่ขันที!!! เป็นคนเลี้ยงหมู แล้วนี่ก็อาหารหมู ไม่ใช่อาหารคน” หลอดว่า
“ให้ชมพู่เป็นคนชิม เอามั้ย” เสริมถาม
“ไม่เอา!” ชมพู่รีบตอบ
“ผมว่า...ไปเตรียมตัวตอบคำถามนายหัวให้ดีๆก็แล้วกัน ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง” ปริญญ์บอก
หลอด เสริม และชมพู่ใจเสียและหน้าเสีย
“จะถูกไล่ออกมั้ยวะเนี่ย” หลอดหน้าเสีย
“ชัวร์!” ชมพู่บอก
หลอดกับเสริมถอนหายใจ “เฮ้อ!!”
อนงค์กำลังขุดหลุมกลบฝังซองยาเบื่อ วาสินีเดินเข้ามา
“แม่ทำอะไร” วาสินีถาม
อนงค์สะดุ้งด้วยความตกใจ “ว้าย!!! นังน้ำหวาน มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“แม่ฝังอะไร”
“ซองยาเบื่อ!”
“ที่หมูนายหัวล้ม....แสดงว่า...ฝีมือแม่?”
อนงค์ตอบ “ใช่!”
“แม่! ทำแบบนี้ทำไม!”
อนงค์ยิ้มเจ้าเล่ห์
แสงสุดายิ้มให้พิแสงอย่างอ่อนโยน
“โถ...ตาใหญ่....คงเข้าใจแม่แล้วใช่มั้ย...ว่าแม่รู้สึกยังไง แม่...”
พิแสงพูดขัด “ผมต้องกลับพัทลุงด่วนครับ เดี๋ยวนี้!”
แสงสุดากับพิสุทธิ์เซ็งขึ้นมาอีก
“มีเรื่องอะไรร้ายแรงหรือเปล่า ตาใหญ่” พิสุทธิ์ถาม
“หมูผม...ถูกวางยา” พิแสงบอก
แสงสุดากับพิสุทธิ์ตกใจมาก “อะไรนะ!!”
อนงค์เดินมากับวาสินี วาสินีมีท่าทางร้อนใจ
“ทำไมแม่ต้องทำถึงขนาดนี้” วาสินีถาม
“หมูคือหัวใจของนายหัว หมูเป็นอะไรไป นายหัวจะไม่มีทางทนได้! แล้วนายหัวจะต้องกลับมาจัดการทุกอย่าง” อนงค์บอก
“มันไม่รุนแรงเกินไปเหรอแม่”
“ไม่แรง มันจะมีเรตติ้ง ทำให้คนสนใจได้หรือไง”
“แต่ถ้านายหัวรู้ว่าแม่เป็นคนทำ”
“จะรู้ได้ยังไงนังโง่ ถ้าแกไม่ปากโป้ง”
“แล้วแม่ไม่คิดว่าจะมีคนเห็นแม่เอายาเบื่อไปใส่ในอาหารหมูหรือไง”
“ไม่มีทางแน่นอน ทุกคนจะต้องคิดว่า...เป็นฝีมือของผัวแก!”
“แม่!”
“ไม่ใช่สิ พูดผิด...เป็นฝีมือของผัวเก่าแกต่างหาก..มันจะต้องกระเด็นออกไปจากชีวิตของแก ของฉัน! ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นแม่ยายไอ้ต่อลาภ เซลส์กระจอกนั่น!”
“แม่!”
“แต่ถ้าแกปากโป้ง ฉันนี่แหละจะเป็นคนฝังแกไม่ให้ผุดให้เกิด!”
วาสินีพูดไม่ออกเพราะยังเกรงอนงค์อยู่มาก อนงคฺยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินออกไปด้วยความสะใจ
เขมมิกวางมือถือตัวเองลงกลางโต๊ะ เนตรนิภากับขนิษฐามองอย่างแปลกใจ
“เขมอัดคลิปเสียงของพีทไว้ในมือถือค่ะแม่ พีทเล่าทุกอย่างให้เขมฟังหมดแล้ว” เขมมิกบอก
เขมมิกหน้าเศร้าด้วยความสะเทือนใจ
“เขม...เป็นอะไรไปลูก” ขนิษฐาถาม
“เขมกำลังรู้สึกว่า ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวอะไรเลย เกิดมาก็ตัวเปล่า ตายไปก็ตัวเปล่า แต่ทำไมถึงต้องดิ้นรน แสวงหา รัก โลภ โกรธ หลง ซับซ้อนซ่อนเงื่อนกันได้ขนาดนี้ และคนที่ทุกข์ สุดท้ายก็คือตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น”
“ต้องรีบเปิดฟังด่วนค่ะป้า”
เขมมิกลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันทีเพราะไม่อยากจะฟังซ้ำอีก เนตรนิภากดเปิดหาคลิปเสียงในมือถือของเขมมิก
เขมมิกยืนอยู่คนเดียว เธอถอนหายใจแล้วตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
“ขอโทษนะคะพีท...แต่เรื่องแบบนี้ กรรมใครก็กรรมมัน”
ธรรมศักดิ์ยืนอึ้งในขณะที่มองมือถือเขมมิกในมือ หน้าจอมือถือเครื่องนั้นกำลังเล่นคลิปเสียงซึ่งมาถึงตอนท้ายสุดพอดี แล้วไฟล์ก็หยุดลง ธรรมศักดิ์กดปิด เขมมิก เนตรนิภา และขนิษฐามองธรรมศักดิ์อย่างรอคอยว่าธรรมศักดิ์จะเอายังไง
“ลุงจะทำยังไงต่อไปคะ” เขมมิกถาม
“ไปเรียนความจริงกับท่านประธานโดยเร็วที่สุดครับ” ธรรมศักดิ์บอก
ทุกคนอึ้งกันไปหมดเพราะรู้สึกสะเทือนใจ
“คนที่น่าสงสารที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือคุณพิสินีย์” เนตรนิภาบอก
“ใช่...ต้องมารับเคราะห์กรรม ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ” ขนิษฐาเห็นด้วย
“ขอบคุณคุณเขมมากนะครับที่กรุณายอมช่วยผม” ธรรมศักดิ์กล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ เขมทำได้ทุกอย่างเพื่อ...แก้ตัว”
ทุกคนอึ้ง เขมมิกยิ้มเศร้า
“เอาเป็นว่า เสร็จเรื่องเสร็จราวกันซะที ถึงเวลาที่เขมก็ต้องเดินหน้าต่อไปแล้วลูก
“เขมยังเดินหน้าต่อไปไม่ได้ค่ะแม่”
เขมมิกคิดถึงพิแสง
“เขมมีเคลียร์ครั้งสุดท้ายค่ะ”
ทุกคนเห็นใจเขมมิก
คอกหมูไม่มีหมูมีแต่คนงานที่กำลังทำความสะอาดอยู่ พิแสงยืนหน้าเครียดมองคอกหมูนั้นอยู่กับปริญญ์ อนงค์ หลอด เสริม และชมพู่
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” พิแสงถาม
หลอด เสริม และชมพู่ทำตาปริบๆ เพราะไม่กล้าพูด
“ฉันถาม!! ทำไมไม่ตอบ!” พิแสงตะคอก
หลอด เสริม และชมพู่สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจแต่ก็ยังอึกอักไม่กล้าพูด
ปริญญ์พูดออกมา “ผมพยายามสอบสวนคนงานทุกคนอยู่ครับ ว่านอกเหนือจากนายหลอด นายเสริมและคนอื่นๆที่มีหน้าที่ผสมอาหารหมูแล้ว มีใครไปป้วนเปี้ยนอยู่ตรงนั้นอีกหรือเปล่า”
“ได้เรื่องว่าไงบ้าง” พิแสงถาม
“ไม่มีคนนอกที่ไหนจะเข้ามายุ่งในส่วนนี้ได้เลย จะมีก็แต่คนใน” ปริญญ์บอก
พิแสงสงสัย “คนใน?”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 13 (ต่อ)
ปริญญ์พยักหน้ารับด้วยความอึดอัดใจเพราะได้เบาะแสบางอย่างมา พิแสงแปลกใจว่าเป็นใคร
อนงค์จ่ายเงินให้กับคนงาน
“เอาไป แล้วอย่าปากโป้งนะ ว่าฉันใช้แกให้วางยาเบื่อ ถ้าฉันซวยแกก็ซวยด้วย! จำไว้!”
“จ๊ะป้า รับรอง” คนงานบอก
แล้วคนงานก็รีบเดินออกไป อนงค์มองซ้ายมองขวาพอไม่เห็นเห็นก็ยิ้มย่องด้วยความสะใจ
พิแสงยังคุยกับปริญญ์ หลอด เสริม และชมพู่
“คนใน แกหมายถึงคนงานในฟาร์มของเราเองเนี่ยนะ” พิแสงถามย้ำ
“ครับ” ปริญญ์ตอบ
อนงค์เดินเข้ามาเห็นทุกคนกำลังประชุมเครียดจึงแอบฟัง
“อย่าให้รู้นะว่าใคร จะ....” หลอดพูดยังไม่จบ
พิแสงก็ขัดขึ้นมา “แกก็ต้องโดนด้วย ไอ้หลอด ฐานไม่ระวัง ไม่รอบคอบ! ทำงานมากี่ปีแล้ว!”
“โธ่ นายหัวครับ ใครมันจะไปคิดว่าจะมีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นกับถังข้าวหมูผม พวกผมเลี้ยงหมูเหมือนเลี้ยงลูก” หลอดบอก
“อาจจะขี้ลืมล็อกประตูคอก ปล่อยมันหลุดไปบ้างไรบ้าง” เสริมว่า
“แต่พวกผมก็พยายามทำงานตามหน้าที่อย่างดีที่สุด” หลอดบอก
“ถ้าดีที่สุดได้แค่นี้ ฉันไล่พวกแกออก!” พิแสงเสียงดัง
ปริญญ์ตกใจ “คุณพิแสง!”
หลอด เสริม และชมพู่ก็ตกใจ “นายหัว!!”
อนงค์ที่แอบฟังอยู่ยิ้มพอใจมาก
“เสียใจด้วยนะ ไอ้หลอด ไอ้เสริม...” ชมพู่พูด
“ไล่เธอออกด้วย ชมพู่!” พิแสงบอก
“หา!!!ชมพู่ผิดอะไรคะนายหัว!
“ฉันยังไม่ได้สะสางคดีกับเธอเรื่องที่แอบเป็นสายให้กับคุณแม่และให้ความช่วยเหลือเขมมิกทำร้ายฉัน! ไม่ฆ่าให้ตายก็บุญแล้ว!”
“ไล่ออกก็พอค่ะ ขอบคุณค่ะ” ชมพู่บอก
อนงค์ได้ยินก็ยิ่งสะใจ
“สมน้ำหน้า...ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองสามตัว ฮิฮิ”
ปริญญ์พยายามปรามพิแสง
“คุณพิแสง ใจเย็นๆก่อนได้มั้ยครับ หลอด เสริม ชมพู่เป็นคนงานที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานมา และเป็นคนดีที่สุดที่อยู่ข้างๆคุณ ไล่พวกเค้าออกด้วยเหตุผลนี้ มันไม่ยุติธรรม” ปริญญ์ช่วยพูด
“ไม่มีความยุติธรรมบนโลกใบนี้หรอกไอ้หมอ ไม่ต้องร้องหา! เรื่องหมูถูกวางยาก็เหมือนกัน...ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสืบหาคนทำหรอก เสียเวลา” พิแสงว่า
“ทำไมล่ะครับ” ปริญญ์ถาม
“ฉันจะขายฟาร์ม”
“คุณพิแสง!”
หลอด เสริม และชมพู่ตกใจ “นายหัว!!”
อนงค์ตกใจและผิดหวัง “ขายฟาร์ม!”
“ฉันไม่อยากอยู่กับสิ่งที่ทำให้ฉันทรมานใจอีกแล้ว” พิแสงบอก
“แต่ผมก็ต้องสืบให้รู้ให้ได้ ว่าใครวางยาหมู” หลอดพูด
“ถึงนายหัวไม่แคร์วิญญาณคุณปู่ ไม่แคร์วิญญาณหมูที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร แต่เราแคร์” เสริมว่า
“ชมพู่ก็เหมือนกัน”
ปริญญ์ หลอด เสริม และชมพู่มองพิแสงด้วยความผิดหวัง อนงค์ร้อนใจเพราะเห็นว่าผิดแผนจึงวิ่งออกไปทันที
ปริญญ์ หลอด เสริม ชมพู่มองพิแสงอย่างผิดหวังจนพิแสงใจหายวาบ
“อย่ามองฉันด้วยสายแบบนี้ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันมีสิทธิ์ขายที่นี่ อย่ามองเหมือนฉันเพิ่งจะฆ่าคนตายมา”
พิแสงเดินเลี่ยงไป ปริญญ์เดินตามไปทันที หลอด เสริม และชมพู่ก็เดินตามไปด้วย
พิแสงเดินมาหยุดที่หน้าคอกทีเด็ดและลิเดีย ทีเด็ดกับลิเดียจ้องมองมาที่พิแสง พิแสงอึ้ง ปริญญ์ หลอด เสริม และชมพู่เดินตามมา
“คุณไม่ได้ฆ่าคนตายหรอก สำหรับผมมันยิ่งกว่านั้น!” ปริญญ์ว่า
พิแสงชะงัก
“แต่คุณฆ่าเจตนารมณ์ของคุณปู่ของคุณให้ตายไปพร้อมๆกับจิตวิญญาณที่เคยเข้มแข็งของคุณต่างหาก!”
พิแสงอึ้ง
“คุณทำให้วิญญาณคุณปู่ที่ปกปักรักษาที่นี่ผิดหวัง คุณทำให้ผม คนงานทีเด็ด ลิเดียและหมูทุกตัวที่นี่ผิดหวัง คุณทำให้หมูผู้บริสุทธิ์ต้องตายไปอย่างสูญเปล่า เพราะความอ่อนแอของคุณ!”
พิแสงอึ้งและพูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาของทีเด็ดและลิเดีย พิแสงจึงเมินหน้าทันที
“จะขายที่นี่ใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นตัวผมเองก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อไปแล้วเหมือนกัน” ปริญญ์บอก
พิแสงยืนอึ้งเพราะเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ ท่ามกลางสายตาผิดหวังของทั้งคนและหมู
เขมมิกยกมือไหว้ธรรมศักดิ์
“เขมลาลุงตรงนี้เลยละกัน ขอบคุณค่ะสำหรับน้ำใจที่ลุงมีให้หนู” เขมมิกยกมือไหว้
“เป็นหน้าที่ที่ผมต้องช่วยคุณกับคุณแม่สุดกำลังความสามารถครับ” ธรรมศักดิ์บอก
“ทำไมลุงถึงดีกับหนูจัง ลูกหลานก็ไม่ใช่”
“ผมเคยตั้งปณิธานเอาไว้ว่า ผมจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านมกรา คุณพ่อคุณเขมให้ได้ในวันหนึ่ง”
เขมมิกงง “ลุงรู้จักพ่อหนู?”
“ครับ....”
หลายปีก่อน ธรรมศักดิ์ในวัยหนุ่มใส่ชุดทหารเกณฑ์กำลังกวาดใบไม้อยู่หน้าบ้านพักที่มีป้ายติดอยู่ที่หน้าบ้านว่า พ.ต มกรา ศักดิ์ธำรงไพศาล
เขมมิกดีใจเพราะจำธรรมศักดิ์ได้
“ลุงเป็นทหารเกณฑ์ มาทำงานที่บ้านคุณพ่อ อุ๊ย...ต้องเรียกใหม่สิ ไม่ใช่ลุง...แก่เกิ๊น...คุณอาดีกว่ามั้ยคะ”
“แล้วแต่สะดวกคุณเขมครับ”
“แล้วทำไมลุงไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรกว่าลุงเป็นใคร” เขมมิกถาม
“บอกไม่ได้ครับ ความเสี่ยงสูง มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมไม่กล้าเปิดเผยตัวเองกับแม่ของคุณ”
เขมมิกแปลกใจ
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ธรรมศักดิ์ในวัยหนุ่มแบกถุงทะเลเนื่องจากปลดประจำการแล้ว เขาเดินย่องออกจากบ้านอย่างเงียบๆ
เสียงขนิษฐาดังออกมาจากบ้าน “ไหน มันไปแล้วหรือยัง!!”
ธรรมศักดิ์รีบวิ่งออกจากบ้านไปหลบอยู่ข้างกำแพง ขนิษฐาวิ่งออกมามองหาธรรมศักดิ์
“ไอ้ศักดิ์! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้ศักกะเบือ!!”
พ.ต มกราวิ่งตามออกมารั้งขนิษฐาเอาไว้
“อย่าเสียงดังได้มั้ยคุณ น้องเขมหลับอยู่ เดี๋ยวลูกก็ตื่นงอแง!”
“แล้วคุณให้มันไปทำไมตั้งห้าพัน! หา!” ขนิษฐาถาม
“ก็มันเดือดร้อน” มกราตอบ
“แล้วจะไว้ใจได้ไง ว่ามันจะเอามาคืน”
“ผมไม่ได้ให้ยืม แต่ให้มันไปเลย”
“จะเป็นพ่อพระกับคนทั่วประเทศเลยหรือไง มันอาจจะเอาเงินไปแทงหวย ลงขวดแต่โกหกคุณก็ได้”
“ถ้าคิดจะให้ก็ไม่ต้องถาม ถ้ามันไม่รักดี สุดท้ายมันนั่นแหละที่จะรับกรรมเอง ผมถือว่าผมทำหน้าที่ของผมจบแล้ว”
ขนิษฐาไม่พอใจมาก
เมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ธรรมศักดิ์ก็ปาดน้ำตาที่ซึมออกมา
“ลุงเอาเงินไปทำอะไรคะ” เขมมิกถาม
“เป็นค่าหน่วยกิต เรียนกฎหมายต่อให้จบครับ พ่อแม่ผมยากจนมาก ต้องส่งเสียน้องหลายคน ครบกำหนดรับใช้ชาติ ผมไม่มีเงินเลย แต่อยากเรียนให้จบ จะได้มีงานทำ ช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้อง ท่านทราบ จึงเมตตาถ้าไม่ได้เงินจากท่านในวันนั้น ก็ไม่มีผมในวันนี้”
“คุณพ่อเป็นคนใจดีมาก แต่บางทีก็ดีเกินไปจนถูกเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ”
“ครับ คุณขนิษฐาจึงไม่ไว้ใจผม และไม่พอใจผมมาก”
“แต่...ลุงก็น่าจะบอกกับแม่ได้ว่าลุงไม่ได้เป็นอย่างที่แม่คิด”
“ผมไม่มีโอกาสได้แก้ต่างให้ตัวเอง เพราะผมได้รับทุนไปเรียนต่อเมืองนอก ส่งจดหมายมาก็ถูกตีกลับ เพราะท่านย้ายไปจังหวัดอื่นเสียแล้ว เมื่อได้เจอกันอีกครั้ง การพูดถึงท่านมกราอีก อาจจะทำให้อาการป่วยของคุณแม่คุณกำเริบ”
“แม่ปลงได้เยอะแล้วล่ะค่ะ แต่ยังวางได้ไม่หมด” เขมมิกเปลี่ยนเรื่อง “นี่ค่ะ...ซีดี” เขมมิกยื่นซีดีให้ “เขมถ่ายคลิปเสียงของพีทจากมือถือเขมลงซีดีให้ลุง”
ธรรมศักดิ์รับมาแล้วเอาใส่ในกระเป๋าเอกสาร “ขอบคุณมากครับ ผมจะเอาไปเป็นหลักฐาน เปิดให้ท่านประธานฟัง....”
“โชคดีนะคะลุง”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งแอบถ่ายคลิปอยู่จากมุมหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งหลบออกไปทันทีในขณะที่ธรรมศักดิ์เดินออกมาจากบ้าน
พิทยาดูวิดีโอคลิปที่ชายฉกรรจ์ส่งมาให้จนถึงช็อตสุดท้ายที่ธรรมศักดิ์ผละไปจากเขมมิก พิทยากดปิดแล้วต่อสายหาชายฉกรรจ์ทันที
“เอาซีดีมันมาให้ฉัน!”
ชายฉกรรจ์แอบดูธรรมศักดิ์ที่กำลังเดินมาที่รถ ชายฉกรรจ์มองซ้าย มองขวา จนเห็นว่าปลอดคน จึงกระชับท่อแป๊บที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแจ็กเก็ตแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังของธรรมศักดิ์ที่กำลังจะเปิดประตูรถ เมื่อไม่มีคน ชายฉกรรจ์ก็หวดไปที่ศีรษะของธรรมศักดิ์เต็มแรง ธรรมศักดิ์ร่วงไปนอนที่พื้น ชายฉกรรจ์ฉกกระเป๋าเอกสารแล้วค้นตามตัวจนได้กระเป๋าเงินและมือถือก่อนจะรีบวิ่งหนีไปทันที
วาสินีตกใจหลังจากที่คุยกับอนงค์
“นายหัวจะขายฟาร์ม!”
“เออสิ! อุตส่าห์เสียเงินให้คนไปวางยาหมู กะแค่ว่าจะทำให้นายหัวกลับมาสนใจงานที่ฟาร์ม เพราะนายหัวรักหมูรักฟาร์มมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ดัน....ผิดแผน! เสียเงินเสียเวลาไปฟรีๆ!” อนงค์ว่า
“นังเขมมิกมันมีอิทธิพลกับนายหัวมากขนาดนี้ แม่เห็นแล้วใช่มั้ย เลิกบังคับให้หนูจับนายหัวสักทีเถอะ”
“ไม่เลิก! แกต้องทำให้นายหัวเลิกคิดขายที่นี่ ไม่งั้นฉันจะไปอยู่ที่ไหน แกอีกล่ะ”
พิแสงเดินหน้าเครียดเข้ามา อนงค์กับวาสินีรีบทำตัวเป็นปกติทันที
“นายหัว....หิวหรือยังคะ อนงค์เตรียม....”
พิแสงตัดบท “น้ำหวาน โทรตามนายต่อลาภมาพบผม ด่วน!!”
“นายหัวจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับยูเอฟเหรอคะ” วาสินีถาม
“ผมจะเจรจาขายที่นี่กับยูเอฟ”
อนงค์กับวาสินีอึ้ง พิแสงเดินเข้าห้องทำงานไป อนงค์หันมามองวาสินีด้วยสายตาบังคับ วาสินีรู้สึกอึดอัดมาก
พิทยาขับรถมาจอดเทียบข้างชายฉกรรจ์ที่จอดรถมอเตอร์ไซค์รออยู่ พิทยาลดกระจกรถ ชายฉกรรจ์ส่งซองซีดีให้พิทยา พิทยาส่งซองเงินให้ชายฉกรรจ์
“ฝากบอกเฮียย้งด้วย ว่าขอบคุณมาก”
“ครับ”
พิทยาปิดกระจกรถแล้วแล่นรถออกไป
พิทยาจอดรถเทียบฟุตบาทแล้วถอนใจ เขามองแผ่นซีดีในมือแล้วใส่แผ่นเข้าไปในเครื่องเสียง
“ขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลยนะเขม....”
พิทยากดเล่นซีดี
เสียงพิทยาดังออกมาจากเครื่อง “พ่อแม่ผม...ล้มละลายเพราะถูกนายพิสุทธิ์และคุณแสงสุดาโกงหุ้นพีบูติกแอร์ไลน์”
เสียงเขมมิกดังตามมา “อะไรนะคะ!”
พิทยาน้ำตาซึมด้วยความผิดหวังและเสียใจที่ถูกเขมมิกหักหลัง
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา หลังจากรู้เรื่องจากปากพิทยา เขมมิกก็ยืนตกใจอยู่ตรงหน้าพิทยาที่ตัดสินใจเล่าเรื่องความหลังความจริงให้ฟัง
“พวกเค้าฮุบธุรกิจไปเป็นของตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จ พ่อแม่ผมแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ในขณะที่ผมเองก็ยังเรียนไม่จบ อายุแค่ 12 ปี หลังจากนั้นไม่กี่วัน พ่อผมก็หัวใจวาย...ขณะขับรถ....รถเสียหลัก ชน
ตอม่อสะพาน ผมคือคนเดียวที่รอดชีวิต พ่อผมตายคาที่ ส่วนแม่ผมที่กอดผมไว้ เพื่อปกป้องผมจากแรงกระแทก ไปเสียชีวิตอย่างทรมานที่โรงพยาบาล”
พิทยาพูดต่อไปไม่ได้เพราะรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกที่ลำคอด้วยความสะเทือนใจ
“พีท....”
“จริงๆแล้วผมชื่อพีระ...แต่หลังจากที่เจ้าสัวอเนก เจ้าของบริษัทยูเอฟ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของพ่อแม่ผมรับผมไปอุปการะ ผมก็ขอท่านเปลี่ยนชื่อ และขอให้ปกปิดที่มาของผม อย่าให้ใครรู้หรือขุดคุ้ยเจอ”
“คุณทำอย่างนั้นทำไม” เขมมิกถาม
“ผมวางแผนทุกอย่าง ตั้งแต่เลือกเรียนการบิน เพื่อเข้าไปเป็นกัปตันสายการบินพีบูติกแอร์ไลน์ และทำทุกอย่างเพื่อให้เข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวพิสุทธิเสวี...โดยที่ผมไม่ได้รักพิสินีย์แม้สักนิดเดียว”
เขมมิกอึ้ง
“ผมตั้งใจทำงาน ให้ทุกคนเชื่อใจ เพื่อจะได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด ที่มีอำนาจการตัดสินใจทุกอย่าง ทำทุกอย่างให้นายพิแสงจมปลักอยู่ที่พัทลุงโดยยืมมือยูเอฟให้เข้าไปจัดการ เพื่อไม่ให้นายพิแสงมาขวางทางผมที่นี่ ผมขอโทษนะถ้าคราวนั้น...ลูกน้องของเฮียที่ผมให้ไปจัดการนายพิแสงทำให้คุณต้องเจ็บไปบ้าง”
เขมมิกอึ้ง เธอแอบมองพิทยาอย่างไม่พอใจ
“เมื่อผมได้นั่งเก้าอี้ประธานบริหารแล้ว...ผมจะทำลายพีบูติกแอร์ไลน์ให้ย่อยยับด้วยมือของผมเอง จากนั้น ผมจะทิ้งทุกอย่าง....ไปอยู่กับคนที่ผมรักมากที่สุด แล้วเค้าก็รักผมเหมือนกัน”
พิทยาจับมือเขมมิกเอาไว้
เขมมิกพูดไม่ออก “แล้วถ้ามันไม่สำเร็จล่ะคะ ถ้าคุณพิแสงไม่ยอมเซ็นสัญญากับยูเอฟ ถ้าเค้าทิ้งฟาร์มมาอยู่ที่นี่”
“ผมจะไม่ยอมให้การลงทุนของผมต้องเสียเปล่า....จะไม่มีพีบูติกแอร์ไลน์ให้เค้าบริหาร”
“คุณจะทำยังไงคะ”
“คนของผมที่แทรกซึมอยู่ข้างในกำลังรอคำสั่งจากผม แค่ผมโทรไปครั้งเดียว พีบูติกแอร์ไลน์ก็จะพังพินาศ ไม่เหลือเครดิต”
“คนของคุณ ใครคะ”
“ผมต้องปกปิดสถานะของเค้า ขอโทษด้วยนะเขม ผมบอกคุณไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ และก็ขอบคุณนะคะที่ไว้ใจฉัน”
“เพราะผมรักคุณมาก ขอบคุณคุณเหมือนกันที่อยู่เคียงข้างและเข้าใจผม”
พิทยานั่งลงคุกเข่าตรงหน้าเขมมิกแล้วหยิบแหวนวงเดิมมายื่นให้เขมมิก
เขมมิกตกใจจนอึ้งไป “แหวน....วงนั้น”
ภาพในอดีตตอนที่เขมมิกถอดแหวนวงนี้แล้วกระทืบก่อนจะเตะตกน้ำย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ผมเก็บมันขึ้นมา เก็บไว้ รอวันที่จะสวมให้คุณอีก เพราะผมมั่นใจว่า ผมต้องได้คุณคืนมา หลังจากที่ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่งงานกับผมนะครับ”
“พีทคะ....ฉันขอเวลาหน่อยได้มั้ย ฉันอยากพาแม่ไปรักษาตัวก่อน ฉันคงเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้าจะอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขในขณะที่แม่ยังป่วยหนัก ได้มั้ยคะ”
“ไม่มีอะไรที่คุณขอแล้วผมจะให้ไม่ได้”
“ขอบคุณนะคะพีท ที่เชื่อใจฉัน เล่าทุกอย่างให้ฉันฟัง”
พิทยาโอบเขมมิกเข้ามากอดโดยที่แหวนยังอยู่ในมือ
เหตุการณ์ปัจจุบัน พิทยาหยิบแหวนในกระเป๋าเสื้อมาดูด้วยน้ำตาคลอเบ้าอย่างผิดหวัง
“คุณหักหลังผม!!”
พิทยากำแหวนแน่น เขาหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรหาเขมมิกแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเขมมิก พิทยาวางสายด้วยความหงุดหงิด แล้วพิทยาก็เกิดความระแวงขึ้นมาทันที
“หรือว่า...เขมจะไปที่บ้าน”
พิทยาเลี้ยวกลับรถไปด้วยความเร็ว
พิแสงยืนมองชมพู่ที่กำลังขนกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากบ้านด้วยความโศกเศร้ามาก
“อย่าเพิ่งไปตอนนี้เลย” พิแสงบอก
ชมพู่ดีใจ “นายหัวไม่ไล่ชมพู่ออกแล้วใช่มั้ยคะ” ชมพู่วางกระเป๋า “ขอบคุณมากค่ะ ชมพู่สัญญาว่าจะทำตัวเป็นคนรับใช้ที่ดี ไม่ก่อความรำคาญใจ ไม่โกหกปิดบัง เก็บงำ ซ่อนเร้น...”
พิแสงตัดบท “ให้ไปตอนเช้า มืดแล้ว ไม่มีใครไปส่งหรอก”
ชมพู่จ๋อย
พิแสงเดินออกไปจากบ้านโดยปล่อยชมพู่ให้ยืนร้องโฮ
“จะใจร้ายใจดำกันไปถึงหนาย ฮื้ออ!!”
พิแสงเดินเข้ามายืนมองทีเด็ดและลิเดีย หมูทั้งสองนอนอุตุ พิแสงอดยิ้มขำไม่ได้ก่อนจะเศร้าลง
“ฉันควรจะทำยังไงดี บอกฉันหน่อย คุยกับฉัน เหมือนที่พวกแกชอบคุยกับไอ้หมอน่ะ”
ทีเด็ดและลิเดียไม่สนใจพิแสง
“ฉันอยากเป็นหมูเหมือนพวกแกนะ ชีวิตไม่ซับซ้อนสับสนเหมือนคน”
พิแสงยืนมองทีเด็ดและลิเดียด้วยความเจ็บปวด กนธีเดินเข้ามายืนข้างๆพิแสง
“แกทำใจทิ้งทุกอย่างที่นี่ไปได้จริงๆเหรอ” กนธีถาม
พิแสงอึ้ง
ชมพู่ลากกระเป๋าร้องไห้ออกมา
“ฮือๆๆ นายหัวใจร้าย ใจจืด ใจดำ ใจอำมหิต ใจ...”
คนงานที่รับจ้างวางยาหมูวิ่งหนีหลอดและเสริมออกมา ชมพู่ตกใจ
“อย่าหนีนะ หยุดนะ!!! กูบอกให้หยุด!!”
“ชมพู่ จับมันไว้!” เสริมตะโกน
ชมพู่เข้าขวางคนงานแล้วทุ่มกระเป๋าเสื้อผ้าใส่ คนงานเสียหลัก ชมพู่กระโดดขึ้นคร่อมคนงาน คนงานจะลุกสู้ แต่ชมพู่ชี้หน้า
“แกสู้ ฉันจูบ! เอามะ!”
คนงานส่ายหน้าเพราะกลัว
หลอดกับเสริมวิ่งมาถึงก็รีบจับคนงานล็อกตัวเอาไว้ คนงานฮึดฮัด
“เก่งมากชมพู่” หลอดชม
“จีจ้าชัดๆ” เสริมบอก
ชมพู่ทำท่าเตะโชว์ “ย้าก!!”
ชมพู่ยกขาสูงไปหน่อยทำให้ไปเสยปลายคางคนงานอย่างจังจนคนงานสลบ หลอดกับเสริมถึงกับอึ้ง ชมพู่เองก็อึ้งเพราะไม่คิดว่าจะให้ผลขนาดนี้
“แล้วคราวนี้จะสอบสวนมันได้ยังไงวะ เล่นซะสลบเลย!”
“แบบว่าไม่ได้ตั้งใจ”
หลอดกับเสริมเซ็งที่คนงานสลบทำให้ยังสอบสวนเรื่องวางยาเบื่อไม่ได้
พิแสงยังยืนนิ่ง กนธีถอนใจ
“ฉันเข้าใจนะ...แต่ไม่เห็นด้วย แกจะหนีทุกอย่างไปเรื่อยๆตลอดชีวิตทุกครั้งที่แกเจอปัญหาไม่ได้หรอกนะพิแสง” กนธีบอก
“ฉันไม่ได้หนี”
“เหรอ...สมแล้วล่ะ ที่คุณเขมไม่ได้รักแกจริง”
พิแสงไม่พอใจ “ไอ้ธี!”
“เพราะแกมันใจเสาะงี้ ขืนรักแก ใช้ชีวิตอยู่กับแก คงน้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะถ้ามีปัญหาเมื่อไหร่ แกคงเลือกที่จะวิ่งหนีมัน แทนที่จะสู้!”
“หยุดพูด!”
“จะต่อยหน้าฉันเหมือนต่อยหน้าไอ้หมอหรือไง เอาเลย แต่จะบอกให้นะ ฉันสู้นะเว้ย ฉันไม่ยอมปล่อยให้แก่ต่อยฉันฟรีๆแน่ ฉันชื่นชมคุณเขมว่ะ"
"อย่างน้อยเค้าก็สู้เพื่อแม่ที่เป็นมะเร็ง ยอมทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมารักษาแม่ หรือยอมให้คนประณามว่าทำงานที่ไร้ศักดิ์ศรี เพื่อดัดสันดานผู้ชายเจ้าชู้ และช่วยผู้หญิงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ชายพวกนั้น”
พิแสงผลักกนธีไปให้พ้นทางอย่างไม่พอใจแล้วเดินหนีไป กนธีเซ็งกับพิแสง
“ฉันมาเตือนแกดีๆนะเว้ย ต่อให้หนีไปถึงขั้วโลก ก็ไม่มีทางหนีความรู้สึกผิดที่แกทำไว้กับปู่กับหมูแกพ้นหรอก ไอ้เพื่อนกระจอก!”
พิแสงวกกลับมา กนธีหลบวูบเพราะกลัวถูกต่อย
“ไหนบอกว่าสู้ไง หลบทำไม” พิแสงถาม
“ไม่ได้หลบ! แค่ตั้งหลัก!” กนธีบอก
“ไม่ต้องมาที่นี่อีก!”
พิแสงเดินออกไป กนธีเซ็งที่พิแสงไม่เชื่อเขา
พิแสงเดินจะเข้าบ้าน แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเขมมิกยืนรออยู่อย่างกระวนกระวาย
“เขมมิก....”
เขมมิกเห็นพิแสงก็ยิ้มดีใจแล้ววิ่งมาหา ทั้งสองคนจ้องมองกันแบบอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน พิแสงไม่อยากเจอเขมมิกเพราะอยากจะลืม ในขณะที่เขมมิกมาเพื่ออธิบายความจริง และต้องการล่ำลาพิแสง
พิทยาเลี้ยวรถเข้ามาจอดอย่างรวดเร็ว เขาก้าวลงจากรถแล้วมองหารถคันอื่นๆ ที่เขมมิกอาจจะอาศัยมาแต่ก็ไม่เห็น พิทยารีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
พิสุทธิ์ แสงสุดา พิทยา พิสินีย์ พิสานั่งเครียดอยู่ในบ้าน พิทยาเดินเข้ามา ทุกคนหันไปมองพิทยาเป็นตาเดียวด้วยสายตาเคร่งเครียด พิทยาอึ้งเพราะคิดว่าตัวเองถูกแฉแล้วแน่ๆ
พิสินีย์พูดเสียงแข็ง “กลับมาแล้วเหรอคะพีท”
พิทยาแก้ตัว “ผมอธิบายได้นะ สิ่งที่คุณได้ยินจากปากของ...”
พิสินีย์ตัดบท “จะอธิบายได้ยังไงคะ ในเมื่อฉันยังไม่ได้บอกอะไรคุณเลย”
“ก็แหม...แค่เมียอ้าปากก็เห็นไปถึงไส้ติ่ง เหมือนพ่อไง” พิสุทธิ์บอก
“เข้าเรื่องเหอะ ไว้จีบกันทีหลัง” แสงสุดาปราม
“ตกลง มีเรื่องอะไรกันครับ” พิทยาถาม
“สินีย์อยากให้น้องเล็กไปช่วยงานพีทที่ออฟฟิศค่ะ จะได้ช่วยแบ่งเบาพีทบ้าง”
“หน้าเลยเป็นตูดอยู่แบบนี้ไง เพราะไม่อยากทำงาน โวยวายทำเอาเครียดกันทั้งบ้าน” พิสุทธิ์บอก
พิทยาแอบโล่งใจ
“คุณก็ พูดจากับลูกเพราะๆหน่อย” แสงสุดาว่า
“หมดเวลาให้ยาหอมแล้ว หายใจทิ้งไปวันๆ เปลืองทรัพยากรประเทศแบบนี้ต้องโดนยาขม จะได้หายขาด” พิสุทธิ์บอก
“พีทคิดว่าไงบ้างคะ”
“ไปถามความรู้สึกพี่พีททำไม คนที่ควรต้องแคร์คือน้องเล็ก พี่พีทแค่เขย เป็นคนอื่น” พิสาบอก
“แต่ตอนนี้พีทคือส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา”
“ไม่รู้ล่ะ น้องเล็กไม่ไปทำงานที่นั่นหรอก ถ้าน้องเล็กจะทำ น้องเล็กจะไปทำของน้องเล็กเอง”
“จะทำอะไร เราจะไปทำอะไรรอด” พิสุทธิ์ว่า
“ไม่มีใครคิดจะเชื่อใจน้องเล็กเลยใช่มั้ย” พิสาไม่พอใจ
พิสุทธิ์กับแสงสุดาตอบทันที “ใช่!!”
“พี่สินีย์เห็นแก่ตัว กลัวผัวตัวเองจะลำบาก ต้องมาลำบากน้อง ทุเรศ!” พิสาว่า
พิสากรี๊ดแล้ววิ่งออกไปสร้างความหนักใจให้กับพิสุทธิ์และแสงสุดา
“เราเลี้ยงลูกผิดพลาดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” พิสุทธิ์ถาม
“ไม่รู้สิ....รู้ตัวอีกที ลูกก็ไม่ฟังเราเลย” แสงสุดาบอก
“น้องเล็กไม่น่ามองข้ามความปรารถนาดีของหนูเลย” พิสินีย์เสียใจ
“ปล่อยไปก่อน น้องเราดื้อ...ยิ่งดันยิ่งต้าน ต้องให้เค้ายอมรับของเค้าเอง ไม่งั้น ไม่มีทาง” พิสุทธิ์บอก
ทุกคนกลุ้มใจ ยกเว้นพิทยาที่ยิ้มโล่งอกแต่ก็ยังไม่คลายความระแวง
พิแสงยืนมองเขมมิกด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขมมิกเลิกดีใจเมื่อเห็นท่าทีของพิแสง เธอค่อยๆถอยออกมา
“มาเหยียบที่นี่อีกทำไม หรือเปลี่ยนใจจะมารับเงิน” พิแสงถาม
เขมมิกส่ายหน้า
“งั้นก็ไปซะ อย่าให้ที่นี่ต้องแปดเปื้อนความคาวของเธอมากไปกว่านี้”
พิแสงเดินหนีเข้าบ้าน
“ฉันมีบางอย่างต้องบอกคุณ” เขมมิกพูด
พิแสงหันมองเขมมิกอย่างไม่พอใจ “ดื้อด้าน!”
เขมมิกรู้สึกเจ็บแต่ก็ยอมทน เธอเปิดมือถือแล้วเปิดคลิปเสียง
“คิดจะทำอะไรของเธอ!”
“ฉันจะเปิดคลิปเสียงพีทให้คุณฟัง มันเป็นเรื่อง....”
พิแสงโกรธสุดๆที่ได้ยินชื่อพิทยาจึงแย่งมือถือเขมมิกมา
“คุณพิแสง เอาคืนมาให้ฉัน”
“ใจเธอทำด้วยอะไร ถึงได้ไม่เคยรู้สึกผิดชอบชั่วดี ยังจะมีหน้ามาพูดถึงสามีคนอื่นหน้าระรื่น เพื่อเยาะเย้ยฉัน เธอมันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ไปให้พ้น!”
พิแสงปามือถือเขมมิกไปกระแทกกับต้นไม้จนแหลกไม่มีชิ้นดี เขมมิกมองแล้วก็ตกใจ พิแสงเดินหนี เขมมิกไม่ยอมลดรา เธอตามไปคว้าแขนของพิแสงเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนฟังฉันก่อน คุณต้องฟังฉัน ฉันมีความจริงที่ต้องบอกให้คุณรู้”
“ปล่อย! อย่ามาแตะต้องฉัน”
“รับปากสิว่าคุณจะฟังฉัน แล้วฉันจะปล่อย”
“พอทีเถอะ เขมมิก พอที!!! เลิกพูดทำร้ายหัวใจฉันสักที!”
พิแสงทนไม่ไหวจึงเหวี่ยงและสะบัดเขมมิกออกไปอย่างแรงจนเขมมิกล้มลงไปกับพื้น
“โอ๊ย!!!”
พิแสงตกใจ “เขมมิก...”
พิแสงจะเข้าไปช่วยเขมมิกด้วยความเป็นห่วงแต่ห้ามใจตัวเองเอาไว้ แล้วก็สะบัดหนีเข้าบ้านก่อนจะปิดประตู
“คุณพิแสง! ฟังฉันก่อนสิ คุณพิแสง!!”
เขมมิกลุกขึ้นมาแล้วรู้สึกเจ็บข้อเท้า แต่ก็อุตส่าห์เขยกไปทุบประตูเรียก
“คุณพิแสง!!”
พิแสงยืนมองประตูบ้าน
เสียงเขมมิกเรียก “คุณพิแสง!!”
พิแสงตัดใจเดินเข้าบ้านไป
เขมมิกพยายามทุบประตูบ้านพิแสง
“คุณพิแสง พีทร่วมมือกับยูเอฟทำลายฟาร์มของคุณ เค้าต้องการทำลายทุกอย่างของครอบครัวคุณ คุณพิแสง!! เปิดประตู!!”
ปริญญ์เข้ามาจับมือของเขมมิกไว้ไม่ให้ทุบประตูอีก เขมมิกชะงักแล้วหันไปมองก็เห็นปริญญ์ยืนอยู่
“คุณพิแสงไม่ฟังคุณหรอกครับ มาทางนี้เถอะ” ปริญญ์บอก
“หมอปิ๊น!!! จะพาฉันไปไหนคะ”
เขมมิกเดินตามปริญญ์ไปด้วยความแปลกใจ
อ่านต่อเวลา 09.00 น.
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 13 (ต่อ)
เขมมิก ปริญญ์ หลอด เสริม และชมพู่นิ่งอึ้งกันไปหมดหลังจากรู้เรื่องจากปากของเขมมิก
“ฉันพูดความจริงทั้งหมด....หมดจริงๆ ทุกเรื่อง ตั้งแต่เหตุผลที่ฉันมาทำงานที่นี่ แล้วก็...เรื่องที่ฉันวางแผนหลอกให้พีทสารภาพทุกอย่างกับฉัน” เขมมิกเล่า
ทุกคนพุ่งมาล้อมรอบเขมมิกแล้วจ้องมอง เขมมิกตกใจแล้วถอยกรูด
“ฉันรู้ว่าฉันผิดศีลข้อมุสาวาทา แต่ก็ไม่ควรจะโดนบาทานะ ตั้ง...” เขมมิกนับ “4 คู่ 8 ข้างแน่ะ”
“สาบานสิครับ” ปริญญ์บอก
“สาบานอะไร” เขมมิกถาม
“เรื่องเดียวที่พวกเราอยากแน่ใจจริงๆกคือ...คุณเขมรักคุณพิแสงจริงๆ”
เขมมิกอึ้ง
“เรื่องคุณพีท เรื่องยูเอฟ...พวกเราไม่สนใจ” หลอดบอก
“เราแคร์แค่คุณเขม” เสริมพูด
“เพราะเราอยากให้คุณเขมกับนายหัวรักกันจริงๆ” ชมพู่บอก
“แล้วไม่ติดใจเรื่องที่ฉันโกหกเขาเหรอ”
ทุกคนตอบพร้อมกัน “ไม่ติด!”
“เป็นชมพู่ ชมพู่ก็ต้องทำเหมือนคุณเขม แม่ทั้งคนนอนรอความตาย เงินมากองตรงหน้าก็ต้องคว้าไว้ก่อน ค่อยไปตกนรกทีหลัง”
“เพราะคิดแบบนี้ไง เค้าเลยเกลียดฉันมาก ฉันตกนรกตั้งแต่ยังไม่ตาย” เขมมิกว่า
“เพราะคุณพิแสงไม่รู้ว่าคุณรักเค้าจริงๆ” ปริญญ์บอก
“แต่มันก็แหม....”
ทุกคนพูดแกมบังคับ “สาบาน!!”
เขมมิกตกใจ “ให้ตายโหงในสามวันเจ็ดวันเลย!! โอเคป่ะ!!”
ทุกคนตอบพร้อมกัน “โอเค!!”
ปริญญ์ตอบรับ “น่าแปลกนะครับ...ป่านนี้คุณธรรมศักดิ์ก็น่าจะไปบอกทุกคนแล้ว และทางโน้นก็ต้องติดต่อมาทางคุณพิแสง แต่กลับเงียบกริบ คุณพิแสงเหมือนยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“นั่นสิคะ ชมพู่ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สักแอะ”
“ขอโทรศัพท์หน่อยได้มั้ย ฉันจะโทรบอกคุณพิแสง ฉันต้องบอกเค้าให้ได้”
ปริญญ์รีบหยิบมือถือให้เขมมิก เขมมิกรับมากด ทุกคนรุมฟัง
พิแสงกดปิดมือถือแล้วเหวี่ยงออกไปด้วยความเซ็ง พิแสงลุกเดินเข้าไปข้างใน พอเดินผ่านโทรศัพท์บ้านเขาก็ยกหูออกแล้วเดินไป
เขมมิกวุ่นพล่านเพราะโทรติดต่อพิแสงไม่ได้
“โทรไม่ติดเลยอะ ทั้งมือถือ ทั้งเบอร์บ้าน”
“สงสัยปิดเครื่อง ยกหูออก บุกไปเผาบ้านเลยมั้ย จะได้ออกมาหาพวกเรา” ชมพู่เสนอ
“เก็บสมองไว้กั้นหูเหมือนเดิมเหอะ คิดมาได้!” หลอดว่า
“ลุงธรรมศักดิ์อาจจะทำงานไม่สำเร็จ ฉันจะโทรหาลุง”
เขมมิกจะกดเบอร์แต่ก็ต้องชะงัก ทุกคนมองด้วยความสงสัย
“จำเบอร์ลุงธรรมศักดิ์ไม่ได้อ่ะ” เขมมิกบอก
ทุกคนเซ็ง “โธ่เอ้ย!”
“ในเครื่องผมมีครับ” ปริญญ์หยิบเครื่องมาหาเบอร์ให้
“แล้วทำไมหมอไม่บอกตั้งแต่ทีแรก นี่ถ้าไม่รักจริง ชมพู่หอมแก้มลงโทษเลย!”
หลอดกับเสริมหมั่นไส้ชมพู่จึงยกตัวชมพู่ออกไปเลย
“เฮ้ย ยกเป็นยกหม้อเลย ปล่อย ปล่อย หมอขา ช่วยชมพู่ด้วย!!”
ปริญญ์ส่งมือถือคืนให้เขมมิก “นี่ครับ เบอร์คุณธรรมศักดิ์”
“หมอมีเบอร์ลุงเค้าได้ไงอ่ะ” เขมมิกถาม
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวคุณพิแสง ผมมีหมดครับ” ปริญญ์บอก
เขมมิกกดหาธรรมศักดิ์ “ไม่ติดอ่ะ!!! ลุงธรรมศักดิ์ปิดเครื่อง!”
เขมมิกร้อนใจ
พิสินีย์นอนหลับสนิท พิทยายืนมองพิสินีย์ในความมืด
พิทยาพูดเบาๆ “ขอโทษด้วยนะ สินีย์...”
พิทยาเดินออกไปอย่างแผ่วเบา
พิทยายืนมองพระจันทร์นิ่งนานก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาใครบางคน
เสียงผู้ชายปลายสายรับ “ฮัลโหล...”
“พรุ่งนี้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้เลย” พิทยาบอก
“ครับ”
เสียงปลายสายวางสาย พิทยาลดมือถือลงแล้วมองพระจันทร์ เขายิ้มเศร้าด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
เช้าวันรุ่งขึ้น พิสุทธิ์กับแสงสุดานั่งกินอาหารเช้าอยู่โดยทั้งสองคนกำลังจะไปทำงาน
“ผมตั้งใจจะไปกล่าวสุนทรพจน์กับพนักงานทั้งหมดวันนี้” พิสุทธิ์บอก
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ” แสงสุดาถาม
“ผมจะเกษียณตั้งแต่วันนี้ แล้วจะลงไปพัทลุง ช่วยตาใหญ่จัดการเรื่องฟาร์ม ถ้าเขาจะขายก็คงต้องขาย”
แสงสุดาตอบรับ “ค่ะ”
พิสาเดินหน้าบึ้งมานั่งที่โต๊ะ พิสุทธิ์กับแสงสุดาทำเป็นไม่สนใจ ทั้งสองหันไปอ่านหนังสือพิมพ์และเช็กอีเมล์ในมือถือไปตามเรื่อง พิสากวาดตาไปมองตาขวาง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” พิสาทัก
พิสุทธิ์กับแสงสุดาตอบรับ “อือ....”
“น้องเล็กเป็นลูกหรือเป็นอากาศคะ” พิสาถาม
พิสุทธิ์กับแสงสุดาตอบ “อากาศ....”
พิสาโกรธ เธอลุกขึ้นแล้วเดินกลับ พิสุทธิ์กับแสงสุดาถอนใจ พิสินีย์เดินหน้าเสียเข้ามาในชุดนอน
“คุณพ่อคุณแม่คะ”
“มีอะไร สินีย์ หน้าตาดูยังไม่สบายอยู่เลยนะ” พิสุทธิ์ถาม
“ไม่มีเสื้อผ้าของพีทอยู่ในตู้เลยสักตัวค่ะ เค้าออกไปตอนไหน สินีย์ไม่รู้เลย”
พิสุทธิ์กับแสงสุดาตกใจ “อะไรนะ!!”
“แล้วโทรตามหรือยัง !!” แสงสุดาถาม
พิสินีย์ร้องไห้ออกมาด้วยอาการใจเสีย “โทรแล้ว พีทปิดเครื่อง สินีย์งงไปหมดแล้ว พีทเป็นอะไรไปคะ หรือว่าสินีย์ทำอะไรผิด”
แสงสุดาปลอบ “ใจเย็นๆลูก ใจเย็นๆ”
พิสาเดินเข้ามา
“พี่พีทอาจจะหนีไปหานังเขมมิกก็ได้ ใครจะรู้” พิสาพูด
พิสุทธิ์ปราม “ยัยน้องเล็ก!”
ธรรมศักดิ์เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าเอกสารใบใหม่
“แต่ผมทราบครับว่าทำไมคุณพิทยาถึงหนีไป”
ทุกคนแปลกใจว่าธรรมศักดิ์ที่อยู่ในสภาพหัวแตกกำลังพูดเรื่องอะไร เนตรนิภาวิ่งเข้ามาสมทบแบบหืดขึ้นคอ
“เพราะนี่ไงคะ!” เนตรนิภาชูซีดีในมือ
ทุกคนงงกันไปหมดรวมถึงธรรมศักดิ์ด้วย
“มาได้ยังไงครับ” ธรรมศักดิ์ถาม
“รับสายจากเขมปุ๊บ จัดการเซฟนี่จากคอมพิวเตอร์หนูปั๊บ ใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์มาที่นี่เลยค่ะ ไม่คิดว่าจะเจอลุง” เนตรนิภาเล่า
“นี่มันเรื่องอะไรกันคุณธรรมศักดิ์ รีบๆอธิบาย อย่าให้ฉันรอนาน!” แสงสุดาบอก
ธรรมศักดิ์และเนตรนิภาหันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้ากันอย่างแข็งขัน ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
เจ้าสัวยูเอฟนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งมีอาหารอยู่เต็มโต๊ะ ในขณะที่ตัวเองนั่งกินเพียงคนเดียว พิทยานั่งเครียดอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ไม่กินอะไรหน่อยเหรอ พีท” เจ้าสัวถาม
“ผม...อิ่มครับ...ทางพัทลุงเป็นยังไงบ้างครับ” พิทยาถามกลับ
“เจ้าต่อลาภมันกำลังเจรจาซื้อขายฟาร์มกับนายหัวพิแสง ตอนนี้คงเรียบร้อยแล้ว ฮ่ะๆๆๆๆ แปลกใจจริงๆที่จู่ๆนายนั่นก็คิดจะขายฟาร์ม คงต้องขอบใจแม่ยายของลื้อกับแฟนเก่าลื้อคนนั้น ที่ทำให้เรื่องมันจบง่ายขึ้น โดยที่ป๋าไม่ต้องเสียเวลามากนัก กินๆก่อน กองทัพเดินได้ด้วยท้อง”
เจ้าสัวคีบกับข้าวให้พิทยาอย่างอารมณ์ดี พิทยามองเจ้าสัวอย่างอึดอัดและลำบากใจ
“ผมมีเรื่องจะสารภาพกับป๋า” พิทยาบอก
“เรื่องอะไร กินไปคุยไปก็ได้”
พิทยาลังเล
พิแสงนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาครุ่นคิดสิ่งที่เขมมิกพูดก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นวาสินีก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“นายหัวคะ คุณต่อลาภมารอนานแล้ว” วาสินีบอก
“ขอเวลาห้านาที...” พิแสงพูด
“ค่ะ”
วาสินีแอบไม่พอใจและร้อนใจ เธอปิดประตูแล้วเดินออกไป พิแสงเหลือบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็เห็นข้อความเข้าในอีเมล์หนึ่งข้อความ พิแสงคลิกเปิดดูด้วยความสงสัย
“อีเมล์ของใคร...” พิแสงอ่าน “เนตรนิภา...คุณเนตรนิภา?”
พิแสงรีบคลิกเปิดดูทันที
พิสุทธิ์ แสงสุดา พิสินีย์ และพิสานั่งช็อกอยู่กับที่ เนตรนิภากดปุ่มปิดซีดี ธรรมศักดิ์อยู่ในท่าทางเคร่งเครียดยื่นซองเอกสารที่มีข้อมูลของพิทยาและรูปถ่ายต่างๆให้พิสุทธิ์ พิสุทธิ์รับมาดูอย่างเงียบๆ แสงสุดาและพิสามองพิสินีย์ด้วยความเห็นใจสุดๆ พิสินีย์ช็อกจนร้องไห้ไม่ออกเพราะมีหลายความรู้สึกทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งโกรธพิทยา
“สินีย์...” แสงสุดาเรียก
“พี่สินีย์...” พิสาเรียก
“เค้าไม่ได้รักหนูเลยแม้สักนิด” พิสินีย์บอก
ทุกคนอึ้งเพราะเห็นใจและสงสารพิสินีย์
“หนูถูกเค้าหลอก เหมือนหนูเป็นคนโง่....” พิสินีย์พูดออกมา
“ลูกไม่ได้โง่ ลูกแค่ไม่รู้ และรู้ไม่ทัน” พิสุทธิ์บอก
“ความรักทำให้คนตาบอดและหูหนวกอย่างนี้นี่เอง หนูเพิ่งจะเข้าใจ”
“เลว! เลวที่สุด! ทำกับพี่สาวของน้องเล็กแบบนี้ได้ยังไง ไอ้ชั่ว! น้องเล็กจะไปเอาเรื่องมัน” พิสาโกรธจัด
อ่านต่อเวลา 17.00 น.
พิสินีย์รั้งพิสาเอาไว้แล้วประคองสติของตัวเอง “ไม่ต้องน้องเล็ก!”
ทุกคนแปลกใจกับท่าทีของพิสินีย์ที่ไม่ได้ฟูมฟาย
“ไม่ต้องไล่ตามคนไร้ค่าคนนั้น! ตอนนี้ สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ...ป้องกันไม่ให้แผนการของเค้าประสบความสำเร็จ สิ่งที่เค้าจะเห็นไม่ใช่ความพินาศย่อยยับของครอบครัวเรา แต่เค้าจะได้เห็น....ว่าเราเข้มแข็งมากกว่าที่เค้าคิด”
“ดีมากลูก” พิสุทธิ์ชม
พิสุทธิ์หยิบมือถือขึ้นมาโทรสั่งการ
“ต่อสายหัวหน้าร.ป.ภ เดี๋ยวนี้!!”
ทุกคนลุ้นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แสงสุดากับพิสาจับมือพิสินีย์ไว้มั่น ธรรมศักดิ์และเนตรนิภามองอย่างซึ้งใจและยิ้มให้แก่กัน
ผ.อ.โทรศัพท์เสร็จมาก็ลุกขึ้นมาเก็บของบนโต๊ะอย่างรวดเร็วเตรียมจะออกไป ประตูห้องเปิดผลัวะเข้ามา ร.ป.ภ.สองคนเข้ามาคุมตัว ผ.อ.เอาไว้ ผ.อ.ตกใจจนหน้าซีด
ในห้องครัวของสายการบิน หัวหน้าเชฟถอดหมวกแล้วกำลังจะออกทางประตูหลัง ร.ป.ภ. ปราดเข้ามาประชิดและคุมตัวหัวหน้าเชฟคนนั้นเอาไว้
เจ้าสัวอึ้งแล้วมองหน้าพิทยานิ่ง
“คลิปเสียงของลื้อ...” เจ้าสัวถาม
“ครับป๋า ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้....มันจะแพร่ออกไปมากแค่ไหนแล้ว ผมพลาดเองที่ไว้ใจเขมมิก” พิทยาบอก
“ลื้อคิดจะกลับไปคบกับผู้หญิงคนนั้นหรือไง”
“ผมรักเขม ผมอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือกับเขมที่เมืองนอก หลังจากจัดการแก้แค้นพวกพิสุทธิเสวีแล้ว”
เจ้าสัวตบโต๊ะดังปังจนพิทยาสะดุ้ง
“ความอ่อนแอของลื้อทำให้ลื้อ อั๊วและยูเอฟต้องเดือดร้อน รู้ตัวมั้ย”
“ครับป๋า ผมทราบ ผมขอโทษ”
เจ้าสัวรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
“ฮัลโหล ไอ้ย้ง! คนของลื้อจัดการเรื่องฟาร์มของไอ้พิแสงไปถึงไหนแล้ว!”
พิแสงเปิดประตูห้องทำงานออกมา ต่อลาภที่รออยู่ลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“เรามาเจรจาซื้อขายกันเลยมั้ยครับนายหัว....”
“ไม่มีการซื้อขายอะไรทั้งนั้น กลับไปซะ!” พิแสงไล่
ต่อลาภอ้าปากค้าง วาสินีตกใจ
“นายหัว ทำไมคะ!” วาสินีงง
“บอกให้กลับไปซะ!!”
ต่อลาภยังอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าจะวืด
“ถ้าฉันกลับมาแล้วยังเห็นนายอยู่ที่นี่ ฉันจะสับนายให้เละแล้วเอาไปเป็นอาหารหมู!”
พิแสงวิ่งออกไปทันที ต่อลาภโกรธจนขาดสติ
“เฮ้ย!!! อะไรกันวะเนี่ย! ผีเข้าผีออก บ้าไปแล้วหรือไงวะ!”
“ใจเย็นๆก่อนนะคะ น้ำหวานจะไปคุยกับนายหัว...”
“ไม่ต้องคุยแล้ว! ไม่เห็นหรือไง ว่าเขาจะสับฉันให้เป็นอาหารหมู! ถอยไป!”
ต่อลาภผลักวาสินีออกไปไม่ให้ขวางทาง แล้วเดินออกไปทันที
วาสินีเดินตามไป “เดี๋ยวก่อน คุณต่อลาภ !!”
ต่อลาภเดินหนีวาสินีออกมา
“หยุดก่อน!” วาสินีเรียก
“ไม่ต้องตามมาเลยนะ จะไปไหนก็ไป!” ต่อลาภไล่
“ไล่ฉันเหรอ หมายความว่าไง”
“ไล่ก็คือไล่ แปลว่าไม่อยากเห็นหน้า”
ต่อลาภเดินหนีไปอีก วาสินีเจ็บใจ เธอหยิบก้อนหินที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเขวี้ยงใส่หัวต่อลาภ
“โอ๊ย!! อะไรวะ!”
“อะไร??? ก็หินไง! แกคิดจะทิ้งฉันใช่มั้ย” วาสินีถาม
“เออสิวะ จะเอาไปให้เป็นภาระหรือไง”
“ไอ้เลว แกหลอกฉัน! แกได้ฉันเป็นเมียแล้ว แกต้องรับผิดชอบสิ!”
“วิ่งมาหาถึงที่ ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเว้ย! ไม่งั้น ฉันไม่ต้องเลี้ยงเมียทุกจังหวัดเลยหรือไงวะ”
“กรี๊ด!!! ไอ้ต่อลาภ แก!!”
ต่อลาภตะเพิด “จะทำไม อย่าตามมาอีกนะ อย่าหาว่าไม่เตือน เอาตาย!”
ต่อลาภเดินหนีไปด้วยความหงุดหงิด
“ฉันต่างหากที่จะเอาแกให้ตาย ของฟรีไม่มีในโลก จำไว้ ไอ้เลว ไอ้ชั่ว กรี๊ด!!”
วาสินีเสียใจและผิดหวัง เธอร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ
ปริญญ์กำลังปิดบ้านพัก เขาสะพายกระเป๋าเตรียมออกเดินทาง พิแสงวิ่งเข้ามา
“จะไปไหนไอ้หมอ!” พิแสงถาม
“กลับบ้านไปหาแม่...อยู่บ้านสักพัก ค่อยหางานใหม่ครับ” ปริญญ์บอก
“แกไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น แกต้องอยู่ทำงานที่นี่”
“ถ้าต้องเปลี่ยนเจ้านายใหม่ ก็ขอเริ่มต้นกับที่ใหม่ๆ เถอะ”
“ฉันไม่ได้ขายที่นี่ ฉันไม่ได้เซ็นสัญญากับยูเอฟ ฉันจะทำมันต่อไป” พิแสงบอก
ปริญญ์อึ้งด้วยความดีใจ “จริงเหรอครับ”
ปริญญ์วางกระเป๋าลงแล้วเข้าไปกอดพิแสงด้วยความดีใจ
“คุณพิแสงคนเดิมกลับมาแล้วใช่มั้ยครับ” ปริญญ์ถาม
“เลิกกอดได้แล้ว !” พิแสงว่า
“ไม่กอด แต่ขอหอมที”
“เดี๋ยวต่อย! ไอ้หมอ เขมมิกอยู่ไหน แกต้องรู้ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”
“มาตามทำไมเอาป่านนี้....คุณเขมกลับไปตั้งนานแล้วครับ”
พิแสงอึ้งแล้ววิ่งออกไป ปริญญ์อมยิ้มเพราะดีใจที่พิแสงไม่ขายฟาร์มแล้ว
คนงานที่ถูกชมพู่เตะปลายคางยังสลบทั้งๆ ที่ถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้ หลอด เสริม และชมพู่ยืนมุงดู
“นี่มันจะสลบยาวไปถึงชาติหน้าหรือไงวะ” หลอดเซ็ง
“ชมพู่ ที่ใช้สอยปลายคางมันน่ะ เท้าหรือครกวะ” เสริมถาม
“ลองมะ?” ชมพู่ถามกลับ
พิแสงวิ่งมาตะโกนเรียก
“ไอ้หลอด ไอ้เสริม!”
ทุกคนรีบทำหน้าขรึม พิแสงวิ่งมา
“พาฉันไปสนามบินหาดใหญ่ ชมพู่โทรจองตั๋วไปกรุงเทพ!”
หลอด เสริม และชมพู่สะบัดบ็อบด้วยอาการงอน
“อย่ามาสะดีดสะดิ้ง พรั๋นพรื๋อหลาว!!! ฉันรีบ!” พิแสงบอก
หลอด เสริม และชมพู่ยังเชิดใส่
พิแสงมีท่าทางอ่อนลง “ก็ได้...ฉันขอโทษที่พูดไม่ดี เอาแต่อารมณ์ หูหนวกตาบอดไม่ฟังใคร ฉันจะไม่ขายที่นี่ จะไม่ทำสัญญาห่าเหวอะไรกับใครแล้วทั้งนั้น”
หลอด เสริม และชมพู่ดีใจ “ไชโย!!”
“เลิกดีใจแล้วรีบจัดการที่ฉันสั่งก่อนได้มั้ย”
“นายหัวคงต้องบินกับสายการบินอื่นแล้วนะคะ” ชมพู่บอก
พิแสงถาม “ทำไม?”
“โอย อยู่แต่ในกะลา ไม่ได้รู้เรื่องข่าวสารบ้านเมืองเล้ย!!! ข่าวเพิ่งจะออกทีวีไปเมื่อตะกี้”
พิแสงมองชมพู่ด้วยสายตาดุ ชมพู่จ๋อย
พิสุทธิ์ถอนหายใจก่อนจะประกาศกลางห้องประชุม
“เราช้าเกินไป....เครื่องบินของเราถูกระงับไม่ให้ทำการบิน เพราะค้างจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงมาหลายงวด ออกข่าวครบทุกช่องเลย แต่ผมสั่งการให้เบิกจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว คงทำการบินได้อีกที พรุ่งนี้”
“แล้ว..อาการอาหารเป็นพิษของผู้โดยสารของเราล่ะ” แสงสุดาถาม
“อาการไม่หนัก” พิสุทธิ์ตอบ
“แต่ฟ้องเรียกค่าเสียหายเราหนักครับ” ธรรมศักดิ์บอก
ทุกคนถอนใจ
“ตาพีทวางหมากไว้เป็นอย่างดี ค่อยๆหาทางบีบให้คนเก่าของเราออกแล้วเอาคนใหม่ของตัวเองเข้ามาทำตามคำสั่ง รอเวลากดปุ่มระเบิด” พิสุทธิ์พูด
“ตอนนี้เครดิตของเรา...ติดลบ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมได้เหมือนเดิม....ตาใหญ่อาจจะช่วยเราคิดได้! ตาใหญ่รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง” แสงสุดาถาม
“รู้แล้วค่ะ กำลังขึ้นมาหาเรา” พิสาบอก
ทุกคนเคร่งเครียดโดยเฉพาะพิสินีย์เพราะรู้สึกว่ามันคือความรับผิดชอบของตัวเองเต็มๆ
“หนูขอโทษค่ะ ขอโทษ...ที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย ทั้งๆที่ตัวเองอยู่ใกล้พีทมาก” พิสินีย์บอก
“ไม่ สินีย์...เราไม่ใช่คนผิด ไม่ต้องรับผิด และไม่ต้องรู้สึกผิด!” แสงสุดายืนยัน
“หนูทำดีที่สุดแล้วลูก หนูเข้มแข็งและมีสติได้ขนาดนี้ พ่อก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว” พิสุทธิ์ให้กำลังใจ
“ใช่! ถ้าเป็นน้องเล็กนะ คงนอนร้องไห้เจ็บใจเป็นปีแน่ๆ” พิสาบอก
“คุณพ่อคะ...คุณพ่อรู้จักกับเจ้าสัวยูเอฟมั้ยคะ” พิสินีย์ถาม
“ทำไม” พิสุทธิ์สงสัย
“เราต้องเคลียร์ตัวเองค่ะ คุณพ่อบอกเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าพีทเข้าใจผิดมาโดยตลอด เราไม่ได้โกงพ่อแม่ของพีท”
พิสุทธิ์กับแสงสุดาสบตากันอย่างเห็นด้วย
“คุณธรรมศักดิ์ จัดการหาทางติดต่อกับเจ้าสัวยูเอฟด่วนที่สุด” แสงสุดาสั่ง
ธรรมศักดิ์รับคำ “ครับผม!”
ธรรมศักดิ์เดินออกไป ทุกคนเป็นกังวลกับสถานการณ์ ในขณะที่พิสินีย์มุ่งมั่นที่จะจัดการเรื่องนี้ให้ได้
พิแสงเดินมาถึงหน้าบ้านขนิษฐา เขาเห็นไฟในบ้านปิดมืดก่อนจะเหลือบไปเห็นป้ายติดไว้ที่หน้าบ้านว่า “ให้เช่า” พิแสงตกใจ